More Related Content Similar to สงครามโลกครั้งที่1
Similar to สงครามโลกครั้งที่1 (19) สงครามโลกครั้งที่1 2. สงครามโลกครั้งที่1
(World War I ค.ศ.1914-1918)
เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม ค . ศ . 1914
และสิ้นสุดในเดือนพฤศจิกายน ค . ศ . 1918
เป็นเวลานานถึง 4 ปี 3 เดือน
เกิดจากความขัดแย้งของประเทศในทวีปยุโรปและลุกลาม
ไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกมากกว่า 30 ประเทศ
สร้างความเสียหายให้แก่มนุษยชาติอย่างรุนแรง
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มหาสงคราม (Great War)
สงครามโลกครั้งที่ 1 ( World War I ค.ศ.1914 -
1918)
4. 2. การแข่งขันกันแสวงหาอาณานิคม มหาอานาจตะวันตกแสวงหาอาณานิคมในแอฟริกา
และเอเชีย เพื่อเป็นแหล่งวัตถุดิบ โดยใช้กาลังทหารเข้ายึดครองดินแดนที่มีแหล่ง
ทรัพยากรธรรมชาติ จึงเป็นเหตุให้เกิดสงครามหลายครั้งเพื่อแย่งชิงดินแดนใน 2 ทวีป การ
ขัดแย้งนาไปสู่การสะสมกาลังทหาร กาลังอาวุธยุทโธปกรณ์และมีความหวาดระแวงต่อ
กันมากขึ้น ประเทศจักรวรรดินิยมหรือมหาอานาจตะวันตก ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส
สหรัฐอเมริกา เยอรมนี อิตาลี เบลเยียม
สาเหตุของสงคราม
5. แผนที่แสดงเขตอาณานิคม
• ดินแดนในแอฟริกาตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี อิตาลี เบลเยียม โปรตุเกส
• ทวีปเอเชีย อังกฤษครอบครองอินเดีย พม่า มลายู บอร์เนียว ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
• ทวีปเอเชีย ฝรั่งเศสครอบครองลาว เขมร ญวน รวมเป็นอินโดจีนฝรั่งเศส
• ตะวันออกกลางเป็นดินแดนแข่งขันอิทธิพลระหว่างอังกฤษ ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต และตุรกี
สาเหตุของสงคราม
6. ในด้านผลประโยชน์ อานาจทางการ เมืองและเศรษฐกิจ รวมทั้งความมั่นคงของ
ประเทศ สาเหตุของสงคราม
3. ความขัดแย้งระหว่างชาติมหาอานาจต่างๆ
3.1 ความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสกับปรัสเซีย ฝรั่งเศสมีความขัดแย้งกับปรัสเซีย(รัฐ
เอกของเยอรมนี) ซึ่งเป็นผู้นากองทัพเยอรมนีที่พยายามจะรวมชาติให้สาเร็จ
ฝรั่งเศสพยายามกีดกันไม่ให้เยอรมนีรวมชาติ เพราะเกรงว่าจะเป็นภัยต่อฝรั่งเศส
จนต้องทาสงครามฝรั่งเศส - ปรัสเซีย ผลคือฝรั่งเศสพ่ายแพ้ต้องทาสัญญาสงบศึก
ต่อมารัฐบาลฝรั่งเศสได้ทาสัญญาแฟรงค์เฟิร์ต (Treaty of
Frankfurt) ต้องสูญเสียดินแดนอัลซาซ - ลอเรนและต้องจ่ายค่า
ปฏิกรรมสงคราม
สาเหตุของสงคราม
7. 3.2 ความขัดแย้งระหว่างออสเตรีย - ฮังการีกับสหภาพโซเวียต
ออสเตรีย-ฮังการีแข่งขันกันขยายอิทธิพลในดินแดนยุโรปตะวันออก
และคาบสมุทรบอลข่าน ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 คาบสมุทรบอลข่าน
ได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน แต่ต่อมา
จักรวรรดิออตโตมันอ่อนแอลง ทาให้สูญเสียดินแดนในครอบครอง
ให้กับชาติอื่น เช่น
สาเหตุของสงคราม
8. ตามสนธิสัญญาคาร์โลวิทซ์ (Treaty of Karlowitz :
ค . ศ . 1699) ออสเตรียได้ครอบครองฮังการี ทรานซิลเวเนีย โครเอเชีย และสลาโวเนีย
ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 จักรวรรดิออตโตมันทาสนธิสัญญากูชุก ไกนาร์จี (Treaty
of Kuchuk Kainarji : ค . ศ . 1774) ทาให้สหภาพโซเวียตได้ดินแดน
ชายฝั่งตอนเหนือของทะเลดาและสิทธิในการคุ้มครองคริสต์ศาสนิกชนนิกายกรีกออร์ธ
อดอกซ์ในดินแดนของจักรวรรดิออตโตมัน นอกจากนี้สหภาพโซเวียตยังดาเนิน
นโยบายต่างประเทศที่เรียกว่า อุดมการณ์รวมกลุ่มสลาฟ และเข้าแทรกแซงทาง
การเมือง ทาให้ชนชาติสลาฟในคาบสมุทรบอลข่านหวังให้สหภาพโซเวียตช่วยให้
ตนเองได้ตั้งรัฐอิสระและปกครองตนเอง ภายหลังสนธิสัญญาบูคาเรสต์ (Treaty
of Bucharest : ค . ศ . 1812) สหภาพโซเวียตได้เป็นผู้ค้าประกันเซอร์เบีย
สาเหตุของสงคราม
9. ใน ค . ศ . 1875 พวกสลาฟในบอสเนียได้ก่อกบฏ เพื่อแยกตนเป็นอิสระและหวัง
ผลประโยชน์ในการใช้คาบสมุทรบอลข่านเป็นทางออกทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จึง
ประกาศสงครามกับจักรวรรดิออตโตมัน ค.ศ. 1877 สงครามยุติลง สหภาพโซ
เวียตเป็นฝ่ายชนะจึงสนับสนุนเซอร์เบียในการรวมชาวสลาฟ เมื่อออสเตรีย -
ฮังการีใช้เหตุการณ์ที่พวกเติร์กก่อการปฏิวัติ ผนวกดินแดนที่มีชาวสลาฟ 2 แคว้น
คือ บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาเป็นของตน เพื่อป้องกันมิให้ขบวนการรวมกลุ่ม
สลาฟซึ่งมีเซอร์เบียเป็นผู้นาดาเนินการเคลื่อนไหวกับพวกสลาฟในบอสเนีย
เซอร์เบียและสหภาพโซเวียตจึงยุยงพวกสลาฟให้ก่อกบฏขึ้น
สาเหตุของสงคราม
10. ค.ศ . 1908 เกิดวิกฤตการณ์บอสเนีย ภายหลังการเจรจา วิกฤตการณ์ดังกล่าวสิ้นสุด
ลง แม้ปราศจากสงครามแต่ก็ก่อความร้าวฉานระหว่างเซอร์เบียและสหภาพโซเวียต
กับออสเตรีย - ฮังการี ค.ศ. 1912 - 1913 เซอร์เบีย บัลแกเรีย และกรีซ ทาสงครามกับ
ตุรกี และสามารถยึดครองดินแดนตุรกีในยุโรปได้ แต่หลังจากสงครามเกิดปัญหาการ
แบ่งแยกดินแดนจนขัดแย้งกันเอง ทาให้เกิดสงครามระหว่างสามประเทศ ผลของ
สงครามทาให้บัลแกเรียเสียดินแดนบางส่วนให้กรีซและเซอร์เบีย เซอร์เบียจึง
กลายเป็นแคว้นที่มีอิทธิพลมากที่ในกลุ่มสลาฟ จนเป็นที่เกรงกลัวของจักรวรรดิ
ออสเตรีย-ฮังการี
สาเหตุของสงคราม
12. 4. มหาอานาจในยุโรปแตกแยกออกเป็น 2 ฝ่าย เริ่มเมื่อเยอรมนี ออสเตรีย - ฮังการี
ลงนามใน สนธิสัญญาพันธไมตรีทวิภาคี เพราะออสเตรีย - ฮังการีไม่ไว้ใจสหภาพโซ
เวียตจากการแข่งกันขยายอานาจในคาบสมุทรบอลข่าน ส่วนเยอรมนีต้องการหา
พันธมิตรหากเกิดสงครามกับฝรั่งเศสหรือสหภาพโซเวียต โดยทั้งคู่สัญญาว่าจะ
ช่วยเหลือกันและกัน ถ้าถูกสหภาพโซเวียตโจมตี ต่อมาสัญญาฉบับนี้ได้ขยายเป็น
สนธิสัญญาพันธไมตรีไตรภาคี (Triple Alliances : ค . ศ . 1882) โดยรวม
อิตาลีเข้ามาด้วย เพราะอิตาลีเกรงว่าจะถูกฝรั่งเศสโจมตี
สาเหตุของสงคราม
13. อีกฝ่ายหนึ่งคือกลุ่มประเทศความตกลงไตรภาคี ( Triple Entente) คือ
สหภาพโซเวียตกับฝรั่งเศสได้ลงนามใน อนุสัญญาว่าด้วยความร่วมมือทางทหาร
(Military Convention : ค . ศ . 1892) เพราะสหภาพโซเวียตกาลังแข่ง
อานาจกับออสเตรีย - ฮังการี และหวั่นเกรงว่าเยอรมนีจะเข้าข้างออสเตรีย - ฮังการี
อนุสัญญานี้ต่อมาได้กลายเป็น สนธิสัญญาพันธไมตรีฝรั่งเศส - รัสเซีย (Franco-
Russian Alliance : ค . ศ . 1894) โดยตกลงที่จะให้ความช่วยเหลือทาง
ทหารต่อกันในกรณีที่ถูกเยอรมนีและพันธมิตรโจมตี
สาเหตุของสงคราม
14. ทางด้านอังกฤษ ดาเนินนโยบายต่างประเทศแบบอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ภายหลัง
สงครามบัวร์ (Boer War : ค . ศ . 1899-1902) อังกฤษถูกประณามจาก
ประเทศมหาอานาจ รวมทั้งไม่พอใจการเสริมกาลังกองทัพและการขยาย
แสนยานุภาพทางทะเลของเยอรมนี อังกฤษจึงดาเนินนโยบายและแสวงหา
พันธมิตร โดยทาความตกลงฉันท์มิตรกับฝรั่งเศสใน ค . ศ . 1904 และลงนามใน
ความตกลงอังกฤษ - รัสเซีย (Anglo-Russian Entente : ค . ศ .
1907) และต่อมากลายเป็น ความตกลงไตรภาคี (Triple Entente)
ระหว่างอังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย เพื่อแก้ไขกรณีพิพาทในเรื่องอาณานิคมและการ
แย่งผลประโยชน์
สาเหตุของสงคราม
15. ชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 1 วันที่ 28 มิถุนายน ค . ศ . 1914 อาร์คดุ๊กฟรานซิส เฟอร์ดิ
นานด์ รัชทายาทของออสเตรีย - ฮังการี พร้อมเจ้าหญิงโซฟี พระชายา ขณะเสด็จประพาส
เมืองซาราเยโว นครหลวงของบอสเนีย ได้ถูกนายกัฟริโล ปรินซิป ชาวบอสเนียเชื้อสายเซิร์บ
ลอบปลงพระชนม์เพื่อแก้แค้นที่จักรวรรดิออสเตรีย - ฮังการีเข้ายึดครองบอสเนีย -
เฮอร์เซโกวินาและขัดขวางการรวมตัวของชาวสลาฟกับเซอร์เบีย ออสเตรีย - ฮังการีจึง
ประกาศสงครามกับเซอร์เบียเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ค . ศ . 1914 อาร์คดุ๊กฟรานซิส เฟอร์ดิ
นานด์ และเจ้าหญิงโซฟี วิกฤตการณ์ซาราเยโวหรือวิกฤตการณ์เดือนกรกฎาคม
ชนวนของสงครามโลกครั้งที่1
17. ชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 1 สหภาพโซเวียตในฐานะผู้พิทักษ์ชาวสลาฟระดมพลเพื่อช่วยเหลือเซอร์เบียทา
สงครามกับออสเตรีย - ฮังการี ซึ่งเป็นพันธมิตรกับเยอรมนี ฝรั่งเศสปฏิเสธที่จะวางตนเป็นกลาง เนื่องจากโกรธ
แค้นจากการที่เยอรมนียึดครองดินแดนอัลซาซ-ลอเรนในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย เยอรมนีจึงประกาศสงคราม
กับสหภาพโซเวียตเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค . ศ . 1914 และประกาศสงครามกับฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ค . ศ
. 1914 และก็ได้ส่งกองทัพบุกเบลเยียมซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับการประกันความเป็นกลาง เพื่อบุกฝรั่งเศสตาม
แผนชลีฟเฟิน (Schlieffen Plan : แผนการรบของเยอรมนีด้วยวิธีรบรุกอย่างรวดเร็ว เพื่อจะพิชิต
ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต และอังกฤษ ) อังกฤษจึงประกาศสงครามต่อเยอรมนีเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค . ศ . 1914
สงครามระหว่างออสเตรีย - ฮังการีกับเซอร์เบียจึงได้ขยายตัวเป็นสงครามโลกครั้งที่ 1
ชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 1
18. สงครามขยายออกเป็น 2 ฝ่าย คือ
1.ฝ่ายมหาอานาจพันธมิตร (The Allied Powers)
ประกอบด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต เซอร์เบีย เบลเยียม
รวมทั้งอิตาลีที่เปลี่ยนใจเข้ากับฝ่ายมหาอานาจพันธมิตรเพราะต้องการที่จะผนวก
ดินแดนของออสเตรีย - ฮังการีที่มีชาวอิตาลีอาศัยอยู่จานวนมากและชาติอื่นๆ
รวมทั้งญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ที่เมื่อเริ่มสงครามประกาศนโยบายต่างประเทศ
แบบเป็นกลาง จนกระทั่งเมื่อ ค . ศ . 1917 จึงเข้าข้างฝ่ายมหาอานาจพันธมิตร
2. ฝ่ายมหาอานาจกลาง (The Central Powers)
ประกอบด้วย เยอรมนี ออสเตรีย - ฮังการี ตุรกี และ บัลแกเรีย
19. Leaders of the Major Allied Powers as of 1917 George V, King of the
United Kingdom Raymond Poincaré, President of France Woodrow
Wilson, President of the United States Vittorio Emanuele III, King of
Italy Albert I, King of the Belgium
21. Leaders of the Major Central Powers
Kaiser Wilhelm II: German Emperor Franz Joseph: Emperor of
Austria-Hungary Mehmed V: Sultan of the Ottoman Empire Czar
Ferdinand I: Czar of Bulgaria
22. At this point there were two major alliances, the Allied
powers, the Central powers, and their supporters. The rest
were neutral.
24. การรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 มีการรบทั้งทางอากาศ ทางบก และทางเรือ ประเทศคู่
สงครามต่างประดิษฐ์อาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ๆ ที่มีอานาจการทาลายสูงมาใช้ เช่น อังกฤษ
เป็นชาติแรกที่ประดิษฐ์เรือดาน้าที่เรียกว่า เรือยู (U-Boat)
“ เรือยู ” เป็นเรือดาน้าที่ผลิตโดยประเทศอังกฤษในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1
25. ปลายสงคราม เยอรมนีเริ่มพ่ายแพ้ในการรบ ทหารและประชาชนชาวเยอรมันได้ก่อ
การปฏิวัติ คณะรัฐบาลถูกยุบ กษัตริย์เยอรมันทรงสละราชสมบัติแล้วเสด็จไป
ประทับที่เนเธอร์แลนด์ จักรวรรดิเยอรมนีล่มสลายลงและเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เป็นระบอบสาธารณรัฐเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค . ศ 1918 ผู้นาคณะรัฐบาลชุด
ใหม่ขอสงบศึกกับฝ่ายสัมพันธมิตรและลงนามในสัญญาสงบศึก สงครามโลกครั้งที่
1 จึงยุติลง ( เมื่อใน ค . ศ . 1918)
พระเจ้าไกเซอร์วิลเลียมที่ 2
31. - การเข้าร่วมสงครามของสหรัฐอเมริกา
สหรัฐอเมริกาส่งทหารและยุทโธปกรณ์ทางบก ทางเรือ และทางอากาศเข้า
ร่วมรบและปราบปรามเรือดาน้าของเยอรมนี และได้เพิ่มกาลังทหารเข้าไปในยุโรป
จานวนกว่า 1 ล้านคน หลังจากนั้นกองทัพเยอรมันก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ส่วน
ประเทศพันธมิตรของเยอรมันก็เริ่มพ่ายแพ้ ในวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918
ออสเตรีย-ฮังการีแยกเป็น 2 ประเทศและขอทาสัญญาสงบศึก ต่อมาในวันที่ 11
พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 เยอรมนีลงนามในสัญญาสงบศึก สงครามโลกครั้งที่ 1 จึงยุติ
ลง
37. 3. เกิดประเทศใหม่
อาหรับเดิม กลายเป็นประเทศตุรกี
จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี แตกออกเป็นประเทศเอกราชใหม่ ได้แก่
ออสเตรีย ฮังการี เชโกสโลวาเกีย ยูโกสลาเวีย
จักรวรรดิออตโตมัน ล่มสลาย แผ่นดินเดิมของจักรวรรดินอกจากที่ราบสูงอ
นาโตเลียได้ถูกแบ่งให้กลายเป็นอาณานิคมของผู้ชนะสงคราม
สหภาพโซเวียต ซึ่งได้ถอนตัวจากสงครามในปี 1917 ได้สูญเสียดินแดนของ
ตนเป็นจานวนมากทางชายแดนด้านตะวันตกกลายเป็นประเทศใหม่ ได้แก่ เอสโตเนีย
ฟินแลนด์ ลัตเวีย ลิทัวเนีย และ โปแลนด์
ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1
39. เช่น ปืนใหญ่ ปืนกล แก๊สพิษ รถถัง เรือดาน้า โดยเฉพาะเครื่องบินประเภทต่างๆ ซึ่ง
นาไปสู่การประดิษฐ์เครื่องบินโดยสารในเวลาต่อมา 4. เกิดการพัฒนาเครื่องมือ
เครื่องใช้ อาวุธยุทโธปกรณ์ รถถัง Mark I พัฒนาขึ้นโดยกองทัพบกอังกฤษ ใน
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ถือว่าเป็นรถถังรุ่นแรกที่เข้าสู่สนามรบ
ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1
40. ซากเรือดาน้า HMS E-18 ของอังกฤษ ที่หายสาบสูญไประหว่างลาดในบริเวณทะเลบอลติก
เรือรบ QUEEN ELIZABETH CLASS เรือรบที่ฝ่ายอังกฤษสร้างขึ้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 และ
ปรับปรุงใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย
41. 5. เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศต่างๆ เช่น ออสเตรีย เปลี่ยนการปกครองเป็นสาธารณรัฐ
เรียกว่า สาธารณรัฐออสเตรียที่ 1 ส่วนเยอรมนีเปลี่ยนการปกครองเป็นสาธารณรัฐ ซึ่งต่อมาเรียกว่า
สาธารณรัฐไวมาร์ สาหรับสหภาพโซเวียตเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบสังคมนิยม โดยเปลี่ยนชื่อ
ประเทศเป็นสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตหรือสหภาพโซเวียต (The Union of Soviet
Socialist Republics : U.S.S.R) เมื่อ ค . ศ . 1918 เนื่องจากการทาสงครามยาวนาน
ทาให้เกิดภาวะขาดแคลนต่างๆ และรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขได้ ประกอบกับการพ่ายแพ้ในการรบอยู่เนืองๆ
ชาวรัสเซียจึงก่อการปฏิวัติขึ้นก่อนสงครามโลกยุติลง กล่าวได้ว่า สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นตัวเร่งที่ทาให้
เกิดรัฐสังคมนิยมคอมมิวนิสต์แห่งแรกของโลก อียิปต์ ปาเลสไตน์ จอร์แดน และอิรัก เปลี่ยนเป็นรัฐใน
อารักขาของอังกฤษ ส่วนซีเรียและ เลบานอนอยู่ในอารักขาของฝรั่งเศส
ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1
42. 6. ประเทศผู้แพ้สงครามเมื่อถูกลงโทษด้วยการเสียดินแดน สูญเสียแหล่งทรัพยากร และ
ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามอย่างหนัก สร้างความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งว่าไม่ได้รับ
ความเป็นธรรม เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทาให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นอีก
7. ประเทศทั้งหลายตระหนักถึงความหายนะของสงคราม และพยายามที่จะหาทาง
ไม่ให้เกิดสงครามอีก ผู้นาแต่ละประเทศต่างต้องการเจรจาทาสัญญาสันติภาพ โดย
จัดตั้งองค์การระหว่างประเทศสันนิบาตชาติขึ้น
ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1
43. เป็นสนธิสัญญาสันติภาพที่จัดทาขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1919 ณ
พระราชวังแวร์ซาย ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการยุติสถานะสงครามระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรและ
จักรวรรดิเยอรมัน ซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ส่วนกลุ่มประเทศฝ่ายมหาอานาจ
กลางอื่น ๆ ได้มีการตกลงยกเลิกสถานภาพสงครามด้วยสนธิสัญญาฉบับอื่น แม้จะได้มีการลง
นามสงบศึกตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 แล้วก็ตาม การประชุมสันติภาพที่กรุงปารีส
กินเวลานานกว่า 6 เดือน จึงได้มีการสรุปสนธิสัญญา
สนธิสัญญาแวร์ซาย ( TREATY OF VERSAILLES )
46. สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเกิดขึ้นในรัชสมัยของรัชกาลที่ 6 เมื่อ พ.ศ. 2457 ไทยตั้งตัวเป็นกลาง
จนกระทั่งวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 ไทยจึงได้ประกาศสงครามกับเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการี
และส่งทหารอาสาสมัครไปช่วยรบ 1,233 นาย ในจานวนนี้เสียชีวิต 19 นาย
ทหารอาสาออกเดินทางเมื่อ พ.ศ. 2461 ถึงประเทศฝรั่งเศสอยู่ใต้บัญชาการของนายพล เป
แตง ซึ่งขณะนั้นดารงตาแหน่งแม่ทัพใหญ่ฝ่ายสัมพันธมิตร ได้ไปปฏิบัติการในสมรภูมิประเทศฝรั่งเศส
และเบลเยี่ยม การส่งทหารไปรบในครั้งนี้นับว่าเป็นประโยชน์เพราะเท่ากับได้ไปเรียนวิชาการทาง
เทคนิคการรบและการช่างในสมรภูมิจริง
ไทยกับการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 พ.ศ. 2457 - 2461
48. เมื่อเสร็จสงคราม มหาอานาจพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะ ประเทศไทยได้ส่งผู้แทนเข้าประชุม ณ
พระราชวังแวร์ซายด้วย ผลพลอยได้จากการเข้าสงครามนี้คือ สัญญาต่าง ๆ ที่ไทยทากับเยอรมนี
และออสเตรีย-ฮังการี ย่อมสิ้นสุดลงตั้งแต่ไทยประกาศสงคราม และไทยขอเจรจาข้อแก้ไข
สนธิสัญญาฉบับเก่า ซึ่งทาไว้กับอังกฤษ ฝรั่งเศส และชาติอื่น ๆ โดยได้ความช่วยเหลือจาก ดร.
ฟรานซิส บีแซร์ ( Dr. Francis B. Sayre) ชาวอเมริกา ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษา
ต่างประเทศ จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยากัลยา ณ ไมตรี ในที่สุดประเทศต่าง ๆ 13
ประเทศ รวมทั้งอังกฤษตามสนธิสัญญา พ.ศ. 2468 และฝรั่งเศสตามสนธิสัญญา พ.ศ. 2467 ตกลง
ยอมแก้ไขสัญญา โดยมีเงื่อนไขบางประการ ในที่สุดประเทศต่างๆ ก็ยอมทาสัญญาใหม่กับไทย เมื่อ
พ.ศ. 2480 ไทยได้อิสรภาพทางอานาจศาลและภาษีอากรคืนมาโดยสมบูรณ์
ไทยกับการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 พ.ศ. 2457 - 2461