More Related Content
Similar to ศาสดาของพระพุทธศาสดา
Similar to ศาสดาของพระพุทธศาสดา (20)
ศาสดาของพระพุทธศาสดา
- 2. แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือสาร 6
่
ปี การศึกษา 2556
ชื่อโครงงาน ประวัตศาสดาของพระพุทธศาสดา
ิ
ชื่อผูทาโครงงาน
้
้
1. นางสาวภัททิยา เหวี่ยน เลขที่ 6 ชันม.6 ห้อง 15
้
2. นายจตุรพร เทพอินทร์ เลขที่ 26 ชันม.6 ห้อง 15
ชื่ออาจารย์ท่ปรึกษาโครงงานครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ี
ระยะเวลาดาเนิ นงาน ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2556
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 3. ใบงาน การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุม ข้าวเงี้ยว
่
้
1.นางสาวภัททิยา เหวี่ยน เลขที่ 6 ชัน ม.6/15
้
2.นายจตุรพร เทพอินทร์ เลขที่ 26 ชัน ม.6/15
คาชี้แจง ให้ผูเ้ รียนแต่ละกลุมเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
่
ชื่อโครงงาน(ภาษาไทย) ประวัตศาสดาของพระพุทธศาสดา
ิ
ชื่อโครงงาน(ภาษาอังกฤษ) History of Buddhism Prophet Prophet
ประเภทโครงงาน ประเภทศึกษาหาความรู ้
ชื่อผูทาโครงงาน 1.นางสาวภัททิยา เหวี่ยน
้
2.นายจตุรพร เทพอินทร์
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนิ นงาน 3 สัปดาห์
- 4. • ที่มาและความสาคัญของโครงงาน
จากการเรียนวิชาพระพุทธศาสนาและเป็ นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวตประจาวัน ด้วยเหตุน้ ี กลุมของ
ิ
่
ข้าพเจ้าจึงคิดที่จะศึกษาประวัติศาสดาของศาสนาพุทธ ซึ่งผูคนส่วนมากในทวีปเอเชียได้นับถือศาสนา
้
พุทธรวมถึงตัวของข้าพเจ้าด้วย ดังนั้นเราจึงได้ตกลงกันว่าจะทาโครงงานในเรื่องประวัตศาสดาของ
ิ
้
พระพุทธศาสนาโดยศึกษาประวัตของพระพุทธเจ้าตังแต่ประสูติ อภิเษกสมรส ออกบรรพชา และอืนๆ
ิ
่
จนถึงปรินิพพานเพือให้พทธศาสนิ กชนสนใจพระพุทธศาสนามากขึ้น
่ ุ
• วัตถุประสงค์
1.
2.
3.
เพือศึกษาประวัตศาสดาของพุทธศาสนา
ิ
่
เพีอให้ชาวพุทธหันมาสนใจพระพุทธศาสนามากขึ้น
่
เพีอให้ชาวพุทธได้รูจกประวัตศาสดาของศาสนาพุทธให้มากขึ้น
่
้ั
ิ
• ขอบเขตของโครงงาน
ได้ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องจากคอมพิวเตอร์โดยค้นคว้าในอินเตอร์เน็ ต และจากหนังสือพระพุทธศาสนา
- 7. พระพุทธเจ้า พระนามเดิมว่า “ สิทธัตถะ “ เป็ นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธท
นะและพระนางสิรมหามายา แห่งกรุงกบิลพัสดุ ์ แคว้นสักกะ พระองค์ทรงถือกาเนิ ดใน
ิ
ศากยวงค์ สกุลโคตมะ พระองค์ประสูติ ในวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ คา เดือน ๖ (เดือนวิสาขะ)
่
้
ปี จอ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี ณ สวนลุมพินีวน ซึ่งตังอยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ ์ แคว้น
ั
สักกะ กับ กรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ (ปัจจุบนคือตาบลรุมมินเด ประเทศเนปาล)
ั
- 8. การขนานพระนาม และทรงเจริญพระชนม์
พระราชกุมารได้รบการทานายจากอสิตฤาษี หรือกาฬเทวิลดาบส มหาฤาษีผู ้
ั
บาเพ็ญฌานอยู่ในป่ าหิมพานต์ซ่งเป็ นที่ทรงเคารพนับถือของพระเจ้าสุทโธทนะว่า “ พระ
ึ
ราชกุมารนี้ เป็ นอัจฉริยมนุ ษย์ มีลกษณะมหาบุรุษครบถ้วน บุคคลที่มีลกษณะดังนี้ จักต้อง
ั
ั
เสด็จออกจากพระราชวังผนวชเป็ นบรรพชิตแล้วตรัสรูเ้ ป็ นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าผู ้
ไม่มีกเิ ลสในโลกเป็ นแน่ “
หลังจากประสูตได้ ๕ วัน พระเจ้าสุทโธทนะโปรดให้ประชุมพระประยูรญาติ และเชิญ
ิ
พราหมณ์ ผูเ้ รียนจบไตรเพท จานวน ๑๐๘ คน เพื่อมาทานายพระลักษณะของพระราช
กุมาร
- 9. • พระประยูรญาติได้พร้อมใจกันถวายพระนามว่า “สิทธัตถะ”
มี
้
ความหมายว่า “ ผูมีความสาเร็จสมประสงค์ทกสิงทุกอย่างที่ตนตังใจจะทา ” ส่วนพราหมณ์
้
ุ ่
้ั
เหล่านั้นคัดเลือกกันเองเฉพาะผูท่ีทรงวิทยาคุณประเสริฐกว่าพราหมณ์ทงหมดได้ ๘ คน
้
เพื่อทานายพระราชกุมาร พราหมณ์ ๗ คนแรก ต่างก็ทานายไว้ ๒ ประการ คือ “ ถ้าพระ
ราชกุมารเสด็จอยู่ครองเรือนก็จกเป็ นพระเจ้าจักรพรรดิผูทรงธรรม หรือถ้าเสด็จออกผนวช
ั
้
เป็ นบรรพชิตจักเป็ นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผูไม่มีกเิ ลสในโลก” ส่วนโกณฑัญญะ
้
พราหมณ์ ผูมีอายุนอยกว่าทุกคน ได้ทานายเพียงอย่างเดียวว่า พระราชกุมารจักเสด็จออก
้
้
จากพระราชวังผนวชเป็ นบรรพชิต แล้วตรัสรูเ้ ป็ นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผูไม่มีกเิ ลส
้
ในโลก “
- 10. • เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้ ๗ วัน พระราชมารดาก็เสด็จสวรรคต
(การเสด็จ
สวรรคตดังกล่าวเป็ นประเพณี ของผูท่เี ป็ นพระมารดาของพระพุทธเจ้า) พระเจ้าสุทโธทนะ
้
ทรงมอบหมายให้พระนางมหาปชาบดีโคตมีซ่งเป็ นพระกนิ ษฐาของพระ นางสิรมหามายา
ึ
ิ
เป็ นผูถวายอภิบาลเลี้ยงดู เมื่อพระสิทธัตถะทรงพระเจริญมีพระชนมายุได้ ๘ พรรษา ได้
้
ทรงศึกษาในสานักอาจารย์วิศวามิตร ซึ่งมีเกียรติคุณแพร่ขจรไปไกลไปยังแคว้นต่างๆ
เพราะเปิ ดสอนศิลปวิทยาถึง ๑๘ สาขา เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาศิลปวิทยาเหล่านี้ ได้
อย่างว่องไว และเชี่ยวชาญจนหมดความสามารถของพระอาจารย์
- 12. • ด้วยพระราชบิดามีพระราชประสงค์มนคงที่จะให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงครองเพศฆราวาส
ั่
เป็ นพระจักพรรดิผูทรงธรรม จึงพระราชทานความสุขเกษมสาราญ แวดล้อมด้วยความ
้
บันเทิงนานาประการแก่พระราชโอรสเพื่อผูกพระทัยให้มนคงในทางโลก เมื่อเจ้าชาย
ั่
สิทธัตถะเจริญพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะมีพระราชดาริว่าพระราชโอรส
สมควรจะได้อภิเษกสมรส จึงโปรดให้สร้างปราสาทอันวิจตรงดงามขึ้น ๓ หลัง สาหรับให้
ิ
้
พระราชโอรสได้ประทับอย่างเกษมสาราญตามฤดูกาลทัง ๓ คือ ฤดูรอน ฤดูฝน และฤดู
้
้
หนาว แล้วตังชื่อปราสาทนั้นว่ารมยปราสาท สุรมยปราสาท และสุภปราสาทตามลาดับ
และทรงสูขอพระนางพิมพาหรือยโสธรา พระราชธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะและ
่
พระนางอมิตา แห่งเทวทหะนครในตระกูลโกลิยวงค์ให้อภิเษกด้วยเจ้าชายสิทธัตถะได้
เสวยสุขสมบัติ จนพระชนมายุมายุได้ ๒๙ พรรษา พระนางพิมพายโสรธาจึงประสูติ
พระโอรส พระองค์มีพระราชหฤทัยสิเนหาในพระโอรสเป็ นอย่างยิ่ง เมื่อพระองค์ทรงทราบ
ถึงการประสูตของพระโอรสพระองค์ตรัสว่า “ ราหุล ชาโต, พันธน ชาต , บ่วงเกิดแล้ว ,
ิ
เครื่องจองจาเกิดแล้ว”
- 14. • เจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็ นผูมีพระบารมีอนบริบูรณ์ ถึงแม้พระองค์จะทรงพรัง่ พร้อมด้วยสุข
้
ั
สมบัตมหาศาลก็มิได้พอพระทัยในชีวิต คฤหัสถ์ พระองค์ยงทรงมีพระทัยฝักใฝ่ ใคร่ครวญ
ิ
ั
ถึงสัจธรรมที่จะเป็ นเครื่องนาทางซึ่ง ความพ้นทุกข์อยู่เสมอ พระองค์ได้เคยเสด็จประพาส
้
อุทยาน ได้ทอดพระเนตรเทวทูตทัง ๔ คือคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และบรรพชิต พระองค์
จึงสังเวชพระทัยในชีวิต และพอพระทัยในเพศบรรพิต มีพระทัยแน่ วแน่ ท่จะทรงออก
ี
ผนวช เพื่อแสวงหาโมกขธรรมอันเป็ นทางดับทุกข์ถาวรพ้นจากวัฏสงสารไม่กลับมาเวียน
ว่ายตายเกิดอีก พระองค์จงตัดสินพระทัยเสด็จออกทรงผนวช โดยพระองค์ทรงม้ากัณฐกะ
ึ
พร้อมด้วยนายฉันนะ มุ่งสู่ แม่น้ าอโนมานที แคว้นมัลละ รวมระยะทาง ๓๐ โยชน์
(ประมาณ ๔๘๐ กิโลเมตร) เสด็จข้ามฝังแม่น้ าอโนมานทีแล้วทรงอธิษฐานเพศเป็ น
่
บรรพชิต และทรงมอบหมายให้นายฉันนะนาเครื่องอาภรณ์และม้ากัณฐกะกลับนคร
กบิลพัสดุ ์
- 16. • ภายหลังที่ทรงผนวชแล้วพระองค์ได้ประทับอยู่ ณ อนุ ปิยอัมพวัน แคว้นมัลละเป็ นเวลา ๗
วัน จากนั้นจึงเสด็จไปยังกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ พระเจ้าพิมพิสารได้เสด็จมาเฝ้ าพระองค์
ณ เงื้อมเขาปัณฑวะ ได้ทรงเห็นพระจริยาวัตรอันงดงามของพระองค์กทรงเลื่อมใส และ
็
ทรงทราบว่าพระสมณสิทธัตถะทรงเห็นโทษในกาม เห็นทางออกบวชว่าเป็ นทางอันเกษม
จะจาริกไปเพื่อบาเพ็ญเพียร และทรงยินดีในการบาเพ็ญเพียรนั้น พระเจ้าพิมพิสารได้
ตรัสว่า “ ท่านจักเป็ นพระพุทธเจ้าแน่ นอน และเมื่อได้เป็ นพระพุทธเจ้าแล้ว ขอได้โปรด
เสด็จมายังแคว้นของกระหม่อมฉันเป็ นแห่งแรก ’’ ซึ่งพระองค์กทรงถวายปฏิญญาแด่พระ
็
เจ้าพิมพิสาร
- 17. • การแสวงหาธรรมระยะแรกหลังจากทรงผนวชแล้ว สมณสิทธัตถะได้ทรงศึกษาในสานัก
อาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตร ณ กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ พระองค์
ได้ทรงประพฤติพรหมจรรย์ในสานักของอาฬารดาบส กาลามโคตร ทรงได้สมาบัตคอ
ิื
ทุตยฌาน ตติยฌาน อากาสานัญจายตนฌาน วิญญานัญจายตนฌาน และอา
ิ
กิญจัญญายตนฌาน ส่วนการประพฤติพรหมจรรย์ในสานักอุทกดาบส รามบุตร นั้นทรงได้
สมาบัติ ๘ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน สาหรับฌานที่ ๑ คือปฐมฌานนั้น พระองค์
ทรงได้ขณะกาลังประทับขัดสมาธิเจริญอานาปานสติกมมัฏฐานอยู่ใต้ตนหว้า เนื่ องในพระ
ั
้
้
ราชพิธีวปปมงคล ( แรกนาขวัญ )
ั
เมื่อครังทรงพระเยาว์ เมื่อสาเร็จการศึกษา
้
จากทังสองสานักนี้ แล้วพระองค์ทรงทราบว่ามิใช่หนทางพ้นจากทุกข์ บรรลุพระโพธิญาณ
้ั
ตามที่ทรงมุ่งหวัง พระองค์จงทรงลาอาจารย์ทงสอง เสด็จไปใกล้บริเวณแม่น้ าเนรัญชรา ที่
ึ
ตาบลอุรุเวลาเสนานิ คม กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ
- 19. • “ ทุกร “ หมายถึง สิงที่ทาได้ยาก “ ทุกรกิรยา” หมายถึงการกระทากิจที่ทาได้ยาก ได้แก่
่
ิ
การบาเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุธรรมวิเศษ”
เมื่อพระองค์ทรงหันมาศึกษาค้นคว้าด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแทนการศึกษา
เล่าเรียนในสานักอาจารย์ ณ ทิวเขาดงคสิริ ใกล้ลมแม่น้ าเนรัญชรานั้น พระองค์ได้ทรง
ุ่
บาเพ็ญทุกรกิรยา คือการบาเพ็ญอย่างยิ่งยวดในลักษณะต่างๆเช่น การอดพระกระยาหาร
ิ
้
การทรมานพระวรกายโดยการกลันพระอัสสาสะ พระปัสสาสะ (ลมหายใจ) การกดพระ
ทนต์ การกดพระตาลุ (เพดาน) ด้วยพระชิวหา (ลิ้น) เป็ นต้น พระมหาบุรุษได้ทรงทรง
บาเพ็ญทุกรกิรยาเป็ นเวลาถึง ๖ ปี ก็ยงมิได้คนพบสัจธรรมอันเป็ นทางหลุดพ้นจากทุกข์
ิ
ั
้
- 20. • พระองค์จงทรงเลิกการบาเพ็ญทุกรกิรยา แล้วกลับมาเสวยพระกระยาหารเพื่อบารุงพระ
ึ
ิ
วรกายให้แข็งแรง ในการคิดค้นวิธีใหม่ ในขณะที่พระมหาบุรุษทรงบาเพ็ญทุกรกิรยานั้น
ิ
้ั
ได้มีปญจวัคคีย ์ คือ พราหมณ์ทง ๕ คน ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ
ั
และอัสสชิ เป็ นผูคอยปฏิบตรบใช้ ด้วยหวังว่าพระมหาบุรุษตรัสรูแล้วพวกตนจะได้รบการ
้
ัิั
้
ั
สัง่ สอนถ่ายทอดความรูบาง และเมื่อพระมหาบุรุษเลิกล้มการบาเพ็ญทุกรกิรยา ปัญจัคคียก็
้้
ิ
์
ได้ชวนกันละทิ้งพระองค์ไปอยู่ ณ ป่ าอิสปตนมฤคทายวัน นครพาราณสี เป็ นผลให้
ิ
้
พระองค์ได้ประทับอยู่ตามลาพังในที่อนสงบเงียบ ปราศจากสิงรบกวนทังปวง พระองค์ได้
ั
่
้
ทรงตังพระสติดาเนิ นทางสายกลาง คือการปฏิบตในความพอเหมาะพอควร นันเอง
ัิ
่
- 22. • พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู ้ เวลารุ่งอรุณ ในวันเพ็ญเดือน ๖ ( เดือนวิสาขะ) ปี ระกา ก่อน
้
พุทธศักราช ๔๕ ปี นางสุชาดาได้นาข้าวมธุปายาสเพื่อไปบวงสรวงเทวดา ครันเห็นพระ
มหาบุรุษประทับที่โคนต้นอชปาลนิ โครธ (ต้นไทร)ด้วยอาการอันสงบ นางคิดว่าเป็ นเทวดา
จึงถวายข้าวมธุปายาส แล้วพระองค์เสด็จไปสูท่าสุปดิษฐ์ริมฝังแม่น้ าเนรัญชรา ทรงวางถาด
่
่
ทองคาบรรจุขาวมธุปายาสแล้วลงสรงสนานชาระล้างพระวรกาย แล้วทรงผ้ากาสาวพัสตร์
้
อันเป็ นธงชัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ หลังจากเสวยแล้วพระองค์ทรง
จับถาดทองคาขึ้นมาอธิษฐานว่า “ ถ้าเราจักสามารถตรัสรูได้ในวันนี้ ก็ขอให้ถาดทองคาใบ
้
นี้ จงลอยทวนกระแสน้ าไป แต่ถามิได้เป็ นดังนั้นก็ขอให้ถาดทองคาใบนี้ จงลอยไปตาม
้
กระแสน้ าเถิด “ แล้วทรงปล่อยถาดทองคาลงไปในแม่น้ า ถาดทองคาลอยตัดกระแสน้ าไป
จนถึงกลางแม่น้ าเนรัญชราแล้วลอยทวนกระแสน้ าขึ้นไปไกลถึง ๘๐ ศอก จึงจมลงตรงที่
กระแสน้ าวน
- 23. • ในเวลาเย็นพระองค์เสด็จกลับมายังต้นโพธิ์ท่ประทับ คนหาบหญ้าชื่อโสตถิยะได้ถวายหญ้า
ี
ปูลาดที่ประทับ ณ ใต้ตนโพธิ์ พระองค์ประทับหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และทรง
้
้
ตังจิตอธิษฐานว่า “ แม้เลือดในกายของเราจะเหือดแห้งไปเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตาม
้
ถ้ายังไม่บรรลุธรรมวิเศษแล้ว จะไม่ยอมหยุดความเพียรเป็ นอันขาด “ เมื่อทรงตังจิต
้ั ่
อธิษฐานเช่นนั้นแล้ว พระองค์กทรงสารวมจิตให้สงบแน่ วแน่ มีพระสติตงมัน มีพระ
็
วรกายอันสงบ มีพระหทัยแน่ วแน่ เป็ นสมาธิบริสุทธิ์ผุดผ่องปราศจากกิเลส ปราศจากความ
้ ่
เศร้าหมอง อ่อนโยน เหมาะแก่การงาน ตังมันไม่หวันไหว ทรงน้อมพระทัยไปเพื่อปุพเพนิ
่
วาสานุ สสติญาณ ( ญาณเป็ นเหตุระลึกถึงขันธ์ท่อาศัยในชาติปางก่อนได้ )ในปฐมยามแห่ง
ี
ราตรี ต่อจากนั้นทรงน้อมพระทัยไปเพื่อจูตปาตญาณ ( ญาณกาหนดรูการตาย การเกิด
ุ
้
้ั
ของสัตว์ทงหลาย ) ในมัชฌิมยามแห่งราตรี ต่อจากนั้นทรงน้อมพระทัยไปเพื่ออาสวักขย
้
ญาณ ( ญาณหยัง่ รูในธรรมเป็ นที่ส้ นไปแห่งอาสวกิเลสทังหลาย)
้
ิ
- 24. • คือทรงรูชดตามความเป็ นจริงว่า นี้ ทกข์ นี้ ทกขสมุทย นี้ ทกขนิ โรธ นี้ ทกขนิ โรธคามินี
้ั
ุ
ุ
ั ุ
ุ
ปฏิปทา นี้ อาสวะ นี้ อาสวสมุทย นี้ อาสวนิ โรธ นี้ อาสวนิ โรธคามินีปฏิปทา เมื่อทรงรูเ้ ห็น
ั
อย่างนี้ จิตของพระองค์กทรงหลุดพ้นจากกามสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุด
็
พ้นแล้วพระองค์กทรงรูว่าหลุดพ้นแล้ว ทรงรูชดว่าชาติส้ นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทา
็ ้
้ั
ิ
กิจที่ควรทาเสร็จแล้ว ไม่มีกจอืนเพื่อความเป็ นอย่างนี้ อีกต่อไป นันคือพระองค์ทรงบรรลุ
ิ ่
่
วิชชาที่ ๓ คือ อาสวักขยญาณ ในปัจฉิ มยาม แห่งราตรีน้นเอง ซึ่งก็คอการตรัสรูพระ
ั
ื
้
สัพพัญญุตญาณ เป็ นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จากการที่พระองค์ทรงบาเพ็ญพระ
บารมีมาอย่างยิ่งยวด พระองค์ทรงตรัสรูในวันเพ็ญเดือน ๖ ปี ระกา ขณะพระชนมายุได้
้
๓๕ พรรษา นับแต่วนที่สด็จออกผนวชจนถึงวันตรัสรูธรรม รวมเป็ นเวลา ๖ ปี พระธรรม
ั
้
อันประเสริฐที่พระพุทธเจ้าตรัสรูน้น คือ อริยสัจ ๔ (ทุกข์ สมุทย นิ โรธ มรรค)
้ั
ั
- 26. • เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรูแล้วทรงเสวยวิมตสข ณ บริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็ นเวลา ๗
้
ุิุ
สัปดาห์ ทรงราพึงว่า ธรรมะที่พระองค์ตรัสรูเ้ ป็ นการยากสาหรับคนทัวไป จึงทรงน้อม
่
พระทัยไปในทางที่จะไม่ประกาศธรรม พระสหัมบดีพรหมทราบวาระจิตของพระองค์จง
ึ
อาราธนาให้โปรดมนุ ษย์ โดยเปรียบเทียบมนุ ษย์เหมือนดอกบัว ๔ เหล่า และในโลกนี้ ยงมี
ั
เหล่าสัตว์ผูมีธุลในดวงตาเบาบาง สัตว์เหล่านั้นจะเสือมเพราะไม่ได้ฟังธรรม เหล่าสัตว์ผูท่ี
้ ี
้
่
สามารถรูทวถึงธรรมได้ ยังมีอยู่ “ พระพุทธเจ้าจึงทรงน้อมพระทัยไปในการแสดงธรรม
้ ั่
แล้วเสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย ์ ณ ป่ าอิสปตนมฤคทายวัน ทรงแสดงปฐมเทศนา ในวันขึ้น
ิ
๑๕ คา เดือน ๘ ( เดือนอาสาฬหะ) เรียกว่า ธรรมจักกัปปวัตตนสูตร ในขณะที่ทรงแสดง
่
ธรรม ท่านปัญญาโกณฑัณญะได้ธรรมจักษุ คือบรรลุพระโสดาบัน ได้ทูลขออุปสมบทใน
้
พระธรรมวินย ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกการบวชครังนี้ ว่า “
ั
เอหิภกขุอปสัมปทา ” พระอัญญาโกณฑัญญะจึงเป็ นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา
ิ ุ
- 27. การประกาศพระพุทธศาสนา
เมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จโปรดปัญจวัคคีย ์ และสาวกอืนๆซึ่งต่อมาได้สาเร็จเป็ นพระอรหันต์
่
จานวน ๖๐ องค์แล้ว และเป็ นช่วงที่ออกพรรษาแล้ว พระพุทธองค์ทรงพิจารณา
้
เห็นสมควรว่าจะออกไปประกาศพระศาสนาให้เป็ นที่แพร่หลาย จึงมีพทธบัญชาให้สาวกทัง
ุ
๖๐ องค์ จาริกออกไปประกาศเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยให้ไปแต่เพียงลาพัง แม้
้
พระองค์กจะเสด็จไปยังอุรุเวลาเสนานิ คม ในการออกจาริกประกาศ พระศาสนาครังนั้นทา
็
ให้กลบุตรในดินแดนต่างๆหันมาเลื่อมใสพระพุทธศาสนาและขอ บรรพชา อุปสมบทเป็ น
ุ
อันมาก ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงอนุ ญาตให้สาวกเหล่านั้นสามารถอุปสมบทให้แก่กลบุตรได้
ุ
เรียกว่า “ ติสรณคมนู ปสัมปทา คืออุปสมบทโดยวิธีให้ปฏิญญาตนเป็ นผูถงไตรสรณคมน์”
้ึ
พระพุทธศาสนาจึงหยัง่ รากฝังลึกและแพร่หลายในดินแดนแห่งนั้นเป็ นต้นมา
- 28. • พรรษาที่ ๑ ที่พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดสาวกและได้อรหันตสาวกจานวน ๖๐ องค์แล้ว
พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาคุณทาการประกาศเผยแผ่คาสอน จนเกิดพุทธบริษท ๔
ั
อันมี ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อย่างแพร่หลายและมันคง การประกาศ
่
พระพุทธศาสนาของพระองค์ได้ดาเนิ นไปอย่างเข้มแข็ง โดยการจาริกไปยังหมู่บานชนบท
้
น้อยใหญ่ในแคว้นต่างๆทัวชมพูทวีป
่
พรรษาที่ ๒ พระพุทธองค์เสด็จไปโปรดประชาชน ได้พทธสาวกดังนี้ เสด็จไปยังอุรุเวลา
ุ
เสนานิ คม ในระหว่างทางได้โปรดกลุมภัททวัคคีย ์ ๓๐ คน ที่ตาบลอุรุเวลาได้โปรดชฎิล ๓
่
พี่นองคือ อุรุเวกัสสปะ นทีกสสปะ และคยากัสสปะ กับศิษย์ อีก ๑๐๐๐ คน ทรงเทศนาอา
้
ั
ทิตตปริยายสูตร ที่คยาสีสะ แล้วเสด็จไปยังนครราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ เพื่อโปรดพระ
เจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารถวายสวนเวฬุวนเป็ นที่อาศัยแด่คณะสงฆ์ และได้พระสารี
ั
บุตรและพระโมคคัลลานะเป็ นสาวก อีก ๒ เดือนต่อมาเสด็จไปยังนครกบิฬพัสดุ ์ ทรง
พานักที่นิโครธาราม ทรงได้สาวกอีกมากมาย เช่น พระนันทะ พระราหุล พระอานนท์
พระเทวทัต และพระญาติอนๆ ต่อมาอนาถปิ ณฑิกะเศรษฐีอาราธนาไปยังกรุงสาวัตถีแห่ง
่ื
แคว้นโกศล ได้ถวายสวนเชตวันแด่คณะสงฆ์ พระพุทธองค์ทรงจาพรรษาที่น่ี
- 29. • พรรษาที่ ๓ นางวิสาขาถวายบุพพาราม ณ กรุงสาวัตถี ทรงจาพรรษาที่น่ี
พรรษาที่ ๔ ทรงจาพรรษาที่เวฬุวน ณ กรุงราชคฤห์ แห่งแคว้นมคธ
ั
พรรษาที่ ๕ เสด็จโปรดพระราชบิดาจนได้บรรลุอรหัตตผล และทรงไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ระหว่างพระญาติฝ่ายสักกะกับพระญาติฝ่ายโกลิยะเกี่ยวกับการใช้น้ าในแม่น้ าโหริณี ต่อมา
ทรงอุปสมบทพระนางประชาบดีโคตมี และคณะเป็ นภิกษุณี
พรรษาที่ ๖ ทรงแสดงยมกปาฏิหาริยในกรุงสาวัตถี ทรงจาพรรษา ณ ภูเขามังกลุบรรพต
์
พรรษาที่ ๗ทรงเทศนาและจาพรรษาที่กรุงสาวัตถี ระหว่างจาพรรษาได้เสด็จไปทรงเทศนา
้ั
พระอภิธรรมโปรดพุทธมารดายังสวรรค์ชนดาวดึงส์
พรรษาที่ ๘ ทรงเทศนาในแคว้นมัคคะ ทรงจาพรรษาในเภสกลาวัน
พรรษาที่ ๙ ทรงเทศนาในแคว้นโกสัมพี
- 30. • พรรษาที่ ๑๐ คณะสงฆ์ในแคว้นโกสัมพีแตกแยกกันอย่างรุนแรง พระพุทธองค์ทรง
ตักเตือนแต่คณะสงฆ์ไม่เชื่อฟัง พระองค์จงเสด็จไปประทับและจาพรรษาในป่ าปาลิไลยย
ึ
กะ มีชางเชือกหนึ่ งมาเฝ้ าพิทกษ์และรับใช้ตลอดเวลา
้
ั
พรรษาที่ ๑๑ เสด็จไปยังกรุงสาวัตถี คณะสงฆ์แห่งโกสัมพีปรองดองกันได้ ทรงจาพรรษา
อยู่ในหมู่บานพราหมณ์ช่ือเอกนาลา
้
พรรษาที่ ๑๒ ทรงเทศนาและจาพรรษาที่เวรัญชา และเกิดความอดอยากรุนแรงขึ้นใน
เวลานั้น
พรรษาที่ ๑๓ ทรงเทศนาและจาพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต
พรรษาที่ ๑๔ ทรงเทศนาและจาพรรษาที่กรุงสาวัตถี พระราหุลขอผนวช
พรรษาที่ ๑๕ เสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ ์ พระเจ้าสุปปพุทธะถูกแผ่นดินสูบเพราะขัด
ขวางทางโคจร
พรรษาที่ ๑๖ ทรงเทศนาและจาพรรษาที่อาลวี
- 31. • พรรษาที่ ๑๗ เสด็จไปยังกรุงสาวัตถี แล้วเสด็จกลับมายังอาลวี และทรงจาพรรษาที่กรุงรา
ชคฤห์
พรรษาที่ ๑๘ เสด็จไปยังอาลวี ทรงจาพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต
พรรษาที่ ๑๙ ทรงเทศนาและจาพรรษาที่บนภูเขาจาลิกบรรพต
้
พรรษาที่ ๒๐ โจรองคุลมารกลับใจเป็ นสาวก และทรงแต่งตังให้พระอานนท์รบใช้ใกล้ชิด
ิ
ั
ตลอดกาล ทรงจาพรรษาที่กรุงราชคฤห์และทรงเริ่มบัญญัตวินัย
ิ
พรรษาที่ ๒๑-๔๔ ทรงใช้เชตวันและบุพพารามในกรุงราชคฤห์เป็ นศูนย์กลางการเผยแผ่
และเป็ นที่ประทับจาพรรษา เสด็จพร้อมสาวกออกเทศนาโปรดเวไนยสัตว์ตามแว่นแคว้น
ต่างๆ
พรรษาที่ ๔๕ เป็ นพรรษาสุดท้าย พระเทวทัตคิดปลงพระชนม์ กลิ้งก้อนหินจนต้อง
พระองค์เป็ นเหตุให้พระบาทห้อพระโลหิต ทรงได้รบการบาบัดจากหมอชีวกโกมารภัต
ั
- 33. • พระพุทธเจ้าทรงบาเพ็ญพุทธกิจอยู่จนพระชนมายุ ๘๐ พรรษา พระองค์เสด็จจาพรรษา
้
สุดท้ายณ เมืองเวสาลี ในวาระนั้นพระพุทธองค์ทรงพระชราภาพมากแล้วทังยังประชวร
หนักด้วย พระองค์ได้ทรงพระดาเนิ นจากเวสาลีสูเ่ มืองกุสนาราเพื่อเสด็จดับขัน
ิ
ธปรินิพพาน ณ เมืองนั้น พระพุทธองค์ได้หนกลับไปทอดพระเนตรเมืองเวสาลีซ่งเคยเป็ น
ั
ึ
้
ที่ประทับ นับเป็ นการทอดทัศนาเมืองเวสาลีเป็ นครังสุดท้าย แล้วเสด็จต่อไปยังเมืองปาวา
้
เสวยพระกระยาหารเป็ นครังสุดท้ายที่บานนายจุนทะ บุตรนายช่างทอง พระพุทธองค์ทรง
้
พระประชวรหนักอย่างยิ่ง ทรงข่มอาพาธประคองพระองค์เสด็จถึงสาลวโนทยาน (ป่ าสาละ)
ของเจ้ามัลละเมืองกุสนารา ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพานพระองค์ได้อปสมบทแก่พระสุภท
ิ
ุ
ั
้ั
ทะปริพาชก นับเป็ นสาวกองค์สุดท้ายที่พระพุทธองค์ทรงบวชให้ ในท่ามกลางคณะสงฆ์ทง
ที่เป็ นพระอรหันต์และปุถชน
ุ
- 34. ้
• พระราชา ชาวเมืองกุสนารา และจากแคว้นต่างๆรวมทังเทวดาทัวหมื่นโลกธาตุ พระพุทธ
ิ
่
้
องค์ได้มีพระดารัสครังสาคัญว่า “ โย โว อานนท ธมม จ วินโย มยา เทสิโต ปญญตโต โส
โว มมจจเยน สตถา ” อันแปลว่า “ ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยอันที่เราแสดงแล้ว
้
้
บัญญัตแล้วแก่เธอทังหลาย ธรรมวินยนั้น จักเป็ นศาสดาของเธอทังหลาย เมื่อเราล่วงลับ
ิ
ั
ไปแล้ว “ และพระพุทธองค์ได้แสดงปัจฉิ มโอวาทแก่พระภิกษุสงฆ์ว่า “ดูก่อนภิกษุ
้
้
้
้
้
ทังหลาย นี้ เป็ นวาจาครังสุดท้าย ที่เราจะกล่าวแก่ท่านทังหลาย สังขารทังหลายทังปวงมี
้
ความสิ้นไปและเสือมไปเป็ นธรรมดา ท่านทังหลายจงทาความรอดพ้นให้บริบูรณ์ถงที่สุด
ึ
่
้
ด้วยความไม่ประมาทเถิด” แม้เวลาล่วงมาถึงศตวรรษที่ ๒๕ แล้ว นับตังแต่พระองค์ตรัสรู ้
เป็ นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และเสด็จดับขันธปรินิพพานที่นอกเมืองกุสนาราในประ
ิ
เทสอินเดีย แต่คาสัง่ สอนอันประเสริฐของพระองค์หาได้ลวงลับไปด้วยไม่
่
- 35. • คาสัง่ สอนเหล่านั้นยังคงอยู่ เป็ นเครื่องนาบุคคลให้ขามพ้นจากความมีชีวิต ขึ้นไปสูซ่ึง
้
่
คุณค่ายิ่งกว่าชีวิต คือการพ้นจากวัฏสงสารนันเอง หลังจากพระพุทธองค์ เสด็จดับขันธปริ
่
้ั
นิ พพานแล้ว สาวกของพระองค์ทงที่เป็ นพระอรหันต์และมิใช่พระอรหันต์ได้ช่วยบาเพ็ญ
กรณี ย กิจเผยแผ่พระพุทธวัจนะอันประเสริฐไปทัวประเทศอินเดีย และขยายออกไปทัว
่
่
โลก เป็ นที่ยอมรับว่าพระพุทธศาสนาเป็ นศาสนาแห่งความเป็ นจริง มีเหตุผลเชื่อถือได้และ
เป็ นศาสนาแห่งสันติภาพและเสรีภาพอย่างแท้จริง
- 36. สรุปพุทธกิจในรอบวันของพระพุทธองค์
๑.ปุพพณเห ปิ ณฑปาตญจ ตอนเช้าเสด็จออกบิณฑบาตเพื่อโปรดเวไนยสัตว์
๒.สายณเห ธมมเทสน ตอนเย็นทรงแสดงธรรมโปรดมหาชนที่มาเข้าเฝ้ า
๓.ปโทเส ภิกขุโอวาท ตอนหัวคาประทานโอวาทแก่ภกษุ ทงเก่าและใหม่
่
ิ ้ั
้
๔.อฑฒรตเต เทวปญหาน ตอนเที่ยงคืนทรงวิสชชนาปัญหาให้แก่เทวดาชันต่างๆ
ั
๕.ปจจสเสว คเต กาเล ภพพาภพเพ วิโลกน ตอนใกล้รุ่งตรวจดูสตว์โลกที่สามารถและไม่
ั
สามารถบรรลุธรรมได้ แล้วเสด็จไปโปรดถึงที่ แม้ว่าหนทางจะลาบากเพียงใดก็ตาม
- 40. • สถานที่ดาเนิ นการ
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย
• กลุมสาระการเรียนรูท่เี กี่ยวข้อง
่
้
สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
• แหล่งอ้างอิง
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=364484
http://board.palungjit.org/f14/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%