STDs
อาจารย์กรกช เพทาย
อาจารย์ประจาหลักสูตร ปวส.ปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์
Sexually transmitted diseases (STDs)
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์หรือโรคส่งผ่านทางเพศสัมพันธ์ (Sexually
transmitted disease; STDs) อาจเรียกว่า "กามโรค" (Venereal
disease) หรือ "วีดี"
เกิดขึ้นจากการติดต่อกันผ่านทางเพศสัมพันธ ์
• ทางช่องคลอด
• ทางปาก
• ทวารหนัก กับผู้ที่กาลังมีเชื้อ
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์
 สามารถเกิดใครได้บ้าง
 เกิดจากเชื้ออะไร
 ป้ องกันได้อย่างไร
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์
 อันตรายหรือไม่
 รักษาใช้เวลานานเท่าไร
 หายขาดหรือไม่
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์
เป็นโรคที่สามารถเป็นได้ทุกเพศ ทุกวัย
 พบในหมู่วัยรุ่น เนื่องจากวัยรุ่นในปัจจุบัน นิยมมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงาน โดยที่
ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันตัวเอง
 พบในหญิงชายที่มีครอบครัวแล้ว เนื่องจากมีพฤติกรรมนอกใจ
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์
แบ่งออกได้หลายวิธี เช่น
1. การแบ่งตามชนิดของเชื้อที่เป็ นต้นเหตุของ
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์นั้น ๆ ได้แก่
 เชื้อแบคทีเรีย
 เชื้อไวรัส
 เชื้อรา
 พยาธิ หรือ
2. อาจจะแบ่งโดยใช้อาการของผู้ป่ วย เช่น การมีแผล
ที่อวัยวะเพศ การมีตกขาวที่มีลักษณะที่
ผิดปกติ การมีไข้ร่วมกับการปวดท้องน้อย เป็ นต้น
ทั้งนี้แล้วแต่ประโยชน์ที่จะนาไปใช้ในการดูแลรักษา
ผู้ป่ วย
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์บางโรคก็สามารถ
ติดต่อโดยทางอื่นได้
 โรคภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากเชื้อเอดส์ ซึ่งจะ
ติดต่อได้โดยการมีเพศสัมพันธ ์กับผู้ติดเชื้อหรือ
ผู้ป่ วยแล้ว ยังสามารถติดต่อได้โดยผ่านทางเลือด
- กลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นเลือดซึ่งใช้
เข็มและหลอดฉีดยาร่วมกัน
- สามารถติดเชื้อจากมารดาไปยังทารกในครรภ์
ได้อีกด้วย
สาหรับอาการของผู้ป่ วยที่ติดโรคติดต่อทาง
เพศสัมพันธ ์อาจจะไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ หรือ
อาจจะมีอาการตกขาวลักษณะผิดปกติ มีแผลที่
อวัยวะเพศ ปัสสาวะขัดหรือมีความผิดปกติใน
ระบบอื่นของร่างกายก็ได้
ทั้งนี้ แล้วแต่ชนิดของเชื้อ และระยะของ
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์ที่เป็ นอยู่
อาการใดที่สงสัยเป็ นโรคติดต่อ
ทางเพศสัมพันธ ์
หากมีอาการเหล่านี้สามารถสงสัยได้
ว่าเป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์
- ในผู้ชาย จะมีอาการปัสสาวะ
แสบขัด ขาหนีบบวม หรือเป็นฝี เจ็บปวดอวัยวะ
เพศ มีผื่น ตุ่ม แผล บริเวณอวัยวะเพศ มีเมือกใส
หรือหนองไหลออกมา
- ในผู้หญิง จะรู้สึกเจ็บ เสียว
ท้องน้อย ขาหนีบบวม หรือเป็นฝี เจ็บปวด คัน
อวัยวะเพศ มีผื่น ตุ่ม แผลบริเวณอวัยวะเพศ มีตก
ขาวสีเหลือง มีกลิ่นเหม็น
การรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์
มีหลายวิธี โดยมีหลักการ
 กาจัดเชื้อทั้งหมดในร่างกาย ลดการทุกข์ทรมานจาก
การเจ็บป่ วย
 ป้ องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
 การป้ องกันการกลับมาเป็ นซ้าและส่งต่อเชื้อไปยัง
บุคคลอื่น ๆ ด้วย
ยาที่ใช้ในการรักษามีหลายชนิด
ได้แก่ ยารับประทาน ยาฉีด ยาเหน็บช่องคลอด เป็ นต้น
ระยะเวลาที่ใช้ในการรักษา
ขึ้นกับชนิดและระยะของโรค
การรักษาด้วยยา ขนาดเท่าใด เป็ นเวลานานเท่าใด อยู่ใน
ดุลยพินิจของแพทย์ การซื้อยารับประทานเองอาจจะทาให้
ไม่หายขาดจากโรค หรืออาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคที่
เป็ นหรือยาที่ใช้
มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์บางโรค
ที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เช่น
โรคภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากเชื้อเอดส์
ซึ่งการรักษามุ่งที่จะประคับประคองผู้ป่ วย
ป้ องกันจากภาวะแทรกซ้อนการติดเชื้อซ้า
เติมและการป้ องกันการส่งเชื้อไปยังบุคคล
อื่น ๆ อีก
อันตรายต่างๆ จากโรค รวมทั้งการรักษาที่ยากลาบาก
หรือไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
“การป้ องกันการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์จึงนับว่ามี
ความสาคัญอย่างยิ่ง”
แพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ทาง
สาธารณสุขควรที่จะให้ความรู ้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวแก่
บุคคลทั่วไป
1. แบคทีเรีย ได้แก่ โกโนเรีย หรือหนอง
ในแท้/โรคหนองใน, ซิฟิ ลิส /โรค
ซิฟิ ลิส, คลามัยเดีย (Chlamydia
infection) หรือหนองในเทียม
2. พยาธิ ชนิด ทริโคโมแนส
(Trichomonas vaginalis)
3. ไวรัส ได้แก่เชื้อ Human
papillomavirus/HPV/เอชพีวี
เชื้อเริม/เริมที่อวัยวะเพศ, เชื้อเอดส์/โรค
เอดส์หรือ Human immunodeficiency
virus/HIV/
เอชไอวี
เชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรคติดต่อ
ทางเพศสัมพันธ ์....มีดังนี้
การมีกิจกรรมทางเพศเป็ นกลไกสาคัญที่ทาให้เกิดการติด
โรค แต่ เชื้อโรคบางประเภทอาจติดเชื้อได้ถึงแม้จะไม่มี
กิจกรรมทางเพศก็ตาม เช่น
1) ไวรัสตับอักเสบ ชนิดเอ
2) ไวรัสตับอักเสบ บี
ที่อาจติดต่อจากการให้เลือด หรือการใช้เข็มฉีดยา
ร่วมกัน
ปัจจัยเสี่ยงของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์มีอะไรบ้าง?
ปัจจัยเสี่ยงที่สาคัญของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ
1. การมีกิจกรรมทางเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ไม่ได้สวมใส่ถุงยางอนามัยชายชนิดลา
เท็กซ์ (Latex condom)
และการมีเพศ สัมพันธ์ทางช่องคลอด หรือทางทวารหนัก กับผู้ที่เป็นโรคหรือผู้ติดเชื้อ
มีข้อมูลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์เพียงครั้งเดียวกับผู้ชายที่มี
เชื้อโกโนเรีย หรือหนองในแท้โดยไม่สวมใส่ถุงยาง จะมีโอกาสติดเชื้อประมาณ 70-80%
Gonorrhea
2. การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
อาจทาให้เกิดการติดเชื้อเหล่านี้ได้ เช่น ไวรัส HIV หรือ
ไวรัสตับอักเสบ บี และเมื่อติดเชื้อแล้ว ก็สามารถแพร่กระจาย
เชื้อต่อโดยผ่านการมีเพศสัมพันธ ์ได้อีก
3. การติดเชื้อจากแม่ไปสู่ลูก
 พบได้ในการติดเชื้อหนองในแท้
 หนองในเทียม
 เริม และกามโรค
โดยมีการติดเชื้อได้ทั้ง
ในขณะตั้งครรภ์และในขณะ
คลอด ทารกที่ติดเชื้อจะมีปัญหา
ต่ า ง ๆ เ กิ ด ขึ้ น ต า ม ม า
ค่อนข้างมาก (เช่น เจริญเติบโต
ผิดปกติและพิการ) และอาจ
เ สี ย ชี วิ ตไ ด้ ดัง นั้ น ส ต รีที่
ตั้งครรภ์จึงควรต้องได้รับการ
ตรวจคัดกรอง และรักษาโรค
ต่างๆดังกล่าวข้างต้นอย่าง
เหมาะสม
If untreated, Chlamydia can be
passed on to a baby during birth in
the form of Chlamydia conjunctivitis
and can cause blindness
1. โรคเอดส์(AIDS)
หรือกลุ่มอาการภูมิคุ้มกันเสื่อม เกิดจาก
การรับเชื้อ Human immunodeficiency
virus หรือ HIV เข้าไปทาลายเม็ดเลือดขาวที่เป็น
แหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค ทาให้ภูมิคุ้มกันโรคลดน้อยลง
จึงทาให้เชื้อโรคฉวยโอกาสแทรกซ้อนเข้าสู่ร่างกายได้
ง่ายขึ้น เช่น มะเร็ง วัณโรค และสาเหตุการเสียชีวิตก็
มักเกิดขึ้นจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่าง ๆ เหล่านี้ที่
จะทาให้อาการรุนแรง และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว
2. หนองในแท้ (Gonorrhoea)
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria
gonorrhoeae ทาให้เกิดอาการระคายเคืองในท่อปัสสาวะ แสบขัดเวลาปัสสาวะ และ
มีหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ อาจจะทาให้เกิดการอักเสบในช่องท้อง หรือเป็นหมันหาก
ไม่ได้รับการรักษา
โรคหนองในแท้ หรือ โกโนเรีย (Gonorrhoea)
เกิดจากการติดเชื้อ Neisseria gonorrhoeae ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มี
รูปร่างค่อนข้างกลม อยู่กันเป็นคู่หันด้านเว้าเข้าหากัน ดูคล้ายเมล็ดกาแฟหรือเมล็ดถั่ว
ย้อมสีแกรมติดสีแดง เชื้อนี้จะทาให้เกิดโรคเฉพาะเยื่อเมือก Mucous
Membrance เช่น เยื่อเมือกในท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ปากมดลูก เยื่อบุมดลูก ท่อรัง
ไข่ ทวารหนัก เยื่อบุตา คอ เป็นต้น โดยเชื้อนี้มีระยะฟักตัวเร็ว คือประมาณ 1-10 วัน
อาการหนองใน
สังเกตแต่เริ่มแรก รักษาได้เร็ว
- อาการหนองในผู้ชาย : ในผู้ชายที่เป็นหนองในจะมีอาการปัสสาวะขัด
อย่างรุนแรง และมีหนองสีเหลืองข้น ไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ มักเกิดอาการหลังรับ
เชื้อไปแล้ว 2-5 วัน ถ้าไม่รักษาอาจทาให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ลุกลามไปยังต่อม
ลูกหมาก ทาให้ต่อมลูกหมากอักเสบ อัณฑะอักเสบ ฯลฯ ซึ่งทาให้เป็นหมันได้
- อาการหนองในผู้หญิง :
ในผู้หญิงที่เป็นหนองใน ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ จนกระทั่ง 10 วันไปแล้ว จะมี
อาการตกขาว มีกลิ่นเหม็น ปัสสาวะแสบขัด เพราะเกิดการอักเสบที่ท่อปัสสาวะ และปากมดลูก
ถ้าไม่รีบรักษาเชื้อโรคจะลุกลาม ทาให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ต่อมบาร์โธลินอักเสบ
เป็นฝีบวมโต การอักเสบในอุ้งเชิงกราน ปีกมดลูกอักเสบ การอุดตันของท่อรังไข่ ซึ่งทาให้เป็น
หมันหรือตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ นอกจากนี้หากหญิงมีครรภ์เป็นโรคหนองใน เวลาคลอดอาจทา
ให้เด็กทารกติดเชื้อเกิดอาการตาอักเสบได้ และหากรักษาไม่ทัน จะทาให้เด็กตาบอดได้
3. หนองในเทียม
(Non-gonococcal Urethritis/
Non gonococcal Cervicitis)
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่ทาให้มีอาการแสบปลายท่อปัสสาวะ ปัสสาวะขัด
และมีหนองไหล และมีมูกออกเล็กน้อยโดยเฉพาะในช่วงเช้า ส่วนผู้หญิงอาจมีอาการตกขาว
ผิดปกติ
เป็ นการอักเสบของท่อปัสสาวะที่เกิดจากเชื้อโรคอื่น ๆ ที่
ไม่ใช่หนองในแท้ (Chlamydia Trachomatis)
อาการของหนองในเทียม
จะคล้ายกับอาการผู้ป่วยหนองในแท้ แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า และระยะฟักตัวของโรคหนอง
ในเทียมจะนานกว่าโรคหนองในแท้
การวินิจฉัยว่าเป็ นโรคหนองใน
แพทย์จะนาหนอง หรือปัสสาวะ มาตรวจ PCR จากนั้นจะนามาย้อมหาเชื้อ และ
นาไปเพาะเชื้อ เพื่อตรวจสอบ
ทั้งนี้แพทย์จะนาการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โรคอื่น ๆ ร่วมด้วย
ส่วนการวินิจฉัยโรคหนองในเทียม จะต้องอาศัยการตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการ
มาร่วมด้วย
ผู้ที่เป็นโรคหนองใน มักจะเป็นโรคหนองในเทียมด้วย ดังนั้นจึงต้องรักษาอาการไป
พร้อม ๆ กัน โดยการใช้ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Cephalosporin และ Quinolone
อาจเป็นชนิดรับประทานหรือชนิดยาฉีด ยาที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ Cefixime,
Ceftriaxone, Ciprofloxacin, Ofloxacin, Levofloxacin เป็นต้น
การรักษา
ผู้ชายที่มีอาการหนองใน อาจเกิดอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ คือ
- การอักเสบของอัณฑะ Epididymitis ซึ่งหากไม่รักษาอาจจะทาให้เป็นหมัน
- ข้ออักเสบ Reiter's syndrome (arthritis)
- เยื่อบุตาอักเสบ Conjunctivitis
- ผื่นที่ผิวหนัง Skin lesions
- หนองไหล Discharge
ส่วนผู้หญิงที่มีอาการหนองใน อาจมีอาการดังต่อไปนี้
- อุ้งเชิงกรานอักเสบ Pelvic Inflammatory Disease (PID)
อาจจะทาให้เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก
- ปวดท้องน้อยเรื้อรัง Recurrent PID อาจจะทาให้เป็นหมัน
- ท่อปัสสาวะอักเสบ Urethritis
- ช่องคลอดอักเสบ Vaginitis
- แท้ง Spontaneous abortion (miscarriage)
4. แผลริมอ่อน (Chancroid)
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อ Haemophilus Ducreyi ทาให้
เกิดแผลที่อวัยวะเพศ บวมและเจ็บ บางคนมีต่อมน้าเหลืองที่ขาหนีบหรือที่ชาวบ้านเรียกไข่ดัน
บวม หากไม่รักษาหนองจะแตกออกจากต่อมน้าเหลือง
มักมีหลายแผล ขอบแผลนุ่มและไม่เรียบ ก้นแผลสกปรกมีหนอง มีเลือดออกง่าย เวลา
สัมผัสเจ็บปวดมาก บางรายต่อมน้าเหลืองที่ขาหนีบจะบวม และเป็นฝี เมื่อฝีแตกจะเป็นแผล
แผลริมอ่อน หรือ ซิฟิ ลิสเทียม
(Chancroid, Soft chancre, Ulcus molle หรือ Weicher Schanker)
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งที่พบได้บ้างประปราย ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่
ชื่อว่า Haemophilus Ducreyi สามารถเกิดได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิงและ
ติดต่อกันได้ง่ายมาก ผู้ป่วยจะมีแผลเกิดขึ้นที่บริเวณอวัยวะเพศ ต่อมาจะพบต่อมน้าเหลืองที่ขา
หนีบบวมโตติดกันเป็นพืดและเจ็บ สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะ
ตามที่แพทย์สั่ง
โรคนี้เรียกว่า “โรคซิฟิลิสเทียม” เนื่องจากทาให้เกิดแผลได้เช่นเดียวกัน แต่จะ
ต่างกันตรงที่แผลริมอ่อน (ซิฟิลิสเทียม) จะมีอาการเจ็บและปวด แต่แผลซิฟิลิสจะไม่เจ็บและ
ปวด
การติดต่อ :
โรคแผลริมอ่อนนอกจากจะติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ (มีการสัมผัสแผลระหว่าง
ที่มีเพศสัมพันธ์) เป็นหลักแล้ว
ยังสามารถติดต่อได้โดยการปนเปื้อนหนองไปถูกแผลอื่น ๆ เช่น รอยถลอกหรือ
เนื้อเยื่ออ่อน ๆ หรือจากการใช้มือสัมผัสหนองโดยตรงและไม่ได้ล้างให้สะอาด แล้วเอามือไป
สัมผัสหรือเกาที่อื่นก็อาจพาเชื้อไปติดที่อวัยวะส่วนอื่นได้ด้วย
ระยะฟักตัวของโรค :
อาการของโรคมักจะเกิดขึ้นเร็วหลังการมีเพศสัมพันธ์และได้รับเชื้อประมาณ 4-7
วัน (อาจเร็วหรือช้ากว่านี้ก็ได้ตั้งแต่ 3-10 วัน) โรคนี้ไม่สามารถหายเองได้ถ้าไม่ได้รับการ
รักษา
5. เริมที่อวัยวะเพศ
(Genita Herpes Simplex Virus Infection)
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่เกิดเชื้อไวรัส herpes simplex virus ทา
ให้เกิดอาการปวดแสบบริเวณขา ก้นหรืออวัยวะเพศ และตามด้วยผื่นเป็นตุ่มน้าใส แผลหายได้
เองใน 2-3 สัปดาห์ แต่เชื้อยังอยู่ในร่างกาย เมื่อร่างกายอ่อนแอ เชื้อก็จะกลับเป็นใหม่
เริมที่อวัยวะเพศเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดจากเชื้อเริมที่เรียกว่า herpes
simplex viruses type 1 (HSV-1) หรือ type 2 (HSV-2)
เริมที่อวัยวะเพศส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ HSV-2
ผู้ที่ได้รับเชื้อส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการ หากมีอาการจะเกิดตุ่มน้าที่อวัยวะเพศ เมื่อ
ตุ่มน้าแตกจะเกิดแผลเล็กซึ่งมีอาการปวดแสบปวดร้อน แผลเริมจะใช้เวลาหายประมาณ 2-4
สัปดาห์ เมื่อหายแล้วสามารถเกิดเป็นซ้าได้
การติดต่อโรคเริม
คนได้รับเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อนี้
แต่การติดเชื้อก็สามารถเกิดขึ้นได้แม้ว่าจะไม่มีแผล นอกจากนั้นเชื้อ HSV-1 ยังทาให้เกิด
เริมที่ริมฝีปากเชื้อว่าเชื้อนี้สามารถติดต่อแบบ ปากและอวัยวะเพศได้ oral-genital
การวินิจฉัยโรคเริม
การวินิจฉัยทาได้โดยดูลักษณะผื่น และการนาสารหลั่งจากก้นแผลไปส่องกล้องจะพบ
เซลล์ที่มีลักษณะเฉพาะ
การรักษาโรคเริม
ยังไม่มียาที่รักษาโรคนี้ให้หายขาด ยาเพียงทาให้ลดอาการ และแผลใช้เวลาหายสั้นลง
โรคแทรกซ้อนโรคเริม
 ปวดที่แผล และส่งผลต่อภาวะเครียดของผู้ป่วย
 สาหรับผู้ที่มีภูมิบกพร่องอาการจะเป็นมาก
 หากติดเชื้อในช่วงใกล้คลอดอาจจะส่งผลเสียต่อทารก
 การติดเชื้อนี้จะเพิ่มการติดโรคเอดส์
6. หูดข้าวสุก
(Molluscum contagiosum)
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อไวรัส Molluscum
contagiosum virus (MCV) ทาให้เกิดเป็นตุ่มนูนบนผิวหนัง ผิวเรียบขนาดเล็ก
ขนาดประมาณ 2-5 มิลลิเมตร
จะพบมากขึ้นในรายที่มีการติดเชื้อ HIV จานวนตุ่มที่เกิดขึ้นอาจมีมากหรือน้อย
ขึ้นกับสภาพร่างกายของผู้ป่วยขณะนั้น ว่าร่างกายมีความแข็งแรงเพียงใด ถ้าใช้เข็มสะกิดตรง
กลางแล้วบีบดูจะได้เนื้อหูดสีขาว ๆ คล้ายข้าวสุก มักเป็นที่บริเวณหัวหน่าว อวัยวะเพศภายนอก
และโคนขาด้านใน
7. หูดหงอนไก่
(Condyloma Acuminata)
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากไวรัส Human papilloma virus
ลักษณะเป็นติ่งเนื้ออ่อน ๆ สีชมพูคล้ายหงอนไก่ ชอบขึ้นที่อุ่นและอับชื้น
ในผู้ชายมักพบที่อวัยวะเพศบริเวณใต้หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย ตลอดทั้งบริเวณ
รอบรอยเปิดขอบ, ท่อปัสสาวะ และอัณฑะ
ส่วนผู้หญิงจะพบที่ปากช่องคลอด ผนังช่องคลอด
ปากมดลูก ปากทวารหนักและฝีเย็บ หูดมีขนาดโตขึ้นเรื่อย ๆ การตั้งครรภ์จะทาให้หูดโตเร็วกว่า
ปกติ ถ้าไม่รีบรักษาจะเป็นมากขึ้นและยากต่อการรักษา และทารกอาจติดเชื้อได้ขณะคลอด
8. ซิฟิ ลิส (Syphilis)
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากการติดเชื้อ Treponema pallidum
เป็นโรคที่มีอันตราย และมีอาการเรื้อรัง สามารถติดต่อยาวนานกว่า 2 ปี
ลักษณะการติดเชื้อเริ่มแรกจะเป็นก้อนแข็ง แต่ไม่เจ็บที่บริเวณอวัยวะเพศ หากไม่
รักษาจะกลายเป็นระยะที่สองที่เรียกว่า เข้าข้อหรือออกดอก ถ้าทิ้งไว้นานจะทาให้เกิดโรคแก่
ระบบต่างๆ ของร่างกายหลายระบบ ทั้งซิฟิลิสระบบหัวใจและหลอดเลือด ซิฟิลิสระบบประสาท
เป็นต้น นอกจากนี้มารดาที่เป็นโรคซิฟิลิสจะถ่ายทอดโรคสู่ทารกในครรภ์ได้เรียกว่า ซิฟิลิสแต่
กาเนิด (congenital syphilis) จึงถือว่าซิฟิลิสเป็นโรคที่มีอันตราย
และมีอาการเรื้อรัง สามารถติดต่อยาวนานกว่า 2 ปี
Treponema pallidum, the bacterium which
causes syphilis
ติดเชื้อโรคนี้ได้อย่างไร
การติดต่อจะติดต่อจากคนสู่คนโดยการสัมผัสผ่านแผล Chancre ทางเพศสัมพันธ์ เชื้อโรค
สามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยผ่านทางเยื่อบุช่องคลอด ท่อปัสสาวะ
เชื้อโรคจะติดต่อได้บ่อยในระยะ primary เนื่องจากระยะนี้จะไม่มีอาการ
ในระยะ secondary จะมีหูดระยะนี้จะมีเชื้อโรคปริมาณมากหากสัมผัสอาจจะ
ทาให้เกิดการติดต่อ
การติดต่อทางอื่น
 เชื้อจะอ่อนแอตายง่ายดังนั้นการสัมผัสมือหรือการนั่งโถส้วมจะไม่ติดต่อ
 หากผิวหนังที่มีแผลสัมผัสกับแผลที่มีเชื้อก็ทาให้เกิดการติดเชื้อ
 จากแม่ไปลูก
เชื้อสามารถติดจากแม่ไปลูกขณะตั้งครรภ์และขณะคลอด
ซิฟิ ลิส (Syphilis)
เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Treponema pallidum เชื้อนี้
สามารถเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อเมือกเช่น ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ ปาก เยื่อบุตา หรือทางผิวหนังที่
มีแผล เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะเข้ากระแสเลือด และไปจับตามอวัยวะต่างๆทาให้เกิดโรคตาม
อวัยวะ
และทาให้เกิดโรคแทรกซ้อนในระยะยาว
โรคนี้แบ่งออกเป็น 4 ระยะได้แก่
1. Primary
2. Secondary
3. Latent
4. Tertiary (or late)
อาการของโรค
1 Primary Syphilis
ในระยะ primary รอยโรคจะปรากฏเป็นแผลริมแข็ง Chancre ซึ่งจะมีลักษณะ
ที่สาคัญดังนี้
 หลังจากได้รับเชื้อ 10-90 วันโดยเฉลี่ยประมาณ 21 วัน จะมีตุ่มแดงแตกออกเป็นแผลที่อวัยวะเพศ
ตรงบริเวณที่เชื้อเข้า
 แผลมักจะเป็นแผลเดียว ไม่เจ็บ ขอบนูน ต่อมน้าเหลืองจะโตกดไม่เจ็บ
 ตาแหน่งที่พบได้บ่อยได้แก่ อวัยวะเพศชาย อัณฑะ ทวารหนัก ช่องคลอด ริมฝีปาก
 แผลจะอยู่ 1-5 สัปดาห์แผลจะหายไปเอง
 แม้ว่าแผลจะหายไปแต่ยังคงมีเชื้ออยู่ในกระแสเลือด
 สาหรับผู้ที่เป็นโรคเอดส์ และมีขนาดใหญ่และมีอาการเจ็บมาก
 การตรวจเลือกในช่วงนี้อาจจะให้ผลลบได้ร้อยละ 30
2 Secondary Syphilis
ระยะนี้จะเกิดหลังได้รับเชื้อ 17วัน- 6 เดือน
ผู้ป่วยจะมีอาการอยู่ประมาณ 2-6 สัปดาห์แล้วจะหายไป แม้ว่าจะไม่ได้รับ
การรักษา
ต่อมน้าเหลืองโต
ปวดตามข้อเนื่องจากข้ออักเสบ
อาการที่สาคัญมีดังนี้............
 มีผื่นสีแดงน้าตาลที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ไม่คัน
 ผื่นนี้สามารถพบได้ทั่วตัว ทั้งฝ่ามือ ฝ่าเท้า
 จะพบหูด Condylomata lata บริเวณที่อับชื้น เช่น
รักแร้ ทวารหนัก ขาหนีบ
 จะพบผื่นสีเทาในปาก คอ และปากมดลูก
 ผมร่วงเป็นหย่อมๆ
 ผู้ป่วยจะรู้สึกไม่สบาย
อาการเหล่านี้จะอยู่ได้ 1-3 เดือนหายไปได้เอง และอาจจะกลับ
เป็นซ้า
การตรวจเลือดในช่วงนี้จะให้ผลบวก
2 Secondary Syphilis
อาการที่สาคัญมีดังนี้............
3 Latent Stage ระยะแฝง
ช่วงนี้ผู้ป่วยไม่มีอาการของโรค ช่วงนี้กินเวลา 2-30 ปีหลังจากได้รับเชื้อ
ในช่วงนี้จะทราบได้โดยการเจาะเลือดตรวจ
ในระยะนี้อาจจะเกิดผื่นเหมือนในระยะ Secondary Syphilis
ในระยะนี้หากตั้งครรภ์ เชื้อสามารถติดไปยังลูกได้
4 Late Stage (Tertiary)
ระยะนี้จะกินเวลา 2-30 ปีหลังได้รับเชื้อ
ระยะนี้เชื้อโรคจะทาลายอวัยวะต่างๆเช่น หัวใจและหลอดเลือด สมองทาให้อ่อนแรงหรืออาจจะ
ตาบอด กระดูกหักง่าย
หากไม่รักษาให้ทัน อวัยวะต่างๆจะถูกทาลายโดยที่ไม่สามารถกลับเป็นปกติ
การตรวจเลือดอาจจะให้ผลลบได้ร้อยละ30
Congenital Syphilis
 หมายถึงทารกที่ติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เด็กจะมีอาการดังนี้
1. เด็กจะมีอาการหลังคลอด 3-8 สัปดาห์
2. อาการอาจจะมีเล็กน้อยจนไม่ทันสังเกตเห็น ทาให้ไม่ได้รับการรักษา
3. เด็กโตขึ้นจะกลายเป็นระยะ Late Stage (Tertiary)
โดยเชื้อที่อยู่ในกระแสเลือดจะผ่านรกเข้า
สู่ทารกในครรภ์ หลังจากมารดาตั้งครรภ์
มากกว่า18สัปดาห์แล้ว 80% จะเกิดมา
โดยไม่มีอาการแต่จะเกิดอาการภายหลัง
เมื่อคลอด
การรักษาโรคนี้ต้องทาอย่างไร
 ยาที่ใช้รักษาคือ Penicillin เป็นเวลา 1-3 สัปดาห์
 การรักษาต้องรักษาทั้งคู่
 หลังจากรักษา 6 เดือนต้องตรวจซ้าหลังจากนั้นตรวจทุกปี
9. พยาธิช่องคลอด (Vaginal Trichomoniasis)
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อโปรโตซัว Trichomonas
vaginalis ผู้ป่วยจะมีอาการตกขาวผิดปกติ
มีสีเขียวขุ่นหรือเหลืองเข้ม มีฟองอากาศและมีกลิ่นเหม็น เกิดการระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศ
เจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ คันและแสบปากช่องคลอด
ใบงานแล้วแต่ Design

STD

  • 1.
  • 2.
    Sexually transmitted diseases(STDs) โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์หรือโรคส่งผ่านทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted disease; STDs) อาจเรียกว่า "กามโรค" (Venereal disease) หรือ "วีดี" เกิดขึ้นจากการติดต่อกันผ่านทางเพศสัมพันธ ์ • ทางช่องคลอด • ทางปาก • ทวารหนัก กับผู้ที่กาลังมีเชื้อ
  • 3.
    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์  สามารถเกิดใครได้บ้าง เกิดจากเชื้ออะไร  ป้ องกันได้อย่างไร โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์  อันตรายหรือไม่  รักษาใช้เวลานานเท่าไร  หายขาดหรือไม่
  • 4.
    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์ เป็นโรคที่สามารถเป็นได้ทุกเพศ ทุกวัย พบในหมู่วัยรุ่น เนื่องจากวัยรุ่นในปัจจุบัน นิยมมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงาน โดยที่ ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันตัวเอง  พบในหญิงชายที่มีครอบครัวแล้ว เนื่องจากมีพฤติกรรมนอกใจ
  • 5.
    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์ แบ่งออกได้หลายวิธี เช่น 1.การแบ่งตามชนิดของเชื้อที่เป็ นต้นเหตุของ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์นั้น ๆ ได้แก่  เชื้อแบคทีเรีย  เชื้อไวรัส  เชื้อรา  พยาธิ หรือ 2. อาจจะแบ่งโดยใช้อาการของผู้ป่ วย เช่น การมีแผล ที่อวัยวะเพศ การมีตกขาวที่มีลักษณะที่ ผิดปกติ การมีไข้ร่วมกับการปวดท้องน้อย เป็ นต้น ทั้งนี้แล้วแต่ประโยชน์ที่จะนาไปใช้ในการดูแลรักษา ผู้ป่ วย
  • 6.
    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์บางโรคก็สามารถ ติดต่อโดยทางอื่นได้  โรคภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากเชื้อเอดส์ซึ่งจะ ติดต่อได้โดยการมีเพศสัมพันธ ์กับผู้ติดเชื้อหรือ ผู้ป่ วยแล้ว ยังสามารถติดต่อได้โดยผ่านทางเลือด - กลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นเลือดซึ่งใช้ เข็มและหลอดฉีดยาร่วมกัน - สามารถติดเชื้อจากมารดาไปยังทารกในครรภ์ ได้อีกด้วย
  • 7.
    สาหรับอาการของผู้ป่ วยที่ติดโรคติดต่อทาง เพศสัมพันธ ์อาจจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ หรือ อาจจะมีอาการตกขาวลักษณะผิดปกติ มีแผลที่ อวัยวะเพศ ปัสสาวะขัดหรือมีความผิดปกติใน ระบบอื่นของร่างกายก็ได้ ทั้งนี้ แล้วแต่ชนิดของเชื้อ และระยะของ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์ที่เป็ นอยู่
  • 8.
    อาการใดที่สงสัยเป็ นโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ ์ หากมีอาการเหล่านี้สามารถสงสัยได้ ว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์ - ในผู้ชาย จะมีอาการปัสสาวะ แสบขัด ขาหนีบบวม หรือเป็นฝี เจ็บปวดอวัยวะ เพศ มีผื่น ตุ่ม แผล บริเวณอวัยวะเพศ มีเมือกใส หรือหนองไหลออกมา - ในผู้หญิง จะรู้สึกเจ็บ เสียว ท้องน้อย ขาหนีบบวม หรือเป็นฝี เจ็บปวด คัน อวัยวะเพศ มีผื่น ตุ่ม แผลบริเวณอวัยวะเพศ มีตก ขาวสีเหลือง มีกลิ่นเหม็น
  • 9.
    การรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์ มีหลายวิธี โดยมีหลักการ กาจัดเชื้อทั้งหมดในร่างกาย ลดการทุกข์ทรมานจาก การเจ็บป่ วย  ป้ องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ  การป้ องกันการกลับมาเป็ นซ้าและส่งต่อเชื้อไปยัง บุคคลอื่น ๆ ด้วย ยาที่ใช้ในการรักษามีหลายชนิด ได้แก่ ยารับประทาน ยาฉีด ยาเหน็บช่องคลอด เป็ นต้น
  • 10.
    ระยะเวลาที่ใช้ในการรักษา ขึ้นกับชนิดและระยะของโรค การรักษาด้วยยา ขนาดเท่าใด เป็นเวลานานเท่าใด อยู่ใน ดุลยพินิจของแพทย์ การซื้อยารับประทานเองอาจจะทาให้ ไม่หายขาดจากโรค หรืออาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคที่ เป็ นหรือยาที่ใช้ มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์บางโรค ที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เช่น โรคภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากเชื้อเอดส์ ซึ่งการรักษามุ่งที่จะประคับประคองผู้ป่ วย ป้ องกันจากภาวะแทรกซ้อนการติดเชื้อซ้า เติมและการป้ องกันการส่งเชื้อไปยังบุคคล อื่น ๆ อีก
  • 11.
    อันตรายต่างๆ จากโรค รวมทั้งการรักษาที่ยากลาบาก หรือไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ “การป้องกันการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์จึงนับว่ามี ความสาคัญอย่างยิ่ง” แพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ทาง สาธารณสุขควรที่จะให้ความรู ้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวแก่ บุคคลทั่วไป
  • 12.
    1. แบคทีเรีย ได้แก่โกโนเรีย หรือหนอง ในแท้/โรคหนองใน, ซิฟิ ลิส /โรค ซิฟิ ลิส, คลามัยเดีย (Chlamydia infection) หรือหนองในเทียม 2. พยาธิ ชนิด ทริโคโมแนส (Trichomonas vaginalis) 3. ไวรัส ได้แก่เชื้อ Human papillomavirus/HPV/เอชพีวี เชื้อเริม/เริมที่อวัยวะเพศ, เชื้อเอดส์/โรค เอดส์หรือ Human immunodeficiency virus/HIV/ เอชไอวี เชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ ์....มีดังนี้
  • 13.
    การมีกิจกรรมทางเพศเป็ นกลไกสาคัญที่ทาให้เกิดการติด โรค แต่เชื้อโรคบางประเภทอาจติดเชื้อได้ถึงแม้จะไม่มี กิจกรรมทางเพศก็ตาม เช่น 1) ไวรัสตับอักเสบ ชนิดเอ 2) ไวรัสตับอักเสบ บี ที่อาจติดต่อจากการให้เลือด หรือการใช้เข็มฉีดยา ร่วมกัน
  • 14.
    ปัจจัยเสี่ยงของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ ์มีอะไรบ้าง? ปัจจัยเสี่ยงที่สาคัญของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ 1.การมีกิจกรรมทางเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ไม่ได้สวมใส่ถุงยางอนามัยชายชนิดลา เท็กซ์ (Latex condom) และการมีเพศ สัมพันธ์ทางช่องคลอด หรือทางทวารหนัก กับผู้ที่เป็นโรคหรือผู้ติดเชื้อ มีข้อมูลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์เพียงครั้งเดียวกับผู้ชายที่มี เชื้อโกโนเรีย หรือหนองในแท้โดยไม่สวมใส่ถุงยาง จะมีโอกาสติดเชื้อประมาณ 70-80% Gonorrhea
  • 15.
    2. การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น อาจทาให้เกิดการติดเชื้อเหล่านี้ได้ เช่นไวรัส HIV หรือ ไวรัสตับอักเสบ บี และเมื่อติดเชื้อแล้ว ก็สามารถแพร่กระจาย เชื้อต่อโดยผ่านการมีเพศสัมพันธ ์ได้อีก
  • 16.
    3. การติดเชื้อจากแม่ไปสู่ลูก  พบได้ในการติดเชื้อหนองในแท้ หนองในเทียม  เริม และกามโรค โดยมีการติดเชื้อได้ทั้ง ในขณะตั้งครรภ์และในขณะ คลอด ทารกที่ติดเชื้อจะมีปัญหา ต่ า ง ๆ เ กิ ด ขึ้ น ต า ม ม า ค่อนข้างมาก (เช่น เจริญเติบโต ผิดปกติและพิการ) และอาจ เ สี ย ชี วิ ตไ ด้ ดัง นั้ น ส ต รีที่ ตั้งครรภ์จึงควรต้องได้รับการ ตรวจคัดกรอง และรักษาโรค ต่างๆดังกล่าวข้างต้นอย่าง เหมาะสม If untreated, Chlamydia can be passed on to a baby during birth in the form of Chlamydia conjunctivitis and can cause blindness
  • 17.
    1. โรคเอดส์(AIDS) หรือกลุ่มอาการภูมิคุ้มกันเสื่อม เกิดจาก การรับเชื้อHuman immunodeficiency virus หรือ HIV เข้าไปทาลายเม็ดเลือดขาวที่เป็น แหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค ทาให้ภูมิคุ้มกันโรคลดน้อยลง จึงทาให้เชื้อโรคฉวยโอกาสแทรกซ้อนเข้าสู่ร่างกายได้ ง่ายขึ้น เช่น มะเร็ง วัณโรค และสาเหตุการเสียชีวิตก็ มักเกิดขึ้นจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่าง ๆ เหล่านี้ที่ จะทาให้อาการรุนแรง และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว
  • 18.
    2. หนองในแท้ (Gonorrhoea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoeae ทาให้เกิดอาการระคายเคืองในท่อปัสสาวะ แสบขัดเวลาปัสสาวะ และ มีหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ อาจจะทาให้เกิดการอักเสบในช่องท้อง หรือเป็นหมันหาก ไม่ได้รับการรักษา
  • 19.
    โรคหนองในแท้ หรือ โกโนเรีย(Gonorrhoea) เกิดจากการติดเชื้อ Neisseria gonorrhoeae ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มี รูปร่างค่อนข้างกลม อยู่กันเป็นคู่หันด้านเว้าเข้าหากัน ดูคล้ายเมล็ดกาแฟหรือเมล็ดถั่ว ย้อมสีแกรมติดสีแดง เชื้อนี้จะทาให้เกิดโรคเฉพาะเยื่อเมือก Mucous Membrance เช่น เยื่อเมือกในท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ปากมดลูก เยื่อบุมดลูก ท่อรัง ไข่ ทวารหนัก เยื่อบุตา คอ เป็นต้น โดยเชื้อนี้มีระยะฟักตัวเร็ว คือประมาณ 1-10 วัน
  • 20.
    อาการหนองใน สังเกตแต่เริ่มแรก รักษาได้เร็ว - อาการหนองในผู้ชาย: ในผู้ชายที่เป็นหนองในจะมีอาการปัสสาวะขัด อย่างรุนแรง และมีหนองสีเหลืองข้น ไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ มักเกิดอาการหลังรับ เชื้อไปแล้ว 2-5 วัน ถ้าไม่รักษาอาจทาให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ลุกลามไปยังต่อม ลูกหมาก ทาให้ต่อมลูกหมากอักเสบ อัณฑะอักเสบ ฯลฯ ซึ่งทาให้เป็นหมันได้
  • 21.
    - อาการหนองในผู้หญิง : ในผู้หญิงที่เป็นหนองในส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ จนกระทั่ง 10 วันไปแล้ว จะมี อาการตกขาว มีกลิ่นเหม็น ปัสสาวะแสบขัด เพราะเกิดการอักเสบที่ท่อปัสสาวะ และปากมดลูก ถ้าไม่รีบรักษาเชื้อโรคจะลุกลาม ทาให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ต่อมบาร์โธลินอักเสบ เป็นฝีบวมโต การอักเสบในอุ้งเชิงกราน ปีกมดลูกอักเสบ การอุดตันของท่อรังไข่ ซึ่งทาให้เป็น หมันหรือตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ นอกจากนี้หากหญิงมีครรภ์เป็นโรคหนองใน เวลาคลอดอาจทา ให้เด็กทารกติดเชื้อเกิดอาการตาอักเสบได้ และหากรักษาไม่ทัน จะทาให้เด็กตาบอดได้
  • 22.
    3. หนองในเทียม (Non-gonococcal Urethritis/ Nongonococcal Cervicitis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่ทาให้มีอาการแสบปลายท่อปัสสาวะ ปัสสาวะขัด และมีหนองไหล และมีมูกออกเล็กน้อยโดยเฉพาะในช่วงเช้า ส่วนผู้หญิงอาจมีอาการตกขาว ผิดปกติ เป็ นการอักเสบของท่อปัสสาวะที่เกิดจากเชื้อโรคอื่น ๆ ที่ ไม่ใช่หนองในแท้ (Chlamydia Trachomatis) อาการของหนองในเทียม จะคล้ายกับอาการผู้ป่วยหนองในแท้ แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า และระยะฟักตัวของโรคหนอง ในเทียมจะนานกว่าโรคหนองในแท้
  • 23.
    การวินิจฉัยว่าเป็ นโรคหนองใน แพทย์จะนาหนอง หรือปัสสาวะมาตรวจ PCR จากนั้นจะนามาย้อมหาเชื้อ และ นาไปเพาะเชื้อ เพื่อตรวจสอบ ทั้งนี้แพทย์จะนาการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โรคอื่น ๆ ร่วมด้วย ส่วนการวินิจฉัยโรคหนองในเทียม จะต้องอาศัยการตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการ มาร่วมด้วย
  • 24.
    ผู้ที่เป็นโรคหนองใน มักจะเป็นโรคหนองในเทียมด้วย ดังนั้นจึงต้องรักษาอาการไป พร้อมๆ กัน โดยการใช้ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Cephalosporin และ Quinolone อาจเป็นชนิดรับประทานหรือชนิดยาฉีด ยาที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ Cefixime, Ceftriaxone, Ciprofloxacin, Ofloxacin, Levofloxacin เป็นต้น การรักษา
  • 25.
    ผู้ชายที่มีอาการหนองใน อาจเกิดอาการแทรกซ้อนต่าง ๆคือ - การอักเสบของอัณฑะ Epididymitis ซึ่งหากไม่รักษาอาจจะทาให้เป็นหมัน - ข้ออักเสบ Reiter's syndrome (arthritis) - เยื่อบุตาอักเสบ Conjunctivitis - ผื่นที่ผิวหนัง Skin lesions - หนองไหล Discharge ส่วนผู้หญิงที่มีอาการหนองใน อาจมีอาการดังต่อไปนี้ - อุ้งเชิงกรานอักเสบ Pelvic Inflammatory Disease (PID) อาจจะทาให้เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก - ปวดท้องน้อยเรื้อรัง Recurrent PID อาจจะทาให้เป็นหมัน - ท่อปัสสาวะอักเสบ Urethritis - ช่องคลอดอักเสบ Vaginitis - แท้ง Spontaneous abortion (miscarriage)
  • 26.
    4. แผลริมอ่อน (Chancroid) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดจากเชื้อ Haemophilus Ducreyi ทาให้ เกิดแผลที่อวัยวะเพศ บวมและเจ็บ บางคนมีต่อมน้าเหลืองที่ขาหนีบหรือที่ชาวบ้านเรียกไข่ดัน บวม หากไม่รักษาหนองจะแตกออกจากต่อมน้าเหลือง มักมีหลายแผล ขอบแผลนุ่มและไม่เรียบ ก้นแผลสกปรกมีหนอง มีเลือดออกง่าย เวลา สัมผัสเจ็บปวดมาก บางรายต่อมน้าเหลืองที่ขาหนีบจะบวม และเป็นฝี เมื่อฝีแตกจะเป็นแผล
  • 27.
    แผลริมอ่อน หรือ ซิฟิลิสเทียม (Chancroid, Soft chancre, Ulcus molle หรือ Weicher Schanker) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งที่พบได้บ้างประปราย ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ ชื่อว่า Haemophilus Ducreyi สามารถเกิดได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิงและ ติดต่อกันได้ง่ายมาก ผู้ป่วยจะมีแผลเกิดขึ้นที่บริเวณอวัยวะเพศ ต่อมาจะพบต่อมน้าเหลืองที่ขา หนีบบวมโตติดกันเป็นพืดและเจ็บ สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะ ตามที่แพทย์สั่ง โรคนี้เรียกว่า “โรคซิฟิลิสเทียม” เนื่องจากทาให้เกิดแผลได้เช่นเดียวกัน แต่จะ ต่างกันตรงที่แผลริมอ่อน (ซิฟิลิสเทียม) จะมีอาการเจ็บและปวด แต่แผลซิฟิลิสจะไม่เจ็บและ ปวด
  • 28.
    การติดต่อ : โรคแผลริมอ่อนนอกจากจะติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ (มีการสัมผัสแผลระหว่าง ที่มีเพศสัมพันธ์)เป็นหลักแล้ว ยังสามารถติดต่อได้โดยการปนเปื้อนหนองไปถูกแผลอื่น ๆ เช่น รอยถลอกหรือ เนื้อเยื่ออ่อน ๆ หรือจากการใช้มือสัมผัสหนองโดยตรงและไม่ได้ล้างให้สะอาด แล้วเอามือไป สัมผัสหรือเกาที่อื่นก็อาจพาเชื้อไปติดที่อวัยวะส่วนอื่นได้ด้วย ระยะฟักตัวของโรค : อาการของโรคมักจะเกิดขึ้นเร็วหลังการมีเพศสัมพันธ์และได้รับเชื้อประมาณ 4-7 วัน (อาจเร็วหรือช้ากว่านี้ก็ได้ตั้งแต่ 3-10 วัน) โรคนี้ไม่สามารถหายเองได้ถ้าไม่ได้รับการ รักษา
  • 29.
    5. เริมที่อวัยวะเพศ (Genita HerpesSimplex Virus Infection) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่เกิดเชื้อไวรัส herpes simplex virus ทา ให้เกิดอาการปวดแสบบริเวณขา ก้นหรืออวัยวะเพศ และตามด้วยผื่นเป็นตุ่มน้าใส แผลหายได้ เองใน 2-3 สัปดาห์ แต่เชื้อยังอยู่ในร่างกาย เมื่อร่างกายอ่อนแอ เชื้อก็จะกลับเป็นใหม่
  • 30.
    เริมที่อวัยวะเพศเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดจากเชื้อเริมที่เรียกว่า herpes simplex virusestype 1 (HSV-1) หรือ type 2 (HSV-2) เริมที่อวัยวะเพศส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ HSV-2 ผู้ที่ได้รับเชื้อส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการ หากมีอาการจะเกิดตุ่มน้าที่อวัยวะเพศ เมื่อ ตุ่มน้าแตกจะเกิดแผลเล็กซึ่งมีอาการปวดแสบปวดร้อน แผลเริมจะใช้เวลาหายประมาณ 2-4 สัปดาห์ เมื่อหายแล้วสามารถเกิดเป็นซ้าได้ การติดต่อโรคเริม คนได้รับเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อนี้ แต่การติดเชื้อก็สามารถเกิดขึ้นได้แม้ว่าจะไม่มีแผล นอกจากนั้นเชื้อ HSV-1 ยังทาให้เกิด เริมที่ริมฝีปากเชื้อว่าเชื้อนี้สามารถติดต่อแบบ ปากและอวัยวะเพศได้ oral-genital
  • 31.
    การวินิจฉัยโรคเริม การวินิจฉัยทาได้โดยดูลักษณะผื่น และการนาสารหลั่งจากก้นแผลไปส่องกล้องจะพบ เซลล์ที่มีลักษณะเฉพาะ การรักษาโรคเริม ยังไม่มียาที่รักษาโรคนี้ให้หายขาด ยาเพียงทาให้ลดอาการและแผลใช้เวลาหายสั้นลง โรคแทรกซ้อนโรคเริม  ปวดที่แผล และส่งผลต่อภาวะเครียดของผู้ป่วย  สาหรับผู้ที่มีภูมิบกพร่องอาการจะเป็นมาก  หากติดเชื้อในช่วงใกล้คลอดอาจจะส่งผลเสียต่อทารก  การติดเชื้อนี้จะเพิ่มการติดโรคเอดส์
  • 32.
    6. หูดข้าวสุก (Molluscum contagiosum) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดจากเชื้อไวรัส Molluscum contagiosum virus (MCV) ทาให้เกิดเป็นตุ่มนูนบนผิวหนัง ผิวเรียบขนาดเล็ก ขนาดประมาณ 2-5 มิลลิเมตร จะพบมากขึ้นในรายที่มีการติดเชื้อ HIV จานวนตุ่มที่เกิดขึ้นอาจมีมากหรือน้อย ขึ้นกับสภาพร่างกายของผู้ป่วยขณะนั้น ว่าร่างกายมีความแข็งแรงเพียงใด ถ้าใช้เข็มสะกิดตรง กลางแล้วบีบดูจะได้เนื้อหูดสีขาว ๆ คล้ายข้าวสุก มักเป็นที่บริเวณหัวหน่าว อวัยวะเพศภายนอก และโคนขาด้านใน
  • 33.
    7. หูดหงอนไก่ (Condyloma Acuminata) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดจากไวรัส Human papilloma virus ลักษณะเป็นติ่งเนื้ออ่อน ๆ สีชมพูคล้ายหงอนไก่ ชอบขึ้นที่อุ่นและอับชื้น ในผู้ชายมักพบที่อวัยวะเพศบริเวณใต้หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย ตลอดทั้งบริเวณ รอบรอยเปิดขอบ, ท่อปัสสาวะ และอัณฑะ
  • 34.
    ส่วนผู้หญิงจะพบที่ปากช่องคลอด ผนังช่องคลอด ปากมดลูก ปากทวารหนักและฝีเย็บหูดมีขนาดโตขึ้นเรื่อย ๆ การตั้งครรภ์จะทาให้หูดโตเร็วกว่า ปกติ ถ้าไม่รีบรักษาจะเป็นมากขึ้นและยากต่อการรักษา และทารกอาจติดเชื้อได้ขณะคลอด
  • 35.
    8. ซิฟิ ลิส(Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากการติดเชื้อ Treponema pallidum เป็นโรคที่มีอันตราย และมีอาการเรื้อรัง สามารถติดต่อยาวนานกว่า 2 ปี ลักษณะการติดเชื้อเริ่มแรกจะเป็นก้อนแข็ง แต่ไม่เจ็บที่บริเวณอวัยวะเพศ หากไม่ รักษาจะกลายเป็นระยะที่สองที่เรียกว่า เข้าข้อหรือออกดอก ถ้าทิ้งไว้นานจะทาให้เกิดโรคแก่ ระบบต่างๆ ของร่างกายหลายระบบ ทั้งซิฟิลิสระบบหัวใจและหลอดเลือด ซิฟิลิสระบบประสาท เป็นต้น นอกจากนี้มารดาที่เป็นโรคซิฟิลิสจะถ่ายทอดโรคสู่ทารกในครรภ์ได้เรียกว่า ซิฟิลิสแต่ กาเนิด (congenital syphilis) จึงถือว่าซิฟิลิสเป็นโรคที่มีอันตราย และมีอาการเรื้อรัง สามารถติดต่อยาวนานกว่า 2 ปี
  • 36.
    Treponema pallidum, thebacterium which causes syphilis
  • 38.
    ติดเชื้อโรคนี้ได้อย่างไร การติดต่อจะติดต่อจากคนสู่คนโดยการสัมผัสผ่านแผล Chancre ทางเพศสัมพันธ์เชื้อโรค สามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยผ่านทางเยื่อบุช่องคลอด ท่อปัสสาวะ เชื้อโรคจะติดต่อได้บ่อยในระยะ primary เนื่องจากระยะนี้จะไม่มีอาการ ในระยะ secondary จะมีหูดระยะนี้จะมีเชื้อโรคปริมาณมากหากสัมผัสอาจจะ ทาให้เกิดการติดต่อ การติดต่อทางอื่น  เชื้อจะอ่อนแอตายง่ายดังนั้นการสัมผัสมือหรือการนั่งโถส้วมจะไม่ติดต่อ  หากผิวหนังที่มีแผลสัมผัสกับแผลที่มีเชื้อก็ทาให้เกิดการติดเชื้อ  จากแม่ไปลูก เชื้อสามารถติดจากแม่ไปลูกขณะตั้งครรภ์และขณะคลอด
  • 39.
    ซิฟิ ลิส (Syphilis) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่าTreponema pallidum เชื้อนี้ สามารถเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อเมือกเช่น ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ ปาก เยื่อบุตา หรือทางผิวหนังที่ มีแผล เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะเข้ากระแสเลือด และไปจับตามอวัยวะต่างๆทาให้เกิดโรคตาม อวัยวะ และทาให้เกิดโรคแทรกซ้อนในระยะยาว โรคนี้แบ่งออกเป็น 4 ระยะได้แก่ 1. Primary 2. Secondary 3. Latent 4. Tertiary (or late)
  • 40.
    อาการของโรค 1 Primary Syphilis ในระยะprimary รอยโรคจะปรากฏเป็นแผลริมแข็ง Chancre ซึ่งจะมีลักษณะ ที่สาคัญดังนี้  หลังจากได้รับเชื้อ 10-90 วันโดยเฉลี่ยประมาณ 21 วัน จะมีตุ่มแดงแตกออกเป็นแผลที่อวัยวะเพศ ตรงบริเวณที่เชื้อเข้า  แผลมักจะเป็นแผลเดียว ไม่เจ็บ ขอบนูน ต่อมน้าเหลืองจะโตกดไม่เจ็บ  ตาแหน่งที่พบได้บ่อยได้แก่ อวัยวะเพศชาย อัณฑะ ทวารหนัก ช่องคลอด ริมฝีปาก  แผลจะอยู่ 1-5 สัปดาห์แผลจะหายไปเอง  แม้ว่าแผลจะหายไปแต่ยังคงมีเชื้ออยู่ในกระแสเลือด  สาหรับผู้ที่เป็นโรคเอดส์ และมีขนาดใหญ่และมีอาการเจ็บมาก  การตรวจเลือกในช่วงนี้อาจจะให้ผลลบได้ร้อยละ 30
  • 41.
    2 Secondary Syphilis ระยะนี้จะเกิดหลังได้รับเชื้อ17วัน- 6 เดือน ผู้ป่วยจะมีอาการอยู่ประมาณ 2-6 สัปดาห์แล้วจะหายไป แม้ว่าจะไม่ได้รับ การรักษา ต่อมน้าเหลืองโต ปวดตามข้อเนื่องจากข้ออักเสบ อาการที่สาคัญมีดังนี้............
  • 42.
     มีผื่นสีแดงน้าตาลที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้าไม่คัน  ผื่นนี้สามารถพบได้ทั่วตัว ทั้งฝ่ามือ ฝ่าเท้า  จะพบหูด Condylomata lata บริเวณที่อับชื้น เช่น รักแร้ ทวารหนัก ขาหนีบ  จะพบผื่นสีเทาในปาก คอ และปากมดลูก  ผมร่วงเป็นหย่อมๆ  ผู้ป่วยจะรู้สึกไม่สบาย อาการเหล่านี้จะอยู่ได้ 1-3 เดือนหายไปได้เอง และอาจจะกลับ เป็นซ้า การตรวจเลือดในช่วงนี้จะให้ผลบวก 2 Secondary Syphilis อาการที่สาคัญมีดังนี้............
  • 43.
    3 Latent Stageระยะแฝง ช่วงนี้ผู้ป่วยไม่มีอาการของโรค ช่วงนี้กินเวลา 2-30 ปีหลังจากได้รับเชื้อ ในช่วงนี้จะทราบได้โดยการเจาะเลือดตรวจ ในระยะนี้อาจจะเกิดผื่นเหมือนในระยะ Secondary Syphilis ในระยะนี้หากตั้งครรภ์ เชื้อสามารถติดไปยังลูกได้ 4 Late Stage (Tertiary) ระยะนี้จะกินเวลา 2-30 ปีหลังได้รับเชื้อ ระยะนี้เชื้อโรคจะทาลายอวัยวะต่างๆเช่น หัวใจและหลอดเลือด สมองทาให้อ่อนแรงหรืออาจจะ ตาบอด กระดูกหักง่าย หากไม่รักษาให้ทัน อวัยวะต่างๆจะถูกทาลายโดยที่ไม่สามารถกลับเป็นปกติ การตรวจเลือดอาจจะให้ผลลบได้ร้อยละ30
  • 44.
    Congenital Syphilis  หมายถึงทารกที่ติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์เด็กจะมีอาการดังนี้ 1. เด็กจะมีอาการหลังคลอด 3-8 สัปดาห์ 2. อาการอาจจะมีเล็กน้อยจนไม่ทันสังเกตเห็น ทาให้ไม่ได้รับการรักษา 3. เด็กโตขึ้นจะกลายเป็นระยะ Late Stage (Tertiary) โดยเชื้อที่อยู่ในกระแสเลือดจะผ่านรกเข้า สู่ทารกในครรภ์ หลังจากมารดาตั้งครรภ์ มากกว่า18สัปดาห์แล้ว 80% จะเกิดมา โดยไม่มีอาการแต่จะเกิดอาการภายหลัง เมื่อคลอด
  • 45.
    การรักษาโรคนี้ต้องทาอย่างไร  ยาที่ใช้รักษาคือ Penicillinเป็นเวลา 1-3 สัปดาห์  การรักษาต้องรักษาทั้งคู่  หลังจากรักษา 6 เดือนต้องตรวจซ้าหลังจากนั้นตรวจทุกปี
  • 46.
    9. พยาธิช่องคลอด (VaginalTrichomoniasis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อโปรโตซัว Trichomonas vaginalis ผู้ป่วยจะมีอาการตกขาวผิดปกติ มีสีเขียวขุ่นหรือเหลืองเข้ม มีฟองอากาศและมีกลิ่นเหม็น เกิดการระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศ เจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ คันและแสบปากช่องคลอด
  • 49.