More Related Content
Similar to ประวัติศาสตร์ยุโรปกลาง ตอน เหตุการณ์สำคัญในสมัยยุโรปกลาง และอารยธรรมสมัยกลาง (7)
ประวัติศาสตร์ยุโรปกลาง ตอน เหตุการณ์สำคัญในสมัยยุโรปกลาง และอารยธรรมสมัยกลาง
- 4. สาเหตุทางด้านการเมือง
มีการเปลี่ยนอานาจในจักรวรรดิอาหรับเมื่อพวกเซลจุกเติร์ก (Seijuk Turk) เข้าไปมีอานาจ
ในจักรวรรดอิาหรับ ซงึ่เป็นศาสนาอิสลาม และใน ค.ศ. 1071 กองทหารพวกนีก้็ได้เข้ารุกรานจักรวรรดิ
ไบแซนไทน์ เมื่อจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไปแซนไทน์ได้ขอความช่วยเหลือไปยังคริสตจักรที่กรุงโรม
สันตะปาปาเออร์บันที่ 2(Urban II) เรียกประชุมผู้นาทางศาสนาและขุนนางที่มีอานาจในเขต
ต่างๆ ของฝรั่งเศสเพื่อให้ยุติการสู้รบแย่งชิงอานาจกัน และช่วยกันปกป้องศาสนาคริสต์ ซงึ่ในสมัยนัน้
สถาบันศาสนามีอานาจเหนือกว่าสถาบันกษัตริย์ จึงทาให้กษัติย์ต่างๆพากันเข้าร่วมสงครามครูเสดนี้
เป็นการตอบสนองนโยบายของสันตะปาปาเพื่อความมนั่คงทางการเมืองของตนด้วย
- 6. สาเหตุทางด้านศาสนา
สันตะปาปาทรงชักชวนและนาทัพในสงครามครูเสดครัง้ที่ 1 ผู้เข้าร่วมสงครามซงึ่มีจานวนมากมาจาก
ดินแดนต่างๆ ทวั่ยุโรป เพราะเชื่อว่าการไปรบเพื่อศาสนาจะเป็นการไถ่บาปที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่เสียชีวิตใน
สงครามครูเสดจะได้ขึน้สวรรค์ สันตะปาปาทรงให้สัญญาว่าทรัพย์สินและครอบครัวของนักรบครูเสดจะ
ได้รับความ คุ้มครองจากศาสนจักร นักรบที่มีหนีสิ้นจะได้รับการยกเว้นหนีแ้ละนักโทษคดีอาญาที่ไปร่วม
รบก็จะได้รับอภัยโทษด้วย และผลจากการชักชวนของพระสันตะปาปาทาให้ขุนนาง พ่อค้า และ
ประชาชนพากันเดินทางไปที่ดินแดนปาเลสไตน์
- 9. ซงึ่คนเหล่านีก้็มีเหตุผลอยู่หลายประการ คือ
1. ชาวยุโรปในสมัยนัน้มีความศรัทธาศาสนาอย่างแรงกล้า ทาให้คนจานวนมากเดินทางไปทา
สงคราม เนื่องจากจะได้ปลดเปลอื้งวิญญาณ และ สันตะปาปาทรงประกาศยกบาปให้กับคนพวกนี้
2. บุคคลที่ไม่มีที่ดินในยุโรป โดยเฉพาะขุนนางระดับล่าง และคนสามัญ ต้องการที่จะครอบครอง
ดินแดนตะวันออกกลาง
3. มีคนเป็นจานวนมากที่จะเดินทางไปแสวงโชค เพื่อความมงั่คงั่ในดินแดนตะวันออกกลาง
4. สงครามครูเสดได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะพ่อค้าในแหลมอิตาลี
ซึ่งได้รับผลประโยชน์จากการขนส่งทหารและเสบียง อาหารให้กับกองทัพครูเสดไปยังปาเลสไตน์
ขณะเดียวกันพ่อค้าเหล่านัน้ก็แสวงหาประโยชน์อื่นจากนักรบครูเสดด้วย ดังกรณีที่พ่อค้าเมืองเวนิส
(Venice) เสนอจะลดค่าขนส่งที่มีมูลค่าสูงให้กับกองทัพครูเสดหากยินดียกทัพไปตีเมือง ซารา (Zare)
ซงึ่เป็นเมืองท่าสาคัญบนฝั่งทะเลเอเดรียติก (Adriatic Sea) และเป็นคู่แข่งทางการค้าที่สาคัญของเว
นิส
- 11. ผลกระทบของสงครามครูเสด
ด้านการเมือง สงครามครูเสดส่งผลกระทบทางการเมืองอย่างกว้างขวาง กล่าวคือ
1. สงครามครูเสดทาให้ความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปและโลกมุสลิมเสื่อมลงเนื่องจากทัง้สองฝ่ายต่าง
มีอคติต่อกัน
2. การที่นักรบครูเสดบุกยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิลในสงครามครูเสดครัง้ที่ 4 ได้ทาให้จักรวรรดิไบ
แซนไทน์อ่อนแออย่างมาก กระทงั่ไม่อาจต้านทานการรุกรานของพวกออตโตมันเติร์กและล่มสลาย
ไปในที่สุด
3. สงครามครูเสดมีผลให้ระบบฟิวดัลของยุโรปเสื่อมลง เนื่องจากขุนนางและอัศวินซึ่งปกครอง
ดูแลแมเนอร์ของตนในเขตต่างๆ ต้องไปร่วมรบในสงครามครูเสด ทาให้กษัตริย์มีอานาจปกครอง
ดินแดนต่างๆ เพิ่มขึน้ ซงึ่รวมถึงการจัดเก็บภาษีจากราษฎรและการเกณฑ์ทัพ กระทงั่สามารถ
พัฒนารัฐชาติได้ในเวลาต่อมา
- 12. ด้านเศรษฐกิจ สงครามครูเสดส่งผลกระทบที่สาคัญทางเศรษฐกิจ คือ
1. หลังสงครามครูเสดยุติลงแล้ว พ่อค้ายุโรปโดยเฉพาะในแหลมอิตาลีประสบปัญหาการเดินเรือในเขต
ทะเลเมดิเตอร์ เรเนียน เพราะเมืองท่าบางแห่งอยู่ใต้อานาจของพวกมุสลิมซงึ่มีคติต่อชาวยุโรป
นอกจากนีพ้่อค้ายุโรปยังประสบปัญหาการขยายการค้ากับดินแดนตะวันออกตามเส้น ทางบกซึ่งต้อง
ผ่านดินแดนของพวกมุสลิม ดังนัน้ชาวยุโรปจึงต้องพัฒนาเส้นทางทะเล โดยเฉพาะการเดินเรืออ้อม
แอฟริกาไปยังเอเชียที่ประสบความสาเร็จในปลายคริสต์ ศตวรรษที่ 15 และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลง
ทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติในเวลาต่อมา
2. การติดต่อกับตะวันออกกลางในช่วงสงครามครูเสดทาให้ชาวยุโรปรู้จักบริโภคสนิค้า และผลิตภัณฑ์
จากตะวันออกกลาง เช่น ข้าว นา้ตาล มะนาว ผลแอปริคอต และผ้าป่านมัสลิน ซงึ่กลายเป็นสินค้าที่
ยุโรปนาเข้าเป็นประจา
- 13. ด้านสังคม สงครามครูเสดทาให้เกิดผลกระทบทางสังคม คือ
1. สงครามครูเสดได้เปิดโลกทัศน์ของชาวยุโรปเกี่ยวกับ “โลกตะวันออก” โดยเฉพาะคาวมก้าวหน้า
และเทคโนโลยีของชาวตะวันออก เช่น การใช้ดินปืนในการทาสงคราม ต่อมาชาวยุโรปได้นาความรู้นี้
ไปพัฒนาเป็นอาวุธปืนและสามารถทาสงครามชนะชาว เอเชีย ทาให้ยุโรปกลายเป็นมหาอานาจของ
โลก
2. นักรบครูเสดมาจากดินแดนต่างๆ ในสังคมของระบบฟิวดัลที่ไม่มีโอกาสรู้จักโลกภายนอกมากนัก
เมื่อได้พบปะเพื่อนนักรบอื่นๆ จึงได้แลกเปลี่ยนทัศนคติและองค์ความรู้ต่อกัน ทาให้เกิดการหล่อหลอม
ทางด้านวัฒนธรรมและความคิดของชาวยุโรป โดยเฉพาะในการแสดงออกทางความคิดการ
วิพากษ์วิจารณ์ และการเปิดรับแนวคิดใหม่ ซึ่งรากฐานของขบวนการมนุษย์นิยมที่เติบโตในสมัยฟื้นฟู
ศิลปวิทยาการ และยังเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอุดมการณ์เสรีนิยมของยุโรปสมัยใหม่
- 16. สาเหตุของสงคราม มีหลายประการ คือ
1.ความขัดแย้งในเรื่องดินแดนระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส
2.สิทธิในราชบัลลังก์ฝรั่งเศส เนื่องจากพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 มีพระราชมารดาเป็นเจ้าหญิงฝรั่งเศส
ใน ค.ศ. 1324 พระเจ้าชาลส์ที่ 4 แห่งฝรั่งเศส สนิ้พระชนม์โดยไม่มีทายาท ทาให้ราชวงศ์กาเป
เชียงสายตรงต้องสิน้สุดลง พระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษทรงเป็นพระนัดดาของพระเจ้าชาลส์
ที่ 4 เป็นพระญาติชายที่ใกล้ชิดที่สุดทางสายพระโลหิต จึงเป็นผู้มีสิทธิจะครองบัลลังก์มากที่สุด
แต่ขุนนางฝรั่งเศส ไม่ต้องการให้กษัตริย์อังกฤษมาปกครองฝรั่งเศส จึงอ้างกฏบัตรซาลลิคของชน
แฟรงก์โบราณว่า การสืบสันติวงศ์จะต้องผ่านทางผู้ชายเท่านัน้ และให้ฟิลิปเคานท์แห่งวาลัวส์ ที่
สืบเชือ้สายจากพระเจ้าฟิลิปที่ 3 ขึน้ครองราชย์เป็นพระเจ้าฟิลิปที่ 6 เป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์
วาลัวส์ ซึ่งเป็นสาขาของราชวงศ์กาเปเชียง
- 17. ในค.ศ. 1331 พระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ 3 ทรงยินยอมที่จะสละสิทธิ์ในบัลลังก์ฝรั่งเศสทัง้มวลแต่
ครองแคว้นกาสโคนีในค.ศ. 1333 พระเจ้าเอ็ดวาร์ดทรงทาสงครามกับสกอตแลนด์ ซึ่งเป็น
พันธมิตรกับฝรั่งเศสตามสัญญาพันธมิตรเก่า (Auld Alliance) ทาให้พระเจ้าฟิลิปที่ 6 ทรง
เห็นเป็นโอกาสจึงนาทัพบุกยึดแคว้นกาสโคนี แต่พระเจ้าเอ็ดวาร์ดทรงปราบปรามสกอตแลนด์
อย่างรวดเร็ว และหันมาตอบโต้พระเจ้าฟิลิปได้ทัน
พระเจ้าฟิลิปที่ 6
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3
- 19. สถานการณ์ของสงคราม
ในตอนแรกทัพเรือฝรั่งเศสสามารถโจมตีเมืองท่าอังกฤษได้หลายที่ แต่ลมก็เปลี่ยนทิศเมื่อทัพเรือ
ฝรั่งเศสถูกทาลายล้างในการรบที่สลุยส์ (Sluys) ใน ค.ศ. 1341 ตระกูลดรือซ์แห่งแคว้นบรีตตานีสูญสนิ้
พระเจ้าเอ็ดวาร์ดและพระเจ้าฟิลิปจึงสู้รบกันเพื่อให้คนของตนได้ครองแคว้น บรีตตานีในค.ศ. 1346
พระเจ้าเอ็ดวาร์ดทรงสามารถขึน้บกได้ที่เมืองคัง (Caen) ในนอร์มังดี เป็นที่ตกใจแก่ชาวฝรั่งเศส พระ
เจ้าฟิลิปแต่งทัพไปสู้ แต่พระเจ้าเอ็ดวาร์ดทรงหลบหนีไปประเทศภาคต่า (Low Countries) ทัพฝรั่งเศส
ตามมาทัน แต่พ่ายแพ้ยับเยินที่การรบที่เครซี (Crécy) ทาให้พระเจ้าเอ็ดวาร์ดต่อไปยึดเมืองท่าคาเลส์ข
องฝรั่งเศสและยึดเป็นที่มนั่บนแผ่นดินฝรั่งเศสได้ในค.ศ. 1347ใน ค.ศ. 1348 ระหว่างที่ฝรั่งเศสกาลังลุก
เป็นไฟด้วยสงคราม กาฬโรคก็ระบาดมาถึงฝรั่งเศสคร่าชีวิตผู้คนไปเป็นจานวนมาก
- 21. และสงครามก็ได้เริ่มขึน้อีกครัง้ ในสมัยของพระเจ้าชาลส์ที่ 5 แห่งฝรั่งเศสทรงสามารถบุกยึดดินแดน
คืนจากฝรั่งเศสได้ ด้วยความช่วยเหลือของขุนพลแบร์ทรันด์ เดอ เกอสแคลง (Bertrand de Guesclin)
องค์ชายเอ็ดวาร์ดทรงติดพันอยู่กับสงครามในสเปน จนทรงปลีกพระองค์มาฝรั่งเศสได้ในค.ศ. 1371
ฝ่ายอังกฤษตอบโต้โดยการปล้นสะดมทาลายล้าง (chevauchée) เมืองต่างๆของฝรั่งเศส แต่เดอเกอส
แคลงก็ไม่หลงกลองค์ ชายเอ็ดวาร์ดสนิ้พระชนม์ในค.ศ. 1376 พระเจ้าเอ็ดวาร์ดสนิ้พระชนม์ในค.ศ.
1377 และเดอเกอสแคลงสิน้ชีวิตในค.ศ. 1380 เมื่อผู้นาทัพสิน้ชีวิตไปหมดแล้ว สงครามก็สงบลงอีก
ครัง้ จนทาสัญญาสงบศึกในค.ศ. 1389
พระเจ้าชาลส์ที่5
- 22. สงครามร้อยปีหยุดยาวเพราะฝรั่งเศสตกอยู่ในสงครามกลางเมืองระหว่างตระกูลอาร์มันญัค
(Armagnac) และ ดยุคแห่งเบอร์กันดี เพราะพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 6 ทรงมีพระสติไม่สมประกอบ ทาให้แย่ง
อานาจกันปกครองบ้านเมือง และขอให้อังกฤษช่วย แต่อังกฤษเองก็กาลังมีสงครามกลางเมือง และเวลส์
และไอร์แลนด์ก่อกบฎ สกอตแลนด์บุกเมื่อ อังกฤษสงบแล้ว พระเจ้าเฮนรีที่ 5 ก็ทรงนาทัพบุกฝรั่งเศสใน
ค.ศ. 1415 และชนะฝรั่งเศสขาดรอยที่การรบที่อแกงคูร์ต ได้ดยุคแห่งเบอร์กันดีมาเป็นพวก และยึด
ฝรั่งเศสตอนเหนือไว้ได้ทัง้หมดในค.ศ. 1419 พระเจ้าเฮนรีทรงเฝ้าพระเจ้าชาลส์ที่ 6 แห่งฝรั่งเศสซงึ่ทรง
พระสติไม่สมประกอบ ทาสัญญาให้พระโอรสพระเจ้าเฮนรีขึน้ครองฝรั่งเศสเมื่อพระเจ้าชาลส์สนิ้พระชนม์
แต่ทัพสกอตแลนต์ก็มาช่วยขัดขวางเอาไว้ เมื่อพระเจ้าชาลส์สิน้พระชนม์ พระเจ้าเฮนรีที่6 แห่งอังกฤษ ก็
ขึน้เป็นกษัตริย์ฝรั่งเศส แต่ตระกูลอาร์มันญัคยังคงจงรักภัคดีต่อองค์รัชทายาทฝรั่งเศส
- 23. ใน ค.ศ. 1428 อังกฤษล้อมเมืองออร์เลียงส์ จึงทาให้เกิดวีรสตรีโจนออฟอาร์ค (Joan of Arc หรือ ฌานดาก) เสนอตัว
ขับไล่ทัพอังกฤษ
กล่าวว่านางเห็นนิมิตว่าพระเจ้าให้เธอปลดปล่อย ฝรั่งเศสจากอังกฤษ จนสามารถขับไล่ทัพอังกฤษออกไปได้ในที่สุด
ซงึ่สามารถเอาชนะอังกฤษได้หลายครัง้ และยังสามารถเปิดทางให้องค์รัชทายาทสามารถยึดเมืองแรงส์เพื่อราชาภิเษก
พระเจ้าชาลส์ที่ 7 นับเป็นจุดเปลี่ยนในสงครามร้อยปี แต่โยนแห่งอาร์คถูกพวกเบอร์กันดีจับได้จึงถูกศาลศาสนาตัดสินว่า
เป็นแม่มด จะต้องถูกลงโทษโดยการเผาทัง้เป็น วีรกรรมนีจึ้งถูกยกยอ่งและสร้างความคิดเรื่องชาตินิยมให้กับชาวฝรั่งเศส
- 26. ความเสื่อมของศาสนาในช่วงปลายสมัยกลาง
มีสาเหตุสาคัญ คือ
1. การเกิดลัทธิชาตินิยมและรัฐชาติก่อตัวขึน้ในสมัยยุโรปกษัตริย์สามารถปกครองขุนนางได้
2. ประชาชนสนับสนุนอานาจของกษัตริย์มากขึน้
3. เกิดการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างกษัตริย์ฝรั่งเศสกับสันตะปาปา
ซงึ่ชัยชนะเป็นของพระเจ้าฟิลิปที่ 4และได้แต่งตัง้พระสันตะปาปาองค์ใหม่
4. ความแตกแยกภายในของศาสนจักรอย่างรุนแรงจนถึงขัน้มีสันตะปาปา
2องค์ในเวลาเดียวกัน เหตุการณ์ในยุติลงแต่ก็ทาให้คริสตจักรอ่อนแอลง
5.ทาให้เกิดความแตกแยกและเสื่อมศรัทธาในหมู่คริสต์ศาสนิกชน
- 27. การสนิ้สุดสมัยกลาง
การค้าขยายตามเมืองต่างๆทวั่ยุโรป เกิดชนชัน้กลาง เช่น พ่อค้า แพทย์ ครู นักกฎหมาย แทรก
ระหว่างชนชัน้สูงอย่างพวกขุนนาง และชนชัน้ต่าอย่างชาวนาและช่างฝีมือ ระบบฟิวดัลของขุน
นางอ่อนแอลง ประชาชนสนใจที่จะแสวงหาความรู้นอกศาสนจักรจึงทาให้อานาจของสาสนจักร
เสื่อมลง และเริ่มสนใจอารยธรรมกรีกโบราณ และโรมัน ซงึ่นาไปสู่ยุคฟื้นฟูศิลปะ ทาให้แตกต่างจาก
สมัยกลางที่ศาสนาเข้ามามีอานาจอย่างมาก
- 30. สถาปัตยกรรม
• 1. แบบโรมาเนสก์ (Romannesque)
• 2. แบบกอทิก หรือ กอโกธิค (Gothic)
• ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงต่อการสร้างวัดและมหาวิหารในคริสต์ศาสนา โดยศิลปะแบบโร
มาเนสก์เจริญรุ่งเรืองในช่วงก่อนศตวรรษที่11 และในสมัยศตวรรษที่12-13 ซงึ่อยู่ใน
ช่วงเวลาแห่งตวามเจริญที่เรียกว่า สมัยกลางยุครุ่งโรจน์ (High middle
ages) ศิลปะโรมาเนสก์ก็พัฒนากลายเป็นศิลปะรูปแบบโกธิค
- 31. • แบบโรมาเนสก์ ( Romannesque ) สืบทอดจากโรมัน อาคาร
ประกอบด้วยประตูหน้าต่างโค้งกลมแบบสถาปัตนกรรมโรมัน กระเบือ้งปูพืน้ขนาด
ใหญ่ บานหน้าต่างเล็กและเรียวยาว กาแพงหนา บรรยากาศภายในทึมและมืด
ครึม้ มองภายนอกเหมือนป้อมปราการ มีภาพหินโมเสกประดับ อาจใช้เป็นที่หลบ
ภัยของประชาชนเมื่อเกิดอันตรายจากศัตรูได้ เป็นศิลปะที่เป็นแบบอย่างของการ
ก่อสร้างโดยทวั่ไปในระหว่างสมัยกลางตอนต้น
- 33. • แบบกอทิก ( Gothic ) พัฒนามาจากศิลปะแบบโรมาเนสก์ มีลักษณะโปร่งบาง
และดูอ่อนช้อยกว่า จุดเด่นคือใช้อิฐปูนคา้ยันข้างนอก และใช้เสาหินรองรับนา้หนัก
จากหลังคา ประตูหน้าต่างโค้งแหลมขนาดกว้างเพื่อแสงสว่างจะได้ส่องผ่านได้ บน
กาแพงสามารถประดับด้วยกระจกสี (stained glass) ขนาดใหญ่สีสัน
งดงาม ภายในประดับด้วยรูปแกะสลักของนักบุญตามลักษณะที่เหมือนจริงตาม
ธรรมชาติ
- 39. • วรรณกรรมทางศาสนาที่สาคัญและมีผลต่อแนวความคิดของคริสต์ศาสนิกชนในสมัยกลาง
ได้แก่
• เทวนคร (The City of God) เขียนโดยนักบุญออกัสติน (St. Augustine)
ในสมัยปลายจักรวรรดิโรมัน (ค.ศ. 345-430) เป็นเรื่องราวการสร้างโลกตามคริสต์ศาสนา
• มหาเทววิทยา (Summa Theologica) เขียนโดยนักบุญทอมัส อะไควนัส (St.
Thomas Aquinas) ค.ศ.1224-1274 ใช้สอนในวิชาเทววิทยาในมหาวิทยาลัย เป็น
เรื่องเกี่ยวกับความเชื่อและศรัทธาในคริสต์ศาสนาอย่างมีเหตุผล
- 40. วรรณกรรมทางโลกในสมัยกลาง อาจจะ แบ่งได้เป็น5 ประเภท
• 1.มหากาพย์ (epic) ในฝรั่งเศสเรียกว่า ชองซองเดอเจสต์ (Chanson de
Geste) เป็นเรื่องราวของวีรกรรมของวีรบุรุษที่สร้างไว้ในอดีต นิยมประพันธ์ด้วย
โคลงกลอน แพร่หลายใน คริสต์ศตวรรษที่ 11-12
- 41. • วรรณกรรมประเภทนีที้่สาคัญ ได้แก่ ชองซอง
เดอโรลองด์ (Chanson de
Roland) เป็นเรื่องราวการต่อสู้ของโร
ลองด์ ทหารคนสนิทของจักรพรรดิชาญเลอ
มาญ กับกองทัพของพวกซาราเซ็นที่เป็น
มุสลิมเดินทัพมาจากสเปนเพื่อพิชิตยุโรป
ตะวันตก กองทัพของโรลองด์ถูกพวกมุสลิม
โจมตีในเทือกเขาพิเรนีส และเสียชีวิตในสนาม
รบ สะท้อนถึงทัศนคติ ความกล้าหาญ ความ
เสียสละของนักรบ อุดมการณ์ จริยธรรม และ
ความมีศรัทธาในคริสต์ศาสนา จึงเป็นที่นิยม
ของชนชัน้สูงโดยเฉพาะพวกนักรบ
- 42. • 2.นิยายวีรคติ หรือนิยายโรมานซ์
(romance)
• เป็นเรื่องราวความจงรักภัคดีของอัศวิน
ต่อเจ้าและขุนนาง และความรักแบบ
เทิดทูนที่อัศวินมีต่อสตรี (courtly
love) ประพันธ์เป็นคากลอน เกิดใน
ยุโรปตะวันตก ในคริสต์ศตวรรษที่ 11-12
ต่อมาได้เจริญแพร่หลายในฝรั่งเศส
อังกฤษ และเยอรมัน
- 44. • 3.คีตกานท์ (lyric) เป็นบทร้อยกรองที่กล่าวถึงความในใจ แต่งบทกวีขับร้องกับ
พิณ นิยมบรรเลงในปราสาทราชสานัก เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักแบบเทิดทูนต่อสตรี
ผู้สูงศักดิ์ ได้รับอิทธิพลมาจากราชสานักของมุสลิม เกิดในฝรั่งเศสภาคใต้เมื่อกลาง
ศตวรรษที่ 12 โดยนักร้องที่เรียกตัวเองว่า ตรูบาดูร์ (Troubadour)
- 46. • 4.นิทานฟาบลิโอ (fabliau) เล่าเรื่องสัน้เป็นบทร้อยกรอง มุ่งเสียดสีสังคมใน
สมัยนัน้ มักจะเป็นเรื่องของนักบวชหรือเรื่องของสตรี เดิมเป็นนิทานของฝรั่งเศส แต่
มีปรากฏในวรรณกรรมอังกฤษด้วย
- 47. • เล่มที่สาคัญ ได้แก่ แคนเทอร์เบอรีเทลส์ (The Canterbury Tales)
ของเจฟฟรีย์ ชอเซอร์ (Geoffrey Chaucer) กวีชาวอังกฤษ เป็นโคลง
เล่าเรื่อง 24 เรื่องที่นักจาริกแสวงบุญเล่าสู่กันฟังในช่วงพักแรมระหว่างการเดินทาง
ไปแสวงบุญ ณ ที่ฝังศพของ นักบุญทอมัส เบ็คเก็ต ในแคนเทอร์เบอรีเทลส์ เรื่องราว
สะท้อนให้เห็นถึงนิสัยและบุคลิกของปุถุชนคนธรรมดาซึ่งมีต่างกัน
- 48. 5.นิทานอุทาหรณ์ หรือนิทานสัตว์ (fable)
• เป็นนิทานร้อยแก้วหรือร้อยกรองในลักษณะนิทานอีสป (Aesop) ที่มีชื่อเสียง
ที่สุดคือ นิทานชุดโรมานซ์ออฟรีนาร์ด (The Romance of Renard)
เริ่มแต่งในฝรั่งเศสสมัยคริสต์ศตวรรษที่12 และมีผู้แต่งต่อๆ มาเรื่อยๆ จนถึง
คริสต์ศตวรรษที่14 เป็นเรื่องเกี่ยวกับ สุนัขจิง้จอกชื่อรีนาร์ด มีเนือ้หาเสียดสีสังคม
ฝรั่งเศสสมัยกลาง และในตอนที่แต่งระยะหลังประณามระบบฟิลดัล กระบวนการ
ยุติธรรม และวงการศาสนาอย่างรุนแรง
- 50. • ในราวคริสต์ศตวรรษที่11 การค้าได้ฟื้นตัวอีกครัง้ และทาให้เกิดการฟื้นตัวของเมือง
เก่าที่เคยรุ่งเรืองสมัยจักรวรรดิโรมัน กับการเกิดเมืองใหม่ๆ ในคาบสมุทรอิตาลีถึง
คาบสมุทรสแกนดิเนเวีย จนถึงยุโรปตะวันออก กลายเป็นศูนย์กลางการค้าและ
วัฒนธรรมของยุโรป เกิดสมาคมอาชีพ(Guild) ระบบการเก็บภาษีอากร เกิดการ
ปกครองแบบท้องถิ่นที่เรียกว่า เทศบาล เกิดตลาดนัดงานแสดงสินค้า (fair) เกิด
ธนาคาร ฯลฯ
- 54. • ในคริสต์ศตวรรษที่ 11-12 มหาวิทยาลัยเกิดขึน้จากการขยายตัวและพัฒนาการของ
โรงเรียนวัด (monastery school) ซงึ่เป็นสถานที่อบรมสงั่สอนพระหรือ
นักบวช และโรงเรียนมหาวิหาร (cathedral school) ซึ่งเป็นสถานที่ให้
การสงั่สอนทัง้นักบวชและประชาชนทวั่ไปโดยมีมหาวิทยาลัยปารีสเป็นผู้นาทาง
ภาคเหนือ และมหาวิทยาลัยโบโลญญาเป็นผู้นาให้ยุโรปทางใต้
- 55. • นักศึกษาส่วนใหญ่เป็นพระหรือลูกหลานของขุนนางและพ่อค้า มหาวิทยาลัย
เจริญเติบโตในเวลาอันรวดเร็ว อันเนื่องมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเมือง
สงครามครูเสด และการรับความรู้ใหม่ๆ จากทางยุโรปตะวันออกและเอเชียไมเนอร์
เช่นวิชาปรัชญา คณิตศาสตร์ แพทยศาสตร์ นิติศาสตร์ ซึ่งเป็นศาสตร์ที่สูญหายไป
จากยุโรปตะวันตกตัง้แต่การล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน
- 56. • มหาวิทยาลัยในระยะแรกเริ่มมีหลักสูตรที่แน่นอน และนาเอาระบบสมาคมอาชีพมา
ใช้ในการฝึกหัดนักศึกษา การศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยในสมัยกลางเจริญ
แพร่หลายอย่างกว้างขวาง เมื่อสนิ้สมัยกลางปรากฏว่ามีมหาวิทยาลัยในยุโรปทัง้สิน้
กว่า 80 แห่ง
• มหาวิทยาลัยหลายแห่งในยุโรปที่ตัง้ในสมัยกลาง เช่น มหาวิทยาลัยปารีส
โบโลญญา ปาตัว ออกซฟอร์ด และเคมบริดจ์ ยังคงเป้นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง
ตราบเท่าทุกวันนี้