More Related Content
Similar to กำเนิดรัฐชาติ (20)
กำเนิดรัฐชาติ
- 2. รัฐชาติ หมายถึง ชุมชนทาง
การเมืองที่ประชาชนมีความรู้สึก
ผูกพันและภาคภูมิใจ มีความ
จงรักภักดีต่อประเทศชาติ และ
รัฐบาลของตนเอง โดยรัฐชาติต้องมี
เอกภาพทางการเมือง อา นาจ
อธิปไตย ดินแดนอาณาเขตที่ชัดเจน
http://www.kledthaishopping.com/product
.detail_19574_th_3563476
รัฐชาติ
- 4. 1.การขยายตัวทางเศรษฐกิจการค้า
• การเปิดเส้นทางการค้า ทา ให้เกิดการครอบครอง
ดินแดนใหม่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15-16
• การค้าขยายตัวขึ้น ทองคา และเงินจากดินแดน
ต่าง ๆ ได้หลั่งไหลเข้าสู่ดินแดนยุโรป
http://www.tnews.co.th/html/allnews/ข่าวเศรษฐกิจ/11-
page20.html
ทองคา และเงิน
- 6. 2.ความเสื่อมของขุนนาง
• ช่วงต้นสมัยใหม่ ขุนนางในระบบฟิวดัลอ่อนแอลง
เพราะบาดเจ็บและล้มตายจากการรบในสงครามครู
เสดเป็นจา นวนมากและยังหมดสิ้นเงินไปกับการทา
สงคราม
• ภาวะเงินเฟ้อทา ให้ขุนนางต้องขายทรัพย์สินให้แก่
พ่อค้า ขุนนางจึงยากจนลง ไม่สามารถสะสมกา ลังใน
การสร้างความวุ่นวายให้กษัตริย์ได้อีกต่อไป
- 10. • คริสต์ศตวรรษที่ 15 และ 16 ฝรั่งเศส โปรตุเกส สเปน
และอังกฤษ เป็นประเทศที่มีความเป็นรัฐชาติก่อน
ประเทศ เพราะการล่มสลายของระบบศักดินาสวามิภักด์ิ
(ระบบฟิวดัล) มีความเป็นรัฐ มีเอกภาพ
• ฝรั่งเศส โปรตุเกส สเปน และอังกฤษ ปกครองใน
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่มีพระมหากษัตริย์
ปกครองประเทศ ด้วยพระราชอา นาจที่เด็ดขาด มีการ
รวมอา นาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ประชาชนจงรักภักดีต่อ
พระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของประเทศ
- 12. สาเหตุที่เกิดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
การที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เติบโตขึ้นมาได้ มาจากสาเหตุ
หลายประการ ได้แก่ ความเสื่อมของระบบฟิวดัล รวมทั้งผลของสงครามครู
เสดและสงครามร้อยปี ทา ให้ขุนนางหมดอา นาจลงและกษัตริย์มีอา นาจเพิ่มขึ้น
การพัฒนาด้านการค้า การแสวงหาดินแดนอาณานิคม และนโยบายการค้าแบบ
พาณิชยนิยม พวกพ่อค้านายทุนมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการค้า ทา ให้พวกนี้
สนับสนุนรัฐบาลกลางที่เข้มแข็ง ที่มีอา นาจในการคุ้มครองกิจการของพวกตน
สาเหตุเหล่านี้ทา ให้ฐานะของกษัตริย์มีความมั่นคงขึ้น เนื่องจากมีรายได้ที่
เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การปฏิรูปทางศาสนา ยังทา ให้คริสตจักรแตกแยก และ
อ่อนแอลง อา นาจของสันตะปาปาลดลง ประชาชนจึงหันมาชื่นชมชาติภูมิของ
ตนและจงรักภักดีต่อกษัตริย์ ส่งผลให้สถาบันกษัตริย์มีอา นาจเพิ่มมากขึ้น
- 18. 1. ทฤษฎีเทวสิทธ์ิ (The Devine Theory)
• เป็นทฤษฎีที่เก่าแก่ที่สุดในทฤษฎีกา เนิดรัฐ
• เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ดลบันดาลให้เกิดรัฐ เป็นผู้สร้างรัฐ
• กษัตริย์ได้รับอา นาจโดยตรงจากพระเจ้า กษัตริย์
ปกครองโดยได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้าโดยตรง
ดังนั้นกษัตริย์หรือผู้ปกครองย่อมมีอา นาจเด็ดขาด
แท้จริง
• นักทฤษฎีเทวสิทธ์ิ ที่สา คัญคือ
-ฌอง โบแดง (Jean Bodin)
- 19. ฌอง โบแดง (Jean Bodin)
• เป็นนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส
• “ตา รา 6 เล่ม ว่าด้วยรัฐ” (Six Books Concerning the State) และ
“วิธีทา ความเข้าใจกับประวัติศาสตร์”(Method for the Easy
comprehension of History)
• กล่าวย้า ความมีอา นาจของรัฐบาลกลาง
• การมีอา นาจสูงสุดของสถาบันกษัตริย์ในการปกครองประเทศ
กษัตริย์มีหน้าที่รับผิดชอบต่อพระเจ้าตามที่ได้พระราชทาน
อา นาจเทวสิทธ์ิมาให้ปกครองประเทศ ตามหลักการเทวสิทธ์ิ
- 21. 2. ทฤษฎีสัญญาประชาคม
(The Social Contract Theory)
• เชื่อว่าอา นาจอธิปไตยเป็นของปวงชน เพราะเชื่อว่ามนุษย์
เป็นผู้สร้างรัฐ โดยมนุษย์ยินยอมร่วมกันทา สัญญาประชาคม
( Social Contract)
• นักทฤษฎีสัญญาประชาคมที่สา คัญคือ
–โธมัส ฮอบส์(Thomas Hobbes)
–จอห์น ล็อก (John Locke)
–จัง จ๊าคส์รุสโซ (Jean Jaques Roussuau)
- 22. โธมัส ฮอบส์(Thomas Hobbes)
• มีแนวคิดส่งเสริมอา นาจเด็ดขาดของกษัตริย์ และมุ่งให้รัฐบาลมีอา นาจ
โดยสมบูรณ์ ซึ่งก็คือสมบูรณาญาสิทธิราช เนื่องจากเชื่อว่าเป็นระบอบที่
มีความมั่นคงและมีความเป็นระเบียบที่สุด
• เริ่มแรกมนุษย์ยังไม่เป็นสังคม แยกกันอยู่ในสภาพธรรมชาติซึ่งโดด
เดี่ยว ยากจน น่าเกลียด โหดร้าย ซึ่งสภาพแบบนี้ไม่มีความรับผิดชอบ
ไม่มีความยุติธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของคนที่แสวงหามาได้ เป็น
สงครามที่มนุษย์ทุกคนต้องกระทา เพื่อความอยู่รอดของตน ซึ่งไม่ผิด
อะไรกับคนป่าเถื่อน
• ตามความเชื่อของฮอบส์มนุษย์จึงตกลงทา สัญญาประชาคมภายใต้องค์
อธิปัตย์
- 23. โธมัส ฮอบส์(Thomas Hobbes) (ต่อ)
• องค์อธิปัตย์ไม่ใช่คู่สัญญา เพราะไม่ได้ร่วมทา สัญญา
ด้วย ประชาชนเป็นผู้มอบอา นาจให้องค์อธิปัตย์
ปกครองโดยความสมัครใจของตนเอง
• สัญญาประชาคมมีลักษณะถาวรและเรียกคืนไม่ได้
และบอกเลิกไม่ได้
• ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากสัญญาควรจะเป็นองค์อธิปัตย์
และสนับสนุนอา นาจสูงสุดของสภานิติบัญญัติ
• เจ้าของหนังสือ “รัฏฐาธิปัตย์” (Leviathan) เป็นตา รา
ปรัชญาการเมืองรัฐศาสตร์เล่มแรกของโลก
- 25. จอห์น ล็อก (John Locke)
• อธิบายให้เห็นถึงสภาพธรรมชาติกับสภาพของสังคมที่มีการจัด
ระเบียบดีแล้ว โดยชี้ให้เห็นถึงความไม่สมบูรณ์ของสภาพธรรมชาติ
• ในสภาพธรรมชาติ มนุษย์เป็นผู้ตัดสินคดีในกรณีที่มีความผิด แต่มี
ข้อบกพร่องคือ คา พิพากษาอาจไม่มีความยุติธรรมเพียงพอ ไม่มี
กา ลังเพียงพอที่จะบังคับคดี และบางคดีที่คล้ายกัน โทษที่ได้รับอาจ
แตกต่างกัน
• มีวิธี 3 ประการคือ การจัดตั้งศาล เพื่อตีความกฎหมายอย่างยุติธรรม
การจัดตั้งฝ่ายบริหาร เพื่อรักษากฎหมาย และการจัดตั้งฝ่ายนิติ
บัญญัติ เพื่อกา หนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการพิพากษาคดีต่างๆ
- 26. จอห์น ล็อก (John Locke) (ต่อ)
• มนุษย์จา เป็นต้องสละสิทธิให้องค์กรที่จัดตั้งขึ้น เพื่อทา หน้าที่
แทนทุกคน ทั้งนี้ต้องให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่สังคม ขั้นตอน
ทั้งหมดนี้กล่าวได้ว่าเป็นสัญญา
• คัดค้านการมีอา นาจสูงสุดของสภานิติบัญญัติ รัฐสภาต้องใช้
อา นาจอย่างจา กัดเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของสังคม อา นาจของ
รัฐสภาเป็นเพียงอา นาจที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น อา นาจสูงสุด
ยังเป็นของประชาชน ซึ่งสามารถยุบสภาได้
• สนับสนุนให้เอกชนมีสิทธิในทรัพย์สิน ซึ่งเป็นเป็นการปกป้อง
สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล
• สังคมเกิดมาได้โดยการยินยอมสมัครใจของสมาชิกสังคม ซึ่ง
ปกครองโดยเสียงข้างมาก
- 28. จัง จ๊าคส์รุสโซ (Jean Jaques Roussuau)
• ยอมรับความคิดของล็อกในเรื่องสภาพธรรมชาติและอยู่
ภายใต้กฎธรรมชาติ
• ในสภาพธรรมชาติ มนุษย์เป็นคนดี มีความเห็นอกเห็นใจใน
ความทุกข์ยากของผู้อื่น
• มนุษย์โดยสภาพธรรมชาติมีความรู้สึกอยากอยู่ร่วมกันใน
สังคม ด้วยเหตุนี้สังคมมีเจตนารมณ์ทั่วไป ซึ่งเป็นการพิทักษ์
รักษา และให้สวัสดิการแก่ส่วนรวม และเป็นแหล่งที่มาของ
กฎหมายทั้งมวล และเป็นตัวกา หนดความสัมพันธ์ระหว่าง
สมาชิกของสังคม
- 29. จัง จ๊าคส์รุสโซ (Jean Jaques Roussuau)
• เจตนารมณ์เกิดขึ้นภายหลังจากการรวมเป็นสังคม และเป็นสิ่ง
สูงสุดภายในรัฐ โดยรัฐเป็นเพียงตัวแทนของเจตนารมณ์ ซึ่ง
เจตนารมณ์ก็คืออา นาจอธิปไตยนั่นเอง
• รัฐบาลสมควรให้เอกชนมีสิทธิเสรีภาพตามสมควรภายใต้กรอบ
กฎหมาย รัฐต้องมีหน้าที่ปกป้องเสรีภาพของประชาชน
นอกเหนือจากปกครองและรักษากฎหมาย
• สิ่งที่ถูกต้องคือสิ่งที่กระทา โดยเจตนารมณ์ทั่วไป สิ่งใดผิดจึง
ไม่ใช่เจตนารมณ์ทั่วไป
- 31. 3.ทฤษฎีพละกาลัง (The Force Theory)
• การปกครองเกิดขึ้นจากการยึดครองและการบังคับ
• รากฐานของรัฐคือความอยุติธรรมและความชั่วร้าย และ
ได้สร้างกฎเกณฑ์เสมือนว่าชอบด้วยกฎหมายในการ
จา กัดสิทธิของบุคคลอื่น
• ศาสนจักรในสมัยกลางเห็นว่าอาณาจักรโรมันก่อตั้ง
ขึ้นมาโดยแสนยานุภาพ และเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง
• ในปลายศตวรรษที่ เห็นว่าแสนยานุภาพของรัฐเป็น
สิ่งจา เป็นและมีความชอบธรรม ซึ่งสะท้อนให้เห็นจาก
ลัทธิอาณานิคม
- 32. 4.ทฤษฎีธรรมชาติ (The Natural Theory)
• ชาวกรีกโบราณเชื่อว่ามนุษย์ไม่สามารถแยกตัวจากรัฐได้
• กิจกรรมการเมืองของมนุษย์เป็นเรื่องธรรมชาติ และมนุษย์
กับการเมืองเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก
• รัฐเป็นธรรมชาติมีการเจริญเติบโตซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ และรัฐ
เปรียบเสมือนสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง สะท้อนให้เห็นได้ในปลาย
ศตวรรษที่ จากลัทธิอาณานิคม
• นักทฤษฎีธรรมชาติที่สา คัญคือ
–อริสโตเติล
- 33. อริสโตเติล (Aristotle)
กล่าวว่ามนุษย์โดยธรรมชาติ
นั้นเป็นสัตว์การเมืองผู้ซึ่งสามารถ
สร้างความสาเร็จให้กับตนเอง
มนุษย์ที่ไม่ได้อาศัยในรัฐจะเป็นพระ
เจ้าหรือสัตว์อย่างใดอย่างหนึ่ง
http://www.ku.ac.th/e-magazine/april44/book/book1.html
แนวคิดทางปรัชญาการเมืองของอริสโตเติล
http://www.thaigoodview.com/node/87487
อริสโตเติล
- 34. จัดทาโดย
1. นางสาวณภาภัช ประชาอนุวงศ์ เลขที่ 1
2. นางสาววรินธร ลิมปนากร เลขที่ 33
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6.5
เสนอ
อาจารย์ปรางค์สุวรรณ ศักด์ิโสภณกุล