SlideShare a Scribd company logo
1 of 52
การสืบพันธ์
(Reproduction)
สมาชิก
นางสาว นารี ศรีบุญทัน รหัสนักศึกษา 55131113010
นางสาว พลอยไพลิน โลหะเวช รหัสนักศึกษา 55131113011
นาย ปิยวัฒน์ โภคพูล รหัสนักศึกษา 55131113027
นางสาว ผกาแก้ว ชัยยะ รหัสนักศึกษา 55131113028
นางสาว อภิรนันท์ เอี่ยมน้อย รหัสนักศึกษา 55131113030
นาย วุฒิพงษ์ ทับกระโทก รหัสนักศึกษา 55131113035
นางสาว ประภัสสร มาลัย รหัสนักศึกษา 55131113042
คณะครุศาสตร์ สาขาวิชา วิทยาศาสตร์ทั่วไป
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
การสืบพันธ์ หมายถึง กระบวนการผลิตหน่วยสิ่งมีชีวิตที่
เหมือนตนเอง เพื่อที่จะดารงพันธุ์หรือสปีชีส์ให้คงงอย่่ในลลก
ประเภทของการสืบพันธุ์ แบ่งได้ 2 ประเภท
1. การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ (Asexual reproduction)
2. การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ (Sexual reproduction)
การสืบพันธ์แบบไม่อาศัยเพศ (Asexual reproduction)
- เป็นการผลิตหน่วยสิ่งมีชีวิตโดยอาศัยการแบ่งเซลล์แบบ Mitosis
- ไม่มีการรวมกันของเซลล์สืบพันธุ์
- เซลล์ใหม่ที่ได้มีคุณสมบัติเหมือนกับเซลล์เดิม
การสืบพันธ์แบบไม่อาศัยเพศ เช่น
การแบ่งแยก (Fission)
เป็นการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว เช่น โพรโทซัว
แบคทีเรีย ยีสต์ และสาหร่าย ระหว่างที่มีการแบ่งแยกจะมีการแบ่งสารพันธุกรรม
ด้วย แบ่งได้ 2 ประเภท คือ
1 . แบ่งแยกเป็นสอง (Binary fision)
- 1เซลล์แบ่งได้เป็น 2 เซลล์ และ 4 เซลล์ต่อไปเรื่อยๆ
- พบในสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว เช่น พารามีเซียม,ยูกลีนา เป็นต้น
ตัวอย่างการแบ่งตัวตามยาวและการแบ่งตัวตามแนวขวาง
การแบ่งแยก (Binary fission)
2. การแบ่งแยกทวีคูณ (MULTIPLE FISSION)
- นิวเคลียส จะมีการแบ่งแบบไมโตซีสหลายครั้งได้นิวเคลียสหลายอัน แล้วจึง
แบ่งไซโตพลาซึมได้เป็นหลายเซลล์
- เกิดในพวกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น ในเชื้อมาเลเรียบางระยะและใน
อะมีบาบางชนิดในระยะเป็นตัวหนอนของฟองน้าและปลาดาวบางชนิด
การหักเป็นท่อน (Fragmentation)
- เกิดโดยส่วนของร่างกายหลุดออกเป็นท่อนๆ
- ส่วนที่หลุดออกมา จะเจริญเป็นตัวใหม่
- พบในพวกหนอนตัวแบน สาหร่ายสายยาวๆ พยาธิตัวตืด ปลาดาว เป็นต้น
การแตกหน่อ(Budding)
- หน่อเดิมจะแบ่งเซลล์ได้หน่อใหม่ (BUD) แต่ติดกับหน่อเดิม รูปร่างเหมือน
หน่อเดิม แต่ขนาดเล็กกว่า
- พบในพืชเซลล์เดียว เช่น ยีสต์ ในพืชหลายเซลล์ เช่น มาร์เเชนเทีย ซึ่งเป็นพืช
ชั้นต่าพวกตะไคร่ชนิดหนึ่ง (หรือเรียกลิเวอร์เวิธ) และต้นตีนตุ๊กแก
ต้นตายใบเป็น ส่วนในสัตว์หลายเซลล์ ได้แก่ ไฮดรา
การสร้างใหม่ (REGENERATION)
- เมื่อส่วนของร่างกายหลุดหรือขาดไป ส่วนที่ขาดไปนั้น จะมีการงอกใหม่ และ
เจริญไปเป็นตัวใหม่ และตัวเดิมก็จะมีการงอกส่วนที่ขาดเพิ่มเติมทาให้มี
จานวนเพิ่มขึ้น เช่น พลานาเรีย ดาวทะเล ซีแอนีโมนี
* การงอกใหม่ที่ไม่มีการเพิ่มจานวนไม่จัดว่า เป็นการสืบพันธุ์ เช่น จิ้งจกงอกหาง
ใหม่แทนหางเก่าที่ขาด
การสร้างสปอร์(Sporulation)
- เป็นการสืบพันธุ์โดยที่เซลล์มีการแบ่งนิวเคลียสหลายๆครั้ง จนได้เซลล์ที่มี
ขนาดเล็กจานวนมาก แต่ละเซลล์เรียกว่า Spore ซึ่งจะงอกเป็นสิ่งมีชีวิตตัว
ใหม่
- พบใน เห็ด รา มอส เฟิร์น โปรโตซัวบางชนิด
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (Tissue culture)
เป็นเทคโนโลยีชีวภาพที่ใช้ในการขยายพันธุ์ โดยการเนื้อเยื่อของพืชมาเลี้ยงใน
อาหารสังเคราะห์ แล้วชักนาให้มีการแบ่งเซลล์และเจริญไปเป็นต้นใหม่
การสืบพันธ์แบบอาศัยเพศ(Sexual reproduction)
- เป็นการผลิตสิ่งมีชีวิตใหม่ โดยการรวมกันของนิวเคลียสของเซลล์สืบพันธุ์
- การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเป็นผลดีของวิวัฒนาการ คือ ทาให้เกิดการแปรผัน
ทางพันธุกรรม ทาให้เกิดสิ่งมีชีวิตที่ต่างไปจากบรรพบุรุษ ทาให้มีโอกาสได้ลูกที่
มีลักษณะดีขึ้น
ชนิดของเซลล์สืบพันธ์แบ่งได้ 3 แบบ
A. ไอโซแกมีต(Isogamete) เป็นเซลล์สืบพันธุ์ที่มีขนาดและรูปร่างลักษณะ
เหมือนกันทุกประการ พบในสิ่งมีชีวิต พวกโปรติสท์
B. แอนไอโซแกมีต(Anisogamete) เป็นเซลล์สืบพันธ์ที่มีขนาดไม่เท่ากันแต่
รูปร่างเหมือนกัน
C. โอโอแกมีต(Oogamete) เป็นเซลล์สืบพันธุ์ที่ขนาดและรูปร่างไม่
เหมือนกัน
ตัวอย่าง ชนิดของเซลล์สืบพันธุ์
ประเภทของการสืบพันธ์แบบอาศัยเพศ
1. พาร์ทีโนจินิซิส ( parthenogenesis ) หมายถึง การเพิ่มจานวน
ของสิ่งมีชีวิตโดยไข่ เจริญเป็นตัวอ่อนโดยไม่ต้องปฏิสนธิกับสเปิร์ม เช่น
ผึ้งตัวผู้ มดตัวผู้
2. คอนจูเกชัน ( conjugation ) หมายถึง การรวมตัวของเซลล์สืบพันธุ์
ที่มีขนาดและรูปร่างเหมือนกัน เรียกว่า ไอโซแกมีต ( isogamete )
เช่น ราดา พารามีเซียม สาหร่ายสไปโรไจรา
ประเภทของการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ
3. การปฏิสนธิ ( fertitization ) หมายถึง การรวมตัวของเซลล์
สืบพันธุ์ที่มีขนาดและรูปร่างต่างกัน เรียกว่า เฮเทอโรแกมีต
(heterogamete) โดยเซลล์สืบพันธ์ เพศผู้เรียกว่า สเปิร์ม (sperm)
เซลล์สืบพันเพศเมีย เรียกว่า ไข่ (egg) เช่น สัตว์และพืชทั่วๆไปในพืชดอกมีการ
ปฏิสนธิ 2 ครั้ง คือ ระหว่าง สเปิร์มกับเซลล์ไข่ และสเปิร์มกับโพลาร์นิวคลีไอ
( polar nuclei ) เรียกว่า ปฏิสนธิซ้อน ( double fertitization )
ระบบสืบพันธ์ของมนุษย์
ระบบสืบพันธุ์เพศชาย (Male Reproductive System)
- เป็นระบบที่ทาหน้าที่ในการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ คือ sperm และทา
หน้าที่ในการนาส่ง sperm เข้าไปในอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิงเพื่อผสม
กับเซลล์ไข่ต่อไป นอกจากนี้ยังทาหน้าที่สร้าง hormone เพศชาย
อีกด้วย
อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย
อัณฑะ (testis)
- มีลักษณะเป็นก้อนรูปไข่มี 2 อันอยู่ในถุงอัณฑะที่ห้อยอยู่ภายนอก มีหน้าที่
ผลิตอสุจิและผลิตฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเทอโรน (testosterone)
- เริ่มทาหน้าที่ในวัยอายุระหว่าง 12-16 ปี ฮอร์โมนนี้ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ของร่างกายเด็กผู้ชายเข้าสู่ วัยเจริญพันธุ์ คือ ตัวใหญ่ ไหล่กว้าง มีหนวดเครา
เสียงห้าวขึ้น และมีความต้องการทางเพศ ภายในอัณฑะจะมีหลอดเล็กๆ ขดไป
มาทาหน้าที่สร้างอสุจิ เรียกว่า หลอดสร้างอสุจิ
Testis
อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย
ถุงอัณฑะ (scrotum)
- อยู่นอกร่างกายทาให้อุณหภูมิเย็นกว่าภายในร่างกายซึ่งเป็นสภาวะที่เหมาะกับ
การเจริญของอสุจิ
หลอดเก็บอสุจิ (epididymis)
- อยู่ด้านบนของอัณฑะ ลักษณะเป็นท่อเล็กๆ ทาหน้าที่เก็บอสุจิจนแข็งแรง ก็จะ
ส่งไปที่ท่อซึ่งใหญ่กว่าเรียกว่า ท่ออสุจิ ทาหน้าที่ลาเลียงอสุจิไปเก็บไว้ที่ต่อมสร้าง
น้าเลี้ยงอสุจิ
อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย
ต่อมสร้างน้าเลี้ยงอสุจิ (seminal vesicle )
- ทาหน้าที่หลั่งของเหลวประกอบด้วยอาหารจาพวกน้าตาล ฟรักโทส และโปรตีน
ซึ่งทาให้อสุจิมีชีวิตอยู่ได้ เรียกอสุจิกับน้าเลี้ยงอสุจิว่า น้าอสุจิ (semen)
ต่อมลูกหมาก (prostate gland)
- อยู่รอบๆ หลอดฉีดอสุจิ สร้างสารที่มีฤทธิ์เป็นเบสอ่อน ทาลายฤทธิ์กรดในท่อ
ปัสสาวะของชาย
Seminal vesicle
อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย
ต่อมคาวเปอร์ (Cowper’s gland)
- เป็นกระเปาะเล็กๆอยู่ใต้ต่อมลูกหมาก มี 2 ต่อม
- ทาหน้าที่ หลั่งสารเมือกไปหล่อลื่นท่อปัสสาวะ ในขณะที่เกิดการกระตุ้น
ทางเพศ
อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย
อวัยวะภายนอกเรียกว่า องคชาต (penis)
- เป็นหลอดกลวง มีท่อปัสสาวะและท่ออสุจิซึ่งเชื่อมต่อกัน เป็นทางผ่านของ
ปัสสาวะและอสุจิ แต่น้าปัสสาวะและน้าอสุจิจะไม่ออกจากท่อในเวลาเดียวกัน มี
เยื่อที่แข็งตัวได้เมื่อมีเลือดเข้าไปคั่งอยู่ การทางานจะอยู่ใต้อานาจของ
เส้นประสาทที่แยกออกมาจากไขสันหลังบริเวณก้นกบ
ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
ระบบสืบพันธุ์เพศหญิงเป็นระบบที่ทาหน้าที่คล้ายกับระบบสืบพันธุ์เพศชาย
ซึ่งนอกจาก สร้างเซลล์สืบพันธุ์คือเซลล์ไข่ และสร้าง hormone เพศหญิง
แล้ว ยังทาหน้าที่ดูแลฟูมพักให้ เซลล์ไข่ที่ผสมติดให้พัฒนากลายเป็นตัวอ่อน
จนคลอดออกมา
อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง
รังไข่ (ovary)
- เป็นอวัยวะของเพศหญิงมี 2 รังไข่อยู่ข้างซ้ายและข้างขวาของมดลูก
- ทาหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศหญิง เรียกว่า ไข่ (egg) และสร้างฮอร์โมน
เพศหญิง อีสโทรเจน (estrogen) โพรเจสเทอโรน (progesterone) และ
รีแลกซิน (relaxin) ซึ่งจะเริ่มทาหน้าที่เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นอายุประมาณ 10-15 ปี
Ovary
อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง
ปีกมดลูก (Oviduct)
- เป็นท่อนาไข่ไปสู่มดลูก ซึ่งมีการปฏิสนธิเกิดขึ้นก็จะเกิดที่บริเวณปีกมดลูก
มดลูก (uterus)
- เจริญมาจากท่อนาไข่ มีลักษณะคล้ายผลฝรั่งคว่า ขนาดกว้างยาวประมาณ 332 นิ้ว หนา
ประมาณ 1 นิ้ว เป็นที่ฝังตัวของไข่ที่ถูกผสมแล้ว
- เป็นแหล่งที่ทาให้เกิดประจาเดือน
ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น คือ
1. ชั้นนอก เป็นเยื่อบางเหนียว ขยายได้หลายเท่าเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
2.ชั้นกลาง เป็นกล้ามเนื้อเรียบ 2 ชั้น ทาหน้าที่บีบรัดตัวทาให้เยื่อชั้นในสุดหลุดลอกออกมาเป็น
ประจาเดือนหรือทาให้ทารกคลอดออกมา
3. ชั้นใน เป็นเนื้อเยื่อคล้ายฟองน้า เมื่อตั้งครรภ์จะมีการสร้างเป็นรก (placenta) ในบริเวณ
นี้เพื่อทาหน้าที่แลกเปลี่ยนสารอาหาร ของเสีย และอากาศระหว่างทารกกับแม่ หากไม่มีการ
ตั้งครรภ์จะหลุดลอกออกมาเป็นประจาเดือน
อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง
อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง
ช่องคลอด (vagina)
- เป็นช่องทางเข้าออกของอสุจิ และเป็นทางออกของทารกและประจาเดือน
Vagina
อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง
อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก ประกอบด้วย แคมนอก(Labia major)
แคมใน(Labia minor) คริสตอริส(Clitoris) ต่อมในบริเวณช่องคลอดและ
ปากช่องคลอด และทางผ่านของน้าปัสสาวะ (urethral orifice) เยื่อ
พรหมจรรย์(Hyman)
เซลล์สืบพันธุ์
เซลล์สืบพันธุ์ (sex cell) แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
1. เซลล์สืบพันธุ์เพศชาย คือ ตัวอสุจิ (sperm) อสุจิของคนประกอบด้วย
ส่วนหัวมีลักษณะค่อนข้างแบนและปลายหัวสุดค่อนข้างแหลม ทาหน้าที่เจาะ
ผนังไข่ขณะที่ผสมกัน ลาตัวอยู่ถัดจากหัวมีลักษณะเป็นทรงกระบอกและหาง
2. เซลล์สืบพันธุ์เพศหญิง คือ ไข่ (egg) ประกอบด้วย เยื่อหุ้มเซลล์บางๆ ที่มี
ตาแหน่งหนึ่งเป็นรูเล็กๆ เพื่อให้ตัวอสุจิเข้าไปได้ และมีโพรโทพลาซึมซึ่งมี
นิวเคลียสอยู่ภายใน
ระบบสืบพันธ์ของมนุษย์
ขบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ชาย (เพศผู้)
ขบวนการสร้างอสุจิ (SPERMATOGENESIS)
- กาเนิดมาจากเซลล์ของเนื้อเยื่อบุภายในท่ออสุจิ ภายในท่อเหล่านี้มี
เซลล์ PERMATOGONIA เซลล์ SPERMATOGONIA มีโครโมโซม 46 อัน
โดยการแบ่งเซลล์ MITOSIS จึงทาให้เกิด SPERMATOGONIA มากมาย
ขบวนการของ MEIOSIS การแบ่งนี้มี 2 ครั้ง
1. FIRST MEIOTIC DIVISION เป็นการแบ่งเซลล์ที่เกิดเซลล์ใหม่ 2 เซลล์ แต่
ละเซลล์มีโครโมโซมลดลงครึ่งหนึ่งของเซลล์เดิม คือ 23 อัน (N) เซลล์ที่ได้จากการ
แบ่งเรียกว่า SECONDARY SPERMATOCYTE
2. SECOND MEIOTIC DIVISION เป็นการแบ่งของ SECONDARY
SPERMATOCYTE ไม่ลดจานวนโครโมโซมแล้ว เกิดเซลล์ใหม่อีก 2 เซลล์ เรียกว่า
SPERMATIDS
ดังนั้น PRIMARY SPERMATOCYTE 1 เซลล์ จะเกิดเป็น SPERMATIDS 4
เซลล์ เมื่อ SPERMATID โตเต็มที่จะเข้าไปอยู่ใน CYTOPLASM ของ SERTOLI
CELL ซึ่งติดกับผนังของท่ออสุจิ เซลล์ SERTOLI เป็นเซลล์ที่ให้อาหารและเลี้ยง
SPERMATIDS ต่อมา SPERMATID เปลี่ยนแปลงรูปร่างมีแส้ (FLAGELLUM)
เคลื่อนไหวได้และเรียกว่าSPERMATOZOA
SPERMATOZOA (อสุจิ) ที่เติบโตเต็มที่ประกอบด้วย
1. หัว เป็นส่วนที่สาคัญในการสืบพันธุ์ ที่หัวมีนิวเคลียสอยู่ปลายสุดของหัว
เรียกว่า อะโครโซม (ACROSOME) ทาหน้าที่ในการเจาะไข่
2. ลาตัว มีแหล่งที่สร้างพลังงานที่ใช้ในการเคลื่อนที่อยู่
3. หาง ทาหน้าที่ในการเคลื่อนที่
ระบบสืบพันธ์ของมนุษย์
ขบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์หญิง(เพศเมีย)
ขบวนการสร้างไข่ เรียกว่า OOGENESIS
- รังไข่เริ่มปรากฏตัวแต่ในระยะตัวอ่อน (EMBRYO) แต่ระยะแรกเซลล์สืบพันธุ์ใน
รังไข่ แบ่งเซลล์แบบ MITOSIS เช่นเดียวกับเซลล์ของร่างกาย เมื่อใกล้ระยะเป็นสาว
เซลล์สืบพันธุ์จึงแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว เซลล์เหล่านี้เรียกว่า OOGONIA
- OOGONIA ต่อมาเป็น PRIMARY OOCYTE แบ่งเซลล์แบบ
MEIOSIS แบ่งได้ 2 ขั้นตอน
1. FIRST MEIOTIC DIVISION เกิดเป็นเซลล์ใหม่ 2 เซลล์ แต่ขนาดต่างกัน
มาก เซลล์ใหญ่เรียกว่า SECONDARY OOCYTE ส่วนอีกเซลล์หนึ่งเล็กเรียกว่า
FIRST POLAR BODY การที่เซลล์ทั้งสองมีขนาดต่างกันเพราะ
CYTOPLASM เกือบทั้งหมดยังคงอยู่กับนิวเคลียสของ SECONDARY
OOCYTE จานวนโครโมโซมของเซลล์ใหม่ลดลงครึ่งหนึ่ง
2. SECOND MEIOTIC DIVISION เกิดจาก SECONDARY
OOCYTE แบ่งเซลล์อันหนึ่งกลายเป็น OOTID เป็นเซลล์ใหญ่ 1 เซลล์ ส่วน
เซลล์เล็ก 3 เซลล์ เรียกว่า SECOND POLAR BODY จะฝ่อไป การแบ่งนี้
ไม่ลดจานวนโครโมโซมอีก
- การแบ่งของ OOGONIA 1 เซลล์ จึงกลายเป็น OOTID เพียง 1 เซลล์
เท่านั้น และจานวนโครโมโซมเป็นครึ่งหนึ่งของเซลล์เดิม โดยการเปลี่ยนแปลง
ตาแหน่งของนิวเคลียส เพียงเล็กน้อยกลายเป็น EGG หรือ OVUM
การตั้งครรภ์ (Pregnancy)
- เมื่อไข่มีการปฏิสนธิที่บริเวณปีกมดลูกและจะแบ่งตัวต่อมาขณะเคลื่อนไป
มดลูก
- ผนังของมดลูกจะหนาตัวขึ้นเพื่อรองรับการฝังตัวของเอมบริโอ การฝังตัวจะ
เกิดขึ้นหลังจากเกิดการปฏิสนธิไป 1 สัปดาห์
- เอมบริโอที่เข้ามา จะเจริญเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเจริญไปเป็นทารก และอีก
กลุ่มเจริญไปเป็นโครงสร้างนอกตัวเอมบริโอเพื่อป้ องกันตัวเอมบริโอเอง
ประกอบด้วย
1. ถุงน้าคร่า (Amnion)
- เป็นเยื่อบางๆหุ้มรอบเอมบริโอ ภายในบรรจุของเหลวรียกว่า น้าคร่า ป้ องกัน
การกระกระเทือนทารก
2. ถุงไข่แดง (Yolk sac)
- ในคนมีขนาดเล็ก ไม่มีไข่แดงเพราะตัวอ่อนรับอาหารจากแม่โดยตรง โดย
ผ่านทางรก ทาหน้าที่สร้างเม็ดเลือดให้ทารกในระยะแรก
3. คอเรียน (Chorion)
- เป็นเยื่อหุ้มรอบเอ็มบริโอ เนื้อเยื่อคอเรียนกับเนื้อเยื่อของมดลูกจะติดกันและ
ประสานกันสนิท
4. รก (Placanta)
- เป็นโครงสร้างเชื่อมระหว่างตัวอ่อนและผนังมดลูกของแม่ เป็นบริเวณที่มีการ
แลกเปลี่ยนก๊าซและสารอาหารระหว่างทารกกับแม่
* เมื่อทารกเจริญเต็มที่ต่อมใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมนออกซิโทซินมากระตุ้นให้
กล้ามเนื้อมดลูกบีบตัว ทาให้ถุงน้าคร่าแตกและทารกผ่านออกทางช่องคลอด
นั่นก็คือ การคลอด
การพัฒนาของไข่เมื่อได้รับการผสมแล้ว
- ไข่เมื่อได้รับการผสมแล้วจะกลายเป็นไซลกต (ZYGOTE) แล้วมีการแบ่ง
นิวเคงลียสแบบไมลทซีส ไซลกตจะมีการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องกัน 4 ระยะ คงือ
1. CLEAVAGE เริ่มจากไซลกตแบ่งตัวจาก 1 – 2 – 4 - 8 ... จนกระทั้งเซลล์มา
เกาะกันเป็นก้อนกลมๆ เรียกว่า ลมร่ลา (MORULA)
2. BLASTULA เป็นตัวอ่อนในระยะที่มีการเคงลื่อนที่ของเซลล์เพื่อให้ได้ช่องว่าง
ในตัวอ่อนเรียกช่องว่างนี้ว่า BLASTOCOEL และเรียกเซลล์ที่ล้อมช่องว่างว่า
BLASTODERM ลักษณะของตัวอ่อนตอนนี้คงล้ายผลน้อยหน่า
3. GASTRULA เป็นตัวอ่อนที่ต่อจากระยะ BLASTULA คงือ เซลล์แบ่งตัวแล้ว
เคงลื่อนที่เข้าข้างในเห็นตัวอ่อนเป็นร่ปถ้วย ซึ่งด่คงล้ายมีผนัง 2 ชั้น คงือ ชั้นนอกและ
ชั้นในและในตอนนี้จะเห็นมีช่องว่าง 2 ช่อง คงือ BLASTOCOEL และ
ARCHENTERON ซึ่งช่อง ARCHENTERON ต่อไปจะเจริญไปเป็นทางเดิน
อาหาร ต่อมาจะเกิดเนื้อเยื่อแทรกระหว่างเนื้อเยื่อชั้นนอกและเนื้อเยื่อชั้นใน เนื้อเยื่อที่
เกิดขึ้นใหม่นี้คงือเนื้อเยื่อชั้นกลางในตอนท้ายระยะ GASTRULA จะมีการสร้าง
ระบบประสาทขึ้น
4. DIFFERENTIATION คือขบวนการที่เนื้อเยื่อ 3 ชั้น คือ ชั้นนอก
ชั้นกลาง ชั้นใน เปลี่ยนแปลงไปเป็นโครงสร้างต่างๆของร่างกาย
เนื้อเยื่อของตัวอ่อนมี 3 ชนิด คือ
เนื้อเยื่อชั้นนอก จะเจริญเปลี่ยนแปลงกลายเป็นสมอง ตาหู ไขสันหลัง
ผิวหนังและอื่นๆ
เนื้อเยื่อชั้นกลาง จะเจริญเปลี่ยนแปลงกลายเป็น กล้ามเนื้อ หัวใจ
กระดูก และอื่นๆ
เนื้อเยื่อชั้นใน จะเจริญเปลี่ยนแปลงกลายเป็น อวัยวะภายในต่างๆ เช่น
กระเพาะอาหาร ลาไส้ ตับ เป็นต้น
Morula Blastula Gastrula
8 สัปดาห์
9 สัปดาห์
23สัปดาห์
27สัปดาห์
การเกิดฝาแฝด
Monozygotic - การเกิดจากไซโกทตัวเดียวกัน ทาให้เกิดฝาแฝดแท้
- เกิดจาก ไข่ 1 ฟอง กับ อสุจิ 1 ตัว รวมกันเป็น 1 ZYGOTE ซึ่ง ZYGOTE
ได้แตกตัวเป็น 2 อัน ทาให้ได้ฝาแฝดแท้ ซึ่งมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกัน
ทุกประการ
Dizygotic – การเกิดจากไซโกทสองตัว ทาให้เกิดฝาแฝดเทียม
- เกิดจาก การมีไข่สุก 2 ฟอง แต่ละฟองรวมกับอสุจิคนละตัว กลายเป็นคนละ
ZYGOTE ซึ่งแต่ละ ZYGOTE ไดกลายเป็นพี่น้องฝาแฝดเทียม 2 คน ซึ่งมี
ลักษณะทางพันธุกรรมไม่เหมือนกัน
การสร้างเซลล์สืบพันธุ์ของพืชมีดอก
ขบวนการสร้างละอองเรณู (Microsporogenesis)
- การสร้างละอองเรณ่ เริ่มจากเซลล์ในอับเรณ่ (anther) ที่เรียกกันว่า pollen
mother cell หรือ microspore mother cell ซึ่งมีลคงรลมลซม 2
ชุด หรือ 2n จะแบ่งตัวแบบไมลอซิส I และไมลอซิส II ได้ละอองเรณ่ 4 เซลล์แต่
ละเซลล์จะมีลคงรลมลซมเพียงชุดเดียว หรือ n ภายในละอองเรณ่แต่ละเซลล์ซึ่งมี
นิวเคงลียส 1 อัน (n) นิวเคงลียสจะแบ่งตัวแบบไมลตซิส 1 คงรั้ง ได้นิวเคงลียส 2 อัน
คงือ generative nucleus (n) และ tube nucleus (n)
ขบวนการสร้างไข่ (Megasporogenesis)
- การสร้างไข่หรือ ovum เริ่มต้นจากเซลล์ในรังไข่ที่เรียกว่า megaspore
mother cell ซึ่งมีลคงรลมลซม 2n แบ่งตัวแบบไมลอซิส ได้เซลล์4 เซลล์ แต่
ละเซลล์มีลคงรลมลซมในสภาพ haploid หรือ n แต่ 3 เซลล์จะสลายตัวไป
เหลือเพียง 1 เซลล์พัฒนามาเป็น megaspore นิวเคงลียสของ
megaspore จะแบ่งตัวแบบไมลตซิส 3 คงรั้งได้นิวเคงลียสทั้งหมด 8 อัน และมี
การจัดเรียงตัวกันเป็นชุด 3 ชุดคงือ ชุดที่ 1 เรียกว่า antipodal nuclei
(มีนิวเคงลียส 3 อัน) จะอย่่ที่ขั้วหนึ่งของเซลล์ ชุดที่ 2 เรียกว่า polar nuclei
(มีนิวเคงลียส 2 อัน) จะอย่่ตรงกลางเซลล์ และชุดที่ 3 มีนิวเคงลียส 3 อัน จะอย่่
ด้านล่างของเซลล์ที่มี Micropyle นิวเคงลียสชุดนี้จะมี egg nucleus อย่่
กลางขนาบข้างด้วย synergid nuclei
การปฏิสนธิในพืช (Fertilization in Plants)
- ละอองเรณูปลิวไปตกบนยอดเกสรตัวเมีย (stigma) เรียกว่า ขบวนการถ่าย
ละอองเกสร (pollination)
- ละอองเรณูจะงอก pollen tube ลงไปตามก้านชูเกสรตัวเมีย (style) จนถึง
embryo sac
- นิวเคลียสของ ละอองเรณูซึ่งอยู่ในสภาพ haploid จะแบ่งตัวแบบไมโตซิส 1 ครั้ง
ได้ tube nucleus และ generative nucleus
- generative nucleus จะแบ่งตัวแบบไมโตซิสอีกครั้งหนึ่งได้ sperm
nucleus 2 อัน
- sperm nucleus หนึ่งอันจะเข้าไปผสมกับ egg nucleus ได้ zygote
หรือ embryo (2n)
- sperm nucleus อีกอันหนึ่งจะเข้าผสมกับ 2 polar nuclei กลายเป็นเอน
โดสเปอร์ม (endosperm) ซึ่งมีโครโมโซม 3 ชุด หรือ 3n
- ดังนั้นพืชจะมีขบวนการปฏิสนธิเกิดขึ้น 2 ครั้ง จึงเรียกการปฏิสนธิแบบนี้ว่า การ
ปฏิสนธิซ้อนหรือ double fertilization
การสร้างเซลล์สืบพันธุ์ในสัตว์
1. ขบวนการสร้างสเปอร์ม (spermatogenesis)
2. ขบวนการสร้างไข่ (Oogenesis)
3. ชนิดของไข่
ไข่ของสัตว์ต่างๆ จาแนกได้เป็น 4 ชนิด ตามปริมาณและการกระจายของไข่แดง
1. ISOLECITHAL EGG เป็นพวกที่มีไข่แดงน้อย และกระจายทั่วไปภายในเซลล์
เช่น ไข่หอยเม่น ไข่ปลาดาว และไข่สัตว์เลี้ยงล่กด้วยนม
2. MESOLECITHAL EGG เป็นพวกที่มีไข่แดงปานกลาง และไข่แดงมักจะอย่่
หนาแน่นที่ขั้วใดขั้วหนึ่งของเซลล์ ตัวอย่างเช่น ไข่กบ
3. TELOLECITHAL EGG เป็นพวกที่มีไข่แดงมาก และไข่แดงอย่่หนาแน่น
ตัวอย่างเช่น ไข่นก ไข่ไก่ ไข่ปลา และไข่ของสัตว์เลื้อยคงลาน
4.CENTROLLECITHAL EGG เป็นพวกที่มีไข่แดงอย่่ตรงกลาง ตัวอย่าง เช่น
ไข่แมลง
อิทธิพลของไข่แดง
1. ขัดขวางการแบ่งเซลล์ของไข่ จากการศึกษาพบว่า บริเวณที่มีไข่แดงน้อย จะมี
การแบ่งเซลล์และมีการเคลื่อนที่ของเซลล์มากกว่าบริเวณที่มีไข่แดงมาก
2. ไข่แดงเป็นอาหารของตัวอ่อน
ขอบพระคงุณ

More Related Content

What's hot

การถ่ายโอนความร้อน ม.1
การถ่ายโอนความร้อน ม.1การถ่ายโอนความร้อน ม.1
การถ่ายโอนความร้อน ม.1Wuttipong Tubkrathok
 
กระบวนการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
กระบวนการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมกระบวนการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
กระบวนการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมJariya Jaiyot
 
บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม1
บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม1บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม1
บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม1Yaovaree Nornakhum
 
บท1พันธุกรรมเพิ่ม
บท1พันธุกรรมเพิ่มบท1พันธุกรรมเพิ่ม
บท1พันธุกรรมเพิ่มWichai Likitponrak
 
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชsukanya petin
 
แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพแบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพyangclang22
 
ระบบย่อยอาหาร
ระบบย่อยอาหารระบบย่อยอาหาร
ระบบย่อยอาหารพัน พัน
 
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์สำเร็จ นางสีคุณ
 
พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต
พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต
พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต Thitaree Samphao
 
บทที่ 3 พลังงานไฟฟ้า
บทที่ 3  พลังงานไฟฟ้าบทที่ 3  พลังงานไฟฟ้า
บทที่ 3 พลังงานไฟฟ้าPinutchaya Nakchumroon
 
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสAomiko Wipaporn
 
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system kasidid20309
 
ต่อมไร้ท่อ
ต่อมไร้ท่อต่อมไร้ท่อ
ต่อมไร้ท่อsukanya petin
 

What's hot (20)

ประชากร1
ประชากร1ประชากร1
ประชากร1
 
การถ่ายโอนความร้อน ม.1
การถ่ายโอนความร้อน ม.1การถ่ายโอนความร้อน ม.1
การถ่ายโอนความร้อน ม.1
 
กระบวนการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
กระบวนการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมกระบวนการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
กระบวนการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
 
Kingdom Animalia
Kingdom AnimaliaKingdom Animalia
Kingdom Animalia
 
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
 
บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม1
บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม1บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม1
บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม1
 
บท1พันธุกรรมเพิ่ม
บท1พันธุกรรมเพิ่มบท1พันธุกรรมเพิ่ม
บท1พันธุกรรมเพิ่ม
 
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
 
ระบบประสาท (Nervous System)
ระบบประสาท (Nervous System)ระบบประสาท (Nervous System)
ระบบประสาท (Nervous System)
 
แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพแบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
แบบทดสอบความหลากหลายทางชีวภาพ
 
ระบบย่อยอาหาร
ระบบย่อยอาหารระบบย่อยอาหาร
ระบบย่อยอาหาร
 
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
6แบบทดสอบการลำเลียงสารผ่านเซลล์
 
พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต
พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต
พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต
 
ระบบไหลเวียนเลือด (Circulatory System)
ระบบไหลเวียนเลือด (Circulatory System)ระบบไหลเวียนเลือด (Circulatory System)
ระบบไหลเวียนเลือด (Circulatory System)
 
ชุดการสอนที่ 8 ฟีโรโมน
ชุดการสอนที่ 8 ฟีโรโมนชุดการสอนที่ 8 ฟีโรโมน
ชุดการสอนที่ 8 ฟีโรโมน
 
บทที่ 3 พลังงานไฟฟ้า
บทที่ 3  พลังงานไฟฟ้าบทที่ 3  พลังงานไฟฟ้า
บทที่ 3 พลังงานไฟฟ้า
 
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
 
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
ชีววิทยาเรื่องการหายใจ respiration system
 
แรงพยุงหรือแรงลอยตัว
แรงพยุงหรือแรงลอยตัวแรงพยุงหรือแรงลอยตัว
แรงพยุงหรือแรงลอยตัว
 
ต่อมไร้ท่อ
ต่อมไร้ท่อต่อมไร้ท่อ
ต่อมไร้ท่อ
 

Similar to การสืบพันธ์

ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011Namthip Theangtrong
 
ติวสอบเตรียมสืบพันธุ์และเจริญสัตว์
ติวสอบเตรียมสืบพันธุ์และเจริญสัตว์ติวสอบเตรียมสืบพันธุ์และเจริญสัตว์
ติวสอบเตรียมสืบพันธุ์และเจริญสัตว์Wichai Likitponrak
 
การสืบพันธุ์
การสืบพันธุ์การสืบพันธุ์
การสืบพันธุ์Wan Ngamwongwan
 
Lec การสืบพันธุ์
Lec การสืบพันธุ์Lec การสืบพันธุ์
Lec การสืบพันธุ์bio2014-5
 
การสืบพันธุ2
การสืบพันธุ2การสืบพันธุ2
การสืบพันธุ2Coverslide Bio
 
การจัดจำแนก
การจัดจำแนกการจัดจำแนก
การจัดจำแนกNonglawan Saithong
 
การสืบพันธุ์ของพืช
การสืบพันธุ์ของพืชการสืบพันธุ์ของพืช
การสืบพันธุ์ของพืชchiralak
 
การสืบพันธุ์และหารเจริญเติบโตของสัตว์
การสืบพันธุ์และหารเจริญเติบโตของสัตว์การสืบพันธุ์และหารเจริญเติบโตของสัตว์
การสืบพันธุ์และหารเจริญเติบโตของสัตว์สงบจิต สงบใจ
 
ระบบสืบพันธุ์และอวัยะเพศชาย
ระบบสืบพันธุ์และอวัยะเพศชายระบบสืบพันธุ์และอวัยะเพศชาย
ระบบสืบพันธุ์และอวัยะเพศชายTiwapon Wiset
 
Lesson4animalrepro kr uwichai62
Lesson4animalrepro kr uwichai62Lesson4animalrepro kr uwichai62
Lesson4animalrepro kr uwichai62Wichai Likitponrak
 

Similar to การสืบพันธ์ (20)

ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
 
ติวสอบเตรียมสืบพันธุ์และเจริญสัตว์
ติวสอบเตรียมสืบพันธุ์และเจริญสัตว์ติวสอบเตรียมสืบพันธุ์และเจริญสัตว์
ติวสอบเตรียมสืบพันธุ์และเจริญสัตว์
 
การสืบพันธุ์
การสืบพันธุ์การสืบพันธุ์
การสืบพันธุ์
 
Chapter6
Chapter6Chapter6
Chapter6
 
การสืบพันธ์
การสืบพันธ์การสืบพันธ์
การสืบพันธ์
 
Lec การสืบพันธุ์
Lec การสืบพันธุ์Lec การสืบพันธุ์
Lec การสืบพันธุ์
 
ระบบสืบพันธุ์
ระบบสืบพันธุ์ระบบสืบพันธุ์
ระบบสืบพันธุ์
 
สืบพันธุ์
สืบพันธุ์สืบพันธุ์
สืบพันธุ์
 
Posterbio12
Posterbio12Posterbio12
Posterbio12
 
การสืบพันธุ2
การสืบพันธุ2การสืบพันธุ2
การสืบพันธุ2
 
การจัดจำแนก
การจัดจำแนกการจัดจำแนก
การจัดจำแนก
 
Female reproduction 2 825
Female reproduction 2 825Female reproduction 2 825
Female reproduction 2 825
 
1
11
1
 
การสืบพันธุ์ของพืช2
การสืบพันธุ์ของพืช2การสืบพันธุ์ของพืช2
การสืบพันธุ์ของพืช2
 
การสืบพันธุ์ของพืช
การสืบพันธุ์ของพืชการสืบพันธุ์ของพืช
การสืบพันธุ์ของพืช
 
กลุ่ม 1
กลุ่ม 1กลุ่ม 1
กลุ่ม 1
 
การสืบพันธุ์และหารเจริญเติบโตของสัตว์
การสืบพันธุ์และหารเจริญเติบโตของสัตว์การสืบพันธุ์และหารเจริญเติบโตของสัตว์
การสืบพันธุ์และหารเจริญเติบโตของสัตว์
 
1 repro
1 repro1 repro
1 repro
 
ระบบสืบพันธุ์และอวัยะเพศชาย
ระบบสืบพันธุ์และอวัยะเพศชายระบบสืบพันธุ์และอวัยะเพศชาย
ระบบสืบพันธุ์และอวัยะเพศชาย
 
Lesson4animalrepro kr uwichai62
Lesson4animalrepro kr uwichai62Lesson4animalrepro kr uwichai62
Lesson4animalrepro kr uwichai62
 

More from Wuttipong Tubkrathok

สารละลายกรด-เบส
สารละลายกรด-เบสสารละลายกรด-เบส
สารละลายกรด-เบสWuttipong Tubkrathok
 
สถานะของสาร ม.1
สถานะของสาร ม.1สถานะของสาร ม.1
สถานะของสาร ม.1Wuttipong Tubkrathok
 
คุณสมบัติบางประการของอะตอม
คุณสมบัติบางประการของอะตอมคุณสมบัติบางประการของอะตอม
คุณสมบัติบางประการของอะตอมWuttipong Tubkrathok
 
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตWuttipong Tubkrathok
 
เหตุผลและความจำเป็นในการพัฒนาความคิดขั้นสูง
เหตุผลและความจำเป็นในการพัฒนาความคิดขั้นสูงเหตุผลและความจำเป็นในการพัฒนาความคิดขั้นสูง
เหตุผลและความจำเป็นในการพัฒนาความคิดขั้นสูงWuttipong Tubkrathok
 
ทรัพยากรธรรมชาติ
ทรัพยากรธรรมชาติทรัพยากรธรรมชาติ
ทรัพยากรธรรมชาติWuttipong Tubkrathok
 
คุณสมบัติแกรไฟต์
คุณสมบัติแกรไฟต์คุณสมบัติแกรไฟต์
คุณสมบัติแกรไฟต์Wuttipong Tubkrathok
 
แผนผังความคิดเรื่องพลังงาน
แผนผังความคิดเรื่องพลังงานแผนผังความคิดเรื่องพลังงาน
แผนผังความคิดเรื่องพลังงานWuttipong Tubkrathok
 
ประโยชน์ของเทคโนโลยีชีวภาพ
ประโยชน์ของเทคโนโลยีชีวภาพ ประโยชน์ของเทคโนโลยีชีวภาพ
ประโยชน์ของเทคโนโลยีชีวภาพ Wuttipong Tubkrathok
 
วิทยาศาสตร์ ม.3 วัฏจักรสาร
วิทยาศาสตร์ ม.3 วัฏจักรสารวิทยาศาสตร์ ม.3 วัฏจักรสาร
วิทยาศาสตร์ ม.3 วัฏจักรสารWuttipong Tubkrathok
 
เอกสารประกอบการเรียนเรื่องเสียงกับการได้ยิน ป.5
เอกสารประกอบการเรียนเรื่องเสียงกับการได้ยิน ป.5เอกสารประกอบการเรียนเรื่องเสียงกับการได้ยิน ป.5
เอกสารประกอบการเรียนเรื่องเสียงกับการได้ยิน ป.5Wuttipong Tubkrathok
 
ลักษณะข้อสอบ Pisa
ลักษณะข้อสอบ Pisaลักษณะข้อสอบ Pisa
ลักษณะข้อสอบ PisaWuttipong Tubkrathok
 
การวัดความสามารถในการคิด
การวัดความสามารถในการคิดการวัดความสามารถในการคิด
การวัดความสามารถในการคิดWuttipong Tubkrathok
 
เสียงกับการได้ยิน
เสียงกับการได้ยินเสียงกับการได้ยิน
เสียงกับการได้ยินWuttipong Tubkrathok
 
การถ่ายทอดพันธุกรรมมนุษย์
การถ่ายทอดพันธุกรรมมนุษย์การถ่ายทอดพันธุกรรมมนุษย์
การถ่ายทอดพันธุกรรมมนุษย์Wuttipong Tubkrathok
 
การถ่ายโอนความร้อน
การถ่ายโอนความร้อนการถ่ายโอนความร้อน
การถ่ายโอนความร้อนWuttipong Tubkrathok
 
เครื่องมือและเทคนิคที่ใช้ในการวัดผล
เครื่องมือและเทคนิคที่ใช้ในการวัดผลเครื่องมือและเทคนิคที่ใช้ในการวัดผล
เครื่องมือและเทคนิคที่ใช้ในการวัดผลWuttipong Tubkrathok
 
แผนพับแนะนำสาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป สวนสุนันทา
แผนพับแนะนำสาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป สวนสุนันทาแผนพับแนะนำสาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป สวนสุนันทา
แผนพับแนะนำสาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป สวนสุนันทาWuttipong Tubkrathok
 
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAIคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAIWuttipong Tubkrathok
 

More from Wuttipong Tubkrathok (20)

สารละลายกรด-เบส
สารละลายกรด-เบสสารละลายกรด-เบส
สารละลายกรด-เบส
 
สถานะของสาร ม.1
สถานะของสาร ม.1สถานะของสาร ม.1
สถานะของสาร ม.1
 
คุณสมบัติบางประการของอะตอม
คุณสมบัติบางประการของอะตอมคุณสมบัติบางประการของอะตอม
คุณสมบัติบางประการของอะตอม
 
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต
 
เหตุผลและความจำเป็นในการพัฒนาความคิดขั้นสูง
เหตุผลและความจำเป็นในการพัฒนาความคิดขั้นสูงเหตุผลและความจำเป็นในการพัฒนาความคิดขั้นสูง
เหตุผลและความจำเป็นในการพัฒนาความคิดขั้นสูง
 
ทรัพยากรธรรมชาติ
ทรัพยากรธรรมชาติทรัพยากรธรรมชาติ
ทรัพยากรธรรมชาติ
 
คุณสมบัติแกรไฟต์
คุณสมบัติแกรไฟต์คุณสมบัติแกรไฟต์
คุณสมบัติแกรไฟต์
 
แผนผังความคิดเรื่องพลังงาน
แผนผังความคิดเรื่องพลังงานแผนผังความคิดเรื่องพลังงาน
แผนผังความคิดเรื่องพลังงาน
 
ประโยชน์ของเทคโนโลยีชีวภาพ
ประโยชน์ของเทคโนโลยีชีวภาพ ประโยชน์ของเทคโนโลยีชีวภาพ
ประโยชน์ของเทคโนโลยีชีวภาพ
 
วิทยาศาสตร์ ม.3 วัฏจักรสาร
วิทยาศาสตร์ ม.3 วัฏจักรสารวิทยาศาสตร์ ม.3 วัฏจักรสาร
วิทยาศาสตร์ ม.3 วัฏจักรสาร
 
เอกสารประกอบการเรียนเรื่องเสียงกับการได้ยิน ป.5
เอกสารประกอบการเรียนเรื่องเสียงกับการได้ยิน ป.5เอกสารประกอบการเรียนเรื่องเสียงกับการได้ยิน ป.5
เอกสารประกอบการเรียนเรื่องเสียงกับการได้ยิน ป.5
 
ลักษณะข้อสอบ Pisa
ลักษณะข้อสอบ Pisaลักษณะข้อสอบ Pisa
ลักษณะข้อสอบ Pisa
 
การวัดความสามารถในการคิด
การวัดความสามารถในการคิดการวัดความสามารถในการคิด
การวัดความสามารถในการคิด
 
เสียงกับการได้ยิน
เสียงกับการได้ยินเสียงกับการได้ยิน
เสียงกับการได้ยิน
 
การถ่ายทอดพันธุกรรมมนุษย์
การถ่ายทอดพันธุกรรมมนุษย์การถ่ายทอดพันธุกรรมมนุษย์
การถ่ายทอดพันธุกรรมมนุษย์
 
การถ่ายโอนความร้อน
การถ่ายโอนความร้อนการถ่ายโอนความร้อน
การถ่ายโอนความร้อน
 
The doppler effect
The doppler effect The doppler effect
The doppler effect
 
เครื่องมือและเทคนิคที่ใช้ในการวัดผล
เครื่องมือและเทคนิคที่ใช้ในการวัดผลเครื่องมือและเทคนิคที่ใช้ในการวัดผล
เครื่องมือและเทคนิคที่ใช้ในการวัดผล
 
แผนพับแนะนำสาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป สวนสุนันทา
แผนพับแนะนำสาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป สวนสุนันทาแผนพับแนะนำสาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป สวนสุนันทา
แผนพับแนะนำสาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป สวนสุนันทา
 
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAIคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI
 

การสืบพันธ์

  • 2. สมาชิก นางสาว นารี ศรีบุญทัน รหัสนักศึกษา 55131113010 นางสาว พลอยไพลิน โลหะเวช รหัสนักศึกษา 55131113011 นาย ปิยวัฒน์ โภคพูล รหัสนักศึกษา 55131113027 นางสาว ผกาแก้ว ชัยยะ รหัสนักศึกษา 55131113028 นางสาว อภิรนันท์ เอี่ยมน้อย รหัสนักศึกษา 55131113030 นาย วุฒิพงษ์ ทับกระโทก รหัสนักศึกษา 55131113035 นางสาว ประภัสสร มาลัย รหัสนักศึกษา 55131113042 คณะครุศาสตร์ สาขาวิชา วิทยาศาสตร์ทั่วไป มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
  • 3. การสืบพันธ์ หมายถึง กระบวนการผลิตหน่วยสิ่งมีชีวิตที่ เหมือนตนเอง เพื่อที่จะดารงพันธุ์หรือสปีชีส์ให้คงงอย่่ในลลก ประเภทของการสืบพันธุ์ แบ่งได้ 2 ประเภท 1. การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ (Asexual reproduction) 2. การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ (Sexual reproduction)
  • 4. การสืบพันธ์แบบไม่อาศัยเพศ (Asexual reproduction) - เป็นการผลิตหน่วยสิ่งมีชีวิตโดยอาศัยการแบ่งเซลล์แบบ Mitosis - ไม่มีการรวมกันของเซลล์สืบพันธุ์ - เซลล์ใหม่ที่ได้มีคุณสมบัติเหมือนกับเซลล์เดิม การสืบพันธ์แบบไม่อาศัยเพศ เช่น
  • 5. การแบ่งแยก (Fission) เป็นการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว เช่น โพรโทซัว แบคทีเรีย ยีสต์ และสาหร่าย ระหว่างที่มีการแบ่งแยกจะมีการแบ่งสารพันธุกรรม ด้วย แบ่งได้ 2 ประเภท คือ 1 . แบ่งแยกเป็นสอง (Binary fision) - 1เซลล์แบ่งได้เป็น 2 เซลล์ และ 4 เซลล์ต่อไปเรื่อยๆ - พบในสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว เช่น พารามีเซียม,ยูกลีนา เป็นต้น
  • 7. การแบ่งแยก (Binary fission) 2. การแบ่งแยกทวีคูณ (MULTIPLE FISSION) - นิวเคลียส จะมีการแบ่งแบบไมโตซีสหลายครั้งได้นิวเคลียสหลายอัน แล้วจึง แบ่งไซโตพลาซึมได้เป็นหลายเซลล์ - เกิดในพวกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น ในเชื้อมาเลเรียบางระยะและใน อะมีบาบางชนิดในระยะเป็นตัวหนอนของฟองน้าและปลาดาวบางชนิด
  • 8. การหักเป็นท่อน (Fragmentation) - เกิดโดยส่วนของร่างกายหลุดออกเป็นท่อนๆ - ส่วนที่หลุดออกมา จะเจริญเป็นตัวใหม่ - พบในพวกหนอนตัวแบน สาหร่ายสายยาวๆ พยาธิตัวตืด ปลาดาว เป็นต้น
  • 9. การแตกหน่อ(Budding) - หน่อเดิมจะแบ่งเซลล์ได้หน่อใหม่ (BUD) แต่ติดกับหน่อเดิม รูปร่างเหมือน หน่อเดิม แต่ขนาดเล็กกว่า - พบในพืชเซลล์เดียว เช่น ยีสต์ ในพืชหลายเซลล์ เช่น มาร์เเชนเทีย ซึ่งเป็นพืช ชั้นต่าพวกตะไคร่ชนิดหนึ่ง (หรือเรียกลิเวอร์เวิธ) และต้นตีนตุ๊กแก ต้นตายใบเป็น ส่วนในสัตว์หลายเซลล์ ได้แก่ ไฮดรา
  • 10. การสร้างใหม่ (REGENERATION) - เมื่อส่วนของร่างกายหลุดหรือขาดไป ส่วนที่ขาดไปนั้น จะมีการงอกใหม่ และ เจริญไปเป็นตัวใหม่ และตัวเดิมก็จะมีการงอกส่วนที่ขาดเพิ่มเติมทาให้มี จานวนเพิ่มขึ้น เช่น พลานาเรีย ดาวทะเล ซีแอนีโมนี * การงอกใหม่ที่ไม่มีการเพิ่มจานวนไม่จัดว่า เป็นการสืบพันธุ์ เช่น จิ้งจกงอกหาง ใหม่แทนหางเก่าที่ขาด
  • 11. การสร้างสปอร์(Sporulation) - เป็นการสืบพันธุ์โดยที่เซลล์มีการแบ่งนิวเคลียสหลายๆครั้ง จนได้เซลล์ที่มี ขนาดเล็กจานวนมาก แต่ละเซลล์เรียกว่า Spore ซึ่งจะงอกเป็นสิ่งมีชีวิตตัว ใหม่ - พบใน เห็ด รา มอส เฟิร์น โปรโตซัวบางชนิด
  • 12. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (Tissue culture) เป็นเทคโนโลยีชีวภาพที่ใช้ในการขยายพันธุ์ โดยการเนื้อเยื่อของพืชมาเลี้ยงใน อาหารสังเคราะห์ แล้วชักนาให้มีการแบ่งเซลล์และเจริญไปเป็นต้นใหม่
  • 13. การสืบพันธ์แบบอาศัยเพศ(Sexual reproduction) - เป็นการผลิตสิ่งมีชีวิตใหม่ โดยการรวมกันของนิวเคลียสของเซลล์สืบพันธุ์ - การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเป็นผลดีของวิวัฒนาการ คือ ทาให้เกิดการแปรผัน ทางพันธุกรรม ทาให้เกิดสิ่งมีชีวิตที่ต่างไปจากบรรพบุรุษ ทาให้มีโอกาสได้ลูกที่ มีลักษณะดีขึ้น ชนิดของเซลล์สืบพันธ์แบ่งได้ 3 แบบ A. ไอโซแกมีต(Isogamete) เป็นเซลล์สืบพันธุ์ที่มีขนาดและรูปร่างลักษณะ เหมือนกันทุกประการ พบในสิ่งมีชีวิต พวกโปรติสท์ B. แอนไอโซแกมีต(Anisogamete) เป็นเซลล์สืบพันธ์ที่มีขนาดไม่เท่ากันแต่ รูปร่างเหมือนกัน C. โอโอแกมีต(Oogamete) เป็นเซลล์สืบพันธุ์ที่ขนาดและรูปร่างไม่ เหมือนกัน
  • 15. ประเภทของการสืบพันธ์แบบอาศัยเพศ 1. พาร์ทีโนจินิซิส ( parthenogenesis ) หมายถึง การเพิ่มจานวน ของสิ่งมีชีวิตโดยไข่ เจริญเป็นตัวอ่อนโดยไม่ต้องปฏิสนธิกับสเปิร์ม เช่น ผึ้งตัวผู้ มดตัวผู้ 2. คอนจูเกชัน ( conjugation ) หมายถึง การรวมตัวของเซลล์สืบพันธุ์ ที่มีขนาดและรูปร่างเหมือนกัน เรียกว่า ไอโซแกมีต ( isogamete ) เช่น ราดา พารามีเซียม สาหร่ายสไปโรไจรา
  • 16. ประเภทของการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ 3. การปฏิสนธิ ( fertitization ) หมายถึง การรวมตัวของเซลล์ สืบพันธุ์ที่มีขนาดและรูปร่างต่างกัน เรียกว่า เฮเทอโรแกมีต (heterogamete) โดยเซลล์สืบพันธ์ เพศผู้เรียกว่า สเปิร์ม (sperm) เซลล์สืบพันเพศเมีย เรียกว่า ไข่ (egg) เช่น สัตว์และพืชทั่วๆไปในพืชดอกมีการ ปฏิสนธิ 2 ครั้ง คือ ระหว่าง สเปิร์มกับเซลล์ไข่ และสเปิร์มกับโพลาร์นิวคลีไอ ( polar nuclei ) เรียกว่า ปฏิสนธิซ้อน ( double fertitization )
  • 17. ระบบสืบพันธ์ของมนุษย์ ระบบสืบพันธุ์เพศชาย (Male Reproductive System) - เป็นระบบที่ทาหน้าที่ในการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ คือ sperm และทา หน้าที่ในการนาส่ง sperm เข้าไปในอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิงเพื่อผสม กับเซลล์ไข่ต่อไป นอกจากนี้ยังทาหน้าที่สร้าง hormone เพศชาย อีกด้วย
  • 18. อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย อัณฑะ (testis) - มีลักษณะเป็นก้อนรูปไข่มี 2 อันอยู่ในถุงอัณฑะที่ห้อยอยู่ภายนอก มีหน้าที่ ผลิตอสุจิและผลิตฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเทอโรน (testosterone) - เริ่มทาหน้าที่ในวัยอายุระหว่าง 12-16 ปี ฮอร์โมนนี้ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ของร่างกายเด็กผู้ชายเข้าสู่ วัยเจริญพันธุ์ คือ ตัวใหญ่ ไหล่กว้าง มีหนวดเครา เสียงห้าวขึ้น และมีความต้องการทางเพศ ภายในอัณฑะจะมีหลอดเล็กๆ ขดไป มาทาหน้าที่สร้างอสุจิ เรียกว่า หลอดสร้างอสุจิ
  • 20. อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย ถุงอัณฑะ (scrotum) - อยู่นอกร่างกายทาให้อุณหภูมิเย็นกว่าภายในร่างกายซึ่งเป็นสภาวะที่เหมาะกับ การเจริญของอสุจิ หลอดเก็บอสุจิ (epididymis) - อยู่ด้านบนของอัณฑะ ลักษณะเป็นท่อเล็กๆ ทาหน้าที่เก็บอสุจิจนแข็งแรง ก็จะ ส่งไปที่ท่อซึ่งใหญ่กว่าเรียกว่า ท่ออสุจิ ทาหน้าที่ลาเลียงอสุจิไปเก็บไว้ที่ต่อมสร้าง น้าเลี้ยงอสุจิ
  • 21. อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย ต่อมสร้างน้าเลี้ยงอสุจิ (seminal vesicle ) - ทาหน้าที่หลั่งของเหลวประกอบด้วยอาหารจาพวกน้าตาล ฟรักโทส และโปรตีน ซึ่งทาให้อสุจิมีชีวิตอยู่ได้ เรียกอสุจิกับน้าเลี้ยงอสุจิว่า น้าอสุจิ (semen) ต่อมลูกหมาก (prostate gland) - อยู่รอบๆ หลอดฉีดอสุจิ สร้างสารที่มีฤทธิ์เป็นเบสอ่อน ทาลายฤทธิ์กรดในท่อ ปัสสาวะของชาย Seminal vesicle
  • 22. อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย ต่อมคาวเปอร์ (Cowper’s gland) - เป็นกระเปาะเล็กๆอยู่ใต้ต่อมลูกหมาก มี 2 ต่อม - ทาหน้าที่ หลั่งสารเมือกไปหล่อลื่นท่อปัสสาวะ ในขณะที่เกิดการกระตุ้น ทางเพศ
  • 23. อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย อวัยวะภายนอกเรียกว่า องคชาต (penis) - เป็นหลอดกลวง มีท่อปัสสาวะและท่ออสุจิซึ่งเชื่อมต่อกัน เป็นทางผ่านของ ปัสสาวะและอสุจิ แต่น้าปัสสาวะและน้าอสุจิจะไม่ออกจากท่อในเวลาเดียวกัน มี เยื่อที่แข็งตัวได้เมื่อมีเลือดเข้าไปคั่งอยู่ การทางานจะอยู่ใต้อานาจของ เส้นประสาทที่แยกออกมาจากไขสันหลังบริเวณก้นกบ
  • 24.
  • 25. ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง ระบบสืบพันธุ์เพศหญิงเป็นระบบที่ทาหน้าที่คล้ายกับระบบสืบพันธุ์เพศชาย ซึ่งนอกจาก สร้างเซลล์สืบพันธุ์คือเซลล์ไข่ และสร้าง hormone เพศหญิง แล้ว ยังทาหน้าที่ดูแลฟูมพักให้ เซลล์ไข่ที่ผสมติดให้พัฒนากลายเป็นตัวอ่อน จนคลอดออกมา
  • 26. อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง รังไข่ (ovary) - เป็นอวัยวะของเพศหญิงมี 2 รังไข่อยู่ข้างซ้ายและข้างขวาของมดลูก - ทาหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศหญิง เรียกว่า ไข่ (egg) และสร้างฮอร์โมน เพศหญิง อีสโทรเจน (estrogen) โพรเจสเทอโรน (progesterone) และ รีแลกซิน (relaxin) ซึ่งจะเริ่มทาหน้าที่เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นอายุประมาณ 10-15 ปี Ovary
  • 27. อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง ปีกมดลูก (Oviduct) - เป็นท่อนาไข่ไปสู่มดลูก ซึ่งมีการปฏิสนธิเกิดขึ้นก็จะเกิดที่บริเวณปีกมดลูก มดลูก (uterus) - เจริญมาจากท่อนาไข่ มีลักษณะคล้ายผลฝรั่งคว่า ขนาดกว้างยาวประมาณ 332 นิ้ว หนา ประมาณ 1 นิ้ว เป็นที่ฝังตัวของไข่ที่ถูกผสมแล้ว - เป็นแหล่งที่ทาให้เกิดประจาเดือน ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น คือ 1. ชั้นนอก เป็นเยื่อบางเหนียว ขยายได้หลายเท่าเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ 2.ชั้นกลาง เป็นกล้ามเนื้อเรียบ 2 ชั้น ทาหน้าที่บีบรัดตัวทาให้เยื่อชั้นในสุดหลุดลอกออกมาเป็น ประจาเดือนหรือทาให้ทารกคลอดออกมา 3. ชั้นใน เป็นเนื้อเยื่อคล้ายฟองน้า เมื่อตั้งครรภ์จะมีการสร้างเป็นรก (placenta) ในบริเวณ นี้เพื่อทาหน้าที่แลกเปลี่ยนสารอาหาร ของเสีย และอากาศระหว่างทารกกับแม่ หากไม่มีการ ตั้งครรภ์จะหลุดลอกออกมาเป็นประจาเดือน
  • 30. อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก ประกอบด้วย แคมนอก(Labia major) แคมใน(Labia minor) คริสตอริส(Clitoris) ต่อมในบริเวณช่องคลอดและ ปากช่องคลอด และทางผ่านของน้าปัสสาวะ (urethral orifice) เยื่อ พรหมจรรย์(Hyman)
  • 31. เซลล์สืบพันธุ์ เซลล์สืบพันธุ์ (sex cell) แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ 1. เซลล์สืบพันธุ์เพศชาย คือ ตัวอสุจิ (sperm) อสุจิของคนประกอบด้วย ส่วนหัวมีลักษณะค่อนข้างแบนและปลายหัวสุดค่อนข้างแหลม ทาหน้าที่เจาะ ผนังไข่ขณะที่ผสมกัน ลาตัวอยู่ถัดจากหัวมีลักษณะเป็นทรงกระบอกและหาง 2. เซลล์สืบพันธุ์เพศหญิง คือ ไข่ (egg) ประกอบด้วย เยื่อหุ้มเซลล์บางๆ ที่มี ตาแหน่งหนึ่งเป็นรูเล็กๆ เพื่อให้ตัวอสุจิเข้าไปได้ และมีโพรโทพลาซึมซึ่งมี นิวเคลียสอยู่ภายใน
  • 32. ระบบสืบพันธ์ของมนุษย์ ขบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ชาย (เพศผู้) ขบวนการสร้างอสุจิ (SPERMATOGENESIS) - กาเนิดมาจากเซลล์ของเนื้อเยื่อบุภายในท่ออสุจิ ภายในท่อเหล่านี้มี เซลล์ PERMATOGONIA เซลล์ SPERMATOGONIA มีโครโมโซม 46 อัน โดยการแบ่งเซลล์ MITOSIS จึงทาให้เกิด SPERMATOGONIA มากมาย ขบวนการของ MEIOSIS การแบ่งนี้มี 2 ครั้ง 1. FIRST MEIOTIC DIVISION เป็นการแบ่งเซลล์ที่เกิดเซลล์ใหม่ 2 เซลล์ แต่ ละเซลล์มีโครโมโซมลดลงครึ่งหนึ่งของเซลล์เดิม คือ 23 อัน (N) เซลล์ที่ได้จากการ แบ่งเรียกว่า SECONDARY SPERMATOCYTE 2. SECOND MEIOTIC DIVISION เป็นการแบ่งของ SECONDARY SPERMATOCYTE ไม่ลดจานวนโครโมโซมแล้ว เกิดเซลล์ใหม่อีก 2 เซลล์ เรียกว่า SPERMATIDS
  • 33. ดังนั้น PRIMARY SPERMATOCYTE 1 เซลล์ จะเกิดเป็น SPERMATIDS 4 เซลล์ เมื่อ SPERMATID โตเต็มที่จะเข้าไปอยู่ใน CYTOPLASM ของ SERTOLI CELL ซึ่งติดกับผนังของท่ออสุจิ เซลล์ SERTOLI เป็นเซลล์ที่ให้อาหารและเลี้ยง SPERMATIDS ต่อมา SPERMATID เปลี่ยนแปลงรูปร่างมีแส้ (FLAGELLUM) เคลื่อนไหวได้และเรียกว่าSPERMATOZOA SPERMATOZOA (อสุจิ) ที่เติบโตเต็มที่ประกอบด้วย 1. หัว เป็นส่วนที่สาคัญในการสืบพันธุ์ ที่หัวมีนิวเคลียสอยู่ปลายสุดของหัว เรียกว่า อะโครโซม (ACROSOME) ทาหน้าที่ในการเจาะไข่ 2. ลาตัว มีแหล่งที่สร้างพลังงานที่ใช้ในการเคลื่อนที่อยู่ 3. หาง ทาหน้าที่ในการเคลื่อนที่
  • 34. ระบบสืบพันธ์ของมนุษย์ ขบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์หญิง(เพศเมีย) ขบวนการสร้างไข่ เรียกว่า OOGENESIS - รังไข่เริ่มปรากฏตัวแต่ในระยะตัวอ่อน (EMBRYO) แต่ระยะแรกเซลล์สืบพันธุ์ใน รังไข่ แบ่งเซลล์แบบ MITOSIS เช่นเดียวกับเซลล์ของร่างกาย เมื่อใกล้ระยะเป็นสาว เซลล์สืบพันธุ์จึงแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว เซลล์เหล่านี้เรียกว่า OOGONIA - OOGONIA ต่อมาเป็น PRIMARY OOCYTE แบ่งเซลล์แบบ MEIOSIS แบ่งได้ 2 ขั้นตอน 1. FIRST MEIOTIC DIVISION เกิดเป็นเซลล์ใหม่ 2 เซลล์ แต่ขนาดต่างกัน มาก เซลล์ใหญ่เรียกว่า SECONDARY OOCYTE ส่วนอีกเซลล์หนึ่งเล็กเรียกว่า FIRST POLAR BODY การที่เซลล์ทั้งสองมีขนาดต่างกันเพราะ CYTOPLASM เกือบทั้งหมดยังคงอยู่กับนิวเคลียสของ SECONDARY OOCYTE จานวนโครโมโซมของเซลล์ใหม่ลดลงครึ่งหนึ่ง
  • 35. 2. SECOND MEIOTIC DIVISION เกิดจาก SECONDARY OOCYTE แบ่งเซลล์อันหนึ่งกลายเป็น OOTID เป็นเซลล์ใหญ่ 1 เซลล์ ส่วน เซลล์เล็ก 3 เซลล์ เรียกว่า SECOND POLAR BODY จะฝ่อไป การแบ่งนี้ ไม่ลดจานวนโครโมโซมอีก - การแบ่งของ OOGONIA 1 เซลล์ จึงกลายเป็น OOTID เพียง 1 เซลล์ เท่านั้น และจานวนโครโมโซมเป็นครึ่งหนึ่งของเซลล์เดิม โดยการเปลี่ยนแปลง ตาแหน่งของนิวเคลียส เพียงเล็กน้อยกลายเป็น EGG หรือ OVUM
  • 36. การตั้งครรภ์ (Pregnancy) - เมื่อไข่มีการปฏิสนธิที่บริเวณปีกมดลูกและจะแบ่งตัวต่อมาขณะเคลื่อนไป มดลูก - ผนังของมดลูกจะหนาตัวขึ้นเพื่อรองรับการฝังตัวของเอมบริโอ การฝังตัวจะ เกิดขึ้นหลังจากเกิดการปฏิสนธิไป 1 สัปดาห์ - เอมบริโอที่เข้ามา จะเจริญเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเจริญไปเป็นทารก และอีก กลุ่มเจริญไปเป็นโครงสร้างนอกตัวเอมบริโอเพื่อป้ องกันตัวเอมบริโอเอง ประกอบด้วย 1. ถุงน้าคร่า (Amnion) - เป็นเยื่อบางๆหุ้มรอบเอมบริโอ ภายในบรรจุของเหลวรียกว่า น้าคร่า ป้ องกัน การกระกระเทือนทารก
  • 37. 2. ถุงไข่แดง (Yolk sac) - ในคนมีขนาดเล็ก ไม่มีไข่แดงเพราะตัวอ่อนรับอาหารจากแม่โดยตรง โดย ผ่านทางรก ทาหน้าที่สร้างเม็ดเลือดให้ทารกในระยะแรก 3. คอเรียน (Chorion) - เป็นเยื่อหุ้มรอบเอ็มบริโอ เนื้อเยื่อคอเรียนกับเนื้อเยื่อของมดลูกจะติดกันและ ประสานกันสนิท 4. รก (Placanta) - เป็นโครงสร้างเชื่อมระหว่างตัวอ่อนและผนังมดลูกของแม่ เป็นบริเวณที่มีการ แลกเปลี่ยนก๊าซและสารอาหารระหว่างทารกกับแม่ * เมื่อทารกเจริญเต็มที่ต่อมใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมนออกซิโทซินมากระตุ้นให้ กล้ามเนื้อมดลูกบีบตัว ทาให้ถุงน้าคร่าแตกและทารกผ่านออกทางช่องคลอด นั่นก็คือ การคลอด
  • 38. การพัฒนาของไข่เมื่อได้รับการผสมแล้ว - ไข่เมื่อได้รับการผสมแล้วจะกลายเป็นไซลกต (ZYGOTE) แล้วมีการแบ่ง นิวเคงลียสแบบไมลทซีส ไซลกตจะมีการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องกัน 4 ระยะ คงือ 1. CLEAVAGE เริ่มจากไซลกตแบ่งตัวจาก 1 – 2 – 4 - 8 ... จนกระทั้งเซลล์มา เกาะกันเป็นก้อนกลมๆ เรียกว่า ลมร่ลา (MORULA) 2. BLASTULA เป็นตัวอ่อนในระยะที่มีการเคงลื่อนที่ของเซลล์เพื่อให้ได้ช่องว่าง ในตัวอ่อนเรียกช่องว่างนี้ว่า BLASTOCOEL และเรียกเซลล์ที่ล้อมช่องว่างว่า BLASTODERM ลักษณะของตัวอ่อนตอนนี้คงล้ายผลน้อยหน่า 3. GASTRULA เป็นตัวอ่อนที่ต่อจากระยะ BLASTULA คงือ เซลล์แบ่งตัวแล้ว เคงลื่อนที่เข้าข้างในเห็นตัวอ่อนเป็นร่ปถ้วย ซึ่งด่คงล้ายมีผนัง 2 ชั้น คงือ ชั้นนอกและ ชั้นในและในตอนนี้จะเห็นมีช่องว่าง 2 ช่อง คงือ BLASTOCOEL และ ARCHENTERON ซึ่งช่อง ARCHENTERON ต่อไปจะเจริญไปเป็นทางเดิน อาหาร ต่อมาจะเกิดเนื้อเยื่อแทรกระหว่างเนื้อเยื่อชั้นนอกและเนื้อเยื่อชั้นใน เนื้อเยื่อที่ เกิดขึ้นใหม่นี้คงือเนื้อเยื่อชั้นกลางในตอนท้ายระยะ GASTRULA จะมีการสร้าง ระบบประสาทขึ้น
  • 39. 4. DIFFERENTIATION คือขบวนการที่เนื้อเยื่อ 3 ชั้น คือ ชั้นนอก ชั้นกลาง ชั้นใน เปลี่ยนแปลงไปเป็นโครงสร้างต่างๆของร่างกาย เนื้อเยื่อของตัวอ่อนมี 3 ชนิด คือ เนื้อเยื่อชั้นนอก จะเจริญเปลี่ยนแปลงกลายเป็นสมอง ตาหู ไขสันหลัง ผิวหนังและอื่นๆ เนื้อเยื่อชั้นกลาง จะเจริญเปลี่ยนแปลงกลายเป็น กล้ามเนื้อ หัวใจ กระดูก และอื่นๆ เนื้อเยื่อชั้นใน จะเจริญเปลี่ยนแปลงกลายเป็น อวัยวะภายในต่างๆ เช่น กระเพาะอาหาร ลาไส้ ตับ เป็นต้น
  • 42. การเกิดฝาแฝด Monozygotic - การเกิดจากไซโกทตัวเดียวกัน ทาให้เกิดฝาแฝดแท้ - เกิดจาก ไข่ 1 ฟอง กับ อสุจิ 1 ตัว รวมกันเป็น 1 ZYGOTE ซึ่ง ZYGOTE ได้แตกตัวเป็น 2 อัน ทาให้ได้ฝาแฝดแท้ ซึ่งมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกัน ทุกประการ
  • 43. Dizygotic – การเกิดจากไซโกทสองตัว ทาให้เกิดฝาแฝดเทียม - เกิดจาก การมีไข่สุก 2 ฟอง แต่ละฟองรวมกับอสุจิคนละตัว กลายเป็นคนละ ZYGOTE ซึ่งแต่ละ ZYGOTE ไดกลายเป็นพี่น้องฝาแฝดเทียม 2 คน ซึ่งมี ลักษณะทางพันธุกรรมไม่เหมือนกัน
  • 44. การสร้างเซลล์สืบพันธุ์ของพืชมีดอก ขบวนการสร้างละอองเรณู (Microsporogenesis) - การสร้างละอองเรณ่ เริ่มจากเซลล์ในอับเรณ่ (anther) ที่เรียกกันว่า pollen mother cell หรือ microspore mother cell ซึ่งมีลคงรลมลซม 2 ชุด หรือ 2n จะแบ่งตัวแบบไมลอซิส I และไมลอซิส II ได้ละอองเรณ่ 4 เซลล์แต่ ละเซลล์จะมีลคงรลมลซมเพียงชุดเดียว หรือ n ภายในละอองเรณ่แต่ละเซลล์ซึ่งมี นิวเคงลียส 1 อัน (n) นิวเคงลียสจะแบ่งตัวแบบไมลตซิส 1 คงรั้ง ได้นิวเคงลียส 2 อัน คงือ generative nucleus (n) และ tube nucleus (n)
  • 45. ขบวนการสร้างไข่ (Megasporogenesis) - การสร้างไข่หรือ ovum เริ่มต้นจากเซลล์ในรังไข่ที่เรียกว่า megaspore mother cell ซึ่งมีลคงรลมลซม 2n แบ่งตัวแบบไมลอซิส ได้เซลล์4 เซลล์ แต่ ละเซลล์มีลคงรลมลซมในสภาพ haploid หรือ n แต่ 3 เซลล์จะสลายตัวไป เหลือเพียง 1 เซลล์พัฒนามาเป็น megaspore นิวเคงลียสของ megaspore จะแบ่งตัวแบบไมลตซิส 3 คงรั้งได้นิวเคงลียสทั้งหมด 8 อัน และมี การจัดเรียงตัวกันเป็นชุด 3 ชุดคงือ ชุดที่ 1 เรียกว่า antipodal nuclei (มีนิวเคงลียส 3 อัน) จะอย่่ที่ขั้วหนึ่งของเซลล์ ชุดที่ 2 เรียกว่า polar nuclei (มีนิวเคงลียส 2 อัน) จะอย่่ตรงกลางเซลล์ และชุดที่ 3 มีนิวเคงลียส 3 อัน จะอย่่ ด้านล่างของเซลล์ที่มี Micropyle นิวเคงลียสชุดนี้จะมี egg nucleus อย่่ กลางขนาบข้างด้วย synergid nuclei
  • 46.
  • 47. การปฏิสนธิในพืช (Fertilization in Plants) - ละอองเรณูปลิวไปตกบนยอดเกสรตัวเมีย (stigma) เรียกว่า ขบวนการถ่าย ละอองเกสร (pollination) - ละอองเรณูจะงอก pollen tube ลงไปตามก้านชูเกสรตัวเมีย (style) จนถึง embryo sac - นิวเคลียสของ ละอองเรณูซึ่งอยู่ในสภาพ haploid จะแบ่งตัวแบบไมโตซิส 1 ครั้ง ได้ tube nucleus และ generative nucleus - generative nucleus จะแบ่งตัวแบบไมโตซิสอีกครั้งหนึ่งได้ sperm nucleus 2 อัน - sperm nucleus หนึ่งอันจะเข้าไปผสมกับ egg nucleus ได้ zygote หรือ embryo (2n) - sperm nucleus อีกอันหนึ่งจะเข้าผสมกับ 2 polar nuclei กลายเป็นเอน โดสเปอร์ม (endosperm) ซึ่งมีโครโมโซม 3 ชุด หรือ 3n - ดังนั้นพืชจะมีขบวนการปฏิสนธิเกิดขึ้น 2 ครั้ง จึงเรียกการปฏิสนธิแบบนี้ว่า การ ปฏิสนธิซ้อนหรือ double fertilization
  • 48.
  • 49.
  • 50. การสร้างเซลล์สืบพันธุ์ในสัตว์ 1. ขบวนการสร้างสเปอร์ม (spermatogenesis) 2. ขบวนการสร้างไข่ (Oogenesis) 3. ชนิดของไข่ ไข่ของสัตว์ต่างๆ จาแนกได้เป็น 4 ชนิด ตามปริมาณและการกระจายของไข่แดง 1. ISOLECITHAL EGG เป็นพวกที่มีไข่แดงน้อย และกระจายทั่วไปภายในเซลล์ เช่น ไข่หอยเม่น ไข่ปลาดาว และไข่สัตว์เลี้ยงล่กด้วยนม 2. MESOLECITHAL EGG เป็นพวกที่มีไข่แดงปานกลาง และไข่แดงมักจะอย่่ หนาแน่นที่ขั้วใดขั้วหนึ่งของเซลล์ ตัวอย่างเช่น ไข่กบ 3. TELOLECITHAL EGG เป็นพวกที่มีไข่แดงมาก และไข่แดงอย่่หนาแน่น ตัวอย่างเช่น ไข่นก ไข่ไก่ ไข่ปลา และไข่ของสัตว์เลื้อยคงลาน 4.CENTROLLECITHAL EGG เป็นพวกที่มีไข่แดงอย่่ตรงกลาง ตัวอย่าง เช่น ไข่แมลง
  • 51. อิทธิพลของไข่แดง 1. ขัดขวางการแบ่งเซลล์ของไข่ จากการศึกษาพบว่า บริเวณที่มีไข่แดงน้อย จะมี การแบ่งเซลล์และมีการเคลื่อนที่ของเซลล์มากกว่าบริเวณที่มีไข่แดงมาก 2. ไข่แดงเป็นอาหารของตัวอ่อน