More Related Content
Similar to โรคติดต่อที่สำคัญในเด็ก
Similar to โรคติดต่อที่สำคัญในเด็ก (20)
More from ยุทธกิจ สัตยาวุธ
More from ยุทธกิจ สัตยาวุธ (20)
โรคติดต่อที่สำคัญในเด็ก
- 2. โรคมือ เท้า ปาก(Hand Foot and Mouth Disease)
พบมากในเด็กทารกและเด็กเล็ก มักเกิดในช่วงต้นฤดูฝนถึงฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงธันวาคม
สาเหตุ
การติดต่อ
อาการ
อาการผิดปกติที่ควรรีบไปพบแพทย์
การป้องกัน
เกิดจากเชื้อกลุ่มเอนเทอโรไวรัส(Enterovirus)
จากการสัมผัสโดยตรงกับน�้ำมูกน�้ำลายละอองจากการไอจามน�้ำเหลือง
จากแผลพุพองหรืออุจจาระของผู้ป่วยที่มีเชื้อมีระยะฟักตัว3-7วัน
เริ่มจากมีไข้ต่อมาอีก1-2วันมีอาการเจ็บปากและเบื่ออาหารมีแผลอักเสบ
ที่ลิ้น เหงือก และกระพุ้งแก้มทั้งสองข้าง ต่อมาที่ผิวหนังจะมีผื่นเป็นจุดแดง
อาจจะนูนหรือราบ ไม่มีอาการคัน ผื่นพบมากที่ฝ่ามือฝ่าเท้า ผื่นนี้จะ
กลายเป็นตุ่มพองใสรอบๆแดงและแตกออกเป็นหลุมตื้นๆ
-เด็กมีอาการซึมลงไม่เล่นไม่รับประทานอาหารหรือนม
-บ่นปวดศีรษะมากปวดทนไม่ไหว
-มีอาการพูดเพ้อไม่รู้เรื่องสลับกับการซึมลง
-ปวดต้นคอคอแข็งมีการรับรู้สับสนและอาเจียน
-มีอาการสะดุ้งผวาตัวสั่นๆอาจมีแขนหรือมือสั่นบ้าง
-มีอาการไอหายใจเร็วดูเหนื่อยๆหน้าซีดมีเสมหะมากโดยอาจมีหรือไม่มีไข้ร่วมด้วยก็ได้
- หมั่นล้างมือเด็กด้วยสบู่ทุกครั้งก่อนและหลังการรับประทานอาหารหลังขับถ่ายและหลังจาก
เล่นของเล่น
- ก�ำจัดขยะและสิ่งปฏิกูลดูแลรักษาและท�ำความสะอาดอาคารสถานที่เครื่องมือเครื่องใช้ และ
ของเล่นต่างๆ
- คัดกรองเด็กที่ป่วยแยกออกจากเด็กปกติหรือให้หยุดพักรักษาตัวที่บ้านประมาณ1สัปดาห
หรือจนกว่าจะหายเป็นปกติเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้เด็กอื่นๆ
อาจท�ำให้เสียชีวิต
- 6. โรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ(Pneumonia)
สาเหตุ
การติดต่อ
อาการ
การป้องกัน
เชื้อไวรัสแบคทีเรียและเชื้อรา
การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย หรือสัมผัสสารคัดหลั่งทางตา จมูก และ
การสูดหายใจเอาเชื้อที่อยู่ในอากาศที่เป็นละอองฝอยเข้าสู่ปอดโดยตรง
เริ่มจากมีไข้ต�่ำๆ ไอ มีน�้ำมูก คออักเสบ ต่อมาไข้สูง หอบเหนื่อย
หายใจล�ำบากและมีเสียงหวีดหรือฮืด ซึมลง ตัวเขียว ไม่กินน�้ำ ไม่กินนม
ซึ่งเป็นสัญญาณของอาการปอดบวมต้องรีบพาไปพบแพทย
1. ไม่ควรน�ำเด็กเล็กใกล้ชิดกับผู้ป่วยและอยู่ในที่มีผู้คนหนาแน่นเช่นศูนยการค้า
โรงภาพยนตรโดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัด
2. หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น ควันบุหรี่ควันไฟควันจากท่อไอเสียรถยนตหรือ
อากาศที่หนาวเย็น
3. ล้างมือให้เด็กบ่อยๆรวมถึงคนรอบข้าง
4. เมื่อมีเด็กป่วยในศูนยเด็กเล็กหรือโรงเรียนให้ผู้ปกครองรับเด็กกลับบ้าน
หากไม่สามารถรับกลับบ้านได้ให้แยกเด็กและแยกเครื่องใช้ของเด็กป่วย
ออกจากเด็กปกติเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค
5. ให้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่และวัคซีนป้องกันโรคปอดบวม
- 8. เลี่ยง
-เลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้ป่วยหรือสถานที่คนหนาแน่น
มาตรการ “ปิด ล้าง เลี่ยง หยุด ฉีด”
สำ�หรับการป้องกันโรคทางเดินหายใจ
ปิด
ล้าง
หยุด
ฉีด
-ปิดปากปิดจมูกเมื่อไอหรือจาม
-ล้างมือบ่อยๆด้วยน�้ำและสบู่
-หยุดงานหยุดเรียนหยุดกิจกรรมกับผู้อื่นพักรักษาตัวอยู่บ้านจนกว่าจะหาย
1) หญิงตั้งครรภอายุครรภ4เดือนขึ้นไป
2)เด็กอายุ6เดือนถึง2ปี
3)ผู้มีโรคเรื้อรังคือปอดอุดกั้นเรื้อรังหอบหืดหัวใจหลอดเลือดสมองไตวาย
ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบ�ำบัดและเบาหวาน
4)บุคคลที่มีอายุ65ปีขึ้นไป
5)ผู้มีน�้ำหนักตัวมากกว่า100กิโลกรัม
6)ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้
7)ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย
8)ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง(รวมผู้ติดเชื้อHIVที่มีอาการ)
- 10. โรคไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever)
มียุงลายเป็นพาหะน�ำโรค เกิดได้ตลอดปี พบมากช่วงฤดูฝน ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
สาเหตุ
อาการ
อาการผิดปกติที่ควรรีบไปพบแพทย์
การป้องกัน
เกิดจากเชื้อไวรัสเด็งกีซึ่งมียุงลายเป็นพาหะน�ำโรคเมื่อถูกยุงที่มีเชื้อกัด
เชื้อจะเข้าสู่ร่างกาย
มีไข้สูงลอย(ให้ยาลดไข้แล้วไข้ไม่ลดถึงปกติหรือลดระยะสั้นแล้วกลับขึ้นอีก)
ปวดศรีษะ หน้าแดง เบื่ออาหาร อาเจียน อาจพบมีจุดเลือดออกเล็กๆ ตามล�ำตัว
แขน ขา อาจมีเลือดก�ำเดาหรือถ่ายอุจจาระด�ำ ตับโต กดเจ็บบริเวณชายโครงขวา
และมีภาวะช็อคช่วงไข้ลดมือเท้าเย็นชีพจรเบาเร็วท�ำให้เสียชีวิตได้
เพื่อป้องกัน3โรคคือโรคไข้เลือดออกโรคติดเชื้อไวรัสซิกาและโรคไข้ปวดข้อยุงลาย
1. เก็บบ้านให้สะอาดโปร่งโล่งไม่ให้มีมุมอับทึบเป็นที่เกาะพักของยุง
2.เก็บขยะเศษภาชนะรอบบ้านโดยท�ำต่อเนื่องสัปดาหละครั้งไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุยุง
3.เก็บน�้ำส�ำรวจภาชนะใส่น�้ำต้องปิดฝาให้มิดชิดป้องกันยุงลายวางไข่
-ไข้ลดลงอาการซึมเหงื่อออก -ปวดท้องโดยเฉพาะบริเวณใต้ชายโครงขวา
-มือเท้าเย็นชีพจรเต้นเบาแต่เร็ว -ปัสสาวะลดลง
-หลีกเลี่ยงไม่ให้ยุงลายกัดเช่นนอนในมุ้งทายากันยุงเป็นต้น
-ท�ำลายแหล่งเพาะพันธุและก�ำจัดลูกน�้ำในบริเวณที่มีน�้ำขังเช่นโอ่งแจกันยางรถยนตหรือ
ภาชนะที่มีน�้ำขังทุกสัปดาหอย่างสม�่ำเสมอ
-แยกเด็กป่วยขณะมีไข้ ไว้ในบริเวณที่ไม่มียุงลายและสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด
มาตรการ “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค”
อาจท�ำให้เสียชีวิต
- 12. โรคอุจจาระร่วง (Diarrheal Diseases)
สาเหตุ
อาการ
การป้องกัน
มาตรการ “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ”
อาการผิดปกติที่ควรรีบไปพบแพทย์
จากการติดเชื้อแบคทีเรียไวรัสและหนอนพยาธิในส�ำไส้โดยการกินอาหารและน�้ำที่ไม่สะอาดอาหารสุกๆดิบๆ
ถ่ายเหลวตั้งแต่3ครั้งขึ้นไปหรือถ่ายมีมูกปนเลือดอย่างน้อย1 ครั้งอาจมีอาการปวดท้อง(อาเจียน)หรือเป็นไข้ร่วมด้วย
ถ้าเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย มักพบผู้ป่วยมีอาการไข้สูงและอาเจียนใน3วันแรกและอุจจาระมักเป็นสีเหลือง
-กินอาหารและดื่มน�้ำที่สะอาดอาหารร้อนๆปรุงสุกใหม่
-ท�ำความสะอาดภาชนะที่ใช้ในการกินและดื่มอย่างถูกวิธี
-ล้างมือด้วยน�้ำและสบู่ทุกครั้งก่อน-หลังรับประทานอาหาร
-แยกเด็กที่ป่วยแยกของเล่นของใช้และท�ำความสะอาดหลังขับถ่าย
และหลังสัมผัสสิ่งปฏิกูลทันทีเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
-เมื่อป่วยให้หยุดรักษาตัวที่บ้านจนกว่าจะหาย
-ก�ำจัดอุจจาระอย่างถูกวิธี
กินร้อน โดยใช้ความร้อนสูงอย่างน้อย70องศาเซลเซียสและไม่ปรุงแบบสุกๆดิบๆเก็บอาหารปรุงสุกอย่างเหมาะสม
อาหารที่เหลือจากการกินถ้าเก็บไว้นานกว่า4ชั่วโมงต้องน�ำมาอุ่นให้ร้อนอย่างทั่วถึงก่อนน�ำมากินอีกครั้ง
ช้อนกลาง ช่วยป้องกันโรคจากการติดต่อทางน�้ำลายไม่ให้แพร่กระจายระหว่างบุคคลได้นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันน�้ำลาย
ของผู้กินไม่ให้ลงไปปนเปื้อนอาหารท�ำให้บูดเสียง่าย
ล้างมือ ควรล้างมือให้สะอาดด้วยน�้ำและสบู่ทั้งก่อนรับประทานอาหารก่อนเตรียมอาหารและหลังเข้าห้องน�้ำทุกครั้ง
เพื่อลดเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
-อาการไม่ดีขึ้นซึมลงและยังถ่ายปริมาณมากหรือมีมูก
ปนเลือดมากขึ้น
-ยังมีภาวะขาดน�้ำอยู่เช่น ปัสสาวะออกน้อยร้องไห้
เสียงแหบไม่มีน�้ำตา
-ปากแห้ง ตาลึกโบ๋ ชีพจรเต้นเร็ว
-มีไข้สูงตลอด ไข้ไม่ลง
-อาเจียนมาก
ภาวะที่มีการถ่ายอุจจาระเหลว จํานวน 3 ครั้ง ต่อวันหรือมากกว่า หรือถ่ายมีมูกหรือปนเลือดอย่างน้อย 1 ครั้ง หรือถ่ายเป็นนํ้าจํานวนมากกว่า 1 ครั้งขึ้นไปใน 1 วัน
อาจท�ำให้เสียชีวิต
- 18. ไข้อีดำ�อีแดง (Scarlet fever)
เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรีย ที่ท�ำให้มีผื่นแดงขึ้นตามตัว ร่วมกับทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในเด็ก และมักเกิดในช่วงฤดูฝน
สาเหตุ
การติดต่อ
เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสชนิดเอ(StreptococcusGroupA)
การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยหรือหายใจเอาละอองฝอยที่ติดเชื้อ
เข้าทางระบบทางเดินหายใจ
อาการ
มีไข้ ปวดศีรษะ เจ็บคอ ใบหน้าแดง แต่รอบปากซีด ลิ้นเป็นปื้นขาว เมื่อปื้นขาว
ลอกออกจะบวมแดงคล้ายลูกสตรอเบอรรี่ ต่อมามีผื่นละเอียดสีแดง สัมผัสคล้าย
กระดาษทราย พบผื่นบริเวณล�ำคอ รักแร้ หน้าอกช่วงบน และตามล�ำตัว แขน ขา
มักเห็นชัดเจนบริเวณข้อพับ หลังมีผื่น 2-3 วัน ผื่นจะเริ่มลอกโดยเฉพาะบริเวณ
ปลายนิ้วปลายเท้าบางรายอาจมีต่อมน�้ำเหลืองที่คอบวมโตกดเจ็บ
การป้องกัน
-ดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอพักผ่อนให้เพียงพอและออกก�ำลังกาย
-หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยและไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย
-ล้างมือก่อน-หลังสัมผัสผู้ป่วยหรือของใช้ของผู้ป่วย
-ไม่ขยี้ตาแคะจมูกหรือปาก
-แยกเด็กป่วยออกจากเด็กปกติทันทีหรือแจ้งให้ผู้ปกครองมารับเด็กกลับบ้าน
เพื่อพาเด็กไปพบแพทย
- 20. โรคหัด (Measles)
สาเหตุ
การติดต่อ
เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มพารามิคโซไวรัส(Paramyxovirus)
จากการหายใจเอาเชื้อไวรัสในฝอยละอองน�้ำมูก น�้ำลาย ที่ฟุ้งกระจายในอากาศ
จากการไอจามรดกันหรือพูดกันในระยะใกล้ชิด
อาการ
ไข้สูงถึง40องศาเซลเซียสน�้ำมูกไหลไอตาแดงตาแฉะและกลัวแสงมีผื่นแดง
ขึ้นตามร่างกายใบหน้าล�ำคอบริเวณชิดขอบผมแล้วแผ่กระจายไปตามล�ำตัวแขนขา
ภายใน 3 วัน ลักษณะผื่นนูนแดง ติดกันเป็นปื้นๆ ก่อนผื่นขึ้นมักพบจุดขาวๆ เล็กๆ
มีขอบสีแดงอยู่ในกระพุ้งแก้ม(KoplikSpots)
การป้องกัน
-ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด2ครั้งครั้งแรกเมื่อเด็กอายุ9-12เดือน
ครั้งที่2เมื่อเด็กอายุ2ปีครึ่งหรือสามารถฉีดวัคซีนก่อนสัมผัสโรคไม่เกิน3วัน
-หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย
-แยกผู้ป่วยที่สงสัยเป็นโรคหัดจนถึงผื่นขึ้นครบ4วัน
เป็นโรคไข้ออกผื่น มักพบในเด็กอายุเกิน 5 ปี เด็กที่เป็นโรคหัดอาจเกิดโรคแทรกซ้อน โดยเฉพาะโรคปอดบวมหรือโรคปอดอักเสบ และท�ำให้เสียชีวิตได้
- 22. การล้างมือ
2 ก่อน : ก่อนปรุงอาหาร
ก่อนกินอาหาร
5 หลัง : หลังเข้าห้องน�้ำ
หลังจับสัตวเลี้ยง
หลังสัมผัสสิ่งสกปรก
หลังไอ-จาม
หลังกลับจากโรงพยาบาล
ขั้นตอนการล้างมือที่ดี7ขั้นตอน
1.ฝ่ามือถูฝ่ามือ
2.ฝ่ามือถูหลังมือและนิ้วถูซอกนิ้ว
3.ฝ่ามือถูฝ่ามือและนิ้วถูซอกนิ้ว
4.ใช้หลังมือถูฝ่ามือ
5.ถูนิ้วหัวแม่มือ
6.ใช้ปลายนิ้วถูขวางมือ
7.ถูรอบข้อมือ
การล้างมือด้วยน�้ำและสบู่ที่ถูกวิธี
จะสามารถลดการติดเชื้อได้ถึง 90%
- 23. การล้างมือ 7 ขั้นตอน
1. ฝ่ามือถูฝ่ามือ
5.ถูนิ้วหัวแม่มือ
6.ใช้ปลายนิ้วถูขวางมือ
7.ถูรอบข้อมือ
2.ฝ่ามือถูหลังมือ
และนิ้วถูซอกนิ้ว
3.ฝ่ามือถูฝ่ามือและนิ้วถูซอกนิ้ว 4.ใช้หลังมือถูฝ่ามือ
- 26. กำ�หนดการให้วัคซีนแก่เด็ก ตามแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข
อายุ วัคซีนป้องกันโรค ข้อแนะน�ำ
แรกเกิด
BCG(วัคซีนป้องกันวัณโรค) ฉีดให้เด็กก่อนออกจากโรงพยาบาล
HB1(วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี) ควรให้เร็วที่สุดภายใน24ชั่วโมงหลังคลอด
1เดือน HB2(วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี) เฉพาะรายที่คลอดจากมารดาที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบี
2เดือน DTP-HB1(วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี)
OPV1(วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน)
4เดือน
DTP-HB2(วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี)
ให้วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดฉีด1เข็มพร้อมกับวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน1ครั้งOPV2(วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน)
IPV1(วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดฉีด)
6เดือน DTP-HB3(วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี)
OPV3(วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน)
9เดือน MMR1(วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน) หากไม่ได้ฉีดเมื่ออายุ9เดือนให้รีบติดตามฉีดโดยเร็วที่สุด
1ปี LAJE1(วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอีชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์)
1ปี6เดือน DTP4(วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน)
OPV4(วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน)
2ปี6เดือน LAJE2(วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอีชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์)
MMR2(วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน)
4ปี DTP5(วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน)
OPV5(วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน)
ประถมศึกษาปีที่1
MMR(วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน)
เฉพาะรายที่ได้รับไม่ครบตามเกณฑ
HB(วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี)
LAJE(วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอีชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์)
IPV(วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดฉีด)
dT(วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก)
OPV(วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน)
BCG(วัคซีนป้องกันวัณโรค) 1.ให้ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานว่าเคยได้รับเมื่อแรกเกิดและไม่มีแผลเป็น 2.ไม่ให้ในเด็กติดเชื้อเอชไอวีที่มีอาการของโรคเอดส
ประถมศึกษาปีที่5 HPV1และHPV2(วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อเอชพีวี) ระยะห่างระหว่างเข็มห่างกันอย่างน้อย6เดือนแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศไทย
ก�ำหนดให้ฉีดเด็กนักเรียนหญิงชั้นป.5
ประถมศึกษาปีที่6 dT(วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก) แผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศไทยก�ำหนดให้ฉีดเด็กนักเรียนชั้นป.6
หมายเหตุ : 1. วัคซีนทุกชนิดถ้าไม่สามารถเริ่มให้ตามก�ำหนดได้ก็เริ่มให้ทันทีที่พบครั้งแรก
2.วัคซีนที่ต้องให้มากกว่า1 ครั้งหากเด็กเคยได้รับวัคซีนมาบ้างแล้วและไม่มารับครั้งต่อไปตามก�ำหนดนัดให้วัคซีนครั้งต่อไปนั้นได้ทันทีเมื่อพบเด็กโดยไม่ต้องเริ่มต้นครั้งที่1 ใหม่
- 27. หมายเหตุ :
-วัคซีนทุกชนิดถ้าไม่สามารถเริ่มให้ตามก�ำหนดได้ให้เริ่มทันทีที่พบครั้งแรก
-วัคซีนที่ต้องให้มากกว่า1 ครั้งหากเด็กเคยได้รับวัคซีนมาบ้างแล้วและไม่มารับครั้งต่อไปตามก�ำหนดนัดให้ฉีดวัคซีนครั้งต่อไปนั้นได้ทันทีเมื่อพบเด็กโดยไม่ต้องเริ่มต้นครั้งที่1 ใหม่
-วัคซีนวัณโรคจะไม่ให้ในเด็กติดเชื้อเอ็ชไอวีที่มีอาการของโรคเอดส
-วัคซีนHPVให้2เข็มห่างกันอย่างน้อย6เดือนแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศไทยก�ำหนดให้ฉีดเด็กนักเรียนหญิงชั้นป.5
*หมายถึงเด็กที่คลอดจากแม่ที่เป็นพาหะของโรคตับอักเสบบีให้วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีเพิ่มอีก1 เข็มเมื่อเด็กอายุ1 เดือน
กำ�หนดการให้วัคซีนตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศไทย ปี 2561
วัคซีน
อายุ แรกเกิด 1 เดือน 2 เดือน 4 เดือน 6 เดือน 9 เดือน 1 ปี 1 1/2 ปี 2 1/2 ปี 4 ปี ป. 1 ป. 5 ป. 6
วัณโรค
(BCG) BCG
ตรวจสอบ
การได้รับ
วัคซีนก่อน
วัยเรียน
และให้
เฉพาะราย
ที่ได้รับ
ไม่ครบ
ตามเกณฑ
ไวรัสตับอักเสบบี
(HBV) HBV1 HBV2*
DTwP
+HB1
DTwP
+HB2
DTwP
+HB3คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน
(DTwP)
DTwP
(กระตุ้น1)
DTwP
(กระตุ้น2)
dTและ
ทุก10ปี
โปลิโอ
(OPV) OPV1
OPV2
+IPV
(ชนิดฉีด)
OPV3 OPV
(กระตุ้น1)
OPV
(กระตุ้น2)
หัด-หัดเยอรมัน-คางทูม
(MMR) MMR1 MMR2
ไข้สมองอักเสบเจอี
(LiveJE) LAJE1 LAJE2
มะเร็งปากมดลูก
(HPV)
HPV 1
HPV2