More Related Content
Similar to การสืบพันธ์ (20)
More from Wuttipong Tubkrathok
More from Wuttipong Tubkrathok (20)
การสืบพันธ์
- 2. สมาชิก
นางสาว นารี ศรีบุญทัน รหัสนักศึกษา 55131113010
นางสาว พลอยไพลิน โลหะเวช รหัสนักศึกษา 55131113011
นาย ปิยวัฒน์ โภคพูล รหัสนักศึกษา 55131113027
นางสาว ผกาแก้ว ชัยยะ รหัสนักศึกษา 55131113028
นางสาว อภิรนันท์ เอี่ยมน้อย รหัสนักศึกษา 55131113030
นาย วุฒิพงษ์ ทับกระโทก รหัสนักศึกษา 55131113035
นางสาว ประภัสสร มาลัย รหัสนักศึกษา 55131113042
คณะครุศาสตร์ สาขาวิชา วิทยาศาสตร์ทั่วไป
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
- 7. การแบ่งแยก (Binary fission)
2. การแบ่งแยกทวีคูณ (MULTIPLE FISSION)
- นิวเคลียส จะมีการแบ่งแบบไมโตซีสหลายครั้งได้นิวเคลียสหลายอัน แล้วจึง
แบ่งไซโตพลาซึมได้เป็นหลายเซลล์
- เกิดในพวกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น ในเชื้อมาเลเรียบางระยะและใน
อะมีบาบางชนิดในระยะเป็นตัวหนอนของฟองน้าและปลาดาวบางชนิด
- 9. การแตกหน่อ(Budding)
- หน่อเดิมจะแบ่งเซลล์ได้หน่อใหม่ (BUD) แต่ติดกับหน่อเดิม รูปร่างเหมือน
หน่อเดิม แต่ขนาดเล็กกว่า
- พบในพืชเซลล์เดียว เช่น ยีสต์ ในพืชหลายเซลล์ เช่น มาร์เเชนเทีย ซึ่งเป็นพืช
ชั้นต่าพวกตะไคร่ชนิดหนึ่ง (หรือเรียกลิเวอร์เวิธ) และต้นตีนตุ๊กแก
ต้นตายใบเป็น ส่วนในสัตว์หลายเซลล์ ได้แก่ ไฮดรา
- 10. การสร้างใหม่ (REGENERATION)
- เมื่อส่วนของร่างกายหลุดหรือขาดไป ส่วนที่ขาดไปนั้น จะมีการงอกใหม่ และ
เจริญไปเป็นตัวใหม่ และตัวเดิมก็จะมีการงอกส่วนที่ขาดเพิ่มเติมทาให้มี
จานวนเพิ่มขึ้น เช่น พลานาเรีย ดาวทะเล ซีแอนีโมนี
* การงอกใหม่ที่ไม่มีการเพิ่มจานวนไม่จัดว่า เป็นการสืบพันธุ์ เช่น จิ้งจกงอกหาง
ใหม่แทนหางเก่าที่ขาด
- 13. การสืบพันธ์แบบอาศัยเพศ(Sexual reproduction)
- เป็นการผลิตสิ่งมีชีวิตใหม่ โดยการรวมกันของนิวเคลียสของเซลล์สืบพันธุ์
- การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเป็นผลดีของวิวัฒนาการ คือ ทาให้เกิดการแปรผัน
ทางพันธุกรรม ทาให้เกิดสิ่งมีชีวิตที่ต่างไปจากบรรพบุรุษ ทาให้มีโอกาสได้ลูกที่
มีลักษณะดีขึ้น
ชนิดของเซลล์สืบพันธ์แบ่งได้ 3 แบบ
A. ไอโซแกมีต(Isogamete) เป็นเซลล์สืบพันธุ์ที่มีขนาดและรูปร่างลักษณะ
เหมือนกันทุกประการ พบในสิ่งมีชีวิต พวกโปรติสท์
B. แอนไอโซแกมีต(Anisogamete) เป็นเซลล์สืบพันธ์ที่มีขนาดไม่เท่ากันแต่
รูปร่างเหมือนกัน
C. โอโอแกมีต(Oogamete) เป็นเซลล์สืบพันธุ์ที่ขนาดและรูปร่างไม่
เหมือนกัน
- 15. ประเภทของการสืบพันธ์แบบอาศัยเพศ
1. พาร์ทีโนจินิซิส ( parthenogenesis ) หมายถึง การเพิ่มจานวน
ของสิ่งมีชีวิตโดยไข่ เจริญเป็นตัวอ่อนโดยไม่ต้องปฏิสนธิกับสเปิร์ม เช่น
ผึ้งตัวผู้ มดตัวผู้
2. คอนจูเกชัน ( conjugation ) หมายถึง การรวมตัวของเซลล์สืบพันธุ์
ที่มีขนาดและรูปร่างเหมือนกัน เรียกว่า ไอโซแกมีต ( isogamete )
เช่น ราดา พารามีเซียม สาหร่ายสไปโรไจรา
- 16. ประเภทของการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ
3. การปฏิสนธิ ( fertitization ) หมายถึง การรวมตัวของเซลล์
สืบพันธุ์ที่มีขนาดและรูปร่างต่างกัน เรียกว่า เฮเทอโรแกมีต
(heterogamete) โดยเซลล์สืบพันธ์ เพศผู้เรียกว่า สเปิร์ม (sperm)
เซลล์สืบพันเพศเมีย เรียกว่า ไข่ (egg) เช่น สัตว์และพืชทั่วๆไปในพืชดอกมีการ
ปฏิสนธิ 2 ครั้ง คือ ระหว่าง สเปิร์มกับเซลล์ไข่ และสเปิร์มกับโพลาร์นิวคลีไอ
( polar nuclei ) เรียกว่า ปฏิสนธิซ้อน ( double fertitization )
- 18. อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย
อัณฑะ (testis)
- มีลักษณะเป็นก้อนรูปไข่มี 2 อันอยู่ในถุงอัณฑะที่ห้อยอยู่ภายนอก มีหน้าที่
ผลิตอสุจิและผลิตฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเทอโรน (testosterone)
- เริ่มทาหน้าที่ในวัยอายุระหว่าง 12-16 ปี ฮอร์โมนนี้ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ของร่างกายเด็กผู้ชายเข้าสู่ วัยเจริญพันธุ์ คือ ตัวใหญ่ ไหล่กว้าง มีหนวดเครา
เสียงห้าวขึ้น และมีความต้องการทางเพศ ภายในอัณฑะจะมีหลอดเล็กๆ ขดไป
มาทาหน้าที่สร้างอสุจิ เรียกว่า หลอดสร้างอสุจิ
- 21. อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย
ต่อมสร้างน้าเลี้ยงอสุจิ (seminal vesicle )
- ทาหน้าที่หลั่งของเหลวประกอบด้วยอาหารจาพวกน้าตาล ฟรักโทส และโปรตีน
ซึ่งทาให้อสุจิมีชีวิตอยู่ได้ เรียกอสุจิกับน้าเลี้ยงอสุจิว่า น้าอสุจิ (semen)
ต่อมลูกหมาก (prostate gland)
- อยู่รอบๆ หลอดฉีดอสุจิ สร้างสารที่มีฤทธิ์เป็นเบสอ่อน ทาลายฤทธิ์กรดในท่อ
ปัสสาวะของชาย
Seminal vesicle
- 23. อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย
อวัยวะภายนอกเรียกว่า องคชาต (penis)
- เป็นหลอดกลวง มีท่อปัสสาวะและท่ออสุจิซึ่งเชื่อมต่อกัน เป็นทางผ่านของ
ปัสสาวะและอสุจิ แต่น้าปัสสาวะและน้าอสุจิจะไม่ออกจากท่อในเวลาเดียวกัน มี
เยื่อที่แข็งตัวได้เมื่อมีเลือดเข้าไปคั่งอยู่ การทางานจะอยู่ใต้อานาจของ
เส้นประสาทที่แยกออกมาจากไขสันหลังบริเวณก้นกบ
- 26. อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง
รังไข่ (ovary)
- เป็นอวัยวะของเพศหญิงมี 2 รังไข่อยู่ข้างซ้ายและข้างขวาของมดลูก
- ทาหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศหญิง เรียกว่า ไข่ (egg) และสร้างฮอร์โมน
เพศหญิง อีสโทรเจน (estrogen) โพรเจสเทอโรน (progesterone) และ
รีแลกซิน (relaxin) ซึ่งจะเริ่มทาหน้าที่เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นอายุประมาณ 10-15 ปี
Ovary
- 27. อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง
ปีกมดลูก (Oviduct)
- เป็นท่อนาไข่ไปสู่มดลูก ซึ่งมีการปฏิสนธิเกิดขึ้นก็จะเกิดที่บริเวณปีกมดลูก
มดลูก (uterus)
- เจริญมาจากท่อนาไข่ มีลักษณะคล้ายผลฝรั่งคว่า ขนาดกว้างยาวประมาณ 332 นิ้ว หนา
ประมาณ 1 นิ้ว เป็นที่ฝังตัวของไข่ที่ถูกผสมแล้ว
- เป็นแหล่งที่ทาให้เกิดประจาเดือน
ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น คือ
1. ชั้นนอก เป็นเยื่อบางเหนียว ขยายได้หลายเท่าเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
2.ชั้นกลาง เป็นกล้ามเนื้อเรียบ 2 ชั้น ทาหน้าที่บีบรัดตัวทาให้เยื่อชั้นในสุดหลุดลอกออกมาเป็น
ประจาเดือนหรือทาให้ทารกคลอดออกมา
3. ชั้นใน เป็นเนื้อเยื่อคล้ายฟองน้า เมื่อตั้งครรภ์จะมีการสร้างเป็นรก (placenta) ในบริเวณ
นี้เพื่อทาหน้าที่แลกเปลี่ยนสารอาหาร ของเสีย และอากาศระหว่างทารกกับแม่ หากไม่มีการ
ตั้งครรภ์จะหลุดลอกออกมาเป็นประจาเดือน
- 31. เซลล์สืบพันธุ์
เซลล์สืบพันธุ์ (sex cell) แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
1. เซลล์สืบพันธุ์เพศชาย คือ ตัวอสุจิ (sperm) อสุจิของคนประกอบด้วย
ส่วนหัวมีลักษณะค่อนข้างแบนและปลายหัวสุดค่อนข้างแหลม ทาหน้าที่เจาะ
ผนังไข่ขณะที่ผสมกัน ลาตัวอยู่ถัดจากหัวมีลักษณะเป็นทรงกระบอกและหาง
2. เซลล์สืบพันธุ์เพศหญิง คือ ไข่ (egg) ประกอบด้วย เยื่อหุ้มเซลล์บางๆ ที่มี
ตาแหน่งหนึ่งเป็นรูเล็กๆ เพื่อให้ตัวอสุจิเข้าไปได้ และมีโพรโทพลาซึมซึ่งมี
นิวเคลียสอยู่ภายใน
- 32. ระบบสืบพันธ์ของมนุษย์
ขบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ชาย (เพศผู้)
ขบวนการสร้างอสุจิ (SPERMATOGENESIS)
- กาเนิดมาจากเซลล์ของเนื้อเยื่อบุภายในท่ออสุจิ ภายในท่อเหล่านี้มี
เซลล์ PERMATOGONIA เซลล์ SPERMATOGONIA มีโครโมโซม 46 อัน
โดยการแบ่งเซลล์ MITOSIS จึงทาให้เกิด SPERMATOGONIA มากมาย
ขบวนการของ MEIOSIS การแบ่งนี้มี 2 ครั้ง
1. FIRST MEIOTIC DIVISION เป็นการแบ่งเซลล์ที่เกิดเซลล์ใหม่ 2 เซลล์ แต่
ละเซลล์มีโครโมโซมลดลงครึ่งหนึ่งของเซลล์เดิม คือ 23 อัน (N) เซลล์ที่ได้จากการ
แบ่งเรียกว่า SECONDARY SPERMATOCYTE
2. SECOND MEIOTIC DIVISION เป็นการแบ่งของ SECONDARY
SPERMATOCYTE ไม่ลดจานวนโครโมโซมแล้ว เกิดเซลล์ใหม่อีก 2 เซลล์ เรียกว่า
SPERMATIDS
- 33. ดังนั้น PRIMARY SPERMATOCYTE 1 เซลล์ จะเกิดเป็น SPERMATIDS 4
เซลล์ เมื่อ SPERMATID โตเต็มที่จะเข้าไปอยู่ใน CYTOPLASM ของ SERTOLI
CELL ซึ่งติดกับผนังของท่ออสุจิ เซลล์ SERTOLI เป็นเซลล์ที่ให้อาหารและเลี้ยง
SPERMATIDS ต่อมา SPERMATID เปลี่ยนแปลงรูปร่างมีแส้ (FLAGELLUM)
เคลื่อนไหวได้และเรียกว่าSPERMATOZOA
SPERMATOZOA (อสุจิ) ที่เติบโตเต็มที่ประกอบด้วย
1. หัว เป็นส่วนที่สาคัญในการสืบพันธุ์ ที่หัวมีนิวเคลียสอยู่ปลายสุดของหัว
เรียกว่า อะโครโซม (ACROSOME) ทาหน้าที่ในการเจาะไข่
2. ลาตัว มีแหล่งที่สร้างพลังงานที่ใช้ในการเคลื่อนที่อยู่
3. หาง ทาหน้าที่ในการเคลื่อนที่
- 34. ระบบสืบพันธ์ของมนุษย์
ขบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์หญิง(เพศเมีย)
ขบวนการสร้างไข่ เรียกว่า OOGENESIS
- รังไข่เริ่มปรากฏตัวแต่ในระยะตัวอ่อน (EMBRYO) แต่ระยะแรกเซลล์สืบพันธุ์ใน
รังไข่ แบ่งเซลล์แบบ MITOSIS เช่นเดียวกับเซลล์ของร่างกาย เมื่อใกล้ระยะเป็นสาว
เซลล์สืบพันธุ์จึงแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว เซลล์เหล่านี้เรียกว่า OOGONIA
- OOGONIA ต่อมาเป็น PRIMARY OOCYTE แบ่งเซลล์แบบ
MEIOSIS แบ่งได้ 2 ขั้นตอน
1. FIRST MEIOTIC DIVISION เกิดเป็นเซลล์ใหม่ 2 เซลล์ แต่ขนาดต่างกัน
มาก เซลล์ใหญ่เรียกว่า SECONDARY OOCYTE ส่วนอีกเซลล์หนึ่งเล็กเรียกว่า
FIRST POLAR BODY การที่เซลล์ทั้งสองมีขนาดต่างกันเพราะ
CYTOPLASM เกือบทั้งหมดยังคงอยู่กับนิวเคลียสของ SECONDARY
OOCYTE จานวนโครโมโซมของเซลล์ใหม่ลดลงครึ่งหนึ่ง
- 35. 2. SECOND MEIOTIC DIVISION เกิดจาก SECONDARY
OOCYTE แบ่งเซลล์อันหนึ่งกลายเป็น OOTID เป็นเซลล์ใหญ่ 1 เซลล์ ส่วน
เซลล์เล็ก 3 เซลล์ เรียกว่า SECOND POLAR BODY จะฝ่อไป การแบ่งนี้
ไม่ลดจานวนโครโมโซมอีก
- การแบ่งของ OOGONIA 1 เซลล์ จึงกลายเป็น OOTID เพียง 1 เซลล์
เท่านั้น และจานวนโครโมโซมเป็นครึ่งหนึ่งของเซลล์เดิม โดยการเปลี่ยนแปลง
ตาแหน่งของนิวเคลียส เพียงเล็กน้อยกลายเป็น EGG หรือ OVUM
- 37. 2. ถุงไข่แดง (Yolk sac)
- ในคนมีขนาดเล็ก ไม่มีไข่แดงเพราะตัวอ่อนรับอาหารจากแม่โดยตรง โดย
ผ่านทางรก ทาหน้าที่สร้างเม็ดเลือดให้ทารกในระยะแรก
3. คอเรียน (Chorion)
- เป็นเยื่อหุ้มรอบเอ็มบริโอ เนื้อเยื่อคอเรียนกับเนื้อเยื่อของมดลูกจะติดกันและ
ประสานกันสนิท
4. รก (Placanta)
- เป็นโครงสร้างเชื่อมระหว่างตัวอ่อนและผนังมดลูกของแม่ เป็นบริเวณที่มีการ
แลกเปลี่ยนก๊าซและสารอาหารระหว่างทารกกับแม่
* เมื่อทารกเจริญเต็มที่ต่อมใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมนออกซิโทซินมากระตุ้นให้
กล้ามเนื้อมดลูกบีบตัว ทาให้ถุงน้าคร่าแตกและทารกผ่านออกทางช่องคลอด
นั่นก็คือ การคลอด
- 38. การพัฒนาของไข่เมื่อได้รับการผสมแล้ว
- ไข่เมื่อได้รับการผสมแล้วจะกลายเป็นไซลกต (ZYGOTE) แล้วมีการแบ่ง
นิวเคงลียสแบบไมลทซีส ไซลกตจะมีการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องกัน 4 ระยะ คงือ
1. CLEAVAGE เริ่มจากไซลกตแบ่งตัวจาก 1 – 2 – 4 - 8 ... จนกระทั้งเซลล์มา
เกาะกันเป็นก้อนกลมๆ เรียกว่า ลมร่ลา (MORULA)
2. BLASTULA เป็นตัวอ่อนในระยะที่มีการเคงลื่อนที่ของเซลล์เพื่อให้ได้ช่องว่าง
ในตัวอ่อนเรียกช่องว่างนี้ว่า BLASTOCOEL และเรียกเซลล์ที่ล้อมช่องว่างว่า
BLASTODERM ลักษณะของตัวอ่อนตอนนี้คงล้ายผลน้อยหน่า
3. GASTRULA เป็นตัวอ่อนที่ต่อจากระยะ BLASTULA คงือ เซลล์แบ่งตัวแล้ว
เคงลื่อนที่เข้าข้างในเห็นตัวอ่อนเป็นร่ปถ้วย ซึ่งด่คงล้ายมีผนัง 2 ชั้น คงือ ชั้นนอกและ
ชั้นในและในตอนนี้จะเห็นมีช่องว่าง 2 ช่อง คงือ BLASTOCOEL และ
ARCHENTERON ซึ่งช่อง ARCHENTERON ต่อไปจะเจริญไปเป็นทางเดิน
อาหาร ต่อมาจะเกิดเนื้อเยื่อแทรกระหว่างเนื้อเยื่อชั้นนอกและเนื้อเยื่อชั้นใน เนื้อเยื่อที่
เกิดขึ้นใหม่นี้คงือเนื้อเยื่อชั้นกลางในตอนท้ายระยะ GASTRULA จะมีการสร้าง
ระบบประสาทขึ้น
- 39. 4. DIFFERENTIATION คือขบวนการที่เนื้อเยื่อ 3 ชั้น คือ ชั้นนอก
ชั้นกลาง ชั้นใน เปลี่ยนแปลงไปเป็นโครงสร้างต่างๆของร่างกาย
เนื้อเยื่อของตัวอ่อนมี 3 ชนิด คือ
เนื้อเยื่อชั้นนอก จะเจริญเปลี่ยนแปลงกลายเป็นสมอง ตาหู ไขสันหลัง
ผิวหนังและอื่นๆ
เนื้อเยื่อชั้นกลาง จะเจริญเปลี่ยนแปลงกลายเป็น กล้ามเนื้อ หัวใจ
กระดูก และอื่นๆ
เนื้อเยื่อชั้นใน จะเจริญเปลี่ยนแปลงกลายเป็น อวัยวะภายในต่างๆ เช่น
กระเพาะอาหาร ลาไส้ ตับ เป็นต้น
- 43. Dizygotic – การเกิดจากไซโกทสองตัว ทาให้เกิดฝาแฝดเทียม
- เกิดจาก การมีไข่สุก 2 ฟอง แต่ละฟองรวมกับอสุจิคนละตัว กลายเป็นคนละ
ZYGOTE ซึ่งแต่ละ ZYGOTE ไดกลายเป็นพี่น้องฝาแฝดเทียม 2 คน ซึ่งมี
ลักษณะทางพันธุกรรมไม่เหมือนกัน
- 44. การสร้างเซลล์สืบพันธุ์ของพืชมีดอก
ขบวนการสร้างละอองเรณู (Microsporogenesis)
- การสร้างละอองเรณ่ เริ่มจากเซลล์ในอับเรณ่ (anther) ที่เรียกกันว่า pollen
mother cell หรือ microspore mother cell ซึ่งมีลคงรลมลซม 2
ชุด หรือ 2n จะแบ่งตัวแบบไมลอซิส I และไมลอซิส II ได้ละอองเรณ่ 4 เซลล์แต่
ละเซลล์จะมีลคงรลมลซมเพียงชุดเดียว หรือ n ภายในละอองเรณ่แต่ละเซลล์ซึ่งมี
นิวเคงลียส 1 อัน (n) นิวเคงลียสจะแบ่งตัวแบบไมลตซิส 1 คงรั้ง ได้นิวเคงลียส 2 อัน
คงือ generative nucleus (n) และ tube nucleus (n)
- 45. ขบวนการสร้างไข่ (Megasporogenesis)
- การสร้างไข่หรือ ovum เริ่มต้นจากเซลล์ในรังไข่ที่เรียกว่า megaspore
mother cell ซึ่งมีลคงรลมลซม 2n แบ่งตัวแบบไมลอซิส ได้เซลล์4 เซลล์ แต่
ละเซลล์มีลคงรลมลซมในสภาพ haploid หรือ n แต่ 3 เซลล์จะสลายตัวไป
เหลือเพียง 1 เซลล์พัฒนามาเป็น megaspore นิวเคงลียสของ
megaspore จะแบ่งตัวแบบไมลตซิส 3 คงรั้งได้นิวเคงลียสทั้งหมด 8 อัน และมี
การจัดเรียงตัวกันเป็นชุด 3 ชุดคงือ ชุดที่ 1 เรียกว่า antipodal nuclei
(มีนิวเคงลียส 3 อัน) จะอย่่ที่ขั้วหนึ่งของเซลล์ ชุดที่ 2 เรียกว่า polar nuclei
(มีนิวเคงลียส 2 อัน) จะอย่่ตรงกลางเซลล์ และชุดที่ 3 มีนิวเคงลียส 3 อัน จะอย่่
ด้านล่างของเซลล์ที่มี Micropyle นิวเคงลียสชุดนี้จะมี egg nucleus อย่่
กลางขนาบข้างด้วย synergid nuclei
- 47. การปฏิสนธิในพืช (Fertilization in Plants)
- ละอองเรณูปลิวไปตกบนยอดเกสรตัวเมีย (stigma) เรียกว่า ขบวนการถ่าย
ละอองเกสร (pollination)
- ละอองเรณูจะงอก pollen tube ลงไปตามก้านชูเกสรตัวเมีย (style) จนถึง
embryo sac
- นิวเคลียสของ ละอองเรณูซึ่งอยู่ในสภาพ haploid จะแบ่งตัวแบบไมโตซิส 1 ครั้ง
ได้ tube nucleus และ generative nucleus
- generative nucleus จะแบ่งตัวแบบไมโตซิสอีกครั้งหนึ่งได้ sperm
nucleus 2 อัน
- sperm nucleus หนึ่งอันจะเข้าไปผสมกับ egg nucleus ได้ zygote
หรือ embryo (2n)
- sperm nucleus อีกอันหนึ่งจะเข้าผสมกับ 2 polar nuclei กลายเป็นเอน
โดสเปอร์ม (endosperm) ซึ่งมีโครโมโซม 3 ชุด หรือ 3n
- ดังนั้นพืชจะมีขบวนการปฏิสนธิเกิดขึ้น 2 ครั้ง จึงเรียกการปฏิสนธิแบบนี้ว่า การ
ปฏิสนธิซ้อนหรือ double fertilization
- 50. การสร้างเซลล์สืบพันธุ์ในสัตว์
1. ขบวนการสร้างสเปอร์ม (spermatogenesis)
2. ขบวนการสร้างไข่ (Oogenesis)
3. ชนิดของไข่
ไข่ของสัตว์ต่างๆ จาแนกได้เป็น 4 ชนิด ตามปริมาณและการกระจายของไข่แดง
1. ISOLECITHAL EGG เป็นพวกที่มีไข่แดงน้อย และกระจายทั่วไปภายในเซลล์
เช่น ไข่หอยเม่น ไข่ปลาดาว และไข่สัตว์เลี้ยงล่กด้วยนม
2. MESOLECITHAL EGG เป็นพวกที่มีไข่แดงปานกลาง และไข่แดงมักจะอย่่
หนาแน่นที่ขั้วใดขั้วหนึ่งของเซลล์ ตัวอย่างเช่น ไข่กบ
3. TELOLECITHAL EGG เป็นพวกที่มีไข่แดงมาก และไข่แดงอย่่หนาแน่น
ตัวอย่างเช่น ไข่นก ไข่ไก่ ไข่ปลา และไข่ของสัตว์เลื้อยคงลาน
4.CENTROLLECITHAL EGG เป็นพวกที่มีไข่แดงอย่่ตรงกลาง ตัวอย่าง เช่น
ไข่แมลง