More Related Content
Similar to Sex education (20)
Sex education
- 2. • นางสาวอลิสา ใจเดียว
53011112067 AR ระบบปกติ
• นางสาวภูริชญา มีแก้ว
53011010441 HOS ระบบปกติ
• นางสาวเกษราภรณ์ ระวาสเสริฐ 53010217063
MBG
• นายณัฐพงษ์ ประกอบดี
53010916149 BC
• นางสาวแสงระวี กิจเจริญ
53010914927 AC ระบบปกติ
• นางสาวนิภาพร ผาไสว
53010522014 ..... ระบบพิเศษ
- 3. • นางสาววรรณา ใจสบาย
53010211141 ชีววิทยา
• นางสาวสรญา อ่างวิเชียร
53011111058 UA ระบบปกติ
• นายวราวิชญ์
วงษา 52011111047
AUD ระบบปกติ
• นางสาวชนัญชิดา ตะเพ็ชร
53011812027 FH
• นายธนากรณ์ เชิญ
ชม 53011123013
• นางสาว วิชชุดา
- 5. เมื่อมีการค้นพบและเริ่มใช้ยาเพนนิซลิน
ิ
( penicillin ) และยาปฏิชวนะตัวอื่นๆ ใน
ี
ช่วงปีทศวรรษที 1940 ทำาให้การรักษาโรค
่
กามโรคได้ผลดี ในปี ค.ศ. 1957 จำานวน
รายผู้ปวยของโรคหนองในและซิฟิลิสลดตำ่า
่
ลงอย่างมาก อย่างไรก็ตามเมื่อการรักษา
โรคได้ผลดีทำาให้ความตระหนักของ
สาธารณชนต่อกามโรค ลดลง จึงมีอุบัติ
การณ์ของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้น
อีก ทำาให้มีโรคใหม่ๆ เกิดขึ้น และดื้อต่อยา
ปฏิชีวนะมากขึ้น โรคใหม่ๆ เหล่านั้น
- 6. สถานการณ์การติดเชื้อทางเพศ
สัมพันธ์
(Situation of sexually transmitted
infection )
ภาวะการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เป็น
สาเหตุสำาคัญที่ทำาให้เกิดการเจ็บป่วยเฉียบพลัน
ทำาให้เกิดภาวะการมีบตรยาก ทุพลภาพและอาจตาย
ุ
ได้ ซึ่งมีผลกระทบต่อภาวะสุขภาพกายและจิตใจและ
สุขภาพที่รนแรงต่อทังผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กได้
ุ ้
องค์การอนามัยโลก (World Health
Organization / WHO ) ได้ประเมินการจำานวนผู้
ป่วยรายใหม่ด้วยภาวะการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์จาก
โรค ซิฟิลิส โกโนเรีย ทริคโคโนนิเอซีส และคลา
มัยเดีย ในผูหญิงและผูชายที่มีอายุระหว่าง 15 – 49
้ ้
- 7. ตาราง 8.1 จำานวนคาดการณ์ผู้ตดเชื้อ
ิ
โรคทางเพศสัมพันธ์รายใหม่ในปี 2542
แถบประเทศ
จำานวน ( หน่วย : ล้าน )
แอฟริกาใต้เขตทะเลทรายซาฮารา
69
เอเชียใต้และตะวันออกเฉียงใต้
151
ละตินอเมริกาและแคริบเบียน
38
อเมริกาเหนือ
14
เอเชียตะวันออกและแปซิฟิก
18
รวม
ยุโรปตะวันตก
340
*** ที่มา World Health
17
Organization ( 2001 ) ***
เอเชียกลางและยุโรปตะวันออก
- 8. เชื้อที่สามารถติดต่อทางเพศ
สัมพันธ์ได้มจำานวนมากกว่า 20
ี
ชนิด ซึงส่วนใหญ่สามารถรักษา
่
หายได้ด้วยยาต้านจุลชีพ ลักษณะ
ของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่
สำาคัญ และเป็นปัญหาทางด้าน
สาธารณสุขและสังคม ซึงประกอบ
่
ด้วย โรคหนองใน , โรคหนองใน
เทียม , โรคซิฟิลิส , แผลริม
อ่อน , กามโรคของต่อมและนำ้า
- 9. โรคหนองใน
(Gonorrhoea)
โรคหนองใน เป็นโรคติดต่อทางเพศ
สัมพันธ์ชนิดหนึ่งที่รู้จักกันมานาน คำาว่า โก
โนเรีย (Gonorrhoea) พบครั้งแรกโดย
นายแพทย์กาเลน ในพ.ศ. 673 ซึงเกิดจาก่
คำาว่า “gonos” แปลว่า เม็ด และ “rhoea”
แปลว่า ไหล รวมกันแล้วหมายถึง การไหล
ของหนองจากบริเวณท่อปัสสาวะ ต่อมในปี
พ.ศ. 2422
อัลเบิร์ต นิสเซอร์ ได้ค้นพบเชือแบคทีเรีย
้
- 10. อาการและอาการแสดง
ในผู้ชายหลังจาก
ได้รับเชือประมาณ 2-10 วัน จะมีอาการแสบในลำา
้
กล้องเวลาถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายปัสสาวะขัด และมี
หนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ ในระยะแรกอาจ
ไหลซึมเป็นมูกใส ๆ เล็กน้อย ภายใน 12 ชัวโมง ่
ต่อมาจะกลายเป็นหนองข้น และออกมาคล้ายเส้น
ก๋วยเตี๋ยว ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจมีหนองใน
ไหลอยู่ 3-4 เดือน และเชื้อหนองในอาจลุกลามไป
ยังบริเวณที่ใกล้เคียง ทำาให้ท่อปัสสาวะอักเสบ ซึ่ง
- 12. การวินิจฉัยและการรักษา
ในการรักษาโรคหนองใน ยารับประทาน
หลายตัวสามารถรักษาหนองในแท้ได้ แต่ในทาง
ปฏิบัติจริงเชื้อเหล่านี้ดื้อยาจนไม่อาจใช้เป็นแนวทาง
รักษาได้แล้ว ต้องใช้ยาฉีดอย่างเดียว
การวินจฉัยโรคหนองใน สามารถทำาได้โดย
ิ
การซักประวัตการมีเพศสัมพันธ์ พร้อมด้วยอาการ
ิ
และอาการแสดงโดยเฉพาะในผูชายที่มีอาการของ
้
โรคชัดเจน แต่ถ้าในรายที่อาการไม่ชัดเจนโดย
เฉพาะในผู้หญิง จำาเป็นต้องอาศัยการตรวจทางห้อง
ปฏิบัติการ่วมด้วย โดยทั่วไปแล้วจะทำาการตรวจย้อม
สีแกรมจากหนอง หรือสิ่งที่ถูกขับออกมาจากท่อ
ปัสสาวะ นอกจากการวินิจฉัยข้างต้นแล้ว ถ้าตรวจ
- 13. โรคหนองในเทียม
• โรคหนองในเทียม(Non-gonococcal
urethitis) มีอาการคล้ายโรคหนองใน คือมีอาการ
ของท่อปัสสาวะอักเสบ ถ่ายปัสสาวะขัด มีนำ้าใส
หรือหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะในบางครั้งแต่
ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ ไม่พบเชื้อ นิสเซอร์
โกโนเรีย (N.gonorrhoeae) จึงได้ชื่อว่าหนองใน
เทียม หรือ nonspecific urethritis; NSU) พบ
ในชายรักต่างเพศมากกว่ารักร่วมเพศ ในรายที่เป็น
โรคหนองในแล้วรักษาด้วยยาขนาดสูงๆแบบครัง ้
เดียว ถึงแม้อาการจะดีขึ้นแต่บางรายจะกลับมี
อาการอีกประมาณ 2-3 วัน ซึ่งเรียกว่าโรคทางเดิน
- 14. • สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ คลา
มัยเดีย แทรกโคโมติส
(Chiamydia trachomotis) ถึง
ร้อยละ 50 ของจำานวนที่เป็นโรค
หนองในเทียมทั้งหมด นอกนั้นอาจมี
เชื้อ ยูรพลาสมา ยูรีไลติ
ี
คัม(Ureaplasma urealyticum)
แคนดิดา อัลบิแคน (Candida
albican) ทริโคโมแนส วาจินลลิส
ั
(Trichomonas vaginalis) อะไม
โคพลาสมา เจนนิทัลเลียม
- 15. อาการและการแสดง
ระยะฟักตัวของหนองในเทียม
ประมาณ 2-3 สัปดาห์ อาจนานถึง 5
สัปดาห์ ผูทติดเชื้ออาจมีอาการ หรือ
้ ี่
ไม่มีอาการก็ได้ บางคนอาจมีอาการ
ปัสสาวะขัดและแสบ มีหนองหรือนำ้าใสๆ
ไหลออกจากท่อปัสสาวะ ในผูหญิงอาจ
้
ไม่มีีอาการก็ได้ ซึงมักเป็นปัญหาต่อ
ี ่
การป้องกันโรค และในผูหญิงตังครรภ์
้ ้
และคลอดบุตร อาจทำาให้ทารกติดเชื้อ
- 16. การวินิจฉัยและการรักษา
การวินจฉัยโรคหนองในเทียมจะต้อง
ิ
พยายามแยกโรคจากโรคหนองใน ซึ่งเป็นการยาก
ถ้าดูจากอาการและอาการแสดง เพราะทั้งสองโรค
มีอาการคล้ายกัน จึงต้องมีการตรวจทางห้องปฏิบัติ
การ ถ้าตรวจไม่พบเชื้อ นิสเซอร์ โกโนเรีย
(N.gonorrhoeae) ก็จะเป็นโรคหนองในเทียม
ส่วนการรักษาที่ได้ผลดีนน ควรจะตรวจหา
ั้
เชือที่เป็นสาเหตุของหนองในเทียม และใช้ยา
้
ปฏิชวนะที่สามารถกำาจัดเชือที่เป็นสาเหตุนั้น ถ้า
ี ้
เกิดจากเชือคลามัยเดีย มักจะใช้ยาเตตราซัยคลิน
้
- 17. โรคซิฟิลส (Syphilis)
ิ
โรคซิฟิลส (syphilis) เป็นกามโรคที่
ิ
เกิด
จากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ ทริพโพนิมา พอล
ลิดม (Treponema pallidum) ทีมี
ั ่
ลักษณะรูปเกลียว (spirochete) สามารถมี
ชีวตอยู่ในเลือดทีอุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส
ิ ่
ได้ ประมาณ 3-4 วัน เชือซิฟิลิสจะตายถ้าใช้
้
ยาฆ่าเชื้อทั่วไป ความร้อน ความแห้ง หรือ
นำ้าสบู่ เชือสามารถเข้าสู่รางกายได้ทางแผล
้ ่
- 18. อาการและอาการแสดง
โรคซิฟิลสมีระยะฟักตัวประมาณ 10 วัน
ิ
ถึง 10 สัปดาห์ เฉลี่ยประมาณ 3 สัปดาห์
และมีอาการของโรคที่แบ่งออกเป็นระยะได้
2 ระยะ คือ ซิฟิลิสระยะแรก (early syphilis)
และซิฟลิสระยะหลัง (late syphylis) ดังนี้
ิ
- 19. ซิฟิลิสระยะแรก (Early
•
syphilis) งย่อยได้เป็น 3
เป็นอาการเริ่มแรกที่สามารถแบ่
ระยะที่สำาคัญดังนี้
2.ซิฟิลิสระยะทีหนึ่ง หลังจากติดเชือซิฟิลิสผ่าน
่ ้
ระยะฟักตัวแล้ว จะมีอาการเป็นตุมสีแดงคลำ้า
่
บริเวณที่เชือเข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะที่อวัยวะ
้
เพศ ต่อมาตุ่มแดงจะแตกเป็นแผล มักจะมีแผล
เดียว ขอบแข็ง ไม่เจ็บ จึงมักเรียกว่า แผลริม
แข็ง (hard chancre) เป็นแผลสะอาด ขอบนูน
แข็ง มีนำ้าเหลืองไหลออกมามาก ซึ่งในนำ้า
เหลืองที่ออกจากแผลจะมีเชื้อซิฟิลิสอยู่จำานวน
มาก อาจมีอาการต่อมนำ้าเหลืองโตข้างใดข้าง
- 20. • ซิฟิลิสระยะที่สอง ผู้ป่วยอาจมีอาการไข้ตำ่าๆ
ปวดกระดูก กล้ามเนื้อและข้อเบืออาหาร มีผื่น
่
แดงเรื่อๆ แต่ไม่คัน อาจพบได้ทั่วตัวหรือเฉพาะ
บริเวณอก ฝ่ามือฝ่าเท้า อาจมีผมร่วงเป็น
หย่อมๆ ถ้าตรวจเลือดจะให้ผล VDRL
(Venereal Diseases Research Laboratory)
บวก ระยะนีเรียกว่า “ระยะออกดอก” จะเป็น
้
ระยะที่มีเชือมาก ติดต่อได้งาย ถ้าไม่ได้รับการ
้ ่
รักษาอาการจะหายไปเอง ร้อยละ 30-40 นอก
นันโรคจะเข้าสู่ระยะแฝง
้
• ซิฟิลิสระยะแฝงเริ่มแรก เป็นระยะที่ไม่มีอา
การใดๆ แต่ผลตรวจเลือด VDRL ให้ผลบวก ผู้
- 21. ซิฟิลิสระยะหลัง
(Late syphilis หรือ Tertiary
syphilis)
• เป็นระยะที่เกิดขึ้นหลังจากซิฟิลิสระยะทีสอง ประมาณ 3-30 ปี
่
ยกเว้นในผูป่วยภูมิคมกันบกพร่อง ซึ่งจะกินเวลาสั้นกว่า ในระยะนี้
้ ุ้
เป็นระยะที่มีการอักเสบของระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น ระบบ
ประสาท ระบบหัวใจและเส้นเลือด ซึ่งมักจะเรียกชือตามระบบที่
่
ซิฟิลิสปรากฏอาการ ดังนี้
2. ซิฟิลิสระยะแฝงช่วงหลัง ผูป่วยจะไม่มีอาการใดๆ แต่ให้ผล
้
ตรวจเลือด VDRLบวก
3. ซิฟิลิสระยะบิไนกัมมา (benign gumma) มักมีอาการภาย
หลัง 2-10 ปี เริ่มมีอาการตุ่มนูน (nodule) หรือรอยโรคชนิด แกรนู
โลมาตัส (granulomatous) ทีผิวหนัง และอวัยวะภายใน เช่น
่
กระดูก ตับ ระบบประสาทส่วนกลาง หลอดเลือด หัวใจ และสมอง
4. ซิฟิลิสระบบไหลเวียนโลหิต มักเกิดหลังจากแผลริมแข็ง
ประมาณ 10 ปี อาจมีเส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง (aneurysm in
- 22. การวินจฉัยและการรักษา
ิ
สามารถวินจฉัยได้จากประวัต และจากอาการ
ิ ิ
และอาการแสดง และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
โดยการตรวจสารคัดหลั่งจากแผล หรือรอยโรคของ
ซิฟิลิสระยะที่หนึ่ง และระยะที่สอง นอกจากนั้น การ
ตรวจหาแอนติบอดีโดยวิธีทางอิมมิวโนวิทยา
(Immunology) เช่น การตรวจกาแอนติบอดี ชนิด
หนึ่ง (regain) ที่ไม่จำาเพาะ โดยใช้วิธี VDRL
(Venereal Diseases Research Laboratory)
หรือการตรวจหาแอนติบอดี ชนิด Treponemal
antibody เช่น Fluorescent treponemal antibody-
absorption test (FTA-ABS Test) เป็นต้น
- 23. โรคแผลริมอ่อน(Cha
ncroid)
แผลริมอ่อนเป็นกามโรคที่พบบ่อย
ในแถวเขตร้อน พบได้ทงชายและหญิง
ั้
แต่พบในชายมากกว่า เกิดจากเชื้อ
แบคทีเรียชนิดกรัมลบ ชื่อ ฮีโมฟีลัส ดู
คริอัย โดยเชื้อจะเข้าสูรอยถลอกหรือ
่
เยื่อเมือกของอวัยวะเพศ จะมีอาการเป็น
ตุ่มและแตกภายใน 2-3วัน กลายเป็น
แผลที่มีขอบแดง ไม่เรียบไม่แข็ง มี
- 24. การวินิจฉัยการรักษา
โรคแผลริมอ่อน สามารถ
วินิจฉัยได้ด้วยการดูจากอาการและ
อาการแสดง และการตรวจทางห้อง
ปฏิบัติการ ด้วยการย้อมสีเพื่อตรวจ
หาเชื้อ โมฟีลัส ดูคริอัย
* โรคแผลริมอ่อน สามารถ
รักษาได้ด้วยการใช้ยา
trimethroprim-
- 25. กามโรคของต่อมและนำ้าเหลือง
(Lymphogranuloma
Venereum; LGV)
โรคกามโรคของต่อมและท่อนำ้า
เหลือง พบบ่อยในประเทศเขตร้อน เกิด
จากเชื้อแบคทีเรีย คลามัยเดีย แทรก
โคโมติส (chlamydia
trachomotis) โดยจะเข้าสูร่างกาย
่
ทางแผลถลอก และทางเยื่อเมือกของ
อวัยวะเพศ แล้วแพร่เข้าสูต่อมนำ้าเหลือง
่
- 26. อาการและอาการแสดง
• อาการของโรคมีสองระยะ คือ
ระยะแรก จะมีอาการเป็นแผลเล็กๆ ที่ผวหนอง
ิ
และอวัยวะเพศ แล้วต่อมนำ้าเหลืองที่ขาหนีบจะ
บวมโต เป็นก้อนตามร่องขาหนีบ (inguinal
adenitis) ต่อมาฝีจะแตกมีหนองไหล นอกจาก
นัน จะมีอาการไข้ หนาวสัน ปวดศีรษะ คลื่นไส้
้ ้
ตาแดง มีผื่นที่ผวหนัง และนำ้าหนักลด
ิ
ระยะหลัง หากไม่ได้รบการรักษาจะมีอาการ
ั
อุดตันของท่อนำ้าเหลือง มีอาการติดเชือลุกลาม
้
ไปตามอวัยวะรอบๆ เช่น ช่องคลอด ลำาไส้ใหญ่
ส่วนปลาย ในผู้ชายอาจมีอาการบวมโตของ
- 27. การวินิจฉัยและการรักษา
การวินจฉัยโรคนี้ สามารถทำาได้จาก
ิ
อาการและอาการแสดง และตรวจทาง
ห้องปฏิบัติการหาเชื้อ คลามัยเดีย
แทรกโคโมติส (C. trachomotis)
ส่วนการรักษาโรคนี้ รักษาได้โดยการใช้
ยา tetracycline หรือ
oxytetracycline
- 28. แผลกามโรคเรื้อรังที่ขาหนีบ
• (Granuloma Inguinale;
Dovovanosis)
โรคแผลกามโรคเรือรังที่ขาหนีบ
้
t
(donovanosis) มักพบมากในประเทศ
อินเดียและศรีลังกาและพบบ้างในประเท
ศอื่นๆ ส่วนประเทศพบจำานวนน้อย เกิด
จากเชื้อแบคทีเรียชนิดแกรมลบคัมลิมมา
โตแบคทีเรียม แกรนูโลมาติส
(Calymmatobacterium
granulomatis) เนื่องจากเชื้อชนิดนี้พบ
ได้ในอุจจาระ จึงคาดว่าเกิดจากการมีเพศ
- 29. การวินิจฉัยและการรักษา
การวินิจฉัยมักดูจากอาการ และอาจมี
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ด้วยการย้อมชิ้น
เนื้อที่ตัดจากแผลด้วย ไรท์ สเตน
(Wright’s stain) หรือกิมสา ส
เตน(Giemsa’s stain) เพือหาเชื้อการ
่
รักษามักใช้ยาเตตราซัยค
ลิน(tetracycline) หรือ
(Oxytetracycline) หรือ ตรัยเมทโธรปริ
ม ซัลฟาเมทธอกซา
- 30. เอดส์
(HIV Infection and
AIDS)
เอดส์ (AIDS) ไม่ใช่โรค แต่เป็นก
ลุ่มอาการที่เกิดจากภาวะภูมิคุ้มกัน
บกพร่อง คำาว่า เอดส์ (AIDS) ย่อมา
จากคำาว่า Acquired
Immunodeficiency Syndrome
หมายถึง “กลุ่มอาการของภาวะ
ภูมิคุ้มกันบกพร่องจากการเสาะหา
ซึ่งเกิดจากการติดเชือ HIV
้
- 31. สถานการณ์การติดเชื้อเอชไอ
วีและเอดส์
(HIV/AIDS situation)
สถานการณ์การแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวี
และเอดส์ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและกระทบกับคน
ทั่วโลก ตั้งแต่มีรายงานการพบผู้ป่วยเอดส์ครั้งแรก
ที่นครนิวยอร์ก ในปี พ.ศ.2524 เป็นต้นมา จำานวน
ผู้ติดเชื้อมีมากขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นปัญหาที่
สำาคัญของโลก จากรายงานการคาดการณ์ปญหา ั
เอดส์ โดยโปรแกรมเอดส์แห่งสหประชาชาติ
(UNAIDS) และองค์การอนามัยโลก (World
Health Organisation/WHO) พบว่าจำานวนผู้ตด ิ
เชือทั้งเด็กและผู้ใหญ่เมื่อสิ้นปี พ.ศ.2541 มี
้
ประมาณ 33.4 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม
ประเทศแอฟริกาแถบใต้ทะเลทรายซาฮารา (sub-
Saharan Africa) ประมาณ 22.5 ล้านคน อันดับ
- 32. ตารางที 8.2 จำานวนคาดการณ์ผู้ติดเชื้อ
่
HIV/AIDS เมื่อสินปี 2541
้
แถบประเทศ
จำานวน (หน่วทะเลทรายซาฮารา
แอฟริกาเขตใต้ ย : ล้าน)
22.5
เอเชียใต้และตะวันออกเฉียงใต้
6.7
ละตินอเมริกา
1.4
อเมริกาเหนือ
0.89
เอเชียตะวันออกและแปซิฟก
ิ
0.56
ยุโรปตะวันตก
รวม
0.50
33.4
- 33. อาการแสดงของการติดเชื้อ
HIVและเอดส์
1. ระยะติดเชื้อทีไม่ปรากฏอาการ แบ่งเป็น 2 ระยะคือ (1)
่
ระยะแรกของการติดเชื้อHIV (acute retroviral
syndrome) เป็นช่วงระยะประมาณ 1-6 สัปดาห์ ในระยะนี้
อาจจะพบอาการประมาณ ร้อยละ50 ได้แก่ มีอาการคล้ายไข้
หวัด มีไข้ ปวดศีรษะ ต่อมนำ้าเหลืองโตบริเวณคอ รักแร้ เจ็บ
คอแต่ไม่มเสมหะ มีผนขึนผิวหนัง ตามลำาตัว ปวดเมื่อย เบื่อ
ี ื่ ้
อาหาร อุจจาระร่วง อาการจะหายไปต่อมเอระดับของ
แอนติบอดี (antibody) ต่อเชือHIV เริ่มสูงขึ้น (2) ระยะที่
้
สองเป็นระยะติดเชือทีไม่ปรากฏอาการแต่ผลการตรวจเลือด
้ ่
เซรั่ม(serum) และนำ้าลายให้ผลบวกต่อanti-HIV
2. ระยะมีอาการของโรคเอดส์ อาจเริมมีอาการติดเชือใน
่ ้
ช่องปากและลำาคอ ต่อมนำ้าเหลืองโตบริเวณรักแร้ คอ ขา
หนีบ เกิดอาการงูสวัด หรือแผลลุกลาม มีอาการเรื้อรังต่างๆ
เช่น อุจจาระร่วงเรื้อรัง มีไข้ไม่ทราบสาเหตุ นำ้าหนักลด มักมี
อาการเรื้อรังและมีการติดเชือฉวยโอกาส และในที่สดมี
้ ุ
อาการเอดส์
- 34. การติดต่อและการแพร่
•
กระจาย
โดยหลักการ เชื้อ HIV ติดต่อโดยการแลกเปลี่ยน
สารคัดหลั่งในร่างกาย โดย
2.การติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อเอชไอวี
โดยเฉพาะทางช่องคลอด ทางทวารหนัก ส่วนการมี
เพศสัมพันธ์ทางปากนั้นพบว่ามีการติดเชื้อจำานวน
น้อย และพบว่าเพศชายแพร่เชื้อไปสู่ผู้หญิงมากกว่า
ผู้หญิงแพร่ไปสู่ผู้ชาย
3.การติดต่อโดยทางเลือดหรือเข็ม ซึ่งแพร่ได้จาก
ผลิตภัณฑ์ของเลือด นอกจากนั้นยังแพร่ได้โดยการ
ฉีดยาเสพย์ติดและจากการถูกเข็มที่ปนเปือนตำา
้
4.การติดต่อจากมารดาทีติดเชื้อสู่ทารกแรกเกิด ใน
่
- 35. ปัจจัยที่มผลต่อการดำาเนินโรค
ี
• ผู้ติดเชือเอชไอวีประมาณร้อยละ 95 จะกลาย
้
เป็นเอดส์เต็มขั้นภายใน15 ปีแล้วเสียชีวิต
ภายใน 2-5 ปี ปัจจัยที่ทำาให้เชือกลายเป็นเอดส์
้
เต็มขั้นดังต่อไปนี้
• 1.ระยะเวลาที่ตดเชือพบว่าร้อยละ20-25 ของผู้
ิ ้
ติดเชือจะกลายเป็นเอดส์ภายในเวลา 6 ปี และ
้
เพิมเป็นร้อยละ50 ภายในเวลา 10 ปี
่
• 2.วิธีติดเชื้อ
• 3.ปริมาณและสายพันธุ์ของเชือที่ได้รับ
้
• 4.ภาวะภูมิคุ้มกัน แต่เดิมและภาวะโภชนาการ
ของผู้ป่วย
• 5.สุขภาพจิตและการออกกำาลังกาย
- 36. การวินิจฉัยโรค ประกอบด้วย
หลักฐาน 2 ประการ
1. มีการติดเชื้อเอชไอวี
2. สิงแสดงถึงภาวะภูมิคุ้มกันของเซลล์
่
บกพร่อง ซึงจะมีโรคบ่งชีดังนี้ โรค
่ ้
ปอดบวมจากเชื้อนิวโมซีสติสคาไรนิอี
มะเร็งหลอดเลือด,HIV encephalopathy,
Extrapulmomary tuberculosis,
Disseminated histoplasmosis
• การตรวจหาการติดเชือ HIV ในห้อง
้
ปฏิบัตการแบ่งได้ 2 กลุ่ม
ิ
1. การตรวจหาเชื้อไวรัส
- 37. วิทยาการระบาด
• ระยะที่ 1 การระบาดในกลุ่มผู้ติดยาเสพติดชนิดฉีดและ
กลุ่มรักร่วมเพศ
ในช่วงปี 2528-2530 พบผู้ติดเชื้อกลุ่มนี้ประมาณร้อยละ 1
ส่วนใหญ่เป็นผู้ติดยาเสพติดชนิดฉีด ในปี 2531 พบเพิ่มขึ้น
เป็นร้อยละ 32-43 ในกลุ่มผู้ติดยาและจำานวนลดอยู่ในช่วง
ปราณร้อยละ 35-40
• ระยะที่ 2 การระบาดในกลุ่มหญิงผู้ขายบริการทางเพศ
ในช่วงปี 2528-2531 มีความชุกประมาณร้อยละ 1 เมือ ่
เดือนมิถุนายน 2532 ทำา national sentinel
serosurveillance พบผู้ติดเชื้อสูงถึงร้อยละ 44 เฉลี่ยทุก
ภาคประมาณร้อยละ 30-35 ในภาคเหนือสูงถึงร้อยละ
50-70
• ระยะที่ 3 การระบาดในกลุ่มชายวัยเจริญพันธุ์
ปี 2532 มีการติดเชื้อเอชไอวีในชายที่เป็นกามโรค
ประมาณร้อยละ 2-3 แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ7-8
- 38. สาเหตุของการเกิดโรคระบาดของ
การติดเชือ HIV/AIDS ในประเทศไทย
้
แพร่อย่างรวดเร็ว
1. ปัจจัยด้านพฤติกรรมทางเพศ
2. ปัจจัยทางด้านประชากร วัยแรงงาน
และวัยเจริญพันธุ์มีมากกว่าร้อยละ 50
ของประชากรทังหมด
้
3. ปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง
4. ปัจจัยด้านชีวภาพ สายพันธุ์ของเชือ้
ในประเทศไทยแตกต่างจากสายพันธุ์
ที่พบในประเทศทีพัฒนาแล้ว
่
- 42. ชนิดของวัคซีนโรคเอดส์ แบ่งได้
3 ชนิด
ก. วัคซีนป้องกันโรคเอดส์ (Preventive
vaccine)ใช้ฉีดในคนปกติเพื่อป้องกันการติดเชือ ้
HIV
ข. วัคซีนเพื่อการรักษา (Therapeutic
vaccine) ใช้ฉีดในคนที่ติดเชื้อ HIV เพือป้องกัน
่
หรือชะลอการเกิดอาการเอดส์
ค. วัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อจาก
มารดาสู่ทารก ซึ่งอาจเป็นการป้องกันหรือรักษา
โรคเอดส์ได้