More Related Content Similar to บทที่ 2 ทักษะการรู้สารสนเทศ Similar to บทที่ 2 ทักษะการรู้สารสนเทศ (20) More from Srion Janeprapapong More from Srion Janeprapapong (14) บทที่ 2 ทักษะการรู้สารสนเทศ3. „ ความหมาย
„ ความสาคัญ
„ องค์ประกอบ
„ กระบวนการ
„ แผนผังความคิด (Mind Map)
„ การประเมินคุณค่าสารสนเทศ
„ ผู้รู้สารสนเทศ และลักษณะของผู้รู้สารสนเทศ
7. ความหมาย
• The Presidential Committee on Information Literacy
defined information literacy as a set of skills, which
require an individual to:
“recognize when information is needed and have
the ability to locate, evaluate, and use
effectively the needed information.”
(The Board of Trustees of the Leland Stanford Junior
University, 2013, para.2)
8. ความหมาย
• The Association of College & Research Libraries
(ACRL) defines information literacy as:
“the set of skills needed to find, retrieve,
analyze, and use information.”
9. Information literacy is “knowing
when and why you need information,
where to find it,
how to evaluate,
use and communicate it in an ethical
manner.”
(CILIP, 2012, para.2)
ความหมาย
10. “This definition implies several skills. We believe that the
skills (or competencies) that are required to be
information literate require an understanding of:
• A need for information
• The resources available
• How to find information
• The need to evaluate results
• How to work with or exploit results
• Ethics and responsibility of use
• How to communicate or share your findings
• How to manage your findings”
(CILIP, 2012, para.3)
ความหมาย
11. การรู้สารสนเทศ หมายถึง
“ความสามารถของบุคคล ที่เกี่ยวกับสารสนเทศ ในเรื่องต่อไปนี้ คือ
การรู้ถึงความต้องการสารสนเทศ
การวิเคราะห์และรู้แหล่งสารสนเทศที่เหมาะสม
การรู้ถึงวิธีการที่จะเข้าถึงตัวสารสนเทศที่อยู่ในแหล่งสารสนเทศต่างๆ
การประเมินคุณภาพของสารสนเทศที่ได้รับ
การจัดการสารสนเทศ และ
การใช้สารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ”
(มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2551, น.8)
ความหมาย
13. ความหมาย
• การรู้สารสนเทศ (Information literacy) หมายถึง
“ความรู้ ความสามารถ และทักษะของบุคคล ในการเข้าถึงสารสนเทศ
ประเมินสารสนเทศที่ค้นมาได้ และใช้สารสนเทศอย่างมี
ประสิทธิภาพทุกรูปแบบ
ผู้รู้สารสนเทศจะต้องมีทักษะในด้านต่างๆ เช่น
ทักษะการคิดวิเคราะห์ และ / หรือ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ
ทักษะการใช้ภาษา
ทักษะการใช้ห้องสมุด
ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ เป็นต้น”
(Pop of Blog, 2550, ย่อหน้า 1)
14. ความหมาย
„ หมายถึง “การรู้ถึงความจาเป็นของสารสนเทศ (ข้อมูลข่าวสาร)
การเข้าถึงแหล่งสารสนเทศ
การพัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การวิเคราะห์และประเมินสารสนเทศ
การจัดระบบประมวลสารสนเทศ
การประยุกต์ใช้สารสนเทศเพื่อการตัดสินใจที่มีประสิทธิผลและ
สร้างสรรค์
การสรุปอ้างอิง และ
สื่อสารข่าวสารอย่างมีประสิทธิภาพ
ความเข้าใจและยอมรับในจริยธรรมของข้อมูลข่าวสาร
การพัฒนาเจตคตินาไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต”
(อาชัญญา รัตนอุบล, ม.ป.ป., น.1)
15. ความหมาย
ความรู้ ความสามารถของบุคคล ในการ
- ระบุความต้องการสารสนเทศของตนได้
- รู้แหล่งสารสนเทศ และทรัพยากรสารสนเทศ ที่คาดว่าจะให้คาตอบ
- รู้วิธีการค้นหาสารสนเทศจากแหล่งต่างๆ
- รู้วิธีการประเมินคุณค่า และความน่าเชื่อถือของสารสนเทศ
- จัดการสารสนเทศ และนาเสนอได้ (นาเสนอ: การพูด การเขียน)
- ใช้ประโยชน์สารสนเทศอย่างมีจรรยาบรรณ และถูกต้องตามกฎหมาย
ทาให้บุคคลที่รู้สารสนเทศเป็นผู้มีศักยภาพสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้ตลอด
ชีวิต
16. ความสาคัญ
1. การศึกษา
2. การดารงชีวิตประจาวัน
3. การประกอบอาชีพ
4. สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง
5. ทาให้ผู้เรียนเป็นผู้มีศักยภาพในการเรียนรู้ตลอดชีวิต
6. เป็นเครื่องมือสาคัญในการเลือกใช้สารสนเทศที่มีคุณภาพ
(Pop of Blog, 2550; เว็บไซต์ห้องสมุดกับการรู้สารสนเทศ)
21. ความสาคัญ
4. การรู้สารสนเทศมีความสาคัญต่อสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง
การรู้สารสนเทศเป็นสิ่งสาคัญโดยเฉพาะสังคมฐานความรู้ (Knowledge Base Society)
บุคคลจาเป็นต้องรู้สารสนเทศ และมีความรู้เพื่อสามารถปรับตนเองให้เข้ากับสังคม
เศรษฐกิจ และการเมืองได้
เช่น การอยู่ร่วมกันในสังคม การบริหารจัดการ การดาเนินธุรกิจและ
การแข่งขัน การบริหารบ้านเมือง ฯลฯ
กล่าวได้ว่าผู้รู้สารสนเทศ คือ ผู้ที่มีอานาจสามารถชี้วัดความสามารถขององค์กร
หรือประเทศชาติได้
ประเทศที่พัฒนาแล้วก็วัดจากจานวนประชากรที่รู้สารสนเทศนั่นเอง
ประชากรที่เป็นผู้รู้สารสนเทศจึงถือว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดของประเทศ
23. ความสาคัญ
5. ทาให้ผู้เรียนเป็นผู้มีศักยภาพในการเรียนรู้ตลอดชีวิต (ต่อ)
ทักษะความสามารถสาหรับผู้เรียนที่ต้องการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต มีทักษะ 8 กลุ่ม
1) ทักษะด้านการคิด (คิดเชิงสร้างสรรค์ คิดเชิงประยุกต์ คิดเชิงวิเคราะห์ คิดเชิงเปรียบเทียบ
คิดเชิงอนาคต และการคิดเชิงบูรณาการ)
2) ทักษะการสื่อสาร (สามารถฟัง-พูด-อ่าน-เขียนได้อย่างถูกต้องชัดเจนกระชับครบถ้วนและสุภาพ)
3) ทักษะภาษาต่างประเทศ(สามารถพูด-ฟัง-อ่าน-เขียนภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว)
4) ทักษะทางเทคโนโลยีสารสนเทศ(เข้าใจและใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ITได้)
5) ทักษะทางสังคม (มนุษยสัมพันธ์ การปรับตัว การทางานร่วมกับผู้อื่น)
6) ทักษะการอาชีพ (ความสามารถและชานาญในการประกอบอาชีพหลักที่ตนถนัด มีเจตคติที่ดีต่อ
อาชีพ มีความสามารถสร้างอาชีพให้ตนเอง)
7) ทักษะทางสุนทรียะ(ด้านดนตรี การกีฬา หรือ ศิลปะอย่างสร้างสรรค์)
8) ทักษะการจัดการ
25. องค์ประกอบ
สมาคมห้องสมุดอเมริกัน (American Library Association, 2005) ได้
กาหนดองค์ประกอบของการรู้สารสนเทศไว้ 4 ประการ คือ
1. ความสามารถในการตระหนักว่าเมื่อใดจาเป็นต้องใช้สารสนเทศ
2. การเข้าถึงสารสนเทศ
3. การประเมินสารสนเทศ
4. ความสามารถในการใช้สารสนเทศที่ต้องการอย่างมีประสิทธิภาพ
34. องค์ประกอบ
ปิยะวรรณ ประทุมรัตน์ (ม.ป.ป.) กล่าวต่อไปว่านอกจากความสามารถ 4 ข้อข้างต้นแล้ว
ผู้เรียนควรมีคุณสมบัติในด้านอื่นๆ ประกอบอีก ได้แก่
1. การรู้ห้องสมุด (Library literacy)
2. การรู้คอมพิวเตอร์(Computer Literacy)
3. การรู้เครือข่าย (Network Literacy)
4. การรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เห็น (Visual Literacy)
5. การรู้สื่อ (Media Literacy)
6. การรู้สารสนเทศดิจิทัล (Digital Literacy)
7. การมีความรู้ด้านภาษา(Language Literacy)
8. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ(Critical Thinking)
9. การมีจริยธรรมทางสารสนเทศ (Information Ethic)
35. องค์ประกอบ
1. การรู้ห้องสมุด (Library literacy)
ได้แก่ รู้เกี่ยวกับห้องสมุดของตน ในด้าน
- ทรัพยากรสารสนเทศ และแหล่งจัดเก็บ
- วิธีการจัดเก็บ
- วิธีการสืบค้น และเทคนิคการสืบค้น Tools ต่างๆ ของ
ห้องสมุด
- บริการต่างๆ
ฯลฯ
รู้แหล่งสารสนเทศอื่นๆ
36. องค์ประกอบ
2. การรู้คอมพิวเตอร์ (Computer Literacy)
รู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เบื้องต้น ในการ
พิมพ์เอกสาร
การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์
การใช้อินเทอร์เน็ตในการติดต่อสื่อสาร
รวมถึงการรู้ที่ตั้งของแหล่งสารสนเทศ
37. องค์ประกอบ
3. การรู้เครือข่าย (Network Literacy)
รู้ขอบเขตและมีความสามารถในการใช้สารสนเทศทางเครือข่ายที่
เชื่อมโยงถึงกันทั่วโลก
สามารถใช้กลยุทธ์การสืบค้นสารสนเทศจากเครือข่าย และ
การบูรณาการสารสนเทศจากเครือข่ายกับสารสนเทศจากแหล่งอื่น ๆ
38. องค์ประกอบ
4. การรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เห็น (Visual Literacy)
สามารถเข้าใจและแปลความหมายสิ่งที่เห็นได้
รวมถึงความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การเรียนรู้
การแสดงความคิดเห็น
สามารถใช้สิ่งที่เห็นนั้นในการทางาน และการดารงชีวิตประจาวันของ
ตนเองได้
เช่น สัญลักษณ์รายการโทรทัศน์ เป็นต้น
39. องค์ประกอบ
5. การรู้สื่อ (Media Literacy)
สามารถเข้าถึง วิเคราะห์และผลิตสารสนเทศจากสื่อต่างๆ
เช่น โทรทัศน์ ภาพยนตร์ วิทยุ ดนตรี หนังสือพิมพ์ นิตยสาร เป็นต้น
รู้จักเลือกรับสารสนเทศจากสื่อที่แตกต่างกัน
รู้ขอบเขตและการเผยแพร่สารสนเทศของสื่อ
เข้าใจถึงอิทธิพลของสื่อ และ
สามารถพิจารณาตัดสินได้ว่าสื่อนั้นๆ มีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงไร
40. องค์ประกอบ
6. การรู้สารสนเทศดิจิทัล (Digital Literacy)
สามารถเข้าใจและใช้สารสนเทศในรูปดิจิทัลผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ได้
ตัวอย่างการรู้สารสนเทศดิจิทัล เช่น
- สามารถดาวน์โหลดไฟล์ข้อมูลจากแหล่งทรัพยากรสารสนเทศที่เข้าถึงใน
ระยะไกลมาใช้ได้
- รู้ว่าคุณภาพสารสนเทศที่มาจากเว็บไซต์ต่างๆแตกต่างกัน
- รู้จักโปรแกรมการค้นหา สามารถสืบค้นโดยใช้การสืบค้นขั้นสูง
- รู้เรื่องของกฎหมายลิขสิทธิ์ที่คุ้มครองทรัพยากรสารสนเทศบนเว็บไซต์
- การอ้างอิงสารสนเทศจากเว็บไชต์ เป็นต้น
42. องค์ประกอบ
8. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking)
สามารถคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ และตัดสินใจเลือกรับสารสนเทศที่นาเสนอ
ไว้หลากหลาย
โดยการพิจารณาทบทวนหาเหตุผลจากสิ่งที่เคยจดจา คาดการณ์ โดยยังไม่เห็น
คล้อยตามสารสนเทศที่นาเสนอเรื่องนั้นๆ
แต่จะต้องพิจารณาใคร่ครวญไตร่ตรองด้วยความรอบคอบ และมีเหตุผลว่าสิ่งใด
สาคัญมีสาระก่อนตัดสินใจเชื่อ
จากนั้นจึงดาเนินการแก้ปัญหา
43. องค์ประกอบ
9. การมีจริยธรรมทางสารสนเทศ (Information Ethic)
ผู้เรียนรู้จักใช้สารสนเทศโดยชอบธรรมบนพื้นฐานของจริยธรรมทางสารสนเทศ
เช่น
- การนาข้อความหรือแนวคิดของผู้อื่นมาใช้ในงานของตนจาเป็นต้องอ้างอิง
เจ้าของผลงานเดิม
- การไม่นาข้อมูลที่ขัดต่อศีลธรรมและจรรยาบรรณของสังคมไปเผยแพร่
ฯลฯ
45. กระบวนการ
จากเว็บไซต์ห้องสมุดกับการรู้สารสนเทศ กล่าวว่า การรู้สารสนเทศ เป็นความสามารถ
ด้านสารสนเทศที่ประกอบด้วยกระบวนการต่าง ๆ เป็นลาดับขั้นตอน สรุปได้ 4
ขั้นตอน ดังนี้
1. การกาหนดขอบเขต ปัญหา ความต้องการสารสนเทศ
2. การเข้าถึงแหล่งสารสนเทศ
3. การประเมินสารสนเทศ
4. การบูรณาการสารสนเทศ การนาสารสนเทศไปใช้ การสร้างผลงาน และ
การสื่อสารสารสนเทศไปยังผู้อื่น
46. กระบวนการ
1. การกาหนดขอบเขต ปัญหา และความต้องการสารสนเทศ
ประกอบด้วย
- การระบุปัญหา
- การกาหนดขอบเขตสารสนเทศที่ต้องการ
- กาหนดแหล่งสารสนเทศที่คาดว่ามีสารสนเทศที่ต้องการ
- ประเมินแหล่งสารสนเทศที่เหมาะสมกับการใช้งาน หรือสามารถนาไปใช้
แก้ปัญหามากที่สุด และ
- กาหนดวิธีการเข้าถึงสารสนเทศ
49. กระบวนการ
4. การบูรณาการสารสนเทศ การนาสารสนเทศไปใช้ การสร้างผลงาน
และ การสื่อสารสารสนเทศไปยังผู้อื่น
- เป็นขั้นการใช้สารสนเทศ
- พิจารณาสารสนเทศเพื่อนาเสนอ
- ประเมินผลงานที่จัดทาขึ้น หรือ
- ประเมินกระบวนการแก้ไขปัญหาโดยใช้สารสนเทศดังกล่าว
- สามารถประยุกต์ใช้ความรู้ในการแก้ปัญหา ใช้สารสนเทศอย่างมีจริยธรรม
คุณธรรม และถูกกฎหมาย
50. กระบวนการ
จากสานักวิชาศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยขอนแก่น (2551, น. 9) กล่าวถึง
กระบวนการรู้สารสนเทศ ว่ามี 5 ประการดังนี้
1. ความสามารถในการตระหนักว่าเมื่อใดจึงจะต้องการสารสนเทศ
2. ความสามารถในการค้นหาสารสนเทศ
3. ความสามารถในการประเมินสารสนเทศ
4. ความสามารถในการประมวลผลสารสนเทศ
5. ความสามารถในการใช้และการสื่อสารสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
51. กระบวนการ
อาจารย์รติรัตน์ มหาทรัพย์ (ม.ป.ป.) อธิบายกระบวนการรู้สารสนเทศไว้ ดังนี้
1. การวิเคราะห์ หรือกาหนดความต้องการสารสนเทศ
2. การพิจารณาลักษณะของสารสนเทศ
3. การค้นหาสารสนเทศ
4. การประเมินสารสนเทศ
5. การใช้และการสื่อสารสารสนเทศ
55. ตามแนวคิดของผู้สอน แบ่งกระบวนการรู้สารสนเทศออกเป็น 6 ขั้นตอน ดังนี้
1. กาหนดความต้องการสารสนเทศ
2. เลือกแหล่งสารสนเทศ และ ทรัพยากรสารสนเทศ
3. ค้นหาสารสนเทศ
4. ประเมินสารสนเทศ
5. ประมวลสารสนเทศ
6. การนาไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่กาหนด และการสื่อสารสารสนเทศไปยังผู้อื่น
รวมถึง ใช้สารสนเทศอย่างมีจริยธรรม และถูกต้องตามกฎหมาย
กระบวนการ
56. 1. กาหนดความต้องการสารสนเทศ
- ต้องการสารสนเทศเรื่องอะไร
- กาหนดวัตถุประสงค์การใช้ และขอบเขตเนื้อหา
- กาหนดคุณลักษณะของสารสนเทศที่ต้องการ
- เนื้อหากว้าง หรือเฉพาะเจาะจง
- ปริมาณมาก หรือน้อย
- เป็นทรัพยากรสารสนเทศประเภทใด (เช่น หนังสือ บทความ)
- ความทันสมัย หรือช่วงเวลาของสารสนเทศที่ต้องการ
- ภาษาที่ต้องการ
- ใช้แผนผังความคิด หรือแผนที่ความคิด (MindMap) ช่วย
(ดูรายละเอียดของเรื่องแผนผังความคิดในภาคผนวก ก)
กระบวนการ
57. 2. เลือกแหล่งสารสนเทศ และ ทรัพยากรสารสนเทศ
- รู้ประเภทและประโยชน์ของแหล่งสารสนเทศ/ทรัพยากรสารสนเทศ
- เพื่อกาหนดแหล่งสารสนเทศ/ทรัพยากรสารสนเทศที่ต้องการได้
กระบวนการ
58. 3. ค้นหาสารสนเทศ
- รู้จักประเภทของเครื่องมือค้นหาสารสนเทศ (WebOPAC Search Engines)
- ใช้เครื่องมือค้นหาสารสนเทศ ได้
- รู้วิธีการสืบค้น และเทคนิคการสืบค้น (Search Tips) สารสนเทศ
- กาหนดคาสาคัญ (Keywords) ได้
- รู้วิธีการเข้าถึง (Access) ตัวเนื้อหา
4. ประเมินสารสนเทศ
รู้เกณฑ์การประเมินทั่วไป และเกณฑ์การประเมินค่าเว็บไซต์ เพื่อได้สารสนเทศที่มี
คุณภาพ น่าเชื่อถือ เหมาะสมกับการนาไปใช้
(ดูเกณฑ์การประเมินค่าเว็บไซต์ในภาคผนวก ข)
กระบวนการ
59. 5. ประมวลสารสนเทศ
- วิเคราะห์ และสังเคราะห์สารสนเทศ
- เรียบเรียงสารสนเทศเพื่อนาเสนอต่อไป
6. การนาไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่กาหนด และการสื่อสารสารสนเทศไปยัง
ผู้อื่น
รวมถึง
ใช้สารสนเทศอย่างมีจริยธรรม และถูกต้องตามกฎหมาย
กระบวนการ
65. ผู้รู้สารสนเทศและลักษณะของผู้รู้สารสนเทศ (ต่อ)
ลักษณะของผู้ที่ถือว่ารู้สารสนเทศ (ต่อ)
13. รู้จักใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อการเข้าถึงและสื่อสาร
สารสนเทศ
14. มีความเป็นอิสระ และมีศักยภาพในการเรียนรู้ด้วยตนเอง
15. ใช้สารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถูกต้องและสร้างสรรค์
16. มีทักษะด้านคอมพิวเตอร์และทักษะด้านการใช้ห้องสมุด
17. มีความเข้าใจประเด็นต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมที่
เกี่ยวข้องกับการใช้สารสนเทศ เข้าถึงและใช้สารสนเทศอย่างมี
จริยธรรมและถูกกฎหมาย
74. แผนผังความคิด (MindMap) (ต่อ)
ขั้นตอนการสร้าง MindMap:
1. เขียน/วาดมโนทัศน์หลักตรงกึ่งกลางหน้ากระดาษ
2. เขียน/วาดมโนทัศน์รองที่สัมพันธ์กับมโนทัศน์หลักไปรอบ ๆ มโนทัศน์หลัก
3. เขียน/วาดมโนทัศน์ย่อยที่สัมพันธ์กับมโนทัศน์รองแตกออกไปเรื่อย ๆ
4. ใช้ภาพหรือสัญลักษณ์สื่อความหมายเป็นตัวแทนความคิดให้มากที่สุด
5. เขียนคาสาคัญ (Keywords) บนเส้นและเส้นต้องเชื่อมโยงกัน
6. กรณีใช้สี ทั้งมโนทัศน์รองและมโนทัศน์ย่อยควรเป็นสีเดียวกัน
7. คิดอย่างอิสระมากที่สุดขณะทา
77. วิธีการเขียน MindMap โดยละเอียดอีกวิธีหนึ่ง
1. เตรียมกระดาษเปล่าที่ไม่มีเส้นบรรทัดและวางกระดาษแนวนอน
2. วาดภาพสีหรือเขียนคาหรือข้อความที่สื่อหรือแสดงถึงเรื่องจะทาMind Map กลาง
หน้ากระดาษ โดยใช้สีอย่างน้อย 3 สี และต้องไม่ตีกรอบด้วยรูปทรงเรขาคณิต
3. คิดถึงหัวเรื่องสาคัญที่เป็นส่วนประกอบของเรื่องที่ทา Mind Map โดยให้เขียนเป็น
คาที่มีลักษณะเป็นหน่วย หรือเป็นคาสาคัญ (Keywords) สั้น ๆ ที่มีความหมายบน
เส้น ซึ่งเส้นแต่ละเส้น จะต้องแตกออกมาจากศูนย์กลางไม่ควรเกิน 8 กิ่ง
4. แตกความคิดของหัวเรื่องสาคัญแต่ละเรื่องในข้อ 3 ออกเป็นกิ่ง ๆ หลายกิ่ง โดยเขียน
คาหรือวลีบนเส้นที่แตกออกไป ลักษณะของกิ่งควรเอนไม่เกิน 60 องศา
78. วิธีการเขียน MindMap โดยละเอียดอีกวิธีหนึ่ง (ต่อ)
5. แตกความคิดรองลงไปที่เป็นส่วนประกอบของแต่ละกิ่งในข้อ 4 โดยเขียนคาหรือวลี
เส้นที่แตกออกไป ซึ่งสามารถแตกความคิดออกไปเรื่อยๆ
6. การเขียนคา ควรเขียนเป็นคาสาคัญ (Keywords) หรือคาหลัก หรือเป็นวลีที่มี
ความหมายชัดเจน
7. คา วลี สัญลักษณ์ หรือรูปภาพใดที่ต้องการเน้น อาจใช้วิธีการทาให้เด่น เช่น การล้อม
กรอบ หรือใส่กล่อง เป็นต้น
8. ตกแต่ง Mind Map ที่เขียนด้วยความสนุกสนานทั้งภาพและแนวคิดที่เชื่อมโยงต่อกัน.
81. แผนผังความคิด (MindMap) (ต่อ)
ประโยชน์ของแผนผังความคิด
1. ทาให้เห็นภาพรวมกว้าง ๆ ของหัวข้อใหญ่ หรือขอบเขตของเรื่อง
2. ทาให้สามารถวางแผนเส้นทางหรือตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง เพราะรู้ว่า
ตรงไหนกาลังจะไปไหนหรือผ่านอะไรบ้าง
3. สามารถรวบรวมข้อมูลจานวนมากลงไว้ในกระดาษแผ่นเดียวกัน
4. กระตุ้นให้คิดแก้ไขปัญหา โดยเปิดโอกาสให้มองเห็นวิธีใหม่ ๆ ที่
สร้างสรรค์
5. สร้างความเพลิดเพลินในการอ่านและง่ายต่อการจดจา.
83. • YouTube แนะนำกำรสร้ำง MindMap เบื้องต้น
[How to Make a Mind Map - The Basics]
http://www.youtube.com/watch?v=wLWV0XN7K1g&feature=fvwrel
84. • YouTube แนะนำกำรสร้ำง iMindMap บน iPad
[Introduction to iMindMap on iPad (iMindMap Mobile HD)]
http://www.youtube.com/watch?v=Vsf-F-6fZD4&feature=relmfu
87. 1. ความน่าเชื่อถือ
- ผู้รับผิดชอบในการจัดทาเว็บไซต์ เป็นใคร ???
(หากไม่แจ้งชื่อผู้แต่ง ให้พิจารณาความน่าเชื่อถือจากเว็บไซต์ที่เอกสารนั้นบรรจุอยู่)
- บุคคล ==> ดู เนื้อหาของเว็บต้องสอดคล้องกับคุณวุฒิผู้จัดทา
- หน่วยงาน ==> ควรเป็น รัฐ และ องค์กรไม่หวังผลกาไร องค์กรระหว่างประเทศ
(.edu .gov .net)
- ถูกเชื่อมโยงจากเว็บไซต์อื่น ๆ
- ให้ที่อยู่ที่ติดต่อกลับได้ เป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบของผู้จัดทา
เกณฑ์การประเมินค่าสารสนเทศ (เว็บ) (ต่อ)
89. 3. คุณค่าของเนื้อหา
- ถูกต้องสมบูรณ์
(ให้สาระครบถ้วน ระบุแหล่งที่มาของข้อมูลอย่างชัดเจนสามารถตรวจสอบได้
พิมพ์ตัวอักษรถูกต้อง เปรียบเทียบกับเว็บที่มีเนื้อหาเหมือนกัน)
- ทันสมัย
(ขึ้นอยู่กับสาขาวิชา ดูปีเผยแพร่ หรือดูปีปรับปรุงเนื้อหาครั้งล่าสุด
ตรวจสอบ Links ต่างๆ ว่ายังใช้การได้อยู่หรือไม่)
- อ่านเข้าใจง่ายเพราะใช้ภาษาง่าย และนาเสนอเนื้อหาได้เหมาะสม
- ข้อมูลเป็นกลาง (ไม่มีอคติ ไม่ชักจูงทางความคิด)
เกณฑ์การประเมินค่าสารสนเทศ (เว็บ) (ต่อ)
90. Pop of BloG. (2550). การรู้สารสนเทศ (Information literacy). สืบค้น
เมื่อ 1 ตุลาคม 2555, จาก http://popofblog.blogspot.com/
ปิยะวรรณ ประทุมรัตน์. (ม.ป.ป.). การรู้สารสนเทศ: ทักษะที่จาเป็นสาหรับการ
เรียนรู้ตลอดชีวิต (Information literacy : Essential skill for
life – long learners). ม.ป.ท.: ม.ป.พ.
รติรัตน์ มหาทรัพย์. (2552). เอกสารประกอบการสอน เรื่อง ทักษะการรู้สารสนเทศ.
กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย. (เอกสารอัดสาเนา).
91. อาชัญญา รัตนอุบล. (2552). การรู้สารสนเทศ Information literacy.
สืบค้นเมื่อ 1 ตุลาคม 2555, จาก http://portal.edu.chula.ac.th/patty_travel
เอกสารประกอบการสอน วิชา 412102 การรู้สารสนเทศ (Information literacy)
(พิมพ์ครั้งที่ 4). (2551). ขอนแก่น: ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศ
ศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
Chartered Institute of Library and Information
Professionals. (2012). Information literacy: Definition.
Retrieved November 22, 2012, from
http://www.cilip.org.uk/get-involved/advocacy/information-
literacy/Pages/definition.aspx
92. The Board of Trustees of the Leland Stanford Junior
University. (2013). Introduction-what is information
literacy? Retrieved July 22, 2013, from
http://skil.stanford.edu/intro/research.html
Chartered Institute of Library and Information
Professionals. (2012). Information literacy: Definition.
Retrieved November 22, 2012, from
http://www.cilip.org.uk/get-involved/advocacy/information-
literacy/Pages/definition.aspx