More Related Content
Similar to 4.1 4.2 อิทธิพล-การเมือง เศรษฐกิจ (20)
More from Jitjaree Lertwilaiwittaya (20)
4.1 4.2 อิทธิพล-การเมือง เศรษฐกิจ
- 2. คริสต์ ศาสนาได้ กาเนิดขึนในช่ วงต้ นของสมัยจักรวรรดิ
ํ
้
โรมันผู้ก่อตังศาสนา คือ พระเยซูคริสต์ หลังจากนันประมาณ 300 ปี
้
้
คริสต์ ศาสนาถูกทางการปราบปรามอย่ างรุ นแรง จนกระทั่งในช่ วง
คริสต์ ศตวรรษที่ 4 จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 ทรงนับถือคริสต์
ศาสนา และใน ค.ศ. 394 จักรพรรดิทีโอโดซิอัสที่ 1ได้ ประกาศให้
คริสต์ ศาสนาเป็ นศาสนาประจําจักรวรรดิโรมัน
- 3. ในช่ วงคริสต์ ศตวรรษที่ 4-5 จักรวรรดิโรมันได้ ถูกรุ กรานจากพวก
เผ่ าอนารยชนหลายเผ่ า จักรพรรดิโรมันพยายามสร้ างความเข้ มแข็งด้ วย
การแบ่ งจักรวรรดิออกเป็ น 2 ภาค คือ จักรวรรดิโรมันตะวันตก มีเมือง
หลวงอยู่ท่ กรุ งโรมและจักรวรรดิโรมันตะวันออก มีเมืองหลวงอยู่ท่ ีกรุ ง
ี
คอนสแตนติโนเปิ ล แต่ กไม่ สามารถทําให้ จักรวรรดิโรมันมั่นคงอยู่ได้ ใน
็
ค.ศ. 476 แม่ ทัพเผ่ าเยอรมันได้ ปลดจักรพรรดิองค์ สุดท้ ายของ จักรวรรดิ
โรมันตะวันตกลง ถือเป็ นการสินสุดจักรวรรดิ ส่ วนจักรวรรดิโรมัน
้
ตะวันออกหรื อจักรวรรดิไบแซนไทน์ ยัง ดํารงสืบต่ อมาอีกเกือบ 1000 ปี
จนกระทั่งล่ มสลายในค.ศ.1453
- 4. เหตุท่ คริสต์ ศาสนามีความเจริญรุ่ งเรื่อง
ี
และแผ่ ขยายได้ อย่ างกว้ างขวาง
(1) จักรพรรดิโรมันในยุคนันขาดความสามารถในการบริหารและความ
้
เป็ นผู้นํา
(2) ผู้นําทางคริสต์ ศาสนาในเวลานันมีคุณสมบัตท่ ีจักรพรรดิไม่ มี
้
ิ
(3) ความแตกแยกและเสื่อมโทรมของสังคมและการเมืองคนจึงหวังมีชีวต
ิ
มีความสุขในโลกหน้ า
(4) อนารยชนได้ ทาลายความรุ่ งเรื องของโรมันด้ านการเมือง ไม่ ได้ ย่ ุง
ํ
เกี่ยวกับคริสต์ ศาสนา
- 5. 1.1 บทบาททางสังคม
ในสมัยกลางคริสต์ ศาสนามีอานาจสูงสุดเหนือสถาบันใด ๆ
ํ
คริสตจักรมีความสัมพันธ์ กับอาณาจักรทางโลก เช่ น การสถาปนา
จักรพรรดิโรมันในสมัยกลาง ทําให้ สร้ างความชอบธรรม ทางการเมือง
ให้ แก่ ศาสนจักร เนื่องจากศาสนจักรเป็ นสื่อกลางระหว่ างมนุษย์ กับพระ
เจ้ ามนุษย์ ต้องดําเนินชีวตตามคําสอนของศาสนาอย่ างเคร่ งครั ด ถ้ าผู้ใด
ิ
หรื อชนกลุ่มใดมีความเห็นขัดแย้ งกับศาสนจักร จะต้ องถูกศาสนจักรไต่
สวนและลงโทษ เช่ น
- การไล่ ออกจากศาสนา
- การตัดขาดจากศาสนาทังชุมชน
้
- 6. 1.2 บทบาททางการเมือง
ศาสนาได้ เข้ าไปมีส่วนร่ วมในระบบการเมืองของยุโรป
– ระบบกษัตริย์ ศาสนจักรได้ อ้างอํานาจเหนือกษัตริย์และขุนนางใน
ฐานะของผู้สถาปนากษัตริย์ในสมัยกลาง
– ระบบฟิ วดัล ศาสนจักรได้ เข้ ามามีบทบาทในการยุตสงครามการแย่ ง
ิ
ที่ดนระหว่ างเจ้ านายที่ดนต่ าง ๆ และการที่ศาสนจักรมีท่ ีดนจํานวนมาก
ิ
ิ
ิ
ทําให้ ศาสนจักรต้ องไปเกี่ยวข้ องกับเจ้ าของที่ดน
ิ
– ระบบการศาล ศาสนจักรได้ จัดระบบการพิจารณาศาล จึงอ้ างใน
สิทธิท่ ีจะพิจารณาคดีทงศาสนาและทางโลก
ั้
- 7. 1.3 บทบาททางเศรษฐกิจ
ศาสนจักรเป็ นแหล่ งรวมความมั่งคั่งเนื่องจากได้ เงินภาษีจาก
ประชาชน และบรรณาการที่ดนที่ชนชันปกครองมอบให้
ิ
้
คริสตจักรได้ วางรู ปแบบการบริหารงานเลียนแบบการบริหาร
ของจักรวรรดิโรมันทําให้ คริสตจักรเป็ นสถาบันที่มีกฎระเบียบและมี
เปาหมายชัดเจนโดยมีสันตะปาปา (Pope) เป็ นประมุขสูงสุด และมีคาร์
้
ดินัล (cardinal) เป็ นที่ปรึกษาในส่ วนภูมภาคแบ่ งเป็ นมณฑล ซึ่งมีอาร์ ช
ิ
บิชอป (archbishop) เป็ นผู้ปกครองถัดจากระดับมณฑล คือ ระดับแขวง
ภายใต้ การปกครองของบิชอป (bishop) ส่ วนหน่ วยระดับล่ างสุด คือ
ระดับตําบล มีพระหรื อบาทหลวง (priests) เป็ นผู้ปกครอง
- 8. 2. การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมยุโรปสมัยกลาง
หลังจากการล่ มสลายของจักรวรรดิโรมันในตะวันตก สภาพ
ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของยุโรปตะวันตกเต็มไปด้ วยความ
วุ่นวายจากการอพยพเข้ าของชนเผ่ าต่ างๆ แต่ ช่วงเวลานีกเป็ น
้็
ช่ วงเวลาแห่ งการสร้ างอารยธรรมใหม่ ขนด้ วยเช่ นกัน
ึ้
- 9. 2.1 ระยะตอนต้ น
เป็ นยุคแห่ งความยุ่งยากซึ่งบางครั งถูกเรี ยกว่ าเป็ นยุค
้
มืด (Dark Age)จักรวรรดิโรมันตะวันตกอยู่ในสภาพที่ป่าเถื่อนสงคราม
และความเดือดร้ อนมี อยู่ทุกหย่ อมหญ้ า
- 10. ด้ านการเมือง
เผ่ าเยอรมันได้ ตงอาณาจักรปกครองส่ วนต่ างๆของโรมัน ได้ แก่
ั้
1.) ชนเผ่ าแฟรงก์
2.) ชนเผ่ าออสโตรกอท
3.) ชนเผ่ าลอมบาร์ ด
4.) ชนเผ่ าแองโกล-แซกซัน
5.) ชนเผ่ าเบอร์ กันเดียน
6.) ชนเผ่ าวิสกอธ
ิ
7.) ชนเผ่ าแวนดัล
- 13. ระบบฟิ วดัล
หมายถึงที่ดนที่เป็ นพันธสัญญาระหว่ างเจ้ านายเป็ นเจ้ าของ
ิ
ที่ดนกับผู้ใช้ ประโยชน์ ในที่ดนที่เรียกว่ าข้ า พวกเจ้ าของที่ดนจะเป็ น
ิ
ิ
ิ
พวกขุนนางเรี ยกว่ า ลอร์ ด (Lord) ผู้ท่ ีอยู่ใต้ อานาจของขุนนางเรี ยกว่ า
ํ
วัสซัล (Vassal)
- 14. ด้ านสังคม
สังคมในช่ วงเวลาสมัยกลางตอนต้ นมีความวุ่นวายมาก ขาดระเบียบ
วินัยและความมั่นคงสังคมเมืองแทบสลาย ภาวะตกตํ่า ผู้คนทั่วไปอ่ านและ
เขียนหนังสือไม่ ได้ ยกเว้ นพระและนักบวช ในช่ วงเวลานีคริสต์ ศาสนาได้ เข้ า
้
มามีบทบาทสําคัญต่ อการดํารงชีวตของคนในยุคกลางตังแต่ เกิดจนถึงสินชีวต
ิ
้
้ ิ
ศาสนจักรจึงทําหน้ าที่แทนจักรวรรดิโรมันในการยึดเหนี่ยวประชาชนยุโรปไว้
และรั กษาวัฒนธรรมความเจริญต่ างๆสืบต่ อมา
- 15. 2.2 ระยะกลาง
เริ่มตังแต่ ค.ศ. 1000 – 1350 ช่ วงเวลานีเ้ ป็ นระยะเวลาแห่ งการ
้
เปลี่ยนแปลงเนื่องจากสังคมตะวันตกมีประชากรเพิ่มขึน คริสต์ ศาสนาและ
้
ระบบฟิ วดัลมีความเจริญรุ่ งเรื องสูงสุด และเริ่มมีการพัฒนาในหลายด้ าน ทัง
้
ด้ านเศรษฐกิจและสังคม รวมทังภูมปัญญา
้ ิ
- 17. 1. ความขัดแย้ งระหว่ างคริสตจักรกับจักรวรรดิ
แบ่ งแยกออกเป็ นฝรั่ งเศส เยอรมัน และอิตาลี โดยดินแดน
เยอรมันมีจักรพรรดิปกครองแต่ ไม่ มีอานาจมากนัก สันตะปาปา
ํ
จอห์ นที่ 12 จึงทรงสถาปนาพระเจ้ าออทโทที่ 1 ขึนเป็ นจักรพรรดิแห่ ง
้
จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สทธ์
ิ
- 18. ทังจักรพรรดิและสันตะปาปาต่ างอ้ างอํานาจในการปกครอง
้
ร่ วมกันในจักรวรรดิ จนในที่สุดสันตะปาปาก็ทรงประกาศว่ าศาสน
จักรมีอานาจเหนือจักรพรรดิทาให้ เกิดความขัดแย้ งระหว่ าง
ํ
ํ
สันตะปาปาขึน จักรพรรดิเป็ นฝ่ ายพ่ ายแพ้ ส่งผลให้ ขุนนางแต่ ละ
้
แคว้ นมีอานาจมากขึนระบบฟิ วดัลมีความแข็งแกร่ งมากขึน
ํ
้
้
การสวมมงกุฎให้ ดารง
ํ
ตําแหน่ ง จักรวรรดิ
์
โรมันอันศักดิสิทธิ์ จาก
พระสันตะปาปา
- 19. สําหรั บในอังกฤษและฝรั่ งเศส ศาสนจักรไม่ ค่อยแทรกแซง
การเมืองภายในของประเทศ ระบบกษัตริย์พยายามเพิ่มอํานาจของตนเอง
ทําให้ อานาจของขุนนางลดลงไป
ํ
- อังกฤษ เกิดความขัดแย้ งระหว่ างกษัตริย์และขุนนางในที่สุด
พระมหากษัตริย์ต้องยอมจํานนต่ อคณะขุนนางและพระได้ กลายมาเป็ น
รั ฐสภา
- ฝรั่ งเศส กษัตริย์กลับมีอานาจมากขึนเรื่ อยๆ จนในที่สุดกลาย
ํ
้
มาเป็ นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในที่สุด
- 20. 2. ระบบฟิ วดัลเจริญรุ่ งเรื องถึงขีดสุด
สแกนดิเนเวีย(พวกไวกิง) ได้ รุกรานจักรวรรดิของพวกแฟรงก์
้
การปองกันภัยตกเป็ นหน้ าที่ของพวกขุนนางท้ องถิ่นหรื อเจ้ าของที่ดน
้
ิ
ทําไห้ ขุนนางท้ องถิ่นสามารถสร้ างอิทธิพลของตนเองสามารถต่ อรอง
อํานาจกับกษัตริย์ฟิวดัลได้ มีการพัฒนาจนกลายเป็ นระบบการเมือง
เศรษฐกิจ และสังคม
- 21. ด้ านเศรษฐกิจ
การค้ าซบเซาระบบฟิ วดัลแต่ ละแมนเนอร์ มีระบบเศรษฐกิจที่
พึ่งตอนได้ เมื่อเกิดสงครามครู เสดระหว่ างคริสต์ ศาสนากับสาสนา
อิสลาม ช่ วงคริสต์ ศตวรรษที่ 11-12 เกิดความต้ องการทางสินค้ า
เศรษฐกิจเริ่มมีการขยายตัวอีกครั งพ่ อค้ าเริ่มมีการติดต่ อการค้ าระหว่ าง
้
ประเทศการค้ าทางทะเลเริ่มมีความเจริญรุ่ งเรืองขึนโดยเฉพาะในเขต
้
ทะเลเหนือและทะเลเมดิเตอร์ เรเนียน
- 22. - ผลจากการขยายตัวของการค้ า ทําให้ เกิดชุมชนการค้ าและ
อุตสาหกรรมชนบทละทิงที่นาเข้ ามาประกอบอาชีพค้ าขายหรื อ
้
ประกอบการผลิตสินค้ าเริ่มเกิดระบบเงินตราขึนมาใหม่ อีกครั ง
้
้
- การขยายตัวทางเศรษฐกิจยุตลงอีกครั งในคริสต์ ศตวรรษที่ 13ิ
้
14เนื่ องจากเกิดสงครามร้ อยปี ระหว่ างอังกฤษกับฝรั่ งเศสเกิดการแพร่
ระบาดของกาฬโรคมีประชากรเสียชีวตจํานวนมากถึง 1 ใน 3 ของ
ิ
ประชากรทังทวีป
้
- 23. ด้ านสังคม
หลังจากคริสต์ ศตวรรษที่ 11 ขยายตัวทางการค้ าและ
อุตสาหกรรมเจริญรุ่ งเรืองขึนแถบเมดิเตอร์ เรเนียนเริ่มเกิดชุมชน
้
เมืองขึนประกอบไปด้ วยชาวเมืองฟิ วดัลเป็ นคนรุ่ นใหม่ ท่ ีดาเนิน
้
ํ
ชีวตประกอบการค้ าและอุตสาหกรรมพวกพ่ อค้ าเริ่มมีอานาจมาก
ิ
ํ
ขึนคริสต์ ศาสนาได้ เจริญรุ่ งเรื องสูงสุดศาสนามีบาบาทสําคัญใน
้
การสร้ างความเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกันในยุโรป ประชาชนใน
อาณาจักรเข้ าด้ วยกันปลายคริสต์ ศตวรรษที่ 13 สถาบันศาสนาเริ่ม
เสื่อมลง
- 24. 2.3 ระยะปลาย
ช่ วงเวลานีเ้ ป็ นช่ วงระยะเวลาของการเปลี่ยนแปลงไปสู่
ความเป็ นสมัยใหม่ ทังด้ านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ศาสนาถูก
้
ลดบทบาทลง มีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในดินแดนต่ างๆ
ได้ แก่ ความเสื่อมของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สทธิ์ และการเกิดของ
ิ
รั ฐชาติในฝรั่ งเศส อังกฤษ และสเปน
- 26. สาเหตุสาคัญที่ทาให้ เกิดการก่ อความไม่ สงบ
ํ
ํ
1)ช่ องว่ างที่เพิ่มขึนระหว่ างคนจนและคนรวย
้
2) รายได้ ท่ ีลดลงของผู้มีฐานะดี
3) ภาวะเงินเฟอและภาษีท่ ีเพิ่มขึน
้
้
4) วิกฤติกาลภายนอกที่รวมทังความอดอยาก, โรคระบาด
้
5) ความกดดันจากสถาบันศาสนา
- 27. ด้ านเศรษฐกิจ
การค้ าจึงเริ่มฟื ้ นตัวขึนในยุโรปตะวันตกพ่ อค้ าเริ่มเดินทาง
้
ค้ าขายระหว่ างแหล่ งการค้ าต่ างๆ มีการสร้ างถนนหนทางและ
สะพาน การค้ าทางทะเลก็ก้าวหน้ าควบคู่ไปกับการค้ าทางบก มีการ
ตังศูนย์ กลางการค้ าในทะเลเมดิเตอร์ เรเนียน ทะเลเหนือ และทะเล
้
บอลติก สินค้ าต่ างประเทศหลั่งไหลเข้ ามาในยุโรป เช่ น ผ้ าไหม ข้ าว
ผลมะเดื่อ ฝาย เครื่ องเทศ และสินค้ าฟุ่ มเฟื อยต่ างๆทําให้ การค้ า
้
ขยายตัวอย่ างรวดเร็ว ความ เจริญรุ่ งเรืองทางการค้ าทําให้ บรรดา
พ่ อค้ ามั่งคั่งรํ่ารวย มีอานาจในทางเศรษฐกิจ มีบทบาททางสังคม และ
ํ
สามารถขยายอํานาจของตนสู่การเมือง