SlideShare a Scribd company logo
1 of 175
Download to read offline
บทที่ 5 การปฏิสนธิและการเจริญเติบโตของสัตว์
รายวิชาชีววิทยา 4 (ว30244)
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561
• นายวิชัย ลิขิตพรรักษ์ ตาแหน่งครู คศ.1 เอกวิชาชีววิทยา
ประวัติการศึกษา :
• พ.ศ. 2549 วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกีรยตินิยมอันดับ 2) สาขาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล
• พ.ศ. 2551 ศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ เอกเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
• พ.ศ. 2552 ประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
• พ.ศ. 2555 สาธารณสุขศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ เอกสาธารณสุขศาสตร์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
• พ.ศ. 2558 ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการประเมินและการวิจัยทางการศึกษา
เอกวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง
ครูผู้สอน
วัฏจักรชีวิต(Life cycle)ของสิ่งมีชีวิตแบ่งได้3 แบบ
1. Haplontic cycle ระยะตัวเต็มวัย (Adult) จะเป็น Haploid (n)
ระยะที่เป็น 2n พบแค่ช่วงสั้นๆ พบในพวก protist โดยเริ่มที่ระยะมีหลายเซลล์ n เดียว
(haploid multicellular organism) จะสร้างเซลล์สืบพันธุ์โดยการแบ่ง
mitosis ได้ gamete n เดียว เมื่อ gamete มาปฏิสนธิกัน (fertilization) ได้
zygote 2n แล้วแบ่ง meiosis ได้เซลล์อย่างละ n แล้ว n จะแบ่ง mitosis หลายๆครั้ง
จนกระทั่งเป็นตัว เป็นต้นที่มีหลายเซลล์แต่ n เดียว เรียกว่า Haploidic cycle คือ ส่วน
ใหญ่ของวงจรชีวิตจะเป็น n เดียว พบในพวกราส่วนใหญ่และสาหร่ายบางชนิด
วัฏจักรชีวิต(Life cycle)ของสิ่งมีชีวิตแบ่งได้3 แบบ
2. Diplohaplontic cycle จะเป็นวงจรสลับระหว่างระยะที่มีโครโมโซมชุดเดียว
n เดียว (haploid) และระยะโครโมโซม 2n (diploid) สลับกัน พบในพืชชั้นต่่าพวกมอส
เฟิร์น บางครั้งเรียกว่า Alternation of Generation วงชีวิตแบบสลับ วงจรนี้แบ่งเป็น 2
ระยะ คือ ระยะ haploid multicellular organism เป็นระยะที่มีหลายเซลล์
โครโมโซม n เดียว เรียกว่า gametophyte หรือต้นที่สร้าง gamete แบ่ง mitosis ได้
gamete n เดียว มา fertilization ได้ zygote 2n แล้วแบ่ง mitosis หลายๆเซลล์
ได้ เป็นต้นใหญ่ขึ้นมา เรียกว่า diploid multicellular organism หรือ
sporophyte 2n เพราะฉะนั้นวงชีวิตแบบนี้จะมีระยะ n กับ 2n อย่างละครึ่งเพราะเป็นพวก
พืชชั้นต่่าและพวกสาหร่าย มีระยะ gametophyte และ sporophyte เท่าๆกัน หรือ
บางครั้งเรียกว่า Alternation of Generation
วัฏจักรชีวิต(Life cycle)ของสิ่งมีชีวิตแบ่งได้3 แบบ
3. Diplontic cycle ระยะส่วนใหญ่ของวงจรชีวิต
หรือวัฏจักรชีวิตเป็น 2n (diploid) ส่วนระยะ n จะเกิดแค่ช่วง
สั้นๆ พบในพืชชั้นสูง สัตว์ชั้นสูง โดยเริ่มที่ระยะ 2n เป็นระยะที่พบ
มากในวงชีวิต เป็น diploid multicellular organism แล้ว
จะสร้าง gamete โดยการแบ่ง meiosis เป็น sperm กับ egg
n เดียวซึ่งเป็นระยะสั้นๆ พอแบ่งเสร็จ sperm ผสมกับ egg
fertilization ได้ zygote 2n แบ่ง mitosis หลายๆ ครั้งจน
เป็นตัวหรือเป็นต้นที่มี 2n ในพืชชั้นสูง คือ พืชดอก ต้นที่เราเห็นคือ
sporophyte มี diploid (2n) เป็นต้นที่เราเห็นอายุยืนยาว
ภายในดอก ถ้าเป็นเกสรตัวผู้ภายในจะมีการแบ่ง meiosis เพื่อสร้าง
microspore แล้วเจริญไปเป็น pollen ตัวเมียมีการสร้าง
embryo sac ซึ่งจะมี egg อยู่ข้างใน แล้วใน pollen ซึ่งภายใน
จะมี sperm nucleus ก็ผสมกับ egg nucleus เกิด
fertilization เพราะฉะนั้น ระยะที่เป็น n เป็นแค่ embryo
sac กับ pollen เท่านั้น แล้วในระยะส่วนใหญ่ที่เราเห็นจะเป็นระยะ
sporophyte 2n
การเจริญเติบโตของสัตว์(Growth and Development)
• การเจริญของสัตว์ จะนับหลังจากระยะ zygote เป็นต้นไป zygote คือ fertilized egg
หรือไข่ที่ผสมแล้วคือเซลล์ร่างกายเซลล์แรกซึ่งต่อไปจะมีการแบ่งนิวเคลียสแบบ mitosis แบ่ง
เซลล์เพิ่มจ่านวนมากมายจนกระทั่งเป็นตัวสัตว์ขึ้นมา ตัวอย่างเช่นในคนเมื่อโตแล้วจะมีเซลล์ทั้งหมด
ประมาณ 60 ล้านล้านเซลล์ซึ่งมาจาก zygote เซลล์เดียวเท่านั้น การเจริญแบ่งขั้นตอนได้ 4 ขั้น
ด้วยกันคือ
1. Cell multiplication การเพิ่มจ่านวนเซลล์โดยการแบ่งนิวเคลียสแบบ mitosis และ
แบ่ง cytoplasm ต่อไป
2. Growth การเติบโต เซลล์แต่ละเซลล์ที่แบ่งแล้วตอนหลังจะมีการขยายขนาดขึ้น ผลท่าให้
embryo มีขนาดใหญ่ขึ้นนั่นเอง
3. Cell differentiation การเปลี่ยนสภาพของเซลล์ คือ การที่เซลล์มีการเปลี่ยนรูปร่างให้
เหมาะกับหน้าที่ เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดงจะกลมแบน เซลล์ประสาทจะมีแขนงยื่นออกไป เป็นต้น
4. Organogenesis morphogenesis กระบวนการสร้างอวัยวะและการเกิดรูปร่างที่
แน่นอน
The human life cycle
(1) ไข่ระยะ secondary oocyte ซึ่งพร้อมที่จะผสมพันธุ์หลุดออกจากรังไข่ (ovulation) เข้าไปอยูใน
ท่อนาไข่ (oviduct) การปฏิสนธิเกิดขึ้นภายในท่อนาไข่ได้เป็นไซโกต (zygote)
(2) cleavage เริ่มเกิดขึ้นขณะที่เอมบริโอเคลื่อนตัวมาสู่มดลูก สิ้นสุดจะได้กกลุ่มเซลล์ เรียกว่า morula
(3) ขณะที่มาถึงมดลูกเอมบริโอจะมีการเคลื่อนที่ของกลุ่มเซลล์แยกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
3.1 trophoblast เป็นกลุ่มเซลล์ที่เรียงตัวกันชั้นเดียวอยู่รอบนอก ซึ่งต่อไปจะเจริญรวมกับเนื้อเยื่อของผนัง
มดลูกกลายเป็นรก (placenta) 3.2 กลุ่มเซลล์ที่อยู่ภายใน เรียกว่า inner cell mass เป็นส่วนที่จะเจริญ
ต่อไปเป็นเอมบริโอ เรียกเอมบริโอระยะนี้ว่า blastocyst
(4) blastocyst จะฝังตัวในผนังมดลูก ซึ่งเอมบริโอเจริญมาได้ประมาณ 7 วันหลังการปฏิสนธิ
ชนิดไข่ของสัตว์สามารถจ่าแนกได้ดังนี้
1. จาแนกได้เป็น 4 ชนิด ตามการกระจายของไข่แดง
• 1.1 Isolecithal egg เป็นพวกที่มีไข่แดงน้อยและกระจายทั่วไปภายในเซลล์ ตัวอย่าง เช่น ไข่หอยเม่น
ไข่ปลาดาว และไข่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
• 1.2 Mesolecithal egg เป็นพวกที่มีไข่แดงปานกลางและไข่แดงมักจะอยู่หนาแน่นที่ขั้วใดขั้วหนึ่งของ
เซลล์ ตัวอย่างเช่น ไข่กบ
• 1.3 Telolecithal egg เป็นพวกที่มีไข่แดงมากและไข่แดงอยู่หนาแน่น ตัวอย่างเช่น ไข่นก ไข่ไก่ไข่
ปลา และไข่ของสัตว์เลี้อยคลาน
• 1.4 Centrolecithal egg เป็นพวกที่มีไข่แดงอยู่ตรงกลาง ตัวอย่าง เช่น ไข่แมลง
ชนิดไข่ของสัตว์สามารถจ่าแนกได้ดังนี้
2. ชนิดของไข่ จาแนกออกตามปริมาณมากน้อยของไข่แดงได้ดังนี้ คือ
• 2.1 Alecithal egg เป็นไข่ชนิดที่มีไข่แดงน้อยมากจนเกือบไม่มีเลย ขนาดของไข่จึงเล็กมาก ตัวอ่อนที่
เกิดจากไข่ชนิดนี้ต้องอาศัยอาหารจากแม่ทางรก ได้แก่ ไข่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
• 2.2 Microlecithal egg เป็นไข่ชนิดที่มีไข่แดงน้อย เช่น ไข่ของหอยเม่น ดาวทะเล เป็นต้น
• 2.3 Mesolecithal egg เป็นไข่ชนิดที่มีไข่แดงปานกลาง ไข่มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่น ไข่ของสัตว์สะเทินน้า
สะเทินบก
• 2.4 Polylecithal egg เป็นไข่ชนิดที่มีไข่แดงมาก จนทาให้ส่วนของนิวเคลียสและไซโทพลาสซึมถูกดัน
ไปอยู่ด้านบนของไข่ ได้แก่ ไข่ของสัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลาน รวมทั้งไข่แมลงด้วย
ชนิดไข่ของสัตว์สามารถจ่าแนกได้ดังนี้
3. แอนิมัลโพล (Animal pole) แบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ
• 3.1 ไข่ชนิดมอเดอเรทลี เทโลเลซิทัล (Moderately telolecithal egg) เป็นไข่ชนิดที่ไข่แดงกระจายอยู่ในไซ
โทพลาสซึม ไม่สม่าเสมอจะไปอยู่กันหนาแน่นที่ข้างใดข้างหนึ่งของเซลล์ ได้แก่ ไข่ของสัตว์ สะเทินน้าสะเทินบก
• 3.2 ไข่ชนิดเฮพวิลี เทโลเลซิทัล (Heavily telolecithal egg) เป็น ไข่ที่มีไข่แดงมารวมกันเป็นกลุ่มก้อน
ด้านล่างของไข่ ส่วนนิวเคลียสและไซโทพลาสซึมที่เหลือ จะรวมกันเป็นแผ่นเล็กๆ เรียกว่า บลาสโตดิสต์
(Blastodisc) ซึ่งจะถูกดันให้ไปอยู่ที่ ขอบเซลล์ ได้แก่ ไข่ของนก สัตว์เลื้อยคลาน และปลากระดูกแข็ง
• 3.3 ไข่ชนิดเซนโทรเลซิทัล (Centrolecithal egg) เป็นไข่ที่มีไข่แดงจับกลุ่มกันอยู่ตรงกลาง ที่มีไซโทพลาสซึม
ล้อมรอบ ได้แก่ ไข่ของพวกแมลง
การปฏิสนธิของคน(Fertilization in Human)
• ในคนปกติไข่จะตกหลังจากมีประจาเดือนวันแรก 14 วัน หรือ 2 สัปดาห์เมื่อมีการร่วมเพศฝ่ายชาย
จะหลั่งน้าอสุจิ ซึ่งประกอบด้วย อสุจิเป็นจานวนล้านๆ ตัวเข้าไปในช่องคลอดของฝ่ายหญิงอสุจิจะ
แหวกว่ายจากช่องคลอดเข้าไปยังมดลูก และปีกมดลูกด้วยความเร็ว 1.5 - 3 มิลลิเมตรต่อนาที ถ้า
ตรงกับช่วงไข่ตกพอดีไข่และอสุจิจะผสมกันที่บริเวณปีกมดลูกเกิดการปฎิสนธิขึ้น
• ในสัตว์บางชนิดเมื่ออสุจิเข้าไปถึงไข่พร้อมๆ กัน อสุจิทุกตัวจะพยายามเจาะไข่ การที่อสุจิเจาะไข่ได้
มากกว่า 1 ตัว เรียกลักษณะเช่นนี้ว่า POLYSPERMAE เพราะฉะนั้น ไข่จะมีการป้องกันไม่ให้อสุจิ
เข้าไปในไข่มากกว่า 1 ตัวโดยการสร้างสารบางอย่างขึ้นมาล้อมรอบไข่หลังจากที่อสุจิตัวแรกเจาะ
เข้าไข่แล้ว ไข่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและจะไม่ยอมให้อสุจิตัวอื่นผ่านเข้าไปได้อีกในคน
ปฏิกิริยาเช่นนี้เรียกว่า ZONA REACTION
การตั้งครรภ์(Pregnancy)
• เมื่อเกิดการตกไข่และไข่รวมกับตัวอสุจิ ที่เรียกว่า การปฏิสนธิ ไข่ที่ถูกผสมแล้วจะเริ่มมี
การแบ่งตัวจนเป็นกลุ่มเซลล์ ที่เราเรียกว่า เอ็มบริโอ (Embryo) ขณะที่เซลล์เกิดการ
แบ่งเซลล์ ก็จะเคลื่อนที่ไปตามท่อน่าไข่ และเคลื่อนที่ไปฝังตัวที่ผนังมดลูกชั้นในที่สร้าง
หนาขึ้น การเจริญเติบโตของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในระยะ CLEAVAGE นั้นคล้ายกับ
สัตว์อื่นๆ แต่ในระยะ Blastula ไข่ที่เป็น Isolecithal คือ พวกที่มีไข่แดงน้อย
และกระจายอยู่ทั่วไปภายในเซลล์จะมีช่องที่เรียกว่า Blastocyst cavity ส่วนกลุ่ม
เซลล์ที่เห็นเรียงตัวกันอยู่รอบนอก เรียกว่า Trophoblast และยังมีกลุ่มเซลล์อีกกลุ่ม
หนึ่งอยู่ทางด้านใน เรียกกลุ่มเซลล์นี้ว่า Inner cell mass จากนั้นเอ็มบริโอก็จะมี
การเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปเรื่อยๆ จนอายุครบ 8 สัปดาห์ (2 เดือน) จึงมีอวัยวะครบ และมี
ลักษณะทุกอย่างเหมือนคน กระดูกอ่อนก็จะเปลี่ยนเป็นกระดูกแข็ง เรียกระยะที่มีอวัยวะ
ทุกอย่างครบ และมีลักษณะเหมือนคนทุกประการ เรียกว่า ฟีตัส (Fetus) ต่อมาฟีตัสก็
จะเจริญต่อไปในท้องแม่ อีกประมาณ 7 เดือน จึงคลอดออกมาเป็น “ทารก”
การปฏิสนธิของคน(Human fertilization)
การทดสอบการตั้งครรภ์นั้นมีอยู่2แบบคือ
การทดสอบตั้งครรภ์ด้วยปัสสาวะ
• ชุดทดสอบการตั้งครรภ์จะให้ผลแม่นย่าที่สุดเมื่อท่าการทดสอบหลังจากรอบเดือนขาดไปแล้วหนึ่ง
สัปดาห์ แม้ว่าชุดทดสอบการตั้งครรภ์ส่วนใหญ่จะได้รับการกล่าวอ้างว่าให้ผลการทดสอบที่แม่นย่า
ถึงร้อยละ 99 ก็ตาม ผลการทดสอบอาจมีความคลาดเคลื่อนได้ เพราะโอกาสที่ตัวอ่อนจะฝังตัวบน
ผนังมดลูกหลังจากประจ่าเดือนไม่มาวันแรกมีสูงถึงร้อยละ10 ซึ่งในกรณีนี้ ระดับฮอร์โมนhCG
อาจจะยังไม่สูงพอที่จะวัดได้
• อย่างไรก็ตามผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าชุดทดสอบการตั้งครรภ์ส่วนใหญ่สามารถตรวจวัดระดับ
ฮอร์โมน hCG หลังจากประจ่าเดือนไม่มาเพียงวันเดียวได้ค่อนข้างแม่นย่าอีกทั้งการทดสอบด้วย
ตัวอย่างน้่าปัสสาวะแรกหลังจากตื่นนอนนั้นจะให้ค่าระดับฮอร์โมน hCG สูงที่สุด
การตรวจเลือด (beta hCG)
• หากไม่ต้องการรอนาน การทดสอบแบบนี้อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดเพราะสามารถทดสอบ
การตั้งครรภ์ได้แม้ฮอร์โมนhCG มีระดับต่่าโดยอาศัยการนับระยะของการตกไข่การทดสอบเลือด
นี้สามารถทดสอบได้ตั้งแต่ช่วงวันที่ 6-8 หลังจากไข่ตกขณะที่การทดสอบปัสสาวะนั้นปกติจะท่า
การทดสอบหลังจากไข่ตกแล้วประมาณ14-21 วัน
ภาพแสดงการพัฒนาตัวอ่อนหลังการปฏิสนธิและตั้งครรภ์
Embryonic development
เป็นการศึกษาช่วงระยะการเจริญของเอมบริโอ ซึ่งจะเริ่มต้นหลังจากไข่เกิดการ
ปฏิสนธิแล้ว เอมบริโอระยะแรกคือไซโกต ระยะเอมบริโอจะสิ้นสุดเมื่อเกิดอวัยวะต่างๆครบ
ในสัตว์ชนิดต่างๆจะมีช่วงเวลาของการเกิดเอมบริโอแตกต่างกัน เช่นในคน
ประมาณ 8-10 สัปดาห์ ไก่ประมาณ 4 วัน และกบประมาณ 2 วัน เป็นต้น
จากไซโกตซึ่งเป็นเซลล์เดี่ยวไปสู่สภาพที่ซับซ้อนขึ้น โดยเกิดขึ้นเป็นลาดับขั้นตอน
ต่างๆดังนี้
1. Cleavage
2. Blastula
3. Gastrulation
4. Organogenesis
Embryonic development : Cleavage
เป็นกระบวนการที่ไซโกตมีการแบ่งเซลล์แบบ mitotic division อย่างรวดเร็วทาให้
ได้เอมบริโอที่มีหลายเซลล์
1. Cleavage
2. Blastula
3. Gastrulation
4. Organogenesis
1
2
3 4
Zygote ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่
1. vegetal pole
2. animal pole
•ไข่กบ 2 ส่วนนี้มีสีแตกต่างกัน
•cytoplasm ของไข่กบจัดเรียงตัวใหม่ขณะ
เกิด fertilization ทาให้เกิดบริเวณสีเทา ที่
เรียกว่า gray crescent ซึ่งเกิดบริเวณตรง
กลางของไข่ด้านตรงข้ามกับที่ sperm เจาะ
เข้าไป
•Cleavage ที่ animal pole เกิดขึ้นเร็วกว่าที่
vegetal pole
•ผลของ cleavage ได้เอมบริโอมีลักษณะ
เป็นก้อนกลมตัน เรียกว่า morula
•ต่อมาเกิดช่องว่างที่มีของเหลวบรรจุอยู่
(blastocoel) ภายใน morula เรียกเอมบริโอ
ระยะนี้ว่า blastula (blastulation)
คลีเวจของเอมบริโอสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้า
คลีเวจของเอมบริโอสัตว์ปีกและสัตว์เลื้อยคลาน
สาหรับไข่พวกนกและสัตว์เลื้อยคลานเป็นไข่ที่มีไข่แดงมาก คลีเวจเป็นแบบ
meroblastic คือเซลล์ไม่แบ่งตัวตลอดไข่ แนวการแบ่งจะเกิดเฉพาะบริเวณด้านบนของ
ไข่ซึ่งมีไซโตพลาสซึมและนิวเคลียสอยู่เท่านั้น คือบริเวณ germinal disc
Embryonic development : blastulation
เป็นขั้นการเจริญของตัวอ่อนสัตว์ที่มีต่อจากระยะคลีเวจโดยเซลล์บลาสโตเมียร์ จะมา
จัดเรียงตัวใหม่ อย่างเป็นระเบียบเป็นชั้นเดียวอยู่ที่ผิว ท่าให้มีลักษณะคล้ายลูกบอลที่มีโพรงอยู่ข้าง
ใน เรียกว่า บลาสโทซีล (Blastocoel) ตัวอ่อนในระยะนี้เรียกว่า บลาสทูลา (Blastula) และชั้นของ
เซลล์ เรียกว่า บลาสโทเดิร์ม (Blastoderm)
Blastula ของเอมบริโอ สัตว์ปีกและสัตว์เลื้อยคลาน
ลักษณะของ blastula เห็นเป็นแผ่นเรียกว่า
bastodisc ซึ่งจะเรียงตัวแยกเป็น 2 ชั้น ชั้นนอกเรียก
epiblast และชั้นในเรียก hypoblast ช่องว่างตรงกลางเรียก
blastocoel (blasstulation)
blastulation of human
Embryonic development : Gastrulation
Gastrulation เป็นกระบวนการเกิดเนื้อเยื่อ 3 ชั้น เรียก embryonic germ layers
1. ectoderm เนื้อชั้นนอกของ gastrula
2. mesoderm เนื้อชั้นกลาง
3. Endoderm เนื้อชั้นในซึ่งเป็นท่อยาว
ระยะเอมบริโอนี้เรียกว่า Gastrula
ระยะนี้เกิด cell motility / changes in cell shape / changes in cellular adhesion
กลุ่มเซลล์ทางด้านบนมีการแบ่งตัว
อย่างรวดเร็ว และเคลื่อนที่แผ่ลงคลุม
เซลล์ทางด้านล่าง พร้อมกันนั้นตรง
บริเวณที่จะเกิดเกิดเป็น blastopore จะ
มีการบุ๋มตัวของกลุ่มเซลล์เหล่านี้ กลุ่ม
เซลล์ที่เคลื่อนที่จะลงมาจากด้านบน
และม้วนตัวผ่านตรง blastopore เข้าสู่
ภายใน ท่าให้ได้เป็นเอมบริโอที่มีเนื้อ 3
ชั้น ช่องว่างภายในที่เกิดขึ้นใหม่คือ
archenteron
Gastrulation ของกบ
Gastrulation ของไก่
ระยะ gastrulationกลุ่มเซลล์ epiblast ด้านขวาและซ้ายจะเคลื่อนที่เข้าสู่แนวกลาง เรียกว่า primitive
streak และกลุ่มเซลล์จะม้วนตัวเข้าไปข้างใน โดยกลุ่มเซลล์ทางด้านหน้าสุดของ primitive streak ที่
เรียกว่า Hensen’s node ม้วนตัวเข้าไปก่อนเกิดเป็นแท่ง notochord บางกลุ่มเจริญเป็นชั้น mesoderm บาง
กลุ่มเคลื่อนที่ลงไปด้านล่างเกิดเป็น endoderm และกลุ่มเซลล์ที่อยู่ด้านนอกเกิดเป็น ectoderm
Embryonic development : Organogenesis
การเกิดอวัยวะต่างๆ จากเนื้อเยื่อ 3 ชั้น
•neutral tube และ notochord เป็นอวัยวะแรกที่เกิดขึ้นในกบ และ สัตว์พวก chordate อื่นๆ
•dorsal mesoderm เหนือ archenteron รวมกันเกิดเป็น notochord
•ectoderm เหนือ notochord หนาตัวขึ้นเกิดเป็น neutral plate แล้วบุ๋มลงไปเป็น neutral tube ซึ่ง
ต่อไปจะเจริญเป็น brain, spinal cord
•อวัยวะอื่นๆ เกิดขึ้นตามมา
Ectoderm ระบบสปกคลุมร่างกาย (หนังก่าพร้า, ผม, เล็บ). ระบบประสาท (สมอง, ไขสันหลัง, เรติ
นา, pituitary gland), สารเคลือบฟัน (enamel), adrenal medulla, เลนส์ตา
Mesoderm ระบบหมุนเวียนและน้่าเหลือง, ระบบขับถ่าย, ระบบสืบพันธุ์, adrenal cortex,กล้ามเนื้อ
และกระดูก, notochord, หนังแท้, เนื้อฟัน, เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
Endoderm Parathyroid gland, thyroid gland, ต่อมทอนซิล, ต่อมไทมัส, ตับ, ตับอ่อน, ทางเดิน
อาหาร, ทางเดินอากาศ, กระเพาะปัสสาวะ
Organogenesis
เมื่อกระบวนการ gastrulation เสร็จสิ้นลง เอมบริโอเข้าสู่ขั้นที่เตรียมพร้อมที่จะเติบโตอย่าง
อิสระ เนื้อเยื่อต่างๆจะเรียงตัวตามต่าแหน่งที่จะปรากฏในขั้นเต็มวัย จับกลุ่มกันขึ้นเป็นเนื้อเยื่อและ
อวัยวะตามต่าแหน่งที่เฉพาะเจาะจง และเริ่มอย่างมีอิสระแต่มีการประสานงานกัน มีการจับกลุ่มกัน
ของเซลล์ขึ้นเป็นรูปร่าง
Originofananimal’sbodyparts
Cell differentiation
ในระยะเอมบริโอของสัตว์มีกระดูกสันหลัง มี pharyngeal pouches และ gill clefts
โครงสร้างนอกตัว embryo (Extra embryonic membrane)
• จะพบเฉพาะในสัตว์ 3 พวก คือ 1. สัตว์ปีกหรือพวกนก 2. สัตว์เลื้อยคลาน และ 3. สัตว์เลี้ยงลูกด้วย
น้่านม
• เป็นโครงสร้างที่อยู่นอกตัวเอมบริโอ ประกอบด้วย 4 อย่าง ได้แก่ 1. yolk sac ถุงไข่แดง 2. Amnion
ถุงน้่าคร่่า 3. chrion และ 4. allantois
1. Yolk sac ถุงไข่แดง ในพวกนกและสัตว์เลื้อยคลานเป็นสัตว์ที่มีไข่แดงมาก เพราะฉะนั้นถุงไข่แดงจึงมี
ไข่แดงอยู่ข้างใน ส่วนในคนหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้่านมไม่มีไข่แดงฉะนั้นถุงนี้ก็มีไว้เฉยๆ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่อง
วิวัฒนาการว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้่านมมีต้นตระกูลเป็นสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์เลื้อยคลานมี yolk sac และมี
ไข่แดงอยู่ข้างใน นกก็มีต้นตระกูลเป็นสัตว์เลื้อยคลานเหมือนกัน ใน yolk sac มีไข่แดง แต่ในคนและสัตว์
เลื้อยลูกด้วยน้่านมอื่นๆ นั้นไข่แดงไม่มีแล้ว แต่เนื่องจากว่ามันมีต้นตระกูลเป็นสัตว์เลื้อยคลานก็เลยมี
yolk sac เหลือให้เราเห็นแต่ไม่ท่างาน
2. Amnion ถุงน้่าคร่่า ในสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ปีกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วนน้่านมท่าหน้าที่เหมือนกันคือ
ป้องกันอันตรายให้แก่ embryo เพราะว่าในถุงน้่าคร่่าจะมีของเหลวเรียกว่า amniotic fluid เนื่องจากสัตว์
พวกนี้วางไข่บนบก เพเราะฉะนั้นรอบตัว embryo ต้องมีน้่าล้อมรอบป้องกันอันตราย ส่วนพวกปลาพวก
กบ ไม่มี Amnion เพราะพวกนี้วางไข่ในน้่ามีน้่าล้อมรอบตัวไข่อยู่แล้ว
โครงสร้างนอกตัว embryo (Extra embryonic membrane)
3. Chorion เป็นเยื่อชั้นนอกสุดของ Embryo เป็นโครงสร้างอยู่นอกตัว ในนกป้องกันการระเหยของน้่า
ในคนจะเจริญไปเป็นรก Chorion มาจากกลุ่มเซลล์ในระยะ Blastocyst ที่เรียกว่า Trophoblast ต่อไป
เป็น Chorion เนื่องจากมันอยู่นอกสุดมันจะไปปะติดกับผนังมดลูกของแม่กลายเป็นส่วนหนึ่งของรก
เรียกว่ารกลูกหรือ Fetal placenta
4. Allantois ในนกและสัตว์เลื้อยคลานจะเก็บของเสียและแลกเปลี่ยนก๊าซ ของเสียที่เก็บเป็นกรดยูริค
สัตว์พวกนี้ไข่แดงมากดังนั้นกว่าจะออกจากไข่ต้องใช้เวลานาน ฉะนั้นถ้าปัสสาวะเป็นน้่า จะไม่มีที่เก็บจึง
ขับของเสียในรูปกรดยูริค เป็นของแข็งเก็บในถุงนี้ได้
ในคนมีแต่ไม่ทำงำนเหมือนในนกและสัตว์เลื้อยคลำน แต่จะเจริญเป็นส่วนหนึ่งของรกคือรกลูกนั่นเอง
เพรำะในคนรกจะเป็นตัวที่ติดต่อระหว่ำงแม่กับลูก แม่ก็มีเส้นเลือดมำที่รกนำอำหำรออกซิเจนมำให้ลูก
ลูกมีเส้นเลือดติดต่อรก นำของเสีย CO2 ไปทิ้ง
รกหรือPlacenta ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
1. รกลูก ประกอบด้วย Chorion กับ Allantois
2. รกแม่ คือ ผนังชั้นในของมดลูก uterine tissue ที่เรียกว่ำ Endometrium
Becareful
This opposite
the normal
circulation
การเจริญของ extraembryonic membranes ของไก่
Yolk sac มีลักษณะเป็นถุงหุ้มไข่แดง มีเซลล์ย่อยสลายไข่แดง และเยื่อหุ้มเจริญเป็นเส้นเลือด
ท่าหน้าที่ล่าเลียงอาหาร ด้านข้างแผ่เข้าไปคลุมเอมบริโอและในที่สุดเชื่อมติดกัน ท่าให้เกิดเยื่ออีก 2 ชั้น
ได้แก่ amnion และ chorion เกิดเป็นช่องว่างหุ้มเอมบริโอไว้ เพื่อป้องกันอันตราย amnion เป็นถุงหุ้ม
เอมบริโอภายในมีน้่าคร่่า (amniotic fluid) โดยมี chorion หุ้มอยู่อีกชั้นหนึ่ง นอกจากนี้มีถุงยื่นออกมา
จากส่วนทางเดินอาหาร ท่าหน้าที่ก่าจัดของเสีย เรียกว่า allantois ซึ่งจะแผ่ไปถึงและดันให้ chorion ติด
กับเยื่อชั้นในของเปลือกไข่ (vitelline membrane) allantois และ chorion รวมกันเจริญเป็นอวัยวะช่วย
ในการหายใจ โดยมีเส้นเลือดที่เจริญมาจาก allantois ท่าหน้าที่ล่าเลียงออกซิเจน
(1) หลังจาก cleavage ได้ blastocyst ซึ่งประกอบด้วย
trophoblast และ inner cell mass มีช่อง blastocoel
(2) blastocyst เป็นระยะที่จะฝังตัวเข้าไปในมดลูก และ
gastrulation จะเกิดขึ้นทันที trophoblast เป็นกลุ่มเซลล์ที่
เรียงอยู่ด้านนอก ซึ่งจะเจริญรวมกับผนังมดลูกกลุ่มเซลล์
inner cell mass แยกตัวเป็น epiblast ซึ่งจะเจริญเป็นเนื้อ 3
ชั้น และ hypoblast ซึ่งจะแผ่ตัวเป็นเยื่อชั้นในเป็น yolk sac
(3) ระยะนี้ trophoblast เริ่มเจริญร่วมกับผนังมดลูกเป็น
chorion ส่วน epiblast เจริญเป็น amnion ภายในมี
ของเหลวเรียกว่าน้่าคร่่า (amniotic fluid) บางส่วนของ
epiblast แยกเป็น mesodermal cell เจริญรวมกับchorion
เป็นรก (placenta)
(4) กลุ่มเซลล์epiblast มีการม้วนตัวเข้าสู่แนวกลางตัวเกิด
primitive streak และมีการม้วนตัวเข้าไปข้างในเกิดเป็น
เนื้อ 3 ชั้น อยู่ภายใน extraembryonic membranes
การเจริญของเอมบริโอของคนและ extraembryonic membranes
สรุป: กระบวนการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอของสัตว์
• ไข่เมื่อได้รับการผสมแล้วจะกลายเป็นไซโกต (Zygote) แล้วมีการแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซีส ไซโกตจะ
มีการเปลี่ยนแปลง ต่อเนื่องกัน 4 ระยะ คือ
• 1. CLEAVAGE เริ่มจากไซโกตแบ่งตัวจาก 1  2  4  8 ... จนกระทั้งเซลล์มาเกาะกันเป็นก้อน
กลมๆ เรียกก้อนกลมๆนี้ว่า โมรูลา (MORULA) มีลักษณะคล้ายลูกน้อยหน่า
• 2. BLASTULA เป็นตัวอ่อนในระยะที่มีการเคลื่อนที่ของเซลล์เพื่อให้ได้ช่องว่างในตัวอ่อนเรียกช่องว่าง
นี้ว่า BLASTOCOEL และเรียกเซลล์ที่ล้อมช่องว่างว่า BLASTODERM
สรุป: กระบวนการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอของสัตว์
• 3 GASTRULA เป็นตัวอ่อนที่ต่อจากระยะ BLASTULA คือ เซลล์แบ่งตัวแล้วเคลื่อนที่
เข้าข้างในเห็นตัวอ่อนเป็นรูปถ้วย ซึ่งดูคล้ายมีผนัง 2 ชั้น คือ ชั้นนอกและชั้นในและ
ในตอนนี้จะเห็นมีช่องว่าง 2 ช่อง คือ BLASTOCOEL และ ARCHENTERON ซึ่งช่อง
ARCHENTERON ต่อไปจะเจริญไปเป็นทางเดินอาหาร ต่อมาจะเกิดเนื้อเยื่อแทรก
ระหว่าง เนื้อเยื่อชั้นนอกและเนื้อเยื่อชั้นใน เนื้อเยื่อที่เกิดขึ้นใหม่นี้คือเนื้อเยื่อชั้นกลางใน
ตอนท้ายระยะ GASTRULA จะมการสร้าง ระบบประสาทขึ้น
• 4 DIFFERENTIATION คือขบวนการที่เนื้อเยื่อ 3 ชั้น คือ ชนนอก (ectoderm) ชั้นกลาง
(mesoderm) ชนใน (endoderm) เปลี่ยนแปลงไปเป็นโครงสร้างต่างๆของร่างกาย คือ
DIFFERENTIATION
• Ectoderm (เนื้อเยื่อชั้นนอก)เปลี่ยนแปลงไปเป็น
• ผิวหนัง ขน เขา เล็บ เกล็ด กีบเท้าสัตว์
• ระบบประสาท (สมอง,ไขสันหลัง)
• ต่อมใต้สมองส่วนหน้า และส่วนกลาง
• สารเคลือบฟัน ต่อมน้่าลาย
• ต่อมหมวกไตชั้นใน ต่อมใต้สมองส่วนท้าย
• Mesoderm (เนื้อเยื่อชั้นกลาง) เปลี่ยนแปลงไปเป็น
• ระบบโครงกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ
• ระบบหมุนเวียนโลหิต (หัวใจ เส้นเลือด เลือด ม้าม)
• ระบบขับถ่าย (ไต) - ระบบสืบพันธุ์ (อัณฑะ รังไข่)
DIFFERENTIATION
• Endoderm (เนื้อเยื่อชั้นใน) เปลี่ยนแปลงไปเป็น
• ระบบทางเดินอาหาร (หลอดอาหาร,กระเพาะอาหาร , ล่าไส้ , ตับ , ตับอ่อน)
• ระบบหายใจ (หลอดลม , ปอด) - ต่อมทอนซิล หูส่วนกลาง ต่อมไทรอยด์
• ต่อมพาราไทรอยด์ อัลแลนตอยด์ ถุงไข่แดง
• กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ
• เซลล์ที่จะเจริญเป็นเซลล์สืบพันธุ์ (primordial germ cell)
• การคลอด (Parturition) การตั้งครรภ์ในคน กินเวลาประมาณ 270 วัน นับตั้งแต่การ
ผสมของไข่ หรือ 284 วัน นับตั้งแต่วันแรกของประจ่าเดือนครั้งสุดท้าย ในระยะสุดท้าย
ของการตั้งครรภ์ มดลูกจะบีบตัวเป็นครั้งคราว และการบีบตัวนี้จะเกิดบ่อยขึ้น ในระยะนี้
กล้ามเนื้อมดลูกจะมีความไวในการตอบสนองต่อ ออกซิโทซิน (oxcytocin) มากขึ้น
เมื่อเริ่มเจ็บท้อง ศีรษะของเด็กที่ดันขยายส่วนล่างของมดลูก จะมีผลกระตุ้นให้มีการขับออก
ซิโทซินออกมามากขึ้น มีผลท่าให้มดลูกบีบตัวแรงขึ้น ท่าให้เกิดการคลอดได้
พัฒนาการ-ของทารกในครรภ์ช่วง9เดือนภายในครรภ์มารดา
• พัฒนาการทารกในครรภ์ นั้นเริ่มนับตั้งแต่วันแรกของการมีประจ่าเดือนครั้งสุดท้าย แม้
คุณหมอจะบอกคุณว่าตั้งครรภ์ได้ 1 เดือน แต่ความเป็นจริงคือ 2 สัปดาห์หลังจากการ
ปฏิสนธิ การตั้งครรภ์โดยปกตินั้นมีระยะเวลาเฉลี่ยคือ 40 สัปดาห์
• 1 เดือนแรก (3 สัปดาห์นับจากวันแรกของประจ่าเดือนครั้งสุดท้าย) เป็นช่วงเวลาที่ไข่ได้
ผสมกับอสุจิกลายเป็นตัวอ่อน โดยไข่ที่ได้รับการผสมแล้วจะเคลื่อนตัวช้าๆ ผ่านท่อน่าไข่
มายังโพรงมดลูก ขณะเคลื่อนตัวก็จะมีการแบ่งเซลล์เพิ่มจ่านวนมากขึ้นเรื่อยๆ จะกระทั่ง
ถึงโพรงมดลูกไข่จะมีลักษณะเป็นลูกกลม ประกอบไปด้วยเซลล์ราว 100 เซลล์ และยังคง
เจริญเติบโตต่อไป ไข่ที่ผ่านการผสมแล้วจะฝังตัวลงในเยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งมีลักษณะนุ่ม
และหนา จนเมื่อยึดเกาะติดมั่นคงดีแล้วจึงถือได้ว่าการปฏิสนธิเป็นไปอย่างสมบูรณ์
• ช่วงเดือนที่ 2 (เริ่มสังเกตเห็นทารกชัดเจน) เมื่อไข่ที่ผสมแล้วยึดเกาะติดฝังตัวลงในเยื่อบุ
โพรงมดลูกเรียบร้อยดีแล้ว ช่วงเดือนที่ 2 ของพัฒนาการทารกในครรภ์นี้ทารกเริ่ม
มองเห็นเป็นตัวแล้ว การพัฒนาการของทารกในครรภ์สังเกตได้อย่างชัดเจนจากหัวของ
ทารกที่จะโตกว่าส่วนอื่น รูปหน้า มือและเท้า ปรากฎให้เห็น ช่วงปลายเดือนถ้าอัลตรา
ซาวด์จะเห็นการเคลื่อนไหวและจับการเต้นหัวใจได้ ทั้งมองเห็นสายรกโดยรกนี้ท่าหน้าที่
เสมือนเป็นปอดแลกเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์กับออกซิเจนจากคุณแม่ และยังเป็น
เสมือนสายใยที่คอยล่าเลียงอาหารจากคุณแม่สู่ทารกในครรภ์อีกด้วย
พัฒนาการ-ของทารกในครรภ์ช่วง9เดือนภายในครรภ์มารดา
• ช่วงเดือนที่ 3 (หัวใจจะเป็นรูปเป็นร่างเต็มที่ ) ในเดือนที่ 3 โครงสร้างใบหน้าของทารก
เริ่มสมบูรณ์ แต่เปลือกตายังปิดอยู่ การท่างานของระบบสมอง และกล้ามเนื้อเริ่มมี
ความสัมพันธ์กัน กล้ามเนื้อต่างๆ มีการเจริญเติบโต แขนขาเริ่มยืดออก และเคลื่อนไหว
ได้ ข้อต่างๆ เริ่มเชื่อมต่อกัน นิ้วมือนิ้วเท้าสมบูรณ์ และเริ่มงอได้ ปลายนิ้วมีเล็บ ทารกจะ
หัดดูดนิ้ว และเริ่มกลืนน้่าคร่่าได้ โดยตัวทารกนั้นจะลอยอยู่ในน้่าคร่่าภายมดลูก ซึ่ง
น้่าคร่่านี้เองท่าหน้าที่ปกป้องและห่อหุ้มทารกไม่ให้ได้รับความกระทบกระเทือน
• คุณแม่พึงระมัดระวังคือ ช่วงมีครรภ์ 3 เดือนแรกนี้ มีอัตรำเสี่ยงในกำรแท้งค่อนข้ำงสูง
ต้องดูแลตัวเองอย่ำงมำก และระมัดระวังเรื่องยำที่รับประทำน ถ้ำมีควำมจำเป็นต้องใช้ยำ
ควรปรึกษำแพทย์ก่อน
• ช่วงเดือนที่ 4 (การเติบโตของทารกที่ใกล้จะสมบูรณ์) เดือนที่ 4 ของการพัฒนาทารกใน
ครรภ์ แขนและข้อต่อต่างๆ พัฒนาอย่างสมบูรณ์ กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงขึ้น ทารก
สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างกระฉับกระเฉง แต่คุณแม่อาจจะยังไม่รู้สึกว่าลูกเคลื่อนไหว
เริ่มมีขนอ่อนปกคลุมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายทารก สามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้น เริ่ม
มีไตที่ท่างานได้เหมือนผู้ใหญ่ นอกจากนี้ทารกยังมีจ่านวนเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ
มากกว่าเดือนที่แล้วถึง 3 เท่า สามารถเตะ งอนิ้วมือนิ้วเท้า กลอกตาได้อวัยวะเพศพัฒนา
มากขึ้นจนสามารถบอกได้ว่าเป็นเพศใด
Sex organ formation in Fetus
พัฒนาการของทารกในครรภ์ช่วง9เดือนภายในครรภ์มารดา
• ช่วงเดือนที่ 5 ของพัฒนาการทารกในครรภ์?(ทารกเริ่มรู้สึกกับสิ่งแวดล้อมภายนอกได้)
เดือนที่ 5 พัฒนาการของทารกในครรภ์ จะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ระยะนี้คุณแม่จะ
เริ่มรู้สึกแล้วว่าทารกดิ้น หรือมีการเคลื่อนไหวเป็นระยะๆ โดยฟันจะถูกสร้างขึ้นมาแต่จะอยู่
ใต้ขากรรไกร เริ่มมีผมบนศีรษะ กล้ามเนื้อต่างๆ มีความแข็งแรงมากขึ้น ทารกเคลื่อนไหว
มากขึ้น ล่าตัวทารกช่วงนี้ยาวประมาณ 9 นิ้ว และร่างกายจะผลิตสารสีขาวข้นที่เรียกว่า เวอร์
นิกซ์ ขึ้นมาเคลือบเพื่อปกป้องผิวเส้นผม คิ้วและขนตาเริ่มงอกเริ่มพัฒนาประสาทสัมผัส คือ
รับรู้รส ได้กลิ่น และได้ยิน ตายังปิดอยู่แต่รับรู้แสงสว่างจ้าได้ ดังนั้นเวลาคุณพูดแกจะได้ยิน
หรือเวลาที่คุณลูบท้องแกก็จะรู้สึกเช่นกัน ช่วงปลายเดือนนั้นทารกยังเริ่มถ่ายปัสสาวะลงสู่
น้่าคร่่าได้อีกด้วย
• ช่วงเดือนที่ 6 ของพัฒนาการทารกในครรภ์?(การตอบสนองของทารกชัดเจน)
ร่างกายของทารกเริ่มเติบ โตช้ากว่าเดิมเพื่อให้อวัยวะภายในเช่น ปอด ระบบย่อยอาหาร
และระบบภูมิคุ้มกันได้พัฒนาอย่างเต็มที่ ที่น่าอัศจรรย์คือทารกสามารถควบคุมการ
เคลื่อนไหวท่าให้คุณแม่รู้สึกได้โดย เฉพาะตอนนอนพักทารกสามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้น
เสียงพูด เสียงดนตรี และสามารถตอบสนองการกระตุ้นของแม่ ทารกในช่วงนี้อาจจะดูผอม
บาง เนื่องจากมีไขมันสะสมอยู่ใต้ผิวหนังน้อย
พัฒนาการของทารกในครรภ์ช่วง9เดือนภายในครรภ์มารดา
• ช่วงเดือนที่ 7 ของพัฒนาการทารกในครรภ์?(พัฒนาการพร้อมออกสู่โลกกว้าง)
ทารกในครรภ์เดือนที่7 มีการสร้างไขมาปกคลุมผิวหนัง ล่าตัวเพื่อความอบอุ่น
และป้องกันผิวหนังจากน้่าปอดของทารกพัฒนาอย่างสมบูรณ์เปลือกตาเริ่ม
เปิด และนัยน์ตาพัฒนาไปมากจนมองเห็นแสงที่ผ่านมาทางหน้าทองแม่ได้
เสียงดังๆท่าให้ทารกเคลื่อนไหว และการเต้นของหัวใจเปลี่ยนไปตามเสียงและ
แสงไฟ ต่อมรับรสของทารกพัฒนาไปมากถ้าทารกเกิดคลอดออกมาช่วงเวลานี้
จะมีโอกาศรอดค่อนข้างสูงเพราะอวัยวะส่าคัญทั้งหลาย
• ช่วงเดือนที่ 8 ของพัฒนาการทารกในครรภ์?(ทารกกลับตัวพร้อมออกมาลืมตา
ดูโลก)เดือนที่ 8 แห่งพัฒนาการของทารกทารกจะมีขนาดและสัดส่วน
ใกล้เคียงกับเด็กแรกเกิดมีความแข็งแรงมากขึ้นในช่วงนี้ทารกจะเริ่มกลับหัว
เข้าสู่อุ้งเชิงกรานการดิ้นของทารกจะสามารถสังเกตเห็นได้จากหน้าทองของ
แม่ ช่วงนี้ก่อนคลอดหนึ่งเดือนคุณแม่อาจมีอาการมดลูกบีบรัดตัวซึ่งเป้นอาการ
ที่ เรียกว่า เจ็บท้องหลอกการหดตัวรัดตัวนี้ก็เพื่อดันตัวทารกมาประชิดปากมด
ลุกเพื่อเตรียมพร้อมที่จะคลอด
พัฒนาการของทารกในครรภ์ช่วง9เดือนภายในครรภ์มารดา
• ช่วงเดือนที่ 9 ของพัฒนาการทารกในครรภ์?(เตรียมตัวเป็นแม่คน)
ในเดือนนี้ทารกจะอยู่ในท่าที่พร้อมจะคลอด เล็บมีการเจริญเติบโต และยาวครอบคลุมปลายนิ้ว ผมบน
ศีรษะมีความยาวประมาณ 1-2 นิ้ว ถ้าเป็นครรภ์แรกศีรษะของทารกจะเคลื่อนเข้าไปอยู่ในอุ้งเชิงกราน
ดังนั้นคุณแม่อาจคลอดตอนไหนก็ได้ในช่วงนี้ ทารกส่วนใหญ่จะคลอดตามก่าหนดหรือช้าไป 2 สัปดาห์
หลังก่าหนด
ภาพแสดงการตั้งครรภ์และการคลอด
ภาพแสดงการตั้งครรภ์และการคลอด
ภาพแสดงการตั้งครรภ์และการคลอด
ความผิดปกติของการตั้งครรภ์
• 1. ครรภ์เป็นพิษ หรือที่เรียกว่า Toxemia of Pregnancy มักมีอาการเมื่อตั้งครรภ์ได้ 5-6 เดือน ขึ้นไป
จนกระทั่งหลังคลอดหนึ่งสัปดาห์ สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด มักพบในครรภ์แรก ครรภ์แฝด ครรภ์ไข่ปลาอุก และ
ในผู้หญิงที่เคยเป็นเบาหวาน หรือโรคความดันโลหิตสูง หรือโรคไตอยู่ก่อน ภาวะครรภ์เป็นพิษแบ่งเป็นสองชนิด
ชนิดแรกผู้ป่วยมีอาการบวม ความดันโลหิตสูง และตรวจพบโปรตีนหรือไข่ขาวในปัสสาวะ อีกชนิดเป็นแบบ
ร้ายแรง โดยจะมีอาการชักหรือหมดสติร่วมด้วย ซึ่งเป็นอันตรายถึงกับเสียชีวิตได้
• 2. ฝาแฝด ตามปกติร่างกายของคนเรามีการตั้งครรภ์และคลอดทารกคราวละ 1 คน แต่บางกรณีร่างกายของ
คนเราอาจมีโอกาสตั้งครรภ์และคลอดทารกครั้งละมากกว่า 1 คน เรียกว่า “ ฝาแฝด ” ซึ่งถือเป็นความผิดปกติ
ของการตั้งครรภ์แบบหนึ่ง ฝาแฝดมี 2 ประเภท คือ แฝดร่วมไข่ และ แฝดต่างไข่
• 3. การท้องนอกมดลูก มีบางครั้งที่เหตุการณ์ของการตั้งครรภ์ไม่ได้เป็นตามปกติ กล่าวคือ ภายหลังการผสม ไข่
ที่ถูกผสมไม่ อย่างไรก็ตาม การตั้งครรภ์นอกมดลูกที่พบบ่อยที่สุดคือ การตั้งครรภ์ที่ท่อน่าไข่ ส่าหรับการ
ตั้งครรภ์ที่รังไข่หรือช่องท้องพบได้น้อยมาก ได้เดินกลับมาฝังที่มดลูก บางรายฝังที่ท่อน่าไข่เลย เรียกว่า การ
ตั้งครรภ์ที่ท่อน่าไข่ บางรายไข่ที่ผสมแล้วกลับเดินทางต่อไปฝังตัวที่รังไข่ เรียกว่า การตั้งครรภ์ที่รังไข่ หรือบาง
รายไข่ที่ผสมแล้วหลุดจากท่อน่าไข่แล้วไปฝังอยู่ในช่องท้องเรียกว่า การตั้งครรภ์ในช่องท้อง การตั้งครรภ์ต่างๆ
เหล่านี้ คือการตั้งครรภ์นอกมดลูกหรือท้องนอกมดลูกทั้งสิ้น
สาวมาด เมกะแดนซ์ ครรภ์เป็นพิษ หามส่งไอซียู การท้องนอกมดลูก
ความผิดปกติของการตั้งครรภ์
• 4. รกเกาะต่่า ภาวะตกเลือดในสตรี ในช่วงท้าย ๆของการตั้งครรภ์ หรือการคลอด ส่วนใหญ่จะมาจากสาเหตุของ
รกเกาะต่่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระวังและอาจเกิดได้ประมาณ 1ใน 200 การตั้งครรภ์ ภาวะรกเกาะต่่า หรือ
placenta previa (placenta=รก) หมายถึงภาวะ ที่การเกาะของรก เกาะต่่าลงจากปกติที่อยู่สูงขึ้นไป
ในมดลูก บางครั้ง เกาะต่่าลงมาถึงปากช่องคลอด และท่าให้เกิดปัญหา คือเลือดออกในช่วงที่ปากช่องคลอด
ขยายตัว คือช่วงครึ่งหลัง (3-8 เดือน)ของการตั้งครรภ์ และถ้าเป็นมาก อาจท่าให้ตกเลือด เด็กไม่สามารถคลอด
ตามปกติ ต้องผ่า เพราะมีรกขวางอยู่
การมีลูกแฝด(Twins)
• เกิดจากการแบ่งเซลล์ ของไข่ที่ได้รับการผสมแล้วผิดปกติ หรือเกิดจากการสุกของไข่
ผิดปกติ ฝาแฝด แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1. ฝาแฝดแท้ (Identical Twins) เกิดจากไข่ใบเดียวผสมกับอสุจิตัวเดียว แต่เมื่อมี
การแบ่งเซลล์แล้ว เกิดแยก ออกเป็น 2 กลุ่ม ฝังตัวอยู่ในผนังมดลูกที่เดียวกัน ยีนเหมือนกัน
เด็กเพศเดียวกัน หน้าเหมือนกัน
2. ฝาแฝดเทียม (Fraternal Twins) เกิดจากไข่ 2 ใบและอสุจิ 2 ตัวผสมกัน ฝังตัว
ในผนังมดลูกคนละฝั่งกัน รก และถุงหุ้มตัวอ่อนแยกจากกัน แต่ละส่วนจะแบ่งเซลล์ด้วย
ตัวเอง ยีนต่างกัน เด็กจะไม่ติดกัน อาจเป็นเพศเดียวกัน หรือ ต่างเพศ กันก็ได้
สรุป : การเกิดฝาแฝด (Twin formation)
มี 2 ประเภท คือ ฝาแฝดร่วมไข่ และฝาแฝดต่างไข่
1. แฝดร่วมไข่ เป็นฝาแฝดที่เกิดจากการรวมตัวกันของเซลล์ไข่ 1 ใบ และอสุจิ 1 ตัว ขณะที่กาลังเจริญเติบโต
เอ็มบริโอมีการแบ่งเซลล์เช่น จาก 1 เป็น 2 และแยกขาดออกจากัน แต่ละส่วนจะเจริญเติบโตเป็นทารกที่มี
อวัยวะครบสมบูรณ์จนกระทั่งคลอด แฝดประเภทนี้จะเป็นเพศเดียวกันเสมอมีรูปร่างลักษณะเหมือนกัน และถ้า
ได้รับการเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อเดียวกันจะมีอุปนิสัยและความสามารถที่คล้ายกันมาก ในกรณีที่เอ็มบริโอแบ่งตัว
ออกเป็น 2 แต่ไม่แยกออกจากกัน เมื่อทารก เจริญเติบโตจะได้ทารกตัวติดกัน
2. แฝดต่างไข่ เป็นแฝดที่เกิดจากมีไข่สุกมากกว่า 1 ใบ ไข่แต่ละใบจะมีโอกาสเข้าผสมกับตัวอสุจิแต่ละตัวและ
เกิดการปฏิสนธิในเวลาใกล้เคียงกัน จะได้เอ็มบริโอ เจริญเติบโตอยู่ภายในมดลูกเดียวกัน แต่แยกรกกันและทารก
จะคลอดออกมาในเวลาใกล้เคียงกัน ฝาแฝดชนิดนี้อาจเป็นเพศเดียวกันหรือต่างเพศกันก็ได้ ส่วนหน้าตาและ
ลักษณะทางพันธุกรรมจะมีลักษณะคล้ายกัน
Identical Twins
What is this twin type ?
การคุมก่าเนิด(contraception)
• การคุมก่าเนิดเป็นวิธีป้องกันการตั้งครรภ์ส่าหรับหญิงที่ไม่พร้อมจะมีบุตร การคุมก่าเนิดมีหลายวิธีให้
เลือกใช้ตามความเหมาะสม แบ่งออกเป็น 3 วิธีใหญ่ๆ คือ การป้องกันการเกิดปฏิสนธิ (prevent
sperm and egg from meeting) การป้องกันการฝังตัวของตัวอ่อน (pervent
implantation) และการยับยั้งการตกไข่และสเปิร์ม (prevent release of gamete)
1. การป้องกันการปฏิสนธิ (prevent sperm and egg from meeting)
• 1.1 การคุมก่าเนิดแบบนับวัน (rhythm method) เป็นวิธีการหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์
ในช่วงไข่ตก จากการศึกษาพบว่าไข่ที่ตกออกมาสามารถมีชีวิตอยู่ในท่อน่าไข่ได้นาน 24 ถึง 48
ชั่วโมง ส่วนสเปิร์มอยู่ในท่อน่าไข่ได้นานถึง 72 ชั่วโมง ดังนั้น การคุมก่าเนิดโดยวิธีนี้จึงควรหลีกเลี่ยง
การมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 7 วันก่อนและหลังไข่ตก ประสิทธิภาพของการคุมก่าเนิดด้วยวิธีการนี้ต้องใช้
ควบคู่ไปกับความรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในร่างกาย การเปลี่ยนแปลง ของเมือกในช่อง
คลอด เป็นต้น อัตราการตั้งครรภ์จากการคุมก่าเนิดแบบนับวัน คือ 10 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์
• 1.2 การใช้ถุงยางอนามัย (condoms method) เป็นกลไกคุมก่าเนิดที่ใช้กับฝ่ายชายเป็นวิธี
ป้องกันสเปิร์ม เข้าไปในระยะสืบพันธุ์ของเพศหญิงขอดีของวิธีการใช้ถุงยางอนามัยนอกจากใช้
คุมก่าเนิดแล้วและวิธีนี้ยังสามารถป้องกันโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
การคุมก่าเนิด(contraception)
• 1.3 การใช้ไดอะแฟรม (diaphragm) เป็นวิธีการคุมก่าเนิดโดยใช้ฝาครอบปากมดลูก เพื่อป้องกันการเข้า
ไปปฏิสนธิของสเปิร์ม การคุมก่าเนิดโดยวิธีนี้ก่อนใช้มักจะทาครีมลงบนไดอะแฟรมเพื่อฆ่าสเปิร์ม อัตราการ
ตั้งครรภ์โดย วิธีการใช้ถุงยางอนามัยและการใช้ไดอะแฟรม น้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์
• 1.4 การหลั่งภายนอก (withdrawal method) วิธีคุมก่าเนิดโดยฝ่ายชายจะหลั่งซีเมนภายนอกระบบ
สืบพันธุ์เพศหญิง การคุมก่าเนิดด้วยวิธีนี้พบว่าโอกาสในการตั้งครรภ์มีสูงถึง 22 เปอร์เซ็นต์
• 1.5 การท่าหมันถาวร (sterilization) การคมก่าเนิดแบบถาวร เป็นวิธีการคุมก่าเนิดที่นิยมอย่าง
แพร่หลายใน สตรีที่มีอายุเกิน 30 ปี อัตราการตั้งครรภ์ 0.15 เปอร์เซ็นต์ การคุมก่าเนิดแบบถาวรมี 2 ประเภท
• 1) การท่าหมันหญิง (tubal ligation) โดยการตัดท่อน่าไข่แล้วผูกปลายแต่ละส่วนที่ตัดออก วิธีนี้เพศ
หญิง 1 ใน 4 เลือกใช้
• 2) การท่าหมันชาย (vasectomy) โดยการตัดท่อน่าสเปิร์มหรือวาสดิเฟรนส์ (vas deference)
แล้วผูกปลายแต่ละส่วนที่ถูกตัดออกเพื่อยับยั้งการเคลื่อนที่ของสเปิร์มออกนอกร่างกาย ไม่มีผลข้างเคียง
เกิดขึ้น การผลิตสเปิร์มปกติแต่อาจช้าลงและถูกเซลล์เม็ดเลือดขาวจับกิน ส่วนของปริมาณซีเมนต์ผลิตได้ใน
ปริมาณปกติ การผ่าตัดกลับคืนสู่สภาพเดิมพบว่า ประสบความส่าเร็จ 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ในการท่าหมันเกิน
10 ปีขึ้นไป โอกาสจะกลายเป็นหมันสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ เพราะการพัฒนาแอนติบอดีในร่างกายที่เข้า
ท่าลายสเปิร์มของตนเอง
ตารางแสดงความแตกต่างการท่าหมันชายและการท่าหมันหญิง
ความแตกต่าง ชาย (Vassectomy) หญิง (Tubal Ligation)
จุดมุ่งหมาย ไม่ให้อสุจิผ่านท่ออสุจิออกมา ไม่ให้ไข่ผ่านท่อน่าไข่มาผสมกับ
อสุจิ
วิธีการ ตัดท่อ Vas Deferens ออก
ส่วนหนึ่ง
ตัดท่อน่าไข่ออกส่วนหนึ่งและผูก
ปลายไว้
ผล อสุจิถูกดูดซึมกลับเข้าไปใน
อัณฑะน้่าอสุจิจะไมมีอสุจิอยู่
ไข่ยังคงมีการเจริญแต่ผ่านออกไป
ผสมไม่ได้
การแก้หมัน การเชื่อมต่อท่อ Vas
Deferens
การเชื่อมต่อท่อน่าไข่
การคุมก่าเนิด(contraception)
• 2. การป้องกันการฝังตัวของตัวอ่อน (pervent implantation) เป็นวิธีการคุมก่าเนิดโดยวิธีการใส่ห่วง
(intrauterine device หรือ IUD) ซึ่งเป็นพลาสติกรูปกลมหรอโค้งขนาดเล็ก สอดเข้าไปในมดลูกโดย
แพทย์ผู้ช่านาญการใส่ครั้งหนึ่งอาจทิ้งไว้ได้นานถึง 10 ปี หรือจนต้องการมีบุตร วิธีการคุมก่าเนิดแบบนี้มี
ประสิทธิภาพถึง 90 เปอร์เซ็นต์ กลไกการท่างานของวิธีการนี้ยังไม่สามารถระบุได้ชัด แต่พบว่าร่างกายผลิตเม็ดเลือด
ขาวออกมาต่อต้านสิ่งแปลกปลอม ข้อเสียของการคุมก่าเนิดแบบใส่ห่วง คือ เลือดไหลกระปิดกระปอยและเป็นลิ่ม
เสี่ยงต่อการอักเสบของมดลูก ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมใช้
• 3. การยับยั้งการตกไข่และสเปิร์ม (prevent release of gamete) เป็นการคุมก่าเนิดโดยการใช้ฮอร์โมน
เป็นการป้องกันการตกไข่ มีหลายประเภทให้เลือกใช้ เช่น รับประทานยา คุมก่าเนิด (oral pill) การฉีดยาคุมก่าเนิด
(DMPA หรือ Depo-Provera) การฝังแคปซูลใต้ผิวหนัง (Norplant)
• 3.1 รับประทานยาเม็ดคุมก่าเนิด เป็นการป้องกันการตกไข่ จากการส่ารวจพบว่า 80 เปอร์เซ็นต์ที่สตรีทั่วโลก
นิยมใช้ ยาเม็ดคุมก่าเนิดเป็นยาที่ประกอบด้วยฮอร์โมน 2 ชนิด คือ ฮอร์โมนโพรเจสติน (โพรเจสเทอโรน
สังเคราะห์) และ เอสโทรเจน (เอสโทรเจนสังเคราะห์) ซึ่งมีผลไปยับยั้งการหลั่ง LH และ FSH วิธีการใช้ คือ
รับประทานครั้งละ 1 เม็ดเป็น เวลา 3 สัปดาห์แล้วหยุด สัปดาห์ต่อไปจะเว้นการรับประทานแต่บางบริษัทจะให้
รับประทานน้าตาลหรือวิตามินอัดเม็ดโดยไม่มีการเว้น หลังจากนั้นเมื่อขาดฮอร์โมนประจ่าเดือนจะไหล พบว่า
เมื่อใช้อย่างถูกวิธีการคุมก่าเนิดด้วยวิธีนี้จะมี ประสิทธิภาพสูงถึง 99.7 เปอร์เซ็นต์ จากการศึกษาพบว่าการใช้ยา
คุมก่าเนิดที่ใช้โดสต่างๆ พบว่าเป็นผลดีต่อสตรีที่ไม่สูบบุหรี่จนเข้าสู่วัยทอง แต่สตรีที่มีอายุเลย 35 ปีขึ้นไปที่มี
พฤติกรรมในการสูบบุหรี่หรือมีความดันโลหิตสูง การใช้ยาคุมก่าเนิดจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
การคุมก่าเนิด(contraception)
• 3.2 การคุมก่าเนิดแบบฉุกเฉิน (emergency contraception) ยาเม็ดคุมก่าเนิดแบบ
ฉุกเฉินนี้ เป็นยาที่ใช้หลังการมีเพศสัมพันธ์ ภายใน 72 ชั่วโมง แพทย์ให้ใช้ส่าหรับสตรีที่ถูก
ข่มขืนและกรณีอื่นๆ ที่ไม่สามารถป้องกันได้ในขณะมี เพศสัมพันธ์ได้ ยาที่ใช้ต้องมีความเข้มข้น
(dose) ที่สูงมากและไปมีผลท่าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในผนังมดลูกชั้นเอนโดมีเทรียม มี
ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 75 เปอร์เซ็นต์ และพบว่าถ้าใส่ห่วงเข้าไปเสริมทัน
ในสัปดาห์แรก มีประสิทธิภาพถึง 95 เปอร์เซ็นต์ การคุมก่าเนิดด้วยวิธีการนี้ไม่จัดเป็นการท่า
แท้ง เพราะถ้าการคุมก่าเนิดไม่ได้ผลและเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นทารกจะไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด
• 3.3 การฉีดยาคุมก่าเนิด เป็นการป้องกันการตกไข่ได้อีกวิธีหนึ่ง เป็นการฉีดฮอร์โมนโพรเจสติน
ซึ่งจะออกฤทธิ์ โดยกดการท่างานของต่อมใต้สมองส่วนหน้า วิธีใช้คือ ฉีดเขากล้ามเนื้อของสตรีที่
ต้องการคุมก่าเนิดทุก ๆ 3 เดือน
• 3.4 การฝังแคปซูลเข้าใต้ผิวหนัง เป็นการฝังฮอร์โมนโพรเจสตินที่เป็นแคปซูลบริเวณใต้
ท้องแขนฮอร์โมนนี้จะถูกปล่อยออกจากแคปซูลแต่น้อย ๆ อย่างต่อเนื่องในกระแสเลือด ไปมีผล
ยับยั้งการตกไข่และกระตุ้นการหลั่งเมือกเหนียวในช่องคลอด การฝังแคปซูลนี้จะอยู่ได้ 5 ปีแต่มี
ผลข้างเคียงสาหรับผู้ใช้ คือ การมีประจาเดือนกระปิดกระปอยอาจนานถึง 1ปี
การผสมเทียมartificial insemination
• 1. กิฟท์ (GIFT, Gamete intrafallopian transfer) คือ วิธีการที่ใส่เชื้ออสุจิ (ที่เตรียม
แล้ว) และไข่ (sperm and egg) เข้าไปในท่อน่าไข่ของฝ่ายหญิง 1 หรือ 2 ข้าง ทั่วๆ ไปจะใส่ไข่ 2
ฟองร่วมกับตัวเชื้ออสุจิ 5 หมื่นถึง 1 แสนตัวต่อท่อ 1 ข้างการฉีดเชื้อ ผสมเทียมในโพรงมดลูก (IUI)
คือ การฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในโพรงมดลูกโดยตรง โดยใช้ท่อพลาสติกเล็กๆ สอดผ่านปากมดลูกแล้วฉีดเชื้อ
อสุจิเข้าไปในช่วงที่มีหรือใกล้กับเวลาที่มีไข่ตก วิธีนี้นิยมในกรณีที่ฝ่ายชายมีเชื้ออสุจิผิดปกติ คือ จ่านวน
น้อยเกินไปหรือเชื้ออสุจิแข็งแรงน้อยเกินไป หรือมีปัญหามีปฏิกิริยากับปากมดลูกได้ง่าย เข้าไปในโพรง
มดลูก ไม่ได้นอกจากนี้ยังท่าในกรณีที่ฝ่ายชายไม่สามารถปล่อยน้่าอสุจิในชองคลอดได้เอง
• 2. ซิฟท์ (ZIFT, Zygote intrafollopian transfer) เป็นวิธีการเก็บเซลล์สืบพันธุ์ทั้งไข่
และอสุจิมาผสมกันให้เกิดการปฏิสนธินอกร่างกายก่อน แล้วจึงน่าตัวอ่อนในระยะ Zygote ใส่กลับเข้า
ไปในท่อน่าไข่ ความส่าเร็จในการตั้งครรภ แต่ละครั้งประมาณ ร้อยละ 20-30 ใช้วิธีการคล้ายกับ GIFT
แต่รอจนกระทั่งไข่ และ sperm ผสมกันและปฏิสนธิเกิดขึ้น ภายนอกร่างกายเสียก่อน จนเจริญเป็นตัว
อ่อนระยะ 1 เซลล์ ที่เราเรียกว่า Zygote แล้วจึงท่าการผ่าตัดทางหน้าท้อง เช่นเดียวกับวิธีการ Gift
เพื่อใส่ตัวอ่อนที่เป็น Zygote เข้าไปในท่อน่าไข่
การผสมเทียมartificial insemination
• 3. อิกซี่ (ICSI , IntraCytoplasmic Sperm Injection) เป็นวิธีการคัดเชื้ออสุจิที่
แข็งแรงสมบูรณ์เพียงตัวเดียว เพื่อฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง ซึ่งช่วยให้ตัวอสุจิและไข่เกิดการปฏิสนธิ ใน
รายที่ฝ่ายชายมีจานวนตัวอสุจิน้อยมาก หรือ เคลื่อนไหวช้า จะใช้ในกรณที่เด็กหลอดแก้วธรรมดาไม่
ประสบความสาเร็จ วิธีการนี้จะมความสาเร็จในการตั้งครรภ์แต่ละ ครั้งประมาณร้อยละ 25-30 ใน
รายที่ฝุายชายไม่มีตัวอสุจ ซึ่งเดิมถือว่าเป็นหมันไม่มทางรักษานั้น ในปัจจุบันแพทย์สามารถช่วยคู่
สมรสเหล่านี้ ได้ โดยการดูดตัวอสุจออกมาจากบริเวณถุงพักน้าเชื้อ หรือที่เรียกว่า PESA
(Percutaneous Epididymal Sperm Aspiration) ซึ่งหากได้ตัวอสุจเพียงเล็กน้อย
ก็เพียงพอที่จะนาไปฉีดเข้าไปในไข่ การใช้เข็มดูดนี้ เหมาะกับรายที่ท่อนา น้าเชอตันแต่กาเนิด หรือ
ภายหลังผ่าตัดทาหมันชาย สาหรับในกรณีทการดูดจากถุงพกน้าเชื้อไม่ได้ตัวอสุจ ก็อาจลองดูด จาก
ลูกอณฑะโดยตรง หรือที่เรียกว่า TESA (Testicular Sperm Extraction)
สรุปเน้นความส่าคัญ:
- การผสมเทียมในหลอดแก้ว แล้วถ่ายฝากตัวอ่อน (In Vitro Fertilization Embryo Transfer
หรือ IVF& ET )
- การทาอิ๊กซี่ ( Intra Cytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI) คัดเชื้ออสุจิที่สมบูรณ์เพียงตัวเดียว
ฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง ใช้ในกรณีที่เด็กหลอดแก้วธรรมดาไม่ประสบความสาเร็จ
- การทากิฟท์ ( Gamete IntraFollopain Transfer หรือ GIFT) นาเซลล์สืบพันธุ์ไข่และอสุจิมาผสม
กัน แล้วใส่กลับเข้าสู่ท่อนาไข่ทันทีอาศัยให้อสุจิและไข่ปฏิสนธิกันเองตามธรรมชาติ
- การทาซิฟท์ ( Zygote IntraFollopain Transfer หรือ ZIFT) เซลล์สืบพันธุ์ไข่และอสุจิมาปฏิสนธิ
นอกร่างกายก่อน แล้วจึงนาตัวอ่อนในระยะ Zygote ใส่กลับเข้าไปในท่อนาไข่
SUBZONAL SPERM INSERTION (SUZI)
กำรแท้ง (Abortion)
การแท้งบุตรหมายถึงการตั้งครรภ์ไม่สามารถด่าเนินต่อ ท่าให้เด็กออกมาก่อนก่าหนด
ภายใน 20 สัปดาห์ของการการตั้งครรภ์ จากการศึกษาพบว่าร้อยละ 10-25 ของการตั้งครรภ์มีการแท้ง
โดยที่ไม่รู้ตัว
การแท้งส่วนใหญ่จะเกิดในช่วง 13 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ ดังนั้นช่วงนี้เป็นช่วงที่คุณแม่
ต้องดูแลตัวเอง โดยการลดความเสี่ยงของการแท้ง
ภาวะสิ้นสุดการตั้งครรภ์ก่อนถึงก่าหนดคลอดตามปกติ เนื่องจากการตายของตัวอ่อนหรือ
ทารก แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. การแท้งเอง (Spontaneous Abortion) เกิดจากความผิดปกติของตัวอ่อนเอง พบ
ประมาณ 1 ใน 3 ของหญิงตั้งครรภ์
2. การท่าแท้งเพื่อการรักษา (Therapeutic Abortion) เป็นวิธีการท่าเพื่อรักษาชีวิตของ
แม่ที่มีปัญหาด้านสุขภาพทางกายหรือจิตใจ หรือเมื่อพบความผิดปกติของตัวอ่อน
3. การท่าแท้งเพื่อการคุมก่าเนิด ซึ่งเป็นการท่าแท้งที่ใช้วิธีแตกต่างกันตามอายุทารก เช่น ช่วง 3
เดือนแรกใช้วิธีการดูดออก หลังจาก 3 เดือนขึ้นไป ใช้วิธีการถ่างขยายปากมดลูกและดูดออก
เป็นต้น
Lesson5animalgrowth
Lesson5animalgrowth
Lesson5animalgrowth
Lesson5animalgrowth
Lesson5animalgrowth
Lesson5animalgrowth
Lesson5animalgrowth
Lesson5animalgrowth
Lesson5animalgrowth
Lesson5animalgrowth
Lesson5animalgrowth
Lesson5animalgrowth
Lesson5animalgrowth
Lesson5animalgrowth
Lesson5animalgrowth
Lesson5animalgrowth
Lesson5animalgrowth
Lesson5animalgrowth

More Related Content

What's hot

Taxonomy(อนุกรมวิทฐาน)
Taxonomy(อนุกรมวิทฐาน)Taxonomy(อนุกรมวิทฐาน)
Taxonomy(อนุกรมวิทฐาน)firstnarak
 
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง วิวัฒนาการ
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง วิวัฒนาการหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง วิวัฒนาการ
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง วิวัฒนาการWichai Likitponrak
 
บท4วิวัฒนาการ
บท4วิวัฒนาการบท4วิวัฒนาการ
บท4วิวัฒนาการWichai Likitponrak
 
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสAomiko Wipaporn
 
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system kasidid20309
 
การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)
การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)
การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)Thitaree Samphao
 
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ยีนและโครโมโซม ชุดที่ 7 เรื่อง มิวเทชัน
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ยีนและโครโมโซม ชุดที่ 7 เรื่อง มิวเทชัน ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ยีนและโครโมโซม ชุดที่ 7 เรื่อง มิวเทชัน
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ยีนและโครโมโซม ชุดที่ 7 เรื่อง มิวเทชัน Oyl Wannapa
 
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์สำเร็จ นางสีคุณ
 
บท5เจริญสัตว์
บท5เจริญสัตว์บท5เจริญสัตว์
บท5เจริญสัตว์Wichai Likitponrak
 
แบบทดสอบฮอร์โมน
แบบทดสอบฮอร์โมนแบบทดสอบฮอร์โมน
แบบทดสอบฮอร์โมนWichai Likitponrak
 
ใบงานที่ 2 ปฏิกิริยาเคมี
ใบงานที่ 2 ปฏิกิริยาเคมีใบงานที่ 2 ปฏิกิริยาเคมี
ใบงานที่ 2 ปฏิกิริยาเคมีwebsite22556
 
บท1การแบ่งเซลล์
บท1การแบ่งเซลล์บท1การแบ่งเซลล์
บท1การแบ่งเซลล์Wichai Likitponrak
 
Power point การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
Power point   การถ่ายทอดทางพันธุกรรมPower point   การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
Power point การถ่ายทอดทางพันธุกรรมThanyamon Chat.
 
แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพแบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพyangclang22
 

What's hot (20)

Taxonomy(อนุกรมวิทฐาน)
Taxonomy(อนุกรมวิทฐาน)Taxonomy(อนุกรมวิทฐาน)
Taxonomy(อนุกรมวิทฐาน)
 
เล่มที่ 4 การเคลื่อนที่ของคน
เล่มที่ 4 การเคลื่อนที่ของคนเล่มที่ 4 การเคลื่อนที่ของคน
เล่มที่ 4 การเคลื่อนที่ของคน
 
การสืบพันธ์
การสืบพันธ์การสืบพันธ์
การสืบพันธ์
 
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง วิวัฒนาการ
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง วิวัฒนาการหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง วิวัฒนาการ
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง วิวัฒนาการ
 
บท4วิวัฒนาการ
บท4วิวัฒนาการบท4วิวัฒนาการ
บท4วิวัฒนาการ
 
แผนBioม.6 2
แผนBioม.6 2แผนBioม.6 2
แผนBioม.6 2
 
ใบงานการย่อยอาหาร Version คุณครู
ใบงานการย่อยอาหาร Version คุณครูใบงานการย่อยอาหาร Version คุณครู
ใบงานการย่อยอาหาร Version คุณครู
 
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
 
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
 
สืบพันธุ์
สืบพันธุ์สืบพันธุ์
สืบพันธุ์
 
การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)
การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)
การสืบพันธุ์ของพืชดอก (T)
 
ระบบหายใจ (Respiratory System)
ระบบหายใจ (Respiratory System)ระบบหายใจ (Respiratory System)
ระบบหายใจ (Respiratory System)
 
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ยีนและโครโมโซม ชุดที่ 7 เรื่อง มิวเทชัน
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ยีนและโครโมโซม ชุดที่ 7 เรื่อง มิวเทชัน ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ยีนและโครโมโซม ชุดที่ 7 เรื่อง มิวเทชัน
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ยีนและโครโมโซม ชุดที่ 7 เรื่อง มิวเทชัน
 
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
 
บท5เจริญสัตว์
บท5เจริญสัตว์บท5เจริญสัตว์
บท5เจริญสัตว์
 
แบบทดสอบฮอร์โมน
แบบทดสอบฮอร์โมนแบบทดสอบฮอร์โมน
แบบทดสอบฮอร์โมน
 
ใบงานที่ 2 ปฏิกิริยาเคมี
ใบงานที่ 2 ปฏิกิริยาเคมีใบงานที่ 2 ปฏิกิริยาเคมี
ใบงานที่ 2 ปฏิกิริยาเคมี
 
บท1การแบ่งเซลล์
บท1การแบ่งเซลล์บท1การแบ่งเซลล์
บท1การแบ่งเซลล์
 
Power point การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
Power point   การถ่ายทอดทางพันธุกรรมPower point   การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
Power point การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
 
แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพแบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
 

Similar to Lesson5animalgrowth

Lesson5animalgrowth kr uwichai62
Lesson5animalgrowth kr uwichai62Lesson5animalgrowth kr uwichai62
Lesson5animalgrowth kr uwichai62Wichai Likitponrak
 
Lesson4animalrepro kr uwichai62
Lesson4animalrepro kr uwichai62Lesson4animalrepro kr uwichai62
Lesson4animalrepro kr uwichai62Wichai Likitponrak
 
BIO4M5 343 Fertilization
BIO4M5 343 FertilizationBIO4M5 343 Fertilization
BIO4M5 343 FertilizationPossawat Suksai
 
Lessonplanunit5animalgrowth kr uwichai62
Lessonplanunit5animalgrowth kr uwichai62Lessonplanunit5animalgrowth kr uwichai62
Lessonplanunit5animalgrowth kr uwichai62Wichai Likitponrak
 
การเจริญของ embryo คน
การเจริญของ embryo คนการเจริญของ embryo คน
การเจริญของ embryo คนTeakzK
 
บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2
บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2
บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2Wichai Likitponrak
 
Lesson1 celldivision wichaitu62
Lesson1 celldivision wichaitu62Lesson1 celldivision wichaitu62
Lesson1 celldivision wichaitu62Wichai Likitponrak
 
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011Namthip Theangtrong
 
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตsupreechafkk
 
เปิดโลกสเต็มเซลล์ (วัดชลฯ) [Autosaved].pdf
เปิดโลกสเต็มเซลล์ (วัดชลฯ) [Autosaved].pdfเปิดโลกสเต็มเซลล์ (วัดชลฯ) [Autosaved].pdf
เปิดโลกสเต็มเซลล์ (วัดชลฯ) [Autosaved].pdfLomaPakuTaxila
 
การสืบพันธุ2
การสืบพันธุ2การสืบพันธุ2
การสืบพันธุ2Coverslide Bio
 
บท4สืบพันธุ์สัตว์
บท4สืบพันธุ์สัตว์บท4สืบพันธุ์สัตว์
บท4สืบพันธุ์สัตว์Wichai Likitponrak
 

Similar to Lesson5animalgrowth (20)

Lesson5animalgrowth kr uwichai62
Lesson5animalgrowth kr uwichai62Lesson5animalgrowth kr uwichai62
Lesson5animalgrowth kr uwichai62
 
Lesson4animalrepro kr uwichai62
Lesson4animalrepro kr uwichai62Lesson4animalrepro kr uwichai62
Lesson4animalrepro kr uwichai62
 
Lesson4 animalrepro2561
Lesson4 animalrepro2561Lesson4 animalrepro2561
Lesson4 animalrepro2561
 
BIO4M5 343 Fertilization
BIO4M5 343 FertilizationBIO4M5 343 Fertilization
BIO4M5 343 Fertilization
 
Lessonplanunit5animalgrowth kr uwichai62
Lessonplanunit5animalgrowth kr uwichai62Lessonplanunit5animalgrowth kr uwichai62
Lessonplanunit5animalgrowth kr uwichai62
 
Lessonplan 5animalgrowth
Lessonplan 5animalgrowthLessonplan 5animalgrowth
Lessonplan 5animalgrowth
 
การสืบพันธ์
การสืบพันธ์การสืบพันธ์
การสืบพันธ์
 
การเจริญของ embryo คน
การเจริญของ embryo คนการเจริญของ embryo คน
การเจริญของ embryo คน
 
1 repro
1 repro1 repro
1 repro
 
บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2
บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2
บทที่ 3 ระบบร่างกาย ม.2
 
Lesson1 celldivision wichaitu62
Lesson1 celldivision wichaitu62Lesson1 celldivision wichaitu62
Lesson1 celldivision wichaitu62
 
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
 
Mini book animal group 10
Mini book animal group 10Mini book animal group 10
Mini book animal group 10
 
Minibookanimalgroup10
Minibookanimalgroup10Minibookanimalgroup10
Minibookanimalgroup10
 
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
 
เปิดโลกสเต็มเซลล์ (วัดชลฯ) [Autosaved].pdf
เปิดโลกสเต็มเซลล์ (วัดชลฯ) [Autosaved].pdfเปิดโลกสเต็มเซลล์ (วัดชลฯ) [Autosaved].pdf
เปิดโลกสเต็มเซลล์ (วัดชลฯ) [Autosaved].pdf
 
Lesson3 plamtreproduce2561
Lesson3 plamtreproduce2561Lesson3 plamtreproduce2561
Lesson3 plamtreproduce2561
 
Female reproduction 2 825
Female reproduction 2 825Female reproduction 2 825
Female reproduction 2 825
 
การสืบพันธุ2
การสืบพันธุ2การสืบพันธุ2
การสืบพันธุ2
 
บท4สืบพันธุ์สัตว์
บท4สืบพันธุ์สัตว์บท4สืบพันธุ์สัตว์
บท4สืบพันธุ์สัตว์
 

More from Wichai Likitponrak

บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัยWichai Likitponrak
 
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัยWichai Likitponrak
 
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัยWichai Likitponrak
 
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัยWichai Likitponrak
 
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdfSAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdfWichai Likitponrak
 
การสำรวจพืช Globe tu64
การสำรวจพืช Globe tu64การสำรวจพืช Globe tu64
การสำรวจพืช Globe tu64Wichai Likitponrak
 
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64Wichai Likitponrak
 
การสำรวจน้ำ Globe tu64
การสำรวจน้ำ Globe tu64การสำรวจน้ำ Globe tu64
การสำรวจน้ำ Globe tu64Wichai Likitponrak
 
การสำรวจดิน Globe tu64
การสำรวจดิน Globe tu64การสำรวจดิน Globe tu64
การสำรวจดิน Globe tu64Wichai Likitponrak
 
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564Wichai Likitponrak
 

More from Wichai Likitponrak (20)

บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
 
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
 
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
 
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
 
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdfSAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
 
การสำรวจพืช Globe tu64
การสำรวจพืช Globe tu64การสำรวจพืช Globe tu64
การสำรวจพืช Globe tu64
 
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
 
การสำรวจน้ำ Globe tu64
การสำรวจน้ำ Globe tu64การสำรวจน้ำ Globe tu64
การสำรวจน้ำ Globe tu64
 
การสำรวจดิน Globe tu64
การสำรวจดิน Globe tu64การสำรวจดิน Globe tu64
การสำรวจดิน Globe tu64
 
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
 
Biotest kku60
Biotest kku60Biotest kku60
Biotest kku60
 
Key biotestku60 kruwichaitu
Key biotestku60 kruwichaituKey biotestku60 kruwichaitu
Key biotestku60 kruwichaitu
 
Bi opat2 onet2564_kru_wichai
Bi opat2 onet2564_kru_wichaiBi opat2 onet2564_kru_wichai
Bi opat2 onet2564_kru_wichai
 
BiOsaman2564
BiOsaman2564BiOsaman2564
BiOsaman2564
 
Biosaman63 kruwichai
Biosaman63 kruwichaiBiosaman63 kruwichai
Biosaman63 kruwichai
 
Ijs obio62 testing
Ijs obio62 testingIjs obio62 testing
Ijs obio62 testing
 
Pptgst uprojectplant62
Pptgst uprojectplant62Pptgst uprojectplant62
Pptgst uprojectplant62
 
Pptgst uprojectpaper62
Pptgst uprojectpaper62Pptgst uprojectpaper62
Pptgst uprojectpaper62
 
Pptgst uprojectnickle61
Pptgst uprojectnickle61Pptgst uprojectnickle61
Pptgst uprojectnickle61
 
Pptgst uprojectflower61
Pptgst uprojectflower61Pptgst uprojectflower61
Pptgst uprojectflower61
 

Lesson5animalgrowth

  • 2. • นายวิชัย ลิขิตพรรักษ์ ตาแหน่งครู คศ.1 เอกวิชาชีววิทยา ประวัติการศึกษา : • พ.ศ. 2549 วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกีรยตินิยมอันดับ 2) สาขาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล • พ.ศ. 2551 ศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ เอกเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช • พ.ศ. 2552 ประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต • พ.ศ. 2555 สาธารณสุขศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ เอกสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช • พ.ศ. 2558 ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการประเมินและการวิจัยทางการศึกษา เอกวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง ครูผู้สอน
  • 3. วัฏจักรชีวิต(Life cycle)ของสิ่งมีชีวิตแบ่งได้3 แบบ 1. Haplontic cycle ระยะตัวเต็มวัย (Adult) จะเป็น Haploid (n) ระยะที่เป็น 2n พบแค่ช่วงสั้นๆ พบในพวก protist โดยเริ่มที่ระยะมีหลายเซลล์ n เดียว (haploid multicellular organism) จะสร้างเซลล์สืบพันธุ์โดยการแบ่ง mitosis ได้ gamete n เดียว เมื่อ gamete มาปฏิสนธิกัน (fertilization) ได้ zygote 2n แล้วแบ่ง meiosis ได้เซลล์อย่างละ n แล้ว n จะแบ่ง mitosis หลายๆครั้ง จนกระทั่งเป็นตัว เป็นต้นที่มีหลายเซลล์แต่ n เดียว เรียกว่า Haploidic cycle คือ ส่วน ใหญ่ของวงจรชีวิตจะเป็น n เดียว พบในพวกราส่วนใหญ่และสาหร่ายบางชนิด
  • 4. วัฏจักรชีวิต(Life cycle)ของสิ่งมีชีวิตแบ่งได้3 แบบ 2. Diplohaplontic cycle จะเป็นวงจรสลับระหว่างระยะที่มีโครโมโซมชุดเดียว n เดียว (haploid) และระยะโครโมโซม 2n (diploid) สลับกัน พบในพืชชั้นต่่าพวกมอส เฟิร์น บางครั้งเรียกว่า Alternation of Generation วงชีวิตแบบสลับ วงจรนี้แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะ haploid multicellular organism เป็นระยะที่มีหลายเซลล์ โครโมโซม n เดียว เรียกว่า gametophyte หรือต้นที่สร้าง gamete แบ่ง mitosis ได้ gamete n เดียว มา fertilization ได้ zygote 2n แล้วแบ่ง mitosis หลายๆเซลล์ ได้ เป็นต้นใหญ่ขึ้นมา เรียกว่า diploid multicellular organism หรือ sporophyte 2n เพราะฉะนั้นวงชีวิตแบบนี้จะมีระยะ n กับ 2n อย่างละครึ่งเพราะเป็นพวก พืชชั้นต่่าและพวกสาหร่าย มีระยะ gametophyte และ sporophyte เท่าๆกัน หรือ บางครั้งเรียกว่า Alternation of Generation
  • 5. วัฏจักรชีวิต(Life cycle)ของสิ่งมีชีวิตแบ่งได้3 แบบ 3. Diplontic cycle ระยะส่วนใหญ่ของวงจรชีวิต หรือวัฏจักรชีวิตเป็น 2n (diploid) ส่วนระยะ n จะเกิดแค่ช่วง สั้นๆ พบในพืชชั้นสูง สัตว์ชั้นสูง โดยเริ่มที่ระยะ 2n เป็นระยะที่พบ มากในวงชีวิต เป็น diploid multicellular organism แล้ว จะสร้าง gamete โดยการแบ่ง meiosis เป็น sperm กับ egg n เดียวซึ่งเป็นระยะสั้นๆ พอแบ่งเสร็จ sperm ผสมกับ egg fertilization ได้ zygote 2n แบ่ง mitosis หลายๆ ครั้งจน เป็นตัวหรือเป็นต้นที่มี 2n ในพืชชั้นสูง คือ พืชดอก ต้นที่เราเห็นคือ sporophyte มี diploid (2n) เป็นต้นที่เราเห็นอายุยืนยาว ภายในดอก ถ้าเป็นเกสรตัวผู้ภายในจะมีการแบ่ง meiosis เพื่อสร้าง microspore แล้วเจริญไปเป็น pollen ตัวเมียมีการสร้าง embryo sac ซึ่งจะมี egg อยู่ข้างใน แล้วใน pollen ซึ่งภายใน จะมี sperm nucleus ก็ผสมกับ egg nucleus เกิด fertilization เพราะฉะนั้น ระยะที่เป็น n เป็นแค่ embryo sac กับ pollen เท่านั้น แล้วในระยะส่วนใหญ่ที่เราเห็นจะเป็นระยะ sporophyte 2n
  • 6.
  • 7. การเจริญเติบโตของสัตว์(Growth and Development) • การเจริญของสัตว์ จะนับหลังจากระยะ zygote เป็นต้นไป zygote คือ fertilized egg หรือไข่ที่ผสมแล้วคือเซลล์ร่างกายเซลล์แรกซึ่งต่อไปจะมีการแบ่งนิวเคลียสแบบ mitosis แบ่ง เซลล์เพิ่มจ่านวนมากมายจนกระทั่งเป็นตัวสัตว์ขึ้นมา ตัวอย่างเช่นในคนเมื่อโตแล้วจะมีเซลล์ทั้งหมด ประมาณ 60 ล้านล้านเซลล์ซึ่งมาจาก zygote เซลล์เดียวเท่านั้น การเจริญแบ่งขั้นตอนได้ 4 ขั้น ด้วยกันคือ 1. Cell multiplication การเพิ่มจ่านวนเซลล์โดยการแบ่งนิวเคลียสแบบ mitosis และ แบ่ง cytoplasm ต่อไป 2. Growth การเติบโต เซลล์แต่ละเซลล์ที่แบ่งแล้วตอนหลังจะมีการขยายขนาดขึ้น ผลท่าให้ embryo มีขนาดใหญ่ขึ้นนั่นเอง 3. Cell differentiation การเปลี่ยนสภาพของเซลล์ คือ การที่เซลล์มีการเปลี่ยนรูปร่างให้ เหมาะกับหน้าที่ เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดงจะกลมแบน เซลล์ประสาทจะมีแขนงยื่นออกไป เป็นต้น 4. Organogenesis morphogenesis กระบวนการสร้างอวัยวะและการเกิดรูปร่างที่ แน่นอน
  • 8.
  • 10. (1) ไข่ระยะ secondary oocyte ซึ่งพร้อมที่จะผสมพันธุ์หลุดออกจากรังไข่ (ovulation) เข้าไปอยูใน ท่อนาไข่ (oviduct) การปฏิสนธิเกิดขึ้นภายในท่อนาไข่ได้เป็นไซโกต (zygote) (2) cleavage เริ่มเกิดขึ้นขณะที่เอมบริโอเคลื่อนตัวมาสู่มดลูก สิ้นสุดจะได้กกลุ่มเซลล์ เรียกว่า morula (3) ขณะที่มาถึงมดลูกเอมบริโอจะมีการเคลื่อนที่ของกลุ่มเซลล์แยกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 3.1 trophoblast เป็นกลุ่มเซลล์ที่เรียงตัวกันชั้นเดียวอยู่รอบนอก ซึ่งต่อไปจะเจริญรวมกับเนื้อเยื่อของผนัง มดลูกกลายเป็นรก (placenta) 3.2 กลุ่มเซลล์ที่อยู่ภายใน เรียกว่า inner cell mass เป็นส่วนที่จะเจริญ ต่อไปเป็นเอมบริโอ เรียกเอมบริโอระยะนี้ว่า blastocyst (4) blastocyst จะฝังตัวในผนังมดลูก ซึ่งเอมบริโอเจริญมาได้ประมาณ 7 วันหลังการปฏิสนธิ
  • 11. ชนิดไข่ของสัตว์สามารถจ่าแนกได้ดังนี้ 1. จาแนกได้เป็น 4 ชนิด ตามการกระจายของไข่แดง • 1.1 Isolecithal egg เป็นพวกที่มีไข่แดงน้อยและกระจายทั่วไปภายในเซลล์ ตัวอย่าง เช่น ไข่หอยเม่น ไข่ปลาดาว และไข่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม • 1.2 Mesolecithal egg เป็นพวกที่มีไข่แดงปานกลางและไข่แดงมักจะอยู่หนาแน่นที่ขั้วใดขั้วหนึ่งของ เซลล์ ตัวอย่างเช่น ไข่กบ • 1.3 Telolecithal egg เป็นพวกที่มีไข่แดงมากและไข่แดงอยู่หนาแน่น ตัวอย่างเช่น ไข่นก ไข่ไก่ไข่ ปลา และไข่ของสัตว์เลี้อยคลาน • 1.4 Centrolecithal egg เป็นพวกที่มีไข่แดงอยู่ตรงกลาง ตัวอย่าง เช่น ไข่แมลง
  • 12. ชนิดไข่ของสัตว์สามารถจ่าแนกได้ดังนี้ 2. ชนิดของไข่ จาแนกออกตามปริมาณมากน้อยของไข่แดงได้ดังนี้ คือ • 2.1 Alecithal egg เป็นไข่ชนิดที่มีไข่แดงน้อยมากจนเกือบไม่มีเลย ขนาดของไข่จึงเล็กมาก ตัวอ่อนที่ เกิดจากไข่ชนิดนี้ต้องอาศัยอาหารจากแม่ทางรก ได้แก่ ไข่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม • 2.2 Microlecithal egg เป็นไข่ชนิดที่มีไข่แดงน้อย เช่น ไข่ของหอยเม่น ดาวทะเล เป็นต้น • 2.3 Mesolecithal egg เป็นไข่ชนิดที่มีไข่แดงปานกลาง ไข่มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่น ไข่ของสัตว์สะเทินน้า สะเทินบก • 2.4 Polylecithal egg เป็นไข่ชนิดที่มีไข่แดงมาก จนทาให้ส่วนของนิวเคลียสและไซโทพลาสซึมถูกดัน ไปอยู่ด้านบนของไข่ ได้แก่ ไข่ของสัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลาน รวมทั้งไข่แมลงด้วย
  • 13.
  • 14. ชนิดไข่ของสัตว์สามารถจ่าแนกได้ดังนี้ 3. แอนิมัลโพล (Animal pole) แบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ • 3.1 ไข่ชนิดมอเดอเรทลี เทโลเลซิทัล (Moderately telolecithal egg) เป็นไข่ชนิดที่ไข่แดงกระจายอยู่ในไซ โทพลาสซึม ไม่สม่าเสมอจะไปอยู่กันหนาแน่นที่ข้างใดข้างหนึ่งของเซลล์ ได้แก่ ไข่ของสัตว์ สะเทินน้าสะเทินบก • 3.2 ไข่ชนิดเฮพวิลี เทโลเลซิทัล (Heavily telolecithal egg) เป็น ไข่ที่มีไข่แดงมารวมกันเป็นกลุ่มก้อน ด้านล่างของไข่ ส่วนนิวเคลียสและไซโทพลาสซึมที่เหลือ จะรวมกันเป็นแผ่นเล็กๆ เรียกว่า บลาสโตดิสต์ (Blastodisc) ซึ่งจะถูกดันให้ไปอยู่ที่ ขอบเซลล์ ได้แก่ ไข่ของนก สัตว์เลื้อยคลาน และปลากระดูกแข็ง • 3.3 ไข่ชนิดเซนโทรเลซิทัล (Centrolecithal egg) เป็นไข่ที่มีไข่แดงจับกลุ่มกันอยู่ตรงกลาง ที่มีไซโทพลาสซึม ล้อมรอบ ได้แก่ ไข่ของพวกแมลง
  • 15.
  • 16.
  • 17.
  • 18.
  • 19. การปฏิสนธิของคน(Fertilization in Human) • ในคนปกติไข่จะตกหลังจากมีประจาเดือนวันแรก 14 วัน หรือ 2 สัปดาห์เมื่อมีการร่วมเพศฝ่ายชาย จะหลั่งน้าอสุจิ ซึ่งประกอบด้วย อสุจิเป็นจานวนล้านๆ ตัวเข้าไปในช่องคลอดของฝ่ายหญิงอสุจิจะ แหวกว่ายจากช่องคลอดเข้าไปยังมดลูก และปีกมดลูกด้วยความเร็ว 1.5 - 3 มิลลิเมตรต่อนาที ถ้า ตรงกับช่วงไข่ตกพอดีไข่และอสุจิจะผสมกันที่บริเวณปีกมดลูกเกิดการปฎิสนธิขึ้น • ในสัตว์บางชนิดเมื่ออสุจิเข้าไปถึงไข่พร้อมๆ กัน อสุจิทุกตัวจะพยายามเจาะไข่ การที่อสุจิเจาะไข่ได้ มากกว่า 1 ตัว เรียกลักษณะเช่นนี้ว่า POLYSPERMAE เพราะฉะนั้น ไข่จะมีการป้องกันไม่ให้อสุจิ เข้าไปในไข่มากกว่า 1 ตัวโดยการสร้างสารบางอย่างขึ้นมาล้อมรอบไข่หลังจากที่อสุจิตัวแรกเจาะ เข้าไข่แล้ว ไข่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและจะไม่ยอมให้อสุจิตัวอื่นผ่านเข้าไปได้อีกในคน ปฏิกิริยาเช่นนี้เรียกว่า ZONA REACTION
  • 20.
  • 21.
  • 22.
  • 23.
  • 24.
  • 25.
  • 26.
  • 27. การตั้งครรภ์(Pregnancy) • เมื่อเกิดการตกไข่และไข่รวมกับตัวอสุจิ ที่เรียกว่า การปฏิสนธิ ไข่ที่ถูกผสมแล้วจะเริ่มมี การแบ่งตัวจนเป็นกลุ่มเซลล์ ที่เราเรียกว่า เอ็มบริโอ (Embryo) ขณะที่เซลล์เกิดการ แบ่งเซลล์ ก็จะเคลื่อนที่ไปตามท่อน่าไข่ และเคลื่อนที่ไปฝังตัวที่ผนังมดลูกชั้นในที่สร้าง หนาขึ้น การเจริญเติบโตของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในระยะ CLEAVAGE นั้นคล้ายกับ สัตว์อื่นๆ แต่ในระยะ Blastula ไข่ที่เป็น Isolecithal คือ พวกที่มีไข่แดงน้อย และกระจายอยู่ทั่วไปภายในเซลล์จะมีช่องที่เรียกว่า Blastocyst cavity ส่วนกลุ่ม เซลล์ที่เห็นเรียงตัวกันอยู่รอบนอก เรียกว่า Trophoblast และยังมีกลุ่มเซลล์อีกกลุ่ม หนึ่งอยู่ทางด้านใน เรียกกลุ่มเซลล์นี้ว่า Inner cell mass จากนั้นเอ็มบริโอก็จะมี การเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปเรื่อยๆ จนอายุครบ 8 สัปดาห์ (2 เดือน) จึงมีอวัยวะครบ และมี ลักษณะทุกอย่างเหมือนคน กระดูกอ่อนก็จะเปลี่ยนเป็นกระดูกแข็ง เรียกระยะที่มีอวัยวะ ทุกอย่างครบ และมีลักษณะเหมือนคนทุกประการ เรียกว่า ฟีตัส (Fetus) ต่อมาฟีตัสก็ จะเจริญต่อไปในท้องแม่ อีกประมาณ 7 เดือน จึงคลอดออกมาเป็น “ทารก”
  • 29.
  • 30.
  • 31.
  • 32.
  • 33. การทดสอบการตั้งครรภ์นั้นมีอยู่2แบบคือ การทดสอบตั้งครรภ์ด้วยปัสสาวะ • ชุดทดสอบการตั้งครรภ์จะให้ผลแม่นย่าที่สุดเมื่อท่าการทดสอบหลังจากรอบเดือนขาดไปแล้วหนึ่ง สัปดาห์ แม้ว่าชุดทดสอบการตั้งครรภ์ส่วนใหญ่จะได้รับการกล่าวอ้างว่าให้ผลการทดสอบที่แม่นย่า ถึงร้อยละ 99 ก็ตาม ผลการทดสอบอาจมีความคลาดเคลื่อนได้ เพราะโอกาสที่ตัวอ่อนจะฝังตัวบน ผนังมดลูกหลังจากประจ่าเดือนไม่มาวันแรกมีสูงถึงร้อยละ10 ซึ่งในกรณีนี้ ระดับฮอร์โมนhCG อาจจะยังไม่สูงพอที่จะวัดได้ • อย่างไรก็ตามผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าชุดทดสอบการตั้งครรภ์ส่วนใหญ่สามารถตรวจวัดระดับ ฮอร์โมน hCG หลังจากประจ่าเดือนไม่มาเพียงวันเดียวได้ค่อนข้างแม่นย่าอีกทั้งการทดสอบด้วย ตัวอย่างน้่าปัสสาวะแรกหลังจากตื่นนอนนั้นจะให้ค่าระดับฮอร์โมน hCG สูงที่สุด การตรวจเลือด (beta hCG) • หากไม่ต้องการรอนาน การทดสอบแบบนี้อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดเพราะสามารถทดสอบ การตั้งครรภ์ได้แม้ฮอร์โมนhCG มีระดับต่่าโดยอาศัยการนับระยะของการตกไข่การทดสอบเลือด นี้สามารถทดสอบได้ตั้งแต่ช่วงวันที่ 6-8 หลังจากไข่ตกขณะที่การทดสอบปัสสาวะนั้นปกติจะท่า การทดสอบหลังจากไข่ตกแล้วประมาณ14-21 วัน
  • 35.
  • 36.
  • 37. Embryonic development เป็นการศึกษาช่วงระยะการเจริญของเอมบริโอ ซึ่งจะเริ่มต้นหลังจากไข่เกิดการ ปฏิสนธิแล้ว เอมบริโอระยะแรกคือไซโกต ระยะเอมบริโอจะสิ้นสุดเมื่อเกิดอวัยวะต่างๆครบ ในสัตว์ชนิดต่างๆจะมีช่วงเวลาของการเกิดเอมบริโอแตกต่างกัน เช่นในคน ประมาณ 8-10 สัปดาห์ ไก่ประมาณ 4 วัน และกบประมาณ 2 วัน เป็นต้น จากไซโกตซึ่งเป็นเซลล์เดี่ยวไปสู่สภาพที่ซับซ้อนขึ้น โดยเกิดขึ้นเป็นลาดับขั้นตอน ต่างๆดังนี้ 1. Cleavage 2. Blastula 3. Gastrulation 4. Organogenesis
  • 38.
  • 39. Embryonic development : Cleavage เป็นกระบวนการที่ไซโกตมีการแบ่งเซลล์แบบ mitotic division อย่างรวดเร็วทาให้ ได้เอมบริโอที่มีหลายเซลล์
  • 40.
  • 41.
  • 42.
  • 43. 1. Cleavage 2. Blastula 3. Gastrulation 4. Organogenesis 1 2 3 4
  • 44.
  • 45.
  • 46. Zygote ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ 1. vegetal pole 2. animal pole •ไข่กบ 2 ส่วนนี้มีสีแตกต่างกัน •cytoplasm ของไข่กบจัดเรียงตัวใหม่ขณะ เกิด fertilization ทาให้เกิดบริเวณสีเทา ที่ เรียกว่า gray crescent ซึ่งเกิดบริเวณตรง กลางของไข่ด้านตรงข้ามกับที่ sperm เจาะ เข้าไป •Cleavage ที่ animal pole เกิดขึ้นเร็วกว่าที่ vegetal pole •ผลของ cleavage ได้เอมบริโอมีลักษณะ เป็นก้อนกลมตัน เรียกว่า morula •ต่อมาเกิดช่องว่างที่มีของเหลวบรรจุอยู่ (blastocoel) ภายใน morula เรียกเอมบริโอ ระยะนี้ว่า blastula (blastulation) คลีเวจของเอมบริโอสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้า
  • 47.
  • 48.
  • 49. คลีเวจของเอมบริโอสัตว์ปีกและสัตว์เลื้อยคลาน สาหรับไข่พวกนกและสัตว์เลื้อยคลานเป็นไข่ที่มีไข่แดงมาก คลีเวจเป็นแบบ meroblastic คือเซลล์ไม่แบ่งตัวตลอดไข่ แนวการแบ่งจะเกิดเฉพาะบริเวณด้านบนของ ไข่ซึ่งมีไซโตพลาสซึมและนิวเคลียสอยู่เท่านั้น คือบริเวณ germinal disc
  • 50.
  • 51.
  • 52. Embryonic development : blastulation เป็นขั้นการเจริญของตัวอ่อนสัตว์ที่มีต่อจากระยะคลีเวจโดยเซลล์บลาสโตเมียร์ จะมา จัดเรียงตัวใหม่ อย่างเป็นระเบียบเป็นชั้นเดียวอยู่ที่ผิว ท่าให้มีลักษณะคล้ายลูกบอลที่มีโพรงอยู่ข้าง ใน เรียกว่า บลาสโทซีล (Blastocoel) ตัวอ่อนในระยะนี้เรียกว่า บลาสทูลา (Blastula) และชั้นของ เซลล์ เรียกว่า บลาสโทเดิร์ม (Blastoderm)
  • 53.
  • 54.
  • 55. Blastula ของเอมบริโอ สัตว์ปีกและสัตว์เลื้อยคลาน ลักษณะของ blastula เห็นเป็นแผ่นเรียกว่า bastodisc ซึ่งจะเรียงตัวแยกเป็น 2 ชั้น ชั้นนอกเรียก epiblast และชั้นในเรียก hypoblast ช่องว่างตรงกลางเรียก blastocoel (blasstulation)
  • 56.
  • 57.
  • 59. Embryonic development : Gastrulation Gastrulation เป็นกระบวนการเกิดเนื้อเยื่อ 3 ชั้น เรียก embryonic germ layers 1. ectoderm เนื้อชั้นนอกของ gastrula 2. mesoderm เนื้อชั้นกลาง 3. Endoderm เนื้อชั้นในซึ่งเป็นท่อยาว ระยะเอมบริโอนี้เรียกว่า Gastrula ระยะนี้เกิด cell motility / changes in cell shape / changes in cellular adhesion
  • 60.
  • 61.
  • 62.
  • 63.
  • 64.
  • 65. กลุ่มเซลล์ทางด้านบนมีการแบ่งตัว อย่างรวดเร็ว และเคลื่อนที่แผ่ลงคลุม เซลล์ทางด้านล่าง พร้อมกันนั้นตรง บริเวณที่จะเกิดเกิดเป็น blastopore จะ มีการบุ๋มตัวของกลุ่มเซลล์เหล่านี้ กลุ่ม เซลล์ที่เคลื่อนที่จะลงมาจากด้านบน และม้วนตัวผ่านตรง blastopore เข้าสู่ ภายใน ท่าให้ได้เป็นเอมบริโอที่มีเนื้อ 3 ชั้น ช่องว่างภายในที่เกิดขึ้นใหม่คือ archenteron Gastrulation ของกบ
  • 66.
  • 67.
  • 68. Gastrulation ของไก่ ระยะ gastrulationกลุ่มเซลล์ epiblast ด้านขวาและซ้ายจะเคลื่อนที่เข้าสู่แนวกลาง เรียกว่า primitive streak และกลุ่มเซลล์จะม้วนตัวเข้าไปข้างใน โดยกลุ่มเซลล์ทางด้านหน้าสุดของ primitive streak ที่ เรียกว่า Hensen’s node ม้วนตัวเข้าไปก่อนเกิดเป็นแท่ง notochord บางกลุ่มเจริญเป็นชั้น mesoderm บาง กลุ่มเคลื่อนที่ลงไปด้านล่างเกิดเป็น endoderm และกลุ่มเซลล์ที่อยู่ด้านนอกเกิดเป็น ectoderm
  • 69.
  • 70.
  • 71.
  • 72.
  • 73.
  • 74.
  • 75.
  • 76.
  • 77. Embryonic development : Organogenesis การเกิดอวัยวะต่างๆ จากเนื้อเยื่อ 3 ชั้น •neutral tube และ notochord เป็นอวัยวะแรกที่เกิดขึ้นในกบ และ สัตว์พวก chordate อื่นๆ •dorsal mesoderm เหนือ archenteron รวมกันเกิดเป็น notochord •ectoderm เหนือ notochord หนาตัวขึ้นเกิดเป็น neutral plate แล้วบุ๋มลงไปเป็น neutral tube ซึ่ง ต่อไปจะเจริญเป็น brain, spinal cord •อวัยวะอื่นๆ เกิดขึ้นตามมา
  • 78. Ectoderm ระบบสปกคลุมร่างกาย (หนังก่าพร้า, ผม, เล็บ). ระบบประสาท (สมอง, ไขสันหลัง, เรติ นา, pituitary gland), สารเคลือบฟัน (enamel), adrenal medulla, เลนส์ตา Mesoderm ระบบหมุนเวียนและน้่าเหลือง, ระบบขับถ่าย, ระบบสืบพันธุ์, adrenal cortex,กล้ามเนื้อ และกระดูก, notochord, หนังแท้, เนื้อฟัน, เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน Endoderm Parathyroid gland, thyroid gland, ต่อมทอนซิล, ต่อมไทมัส, ตับ, ตับอ่อน, ทางเดิน อาหาร, ทางเดินอากาศ, กระเพาะปัสสาวะ Organogenesis เมื่อกระบวนการ gastrulation เสร็จสิ้นลง เอมบริโอเข้าสู่ขั้นที่เตรียมพร้อมที่จะเติบโตอย่าง อิสระ เนื้อเยื่อต่างๆจะเรียงตัวตามต่าแหน่งที่จะปรากฏในขั้นเต็มวัย จับกลุ่มกันขึ้นเป็นเนื้อเยื่อและ อวัยวะตามต่าแหน่งที่เฉพาะเจาะจง และเริ่มอย่างมีอิสระแต่มีการประสานงานกัน มีการจับกลุ่มกัน ของเซลล์ขึ้นเป็นรูปร่าง
  • 79.
  • 82.
  • 83.
  • 84.
  • 85.
  • 86.
  • 87.
  • 88.
  • 89.
  • 91.
  • 92.
  • 93. โครงสร้างนอกตัว embryo (Extra embryonic membrane) • จะพบเฉพาะในสัตว์ 3 พวก คือ 1. สัตว์ปีกหรือพวกนก 2. สัตว์เลื้อยคลาน และ 3. สัตว์เลี้ยงลูกด้วย น้่านม • เป็นโครงสร้างที่อยู่นอกตัวเอมบริโอ ประกอบด้วย 4 อย่าง ได้แก่ 1. yolk sac ถุงไข่แดง 2. Amnion ถุงน้่าคร่่า 3. chrion และ 4. allantois 1. Yolk sac ถุงไข่แดง ในพวกนกและสัตว์เลื้อยคลานเป็นสัตว์ที่มีไข่แดงมาก เพราะฉะนั้นถุงไข่แดงจึงมี ไข่แดงอยู่ข้างใน ส่วนในคนหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้่านมไม่มีไข่แดงฉะนั้นถุงนี้ก็มีไว้เฉยๆ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่อง วิวัฒนาการว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้่านมมีต้นตระกูลเป็นสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์เลื้อยคลานมี yolk sac และมี ไข่แดงอยู่ข้างใน นกก็มีต้นตระกูลเป็นสัตว์เลื้อยคลานเหมือนกัน ใน yolk sac มีไข่แดง แต่ในคนและสัตว์ เลื้อยลูกด้วยน้่านมอื่นๆ นั้นไข่แดงไม่มีแล้ว แต่เนื่องจากว่ามันมีต้นตระกูลเป็นสัตว์เลื้อยคลานก็เลยมี yolk sac เหลือให้เราเห็นแต่ไม่ท่างาน 2. Amnion ถุงน้่าคร่่า ในสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ปีกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วนน้่านมท่าหน้าที่เหมือนกันคือ ป้องกันอันตรายให้แก่ embryo เพราะว่าในถุงน้่าคร่่าจะมีของเหลวเรียกว่า amniotic fluid เนื่องจากสัตว์ พวกนี้วางไข่บนบก เพเราะฉะนั้นรอบตัว embryo ต้องมีน้่าล้อมรอบป้องกันอันตราย ส่วนพวกปลาพวก กบ ไม่มี Amnion เพราะพวกนี้วางไข่ในน้่ามีน้่าล้อมรอบตัวไข่อยู่แล้ว
  • 94. โครงสร้างนอกตัว embryo (Extra embryonic membrane) 3. Chorion เป็นเยื่อชั้นนอกสุดของ Embryo เป็นโครงสร้างอยู่นอกตัว ในนกป้องกันการระเหยของน้่า ในคนจะเจริญไปเป็นรก Chorion มาจากกลุ่มเซลล์ในระยะ Blastocyst ที่เรียกว่า Trophoblast ต่อไป เป็น Chorion เนื่องจากมันอยู่นอกสุดมันจะไปปะติดกับผนังมดลูกของแม่กลายเป็นส่วนหนึ่งของรก เรียกว่ารกลูกหรือ Fetal placenta 4. Allantois ในนกและสัตว์เลื้อยคลานจะเก็บของเสียและแลกเปลี่ยนก๊าซ ของเสียที่เก็บเป็นกรดยูริค สัตว์พวกนี้ไข่แดงมากดังนั้นกว่าจะออกจากไข่ต้องใช้เวลานาน ฉะนั้นถ้าปัสสาวะเป็นน้่า จะไม่มีที่เก็บจึง ขับของเสียในรูปกรดยูริค เป็นของแข็งเก็บในถุงนี้ได้ ในคนมีแต่ไม่ทำงำนเหมือนในนกและสัตว์เลื้อยคลำน แต่จะเจริญเป็นส่วนหนึ่งของรกคือรกลูกนั่นเอง เพรำะในคนรกจะเป็นตัวที่ติดต่อระหว่ำงแม่กับลูก แม่ก็มีเส้นเลือดมำที่รกนำอำหำรออกซิเจนมำให้ลูก ลูกมีเส้นเลือดติดต่อรก นำของเสีย CO2 ไปทิ้ง รกหรือPlacenta ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1. รกลูก ประกอบด้วย Chorion กับ Allantois 2. รกแม่ คือ ผนังชั้นในของมดลูก uterine tissue ที่เรียกว่ำ Endometrium
  • 95.
  • 96.
  • 98. การเจริญของ extraembryonic membranes ของไก่ Yolk sac มีลักษณะเป็นถุงหุ้มไข่แดง มีเซลล์ย่อยสลายไข่แดง และเยื่อหุ้มเจริญเป็นเส้นเลือด ท่าหน้าที่ล่าเลียงอาหาร ด้านข้างแผ่เข้าไปคลุมเอมบริโอและในที่สุดเชื่อมติดกัน ท่าให้เกิดเยื่ออีก 2 ชั้น ได้แก่ amnion และ chorion เกิดเป็นช่องว่างหุ้มเอมบริโอไว้ เพื่อป้องกันอันตราย amnion เป็นถุงหุ้ม เอมบริโอภายในมีน้่าคร่่า (amniotic fluid) โดยมี chorion หุ้มอยู่อีกชั้นหนึ่ง นอกจากนี้มีถุงยื่นออกมา จากส่วนทางเดินอาหาร ท่าหน้าที่ก่าจัดของเสีย เรียกว่า allantois ซึ่งจะแผ่ไปถึงและดันให้ chorion ติด กับเยื่อชั้นในของเปลือกไข่ (vitelline membrane) allantois และ chorion รวมกันเจริญเป็นอวัยวะช่วย ในการหายใจ โดยมีเส้นเลือดที่เจริญมาจาก allantois ท่าหน้าที่ล่าเลียงออกซิเจน
  • 99.
  • 100.
  • 101. (1) หลังจาก cleavage ได้ blastocyst ซึ่งประกอบด้วย trophoblast และ inner cell mass มีช่อง blastocoel (2) blastocyst เป็นระยะที่จะฝังตัวเข้าไปในมดลูก และ gastrulation จะเกิดขึ้นทันที trophoblast เป็นกลุ่มเซลล์ที่ เรียงอยู่ด้านนอก ซึ่งจะเจริญรวมกับผนังมดลูกกลุ่มเซลล์ inner cell mass แยกตัวเป็น epiblast ซึ่งจะเจริญเป็นเนื้อ 3 ชั้น และ hypoblast ซึ่งจะแผ่ตัวเป็นเยื่อชั้นในเป็น yolk sac (3) ระยะนี้ trophoblast เริ่มเจริญร่วมกับผนังมดลูกเป็น chorion ส่วน epiblast เจริญเป็น amnion ภายในมี ของเหลวเรียกว่าน้่าคร่่า (amniotic fluid) บางส่วนของ epiblast แยกเป็น mesodermal cell เจริญรวมกับchorion เป็นรก (placenta) (4) กลุ่มเซลล์epiblast มีการม้วนตัวเข้าสู่แนวกลางตัวเกิด primitive streak และมีการม้วนตัวเข้าไปข้างในเกิดเป็น เนื้อ 3 ชั้น อยู่ภายใน extraembryonic membranes การเจริญของเอมบริโอของคนและ extraembryonic membranes
  • 102.
  • 103.
  • 104.
  • 105.
  • 106.
  • 107.
  • 108.
  • 109.
  • 110.
  • 111.
  • 112. สรุป: กระบวนการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอของสัตว์ • ไข่เมื่อได้รับการผสมแล้วจะกลายเป็นไซโกต (Zygote) แล้วมีการแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซีส ไซโกตจะ มีการเปลี่ยนแปลง ต่อเนื่องกัน 4 ระยะ คือ • 1. CLEAVAGE เริ่มจากไซโกตแบ่งตัวจาก 1  2  4  8 ... จนกระทั้งเซลล์มาเกาะกันเป็นก้อน กลมๆ เรียกก้อนกลมๆนี้ว่า โมรูลา (MORULA) มีลักษณะคล้ายลูกน้อยหน่า • 2. BLASTULA เป็นตัวอ่อนในระยะที่มีการเคลื่อนที่ของเซลล์เพื่อให้ได้ช่องว่างในตัวอ่อนเรียกช่องว่าง นี้ว่า BLASTOCOEL และเรียกเซลล์ที่ล้อมช่องว่างว่า BLASTODERM
  • 113. สรุป: กระบวนการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอของสัตว์ • 3 GASTRULA เป็นตัวอ่อนที่ต่อจากระยะ BLASTULA คือ เซลล์แบ่งตัวแล้วเคลื่อนที่ เข้าข้างในเห็นตัวอ่อนเป็นรูปถ้วย ซึ่งดูคล้ายมีผนัง 2 ชั้น คือ ชั้นนอกและชั้นในและ ในตอนนี้จะเห็นมีช่องว่าง 2 ช่อง คือ BLASTOCOEL และ ARCHENTERON ซึ่งช่อง ARCHENTERON ต่อไปจะเจริญไปเป็นทางเดินอาหาร ต่อมาจะเกิดเนื้อเยื่อแทรก ระหว่าง เนื้อเยื่อชั้นนอกและเนื้อเยื่อชั้นใน เนื้อเยื่อที่เกิดขึ้นใหม่นี้คือเนื้อเยื่อชั้นกลางใน ตอนท้ายระยะ GASTRULA จะมการสร้าง ระบบประสาทขึ้น • 4 DIFFERENTIATION คือขบวนการที่เนื้อเยื่อ 3 ชั้น คือ ชนนอก (ectoderm) ชั้นกลาง (mesoderm) ชนใน (endoderm) เปลี่ยนแปลงไปเป็นโครงสร้างต่างๆของร่างกาย คือ
  • 114. DIFFERENTIATION • Ectoderm (เนื้อเยื่อชั้นนอก)เปลี่ยนแปลงไปเป็น • ผิวหนัง ขน เขา เล็บ เกล็ด กีบเท้าสัตว์ • ระบบประสาท (สมอง,ไขสันหลัง) • ต่อมใต้สมองส่วนหน้า และส่วนกลาง • สารเคลือบฟัน ต่อมน้่าลาย • ต่อมหมวกไตชั้นใน ต่อมใต้สมองส่วนท้าย • Mesoderm (เนื้อเยื่อชั้นกลาง) เปลี่ยนแปลงไปเป็น • ระบบโครงกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ • ระบบหมุนเวียนโลหิต (หัวใจ เส้นเลือด เลือด ม้าม) • ระบบขับถ่าย (ไต) - ระบบสืบพันธุ์ (อัณฑะ รังไข่)
  • 115. DIFFERENTIATION • Endoderm (เนื้อเยื่อชั้นใน) เปลี่ยนแปลงไปเป็น • ระบบทางเดินอาหาร (หลอดอาหาร,กระเพาะอาหาร , ล่าไส้ , ตับ , ตับอ่อน) • ระบบหายใจ (หลอดลม , ปอด) - ต่อมทอนซิล หูส่วนกลาง ต่อมไทรอยด์ • ต่อมพาราไทรอยด์ อัลแลนตอยด์ ถุงไข่แดง • กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ • เซลล์ที่จะเจริญเป็นเซลล์สืบพันธุ์ (primordial germ cell) • การคลอด (Parturition) การตั้งครรภ์ในคน กินเวลาประมาณ 270 วัน นับตั้งแต่การ ผสมของไข่ หรือ 284 วัน นับตั้งแต่วันแรกของประจ่าเดือนครั้งสุดท้าย ในระยะสุดท้าย ของการตั้งครรภ์ มดลูกจะบีบตัวเป็นครั้งคราว และการบีบตัวนี้จะเกิดบ่อยขึ้น ในระยะนี้ กล้ามเนื้อมดลูกจะมีความไวในการตอบสนองต่อ ออกซิโทซิน (oxcytocin) มากขึ้น เมื่อเริ่มเจ็บท้อง ศีรษะของเด็กที่ดันขยายส่วนล่างของมดลูก จะมีผลกระตุ้นให้มีการขับออก ซิโทซินออกมามากขึ้น มีผลท่าให้มดลูกบีบตัวแรงขึ้น ท่าให้เกิดการคลอดได้
  • 116. พัฒนาการ-ของทารกในครรภ์ช่วง9เดือนภายในครรภ์มารดา • พัฒนาการทารกในครรภ์ นั้นเริ่มนับตั้งแต่วันแรกของการมีประจ่าเดือนครั้งสุดท้าย แม้ คุณหมอจะบอกคุณว่าตั้งครรภ์ได้ 1 เดือน แต่ความเป็นจริงคือ 2 สัปดาห์หลังจากการ ปฏิสนธิ การตั้งครรภ์โดยปกตินั้นมีระยะเวลาเฉลี่ยคือ 40 สัปดาห์ • 1 เดือนแรก (3 สัปดาห์นับจากวันแรกของประจ่าเดือนครั้งสุดท้าย) เป็นช่วงเวลาที่ไข่ได้ ผสมกับอสุจิกลายเป็นตัวอ่อน โดยไข่ที่ได้รับการผสมแล้วจะเคลื่อนตัวช้าๆ ผ่านท่อน่าไข่ มายังโพรงมดลูก ขณะเคลื่อนตัวก็จะมีการแบ่งเซลล์เพิ่มจ่านวนมากขึ้นเรื่อยๆ จะกระทั่ง ถึงโพรงมดลูกไข่จะมีลักษณะเป็นลูกกลม ประกอบไปด้วยเซลล์ราว 100 เซลล์ และยังคง เจริญเติบโตต่อไป ไข่ที่ผ่านการผสมแล้วจะฝังตัวลงในเยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งมีลักษณะนุ่ม และหนา จนเมื่อยึดเกาะติดมั่นคงดีแล้วจึงถือได้ว่าการปฏิสนธิเป็นไปอย่างสมบูรณ์ • ช่วงเดือนที่ 2 (เริ่มสังเกตเห็นทารกชัดเจน) เมื่อไข่ที่ผสมแล้วยึดเกาะติดฝังตัวลงในเยื่อบุ โพรงมดลูกเรียบร้อยดีแล้ว ช่วงเดือนที่ 2 ของพัฒนาการทารกในครรภ์นี้ทารกเริ่ม มองเห็นเป็นตัวแล้ว การพัฒนาการของทารกในครรภ์สังเกตได้อย่างชัดเจนจากหัวของ ทารกที่จะโตกว่าส่วนอื่น รูปหน้า มือและเท้า ปรากฎให้เห็น ช่วงปลายเดือนถ้าอัลตรา ซาวด์จะเห็นการเคลื่อนไหวและจับการเต้นหัวใจได้ ทั้งมองเห็นสายรกโดยรกนี้ท่าหน้าที่ เสมือนเป็นปอดแลกเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์กับออกซิเจนจากคุณแม่ และยังเป็น เสมือนสายใยที่คอยล่าเลียงอาหารจากคุณแม่สู่ทารกในครรภ์อีกด้วย
  • 117. พัฒนาการ-ของทารกในครรภ์ช่วง9เดือนภายในครรภ์มารดา • ช่วงเดือนที่ 3 (หัวใจจะเป็นรูปเป็นร่างเต็มที่ ) ในเดือนที่ 3 โครงสร้างใบหน้าของทารก เริ่มสมบูรณ์ แต่เปลือกตายังปิดอยู่ การท่างานของระบบสมอง และกล้ามเนื้อเริ่มมี ความสัมพันธ์กัน กล้ามเนื้อต่างๆ มีการเจริญเติบโต แขนขาเริ่มยืดออก และเคลื่อนไหว ได้ ข้อต่างๆ เริ่มเชื่อมต่อกัน นิ้วมือนิ้วเท้าสมบูรณ์ และเริ่มงอได้ ปลายนิ้วมีเล็บ ทารกจะ หัดดูดนิ้ว และเริ่มกลืนน้่าคร่่าได้ โดยตัวทารกนั้นจะลอยอยู่ในน้่าคร่่าภายมดลูก ซึ่ง น้่าคร่่านี้เองท่าหน้าที่ปกป้องและห่อหุ้มทารกไม่ให้ได้รับความกระทบกระเทือน • คุณแม่พึงระมัดระวังคือ ช่วงมีครรภ์ 3 เดือนแรกนี้ มีอัตรำเสี่ยงในกำรแท้งค่อนข้ำงสูง ต้องดูแลตัวเองอย่ำงมำก และระมัดระวังเรื่องยำที่รับประทำน ถ้ำมีควำมจำเป็นต้องใช้ยำ ควรปรึกษำแพทย์ก่อน • ช่วงเดือนที่ 4 (การเติบโตของทารกที่ใกล้จะสมบูรณ์) เดือนที่ 4 ของการพัฒนาทารกใน ครรภ์ แขนและข้อต่อต่างๆ พัฒนาอย่างสมบูรณ์ กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงขึ้น ทารก สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างกระฉับกระเฉง แต่คุณแม่อาจจะยังไม่รู้สึกว่าลูกเคลื่อนไหว เริ่มมีขนอ่อนปกคลุมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายทารก สามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้น เริ่ม มีไตที่ท่างานได้เหมือนผู้ใหญ่ นอกจากนี้ทารกยังมีจ่านวนเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ มากกว่าเดือนที่แล้วถึง 3 เท่า สามารถเตะ งอนิ้วมือนิ้วเท้า กลอกตาได้อวัยวะเพศพัฒนา มากขึ้นจนสามารถบอกได้ว่าเป็นเพศใด
  • 118. Sex organ formation in Fetus
  • 119. พัฒนาการของทารกในครรภ์ช่วง9เดือนภายในครรภ์มารดา • ช่วงเดือนที่ 5 ของพัฒนาการทารกในครรภ์?(ทารกเริ่มรู้สึกกับสิ่งแวดล้อมภายนอกได้) เดือนที่ 5 พัฒนาการของทารกในครรภ์ จะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ระยะนี้คุณแม่จะ เริ่มรู้สึกแล้วว่าทารกดิ้น หรือมีการเคลื่อนไหวเป็นระยะๆ โดยฟันจะถูกสร้างขึ้นมาแต่จะอยู่ ใต้ขากรรไกร เริ่มมีผมบนศีรษะ กล้ามเนื้อต่างๆ มีความแข็งแรงมากขึ้น ทารกเคลื่อนไหว มากขึ้น ล่าตัวทารกช่วงนี้ยาวประมาณ 9 นิ้ว และร่างกายจะผลิตสารสีขาวข้นที่เรียกว่า เวอร์ นิกซ์ ขึ้นมาเคลือบเพื่อปกป้องผิวเส้นผม คิ้วและขนตาเริ่มงอกเริ่มพัฒนาประสาทสัมผัส คือ รับรู้รส ได้กลิ่น และได้ยิน ตายังปิดอยู่แต่รับรู้แสงสว่างจ้าได้ ดังนั้นเวลาคุณพูดแกจะได้ยิน หรือเวลาที่คุณลูบท้องแกก็จะรู้สึกเช่นกัน ช่วงปลายเดือนนั้นทารกยังเริ่มถ่ายปัสสาวะลงสู่ น้่าคร่่าได้อีกด้วย • ช่วงเดือนที่ 6 ของพัฒนาการทารกในครรภ์?(การตอบสนองของทารกชัดเจน) ร่างกายของทารกเริ่มเติบ โตช้ากว่าเดิมเพื่อให้อวัยวะภายในเช่น ปอด ระบบย่อยอาหาร และระบบภูมิคุ้มกันได้พัฒนาอย่างเต็มที่ ที่น่าอัศจรรย์คือทารกสามารถควบคุมการ เคลื่อนไหวท่าให้คุณแม่รู้สึกได้โดย เฉพาะตอนนอนพักทารกสามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้น เสียงพูด เสียงดนตรี และสามารถตอบสนองการกระตุ้นของแม่ ทารกในช่วงนี้อาจจะดูผอม บาง เนื่องจากมีไขมันสะสมอยู่ใต้ผิวหนังน้อย
  • 120. พัฒนาการของทารกในครรภ์ช่วง9เดือนภายในครรภ์มารดา • ช่วงเดือนที่ 7 ของพัฒนาการทารกในครรภ์?(พัฒนาการพร้อมออกสู่โลกกว้าง) ทารกในครรภ์เดือนที่7 มีการสร้างไขมาปกคลุมผิวหนัง ล่าตัวเพื่อความอบอุ่น และป้องกันผิวหนังจากน้่าปอดของทารกพัฒนาอย่างสมบูรณ์เปลือกตาเริ่ม เปิด และนัยน์ตาพัฒนาไปมากจนมองเห็นแสงที่ผ่านมาทางหน้าทองแม่ได้ เสียงดังๆท่าให้ทารกเคลื่อนไหว และการเต้นของหัวใจเปลี่ยนไปตามเสียงและ แสงไฟ ต่อมรับรสของทารกพัฒนาไปมากถ้าทารกเกิดคลอดออกมาช่วงเวลานี้ จะมีโอกาศรอดค่อนข้างสูงเพราะอวัยวะส่าคัญทั้งหลาย • ช่วงเดือนที่ 8 ของพัฒนาการทารกในครรภ์?(ทารกกลับตัวพร้อมออกมาลืมตา ดูโลก)เดือนที่ 8 แห่งพัฒนาการของทารกทารกจะมีขนาดและสัดส่วน ใกล้เคียงกับเด็กแรกเกิดมีความแข็งแรงมากขึ้นในช่วงนี้ทารกจะเริ่มกลับหัว เข้าสู่อุ้งเชิงกรานการดิ้นของทารกจะสามารถสังเกตเห็นได้จากหน้าทองของ แม่ ช่วงนี้ก่อนคลอดหนึ่งเดือนคุณแม่อาจมีอาการมดลูกบีบรัดตัวซึ่งเป้นอาการ ที่ เรียกว่า เจ็บท้องหลอกการหดตัวรัดตัวนี้ก็เพื่อดันตัวทารกมาประชิดปากมด ลุกเพื่อเตรียมพร้อมที่จะคลอด
  • 121. พัฒนาการของทารกในครรภ์ช่วง9เดือนภายในครรภ์มารดา • ช่วงเดือนที่ 9 ของพัฒนาการทารกในครรภ์?(เตรียมตัวเป็นแม่คน) ในเดือนนี้ทารกจะอยู่ในท่าที่พร้อมจะคลอด เล็บมีการเจริญเติบโต และยาวครอบคลุมปลายนิ้ว ผมบน ศีรษะมีความยาวประมาณ 1-2 นิ้ว ถ้าเป็นครรภ์แรกศีรษะของทารกจะเคลื่อนเข้าไปอยู่ในอุ้งเชิงกราน ดังนั้นคุณแม่อาจคลอดตอนไหนก็ได้ในช่วงนี้ ทารกส่วนใหญ่จะคลอดตามก่าหนดหรือช้าไป 2 สัปดาห์ หลังก่าหนด
  • 123.
  • 125.
  • 126.
  • 127.
  • 129.
  • 130.
  • 131.
  • 132. ความผิดปกติของการตั้งครรภ์ • 1. ครรภ์เป็นพิษ หรือที่เรียกว่า Toxemia of Pregnancy มักมีอาการเมื่อตั้งครรภ์ได้ 5-6 เดือน ขึ้นไป จนกระทั่งหลังคลอดหนึ่งสัปดาห์ สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด มักพบในครรภ์แรก ครรภ์แฝด ครรภ์ไข่ปลาอุก และ ในผู้หญิงที่เคยเป็นเบาหวาน หรือโรคความดันโลหิตสูง หรือโรคไตอยู่ก่อน ภาวะครรภ์เป็นพิษแบ่งเป็นสองชนิด ชนิดแรกผู้ป่วยมีอาการบวม ความดันโลหิตสูง และตรวจพบโปรตีนหรือไข่ขาวในปัสสาวะ อีกชนิดเป็นแบบ ร้ายแรง โดยจะมีอาการชักหรือหมดสติร่วมด้วย ซึ่งเป็นอันตรายถึงกับเสียชีวิตได้ • 2. ฝาแฝด ตามปกติร่างกายของคนเรามีการตั้งครรภ์และคลอดทารกคราวละ 1 คน แต่บางกรณีร่างกายของ คนเราอาจมีโอกาสตั้งครรภ์และคลอดทารกครั้งละมากกว่า 1 คน เรียกว่า “ ฝาแฝด ” ซึ่งถือเป็นความผิดปกติ ของการตั้งครรภ์แบบหนึ่ง ฝาแฝดมี 2 ประเภท คือ แฝดร่วมไข่ และ แฝดต่างไข่ • 3. การท้องนอกมดลูก มีบางครั้งที่เหตุการณ์ของการตั้งครรภ์ไม่ได้เป็นตามปกติ กล่าวคือ ภายหลังการผสม ไข่ ที่ถูกผสมไม่ อย่างไรก็ตาม การตั้งครรภ์นอกมดลูกที่พบบ่อยที่สุดคือ การตั้งครรภ์ที่ท่อน่าไข่ ส่าหรับการ ตั้งครรภ์ที่รังไข่หรือช่องท้องพบได้น้อยมาก ได้เดินกลับมาฝังที่มดลูก บางรายฝังที่ท่อน่าไข่เลย เรียกว่า การ ตั้งครรภ์ที่ท่อน่าไข่ บางรายไข่ที่ผสมแล้วกลับเดินทางต่อไปฝังตัวที่รังไข่ เรียกว่า การตั้งครรภ์ที่รังไข่ หรือบาง รายไข่ที่ผสมแล้วหลุดจากท่อน่าไข่แล้วไปฝังอยู่ในช่องท้องเรียกว่า การตั้งครรภ์ในช่องท้อง การตั้งครรภ์ต่างๆ เหล่านี้ คือการตั้งครรภ์นอกมดลูกหรือท้องนอกมดลูกทั้งสิ้น
  • 133. สาวมาด เมกะแดนซ์ ครรภ์เป็นพิษ หามส่งไอซียู การท้องนอกมดลูก
  • 134. ความผิดปกติของการตั้งครรภ์ • 4. รกเกาะต่่า ภาวะตกเลือดในสตรี ในช่วงท้าย ๆของการตั้งครรภ์ หรือการคลอด ส่วนใหญ่จะมาจากสาเหตุของ รกเกาะต่่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระวังและอาจเกิดได้ประมาณ 1ใน 200 การตั้งครรภ์ ภาวะรกเกาะต่่า หรือ placenta previa (placenta=รก) หมายถึงภาวะ ที่การเกาะของรก เกาะต่่าลงจากปกติที่อยู่สูงขึ้นไป ในมดลูก บางครั้ง เกาะต่่าลงมาถึงปากช่องคลอด และท่าให้เกิดปัญหา คือเลือดออกในช่วงที่ปากช่องคลอด ขยายตัว คือช่วงครึ่งหลัง (3-8 เดือน)ของการตั้งครรภ์ และถ้าเป็นมาก อาจท่าให้ตกเลือด เด็กไม่สามารถคลอด ตามปกติ ต้องผ่า เพราะมีรกขวางอยู่
  • 135. การมีลูกแฝด(Twins) • เกิดจากการแบ่งเซลล์ ของไข่ที่ได้รับการผสมแล้วผิดปกติ หรือเกิดจากการสุกของไข่ ผิดปกติ ฝาแฝด แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 1. ฝาแฝดแท้ (Identical Twins) เกิดจากไข่ใบเดียวผสมกับอสุจิตัวเดียว แต่เมื่อมี การแบ่งเซลล์แล้ว เกิดแยก ออกเป็น 2 กลุ่ม ฝังตัวอยู่ในผนังมดลูกที่เดียวกัน ยีนเหมือนกัน เด็กเพศเดียวกัน หน้าเหมือนกัน 2. ฝาแฝดเทียม (Fraternal Twins) เกิดจากไข่ 2 ใบและอสุจิ 2 ตัวผสมกัน ฝังตัว ในผนังมดลูกคนละฝั่งกัน รก และถุงหุ้มตัวอ่อนแยกจากกัน แต่ละส่วนจะแบ่งเซลล์ด้วย ตัวเอง ยีนต่างกัน เด็กจะไม่ติดกัน อาจเป็นเพศเดียวกัน หรือ ต่างเพศ กันก็ได้
  • 136. สรุป : การเกิดฝาแฝด (Twin formation) มี 2 ประเภท คือ ฝาแฝดร่วมไข่ และฝาแฝดต่างไข่ 1. แฝดร่วมไข่ เป็นฝาแฝดที่เกิดจากการรวมตัวกันของเซลล์ไข่ 1 ใบ และอสุจิ 1 ตัว ขณะที่กาลังเจริญเติบโต เอ็มบริโอมีการแบ่งเซลล์เช่น จาก 1 เป็น 2 และแยกขาดออกจากัน แต่ละส่วนจะเจริญเติบโตเป็นทารกที่มี อวัยวะครบสมบูรณ์จนกระทั่งคลอด แฝดประเภทนี้จะเป็นเพศเดียวกันเสมอมีรูปร่างลักษณะเหมือนกัน และถ้า ได้รับการเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อเดียวกันจะมีอุปนิสัยและความสามารถที่คล้ายกันมาก ในกรณีที่เอ็มบริโอแบ่งตัว ออกเป็น 2 แต่ไม่แยกออกจากกัน เมื่อทารก เจริญเติบโตจะได้ทารกตัวติดกัน 2. แฝดต่างไข่ เป็นแฝดที่เกิดจากมีไข่สุกมากกว่า 1 ใบ ไข่แต่ละใบจะมีโอกาสเข้าผสมกับตัวอสุจิแต่ละตัวและ เกิดการปฏิสนธิในเวลาใกล้เคียงกัน จะได้เอ็มบริโอ เจริญเติบโตอยู่ภายในมดลูกเดียวกัน แต่แยกรกกันและทารก จะคลอดออกมาในเวลาใกล้เคียงกัน ฝาแฝดชนิดนี้อาจเป็นเพศเดียวกันหรือต่างเพศกันก็ได้ ส่วนหน้าตาและ ลักษณะทางพันธุกรรมจะมีลักษณะคล้ายกัน
  • 137.
  • 139.
  • 140. What is this twin type ?
  • 141. การคุมก่าเนิด(contraception) • การคุมก่าเนิดเป็นวิธีป้องกันการตั้งครรภ์ส่าหรับหญิงที่ไม่พร้อมจะมีบุตร การคุมก่าเนิดมีหลายวิธีให้ เลือกใช้ตามความเหมาะสม แบ่งออกเป็น 3 วิธีใหญ่ๆ คือ การป้องกันการเกิดปฏิสนธิ (prevent sperm and egg from meeting) การป้องกันการฝังตัวของตัวอ่อน (pervent implantation) และการยับยั้งการตกไข่และสเปิร์ม (prevent release of gamete) 1. การป้องกันการปฏิสนธิ (prevent sperm and egg from meeting) • 1.1 การคุมก่าเนิดแบบนับวัน (rhythm method) เป็นวิธีการหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ ในช่วงไข่ตก จากการศึกษาพบว่าไข่ที่ตกออกมาสามารถมีชีวิตอยู่ในท่อน่าไข่ได้นาน 24 ถึง 48 ชั่วโมง ส่วนสเปิร์มอยู่ในท่อน่าไข่ได้นานถึง 72 ชั่วโมง ดังนั้น การคุมก่าเนิดโดยวิธีนี้จึงควรหลีกเลี่ยง การมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 7 วันก่อนและหลังไข่ตก ประสิทธิภาพของการคุมก่าเนิดด้วยวิธีการนี้ต้องใช้ ควบคู่ไปกับความรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในร่างกาย การเปลี่ยนแปลง ของเมือกในช่อง คลอด เป็นต้น อัตราการตั้งครรภ์จากการคุมก่าเนิดแบบนับวัน คือ 10 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ • 1.2 การใช้ถุงยางอนามัย (condoms method) เป็นกลไกคุมก่าเนิดที่ใช้กับฝ่ายชายเป็นวิธี ป้องกันสเปิร์ม เข้าไปในระยะสืบพันธุ์ของเพศหญิงขอดีของวิธีการใช้ถุงยางอนามัยนอกจากใช้ คุมก่าเนิดแล้วและวิธีนี้ยังสามารถป้องกันโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
  • 142.
  • 143.
  • 144. การคุมก่าเนิด(contraception) • 1.3 การใช้ไดอะแฟรม (diaphragm) เป็นวิธีการคุมก่าเนิดโดยใช้ฝาครอบปากมดลูก เพื่อป้องกันการเข้า ไปปฏิสนธิของสเปิร์ม การคุมก่าเนิดโดยวิธีนี้ก่อนใช้มักจะทาครีมลงบนไดอะแฟรมเพื่อฆ่าสเปิร์ม อัตราการ ตั้งครรภ์โดย วิธีการใช้ถุงยางอนามัยและการใช้ไดอะแฟรม น้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ • 1.4 การหลั่งภายนอก (withdrawal method) วิธีคุมก่าเนิดโดยฝ่ายชายจะหลั่งซีเมนภายนอกระบบ สืบพันธุ์เพศหญิง การคุมก่าเนิดด้วยวิธีนี้พบว่าโอกาสในการตั้งครรภ์มีสูงถึง 22 เปอร์เซ็นต์ • 1.5 การท่าหมันถาวร (sterilization) การคมก่าเนิดแบบถาวร เป็นวิธีการคุมก่าเนิดที่นิยมอย่าง แพร่หลายใน สตรีที่มีอายุเกิน 30 ปี อัตราการตั้งครรภ์ 0.15 เปอร์เซ็นต์ การคุมก่าเนิดแบบถาวรมี 2 ประเภท • 1) การท่าหมันหญิง (tubal ligation) โดยการตัดท่อน่าไข่แล้วผูกปลายแต่ละส่วนที่ตัดออก วิธีนี้เพศ หญิง 1 ใน 4 เลือกใช้ • 2) การท่าหมันชาย (vasectomy) โดยการตัดท่อน่าสเปิร์มหรือวาสดิเฟรนส์ (vas deference) แล้วผูกปลายแต่ละส่วนที่ถูกตัดออกเพื่อยับยั้งการเคลื่อนที่ของสเปิร์มออกนอกร่างกาย ไม่มีผลข้างเคียง เกิดขึ้น การผลิตสเปิร์มปกติแต่อาจช้าลงและถูกเซลล์เม็ดเลือดขาวจับกิน ส่วนของปริมาณซีเมนต์ผลิตได้ใน ปริมาณปกติ การผ่าตัดกลับคืนสู่สภาพเดิมพบว่า ประสบความส่าเร็จ 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ในการท่าหมันเกิน 10 ปีขึ้นไป โอกาสจะกลายเป็นหมันสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ เพราะการพัฒนาแอนติบอดีในร่างกายที่เข้า ท่าลายสเปิร์มของตนเอง
  • 145.
  • 146. ตารางแสดงความแตกต่างการท่าหมันชายและการท่าหมันหญิง ความแตกต่าง ชาย (Vassectomy) หญิง (Tubal Ligation) จุดมุ่งหมาย ไม่ให้อสุจิผ่านท่ออสุจิออกมา ไม่ให้ไข่ผ่านท่อน่าไข่มาผสมกับ อสุจิ วิธีการ ตัดท่อ Vas Deferens ออก ส่วนหนึ่ง ตัดท่อน่าไข่ออกส่วนหนึ่งและผูก ปลายไว้ ผล อสุจิถูกดูดซึมกลับเข้าไปใน อัณฑะน้่าอสุจิจะไมมีอสุจิอยู่ ไข่ยังคงมีการเจริญแต่ผ่านออกไป ผสมไม่ได้ การแก้หมัน การเชื่อมต่อท่อ Vas Deferens การเชื่อมต่อท่อน่าไข่
  • 147. การคุมก่าเนิด(contraception) • 2. การป้องกันการฝังตัวของตัวอ่อน (pervent implantation) เป็นวิธีการคุมก่าเนิดโดยวิธีการใส่ห่วง (intrauterine device หรือ IUD) ซึ่งเป็นพลาสติกรูปกลมหรอโค้งขนาดเล็ก สอดเข้าไปในมดลูกโดย แพทย์ผู้ช่านาญการใส่ครั้งหนึ่งอาจทิ้งไว้ได้นานถึง 10 ปี หรือจนต้องการมีบุตร วิธีการคุมก่าเนิดแบบนี้มี ประสิทธิภาพถึง 90 เปอร์เซ็นต์ กลไกการท่างานของวิธีการนี้ยังไม่สามารถระบุได้ชัด แต่พบว่าร่างกายผลิตเม็ดเลือด ขาวออกมาต่อต้านสิ่งแปลกปลอม ข้อเสียของการคุมก่าเนิดแบบใส่ห่วง คือ เลือดไหลกระปิดกระปอยและเป็นลิ่ม เสี่ยงต่อการอักเสบของมดลูก ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมใช้ • 3. การยับยั้งการตกไข่และสเปิร์ม (prevent release of gamete) เป็นการคุมก่าเนิดโดยการใช้ฮอร์โมน เป็นการป้องกันการตกไข่ มีหลายประเภทให้เลือกใช้ เช่น รับประทานยา คุมก่าเนิด (oral pill) การฉีดยาคุมก่าเนิด (DMPA หรือ Depo-Provera) การฝังแคปซูลใต้ผิวหนัง (Norplant) • 3.1 รับประทานยาเม็ดคุมก่าเนิด เป็นการป้องกันการตกไข่ จากการส่ารวจพบว่า 80 เปอร์เซ็นต์ที่สตรีทั่วโลก นิยมใช้ ยาเม็ดคุมก่าเนิดเป็นยาที่ประกอบด้วยฮอร์โมน 2 ชนิด คือ ฮอร์โมนโพรเจสติน (โพรเจสเทอโรน สังเคราะห์) และ เอสโทรเจน (เอสโทรเจนสังเคราะห์) ซึ่งมีผลไปยับยั้งการหลั่ง LH และ FSH วิธีการใช้ คือ รับประทานครั้งละ 1 เม็ดเป็น เวลา 3 สัปดาห์แล้วหยุด สัปดาห์ต่อไปจะเว้นการรับประทานแต่บางบริษัทจะให้ รับประทานน้าตาลหรือวิตามินอัดเม็ดโดยไม่มีการเว้น หลังจากนั้นเมื่อขาดฮอร์โมนประจ่าเดือนจะไหล พบว่า เมื่อใช้อย่างถูกวิธีการคุมก่าเนิดด้วยวิธีนี้จะมี ประสิทธิภาพสูงถึง 99.7 เปอร์เซ็นต์ จากการศึกษาพบว่าการใช้ยา คุมก่าเนิดที่ใช้โดสต่างๆ พบว่าเป็นผลดีต่อสตรีที่ไม่สูบบุหรี่จนเข้าสู่วัยทอง แต่สตรีที่มีอายุเลย 35 ปีขึ้นไปที่มี พฤติกรรมในการสูบบุหรี่หรือมีความดันโลหิตสูง การใช้ยาคุมก่าเนิดจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
  • 148.
  • 149. การคุมก่าเนิด(contraception) • 3.2 การคุมก่าเนิดแบบฉุกเฉิน (emergency contraception) ยาเม็ดคุมก่าเนิดแบบ ฉุกเฉินนี้ เป็นยาที่ใช้หลังการมีเพศสัมพันธ์ ภายใน 72 ชั่วโมง แพทย์ให้ใช้ส่าหรับสตรีที่ถูก ข่มขืนและกรณีอื่นๆ ที่ไม่สามารถป้องกันได้ในขณะมี เพศสัมพันธ์ได้ ยาที่ใช้ต้องมีความเข้มข้น (dose) ที่สูงมากและไปมีผลท่าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในผนังมดลูกชั้นเอนโดมีเทรียม มี ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 75 เปอร์เซ็นต์ และพบว่าถ้าใส่ห่วงเข้าไปเสริมทัน ในสัปดาห์แรก มีประสิทธิภาพถึง 95 เปอร์เซ็นต์ การคุมก่าเนิดด้วยวิธีการนี้ไม่จัดเป็นการท่า แท้ง เพราะถ้าการคุมก่าเนิดไม่ได้ผลและเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นทารกจะไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด • 3.3 การฉีดยาคุมก่าเนิด เป็นการป้องกันการตกไข่ได้อีกวิธีหนึ่ง เป็นการฉีดฮอร์โมนโพรเจสติน ซึ่งจะออกฤทธิ์ โดยกดการท่างานของต่อมใต้สมองส่วนหน้า วิธีใช้คือ ฉีดเขากล้ามเนื้อของสตรีที่ ต้องการคุมก่าเนิดทุก ๆ 3 เดือน • 3.4 การฝังแคปซูลเข้าใต้ผิวหนัง เป็นการฝังฮอร์โมนโพรเจสตินที่เป็นแคปซูลบริเวณใต้ ท้องแขนฮอร์โมนนี้จะถูกปล่อยออกจากแคปซูลแต่น้อย ๆ อย่างต่อเนื่องในกระแสเลือด ไปมีผล ยับยั้งการตกไข่และกระตุ้นการหลั่งเมือกเหนียวในช่องคลอด การฝังแคปซูลนี้จะอยู่ได้ 5 ปีแต่มี ผลข้างเคียงสาหรับผู้ใช้ คือ การมีประจาเดือนกระปิดกระปอยอาจนานถึง 1ปี
  • 150.
  • 151. การผสมเทียมartificial insemination • 1. กิฟท์ (GIFT, Gamete intrafallopian transfer) คือ วิธีการที่ใส่เชื้ออสุจิ (ที่เตรียม แล้ว) และไข่ (sperm and egg) เข้าไปในท่อน่าไข่ของฝ่ายหญิง 1 หรือ 2 ข้าง ทั่วๆ ไปจะใส่ไข่ 2 ฟองร่วมกับตัวเชื้ออสุจิ 5 หมื่นถึง 1 แสนตัวต่อท่อ 1 ข้างการฉีดเชื้อ ผสมเทียมในโพรงมดลูก (IUI) คือ การฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในโพรงมดลูกโดยตรง โดยใช้ท่อพลาสติกเล็กๆ สอดผ่านปากมดลูกแล้วฉีดเชื้อ อสุจิเข้าไปในช่วงที่มีหรือใกล้กับเวลาที่มีไข่ตก วิธีนี้นิยมในกรณีที่ฝ่ายชายมีเชื้ออสุจิผิดปกติ คือ จ่านวน น้อยเกินไปหรือเชื้ออสุจิแข็งแรงน้อยเกินไป หรือมีปัญหามีปฏิกิริยากับปากมดลูกได้ง่าย เข้าไปในโพรง มดลูก ไม่ได้นอกจากนี้ยังท่าในกรณีที่ฝ่ายชายไม่สามารถปล่อยน้่าอสุจิในชองคลอดได้เอง • 2. ซิฟท์ (ZIFT, Zygote intrafollopian transfer) เป็นวิธีการเก็บเซลล์สืบพันธุ์ทั้งไข่ และอสุจิมาผสมกันให้เกิดการปฏิสนธินอกร่างกายก่อน แล้วจึงน่าตัวอ่อนในระยะ Zygote ใส่กลับเข้า ไปในท่อน่าไข่ ความส่าเร็จในการตั้งครรภ แต่ละครั้งประมาณ ร้อยละ 20-30 ใช้วิธีการคล้ายกับ GIFT แต่รอจนกระทั่งไข่ และ sperm ผสมกันและปฏิสนธิเกิดขึ้น ภายนอกร่างกายเสียก่อน จนเจริญเป็นตัว อ่อนระยะ 1 เซลล์ ที่เราเรียกว่า Zygote แล้วจึงท่าการผ่าตัดทางหน้าท้อง เช่นเดียวกับวิธีการ Gift เพื่อใส่ตัวอ่อนที่เป็น Zygote เข้าไปในท่อน่าไข่
  • 152.
  • 153. การผสมเทียมartificial insemination • 3. อิกซี่ (ICSI , IntraCytoplasmic Sperm Injection) เป็นวิธีการคัดเชื้ออสุจิที่ แข็งแรงสมบูรณ์เพียงตัวเดียว เพื่อฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง ซึ่งช่วยให้ตัวอสุจิและไข่เกิดการปฏิสนธิ ใน รายที่ฝ่ายชายมีจานวนตัวอสุจิน้อยมาก หรือ เคลื่อนไหวช้า จะใช้ในกรณที่เด็กหลอดแก้วธรรมดาไม่ ประสบความสาเร็จ วิธีการนี้จะมความสาเร็จในการตั้งครรภ์แต่ละ ครั้งประมาณร้อยละ 25-30 ใน รายที่ฝุายชายไม่มีตัวอสุจ ซึ่งเดิมถือว่าเป็นหมันไม่มทางรักษานั้น ในปัจจุบันแพทย์สามารถช่วยคู่ สมรสเหล่านี้ ได้ โดยการดูดตัวอสุจออกมาจากบริเวณถุงพักน้าเชื้อ หรือที่เรียกว่า PESA (Percutaneous Epididymal Sperm Aspiration) ซึ่งหากได้ตัวอสุจเพียงเล็กน้อย ก็เพียงพอที่จะนาไปฉีดเข้าไปในไข่ การใช้เข็มดูดนี้ เหมาะกับรายที่ท่อนา น้าเชอตันแต่กาเนิด หรือ ภายหลังผ่าตัดทาหมันชาย สาหรับในกรณีทการดูดจากถุงพกน้าเชื้อไม่ได้ตัวอสุจ ก็อาจลองดูด จาก ลูกอณฑะโดยตรง หรือที่เรียกว่า TESA (Testicular Sperm Extraction)
  • 154.
  • 155. สรุปเน้นความส่าคัญ: - การผสมเทียมในหลอดแก้ว แล้วถ่ายฝากตัวอ่อน (In Vitro Fertilization Embryo Transfer หรือ IVF& ET ) - การทาอิ๊กซี่ ( Intra Cytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI) คัดเชื้ออสุจิที่สมบูรณ์เพียงตัวเดียว ฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง ใช้ในกรณีที่เด็กหลอดแก้วธรรมดาไม่ประสบความสาเร็จ - การทากิฟท์ ( Gamete IntraFollopain Transfer หรือ GIFT) นาเซลล์สืบพันธุ์ไข่และอสุจิมาผสม กัน แล้วใส่กลับเข้าสู่ท่อนาไข่ทันทีอาศัยให้อสุจิและไข่ปฏิสนธิกันเองตามธรรมชาติ - การทาซิฟท์ ( Zygote IntraFollopain Transfer หรือ ZIFT) เซลล์สืบพันธุ์ไข่และอสุจิมาปฏิสนธิ นอกร่างกายก่อน แล้วจึงนาตัวอ่อนในระยะ Zygote ใส่กลับเข้าไปในท่อนาไข่
  • 157. กำรแท้ง (Abortion) การแท้งบุตรหมายถึงการตั้งครรภ์ไม่สามารถด่าเนินต่อ ท่าให้เด็กออกมาก่อนก่าหนด ภายใน 20 สัปดาห์ของการการตั้งครรภ์ จากการศึกษาพบว่าร้อยละ 10-25 ของการตั้งครรภ์มีการแท้ง โดยที่ไม่รู้ตัว การแท้งส่วนใหญ่จะเกิดในช่วง 13 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ ดังนั้นช่วงนี้เป็นช่วงที่คุณแม่ ต้องดูแลตัวเอง โดยการลดความเสี่ยงของการแท้ง ภาวะสิ้นสุดการตั้งครรภ์ก่อนถึงก่าหนดคลอดตามปกติ เนื่องจากการตายของตัวอ่อนหรือ ทารก แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. การแท้งเอง (Spontaneous Abortion) เกิดจากความผิดปกติของตัวอ่อนเอง พบ ประมาณ 1 ใน 3 ของหญิงตั้งครรภ์ 2. การท่าแท้งเพื่อการรักษา (Therapeutic Abortion) เป็นวิธีการท่าเพื่อรักษาชีวิตของ แม่ที่มีปัญหาด้านสุขภาพทางกายหรือจิตใจ หรือเมื่อพบความผิดปกติของตัวอ่อน 3. การท่าแท้งเพื่อการคุมก่าเนิด ซึ่งเป็นการท่าแท้งที่ใช้วิธีแตกต่างกันตามอายุทารก เช่น ช่วง 3 เดือนแรกใช้วิธีการดูดออก หลังจาก 3 เดือนขึ้นไป ใช้วิธีการถ่างขยายปากมดลูกและดูดออก เป็นต้น