อาณาจักรโรมันตะวันตกล่มสลาย
- 6. การข่มเมงของชาวโรมัน ในไม่ช้า ความมวาดกลัวศาสนาคริสต์ของชาวโรมัน ได้นาไปสู่การเป็นศัตรูที่คุกรุ่น
ผู้ปกครองโรมันบางคนกล่าวมาชาวคริสเตียนทางการเมืองและปัญมาทางเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น
จักรพรรดิเนโร (มรือ นีโร –Nero) กล่าวมาว่าชาวคริสเตียนจุดไฟเผากรุงโรมจนราบเรียบเป็นส่วนมากใน
คริสต์ศักราช 64ในช่วงศตวรรษที่สอง การประมัตประมารชาวคริสต์ ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น มลายคนถูก
คุมขังมรือฆ่าเพราะศาสนาของพวกเขา กระนั้น คนเป็นจานวนมาก ก็ยังเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์
ชาวคริสเตียนพวกอื่น ๆ และแม้ผู้ที่ไม่คริสเตียนบางพวก ได้ยกย่องใม้ชาวคริสเตียนผู้ถูกข่มเมงว่าเป็นผู้ยอม
พลีชีพเพื่อศาสนา Martyrs คือ บุคคลที่มีความยินดีที่จะเสียสละชีวิตของพวกเขาเพื่อประโยชน์ของความ
เชื่อมรือความมุ่งมมาย ในระมว่างการข่มเมงของชาวโรมัน ผู้ยอมพลีชีพเพื่อศาสนาชาวคริสเตียนมักจะถูก
ฝังในสุสานใต้ดิน ที่เรียกว่า catacombs (สุสาน) ชาวคริสเตียน ได้รวมตัวกันในสุสานเพื่อเฉลิมฉลองงาน
ศพของผู้ยอมพลีชีพเพื่อศาสนา เช่นเดียวกับพิธีกรรมและพิธีอื่น ๆ
สุสานใต้ดินในกรุงโรมมีซอกฝังศพติดกาแพงและ
ภาพวาดพระเยซู
- 7. ศาสนาของโลก แม้จะมีการประมัตประมารเมล่าสาวกของศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสต์ก็ได้กลายเป็นมีพลัง
ที่ทรงประสิทธิภาพ ประมาณตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 2 มีชาวคริสต์ล้านคน อาศัยอยู่ในจักรวรรดิโรมัน
และไกลออกไป ศาสนาคริสต์เป็นที่นิยมด้วยเมตุผลมลายประการ เช่น
•ศาสนาโอบอุ้มทุกคน ทั้งชายและมญิง ผู้ที่เป็นทาส คนจนและขุนนาง
•ใม้ความมวังแก่ผู้มมดมนทาง
•จิตวิญญาณของความเชื่อทาใม้ผู้ที่ถูกรังเกียจจากรูปแบบการดาเนินชีวิตที่มรูมราของเศรษฐีชาวโรมันใม้
สนใจ
•ศาสนาคริสต์ใม้ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับความรักของพระเจ้า
•คาสอนของศาสนาคริสต์ส่งประกายใม้ชีวิตนิรันดร์มลังความตาย
ในขณะที่ศาสนาขยายตัว ชุมชนที่นับถือศาสนาคริสต์ใม้การสนับสนุนสมาชิกของพวกเขา ชาวคริสเตียน ได้
จัดตั้งโรงพยาบาล โรงเรียน และการบริการสังคม อื่น ๆ เป็นผลใม้ความเชื่อมั่นของพวกเขาดึงดูดเมล่าสาวก
มากยิ่งขึ้น ในไม่ช้าก็เร็ว จานวนของเมล่าสาวกจะรวมผู้ศรัทธาที่มีประสิทธิภาพมากใม้เป็นมนึ่ง
การเปลี่ยนศาสนาของจักรพรรดิคอนสแตนติน
ในคริสต์ศักราช 306 จักรพรรดิคอนสแตนติ (KAHN•stuhn•TEEN) กลายเป็นจักรพรรดิแม่งกรุงโรม ตอน
แรก จักรพรรดิคอนสแตนติอนุญาตใม้ประมัตประมารชาวคริสต์ อย่างไรก็ตาม ในคริสต์ศักราช 312
พระองค์ได้เปลี่ยนแปลงนโยบายที่มีต่อศาสนาคริสต์ ในขณะที่พระองค์กาลังต่อสู้กับคู่แข่งสามคนเพื่อการ
เป็นผู้นาของกรุงโรม
- 8. ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ ในท่ามกลางการต่อสู้ จักรพรรดิคอนสแตนติน ได้อธิษฐานเพื่อขอความช่วยเมลือ
มลังจากนั้น พระองค์ก็รายงานว่าได้มองเม็นไม้กางเขนของชาวคริสต์ในท้องฟ้าพร้อมกับคาพูดเมล่านี้: "ด้วย
สัญลักษณ์นี้ท่านจะพิชิต" พระองค์ได้สั่งทมารของพระองค์ นาสัญลักษณ์ไม้กางเขนไปติดไว้บนโล่และธงรบ
จักรพรรดิคอนสแตนตินและกองกาลังของพระองค์ได้ชัยชนะการต่อสู้ จักรพรรดิผู้ได้รับชัยชนะได้ใม้ความชื่อถือ
ว่าความสาเร็จของพระองค์มาจากพระเจ้าของศาสนาคริสต์
การใม้อานาจตามกฎมมายแก่ศาสนาคริสต์ จักรพรรดิคอนสแตนตินได้มยุดการประมัตประมารชาวคริสต์
ในทันที จากนั้นในพระราชกฤษฎีกาที่รู้จักกันว่า พระราชกฤษฎีกาแม่งมิลาน (Edict of Milan) พระองค์ได้ทา
ใม้ศาสนาคริสต์เป็นมนึ่งในศาสนาที่ต้องถูกตามกฎมมายของจักรวรรดิ จักรพรรดิคอนสแตนตินได้สร้างวิมาร ใช้
สัญลักษณ์คริสเตียนบนเมรียญ และทาใม้วันอาทิตย์เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ของการพักผ่อนและการเคารพบูชา แต่
จักรพรรดิที่นับถือศาสนาคริสต์ของกรุงโรมองค์แรก ได้ขยายเวลาการเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์อย่างเป็น
ทางการของพระองค์เองจนสิ้นสุดพระชนม์ชีพของพระองค์
แผนที่การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ในจักรวรรดิโรมัน
ค.ศ.600
- 9. ผู้สร้างประวัติศาสตร์จักรพรรดิคอนสแตนติน (มีชีวิตระมว่างคริสต์ศักราช 280 – 337)
ภาพโมเสกจักรพรรดิคอนสแตนติน
จักรพรรดิคอนสแตนตินเป็นนักรบที่อามมิตและประสบความสาเร็จ นอกจากนี้พระองค์ยังเป็นนักศึกษาผู้
เคร่งครัดศาสนาใมม่ของพระองค์ คือ ศาสนาคริสต์ พระองค์ได้เขียนคาอธิษฐานพิเศษสามรับกองกาลังของ
พระองค์และพระองค์ยังได้เดินทางไปพร้อมกับโบสถ์เคลื่อนย้ายในเต็นท์ จักรพรรดิคอนสแตนติออกคาสั่งใม้
สร้างโบสถ์คริสต์เป็นจานวนมากในจักรวรรดิโรมัน
จักรพรรดิคอนสแตนติน ได้ก่อตั้งเมืองคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople – ปัจจุบันนี้คือ กรุงอิสตันบูล,
ตุรกี) เป็นเมืองมลวงใมม่ เป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์เป็นเวลาถึงมนึ่งพันปีถัดมา พระองค์ถูกฝังอยู่ในโบสถ์
ของผู้เผยแพร่ศาสนาในกรุงคอนสแตนติโนเปิล ในคริสต์ศักราช 337 อนุสาวรีย์ที่อุทิศใม้กับอัครสาวก 12 คน
ล้อมรอบมลุมฝังศพของจักรพรรดิคอนสแตนติน จักรพรรดิคอนสแตนติน ซึ่งเป็นจักรพรรดิคริสเตียนคนแรก ถือ
- 10. ศาสนาคริสต์เปลี่ยนแปลงกรุงโรม ในคริสต์ศักราช 380 จักรพรรดิธีโอโดเซียส (Theodosius) ได้ทาใม้ศาสนา
คริสต์เป็นศาสนาอย่างเป็นทางการของกรุงโรม สิบเอ็ดปีต่อมา จักรพรรดิธีโอโดเซียส ได้ปิดโบสถ์ที่ไม่ได้เป็น
ศาสนาคริสต์ทั้งมมด พระองค์กล่าวว่า "ประชาชนทุกชาติที่เราปกครองควรจะปฏิบัติศาสนาที่ปีเตอร์อัครสาวก
ส่งไปยังชาวโรมัน"
การเริ่มต้นของนิกายโรมันคาธอลิก ศาสนาคริสต์ในเมืองโรมันได้รับเอาโครงสร้างทั่วไป พระสงฆ์และผู้ดูแลวัด
เชื่อฟังพระสังฆราช(bishops) มรือผู้นาคริสตจักรท้องถิ่น ตามประเพณีโรมันคาทอลิก บิชอปคนแรกของกรุง
โรม คือ อัครสาวกปีเตอร์ ต่อมา บิชอปผู้ใมญ่แม่งกรุงโรมจะกลายเป็นบาทมลวงที่สาคัญที่สุดมรือสมเด็จพระ
สันตะปาปา (Pope) นี่เป็นจุดเริ่มต้นของนิกายโรมันคาทอลิก นิกายศาสนาคริสต์นิกายมนึ่งที่ก่อรากฐานใน
กรุงโรม คาทอลิก (Catholic )มมายความว่า "สากล"
นักเขียนคริสเตียนในยุคแรกบางคน ที่ได้รับการเรียกว่าบิดาแม่งคริสตจักร ได้พัฒนาลัทธิความเชื่อมรือสภาวะ
ของความเชื่อ ลัทธิความเชื่อนี้ได้ทาใม้ความเชื่อเด่นขึ้นในรูปตรีเอกานุภาพ (สามรับชาวคริสเตียน ชาวคริสตัง
เรียกว่า ตรีเอกภาพ –Trinity) มรือการรวมกันเป็นมนึ่งในภาวะอันเป็นทิพย์สามภาวะ คือ พระบิดา พระบุตร
(พระเยซู) และพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพระเจ้าองค์เดียว ออกัสติน บิดาแม่งคริสตจักรจากแอฟริกาเมนือ สอน
ว่ามนุษย์ต้องการพระกรุณาคุณของพระเจ้าที่จะได้รับความคุ้มครอง ต่อมาเขาก็สอนว่าคนไม่สามารถที่จะ
ได้รับพระกรุณาคุณของพระเจ้าจนกว่าพวกเขาจะเป็นคริสตจักร
คริสตจักรยังได้พัฒนาพิธีกรรมทางศาสนาตามเมตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของพระเยซู การล้างบาป ซึ่งเป็นพิธี
การทาใม้บริสุทธิ์โดยน้า ได้ส่งสัญญาณการเข้ามาในคริสต์ของพระเยซู พิธีเป็นสัญลักษณ์การยอมรับผู้ศรัทธา
- 12. การเสื่อมโทรมและล่มสลายของจักรวรรดิ
ความอ่อนแอในจักรวรรดิ
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 1จักรวรรดิยังคงดูเมมือนจะแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนมีคนมากที่สุด แต่เริ่ม
จะมีปัญมาภายในคุกคามการดารงอยู่ของกรุงโรมมาเรื่อย ๆ
กรุงโรมไม่สามารถมยุดการบุกรุกของชนเผ่าเจอร์มานิกที่บุกมาเป็นระลอก ๆ ได้รูปปั้นทมารขี่ม้านี้เป็นชนเผ่า
เจอร์มานิก ที่เรียกกันว่า Lombards (ชนชาวแคว้นลอมบาร์ดี้)
ปัญมาด้านเศรษฐกิจ ปัญมาบางส่วนของกรุงโรมมาจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1
จักรวรรดิมยุดการขยายตัว การสิ้นสุดของชัยชนะครั้งใมม่มมายถึงการสิ้นสุดการขยายตัวไปยังแมล่งความ
มั่งคั่งแม่งใมม่ เป็นผลใม้รัฐบาลเพิ่มภาษี สร้างความยากลาบากใม้กับประชาชน การเสื่อมโทรมในภาค
เกษตรยังทาใม้จักรวรรดิอ่อนแออีกด้วย การศึกสงครามและการใช้มากเกินไปมีอย่างต่อเนื่องทาใม้พื้นที่
เกษตรถูกทาลาย นอกจากนี้เทคโนโลยีก็ไม่ได้รับการปรับปรุง เพราะเกษตรกรต้องพึ่งพาทาสมากกว่า
เครื่องมือใมม่ ๆ ในการทางาน ทาใม้เกิดการขาดแคลนอามาร อันก่อใม้เกิดจากความไม่สงบ
- 13. กาแพงเฮเดรียนในเกาะบริเตนเป็นเขตแดนทางตอนเมนือของจักรวรรดิโรมัน
ปัญมาทางด้านทมาร ในขณะเดียวกัน ครั้งมนึ่ง วงการทมารที่มีประสิทธิภาพของกรุงโรม เริ่มแสดงอาการมี
ปัญมา จักรวรรดิทาสงครามกับคนเร่ร่อนในภาคเมนือและตะวันออกเฉียงเมนืออยู่ตลอดเวลาและกับคนที่
อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนตะวันออกอีกด้วย โรมต้องการกองทัพขนาดใมญ่เพื่อรับผิดชอบต่อภัยคุกคาม
จานวนมากเช่นนั้น จึงได้ว่าจ้างทมารรับจ้างต่างประเทศ ทมารรับจ้าง (mercenary- MUR
•suh•NEHR•ee) คือ ทมารที่ได้รับจ้างวาน ทมารรับจ้างมักจะไม่มีความจงรักภักดีต่อจักรวรรดิ เมื่อเวลา
ผ่านไปทมารโรมันทั่วไปที่มีระเบียบวินัยและมีความจงรักภักดีมีจานวนน้อยกว่า พวกเขาใม้สัตย์ปฏิญาณจะ
จงรักภักดีไม่ใช่ต่อโรม แต่จะจงรักภักดีต่อผู้นาทมารแต่ละคน
- 14. ปัญมาทางด้านการเมืองและสังคม ขนาดที่แท้จริงของจักรวรรดิโรมันทาใม้ยากที่จะบริมาร เจ้ามน้าที่ของรัฐ
มีปัญมาในการรับข่าวเกี่ยวกับกิจการในภูมิภาคที่ม่างไกลของจักรวรรดิ นี่เองที่ทาใม้มันยากขึ้นที่จะทราบว่า
ที่ใดมีปัญมาเพิ่มขึ้น นอกจากนี้เจ้ามน้าที่ของรัฐมลายคนยังทุจริต แสวงมาเพียงเพื่อที่จะเสริมสร้างตัวเองใม้
ร่ารวย ปัญมาทางการเมืองเมล่านี้ได้ทาลายความรู้สึกความเป็นพลเมืองของผู้คน ชาวโรมันมลายคนไม่มี
ความรู้สึกในภาระมน้าที่ต่อจักรวรรดิอีกต่อไป ด้านอื่น ๆ ของสังคมโรมันยังได้รับความเดือดร้อนเช่นกัน
ค่าใช้จ่ายการศึกษาเพิ่มขึ้นจนชาวโรมันที่ยากจนเม็นว่ามันยากที่จะได้รับการศึกษา ประชาชนได้รับการ
พัฒนาทางด้านข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องประชาสังคมน้อยลง
กรุงโรมแบ่งออกเป็นตะวันออกและตะวันตก
การเปลี่ยนแปลงของจักรพรรดิที่เป็นไปเรื่อย ๆ
อย่างรวดเร็ว ทาใม้รัฐบาลอ่อนแออีกด้วย
ในช่วง 49 ปี ตั้งแต่ คริสต์ศักราช 235-284
โรมมีจักรพรรดิ 37 คน ในจานวนนี้34 คน
เสียชีวิตในสงครามกลางเมืองมรือถูกลอบ
สังมาร เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจักรพรรดิบ่อย
ขึ้น ชาวโรมันจึงมีความสานึกเล็กน้อยต่อการ
ปกครองที่เป็นระเบียบเรียบร้อย
- 15. การแบ่งแยกจักรวรรดิ ในคริสต์ศักราช 284 จักรพรรไดโอคลีเซียน (Diocletian - DY•uh•KLEE•shuhn)
ได้ยึดอานาจ พระองค์ได้ฟื้นฟูระเบียบใม้กับจักรวรรดิโดยการปกครองด้วยกาปั้นเมล็กและทนความขัดแย้ง
เล็ก ๆ น้อย ๆ ไดโอเชียนได้เปลี่ยนแปลงวิธีการใม้กองทัพดาเนินการโดยการวางกองกาลังอย่างถาวรที่
พรมแดนจักรวรรดิ นอกจากนี้เขายังแนะนาใม้ปฏิรูปเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น เพื่อช่วยในการเลี้ยงคนยากจน
พระองค์ยังคงราคาอามารใม้ต่าไว้
นอกจากนี้ไดโอเชียนได้ตระมนักว่าพระองค์ไม่สามารถปกครองอาณาจักรขนาดใมญ่ได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ ในคริสต์ศักราช 285 พระองค์ได้แบ่งอาณาจักรออกเป็นส่วนตะวันออกและส่วนตะวันตก
พระองค์เองปกครองส่วนทางทิศตะวันออก และได้เลือกพื้นที่นี้เพื่อความมั่งคั่งและการค้าขายที่ใมญ่ขึ้น
และใม้เป็นเมืองที่งดงาม ไดโอเชียนได้แต่งตั้งแม็กซิมิเลียน (Maximilian) ใม้ปกครองจักรวรรดิตะวันตก
บุรุษทั้งสองได้ปกครองเป็นเวลา 20 ปี
เมืองมลวงแม่งใมม่ ในคริสต์ศักราช 306 สงครามกลางเมืองได้ระอุไปทั่วจักรวรรดิ ผู้บัญชาการกองทัพสี่คน
ได้ต่อสู้เพื่อการควบคุมส่วนแบ่งทั้งสองส่วน มนึ่งในผู้บัญชาการเมล่านี้คือ คอนสแตนติน(Constatine) เขา
ได้เข้าควบคุมในช่วงสงครามกลางเมืองและกลายเป็นจักรพรรดิ
การกระทาที่สาคัญครั้งที่สองของคอนสแตนตินปรากฏในคริสต์ศักราช 330 เมื่อพระองค์ได้ย้ายเมืองมลวง
ของจักรวรรดิจากกรุงโรมไปยังเมืองกรีกโบราณ ชื่อ ไบแซนเทียม (Byzantium - bih•ZAN•shee•uhm)
คอนสแตนตินได้เปลี่ยนชื่อเมือง เป็นคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) ที่สี่แยกระมว่างตะวันออกและ
ตะวันตก เมืองได้ตั้งอยู่อย่างมั่นคงเพื่อการป้องกันและการค้าขาย เมืองมลวงแม่งใมม่ ได้ส่งสัญญาณการ
เปลี่ยนแปลงอานาจจากส่วนตะวันตกของจักรวรรดิไปยังส่วนตะวันออก
- 18. การบุกรุกและชัยชนะ ประชาชนดั้งเดิมจานวนมนึ่งและกลุ่มอื่น ๆ ได้อาศัยอยู่ทางชายแดนของกรุงโรม ชาว
โรมันดูมมิ่นกลุ่มคนเมล่านี้แต่ยังกลัวพวกเขา สามรับชาวโรมัน ประชาชนดั้งเดิมเป็นคนป่าเถื่อน สามรับ
ชาวโรมันโบราณ คาว่า อนารยชน (barbarian) มมายถึง บางคนที่เป็นคนดั้งเดิมและไม่มีวัฒนธรรม ชาว
โรมันใช้คานั้นกับใครก็ได้ที่อาศัยอยู่นอกอาณาจักร
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 3 กลุ่มชนดั้งเดิมนี้เริ่มผลักดันเข้าไปดินแดนโรมัน เมตุผลของการบุกรุก
แตกต่างกัน บางคนมามองมาดินแดนที่ดีกว่ามรือมาวิธีการที่จะมีส่วนร่วมกับความมั่งคั่งของกรุงโรม คน
อื่น ๆ เป็นจานวนมาก มนีกลุ่มผู้บุกรุกที่โมดร้ายจากเอเชียที่รู้จักกันว่าชาวฮั่น (Huns – เป็นประชากรส่วน
ใมญ่ในประเทศจีน)
กรุงโรมล่มสลาย ในคริสต์ศักราช 410 ประชาชนดั้งเดิม (คือชาวนอร์สเม็น มมายความว่า “ผู้มาจากทาง
เมนือ”และเป็นคาที่ใช้สามรับชนนอร์ดิคที่เดิมมาจากทางตอนไต้และตอนกลางของสแกนดิเนเวีย ชาว
นอร์สได้ตั้งถิ่นฐานและอาณาบริเวณการปกครองในดินแดนต่าง ๆ ที่รวมทั้งบางส่วนของมมู่เกาะฟาโร
อังกฤษสกอตแลนด์ เวลส์ ไอซ์แลนด์ ฟินแลนด์ ไอร์แลนด์ รัสเซีย อิตาลี แคนาดา กรีนแลนด์ฝรั่งเศส ยูเครน
เอสโตเนีย ลัตเวีย และ เยอรมนี)ได้โจมตีและปล้นกรุงโรม ปล้นมมายถึงการแย่งชิงมรือการถือเอาสิ่งต่าง ๆ
โดยการบังคับขู่เข็ญ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กอลยึดกรุงโรม เมื่อ 390 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งผู้เข้ามารุกราน
เป็นเผ่าเร่ร่อนที่เข้ามาสู่กรุงโรม ในที่สุด ชาวฮั่นก็จบุกรุกจักรวรรดิ ในคริสต์ศักราช 476 ชนเผ่าดั้งเดิมพิชิต
โรม ยุคนี้นับเป็นการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก