เรื่อง ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้ สึก
                    เนือหา
                       ้
                    1. การรับรู้ และการตอบสนอง
                    2. เซลล์ ประสาท
                    3. การทางานของเซลล์ ประสาท
                    4. ศูนย์ ควบคุมระบบประสาท
                     5. การทางานของระบบ
                     ประสาท
                     6. อวัยวะรับความรู้ สึก
การรับรู้ และการตอบสนอง

   สิ่ งเร้ า                  หน่ วยรับความรู้ สึก             เซลล์ ประสาทรับความรู้ สึก




                                                                     หน่ วยแปลความรู้ สึก



การตอบสนอง                  หน่ วยปฏิบติการ
                                      ั               เซลล์ ประสาทสั่ งการ


            การรับรู้ การเปลียนแปลงต่ อสภาพแวดล้ อมของสิ่ งมีชีวิต
                             ่
การตอบสนองของสิ่ งมีชีวตเซลล์ เดียว
                                     ิ

เช่ น พารามีเซียม ไม่ มีระบบประสาททีแท้ จริง มี
                                        ่
เส้ นใยประสานงาน (co-ordinating fiber) ซึ่งอยู่ใต้
ผิวเซลล์ เชื่อมโยงระหว่ างโคนซิเลียแต่ ละเส้ นทาให้
เกิดการประสานงานกัน การโบกพัดของซีเลียทีอยู่    ่
รอบๆตัว ถ้ าหากตัดเส้ นใยนีพบว่ า พารามีเซียมไม่
                            ้
สามารถควบคุมการโบกพัดของซีเลียได้
การตอบสนองของสั ตว์ ไม่ มกระดูกสั นหลัง
                                ี

ฟองนา เซลล์ แต่ ละเซลล์ของฟองนาจะมีการรับรู้และการตอบสนอง
        ้                         ้
แต่ ไม่ มีการประสานงานระหว่ างเซลล์
ไฮดรา ยังไม่ มีปมประสาท แต่ จะมีเส้ นใยประสาททีเ่ รียกว่ า
ร่ างแหประสาท ( nerve net ) มีลกษณะการเชื่อมโยงกันเป็ นร่ างแห
                                ั
กระจายอยู่รอบตัว เมื่อกระตุ้นจะทาให้ ทุกส่ วนของร่ างกายหดตัว
แต่ การเคลือนทีของกระแสประสาทช้ ากว่ าสั ตว์ ช้ันสู งมาก และการ
             ่ ่
เคลือนทีของกระแสประสาทนั้นไม่ มีทิศทางที่แน่ นอน
     ่ ่
การตอบสนองของสั ตว์ ไม่ มกระดูกสั นหลัง
                         ี
             พลานาเรีย
             - มีเซลล์ ประสาทรวมตัวเป็ นกลุ่มโดยเฉพาะ
             บริเวณหัว เรียกกลุ่มของเซลล์ ประสาทเหล่ านั้นว่ า
             ปมประสาท (nerve ganglion)หรือเรียกว่ า สมอง
             (brain)
             - มีเส้ นประสาท (nerve cord)ขนานไปตาม
             ด้ านข้ างของลาตัวจากหัวจรดท้ ายลักษณะแบบ
             ขั้นบันได (ladder type)เส้ นประสาทดังกล่าว
             เชื่อมโยงติดกันเส้ นประสาททีวนรอบลาตัวเรียกว่ า
                                          ่
             วงแหวนประสาท (nerve ring)
การตอบสนองของสั ตว์ ไม่ มกระดูกสั นหลัง
                                  ี
- ไส้ เดือนดิน กุ้ง หอย จะมีปมประสาทที่พฒนากว่ าของพลานาเรีย
                                             ั
   ทาหน้ าทีเ่ ป็ นสมองอยู่ทส่วนหัว มีเส้ นประสาททีเ่ ชื่อมต่ อปม
                            ี่
  ประสาททีมีอยู่ตามปล้ อง
               ่
- แมลง มีปมประสาทหลายปมทีอยู่เป็ นช่ วงๆบริเวณหน้ าท้ องของ
                                    ่
  แมลงและมีเส้ นประสาทย่ อยทีต่อไปยังอวัยวะต่ างๆเพือเพิมการรับรู้
                                  ่                        ่ ่
  และตอบสนองที่พฒนาดีขนสาหรับแมลง
                      ั        ึ้
การตอบสนองของคนและสั ตว์ มกระดูกสั นหลัง
                               ี

ในคนและสั ตว์ มีกระดูกสั นหลังมีระบบประสาทพัฒนามาก
- เซลล์ ประสาทส่ วนใหญ่ รวมกันอยู่ทส่วนหัว เจริญพัฒนาไปเป็ น
                                      ี่
  สมอง ( brain )
- และมีไขสั นหลัง ( spinal cord ) ทอดยาวด้ านหลังของลาตัว
- ทั้งสมองและไขสั นหลังทาหน้ าทีเ่ ป็ นศูนย์ กลางของระบบ
  ประสาท โดยมีเส้ นประสาทแยกออกมาจากสมองและไขสั นหลัง
ลักษณะเส้ นประสาทของสมองและไขสั นหลัง
สมองของสั ตว์ มกระดูกสั นหลังขณะเอ็มบริโอ ( embryo )
                ี
มีลกษณะ
    ั
เป็ นหลอดกลวงเรียกว่ า นิวรัลทิวบ์ ( neueal tube ) แบ่ งเป็ น 3 ส่ วน คือ
- สมองส่ วนหน้ า
- สมองส่ วนกลาง
- สมองส่ วนหลัง
และส่ วนที่ต่อท้ ายคือไขสั นหลัง



ในสภาวะปกติท่ เซลล์ ประสาทไม่ ถูกกระตุ้น เซลล์ จะอยู่ในระยะพัก
              ี
ไขสันหลัง


พัฒนาการของสมองและไขสั นหลังของสั ตว์ มีกระดูกสั นหลัง
วิวฒนาการของสมองในสั ตว์ มีกระดูกสั นหลัง
   ั
ระบบประสาทมีเนือเยือประสาท
                           ้ ่
ประกอบด้ วยเซลล์ 2 ชนิด คือ
• เซลล์ ประสาท
• เซลล์ คาจุน
         ้
เซลล์ ประสาท
- เซลล์ ประสาท ( nerve cell ) หรือนิวรอน ( neuron ) ซึ่งมีเป็ น
  จานวนมากในร่ างกาย
- แต่ ละเซลล์จะเชื่อมโยงต่ อกับเซลล์ ประสาทอืนเป็ นพันๆเซลล์
                                             ่
- ทาหน้ าทีเ่ กียวกับการรับรู้และการตอบสนอง
                ่
  การทางานของเซลล์ ประสาท

  Na+ ที่อยู่ภายในเซลล์ จะถูกลาเลียงออกโดยอาศัยพลังงานจาก
เซลล์ ประสาท ประกอบด้ วย

• ตัวเซลล์ ( cell body )
• ใยประสาท ( nerve fiber )
ตัวเซลล์ (cell body)

มีเส้ นผ่ านศูนย์ กลางประมาณ 4-25 ไมโครเมตร ภายในมี
• ไซโทพลาซึม ( cytoplasm )
• นิวเคลียส ( nucleus ) ขนาดใหญ่
• ไมโทคอนเดรีย ( mitochondria )
• เอนโดพลาสมิกเรติคูลม ( endoplasmic reticolum )
                         ั
• กอลจิคอมเพล็กซ์ ( golgi complex )
ใยประสาท (nerve fiber)
เป็ นส่ วนที่ยนออกมาจากตัวเซลล์ มีลกษณะเป็ นแขนงเล็กๆ
              ื่                   ั
มี 2 ชนิด คือ
- เดนไดรต์ ( dendrite )
- แอกซอน ( axon )
เดนไดรต์ ( dendrite )
- เป็ นใยประสาททีนากระแสประสาทเข้ าสู่ ตวเซลล์
                  ่                     ั
- มีจานวนตั้งแต่ 1 ใยขึนไป
                       ้
- มักมีขนาดสั้ น
แอกซอน (axon)
-   เป็ นใยประสาทที่นากระแสประสาทออกจากตัวเซลล์
-   มีจานวนเพียง 1 ใย
-   มักมีขนาดยาว
-   อาจมีเยือไมอีลนหุ้ม
            ่     ิ
ภาพถ่ ายกล้องจุลทรรศน์                    ภาพวาด


                         โครงสร้ างเซลล์ ประสาท
เยือไมอีลน ( myelin sheath )
                  ่     ิ

- เป็ นสารจาพวกลิพด ( lipid )
                     ิ
- เป็ นส่ วนหนึ่งของเซลล์ ชวัน ( schwann cell )
- รอยต่ อของเซลล์ ชวันแต่ ละเซลล์จะไม่ มีเยือไมอีลนหุ้ม เรียก
                                            ่     ิ
  บริเวณนั้นว่ า โนดออฟแรนเวียร์ ( node of ranvier )
เซลล์ ประสาทแบ่ งตามหน้ าทีได้ 3 ชนิด คือ
                                   ่


1. เซลล์ประสาทรับความรู้สึก
2. เซลล์ประสาทสั่ งการ
3. เซลล์ประสาทประสานงาน
เซลล์ ประสาทรับความรู้ สึก ( sensory neuron )

- รับกระแสประสาทจากหน่ วยรับความรู้สึกส่ งไปยัง
เซลล์ประสาทสั่ งการในไขสันหลัง
 - ตัวเซลล์อยู่ทปมประสาทรากบนของไขสั นหลัง
                ี่
เซลล์ ประสาทสั่ งการ(motor neuron)


- นากระแสประสาทออกจาก
ไขสั นหลังหรือสมองไปยังหน่ วย
ปฏิบัติงาน เช่ น กล้ามเนือ
                         ้
เซลล์ ประสาทประสานงาน ( association neuron )

- ทาหน้ าที่เชื่อมต่ อระหว่ างเซลล์
ประสาทรับความรู้ สึกและ
เซลล์ประสาทสั่ งการ
- อยู่ภายในสมองและไขสั นหลัง
เซลล์ ประสาทแบ่ งตามรู ปร่ างโครงสร้ างได้ 3 ประเภทคือ

1. เซลล์ประสาทขั้วเดียว
2. เซลล์ประสาทสองขั้ว
3. เซลล์ประสาทหลายขั้ว
เซลล์ ประสาทขั้วเดียว ( unipolar neuron )

- มีใยประสาทแยกออกมาจากตัวเซลล์
เพียงเส้ นเดียว
- แยกออกเป็ นแอกซอนและเดนไดรต์
- ทาหน้ าทีเ่ ป็ นเซลล์ ประสาทรับความรู้ สึก
จากผิวหนัง
เซลล์ ประสาทสองขั้ว ( bipolar neuron )

- มีใยประสาทออกจากตัวเซลล์สองเส้ น
- เป็ นเซลล์ ประสาทรับความรู้ สึก
- เช่ น เซลล์ประสาททีเ่ รตินาของตา,
เซลล์ ประสาทรับกลินของจมูก,
                   ่
เซลล์ ประสาทรับเสี ยงของหู เป็ นต้ น
เซลล์ ประสาทหลายขั้ว ( multipolar neuron )

- มีใยประสาทออกจากตัวเซลล์
มากมาย
- เป็ นเซลล์ประสานงานและเซลล์
ประสาทสั่ งการ
เซลล์ คาจุน
                                 ้
         เป็ นเซลล์ ทแทรกอยู่ระหว่ างเซลล์ ประสาทเพือไม่ ให้ มีช่องว่ าง
                     ี่                                  ่
    เกิดขึนทาหน้ าที่
           ้
-   คาจุน
      ้
-   ให้ อาหาร
-   สนับสนุนการทาหน้ าทีของเซลล์ ประสาท
                              ่
-   คล้ ายกับเนือเยือเกียวพัน
                 ้ ่ ่
-   ตัวอย่ างเช่ น เซลล์ ชวัน ( scheann cell ) ทีสร้ างเยือไมอีลน
                                                 ่         ่    ี
เซลล์ ประสาทจะอยู่แบบสานต่ อเป็ น
 เครือข่ ายปลายแอกซอนของเซลล์ ประสาทหนึ่งจะไปอยู่ชิดกับ
- เดนไดรต์ ของเซลล์ ประสาทอืน
                            ่
- เซลล์กล้ ามเนือ้
- หน่ วยปฏิบัตงาน
               ิ
- เพือถ่ ายทอดกระแสประสาทบริเวณทีอยู่ชิดกันเรียกว่ า
     ่                           ่
ไซแนปส์ ( symapse )
ไซแนปส์ ระหว่ างเซลล์ประสาทรับความรู้สึก เซลล์ประสาทประสานงาน
                     และเซลล์ประสาทสั่ งการ
การทางานของเซลล์ ประสาท

การเกิดกระแสประสาท
- เมือมีสิ่งเร้ าต่ างๆ เช่ น เสี ยง
     ่
,ภาพ,ความร้ อน สารเคมีมา
กระตุ้นหน่ วยรับความรู้ สึก
- จะถูกเปลียนให้ เป็ นกระแส
              ่
ประสาท
จากการวิจัยของนักสรีรวิทยาของ
    ฮอดจ์ กน (A.L .Hodgkin) และฮักซ์ สีย์ (A.F. Huxley)
             ิ
    ทาให้ ทราบว่ ากระแสประสาทเกิดขึนได้ อย่ างไรโดยการนา
                                      ้
-   ไมโครอิเล็กโทรด (microelectrode)ซึ่งมีลกษณะเป็ นหลอดแก้ว
                                             ั
    ที่ดงให้ ยาวตรงปลายเรียวเป็ นท่ อขนาดเล็ก
        ึ
-   มาต่ อกับมาตรวัดความต่ างศักย์ ไฟฟ้ า (cathode ray
    oscilloscope)
-   จากนั้นเสี ยบปลายข้ างหนึ่งของไมโครอิเล็กโทรดเข้ าไปในแอก
    ซอนของหมึก
-   ส่ วนอีกปลายหนึ่งแตะที่ผวนอกของแอกซอนของหมึก
                            ิ
การวัดความต่ างศักย์ไฟฟาระหว่ างภายนอกและภายในเซลล์ประสาทของหมึก
                       ้
จากการทดลองพบว่ า
- ความต่ างศักย์ ไฟฟาระหว่ างภายในและภายนอกประสาทของ
                     ้
   หมึกวัดได้ – 70 มิลลิโวลต์ ซึ่งเป็ นศักย์ เยือเซลล์ ระยะพัก
                                                ่
(resting membrane potential)
- เยือหุ้มเซลล์มีโปรตีนทาหน้ าทีควบคุมการเข้ าออกของ
     ่                              ่
ไอออนเช่ น
                   Na+ เรียกว่ า ช่ องโซเดียม
                   K+ เรียกว่ า ช่ องโพแทสเซียม
ขณะทีเ่ ซลล์ ประสาทยังไม่ ถูกกระตุ้นซึ่งเป็ นระยะพักพบว่ า
- สารละลายภายนอกเซลล์มี Na+ สู งกว่ าสารละลายภายในเซลล์
- สารละลายภายในเซลล์มี K+สู งกว่ าสารละลายภายนอกเซลล์
- ทีเ่ ป็ นเช่ นนีอยู่ตลอดเวลาเพราะได้ รับพลังงานจาก ATP ซึ่ง
                  ้
  พลังงานจาก ATP จะไปดัน Na+ ออกไปนอกเซลล์ทางช่ อง
  โซเดียมและดึง K+ เข้ าไปในเซลล์ ทางช่ องโพแทสเซียมใน
  อัตราส่ วน 3 Na+ : 2 K+ เรียกกระบวนการนีว่า โซเดียม
                                                ้
  โพแทสเซียมปั๊ม (sodium potassium pump)
ขณะทีเ่ ซลล์ ถูกกระตุ้นซึ่งเป็ นระยะที่
        เรียกว่ า ดีโพลาไรเซชัน (depolarization)
- ทาให้ เกิดการเปลียนแปลงของศักย์ เยือเซลล์
                         ่                ่
- ช่ องโซเดียมเปิ ด แต่ ช่องโพแทสเซียมปิ ด
- Na+ เข้ าข้ างในเซลล์ มากขึนข้ างในมีความเป็ นบวกมากขึน (ความ
                                  ้                        ้
  ต่ างศักย์ ทเี่ ยือหุ้มเซลล์ จะเปลียนแปลงจาก – 70 มิลลิโวลต์
                    ่                ่
  เป็ น + 50 มิลลิโวลต์ )
หลังจากการกระตุ้นผ่ านไปเซลล์ กลับมาอยู่ในสภาวะเดิม
     ระยะนีเ้ รียกว่ า รีโพลาไรเซชัน (repolarization)
- ช่ องโซเดียมจะปิ ด ขณะทีโพแทสเซียมจะเปิ ด
                          ่
- ความต่ างศักย์ จะเปลียนกลับจาก + 50 มิลลิโวลต์ เป็ น
                       ่
– 70 มิลลิโวลต์
- กลับสู่ สภาพเดิม
การเปลียนแปลงศักย์ ไฟฟาขณะทีเ่ ซลล์ประสาทถูกกระตุ้น
       ่              ้
การเปลียนแปลงดังกล่าวเรียกว่ า แอกชันโพเทนเชียล
                  ่
    ( action potential ) หรือการเกิดกระแสประสาท ( nerve impluse )
- เกิดขึนตรงบริเวณทีถูกกระตุ้น
         ้                 ่
- ชักนาให้ บริเวณถัดไปเกิดการเปลียนแปลง ่
- บริเวณทีถูกกระตุ้นครั้งแรกกลับสู่ สภาพเดิม
              ่
- เป็ นเช่ นนีไปเรื่อยๆ
                ้
- มีผลให้ กระแสประสาทเคลือนไปตามความยาวของใยประสาทแบบจุด
                                 ่
  ต่ อจุดต่ อเนื่องกันของแอกซอนทีไม่ มีเยือไมอีลนหุ้ม
                                      ่    ่    ี
- นักวิทยาศาสตร์ พบว่ า การเกิดแอกชันโพเทนเชียลต้ องอาศัยระยะเวลา
  หนึ่ง
           ดังนั้น ถ้ ากระตุ้นเซลล์ประสาทในขณะทียงเกิดแอกชันโพเทนเชียล
                                                ่ั
  อยู่เซลล์ประสาทจะไม่ ตอบสนองกระแสประสาทจึงไม่ เกิดขึนใหม่ ้
เยือไมอีลน (myelin sheath) จะทาหน้ าที่
            ่     ี
- เป็ นฉนวนกั้นประจุไฟฟาทีผ่านเยือหุ้มเซลล์ ดังนั้นแอกซอนตรง
                       ้ ่       ่
   บริเวณทีมีเยือไมอีลนหุ้มจะไม่ มแอกชันโพเทนเชียลเกิดขึน
              ่ ่       ี          ี                    ้
- แต่ แอกชันโพเทนเชียลจะเคลือนทีจากโนดออฟแรนเวียร์ หนึ่งไป
                                 ่ ่
   ยังโนดออฟแรนเวียร์ ทอยู่ถดไปตลอดความยาวของใยประสาท
                            ี่ ั
- ดังนั้นการเคลือนทีของกระแสประสาทในใยประสาทที่มีเยือไมอี
                  ่ ่                                     ่
   ลีนหุ้มจึงผ่ านแบบกระโดดเป็ นช่ วงๆตามระยะของโนดออฟแรน
   เวียร์
- ใช้ เวลาน้ องกว่ าการเคลือนทีของกระแสประสาทในใยประสาทที่
                           ่ ่
   ไม่ มีเยือไมอีลนหุ้ม
            ่      ี
การเคลือนทีของกระแสประสาทไปตามแอกซอนทีมเี ยือหุ้มไมอีลนหุ้ม
       ่ ่                            ่ ่             ิ
ความเร็วของกระแสประสาทในแอกซอนที่ไม่ มีเยื่อไมอีลนหุ้มขึนอยู่กบ
                                                 ี      ้     ั

- ขนาดของเส้ นผ่ านศูนย์ กลางของใยประสาท
- ถ้ ามีขนาดใหญ่ จะนากระแสประสาทได้ เร็วกว่ าขนาดเล็ก
( เพราะความต้ านทานการเคลือนทีของไอออนจะผกผันกับ
                          ่ ่
พืนที่ภาคตัดขวางของใยประสาท )
   ้
แอกซอนทีมเี ยือไมอีลนหุ้ม ถ้ ามี
                     ่ ่         ี
- ขนาดใหญ่ และระยะห่ างระหว่ างโนดออฟแรนเวียร์ มากกว่ าจะมี
  การเคลือนทีของกระแสประสาทได้ เร็วกว่ า
         ่ ่
การทดลองของออทโต ลอวิ
การถ่ ายทอดกระแสประสาทระหว่างเซลล์ ประสาท

  นักวิทยาศาสตร์ ชื่อ ออทโต ลอวิ ( otto Loewi ) ทดลอง
- นาหัวใจของกบที่ ยังมีชีวตอยู่มาผ่ าตัดเอาสมองทียงมี
                            ิ                         ่ั
  เส้ นประสาทคู่ที่ 10 ติดอยู่มาใส่ ไว้ ในจานเพาะเชื้อจานที่ 1 ทีมี
                                                                 ่
  นาเกลือแล้ วใช้ กระแสไฟฟากระตุ้นเส้ นประสาทนั้น พบว่ า หัวใจ
    ้                         ้
  กบเต้ นช้ าลงต่ อมาดูดสารละลายจากจานที่ 1 ใส่ ในจานที่ 2 ทีมี    ่
  หัวใจกบเหมือนกัน แต่ ไม่ มีเส้ นประสาทสมองคู่ที่ 10 พบว่ า
  หัวใจกบในจานที่ 2 มีอตราการเต้ นของหัวใจช้ าลงเช่ นกัน
                          ั
จากการทดลองนีแสดงให้ เห็นว่ า
             ้
การกระตุ้นเส้ นประสาทสมองคู่ที่ 10
- จะทาให้ มีการปล่ อยสารบางชนิดออกมายับยั้งการทางานของ
    กล้ ามเนือหัวใจ
              ้
เช่ นเดียวกัน
- การกระตุ้นใยประสาทที่ไปเลียงกล้ ามเนือนั้น
                             ้         ้
- โดยมีการหลังสารจากปลายประสาทกระตุ้นให้ กล้ ามเนือหดตัว
                 ่                                 ้
- สารหลังจากปลายประสาท เรียกว่ า สารสื่ อประสาท
            ่
    (neurotransmitter)
มีการค้ นพบว่ า
- บริเวณปลายแอกซอนมีสารสื่ อประสาทสู งมากซึ่งสารสื่ อ
  ประสาทนีทาหน้ าที่เป็ นตัวกลางถ่ ายทอดกระแสประสาทจาก
            ้
  เซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์ หนึ่ง
ปัจจุบนพบว่ าสารสื่ อประสาทมีหลายชนิด เช่ น
      ั
-   แอซิติลโคลีน ( acetylcholine )
-   เอพิเนฟริน ( eoinephrine)
-   นอร์ เอพิเนฟริน ( norepinephrine )
-   เอนดอร์ ฟีน ( endorphine )
จากการทดลองของออทโต ลอวิ สารทีหลังออกมาจาก
                                           ่ ่
เส้ นประสารทสมองคู่ที่ 10 (หลังจากถูกกระตุ้นด้ วย
กระแสไฟฟา) คือ แอซิตลโคลีน (acetylcholine)
          ้            ิ
จากการศึกษาพบว่ า
- บริเวณทีปลายแอกซอนของเซลล์ ประสาทหนึ่งมาอยู่ชิดกับเดนไดรต์
          ่
  ของอีกเซลล์ประสาทหนึ่งเรียกว่ า ไซแนปส์ (synapse)
- เป็ นช่ องกว้ างขนาด 0.5 ไมโครเมตร
- ทาให้ กระแสประสาทข้ ามผ่ านไปได้
ทีปลายของแอกซอนจะมี
  ่
- ถุงขนาดเล็กบรรจุสารสื่ อประสาท
- ไมโทคอนเดรียสะสมอยู่มาก
เมื่อกระแสประสาทเคลือนที่มาถึงปลายแอกซอนก่ อนไซแนปส์
                     ่
- ถุงบรรจุสารสื่ อประสาทจะเคลือนทีไปยังเยือหุ้มเซลล์บริเวณไซแนปส์
                                 ่ ่        ่
- แล้วปล่อยสารสื่ อประสาทออกไปเป็ นการนากระแสประสาทไปพร้ อมๆ
  กัน
- เมื่อสารสื่ อประสาทผ่ านช่ องไซแนปส์ มาแล้วจะไปจับกับโปรตีนตัวรับที่
  เยือหุ้มเซลล์ของเดนไดรต์ (หลังไซแนปส์ )
     ่
- ทาให้ เกิดการเคลือนทีของไอออนผ่ านเยือหุ้มเซลล์มีการเปลียนแปลง
                     ่ ่                ่                 ่
  ความต่ างศักย์
- ทาให้ เกิดการหลังกระแสประสาทต่ อไป
                   ่
สารสื่ อประสาทผ่ านช่ องไซแนปส์
สารทีเ่ หลืออยู่ทช่องไซแนปส์
                                 ี่
- จะถูกสลายอย่ างรวดเร็วโดยเอนไซม์
- เพือให้ เซลล์ประสาททางานได้ อก
     ่                         ี
สารทีได้ จากการสลาย
                         ่
- บางส่ วนอาจจะถูกนากลับไปสร้ างสารสื่ อประสาทใหม่
- บางส่ วนถูกกาจัดออกทางระบบเลือด
         ดังนั้น เดนไดรต์ จะถูกกระตุ้นในช่ วงเวลาสั้ นๆเฉพาะเวลาทีแอกซอน
                                                                  ่
  ปล่อยสารสื่ อประสาทเท่ านั้น
ปัจจุบนบันพบว่ ามีสารเคมีและยาหลายชนิดทีมผลต่ อการ
         ั                                 ่ ี
           ถ่ ายทอดกระแสประสาทที่ไซแนปส์ เช่ น
1. สารที่มาจากแบคทีเรียบางชนิด จะไป
- ยับยั้งการปล่อยสารสื่ อประสาท
- กระแสประสาทถ่ ายทอดไม่ ได้
- จึงเกิดอัมพาตขึน
                 ้
2. ยาระงับประสาท ทาให้
- สารสื่ อประสาทออกมาได้ น้อย
- กระแสประสาทสั่ งไปยังสมองน้ อยลง
- จึงเกิดอาการสงบไม่ วตกกังวล
                        ิ
ปัจจุบนบันพบว่ ามีสารเคมีและยาหลายชนิดทีมผลต่ อการ
       ั                                 ่ ี
         ถ่ ายทอดกระแสประสาทที่ไซแนปส์ เช่ น

3. สารจาพวก แอมเฟตามีน,นิโคติน,คาแฟอิน
     - กระตุ้นให้ มีการปล่ อยสารสื่ อประสาทออกมามาก
     - ทาให้ รู้ สึกตืนตัว หัวใจเต้ นเร็วนอนไม่ หลับ
                      ่
4. ยาฆ่ าแมลงบางชนิด
    - ไปทาลายหรือยับยั้งเอนไซม์ ทจะมาสลายสารสื่ อประสาท
                                         ี่
โครงสร้ างของระบบประสาท
       ถ้ าพิจารณาตามตาแหน่ งและโครงสร้ างจะแบ่ งระบบประสาท
   ได้ 2 ระบบ คือ
1. ระบบประสาทส่ วนกลาง (central nervous system หรือ CNS
   ได้ แก่ สมองและไขสั นหลัง
2. ระบบประสาทรอบนอก (peripheral nervous system หรือ
   PNS)
ระบบประสาทส่ วนกลาง (central nervous system หรือ CNS)
ทั้งสมองและไขสั นหลังมีเยือหุ้ม 3 ชั้น
                              ่
- ชั้นนอกสุ ด มีลกษณะหนาเหนียวและแข็งแรงปองกันการ
                     ั                         ้
     กระทบกระเทือนของเนือสมองและไขสั นหลัง
                                ้
- ชั้นกลาง มีลกษณะเป็ นเยือบางๆอยู่ระหว่ างชั้นนอกและชั้นใน
                   ั              ่
- ชั้นใน เป็ นชั้นทีแนบไปตามรอยโค้ งเว้ าของสมองและไขสั น
                       ่
     หลังมีเส้ นเลือดหล่อเลียงมากนาอาหารและออกซิเจนมาให้ เนือ
                            ้                               ้
     สมองกับไขสั นหลัง
ระหว่ างเยือหุ้มสมองชั้นกลางกับชั้นใน
                    ่

- เป็ นช่ องว่ างตามยาวติดต่ อกับช่ องภายในไขสั นหลังและโพรง
ในสมอง
- เป็ นทีอยู่ของนาเลียงสมองและไขสั นหลัง (cerebrospinal fluid)
          ่        ้ ้
สมอง ไขสั นหลัง และเยือหุ้มสมอง
                      ่
โรคนาเลียงสมองและไขสั นหลังอุดตัน
    ้ ้
สมอง (brain)ของคน

- มีนาหนัก 1.4 กิโลกรัม หรือ 3 ปอนด์
     ้
- บรรจุอยู่ภายในกะโหลกศีรษะซึ่งป้ องกัน
สมองไม่ ให้ กระทบกระเทือน
- ประกอบด้ วยเซลล์ประสาทมากกว่ าร้ อยละ
90 ของเซลล์ประสาททั้งหมด (ส่ วนใหญ่ เป็ น
เซลล์ประสาทประสานงาน)
โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease)
- เป็ นโรคทีเ่ กียวกับความเสื่ อมของเซลล์ ประสาทในสมองผู้ป่วยที่
                 ่
  เป็ นโรคนีเ้ นือสมองจะฝ่ อเล็กลงรอยหยักในสมองมีน้องลง นา
                 ้                                               ้
  เลียงสมองจะเพิมมากขึนมีอาการสู ญเสี ยความจาและความ
      ้             ่      ้
  ฉลาด
- สาเหตุการเกิดโรคยังไม่ ทราบแน่ ชัด แต่ ปัจจัยทีเ่ กียวข้ องมีหลาย
                                                      ่
  สาเหตุเช่ นความผิดปกติทางพันธุกรรมการสะสมสารพิษบาง
  ชนิด เช่ น อะลูมิเนียม เป็ นต้ น
สมองประกอบด้ วย 2 ส่ วน
1. ส่ วนนอกเป็ นสี เทา (grey matter)
      - มีตวเซลล์ ประสาท
           ั
      - และแอกซอนที่ไม่ มีเยือไมอีลน
                             ่     ิ
2. ส่ วนใน เป็ นเนือสี ขาว (white matter)
                   ้
     - มีแอกซอนทีมีเยือไมอีลนซึ่งเป็ นสารพวกลิพด (lipid)
                     ่ ่       ิ               ิ
เป็ นส่ วนประกอบ
สมองของคน
- มีพฒนาการสู งสุ ด ซับซ้ อนทีสุด
       ั                      ่
- มีอตราส่ วนระหว่ างนาหนักสมองต่ อนาหนักตัวมากกว่ าสั ตว์ อน
     ั                 ้            ้                       ื่
- มีรอยหยักบนสมองมาก
ซีกของสมอง มี 2 ซีก
สมองคนเราแบ่ งเป็ น 3 ส่ วน


1. สมองส่ วนหน้ า (forebrain)
2. สมองส่ วนกลาง (midbrain)
3. สมองส่ วนหลัง (hindbrain)
สมองส่ วนหน้ า (forebrain)
-   ออลแฟกเทอรีบัลบ์ (olfactory bulb)
-   เซรีบรัม (cerebrum)
-   ไฮโพทาลามัส (hypothalamus)
-   ทาลามัส (thalamus)
สมองส่ วนกลาง(midbrain)
- พัฒนารู ปเหลือเฉพาะ ออกติกโลบ (optic lobe)
สมองส่ วนหลัง (hindbrain)

- เซรีเบลลัม (cerebellum)
- เมดัลลาออบลองกาตา (medulla oblongata)
- พอน (pons)
ออลแฟกทอรีบัลบ์ (olfactory bulb)
เกียวข้ องกับการดมกลิน
   ่                  ่
- ในปลา สมองส่ วนนีจะมีขนาดใหญ่
                        ้
- ในคน สมองส่ วนนีไม่ ค่อยเจริญ
                    ้
เซรีบรัม (cerebrum)
เกียวกับความคิด ความจา เชาวน์ ปัญญา
   ่
- การรับสั มผัส
- การพูด การรับรู้ ภาษา
- การมองเห็น
- การรับรส
- การได้ ยน
          ิ
- การดมกลิน ่
- การทางานของกล้ ามเนือ ้
ไฮโพทาลามัส (hypothalamus)
เป็ นศูนย์ ควบคุม
- อุณหภูมของร่ างกาย
             ิ
- การนอนหลับ
- การเต้ นของหัวใจ
- ความดันเลือด
- ความต้ องการพืนฐานของร่ างกายเช่ น นา อาหาร การพักผ่ อน อารมณ์
                     ้                ้
    ความรู้สึกต่ างๆ
- ทาหน้ าทีสร้ างฮอร์ โมนประสาทมาควบคุมการหลังฮอร์ โมนของต่ อมใต้
               ่                              ่
    สมองส่ วนหน้ า
ทาลามัส (thalamus)
- เป็ นศูนย์ รวมกระแสประสาททีผ่านเข้ ามาแล้ วแยกกระแสประสาท
                             ่
  ส่ งไปยังสมองส่ วนหน้ าที่เกียวข้ องกับกระแสประสาทนั้นๆ
                               ่
ออกติกโลบ (optic lobe)
- ควบคุมการเคลือนไหวของนัยน์ ตาหัวและลาตัว เพือตอบสนอง
                 ่                            ่
  ต่ อแสงและเสี ยง
- ช่ วยควบคุมการเคลือนไหวของร่ างกาย
                    ่
เซรีเบลลัม (cerebellum)
- ควบคุมการทรงตัวของร่ างกาย
- ควบคุมการประสานการเคลือนไหวของร่ างกายให้ เป็ นไปอย่ าง
                          ่
  ราบรื่นสละสลวยและเที่ยงตรงทาให้ สามารถทางานละเอียดอ่อน
  ได้
เมดัลลาออบลองกาตา (medulla oblongata)
-   ควบคุมการเต้ นของหัวใจ
-   ควบคุมการหายใจ
-   ควบคุมความดันเลือด
-   เป็ นศูนย์ ควบคุมการกลืน การไอ การจาม การอาเจียนและการ
    สะอึก
พอน (pons)
- ควบคุมการเคียว การหลังนาลาย การเคลือนไหวของใบหน้ า
                ้       ่ ้          ่
- ควบคุมการหายใจ
- เป็ นทางผ่ านของกระแสประสาทระหว่ างเซรีบรัมกับเซรีเบลลัม
  และระหว่ างเซรีเบลลัมกับไขสั นหลัง
สมองของคน
ไขสั นหลัง (spinal cord)
- อยู่ภายในกระดูกสั นหลัง ตั้งแต่ กระดูกสั นหลังบริเวณคอข้ อแรก
  ถึงกระดูกบริเวณเอวข้ อที่ 2
- ส่ วนปลายไขสั นหลังจะเรียวเล็กจนเหลือเพียงส่ วนของเยือหุ้ม
                                                         ่
  ไขสั นหลัง
ไขสั นหลังและเส้ นประสาทไขสั นหลัง
ถ้ าตัดไขสั นหลังตามขวางจะพบว่ า

- ด้ านนอก เป็ นเนือขาว (white matter) เป็ นบริเวณที่แอกซอนมี
                    ้
  เยือไมอีลนหุ้ม
     ่      ี
- ด้ านใน เป็ นเนือสี เทา (grey matter)เป็ นบริเวณที่มีตวเซลล์
                  ้                                     ั
  ประสาทอยู่หนาแน่ น
- ตรงกลาง จะมีช่องกลวง (central canal)เป็ นบริเวณที่มีนาเลียง
                                                            ้ ้
  สมองและไขสั นหลังบรรจุอยู่ภายใน
ส่ วนที่เป็ นเนือสี เทาของไขสั นหลัง
                             ้
- มีลกษณะคล้ายอักษรตัว H หรือ ปี กผีเสื้อ
      ั
- ปี กบนมี 2 ปี ก เรียก ดอร์ ซัลฮอร์ น (dorsal horn)
- ปี กล่ างมี 2 ปี ก เรียก เวนทรัลฮอร์ น (ventral horn)
ระบบประสาทรอบนอก
(peripheral nervous system หรือ PNS) ประกอบด้ วย

- เส้ นประสาทสมอง (cranial nerve) มี 12 คู่
- เส้ นประสาทไขสั นหลัง (spinal nerve) มี 31 คู่
เส้ นประสาทสมองของคน
เส้ นประสาทสมอง (cranial nerve)
-   เป็ นเส้ นประสาทที่ติดต่ อกับสมอง
-   แยกออกจากสมองเป็ นคู่ๆ
-   ของสั ตว์ นาและสั ตว์ ครึ่งบกครึ่งนามี 10 คู่
                ้                       ้
-   ของสั ตว์ เลียงลูกด้ วยนานม นก และสั ตว์ เลือยคลานมี 12 คู่
                  ้          ้                    ้
-   บางเส้ นทาหน้ าทีเ่ ฉพาะรับความรู้ สึก
-   บางเส้ นเป็ นเส้ นประสาทสั่ งการ
-   บางเส้ นทาหน้ าทีเ่ ป็ นทั้งรับความรู้ สึกและสั่ งการ
เส้ นประสาทไขสั นหลัง (spinal nerve)
เป็ นเส้ นประสาททีแยกออกมาจากไขสั นหลังเป็ นคู่ๆ
                  ่
ในคนมีท้งหมด 31 คู่ แยกตามตาแหน่ งทีเ่ ส้ นประสาทไขสั นหลัง
           ั
ยืนออกมาคือ
  ่
         - บริเวณคอมี 8 คู่
         - บริเวณอกมี 12 คู่
         - บริเวณเอวมี 5 คู่
         - บริเวณกระเบนเหน็บมี 5 คู่
         - บริเวณก้นกบมี 1 คู่
เส้ นประสาทไขสั นหลัง (spinal nerve)

- ทุกเส้ นเป็ นเส้ นประสาทผสมคือรับความรู้สึกจากกล้ามเนือ้
บริเวณแขน ขาและลาตัวสั่ งการไปยังกล้ามเนือ แขน ขาและลาตัว
                                            ้
- ทีอยู่ใกล้กบไขสั นหลังจะแยกเป็ นรากบน (dorsal root)ต่ ออยู่
    ่         ั
กับดอร์ ซัลฮอร์ นของไขสั นหลัง
เส้ นประสาทไขสั นหลัง (spinal nerve)

- รากบนนีจะพองออกมาเป็ นปมประสาทรากบน
           ้
(dorsal root ganglion)
- ที่ต่อจากเวนทรัลฮอร์ นจะเป็ นรากล่าง (Ventral root)
- ทั้งรากบนและรากล่างจะรวมกันเป็ นเส้ นประสาทไข
สั นหลัง
โครงสร้ างภาคตัดขวางของไขสั นหลัง
การทดลองส่ งกระแสประสาทของเส้ นประสาทไขสั นหลังของกบ
        ก. เส้ นประสาทไขสันหลังที่ไปยังขากบ

        ข. ตัดรากล่างของเส้ นประสาทไขสันหลังระหว่างจุดที่ 1 กับ 2

        ค. ตัดรากบนของเส้ นประสาทไขสันหลังระหว่ างจุด 3 กับ 4
ทีปมประสาทรากบนมีตวเซลล์ ประสาทรับความรู้ สึก
      ่               ั
•   ซึ่งมีเดนไดรต์ อยู่ในเส้ นประสาทไขสั นหลัง
•   มีแอซอนอยู่ในรากบนยืนเข้ าไปในไขสั นหลัง
•   จะรับกระแสประสาทจากหน่ วยรับความรู้สึก
•   ส่ งผ่ านเซลล์ประสาทประสานงาน ซึ่งอยู่ในเนือสี เทา
                                                    ้
•   แล้วส่ งต่ อให้ เซลล์ประสาทสั่ งการซึ่งมีตัวเซลล์อยู่ในเนือสี เทา
                                                              ้
ทิศทางการเคลือนทีของกระแสประสาทเข้ าและออกจากไขสั นหลัง
             ่ ่
หน้ าทีของไขสั นหลัง คือ
          ่
• เป็ นศูนย์ กลางของการเคลือนไหวต่ างๆทีตอบสนองต่ อการสั มผัส
                             ่              ่
  ของร่ างกาย
• เป็ นตัวเชื่อมระหว่ างหน่ วยรับความรู้ สึกกับหน่ วยปฏิบัตงาน
                                                           ิ
• เป็ นทางผ่ านไปกลับของกระแสประสาทระหว่ างไขสั นหลังกับ
  สมอง
การทางานของระบบประสาท
 การทางานของเส้ นประสาทในระบบประสาทรอบนอก
แบ่ งออกเป็ น 2 ส่ วน คือ
• ส่ วนทีรับความรู้ สึก (sensory division)
          ่
• ส่ วนที่สั่งการ (motor division)
ถ้ าสั่ งการเกิดขึนกับหน่ วยปฏิบัติงาน
                   ้
• ทีบังคับได้ เช่ น กล้ ามเนือยึดกระดูก จัดเป็ นระบบประสาทโซ
    ่                        ้
  มาติก (somatic nervous system หรือ SNS)
• ทีบังคับไม่ ได้ เช่ นอวัยวะภายในและต่ อมต่ างๆ จัดเป็ นระบบ
      ่
  ประสาทอัตโนวัติ (autonomic nervous system หรือ ANS)
แผนภาพการทางานของระบบประสาทในสั ตว์ มีกระดูกสั นหลัง
ระบบประสาทอัตโมวัติ แบ่ งออกเป็ นระบบย่ อย 2 ระบบ คือ

• ระบบประสาทซิมพาเทติก (sympathetic nervous system )
• ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก(parasympathetic nervous system)
ระบบประสาทโซมาติก (somatic nervous system หรือ SNS)

หน่ วยรับความรู้สึก   เซลล์ประสาทรับความรู้สึก        เส้ นประสาทไขสันหลังหรือเส้ นประสาทสมอง




 หน่ วยปฏิบัตงาน
             ิ         เส้ นประสาทไขสันหลังหรือเส้ นประสาทสมอง           ไขสันหลังหรือสมอง




             แผนภาพแสดงการทางานของระบบประสาทโซมาติก
ระบบประสาทโซมาติก (somatic nervous system หรือ SNS)

• บางครั้งระบบประสาทโซมาติกอาจจะทางานโดยผ่ านไขสั น
  หลังอย่ างเดียว เช่ น การกระตุกขาเมือถูกเคาะทีหัวเข่ า
                                      ่         ่
ระบบประสาทโซมาติก (somatic nervous system หรือ SNS)

การตอบสนองสิ่ งเร้ าทีมากระตุ้น โดยการกระตุกขานั้น
                       ่
• เกิดขึนเองโดยอัตโนวัติ เรียกว่ า รีเฟล็กซ์ (reflex)
        ้
• กิริยาหรืออาการทีแสดงออกหรือมีสิ่งเร้ ามากระตุ้นเกิดขึนใน
                    ่                                       ้
  ระยะเวลาสั้ นๆ เรียกว่ า รีเฟล็กซ์ แอกชัน (reflex action)
• เป็ นการตอบสนองที่เกิดขึนทันทีทนใด โดยมิได้ มีการเตรียมตัว
                              ้        ั
  หรือคิดล่ วงหน้ าซึ่งเป็ นการสั่ งการของไขสั นหลัง
การเกิดรีเฟล็กซ์ แอกชัน
ก. เมือเคาะที่เอ็นใต้ หัวเข่ า ข.เมือเหยียบเศษแก้ ว
      ่                             ่
การทางานของระบบประสาททีเ่ ป็ นวงจรนีเ้ รียกว่ า
            รีเฟล็กซ์ อาร์ ก (reflex arc)
ซึ่งประกอบด้ วยหน่ วยย่ อย 5 หน่ วย คือ
 1. หน่ วยรับความรู้ สึก
 2. เซลล์ ประสาทความรู้ สึก
 3. เซลล์ ประสาทประสานงานในไขสันหลังหรือสมอง
 4. เซลล์ ประสาทสั่ งการ
 5. หน่ วยปฏิบัตงาน
                ิ
การเกิด รีเฟล็กซ์ อาร์ ก (reflex arc)
• บางครั้งรีเฟล็กซ์ อาร์ กอาจไม่ จาเป็ นต้ องมีเซลล์ ประสาท
  ประสาทงานก็ได้ เช่ น การกระตุกขาเมือเคาะทีหัวเข่ า เพราะจะ
                                           ่      ่
  ประกอบด้ วยเซลล์ ประสาทเพียง 2 ชนิด คือ เซลล์ประสาทรับ
  ความรู้ สึกและเซลล์ ประสาทสั่ งการ
ระบบประสาทอัตโนวัติ
             (automomic nervous system หรือ ANS)
• ขณะทีเ่ ราตื่นต้ นตกใจหัวใจจะเต้ นถี่เร็วและแรง
• แต่ เมื่อเวลาผ่ านไปหัวใจจะเต้ นช้ าลงและเข้ าสู่ สภาวะปกติ
การทางานของหัวใจดังกล่าวถูกควบคุมโดย
• ระบบประสาทซิมพาเทติก
• ระประสาทพาราซิมพาเทติก
ระบบประสาทอัตโนวัติ
         (automomic nervous system หรือ ANS)

• ทั้งสองระบบนีทางานนอกอานาจจิตใจจึงเรียกว่ าเป็ นระบบ
                  ้
  ประสาทอัตโนวัติซึ่งการทางานนั้นจะเป็ นแบบสภาวะตรงกัน
  ข้ ามเพือควบคุมการทางานของอวัยวะภายในของร่ างกาย เช่ น
          ่
         การเต้ นของหัวใจ ระบบประสาทซิมพาเทติก กระตุ้นการ
  เต้ นของหัวใจ แต่ ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกจะไปยับยั้ง
  การเต้ นของหัวใจ
ระบบประสาทอัตโนวัติ
            (automomic nervous system หรือ ANS)
การทางานของระบบประสาทอัตโนวัติประกอบด้ วย
• หน่ วยรับความรู้สึก ซึ่งส่ วนใหญ่ อยู่ทอวัยวะภายใน
                                         ่ี
• เซลล์ประสาทรับความรู้สึกรับกระแสประสาทผ่ านรากบนของ
   เส้ นประสาทไขสั นหลังเข้ าสู้ ไขสั นหลัง จากไขสั นหลังจะมีเซลล์ประสาท
   ไปไซแนปส์ กบเซลล์ประสาทสั่ งการทีปมประสาทอัตโนวัติ (antonomic
                   ั                        ่
   ganglion)เซลล์ประสาทที่ออกจากไขสั นหลังทีปมประสาทอัตโนวัตินี้
                                                 ่
   เรียกว่ า เซลล์ ประสาทก่อนไซแนปส์ และเซลล์ประสาทสั่ งการทีออกจาก
                                                                 ่
   ปมประสาทอัตโนวัติเรียกว่ า เซลล์ประสาทหลังไซแนปส์
ระบบประสาทอัตโนวัติ
         (automomic nervous system หรือ ANS)
• ซึ่ง เซลล์ ประสาทหลังไซแนปส์ จะนากระแสประสาทสั่ งงานไป
  ยังกล้ ามเนือเรียบของอวัยวะภายใน กล้ ามเนือหัวใจและต่ อม
              ้                             ้
  ต่ างๆ
การควบคุมการทางานของระบบประสาทซิมพาเทติกและระบบประสาทพาราซิมพาเทติก
เปรียบเทียบวงจรประสาทของ
ก.ระบบประสาทโซมาติก       ข.ระบบประสาทอัตโนวัติ
ระบบประสาทอัตโนวัติ
            (automomic nervous system หรือ ANS)

ที่ปมประสาทอัตโนวัติ
• สารสื่ อประสาทที่ใช้ ระหว่ างก่อนและหลังไซแนปส์ คือ แอซิติลลีน
แต่ สารสื่ อประสาททีหลังมาควบคุมหน่ วยปฎิบัตงานจะต่ างกัน
                    ่ ่                      ิ
• ถ้ าเป็ นระบบประสาทพาราซิมพาเทติก เป็ นแอซิติลโคลีน
• แต่ ถ้าเป็ นระบประสาทซิมพาเทติก เป็ นนอร์ เอพิเนฟริน
อวัยวะรับความรู้ สึก

• กระแสประสาทจากอวัยวะรับความรู้ สึกทุกชนิดเป็ นสั ญญาณทาง
  ไฟฟาเคมีท้งสิ้น
       ้        ั
• ปัจจุบนนักวิทยาศาสตร์ ยงไม่ ทราบแน่ ขดว่ า สมองแปลสั ญญาณ
         ั               ั               ั
  เหล่ านีได้ อย่ างไง
           ้
• แต่ การทีสมองแปลความรู้ สึกได้ แตกต่ างกันนั้นเกิดจากสมองมี
             ่
  บริเวณเฉพาะทาหน้ าทีรับกระแสประสาทจากอวัยวะรับความรู้ สึก
                       ่
  ชนิดต่ างๆ
นัยน์ ตาและการมองเห็น
เลนต์ ตา




นัยน์ ตาและการมองเห็น
นัยน์ ตาและการมองเห็น
นัยน์ ตาของคน
• มีรูปร่ างค่ อนข้ างกลมอยู่ภายในเบ้ าตา
• มีขนาดเส้ นผ่ านศูนย์ กลางประมาณ 2.5 เซนติเมตร
• มีผนังลูกตา 3 ชั้น
   1. สเคลอรา (sclera)
   2. โครอยด์ (choroid)
    3. เรตินา (retina)
สเคลอรา (sclera)

• เป็ นชั้นทีเ่ หนียวแต่ ไม่ ยดหยุ่น
                              ื
• ตอนหน้ าสุ ดจะโปร่ งใสและนูนออกมาเรียกกระจกตา (cornea)มี
  ความสาคัญมากถ้ าเป็ นอันตรายหรือพิการจะมีผลกระทบต่ อ
  การมองเห็น
โครอยด์ (choroid)
• เป็ นชั้นทีมหลอดเลือดมาเลียงและมีสารสี แผ่ กระจายอยู่เป็ น
             ่ ี            ้
  จานวนมากเพือปองการไม่ ให้ แสงสว่ างทะลุผ่านไปยังด้ านหลัง
                 ่ ้
  ของนัยน์ ตาโดยตรง
เลนส์ ตา (lens)
• เป็ นเลนส์ นูนอยู่ถดจากกระจกตาเข้ าไปเล็กน้ อย
                        ั
• มีลกษณะใสกั้นนัยน์ ตาออกเป็ น 2 ส่ วน คือ
        ั
       1.ช่ องหน้ าเลนส์
       2. ช่ องหลังเลนส์
            ซึ่งทั้งสองช่ องนีจะมีของเหลวบรรจุอยู่และของเหลวนั้นจะ
                              ้
  ช่ วยทาให้ ลูกตาเต่ งและคงสภาพได้ และช่ วยให้ การหักเหของแสง
  ทีผ่านเข้ ามา
     ่
เลนส์ ตา (lens)
• ด้ านหน้ าของเลนส์ ตามีม่านตา (iris) ยืนลงมาจกผนังโครอยด์ ท้งบนและ
                                                ่                       ั
   ล่างส่ วนช่ องกลางเป็ นช่ องทีให้ แสงผ่ านเข้ ามาเรียกช่ องนีว่า รูม่านตา
                                 ่                                ้
   (pupil)
• ขนาดของรูม่านตาจะกว้ างหรือแคบขึนอยู่กบม่ านตาทีมกล้ามเนือทางาน
                                            ้      ั          ่ ี         ้
   อยู่ 2 ชนิดคือ
    1. กล้ามเนือวงกลม
                ้
    2. กล้ามเนือที่เรียงตัวตามแนวรัศมี
                  ้
** ม่ านตาทาหน้ าทีควบคุมปริมาณแสงทีผ่านเข้ าสู้ นัยน์ ตา
                     ่                        ่
เรตินา (retina)
• เป็ นบริเวณทีมเี ซลล์ รับแสงซึ่งแบ่ งตามรู ปร่ างได้ 2 ชนิด คือ
                    ่
 1. เซลล์ รูปแท่ ง (rod cell)
 2. เซลล์ รูปกรวย (cone cell)
      ซึ่งเซลล์ ท้งสองทาหน้ าที่ เปลียนพลังงานแสงให้ เป็ นกระแส
                  ั                  ่
  ประสาท
โครงสร้ างและตาแหน่ งของเซลล์ในชั้นเรตินา
เซลล์ รูปแท่ ง

• ไวต่ อการรับแสงสว่ างแม้ ในทีมีแสงสว่ างน้ อย
                                ่
• ไม่ สามารถแยกความแตกต่ างของสี ได้
• ในนัยน์ ตาแต่ ละข้ างจะ
เซลล์ รูปแท่ งมีประมาณ 125 ล้ านเซลล์
เซลล์ รูปกรวย
• แยกความแตกต่ างของสี ต่างๆได้
• บอกสี ได้ ถูกต้ องเมือมีแสงสว่ างมาก
                       ่
• ในนัยต์ ตาแต่ ละข้ างจะมี
เซลล์ รูปกรวยประมาณ 7 ล้ านเซลล์
แบบทดสอบตาบอดสี




รูปที่ 1                 รูปที่ 2
แบบทดสอบตาบอดสี




รูปที่ 3                     รูปที่ 4
แบบทดสอบตาบอดสี




รูปที่ 5                     รูปที่ 6
แบบทดสอบตาบอดสี




รูปที่ 7                     รูปที่ 8
แบบทดสอบตาบอดสี




    รูปที่ 10
เรตินา (retina)

• ในชั้นเรตินายังมีเซลล์ ประสาทที่รับกระแสประสาทไปยังใย
  ประสาทของเส้ นประสาทสมองคู่ที่ 2 แล้ วส่ งไปยังสมองส่ วน
  เซรีบรัมเพือแปลเป็ นภาพตามทีตามองเห็น
             ่                  ่
เรตินา (retina)
**บริเวณตรงกลางของเรตินาทีเ่ รียกว่ า โฟเวีย (fovea)
• จะมีเซลล์ รูปกรวยอยู่หนาแน่ นกว่ าบริเวณอืน่
• ดังนั้นภาพทีตกบริเวณนีจะเห็นชัดเจนมากทีสุด
               ่           ้                   ่
**บริเวณของเรตินาที่มีแต่ แอกซอนออกจากนัยน์ ตาเพือรวม่
เป็ นเส้ นประสาทตา
• จะไม่ มีเซลล์รูปแท่ งและเซลล์ รูปกรวยอยู่เลย
• ทาให้ เกิดภาพบริเวณนี้ เรียกบริเวณนีว่า จุดบอด (blind spot)
                                      ้
เรตินา (retina)
ในการเกิดภาพเมื่อแสงจากวัตถุผ่านเข้ าสู่ กระจกตา
• โดยมีเลนส์ ตาทาหน้ าที่รวมแสง
• ทาภาพตกทีเ่ รตินา
• เกิดกระแสประสาทส่ งไปยังสมองเพือแปลความหมาย
                                     ่
เอ็นยืดเลนส์ กล้ ามเนือยืดเลนส์
                      ้
• เลนส์ ตาถูกยืดด้ วย เอ็นยืดเลนส์ (suspensory ligament) โดยที่
  เอ็นนั้นอยู่ตดกับ กล้ ามเนือยืดเลนส์ (ciliary muscle)
               ิ             ้
• ดังนั้น การหดตัวและคลายตัวของกล้ ามเนือยึดเลนส์ จงมีผลทา
                                              ้         ึ
  ให้ เอ็นยึดเลนส์ หย่ อนหรือตึงได้
เอ็นยืดเลนส์ กล้ ามเนือยืดเลนส์
                          ้
•   หากกล้ ามเนือยึดเลนส์ หดตัว
                  ้
•   เอ็นยึดเลนส์ หย่ อนลง
•   ทาให้ เลนส์ โป่ งออก ผิวของเลนส์ โค้ งนูนมากขึน
                                                  ้
•   จุดโฟกัสใกล้เลนส์ มากขึน ้
•   เหมาะสาหรับการมองภาพในระยะใกล้
เอ็นยืดเลนส์ กล้ ามเนือยืดเลนส์
                       ้
ถ้ าวัตถุอยู่ไกล
• เลนส์ ตาจะต้ องมีความนูนลดลงซึ่งเกิดจากการคลายตัวของ
    กล้ ามเนือยึดเลนส์ น้นเอง
              ้          ั
การเปลียนแปลงรูปร่ างของเลนส์ ตา
                             ่
ก.วัตถุอยู่ใกล้ เลนส์ ตาโค้งนูนมาก ข.วัตถุอยู่ไกล เลนส์ ตาโค้งนูนน้ อย
การแก้ ไขปัญหาสาหรับคนมีปัญหาเรื่องสายตา
ปัจจุบันสามารถแก้ไขได้ โดยการใส่ แว่ นตาทีประกอบด้ วย
                                          ่
• เลนส์ เว้ าสาหรับคนสายตาสั้น
• เลนส์ นูนสาหรับคนสายตายาว
• ในกรณีคนสายตาเอียงซึ่งเกิดจาก จากสาเหตุและมีวธีการแก้ไขดังต่ อไปนี้
                                                     ิ
 1. ความโค้ งของกระจกตาในแนวต่ างๆไม่ เท่ ากันทาให้ เห็นเส้ นของแผ่ นภาพ
   ทดสอบสายตาเอียงในแนวใดแนวหนึ่งไม่ ชัดเจน
  2. แก้ไขโดยใช้ เลนส์ ทรงกระบอก (cylindrical lens)ซึ่งมีด้านหน้ าเว้ า
   ด้ านหลังนูน
กลไกการมองเห็น
            ทีเ่ ยือหุ้มเซลล์ รูปแท่ งจะมี สารสี ม่วงแดง ชื่อ โรดอปซิน
                   ่
  (rhodopsin) ฝังตัวอยู่
• ซึ่งสารสี ม่วงแดงชื่อ โรดอปซิน (rhodopsin) นีประกอบด้ วย
                                                      ้
  1.โปรตีนออปซิน (opsin)
  2. สารเรตินอล(retinol)
กลไกการมองเห็น

• เมื่อมีแสง มากระตุ้นเซลล์รูปแท่ ง โมเลกุลของเรตินอลจะ
  เปลียนแปลงจะเกาะกับโมเลกุลของออปซินไม่ ได้
       ่
• เกิดกระแสประสาทเดินทางไปยังเส้ นประสาทสมองคู่ที่ 2 เพือ
                                                        ่
  ส่ งไปยังสมองให้ แปลงเป็ นภาพ
• เมื่อไม่ มีแสง ออปซินและเรตินอลจะรวมตัวกันเป็ นโรดอปซิน
  ไม่ ได้
การเปลียนแปลงโรดอปซินในเซลล์รูปแท่ ง
       ่
กลไกการมองเห็น
• เรตินอล เป็ นสารที่ร่างกายสั งเคราะห์ ขนจากวิตามิน A
                                         ึ้
• ถ้ าร่ างกายขาดวิตามิน A จะทาให้ เกิดโรคตาฟางในช่ วงเวลาที่มี
  แสงน้ อย เช่ น ตอนพลบคา  ่
กลไกการมองเห็น
      เซลล์ รูปกรวย แบ่ งตามความไวต่ อช่ วงความยาวคลืนของแสง
                                                     ่
ได้ 3 ชนิด คือ เซลล์ รูปกรวยที่ไวต่ อ
• แสงสี นาเงิน
            ้
• แสงสี แดง
• แสงสี เขียว
สี กบการมองเห็น
    ั
กลไกการมองเห็น
การที่สมองแยกสี ต่างๆได้ มากกว่ า 1 สี เพราะมี
• การกระตุ้นเซลล์ รูปกรวยแต่ ละชนิดพร้ อมๆกันด้ วยความเข็ม
  ของแสงสี ต่างๆกันจึงเกิดการผสมของแสงสี ต่างๆขึนเช่ น
                                                  ้
ขณะมองวัตถุสีม่วง
• เซลล์ รูปกรวยทีไวต่ อแสงสี แดงและสี นาเงินจะถูกกระตุ้น
                 ่                          ้
  พร้ อมๆกัน ทาให้ วตถุน้ันเป็ นสี ม่วงเป็ นต้ น
                    ั
การมองเห็นแสงสี ต่างๆ
กลไกการมองเห็น
• ถ้ าเซลล์รูปกรวยทีไวต่ อแสงสี ใดสี หนึ่งบกพร่ องจะทาให้ เกิดอาการตา
                      ่
  บอดสี (color blind)
          ดังนั้นอาการตาบอดสี (color blind)จึงเป็ นลักษณะที่เกียวข้ องกับ
                                                                 ่
  ความบกพร่ องในการแยกแยะความแตกต่ างของสี ทพบมากทีสุดคือ บอด
                                                     ่ี        ่
  สี แดงและสี ม่วง
• ไม่ จัดว่ าตาบอดสี เป็ นความผิดปกติร้ายแรง
• ส่ วนใหญ่ เกิดจากพันธุกรรม
• พบในเพศชายมากกว่ าเพศหญิง
หูและการได้ ยน
                                     ิ

หู (ear)เป็ นอวัยวะรับสั มผัสที่ทาหน้ าที่
• ได้ ยน
       ิ
• ทรงตัว
หูและการได้ ยน
                                         ิ
หูของคนแบ่ งออกเป็ น 3 ส่ วน คือ
• หูส่วนนอก
• หูส่วนกลาง
• หูส่วนใน
หูส่วนนอก (outer ear)ประกอบด้ วย

• ใบหู (ear pinna)
• รู หู (ear canal)
• เยือแก้ วหู (ear dram หรือ tympanic membrane)
     ่
หูส่วนกลาง(middle ear)
• มีลกษณะเป็ นโพรงติดต่ อกับโพรงจมูกและมีท่อติดต่ อกับคอหอย
         ั
   เรียกว่ า ท่ อยูสเตเชียน (eustachian tube
• หูส่วนกลางประกอบด้ วย
  1. กระดูกค้อน (malleus)
  2. กระดูกทัง (incus)
                 ่
   3. กระดูกโกลน (stapes)
** คลืนเสี ยงทีผ่านเข้ าถึงหูส่วนในจะขยายเพิมจากหูส่วนนอก
       ่           ่                         ่
ประมาณ 22 เท่ า
หูส่วนใน(inner ear)ประกอบด้ วย

• โครงสร้ างที่ใช้ ฟังเสี ยง เรียกว่ า คอเคลีย (cochlea)
• โครงสร้ างที่ใช้ ในการทรงตัวเรียกว่ า เซมิเซอร์ ควลาร์ แคเนล
                                                      ิ
  (semicircular canal)
หูส่วนใน(inner ear)
โครงสร้ างทีใช้ ฟังเสี ยง
              ่
• อยู่ทางด้ านหน้ าของหูส่วนใน เป็ นท่ อทีม้วนตัวลักษณะคล้ายก้นหอย
                                          ่
   เรียกว่ า คอเคลีย (cochlea)
โครงสร้ างภายในหูคน
หูส่วนใน(inner ear)

คอเคลีย (cochlea)
• ภายในของคอเคลียมีของเหลวบรรจุอยู่
• เมื่อคลืนเสี ยงผ่ านเข้ ามาถึงคอเคลียจะทาให้ ของเหลวนั้นสั่ นสะเทือน
           ่
• เปลียนสั ญญาณเสี ยงเป็ นกระแสประสาท
        ่
• กระตุ้นเซลล์รับเสี ยงให้ ส่งกระแสประสาทไปยังเส้ นประสาทรับเสี ยง
  (auditory nerve)
• เพือเข้ าไปทีเ่ ซรีบรัมซึ่งเป็ นศูนย์ ควบคุมการได้ ยนเพือจะแปลผลต่ อไป
      ่                                               ิ ่
หูส่วนใน(inner ear)
โครงสร้ างทีใช้ ในการทรงตัว
            ่
• อยู่ทางด้ านหลังของหูส่วนในทาหน้ าทีรับรู้เกียวกับการเอียงและการ
                                      ่        ่
   หมุนของศรีษะตลอดจนการทรงตัวของร่ างกาย
• ลักษณะเป็ นหลอดครึ่งวงกลม 3 หลอด ตั้งฉากกันเรียกว่ า เซมิเซอร์ ควิ
   ลาร์ แคเนล (semicircularcanal)
หูส่วนใน(inner ear)
• เซมิเซอร์ ควลาร์ แคเนล (semicircularcanal)
              ิ
• ภายในจะมีของเหลวบรรจุอยู่
• ทีโคนหลอดมีส่วนโป่ งพองออกมาเรียก แอมพูลลา (ampulla)มีเซลล์รับ
    ่
  ความรู้สึกทีมขน (hair cell)ที่ไวต่ อการไหลของของเหลวภายในหลอด
                ่ ี
  เมื่อมีการเปลียนแปลงตาแหน่ งของศรีษะขณะร่ างกายเคลือนไหว
                  ่                                      ่
• กระตุ้นเซลล์ที่รับรู้เกียวกับการทรงตัวให้ ส่งกระแสประสาทไปรวมกับ
                          ่
  เส้ นประสาทรับเสี ยงเข้ าสู่ สมอง
จมูกกับการดูดกลิน
                 ่
• คนเรารับกลินได้ เพราะภายในโพรงจมูกด้ านบนมีเยือบุจมูก
               ่                                       ่
  (olfactory)ซึ่งมีเซลล์ รับกลินรวมกันอยู่เรียกว่ า ออลแฟกทอรี
                               ่
  บัลบ์ (olfactory bulb)
จมูกกับการดูดกลิน
                ่
• เซลล์ ประสาทรับกลิน (olfactory neuron)สามารถทีจะ
                         ่                           ่
• เปลียนสารที่ทาให้ เกิดกลินเป็ นกระแสประสาท
       ่                     ่
• แล้ วส่ งต่ อไปตาม เส้ นประสาทรับกลิน (olfactory nerve)ไปยัง
                                      ่
  สมองส่ วนซีรีบรัมเพือแปลเป็ นกลินออกมา
                           ่       ่
โครงสร้ างภายในของจมูก
ลินกับการรับรส
    ้
• ด้ านบนของผิวลินจะมีปุ๋มเล็กๆจานวนมาก ปุ๋ มเหล่านีคอ ปุ๋ มลิน
                     ้                                  ้ ื    ้
  (papilla)ซึ่งประกอบด้ วยตุ่มรับรส (taste bud)หลายตุ่ มทาหน้ าทีรับรส
                                                                 ่
• แต่ ละตุ่มรับรสจะมีเซลล์รับรส (gustatory cell)ซึ่งต่ อกับใยประสาท
• เมื่อตุ่มรับรสได้ รับการกระตุ้นจะเกิดกระแสประสาทส่ งไปตาม
  เส้ นประสาทสมองคู่ที่ 7 และ 9
• ไปยังสมองส่ วนซีรีบรัมบริเวณศูนย์ รับรสเพือแปลออกมาว่ าเป็ นรสอะไร
                                             ่
ลินกับการรับรส
    ้
ตุ้มรับรส มี 4 ชนิด กระจายอยู่บนลิน ได้ แก่
                                     ้
• ตุ่มรับรสหวาน อยู่ทปลายลิน
                           ี่      ้
• ตุ่มรับรสขม อยู่ทโคนลิน
                     ่ี         ้
• ตุ่มรับรสเปรี้ยว อยู่ทข้างลิน
                              ี่ ้
• ตุ้มรับรสเค็ม อยู่ทปลายและข้ างลิน
                        ี่             ้
ลินกับการรับรส
  ้
        การรับรู้ รสอาหาร เกิดจาก การทางานของอวัยวะหลาย
ส่ วนเข้ ามาเกียวข้ อง เช่ น ถ้ าดืมนามะนาวเย็นๆ
               ่                   ่ ้
• จะได้ รสเปริ้ยวจากกลิน    ่
• ได้ กลินมะนาวจากจมูก
          ่
• รู้ สึกเย็นจากลินทีสัมผัสกับนามะนาว
                   ้ ่               ้
ผิวหนังกับการรับความรู้ สึก
• นอกจากผิวหนังเป็ นอวัยวะทีห่อหุ้มร่ างกายแล้ วยังจัดเป็ น
                              ่
  อวัยวะรับความรู้ สึกทีมีพนทีผวรับความรู้ สึกมากกว่ าอวัยวะอืน
                        ่ ื้ ่ ิ                              ่
ผิวหนัง(skin)
• มีหน่ วยรับความรู้ สึกซึ่งไวต่ อการกระตุ้นเฉพาะอย่ างเช่ น
 1. หน่ วยรับความดัน มีลกษณะคล้ ายหัวหอมผ่ าซีก
                            ั
   1.1 มีเดนไดรต์ อยู่ตรงกลาง
   1.2 มีเนือเยือเกียวพันหุ้มปลายประสาทอยู่รอบๆ
            ้ ่ ่
   1.3 ฝังลึกอยู่ในผิวหนังบริเวณหนังแท้ (dermis)
ผิวหนัง(skin)
2. หน่ วยรับความรู้ สึกเจ็บปวด มีลกษณะปลายแตกเป็ นฝอย ปลาย
                                    ั
   เดนไดรต์ แทรกอยู่ในชั้นหนังกาพร้ า (epidermis)
3. หน่ วยรับสั มผัส บางหน่ วยอยู่เป็ นอิสระ บางหน่ วยพันอยู่รอบ
   โคนขน เมื่อลูบเส้ นขนเบาๆก็จะรับรู้ การสั มผัสได้ เช่ นกัน
4. หน่ วยรับความรู้ ลกหน่ วยรับความรู้ สึกร้ อนเย็นอยู่ในชั้นหนังแท้
                     ึ
ปลายประสาททีทาหนาทีรับความรู้สึกต่ างๆบริเวณผิวหนัง
            ่      ่
ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก

ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก

  • 1.
    เรื่อง ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้ สึก เนือหา ้ 1. การรับรู้ และการตอบสนอง 2. เซลล์ ประสาท 3. การทางานของเซลล์ ประสาท 4. ศูนย์ ควบคุมระบบประสาท 5. การทางานของระบบ ประสาท 6. อวัยวะรับความรู้ สึก
  • 2.
    การรับรู้ และการตอบสนอง สิ่ งเร้ า หน่ วยรับความรู้ สึก เซลล์ ประสาทรับความรู้ สึก หน่ วยแปลความรู้ สึก การตอบสนอง หน่ วยปฏิบติการ ั เซลล์ ประสาทสั่ งการ การรับรู้ การเปลียนแปลงต่ อสภาพแวดล้ อมของสิ่ งมีชีวิต ่
  • 3.
    การตอบสนองของสิ่ งมีชีวตเซลล์ เดียว ิ เช่ น พารามีเซียม ไม่ มีระบบประสาททีแท้ จริง มี ่ เส้ นใยประสานงาน (co-ordinating fiber) ซึ่งอยู่ใต้ ผิวเซลล์ เชื่อมโยงระหว่ างโคนซิเลียแต่ ละเส้ นทาให้ เกิดการประสานงานกัน การโบกพัดของซีเลียทีอยู่ ่ รอบๆตัว ถ้ าหากตัดเส้ นใยนีพบว่ า พารามีเซียมไม่ ้ สามารถควบคุมการโบกพัดของซีเลียได้
  • 4.
    การตอบสนองของสั ตว์ ไม่มกระดูกสั นหลัง ี ฟองนา เซลล์ แต่ ละเซลล์ของฟองนาจะมีการรับรู้และการตอบสนอง ้ ้ แต่ ไม่ มีการประสานงานระหว่ างเซลล์ ไฮดรา ยังไม่ มีปมประสาท แต่ จะมีเส้ นใยประสาททีเ่ รียกว่ า ร่ างแหประสาท ( nerve net ) มีลกษณะการเชื่อมโยงกันเป็ นร่ างแห ั กระจายอยู่รอบตัว เมื่อกระตุ้นจะทาให้ ทุกส่ วนของร่ างกายหดตัว แต่ การเคลือนทีของกระแสประสาทช้ ากว่ าสั ตว์ ช้ันสู งมาก และการ ่ ่ เคลือนทีของกระแสประสาทนั้นไม่ มีทิศทางที่แน่ นอน ่ ่
  • 5.
    การตอบสนองของสั ตว์ ไม่มกระดูกสั นหลัง ี พลานาเรีย - มีเซลล์ ประสาทรวมตัวเป็ นกลุ่มโดยเฉพาะ บริเวณหัว เรียกกลุ่มของเซลล์ ประสาทเหล่ านั้นว่ า ปมประสาท (nerve ganglion)หรือเรียกว่ า สมอง (brain) - มีเส้ นประสาท (nerve cord)ขนานไปตาม ด้ านข้ างของลาตัวจากหัวจรดท้ ายลักษณะแบบ ขั้นบันได (ladder type)เส้ นประสาทดังกล่าว เชื่อมโยงติดกันเส้ นประสาททีวนรอบลาตัวเรียกว่ า ่ วงแหวนประสาท (nerve ring)
  • 6.
    การตอบสนองของสั ตว์ ไม่มกระดูกสั นหลัง ี - ไส้ เดือนดิน กุ้ง หอย จะมีปมประสาทที่พฒนากว่ าของพลานาเรีย ั ทาหน้ าทีเ่ ป็ นสมองอยู่ทส่วนหัว มีเส้ นประสาททีเ่ ชื่อมต่ อปม ี่ ประสาททีมีอยู่ตามปล้ อง ่ - แมลง มีปมประสาทหลายปมทีอยู่เป็ นช่ วงๆบริเวณหน้ าท้ องของ ่ แมลงและมีเส้ นประสาทย่ อยทีต่อไปยังอวัยวะต่ างๆเพือเพิมการรับรู้ ่ ่ ่ และตอบสนองที่พฒนาดีขนสาหรับแมลง ั ึ้
  • 7.
    การตอบสนองของคนและสั ตว์ มกระดูกสันหลัง ี ในคนและสั ตว์ มีกระดูกสั นหลังมีระบบประสาทพัฒนามาก - เซลล์ ประสาทส่ วนใหญ่ รวมกันอยู่ทส่วนหัว เจริญพัฒนาไปเป็ น ี่ สมอง ( brain ) - และมีไขสั นหลัง ( spinal cord ) ทอดยาวด้ านหลังของลาตัว - ทั้งสมองและไขสั นหลังทาหน้ าทีเ่ ป็ นศูนย์ กลางของระบบ ประสาท โดยมีเส้ นประสาทแยกออกมาจากสมองและไขสั นหลัง
  • 8.
  • 9.
    สมองของสั ตว์ มกระดูกสันหลังขณะเอ็มบริโอ ( embryo ) ี มีลกษณะ ั เป็ นหลอดกลวงเรียกว่ า นิวรัลทิวบ์ ( neueal tube ) แบ่ งเป็ น 3 ส่ วน คือ - สมองส่ วนหน้ า - สมองส่ วนกลาง - สมองส่ วนหลัง และส่ วนที่ต่อท้ ายคือไขสั นหลัง ในสภาวะปกติท่ เซลล์ ประสาทไม่ ถูกกระตุ้น เซลล์ จะอยู่ในระยะพัก ี
  • 10.
  • 11.
  • 12.
    ระบบประสาทมีเนือเยือประสาท ้ ่ ประกอบด้ วยเซลล์ 2 ชนิด คือ • เซลล์ ประสาท • เซลล์ คาจุน ้
  • 13.
    เซลล์ ประสาท - เซลล์ประสาท ( nerve cell ) หรือนิวรอน ( neuron ) ซึ่งมีเป็ น จานวนมากในร่ างกาย - แต่ ละเซลล์จะเชื่อมโยงต่ อกับเซลล์ ประสาทอืนเป็ นพันๆเซลล์ ่ - ทาหน้ าทีเ่ กียวกับการรับรู้และการตอบสนอง ่ การทางานของเซลล์ ประสาท Na+ ที่อยู่ภายในเซลล์ จะถูกลาเลียงออกโดยอาศัยพลังงานจาก
  • 14.
    เซลล์ ประสาท ประกอบด้วย • ตัวเซลล์ ( cell body ) • ใยประสาท ( nerve fiber )
  • 15.
    ตัวเซลล์ (cell body) มีเส้นผ่ านศูนย์ กลางประมาณ 4-25 ไมโครเมตร ภายในมี • ไซโทพลาซึม ( cytoplasm ) • นิวเคลียส ( nucleus ) ขนาดใหญ่ • ไมโทคอนเดรีย ( mitochondria ) • เอนโดพลาสมิกเรติคูลม ( endoplasmic reticolum ) ั • กอลจิคอมเพล็กซ์ ( golgi complex )
  • 16.
    ใยประสาท (nerve fiber) เป็นส่ วนที่ยนออกมาจากตัวเซลล์ มีลกษณะเป็ นแขนงเล็กๆ ื่ ั มี 2 ชนิด คือ - เดนไดรต์ ( dendrite ) - แอกซอน ( axon )
  • 17.
    เดนไดรต์ ( dendrite) - เป็ นใยประสาททีนากระแสประสาทเข้ าสู่ ตวเซลล์ ่ ั - มีจานวนตั้งแต่ 1 ใยขึนไป ้ - มักมีขนาดสั้ น
  • 18.
    แอกซอน (axon) - เป็ นใยประสาทที่นากระแสประสาทออกจากตัวเซลล์ - มีจานวนเพียง 1 ใย - มักมีขนาดยาว - อาจมีเยือไมอีลนหุ้ม ่ ิ
  • 19.
    ภาพถ่ ายกล้องจุลทรรศน์ ภาพวาด โครงสร้ างเซลล์ ประสาท
  • 20.
    เยือไมอีลน ( myelinsheath ) ่ ิ - เป็ นสารจาพวกลิพด ( lipid ) ิ - เป็ นส่ วนหนึ่งของเซลล์ ชวัน ( schwann cell ) - รอยต่ อของเซลล์ ชวันแต่ ละเซลล์จะไม่ มีเยือไมอีลนหุ้ม เรียก ่ ิ บริเวณนั้นว่ า โนดออฟแรนเวียร์ ( node of ranvier )
  • 21.
    เซลล์ ประสาทแบ่ งตามหน้าทีได้ 3 ชนิด คือ ่ 1. เซลล์ประสาทรับความรู้สึก 2. เซลล์ประสาทสั่ งการ 3. เซลล์ประสาทประสานงาน
  • 22.
    เซลล์ ประสาทรับความรู้ สึก( sensory neuron ) - รับกระแสประสาทจากหน่ วยรับความรู้สึกส่ งไปยัง เซลล์ประสาทสั่ งการในไขสันหลัง - ตัวเซลล์อยู่ทปมประสาทรากบนของไขสั นหลัง ี่
  • 23.
    เซลล์ ประสาทสั่ งการ(motorneuron) - นากระแสประสาทออกจาก ไขสั นหลังหรือสมองไปยังหน่ วย ปฏิบัติงาน เช่ น กล้ามเนือ ้
  • 24.
    เซลล์ ประสาทประสานงาน (association neuron ) - ทาหน้ าที่เชื่อมต่ อระหว่ างเซลล์ ประสาทรับความรู้ สึกและ เซลล์ประสาทสั่ งการ - อยู่ภายในสมองและไขสั นหลัง
  • 25.
    เซลล์ ประสาทแบ่ งตามรูปร่ างโครงสร้ างได้ 3 ประเภทคือ 1. เซลล์ประสาทขั้วเดียว 2. เซลล์ประสาทสองขั้ว 3. เซลล์ประสาทหลายขั้ว
  • 26.
    เซลล์ ประสาทขั้วเดียว (unipolar neuron ) - มีใยประสาทแยกออกมาจากตัวเซลล์ เพียงเส้ นเดียว - แยกออกเป็ นแอกซอนและเดนไดรต์ - ทาหน้ าทีเ่ ป็ นเซลล์ ประสาทรับความรู้ สึก จากผิวหนัง
  • 27.
    เซลล์ ประสาทสองขั้ว (bipolar neuron ) - มีใยประสาทออกจากตัวเซลล์สองเส้ น - เป็ นเซลล์ ประสาทรับความรู้ สึก - เช่ น เซลล์ประสาททีเ่ รตินาของตา, เซลล์ ประสาทรับกลินของจมูก, ่ เซลล์ ประสาทรับเสี ยงของหู เป็ นต้ น
  • 28.
    เซลล์ ประสาทหลายขั้ว (multipolar neuron ) - มีใยประสาทออกจากตัวเซลล์ มากมาย - เป็ นเซลล์ประสานงานและเซลล์ ประสาทสั่ งการ
  • 29.
    เซลล์ คาจุน ้ เป็ นเซลล์ ทแทรกอยู่ระหว่ างเซลล์ ประสาทเพือไม่ ให้ มีช่องว่ าง ี่ ่ เกิดขึนทาหน้ าที่ ้ - คาจุน ้ - ให้ อาหาร - สนับสนุนการทาหน้ าทีของเซลล์ ประสาท ่ - คล้ ายกับเนือเยือเกียวพัน ้ ่ ่ - ตัวอย่ างเช่ น เซลล์ ชวัน ( scheann cell ) ทีสร้ างเยือไมอีลน ่ ่ ี
  • 30.
    เซลล์ ประสาทจะอยู่แบบสานต่ อเป็น เครือข่ ายปลายแอกซอนของเซลล์ ประสาทหนึ่งจะไปอยู่ชิดกับ - เดนไดรต์ ของเซลล์ ประสาทอืน ่ - เซลล์กล้ ามเนือ้ - หน่ วยปฏิบัตงาน ิ - เพือถ่ ายทอดกระแสประสาทบริเวณทีอยู่ชิดกันเรียกว่ า ่ ่ ไซแนปส์ ( symapse )
  • 31.
    ไซแนปส์ ระหว่ างเซลล์ประสาทรับความรู้สึกเซลล์ประสาทประสานงาน และเซลล์ประสาทสั่ งการ
  • 32.
    การทางานของเซลล์ ประสาท การเกิดกระแสประสาท - เมือมีสิ่งเร้าต่ างๆ เช่ น เสี ยง ่ ,ภาพ,ความร้ อน สารเคมีมา กระตุ้นหน่ วยรับความรู้ สึก - จะถูกเปลียนให้ เป็ นกระแส ่ ประสาท
  • 33.
    จากการวิจัยของนักสรีรวิทยาของ ฮอดจ์ กน (A.L .Hodgkin) และฮักซ์ สีย์ (A.F. Huxley) ิ ทาให้ ทราบว่ ากระแสประสาทเกิดขึนได้ อย่ างไรโดยการนา ้ - ไมโครอิเล็กโทรด (microelectrode)ซึ่งมีลกษณะเป็ นหลอดแก้ว ั ที่ดงให้ ยาวตรงปลายเรียวเป็ นท่ อขนาดเล็ก ึ - มาต่ อกับมาตรวัดความต่ างศักย์ ไฟฟ้ า (cathode ray oscilloscope) - จากนั้นเสี ยบปลายข้ างหนึ่งของไมโครอิเล็กโทรดเข้ าไปในแอก ซอนของหมึก - ส่ วนอีกปลายหนึ่งแตะที่ผวนอกของแอกซอนของหมึก ิ
  • 34.
  • 35.
    จากการทดลองพบว่ า - ความต่างศักย์ ไฟฟาระหว่ างภายในและภายนอกประสาทของ ้ หมึกวัดได้ – 70 มิลลิโวลต์ ซึ่งเป็ นศักย์ เยือเซลล์ ระยะพัก ่ (resting membrane potential) - เยือหุ้มเซลล์มีโปรตีนทาหน้ าทีควบคุมการเข้ าออกของ ่ ่ ไอออนเช่ น Na+ เรียกว่ า ช่ องโซเดียม K+ เรียกว่ า ช่ องโพแทสเซียม
  • 36.
    ขณะทีเ่ ซลล์ ประสาทยังไม่ถูกกระตุ้นซึ่งเป็ นระยะพักพบว่ า - สารละลายภายนอกเซลล์มี Na+ สู งกว่ าสารละลายภายในเซลล์ - สารละลายภายในเซลล์มี K+สู งกว่ าสารละลายภายนอกเซลล์ - ทีเ่ ป็ นเช่ นนีอยู่ตลอดเวลาเพราะได้ รับพลังงานจาก ATP ซึ่ง ้ พลังงานจาก ATP จะไปดัน Na+ ออกไปนอกเซลล์ทางช่ อง โซเดียมและดึง K+ เข้ าไปในเซลล์ ทางช่ องโพแทสเซียมใน อัตราส่ วน 3 Na+ : 2 K+ เรียกกระบวนการนีว่า โซเดียม ้ โพแทสเซียมปั๊ม (sodium potassium pump)
  • 37.
    ขณะทีเ่ ซลล์ ถูกกระตุ้นซึ่งเป็นระยะที่ เรียกว่ า ดีโพลาไรเซชัน (depolarization) - ทาให้ เกิดการเปลียนแปลงของศักย์ เยือเซลล์ ่ ่ - ช่ องโซเดียมเปิ ด แต่ ช่องโพแทสเซียมปิ ด - Na+ เข้ าข้ างในเซลล์ มากขึนข้ างในมีความเป็ นบวกมากขึน (ความ ้ ้ ต่ างศักย์ ทเี่ ยือหุ้มเซลล์ จะเปลียนแปลงจาก – 70 มิลลิโวลต์ ่ ่ เป็ น + 50 มิลลิโวลต์ )
  • 38.
    หลังจากการกระตุ้นผ่ านไปเซลล์ กลับมาอยู่ในสภาวะเดิม ระยะนีเ้ รียกว่ า รีโพลาไรเซชัน (repolarization) - ช่ องโซเดียมจะปิ ด ขณะทีโพแทสเซียมจะเปิ ด ่ - ความต่ างศักย์ จะเปลียนกลับจาก + 50 มิลลิโวลต์ เป็ น ่ – 70 มิลลิโวลต์ - กลับสู่ สภาพเดิม
  • 39.
  • 40.
    การเปลียนแปลงดังกล่าวเรียกว่ า แอกชันโพเทนเชียล ่ ( action potential ) หรือการเกิดกระแสประสาท ( nerve impluse ) - เกิดขึนตรงบริเวณทีถูกกระตุ้น ้ ่ - ชักนาให้ บริเวณถัดไปเกิดการเปลียนแปลง ่ - บริเวณทีถูกกระตุ้นครั้งแรกกลับสู่ สภาพเดิม ่ - เป็ นเช่ นนีไปเรื่อยๆ ้ - มีผลให้ กระแสประสาทเคลือนไปตามความยาวของใยประสาทแบบจุด ่ ต่ อจุดต่ อเนื่องกันของแอกซอนทีไม่ มีเยือไมอีลนหุ้ม ่ ่ ี - นักวิทยาศาสตร์ พบว่ า การเกิดแอกชันโพเทนเชียลต้ องอาศัยระยะเวลา หนึ่ง ดังนั้น ถ้ ากระตุ้นเซลล์ประสาทในขณะทียงเกิดแอกชันโพเทนเชียล ่ั อยู่เซลล์ประสาทจะไม่ ตอบสนองกระแสประสาทจึงไม่ เกิดขึนใหม่ ้
  • 42.
    เยือไมอีลน (myelin sheath)จะทาหน้ าที่ ่ ี - เป็ นฉนวนกั้นประจุไฟฟาทีผ่านเยือหุ้มเซลล์ ดังนั้นแอกซอนตรง ้ ่ ่ บริเวณทีมีเยือไมอีลนหุ้มจะไม่ มแอกชันโพเทนเชียลเกิดขึน ่ ่ ี ี ้ - แต่ แอกชันโพเทนเชียลจะเคลือนทีจากโนดออฟแรนเวียร์ หนึ่งไป ่ ่ ยังโนดออฟแรนเวียร์ ทอยู่ถดไปตลอดความยาวของใยประสาท ี่ ั - ดังนั้นการเคลือนทีของกระแสประสาทในใยประสาทที่มีเยือไมอี ่ ่ ่ ลีนหุ้มจึงผ่ านแบบกระโดดเป็ นช่ วงๆตามระยะของโนดออฟแรน เวียร์ - ใช้ เวลาน้ องกว่ าการเคลือนทีของกระแสประสาทในใยประสาทที่ ่ ่ ไม่ มีเยือไมอีลนหุ้ม ่ ี
  • 43.
  • 44.
    ความเร็วของกระแสประสาทในแอกซอนที่ไม่ มีเยื่อไมอีลนหุ้มขึนอยู่กบ ี ้ ั - ขนาดของเส้ นผ่ านศูนย์ กลางของใยประสาท - ถ้ ามีขนาดใหญ่ จะนากระแสประสาทได้ เร็วกว่ าขนาดเล็ก ( เพราะความต้ านทานการเคลือนทีของไอออนจะผกผันกับ ่ ่ พืนที่ภาคตัดขวางของใยประสาท ) ้
  • 45.
    แอกซอนทีมเี ยือไมอีลนหุ้ม ถ้ามี ่ ่ ี - ขนาดใหญ่ และระยะห่ างระหว่ างโนดออฟแรนเวียร์ มากกว่ าจะมี การเคลือนทีของกระแสประสาทได้ เร็วกว่ า ่ ่
  • 46.
  • 47.
    การถ่ ายทอดกระแสประสาทระหว่างเซลล์ ประสาท นักวิทยาศาสตร์ ชื่อ ออทโต ลอวิ ( otto Loewi ) ทดลอง - นาหัวใจของกบที่ ยังมีชีวตอยู่มาผ่ าตัดเอาสมองทียงมี ิ ่ั เส้ นประสาทคู่ที่ 10 ติดอยู่มาใส่ ไว้ ในจานเพาะเชื้อจานที่ 1 ทีมี ่ นาเกลือแล้ วใช้ กระแสไฟฟากระตุ้นเส้ นประสาทนั้น พบว่ า หัวใจ ้ ้ กบเต้ นช้ าลงต่ อมาดูดสารละลายจากจานที่ 1 ใส่ ในจานที่ 2 ทีมี ่ หัวใจกบเหมือนกัน แต่ ไม่ มีเส้ นประสาทสมองคู่ที่ 10 พบว่ า หัวใจกบในจานที่ 2 มีอตราการเต้ นของหัวใจช้ าลงเช่ นกัน ั
  • 48.
    จากการทดลองนีแสดงให้ เห็นว่ า ้ การกระตุ้นเส้ นประสาทสมองคู่ที่ 10 - จะทาให้ มีการปล่ อยสารบางชนิดออกมายับยั้งการทางานของ กล้ ามเนือหัวใจ ้ เช่ นเดียวกัน - การกระตุ้นใยประสาทที่ไปเลียงกล้ ามเนือนั้น ้ ้ - โดยมีการหลังสารจากปลายประสาทกระตุ้นให้ กล้ ามเนือหดตัว ่ ้ - สารหลังจากปลายประสาท เรียกว่ า สารสื่ อประสาท ่ (neurotransmitter)
  • 49.
    มีการค้ นพบว่ า -บริเวณปลายแอกซอนมีสารสื่ อประสาทสู งมากซึ่งสารสื่ อ ประสาทนีทาหน้ าที่เป็ นตัวกลางถ่ ายทอดกระแสประสาทจาก ้ เซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์ หนึ่ง
  • 50.
    ปัจจุบนพบว่ าสารสื่ อประสาทมีหลายชนิดเช่ น ั - แอซิติลโคลีน ( acetylcholine ) - เอพิเนฟริน ( eoinephrine) - นอร์ เอพิเนฟริน ( norepinephrine ) - เอนดอร์ ฟีน ( endorphine )
  • 51.
    จากการทดลองของออทโต ลอวิ สารทีหลังออกมาจาก ่ ่ เส้ นประสารทสมองคู่ที่ 10 (หลังจากถูกกระตุ้นด้ วย กระแสไฟฟา) คือ แอซิตลโคลีน (acetylcholine) ้ ิ
  • 52.
    จากการศึกษาพบว่ า - บริเวณทีปลายแอกซอนของเซลล์ประสาทหนึ่งมาอยู่ชิดกับเดนไดรต์ ่ ของอีกเซลล์ประสาทหนึ่งเรียกว่ า ไซแนปส์ (synapse) - เป็ นช่ องกว้ างขนาด 0.5 ไมโครเมตร - ทาให้ กระแสประสาทข้ ามผ่ านไปได้
  • 53.
    ทีปลายของแอกซอนจะมี ่ -ถุงขนาดเล็กบรรจุสารสื่ อประสาท - ไมโทคอนเดรียสะสมอยู่มาก
  • 54.
    เมื่อกระแสประสาทเคลือนที่มาถึงปลายแอกซอนก่ อนไซแนปส์ ่ - ถุงบรรจุสารสื่ อประสาทจะเคลือนทีไปยังเยือหุ้มเซลล์บริเวณไซแนปส์ ่ ่ ่ - แล้วปล่อยสารสื่ อประสาทออกไปเป็ นการนากระแสประสาทไปพร้ อมๆ กัน - เมื่อสารสื่ อประสาทผ่ านช่ องไซแนปส์ มาแล้วจะไปจับกับโปรตีนตัวรับที่ เยือหุ้มเซลล์ของเดนไดรต์ (หลังไซแนปส์ ) ่ - ทาให้ เกิดการเคลือนทีของไอออนผ่ านเยือหุ้มเซลล์มีการเปลียนแปลง ่ ่ ่ ่ ความต่ างศักย์ - ทาให้ เกิดการหลังกระแสประสาทต่ อไป ่
  • 55.
  • 56.
    สารทีเ่ หลืออยู่ทช่องไซแนปส์ ี่ - จะถูกสลายอย่ างรวดเร็วโดยเอนไซม์ - เพือให้ เซลล์ประสาททางานได้ อก ่ ี
  • 57.
    สารทีได้ จากการสลาย ่ - บางส่ วนอาจจะถูกนากลับไปสร้ างสารสื่ อประสาทใหม่ - บางส่ วนถูกกาจัดออกทางระบบเลือด ดังนั้น เดนไดรต์ จะถูกกระตุ้นในช่ วงเวลาสั้ นๆเฉพาะเวลาทีแอกซอน ่ ปล่อยสารสื่ อประสาทเท่ านั้น
  • 58.
    ปัจจุบนบันพบว่ ามีสารเคมีและยาหลายชนิดทีมผลต่ อการ ั ่ ี ถ่ ายทอดกระแสประสาทที่ไซแนปส์ เช่ น 1. สารที่มาจากแบคทีเรียบางชนิด จะไป - ยับยั้งการปล่อยสารสื่ อประสาท - กระแสประสาทถ่ ายทอดไม่ ได้ - จึงเกิดอัมพาตขึน ้ 2. ยาระงับประสาท ทาให้ - สารสื่ อประสาทออกมาได้ น้อย - กระแสประสาทสั่ งไปยังสมองน้ อยลง - จึงเกิดอาการสงบไม่ วตกกังวล ิ
  • 59.
    ปัจจุบนบันพบว่ ามีสารเคมีและยาหลายชนิดทีมผลต่ อการ ั ่ ี ถ่ ายทอดกระแสประสาทที่ไซแนปส์ เช่ น 3. สารจาพวก แอมเฟตามีน,นิโคติน,คาแฟอิน - กระตุ้นให้ มีการปล่ อยสารสื่ อประสาทออกมามาก - ทาให้ รู้ สึกตืนตัว หัวใจเต้ นเร็วนอนไม่ หลับ ่ 4. ยาฆ่ าแมลงบางชนิด - ไปทาลายหรือยับยั้งเอนไซม์ ทจะมาสลายสารสื่ อประสาท ี่
  • 60.
    โครงสร้ างของระบบประสาท ถ้ าพิจารณาตามตาแหน่ งและโครงสร้ างจะแบ่ งระบบประสาท ได้ 2 ระบบ คือ 1. ระบบประสาทส่ วนกลาง (central nervous system หรือ CNS ได้ แก่ สมองและไขสั นหลัง 2. ระบบประสาทรอบนอก (peripheral nervous system หรือ PNS)
  • 61.
    ระบบประสาทส่ วนกลาง (centralnervous system หรือ CNS) ทั้งสมองและไขสั นหลังมีเยือหุ้ม 3 ชั้น ่ - ชั้นนอกสุ ด มีลกษณะหนาเหนียวและแข็งแรงปองกันการ ั ้ กระทบกระเทือนของเนือสมองและไขสั นหลัง ้ - ชั้นกลาง มีลกษณะเป็ นเยือบางๆอยู่ระหว่ างชั้นนอกและชั้นใน ั ่ - ชั้นใน เป็ นชั้นทีแนบไปตามรอยโค้ งเว้ าของสมองและไขสั น ่ หลังมีเส้ นเลือดหล่อเลียงมากนาอาหารและออกซิเจนมาให้ เนือ ้ ้ สมองกับไขสั นหลัง
  • 62.
    ระหว่ างเยือหุ้มสมองชั้นกลางกับชั้นใน ่ - เป็ นช่ องว่ างตามยาวติดต่ อกับช่ องภายในไขสั นหลังและโพรง ในสมอง - เป็ นทีอยู่ของนาเลียงสมองและไขสั นหลัง (cerebrospinal fluid) ่ ้ ้
  • 63.
    สมอง ไขสั นหลังและเยือหุ้มสมอง ่
  • 64.
  • 65.
    สมอง (brain)ของคน - มีนาหนัก1.4 กิโลกรัม หรือ 3 ปอนด์ ้ - บรรจุอยู่ภายในกะโหลกศีรษะซึ่งป้ องกัน สมองไม่ ให้ กระทบกระเทือน - ประกอบด้ วยเซลล์ประสาทมากกว่ าร้ อยละ 90 ของเซลล์ประสาททั้งหมด (ส่ วนใหญ่ เป็ น เซลล์ประสาทประสานงาน)
  • 66.
    โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) -เป็ นโรคทีเ่ กียวกับความเสื่ อมของเซลล์ ประสาทในสมองผู้ป่วยที่ ่ เป็ นโรคนีเ้ นือสมองจะฝ่ อเล็กลงรอยหยักในสมองมีน้องลง นา ้ ้ เลียงสมองจะเพิมมากขึนมีอาการสู ญเสี ยความจาและความ ้ ่ ้ ฉลาด - สาเหตุการเกิดโรคยังไม่ ทราบแน่ ชัด แต่ ปัจจัยทีเ่ กียวข้ องมีหลาย ่ สาเหตุเช่ นความผิดปกติทางพันธุกรรมการสะสมสารพิษบาง ชนิด เช่ น อะลูมิเนียม เป็ นต้ น
  • 67.
    สมองประกอบด้ วย 2ส่ วน 1. ส่ วนนอกเป็ นสี เทา (grey matter) - มีตวเซลล์ ประสาท ั - และแอกซอนที่ไม่ มีเยือไมอีลน ่ ิ 2. ส่ วนใน เป็ นเนือสี ขาว (white matter) ้ - มีแอกซอนทีมีเยือไมอีลนซึ่งเป็ นสารพวกลิพด (lipid) ่ ่ ิ ิ เป็ นส่ วนประกอบ
  • 68.
    สมองของคน - มีพฒนาการสู งสุด ซับซ้ อนทีสุด ั ่ - มีอตราส่ วนระหว่ างนาหนักสมองต่ อนาหนักตัวมากกว่ าสั ตว์ อน ั ้ ้ ื่ - มีรอยหยักบนสมองมาก
  • 69.
  • 71.
    สมองคนเราแบ่ งเป็ น3 ส่ วน 1. สมองส่ วนหน้ า (forebrain) 2. สมองส่ วนกลาง (midbrain) 3. สมองส่ วนหลัง (hindbrain)
  • 72.
    สมองส่ วนหน้ า(forebrain) - ออลแฟกเทอรีบัลบ์ (olfactory bulb) - เซรีบรัม (cerebrum) - ไฮโพทาลามัส (hypothalamus) - ทาลามัส (thalamus)
  • 73.
    สมองส่ วนกลาง(midbrain) - พัฒนารูปเหลือเฉพาะ ออกติกโลบ (optic lobe)
  • 74.
    สมองส่ วนหลัง (hindbrain) -เซรีเบลลัม (cerebellum) - เมดัลลาออบลองกาตา (medulla oblongata) - พอน (pons)
  • 75.
    ออลแฟกทอรีบัลบ์ (olfactory bulb) เกียวข้องกับการดมกลิน ่ ่ - ในปลา สมองส่ วนนีจะมีขนาดใหญ่ ้ - ในคน สมองส่ วนนีไม่ ค่อยเจริญ ้
  • 76.
    เซรีบรัม (cerebrum) เกียวกับความคิด ความจาเชาวน์ ปัญญา ่ - การรับสั มผัส - การพูด การรับรู้ ภาษา - การมองเห็น - การรับรส - การได้ ยน ิ - การดมกลิน ่ - การทางานของกล้ ามเนือ ้
  • 77.
    ไฮโพทาลามัส (hypothalamus) เป็ นศูนย์ควบคุม - อุณหภูมของร่ างกาย ิ - การนอนหลับ - การเต้ นของหัวใจ - ความดันเลือด - ความต้ องการพืนฐานของร่ างกายเช่ น นา อาหาร การพักผ่ อน อารมณ์ ้ ้ ความรู้สึกต่ างๆ - ทาหน้ าทีสร้ างฮอร์ โมนประสาทมาควบคุมการหลังฮอร์ โมนของต่ อมใต้ ่ ่ สมองส่ วนหน้ า
  • 78.
    ทาลามัส (thalamus) - เป็นศูนย์ รวมกระแสประสาททีผ่านเข้ ามาแล้ วแยกกระแสประสาท ่ ส่ งไปยังสมองส่ วนหน้ าที่เกียวข้ องกับกระแสประสาทนั้นๆ ่
  • 79.
    ออกติกโลบ (optic lobe) -ควบคุมการเคลือนไหวของนัยน์ ตาหัวและลาตัว เพือตอบสนอง ่ ่ ต่ อแสงและเสี ยง - ช่ วยควบคุมการเคลือนไหวของร่ างกาย ่
  • 80.
    เซรีเบลลัม (cerebellum) - ควบคุมการทรงตัวของร่างกาย - ควบคุมการประสานการเคลือนไหวของร่ างกายให้ เป็ นไปอย่ าง ่ ราบรื่นสละสลวยและเที่ยงตรงทาให้ สามารถทางานละเอียดอ่อน ได้
  • 81.
    เมดัลลาออบลองกาตา (medulla oblongata) - ควบคุมการเต้ นของหัวใจ - ควบคุมการหายใจ - ควบคุมความดันเลือด - เป็ นศูนย์ ควบคุมการกลืน การไอ การจาม การอาเจียนและการ สะอึก
  • 82.
    พอน (pons) - ควบคุมการเคียวการหลังนาลาย การเคลือนไหวของใบหน้ า ้ ่ ้ ่ - ควบคุมการหายใจ - เป็ นทางผ่ านของกระแสประสาทระหว่ างเซรีบรัมกับเซรีเบลลัม และระหว่ างเซรีเบลลัมกับไขสั นหลัง
  • 83.
  • 84.
    ไขสั นหลัง (spinalcord) - อยู่ภายในกระดูกสั นหลัง ตั้งแต่ กระดูกสั นหลังบริเวณคอข้ อแรก ถึงกระดูกบริเวณเอวข้ อที่ 2 - ส่ วนปลายไขสั นหลังจะเรียวเล็กจนเหลือเพียงส่ วนของเยือหุ้ม ่ ไขสั นหลัง
  • 85.
  • 86.
    ถ้ าตัดไขสั นหลังตามขวางจะพบว่า - ด้ านนอก เป็ นเนือขาว (white matter) เป็ นบริเวณที่แอกซอนมี ้ เยือไมอีลนหุ้ม ่ ี - ด้ านใน เป็ นเนือสี เทา (grey matter)เป็ นบริเวณที่มีตวเซลล์ ้ ั ประสาทอยู่หนาแน่ น - ตรงกลาง จะมีช่องกลวง (central canal)เป็ นบริเวณที่มีนาเลียง ้ ้ สมองและไขสั นหลังบรรจุอยู่ภายใน
  • 87.
    ส่ วนที่เป็ นเนือสีเทาของไขสั นหลัง ้ - มีลกษณะคล้ายอักษรตัว H หรือ ปี กผีเสื้อ ั - ปี กบนมี 2 ปี ก เรียก ดอร์ ซัลฮอร์ น (dorsal horn) - ปี กล่ างมี 2 ปี ก เรียก เวนทรัลฮอร์ น (ventral horn)
  • 88.
    ระบบประสาทรอบนอก (peripheral nervous systemหรือ PNS) ประกอบด้ วย - เส้ นประสาทสมอง (cranial nerve) มี 12 คู่ - เส้ นประสาทไขสั นหลัง (spinal nerve) มี 31 คู่
  • 89.
  • 90.
    เส้ นประสาทสมอง (cranialnerve) - เป็ นเส้ นประสาทที่ติดต่ อกับสมอง - แยกออกจากสมองเป็ นคู่ๆ - ของสั ตว์ นาและสั ตว์ ครึ่งบกครึ่งนามี 10 คู่ ้ ้ - ของสั ตว์ เลียงลูกด้ วยนานม นก และสั ตว์ เลือยคลานมี 12 คู่ ้ ้ ้ - บางเส้ นทาหน้ าทีเ่ ฉพาะรับความรู้ สึก - บางเส้ นเป็ นเส้ นประสาทสั่ งการ - บางเส้ นทาหน้ าทีเ่ ป็ นทั้งรับความรู้ สึกและสั่ งการ
  • 91.
    เส้ นประสาทไขสั นหลัง(spinal nerve) เป็ นเส้ นประสาททีแยกออกมาจากไขสั นหลังเป็ นคู่ๆ ่ ในคนมีท้งหมด 31 คู่ แยกตามตาแหน่ งทีเ่ ส้ นประสาทไขสั นหลัง ั ยืนออกมาคือ ่ - บริเวณคอมี 8 คู่ - บริเวณอกมี 12 คู่ - บริเวณเอวมี 5 คู่ - บริเวณกระเบนเหน็บมี 5 คู่ - บริเวณก้นกบมี 1 คู่
  • 92.
    เส้ นประสาทไขสั นหลัง(spinal nerve) - ทุกเส้ นเป็ นเส้ นประสาทผสมคือรับความรู้สึกจากกล้ามเนือ้ บริเวณแขน ขาและลาตัวสั่ งการไปยังกล้ามเนือ แขน ขาและลาตัว ้ - ทีอยู่ใกล้กบไขสั นหลังจะแยกเป็ นรากบน (dorsal root)ต่ ออยู่ ่ ั กับดอร์ ซัลฮอร์ นของไขสั นหลัง
  • 93.
    เส้ นประสาทไขสั นหลัง(spinal nerve) - รากบนนีจะพองออกมาเป็ นปมประสาทรากบน ้ (dorsal root ganglion) - ที่ต่อจากเวนทรัลฮอร์ นจะเป็ นรากล่าง (Ventral root) - ทั้งรากบนและรากล่างจะรวมกันเป็ นเส้ นประสาทไข สั นหลัง
  • 94.
  • 95.
    การทดลองส่ งกระแสประสาทของเส้ นประสาทไขสันหลังของกบ ก. เส้ นประสาทไขสันหลังที่ไปยังขากบ ข. ตัดรากล่างของเส้ นประสาทไขสันหลังระหว่างจุดที่ 1 กับ 2 ค. ตัดรากบนของเส้ นประสาทไขสันหลังระหว่ างจุด 3 กับ 4
  • 96.
    ทีปมประสาทรากบนมีตวเซลล์ ประสาทรับความรู้ สึก ่ ั • ซึ่งมีเดนไดรต์ อยู่ในเส้ นประสาทไขสั นหลัง • มีแอซอนอยู่ในรากบนยืนเข้ าไปในไขสั นหลัง • จะรับกระแสประสาทจากหน่ วยรับความรู้สึก • ส่ งผ่ านเซลล์ประสาทประสานงาน ซึ่งอยู่ในเนือสี เทา ้ • แล้วส่ งต่ อให้ เซลล์ประสาทสั่ งการซึ่งมีตัวเซลล์อยู่ในเนือสี เทา ้
  • 97.
  • 98.
    หน้ าทีของไขสั นหลังคือ ่ • เป็ นศูนย์ กลางของการเคลือนไหวต่ างๆทีตอบสนองต่ อการสั มผัส ่ ่ ของร่ างกาย • เป็ นตัวเชื่อมระหว่ างหน่ วยรับความรู้ สึกกับหน่ วยปฏิบัตงาน ิ • เป็ นทางผ่ านไปกลับของกระแสประสาทระหว่ างไขสั นหลังกับ สมอง
  • 99.
    การทางานของระบบประสาท การทางานของเส้ นประสาทในระบบประสาทรอบนอก แบ่งออกเป็ น 2 ส่ วน คือ • ส่ วนทีรับความรู้ สึก (sensory division) ่ • ส่ วนที่สั่งการ (motor division)
  • 100.
    ถ้ าสั่ งการเกิดขึนกับหน่วยปฏิบัติงาน ้ • ทีบังคับได้ เช่ น กล้ ามเนือยึดกระดูก จัดเป็ นระบบประสาทโซ ่ ้ มาติก (somatic nervous system หรือ SNS) • ทีบังคับไม่ ได้ เช่ นอวัยวะภายในและต่ อมต่ างๆ จัดเป็ นระบบ ่ ประสาทอัตโนวัติ (autonomic nervous system หรือ ANS)
  • 101.
  • 102.
    ระบบประสาทอัตโมวัติ แบ่ งออกเป็นระบบย่ อย 2 ระบบ คือ • ระบบประสาทซิมพาเทติก (sympathetic nervous system ) • ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก(parasympathetic nervous system)
  • 103.
    ระบบประสาทโซมาติก (somatic nervoussystem หรือ SNS) หน่ วยรับความรู้สึก เซลล์ประสาทรับความรู้สึก เส้ นประสาทไขสันหลังหรือเส้ นประสาทสมอง หน่ วยปฏิบัตงาน ิ เส้ นประสาทไขสันหลังหรือเส้ นประสาทสมอง ไขสันหลังหรือสมอง แผนภาพแสดงการทางานของระบบประสาทโซมาติก
  • 104.
    ระบบประสาทโซมาติก (somatic nervoussystem หรือ SNS) • บางครั้งระบบประสาทโซมาติกอาจจะทางานโดยผ่ านไขสั น หลังอย่ างเดียว เช่ น การกระตุกขาเมือถูกเคาะทีหัวเข่ า ่ ่
  • 105.
    ระบบประสาทโซมาติก (somatic nervoussystem หรือ SNS) การตอบสนองสิ่ งเร้ าทีมากระตุ้น โดยการกระตุกขานั้น ่ • เกิดขึนเองโดยอัตโนวัติ เรียกว่ า รีเฟล็กซ์ (reflex) ้ • กิริยาหรืออาการทีแสดงออกหรือมีสิ่งเร้ ามากระตุ้นเกิดขึนใน ่ ้ ระยะเวลาสั้ นๆ เรียกว่ า รีเฟล็กซ์ แอกชัน (reflex action) • เป็ นการตอบสนองที่เกิดขึนทันทีทนใด โดยมิได้ มีการเตรียมตัว ้ ั หรือคิดล่ วงหน้ าซึ่งเป็ นการสั่ งการของไขสั นหลัง
  • 106.
    การเกิดรีเฟล็กซ์ แอกชัน ก. เมือเคาะที่เอ็นใต้หัวเข่ า ข.เมือเหยียบเศษแก้ ว ่ ่
  • 107.
    การทางานของระบบประสาททีเ่ ป็ นวงจรนีเ้รียกว่ า รีเฟล็กซ์ อาร์ ก (reflex arc) ซึ่งประกอบด้ วยหน่ วยย่ อย 5 หน่ วย คือ 1. หน่ วยรับความรู้ สึก 2. เซลล์ ประสาทความรู้ สึก 3. เซลล์ ประสาทประสานงานในไขสันหลังหรือสมอง 4. เซลล์ ประสาทสั่ งการ 5. หน่ วยปฏิบัตงาน ิ
  • 109.
    การเกิด รีเฟล็กซ์ อาร์ก (reflex arc) • บางครั้งรีเฟล็กซ์ อาร์ กอาจไม่ จาเป็ นต้ องมีเซลล์ ประสาท ประสาทงานก็ได้ เช่ น การกระตุกขาเมือเคาะทีหัวเข่ า เพราะจะ ่ ่ ประกอบด้ วยเซลล์ ประสาทเพียง 2 ชนิด คือ เซลล์ประสาทรับ ความรู้ สึกและเซลล์ ประสาทสั่ งการ
  • 110.
    ระบบประสาทอัตโนวัติ (automomic nervous system หรือ ANS) • ขณะทีเ่ ราตื่นต้ นตกใจหัวใจจะเต้ นถี่เร็วและแรง • แต่ เมื่อเวลาผ่ านไปหัวใจจะเต้ นช้ าลงและเข้ าสู่ สภาวะปกติ การทางานของหัวใจดังกล่าวถูกควบคุมโดย • ระบบประสาทซิมพาเทติก • ระประสาทพาราซิมพาเทติก
  • 111.
    ระบบประสาทอัตโนวัติ (automomic nervous system หรือ ANS) • ทั้งสองระบบนีทางานนอกอานาจจิตใจจึงเรียกว่ าเป็ นระบบ ้ ประสาทอัตโนวัติซึ่งการทางานนั้นจะเป็ นแบบสภาวะตรงกัน ข้ ามเพือควบคุมการทางานของอวัยวะภายในของร่ างกาย เช่ น ่ การเต้ นของหัวใจ ระบบประสาทซิมพาเทติก กระตุ้นการ เต้ นของหัวใจ แต่ ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกจะไปยับยั้ง การเต้ นของหัวใจ
  • 112.
    ระบบประสาทอัตโนวัติ (automomic nervous system หรือ ANS) การทางานของระบบประสาทอัตโนวัติประกอบด้ วย • หน่ วยรับความรู้สึก ซึ่งส่ วนใหญ่ อยู่ทอวัยวะภายใน ่ี • เซลล์ประสาทรับความรู้สึกรับกระแสประสาทผ่ านรากบนของ เส้ นประสาทไขสั นหลังเข้ าสู้ ไขสั นหลัง จากไขสั นหลังจะมีเซลล์ประสาท ไปไซแนปส์ กบเซลล์ประสาทสั่ งการทีปมประสาทอัตโนวัติ (antonomic ั ่ ganglion)เซลล์ประสาทที่ออกจากไขสั นหลังทีปมประสาทอัตโนวัตินี้ ่ เรียกว่ า เซลล์ ประสาทก่อนไซแนปส์ และเซลล์ประสาทสั่ งการทีออกจาก ่ ปมประสาทอัตโนวัติเรียกว่ า เซลล์ประสาทหลังไซแนปส์
  • 113.
    ระบบประสาทอัตโนวัติ (automomic nervous system หรือ ANS) • ซึ่ง เซลล์ ประสาทหลังไซแนปส์ จะนากระแสประสาทสั่ งงานไป ยังกล้ ามเนือเรียบของอวัยวะภายใน กล้ ามเนือหัวใจและต่ อม ้ ้ ต่ างๆ
  • 114.
  • 115.
  • 116.
    ระบบประสาทอัตโนวัติ (automomic nervous system หรือ ANS) ที่ปมประสาทอัตโนวัติ • สารสื่ อประสาทที่ใช้ ระหว่ างก่อนและหลังไซแนปส์ คือ แอซิติลลีน แต่ สารสื่ อประสาททีหลังมาควบคุมหน่ วยปฎิบัตงานจะต่ างกัน ่ ่ ิ • ถ้ าเป็ นระบบประสาทพาราซิมพาเทติก เป็ นแอซิติลโคลีน • แต่ ถ้าเป็ นระบประสาทซิมพาเทติก เป็ นนอร์ เอพิเนฟริน
  • 117.
    อวัยวะรับความรู้ สึก • กระแสประสาทจากอวัยวะรับความรู้สึกทุกชนิดเป็ นสั ญญาณทาง ไฟฟาเคมีท้งสิ้น ้ ั • ปัจจุบนนักวิทยาศาสตร์ ยงไม่ ทราบแน่ ขดว่ า สมองแปลสั ญญาณ ั ั ั เหล่ านีได้ อย่ างไง ้ • แต่ การทีสมองแปลความรู้ สึกได้ แตกต่ างกันนั้นเกิดจากสมองมี ่ บริเวณเฉพาะทาหน้ าทีรับกระแสประสาทจากอวัยวะรับความรู้ สึก ่ ชนิดต่ างๆ
  • 118.
  • 119.
  • 120.
    นัยน์ ตาและการมองเห็น นัยน์ ตาของคน •มีรูปร่ างค่ อนข้ างกลมอยู่ภายในเบ้ าตา • มีขนาดเส้ นผ่ านศูนย์ กลางประมาณ 2.5 เซนติเมตร • มีผนังลูกตา 3 ชั้น 1. สเคลอรา (sclera) 2. โครอยด์ (choroid) 3. เรตินา (retina)
  • 121.
    สเคลอรา (sclera) • เป็นชั้นทีเ่ หนียวแต่ ไม่ ยดหยุ่น ื • ตอนหน้ าสุ ดจะโปร่ งใสและนูนออกมาเรียกกระจกตา (cornea)มี ความสาคัญมากถ้ าเป็ นอันตรายหรือพิการจะมีผลกระทบต่ อ การมองเห็น
  • 122.
    โครอยด์ (choroid) • เป็นชั้นทีมหลอดเลือดมาเลียงและมีสารสี แผ่ กระจายอยู่เป็ น ่ ี ้ จานวนมากเพือปองการไม่ ให้ แสงสว่ างทะลุผ่านไปยังด้ านหลัง ่ ้ ของนัยน์ ตาโดยตรง
  • 123.
    เลนส์ ตา (lens) •เป็ นเลนส์ นูนอยู่ถดจากกระจกตาเข้ าไปเล็กน้ อย ั • มีลกษณะใสกั้นนัยน์ ตาออกเป็ น 2 ส่ วน คือ ั 1.ช่ องหน้ าเลนส์ 2. ช่ องหลังเลนส์ ซึ่งทั้งสองช่ องนีจะมีของเหลวบรรจุอยู่และของเหลวนั้นจะ ้ ช่ วยทาให้ ลูกตาเต่ งและคงสภาพได้ และช่ วยให้ การหักเหของแสง ทีผ่านเข้ ามา ่
  • 124.
    เลนส์ ตา (lens) •ด้ านหน้ าของเลนส์ ตามีม่านตา (iris) ยืนลงมาจกผนังโครอยด์ ท้งบนและ ่ ั ล่างส่ วนช่ องกลางเป็ นช่ องทีให้ แสงผ่ านเข้ ามาเรียกช่ องนีว่า รูม่านตา ่ ้ (pupil) • ขนาดของรูม่านตาจะกว้ างหรือแคบขึนอยู่กบม่ านตาทีมกล้ามเนือทางาน ้ ั ่ ี ้ อยู่ 2 ชนิดคือ 1. กล้ามเนือวงกลม ้ 2. กล้ามเนือที่เรียงตัวตามแนวรัศมี ้ ** ม่ านตาทาหน้ าทีควบคุมปริมาณแสงทีผ่านเข้ าสู้ นัยน์ ตา ่ ่
  • 125.
    เรตินา (retina) • เป็นบริเวณทีมเี ซลล์ รับแสงซึ่งแบ่ งตามรู ปร่ างได้ 2 ชนิด คือ ่ 1. เซลล์ รูปแท่ ง (rod cell) 2. เซลล์ รูปกรวย (cone cell) ซึ่งเซลล์ ท้งสองทาหน้ าที่ เปลียนพลังงานแสงให้ เป็ นกระแส ั ่ ประสาท
  • 126.
  • 127.
    เซลล์ รูปแท่ ง •ไวต่ อการรับแสงสว่ างแม้ ในทีมีแสงสว่ างน้ อย ่ • ไม่ สามารถแยกความแตกต่ างของสี ได้ • ในนัยน์ ตาแต่ ละข้ างจะ เซลล์ รูปแท่ งมีประมาณ 125 ล้ านเซลล์
  • 128.
    เซลล์ รูปกรวย • แยกความแตกต่างของสี ต่างๆได้ • บอกสี ได้ ถูกต้ องเมือมีแสงสว่ างมาก ่ • ในนัยต์ ตาแต่ ละข้ างจะมี เซลล์ รูปกรวยประมาณ 7 ล้ านเซลล์
  • 129.
  • 130.
  • 131.
  • 132.
  • 133.
  • 134.
    เรตินา (retina) • ในชั้นเรตินายังมีเซลล์ประสาทที่รับกระแสประสาทไปยังใย ประสาทของเส้ นประสาทสมองคู่ที่ 2 แล้ วส่ งไปยังสมองส่ วน เซรีบรัมเพือแปลเป็ นภาพตามทีตามองเห็น ่ ่
  • 135.
    เรตินา (retina) **บริเวณตรงกลางของเรตินาทีเ่ รียกว่า โฟเวีย (fovea) • จะมีเซลล์ รูปกรวยอยู่หนาแน่ นกว่ าบริเวณอืน่ • ดังนั้นภาพทีตกบริเวณนีจะเห็นชัดเจนมากทีสุด ่ ้ ่ **บริเวณของเรตินาที่มีแต่ แอกซอนออกจากนัยน์ ตาเพือรวม่ เป็ นเส้ นประสาทตา • จะไม่ มีเซลล์รูปแท่ งและเซลล์ รูปกรวยอยู่เลย • ทาให้ เกิดภาพบริเวณนี้ เรียกบริเวณนีว่า จุดบอด (blind spot) ้
  • 136.
    เรตินา (retina) ในการเกิดภาพเมื่อแสงจากวัตถุผ่านเข้ าสู่กระจกตา • โดยมีเลนส์ ตาทาหน้ าที่รวมแสง • ทาภาพตกทีเ่ รตินา • เกิดกระแสประสาทส่ งไปยังสมองเพือแปลความหมาย ่
  • 137.
    เอ็นยืดเลนส์ กล้ ามเนือยืดเลนส์ ้ • เลนส์ ตาถูกยืดด้ วย เอ็นยืดเลนส์ (suspensory ligament) โดยที่ เอ็นนั้นอยู่ตดกับ กล้ ามเนือยืดเลนส์ (ciliary muscle) ิ ้ • ดังนั้น การหดตัวและคลายตัวของกล้ ามเนือยึดเลนส์ จงมีผลทา ้ ึ ให้ เอ็นยึดเลนส์ หย่ อนหรือตึงได้
  • 138.
    เอ็นยืดเลนส์ กล้ ามเนือยืดเลนส์ ้ • หากกล้ ามเนือยึดเลนส์ หดตัว ้ • เอ็นยึดเลนส์ หย่ อนลง • ทาให้ เลนส์ โป่ งออก ผิวของเลนส์ โค้ งนูนมากขึน ้ • จุดโฟกัสใกล้เลนส์ มากขึน ้ • เหมาะสาหรับการมองภาพในระยะใกล้
  • 139.
    เอ็นยืดเลนส์ กล้ ามเนือยืดเลนส์ ้ ถ้ าวัตถุอยู่ไกล • เลนส์ ตาจะต้ องมีความนูนลดลงซึ่งเกิดจากการคลายตัวของ กล้ ามเนือยึดเลนส์ น้นเอง ้ ั
  • 140.
    การเปลียนแปลงรูปร่ างของเลนส์ ตา ่ ก.วัตถุอยู่ใกล้ เลนส์ ตาโค้งนูนมาก ข.วัตถุอยู่ไกล เลนส์ ตาโค้งนูนน้ อย
  • 141.
    การแก้ ไขปัญหาสาหรับคนมีปัญหาเรื่องสายตา ปัจจุบันสามารถแก้ไขได้ โดยการใส่แว่ นตาทีประกอบด้ วย ่ • เลนส์ เว้ าสาหรับคนสายตาสั้น • เลนส์ นูนสาหรับคนสายตายาว • ในกรณีคนสายตาเอียงซึ่งเกิดจาก จากสาเหตุและมีวธีการแก้ไขดังต่ อไปนี้ ิ 1. ความโค้ งของกระจกตาในแนวต่ างๆไม่ เท่ ากันทาให้ เห็นเส้ นของแผ่ นภาพ ทดสอบสายตาเอียงในแนวใดแนวหนึ่งไม่ ชัดเจน 2. แก้ไขโดยใช้ เลนส์ ทรงกระบอก (cylindrical lens)ซึ่งมีด้านหน้ าเว้ า ด้ านหลังนูน
  • 142.
    กลไกการมองเห็น ทีเ่ ยือหุ้มเซลล์ รูปแท่ งจะมี สารสี ม่วงแดง ชื่อ โรดอปซิน ่ (rhodopsin) ฝังตัวอยู่ • ซึ่งสารสี ม่วงแดงชื่อ โรดอปซิน (rhodopsin) นีประกอบด้ วย ้ 1.โปรตีนออปซิน (opsin) 2. สารเรตินอล(retinol)
  • 143.
    กลไกการมองเห็น • เมื่อมีแสง มากระตุ้นเซลล์รูปแท่ง โมเลกุลของเรตินอลจะ เปลียนแปลงจะเกาะกับโมเลกุลของออปซินไม่ ได้ ่ • เกิดกระแสประสาทเดินทางไปยังเส้ นประสาทสมองคู่ที่ 2 เพือ ่ ส่ งไปยังสมองให้ แปลงเป็ นภาพ • เมื่อไม่ มีแสง ออปซินและเรตินอลจะรวมตัวกันเป็ นโรดอปซิน ไม่ ได้
  • 144.
  • 145.
    กลไกการมองเห็น • เรตินอล เป็นสารที่ร่างกายสั งเคราะห์ ขนจากวิตามิน A ึ้ • ถ้ าร่ างกายขาดวิตามิน A จะทาให้ เกิดโรคตาฟางในช่ วงเวลาที่มี แสงน้ อย เช่ น ตอนพลบคา ่
  • 146.
    กลไกการมองเห็น เซลล์ รูปกรวย แบ่ งตามความไวต่ อช่ วงความยาวคลืนของแสง ่ ได้ 3 ชนิด คือ เซลล์ รูปกรวยที่ไวต่ อ • แสงสี นาเงิน ้ • แสงสี แดง • แสงสี เขียว
  • 147.
  • 148.
    กลไกการมองเห็น การที่สมองแยกสี ต่างๆได้ มากกว่า 1 สี เพราะมี • การกระตุ้นเซลล์ รูปกรวยแต่ ละชนิดพร้ อมๆกันด้ วยความเข็ม ของแสงสี ต่างๆกันจึงเกิดการผสมของแสงสี ต่างๆขึนเช่ น ้ ขณะมองวัตถุสีม่วง • เซลล์ รูปกรวยทีไวต่ อแสงสี แดงและสี นาเงินจะถูกกระตุ้น ่ ้ พร้ อมๆกัน ทาให้ วตถุน้ันเป็ นสี ม่วงเป็ นต้ น ั
  • 149.
  • 150.
    กลไกการมองเห็น • ถ้ าเซลล์รูปกรวยทีไวต่อแสงสี ใดสี หนึ่งบกพร่ องจะทาให้ เกิดอาการตา ่ บอดสี (color blind) ดังนั้นอาการตาบอดสี (color blind)จึงเป็ นลักษณะที่เกียวข้ องกับ ่ ความบกพร่ องในการแยกแยะความแตกต่ างของสี ทพบมากทีสุดคือ บอด ่ี ่ สี แดงและสี ม่วง • ไม่ จัดว่ าตาบอดสี เป็ นความผิดปกติร้ายแรง • ส่ วนใหญ่ เกิดจากพันธุกรรม • พบในเพศชายมากกว่ าเพศหญิง
  • 151.
    หูและการได้ ยน ิ หู (ear)เป็ นอวัยวะรับสั มผัสที่ทาหน้ าที่ • ได้ ยน ิ • ทรงตัว
  • 152.
    หูและการได้ ยน ิ หูของคนแบ่ งออกเป็ น 3 ส่ วน คือ • หูส่วนนอก • หูส่วนกลาง • หูส่วนใน
  • 153.
    หูส่วนนอก (outer ear)ประกอบด้วย • ใบหู (ear pinna) • รู หู (ear canal) • เยือแก้ วหู (ear dram หรือ tympanic membrane) ่
  • 154.
    หูส่วนกลาง(middle ear) • มีลกษณะเป็นโพรงติดต่ อกับโพรงจมูกและมีท่อติดต่ อกับคอหอย ั เรียกว่ า ท่ อยูสเตเชียน (eustachian tube • หูส่วนกลางประกอบด้ วย 1. กระดูกค้อน (malleus) 2. กระดูกทัง (incus) ่ 3. กระดูกโกลน (stapes) ** คลืนเสี ยงทีผ่านเข้ าถึงหูส่วนในจะขยายเพิมจากหูส่วนนอก ่ ่ ่ ประมาณ 22 เท่ า
  • 155.
    หูส่วนใน(inner ear)ประกอบด้ วย •โครงสร้ างที่ใช้ ฟังเสี ยง เรียกว่ า คอเคลีย (cochlea) • โครงสร้ างที่ใช้ ในการทรงตัวเรียกว่ า เซมิเซอร์ ควลาร์ แคเนล ิ (semicircular canal)
  • 156.
    หูส่วนใน(inner ear) โครงสร้ างทีใช้ฟังเสี ยง ่ • อยู่ทางด้ านหน้ าของหูส่วนใน เป็ นท่ อทีม้วนตัวลักษณะคล้ายก้นหอย ่ เรียกว่ า คอเคลีย (cochlea)
  • 157.
  • 158.
    หูส่วนใน(inner ear) คอเคลีย (cochlea) •ภายในของคอเคลียมีของเหลวบรรจุอยู่ • เมื่อคลืนเสี ยงผ่ านเข้ ามาถึงคอเคลียจะทาให้ ของเหลวนั้นสั่ นสะเทือน ่ • เปลียนสั ญญาณเสี ยงเป็ นกระแสประสาท ่ • กระตุ้นเซลล์รับเสี ยงให้ ส่งกระแสประสาทไปยังเส้ นประสาทรับเสี ยง (auditory nerve) • เพือเข้ าไปทีเ่ ซรีบรัมซึ่งเป็ นศูนย์ ควบคุมการได้ ยนเพือจะแปลผลต่ อไป ่ ิ ่
  • 159.
    หูส่วนใน(inner ear) โครงสร้ างทีใช้ในการทรงตัว ่ • อยู่ทางด้ านหลังของหูส่วนในทาหน้ าทีรับรู้เกียวกับการเอียงและการ ่ ่ หมุนของศรีษะตลอดจนการทรงตัวของร่ างกาย • ลักษณะเป็ นหลอดครึ่งวงกลม 3 หลอด ตั้งฉากกันเรียกว่ า เซมิเซอร์ ควิ ลาร์ แคเนล (semicircularcanal)
  • 160.
    หูส่วนใน(inner ear) • เซมิเซอร์ควลาร์ แคเนล (semicircularcanal) ิ • ภายในจะมีของเหลวบรรจุอยู่ • ทีโคนหลอดมีส่วนโป่ งพองออกมาเรียก แอมพูลลา (ampulla)มีเซลล์รับ ่ ความรู้สึกทีมขน (hair cell)ที่ไวต่ อการไหลของของเหลวภายในหลอด ่ ี เมื่อมีการเปลียนแปลงตาแหน่ งของศรีษะขณะร่ างกายเคลือนไหว ่ ่ • กระตุ้นเซลล์ที่รับรู้เกียวกับการทรงตัวให้ ส่งกระแสประสาทไปรวมกับ ่ เส้ นประสาทรับเสี ยงเข้ าสู่ สมอง
  • 161.
    จมูกกับการดูดกลิน ่ • คนเรารับกลินได้ เพราะภายในโพรงจมูกด้ านบนมีเยือบุจมูก ่ ่ (olfactory)ซึ่งมีเซลล์ รับกลินรวมกันอยู่เรียกว่ า ออลแฟกทอรี ่ บัลบ์ (olfactory bulb)
  • 162.
    จมูกกับการดูดกลิน ่ • เซลล์ ประสาทรับกลิน (olfactory neuron)สามารถทีจะ ่ ่ • เปลียนสารที่ทาให้ เกิดกลินเป็ นกระแสประสาท ่ ่ • แล้ วส่ งต่ อไปตาม เส้ นประสาทรับกลิน (olfactory nerve)ไปยัง ่ สมองส่ วนซีรีบรัมเพือแปลเป็ นกลินออกมา ่ ่
  • 163.
  • 164.
    ลินกับการรับรส ้ • ด้ านบนของผิวลินจะมีปุ๋มเล็กๆจานวนมาก ปุ๋ มเหล่านีคอ ปุ๋ มลิน ้ ้ ื ้ (papilla)ซึ่งประกอบด้ วยตุ่มรับรส (taste bud)หลายตุ่ มทาหน้ าทีรับรส ่ • แต่ ละตุ่มรับรสจะมีเซลล์รับรส (gustatory cell)ซึ่งต่ อกับใยประสาท • เมื่อตุ่มรับรสได้ รับการกระตุ้นจะเกิดกระแสประสาทส่ งไปตาม เส้ นประสาทสมองคู่ที่ 7 และ 9 • ไปยังสมองส่ วนซีรีบรัมบริเวณศูนย์ รับรสเพือแปลออกมาว่ าเป็ นรสอะไร ่
  • 165.
    ลินกับการรับรส ้ ตุ้มรับรส มี 4 ชนิด กระจายอยู่บนลิน ได้ แก่ ้ • ตุ่มรับรสหวาน อยู่ทปลายลิน ี่ ้ • ตุ่มรับรสขม อยู่ทโคนลิน ่ี ้ • ตุ่มรับรสเปรี้ยว อยู่ทข้างลิน ี่ ้ • ตุ้มรับรสเค็ม อยู่ทปลายและข้ างลิน ี่ ้
  • 166.
    ลินกับการรับรส ้ การรับรู้ รสอาหาร เกิดจาก การทางานของอวัยวะหลาย ส่ วนเข้ ามาเกียวข้ อง เช่ น ถ้ าดืมนามะนาวเย็นๆ ่ ่ ้ • จะได้ รสเปริ้ยวจากกลิน ่ • ได้ กลินมะนาวจากจมูก ่ • รู้ สึกเย็นจากลินทีสัมผัสกับนามะนาว ้ ่ ้
  • 167.
    ผิวหนังกับการรับความรู้ สึก • นอกจากผิวหนังเป็นอวัยวะทีห่อหุ้มร่ างกายแล้ วยังจัดเป็ น ่ อวัยวะรับความรู้ สึกทีมีพนทีผวรับความรู้ สึกมากกว่ าอวัยวะอืน ่ ื้ ่ ิ ่
  • 168.
    ผิวหนัง(skin) • มีหน่ วยรับความรู้สึกซึ่งไวต่ อการกระตุ้นเฉพาะอย่ างเช่ น 1. หน่ วยรับความดัน มีลกษณะคล้ ายหัวหอมผ่ าซีก ั 1.1 มีเดนไดรต์ อยู่ตรงกลาง 1.2 มีเนือเยือเกียวพันหุ้มปลายประสาทอยู่รอบๆ ้ ่ ่ 1.3 ฝังลึกอยู่ในผิวหนังบริเวณหนังแท้ (dermis)
  • 169.
    ผิวหนัง(skin) 2. หน่ วยรับความรู้สึกเจ็บปวด มีลกษณะปลายแตกเป็ นฝอย ปลาย ั เดนไดรต์ แทรกอยู่ในชั้นหนังกาพร้ า (epidermis) 3. หน่ วยรับสั มผัส บางหน่ วยอยู่เป็ นอิสระ บางหน่ วยพันอยู่รอบ โคนขน เมื่อลูบเส้ นขนเบาๆก็จะรับรู้ การสั มผัสได้ เช่ นกัน 4. หน่ วยรับความรู้ ลกหน่ วยรับความรู้ สึกร้ อนเย็นอยู่ในชั้นหนังแท้ ึ
  • 170.