More Related Content
Similar to โครงงานคอม (20)
More from Nomoretear Cuimhne (13)
โครงงานคอม
- 4.
จากนั้นอักษรได้วิวัฒนาการ มาทางตะวันออกเรื่อย ๆ จาก
อักษรพราหมี ก็ได้แตกเป็นอักษรเทวนาครี (อินเดียฝ่าย
เหนือ) ซึ่งยังใช้อยู่ในอินเดียปัจจุบัน และอักษรปัลลวะ
(อินเดียฝ่ายใต้) อักษรปัลลวะนี้ได้เข้ามายังดินแดน
สุวรรณภูมิ และพัฒนาต่อเป็นอักษรขอมโบราณและมอญ
โบราณ จากตรงนี้อักษรจะแบ่งเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ ๆ คือกลุ่ม
มอญและกลุมขอม ยังมีอักษรอีกกลุมหนึ่งคืออักษร สาย
่
่
จามปา วิวัฒนาการมาจากอักษรพราหมีเช่นกัน แต่อาจจะ
ผ่านปัลลวะอีกทีหนึ่งก็ได้ แบ่งเป็นจามปาสายญวนและสาย
ขอม ซึ่งอันหลังนีได้รับอิทธิพลอักษรขอมโบราณ ต่อมา
้
อักษรกลุมมอญและกลุ่มขอมได้ผสมกันในไทยจนกลาย
่
เป็นอักษร ๓ กลุม คือกลุ่มไทยกลาง ไทยเหนือ และกลุ่ม
่
ขอม
- 7. ด้วยบ้านเมืองแว่นแคว้นหรือรัฐต่างๆ ที่มีอยู่ร่วมยุค
ร่วมสมัยรัฐละโว้ ต่างยอมรับความรุ่งเรืองทางศิลปวิทยาการ
ของเมืองละโว้ มีพยานสนับสนุนเรื่องนี้อีกในพงศาวดาร
โยนกกล่าวว่า พญางำาเมืองแห่งเมืองพะเยา "ครั้นชนมายุได้
๑๖ ปี ไปเรียนศิลปในสำานักพระสุกทันตฤาษี ณ กรุงละโว้
อาจารย์คนเดียวกับสมเด็จพระร่วงเจ้ากรุงสุโขทัย"ร่อง
รอยและหลักฐานทั้งหมดนี้ย่อมสอดคล้องกับวิวัฒนาการ
ของอักษรไทยที่มีขึ้น บริเวณลุ่มนำ้าเจ้าพระยา โดยเฉพาะ
ทางรัฐละโว้-อโยธยาศรีรามเทพ แล้วแพร่หลายขึ้นไปทาง
ลุมนำ้ายม-น่าน ที่เป็นรัฐสุโขทัย จึงทำาจารึกคราวแรกๆ ขึ้น
่
คือจารึกวัดศรีชุม อันเป็นเรื่องราวทางศาสนา-การเมืองของ
พระมหาเถรศรีศรัทธาฯ นั่นและ
- 9. จากข้อความจารึก ระบุว่า พ่อขุนรามคำาแหง
ทรงประดิษฐ์ลายสือไทย หรืออักษรไทยสุโขทัย
สมัยพ่อขุนรามฯ ในปีจุลศักราช ๑๒๐๕ ซึ่งตรงกับ
พุทธศักราช ๑๘๒๖ (ปีจุลศักราช บวกด้วย ๑๑๘๑
เท่ากับปีพุทธศักราช) ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากรูป
อักษรในจารึก เชื่อว่าอักษรนี้ได้รับการดัดแปลงมา
จากอักษรขอมโบราณและมอญโบราณ เพียงแต่
อักษรไทยสุโขทัยจะมีส่วนประกอบของอักษรน้อย
กว่าอักษรมอญและอักษรขอม กล่าวคือ ไม่มีรูป
พยัญชนะตัวเชิงและสระลอย การตัดพยัญชนะตัว
เชิงออกไปทำาให้ไม่มีการเขียนตัวสะกดหรือตัว
ควบกลำ้าไว้ใต้พยัญชนะต้น และตัด “ศก” หรือ
“สก” แบบตัวอักษรขอมออก ส่งผลให้มีอักขรวิธที่
ี
แตกต่าง และเหมาะกับการเขียนคำาไทยมากขึ้น
- 10. ศก เป็นส่วนทีอยู่บนสุดของตัวอักษร (ศก เป็น
่
ภาษาเขมรแปลว่า ผม)
ตัว เป็นส่วนทีอยู่ตรงกลางของตัวอักษร ไม่ตอง
่
้
แปลเป็นภาษาอะไรเพราะว่ามันคือตัว
เชิง เป็นส่วนทีอยู่ลางสุดของตัวอักษร (เชิง เป็น
่
่
ภาษาเขมรแปลว่า เท้า,ตีน) ความสำาคัญของตัว
เชิงคือตัวเชิงจะถูกนำาไปใช้เมื่อต้องการนำาไป
เป็นตัวควบกลำ่าหรือตัวสะกด โดยในอักขรวิธี
การเขียนอักษรขอมจะต้องนำาตัวควบกลำ่าหรือ
ตัวสะกดไปวางไว้ใต้ตวอักษรอืน และตัวอักษรก็
ั
่
เหมือนคนการจะเอาทั้งตัวอักษรไปไว้ใต้ตีนคน
อืนมันไม่ควร ก็เลยให้เอาไปแค่ตีนของตัวอักษร
่
นั้นๆไปแทน
- 13.
หลังจากที่พ่อขุนรามคำาแหงได้ประดิษฐ์ตัวอักษรไทย
สุโขทัยมาแล้วไม่นาน ใน พ.ศ. ๑๙๐๐ ซึ่งเป็นสมัยของ
พระยาลิไทย ได้มีการแก้ไขดัดแปลงอักษรไทยสุโขทัยสมัย
พ่อขุนรามคำาแหง โดยการนำาสระบนกลับไปไว้ที่ด้านบนตัว
พยัญชนะ และนำาสระล่างไว้ที่ด้านล่างของพยัญชนะดัง
อักขรวิธแบบเก่า เช่นเดียวกับอักษรขอมและอักษรมอญ
ี
โบราณ ทั้งนี้ รูปแบบอักษรส่วนใหญ่ยังคงเหมือนกับอักษร
สุโขทัยสมัยพ่อขุนรามฯ ที่เปลียนแปลงก็เห็นจะเป็นส่วนของ
่
อักขรวิธและรูปของสระบางตัว ซึ่งเมื่อเปลี่ยนตำาแหน่งที่อยู่
ี
แล้วยังผลให้มีรูปร่างเปลียนไป
่
- 15.
การจารึกอักษรไทยครั้งแรกนั้น ได้ใช้พยัญชนะไม่ครบทั้ง
๔๔ ตัว คือมีเพียง ๓๙ ตัวขาดตัว ฌ ฑ ฒ ฬ และ ฮ ไม่ครบ
ชุดพยัญชนะเหมือนที่ใช้สอนวิชาภาษาไทยในโรงเรียนใน
ปัจจุบันแต่เราก็อาจสันนิษฐานว่า ระบบภาษาเขีย น ใน
ขณะนั้นมี จำา นวนพยัญ ชนะเท่า กับ ในปัจจุบัน ด้วย
เหตุผล ๓ ประการ คือ
ประการแรก จารึกหลักที่ ๒ และจารึกยุคต่อๆ มาใช้
ตัวอักษรอีก ๔ ตัวที่ไม่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๑ และถึง
แม้เราจะไม่พบตัวอักษร "ฮ" ในศิลาจารึกในยุคต่อๆ มาก็เป็น
ที่เชือได้ว่า "ฮ" มีอยู่แล้วในระบบ
่
ประการที่ ๒ คือ ภาษาเขียนนั้นประดิษฐ์ขึ้นเป็น
ระบบ ให้มีอักษรสูงทุกตัวคู่กับอักษรตำ่า "ฮ" มีขึ้นเพื่อคู่กับ
"ห"
- 16.
ประการที่ ๓ คือ "ฮ" เป็นอักษรที่มีที่ใช้น้อยที่สุดเมื่อเทียบ
กับอักษรอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคำาในภาษาสมัยโบราณ
แม้ในขณะที่เขียนเรื่องภาษาอยู่นี้ถ้าเราไม่กล่าวถึงตัว "ฮ"
โอกาสที่เราจะใช้คำาที่เขียนด้วยตัว "ฮ" แทบจะไม่มีเลย และ
เพราะเหตุนี้จึงไม่น่าที่จะมีการคิดเพิ่มอักษร "ฮ" ขึ้นภายหลัง
เพราะไม่มีความจำาเป็นในการใช้
เราสามารถเห็นร่องรอยของการเปลียนแปลงนี้ได้ตั้งแต่
่
สมัยสุโขทัยยุคหลังศิลาจารึกหลักที่ ๑ กล่าวคือ การใช้ "ข"
และ "ฃ" เริ่มไม่สมำ่าเสมอ คำาๆ เดียวกันบางครั้งก็เขียนด้วย "
ข" บางครั้งก็เขียนด้วย "ฃ
- 17. การเขียนสระในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ ต่างจาก
การเขียนสระในสมัยปัจจุบันมาก ทั้งรูปร่าง สระและวิธีการ
เขียนกล่าวคือ สระเขียนอยู่ในบรรทัดเช่นเดียวกับพยัญชนะ
แต่ในสมัยสุโขทัยยุคต่อมา ได้กลับไปเขียนแบบให้มีสระอยู่
รอบๆ พยัญชนะ คือ มีทั้งที่เขียนข้างหน้า ข้างบน ข้างหลัง
และข้างล่าง พยัญชนะที่เกี่ยวข้อง การเปลียนนี้คงให้เหมือน
่
กับระบบภาษาเขียนอื่นที่คนไทยสมัยนั้นใช้อยู่ก่อนและมี
ความเคยชินด้วยนอกจากเรื่องตำาแหน่งแล้ว
- 18.
วิธีเขียนสระก็ต่างไป คือ สระอัว ในหลักที่ ๑ ใช้ วว
ในคำาที่ไม่มีเสียงสะกด เช่น หวว "หัว" ตวว "ตัว" ถ้า
มีตัวสะกดก็ใช้ "ว" ตัวเดียว เช่นเดียวกับในปัจจุบัน
เช่น สวน แสดงว่ายังไม่มีการใช้ไม้หันอากาศ
เพราะ เสียง "ะ" ในคำาที่มีตัวสะกดก็ใช้พยัญชนะ
สะกดซ้ำ้า ๒ ตัว เช่น มนน "มัน" แต่ในสมัยสุโขทัย
ยุคต่อมาก็มีการใช้ไม้หันอากาศ ส่วนสระเอียใช้
เขียนเป็น "ย" เช่น วยง "เวียง" สยง "เสียง" โดย
ภาพรวมแล้ว สระที่มีการเขียนเป็นตัวอักษรแทน
เสียงมีจำานวนเท่ากับสระในปัจจุบัน
- 19. รูปวรรณยุกต์ที่ใช้เขียนกำากับในยุคสุโขทัยมี
เพียง ๒ รูป คือ ไม้เอก และไม้โท แต่ไม้โทใช้เป็น
เครื่องหมายกากบาทแทน สิ่งที่น่าสังเกตเกี่ยวกับรูป
วรรณยุกต์คือไม่ใช่ตัวอักษรแทนเสียงในทำานอง
เดียวกับตัวพยัญชนะและสระ เพราะไม้เอกไม่ได้
กำากับเฉพาะคำาที่มีเสียงเอกเท่านั้น ใน ทำานอง
เดียวกันไม้โทก็ไม่ได้กำากับเสียงโทเท่านั้นแต่เสียง
วรรณยุกต์เปลียนไปตามลักษณะพยัญชนะต้นของ
่
คำา คือ ไม้เอก บอกเสียงเอกในคำาที่ขึ้นต้นด้วยอักษร
สูงและกลาง แต่บอกเสียงโทในคำาที่ขึ้นต้นด้วย
อักษรตำ่า
- 21.
ตัวเลขนับเป็นส่วนสำาคัญของการเขียน ดังเราได้ทราบแล้ว
ว่า การบันทึกระยะแรกๆ ของภาษาโบราณของโลก
เป็นการบันทึกเรื่องจำานวนสิ่งของและผู้คน และตัวเลขก็ยังมี
ความสำาคัญตลอดมา
ตัวเลขไทยคงจะประดิษฐ์ขึ้นในเวลาเดียวกันกับตัว
อักษรอื่นๆ แม้ในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ เราจะไม่พบเลข
ครบทั้ง ๑๐ ตัว ขาด ๓ ๖ ๘ และ ๙ แต่เราก็อนุมานได้ใน
ทำานองเดียวกับพยัญชนะว่าต้องมีตัวเลขเหล่านี้อยู่แล้ว
เพราะการประดิษฐ์ตัวเลขนั้นต้องเป็นระบบและมีลำาดับ ที่
สำาคัญเราพบตัวเลขที่ขาดไปในจารึกสมัยของพระยาลิไท
แสดงว่าตัวเลขทั้งหมดมีอยู่แล้ว ตัวเลขสมัยสุโขทัยเขียน
แตกต่างไปจากตัวเลขสมัยปัจจุบันมาก
- 23.
จากนั้นในตำานานมูลศาสนา (สันนิษฐานว่า เรียบ
เรียงขึ้นระหว่าง พ.ศ. ๒๐๐๐ – ๒๐๑๑) ได้กล่าวถึง
พระภิกษุสุโขทัย ๘ รูป ที่ได้ไปศึกษาพุทธศาสนา
นิกายลังกาวงศ์ที่เมืองพัน ครั้นกลับมาถึงสุโขทัยแล้ว
ต่างก็แยกย้ายกันไปเผยแพร่พุทธศาสนานิกายลังกา
วงศ์ในเมืองต่างๆ ดังนี้ เจ้าปิยทัสสีเอาศาสนาไป
ประดิษฐานในอโยธยา เจ้าสุวัณณคีรีเอาศาสนาไป
ประดิษฐานในเมืองชะวา (หลวงพระบาง) เจ้าเวสสภู
เอาศาสนาไปประดิษฐานในเมืองน่าน
- 24.
เจ้าอานนท์ (ศิษย์เจ้าสุมนะ) ก็ปฏิบัติอยู่ในป่ามะม่วง
เมืองสุโขทัยแทนที่เจ้าสุมนะ เจ้าสุมนะเอาศาสนาไป
ประดิษฐานในเชียงใหม่ เจ้าพุทธสาคร เจ้าสุชาตะ
เจ้าเขมะ และเจ้าสัทธาติสสะ นั้น ช่วยกันปฏิบัติอยู่
ในเมืองสองแคว คาดว่าพระภิกษุทั้ง ๘ รูปดังกล่าว
ได้แยกย้ายไปเผยแพร่ศาสนา พร้อมนำาอักษรไทย
สุโขทัยสมัยพระยาลิไทยที่ใช้บันทึกเรื่องราวทาง
ศาสนานั้นไปเผยแพร่ด้วย ดังหลักฐานที่ปรากฏใน
จารึกวัดพระยืน (ลพ. ๓๘) ที่กล่าวถึงการนิมนต์พระ
สุมนเถระจากสุโขทัยไปยังล้าน
- 26.
ตัวอักษรที่เราใช้เขียนในราชการ ในโรงเรียน
และในการสื่อสารทั่วๆ ไป ในปัจจุบันเป็นตัวเขียน
ที่มีวิวัฒนาการสืบทอดมาจากลายสือไทยที่พ่อขุน
รามคำาแหงทรงประดิษฐ์ขึ้นที่เราได้เห็นในศิลา
จารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ จาก "การจารึก" บนแผ่น
ศิลา มาสู่การเขียนด้วยมือ และในปัจจุบันนอกจาก
การเขียนแล้ว เรายัง "พิมพ์" ภาษาไทยด้วยพิมพ์
ดีด และด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์อีกด้วยรูปร่าง
ลักษณะของตัวหนังสือไทยได้เปลี่ยนไปตามกาล
เวลาและเทคโนโลยีของแต่ละยุค เช่น เดียวกับคน
ไทยที่เปลียนลักษณะชีวิตความเป็นอยู่ไปตามกาล
่
เวลาและสภาพแวดล้อม
- 27. ในสมัยอยุธยามีการเรียนการสอนภาษาไทยดังเห็นได้
จากมีตำาราสอนอ่านและเขียนภาษาไทยเกิดขึ้น ชื่อว่า
จิน ดามณี คนไทยนิยมแต่งโคลงกลอน (และแต่งตำารา
ต่างๆ) ในยุคนี้คนมีโอกาสเขียนหนังสือ การเขียนคงแพร่
หลายมากกว่ายุคสุโขทัย และเป็นการเขียนด้วยมือ ตัว
หนังสือจึงพัฒนาเปลี่ยนไปมากและมีลักษณะใกล้เคียงกับตัว
เขียนในปัจจุบัน การเปลียนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการ
่
เขียนตัวอักษรเท่านั้น ส่วนระบบการเขียนยังคงเดิม
นอกจากอักษรไทยที่สืบทอดมาจากสุโขทัยที่กล่าว
มาแล้ว ในเมืองไทยยังมีตัวอักษรพื้นเมืองอื่นๆ ที่รู้จักกันอีก
คือ ตัวอักษรฝักขาม และตัวอักษรพื้นเมืองล้านนา ซึ่งใน
ปัจจุบันไม่ได้ใช้เขียนอ่านในชีวิตประจำาวันแล้ว
- 29.
นวพรรณ ภัทรมูล. “จารึกวัดเชียงมั่น.” ใน ฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย,
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, ๒๕๔๘ (online). เปิดข้อมูลเมื่อ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๐
หาข้อมูลจาก http://www.sac.or.th/jaruk/
นวพรรณ ภัทรมูล. “จารึกวัดแดนเมือง ๑ (จารึกวัดปัจจันตบุรี).” ใน ฐานข้อมูล
จารึกในประเทศไทย, ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, ๒๕๔๙ (online). เปิดข้อมูล
เมื่อ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๐ หาข้อมูลจาก http://www.sac.or.th/jaruk/
พันธุ์ทิพย์ ธีระเนตร. "จารึกวัดตะพาน." ใน ฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย,
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, ๒๕๔๗ (online). เปิดข้อมูลเมื่อ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๐
หาข้อมูลจาก http://www.sac.or.th/jaruk/
พันธุ์ทิพย์ ธีระเนตร. "จารึกที่อนุสาวรียท้าวหิรัญพนาสูร." ใน ฐานข้อมูลจารึก
์
ในประเทศไทย, ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, ๒๕๔๘ (online). เปิดข้อมูลเมื่อ ๑
มิถุนายน ๒๕๕๐ หาข้อมูลจาก http://www.sac.or.th/jaruk/
วชรพร อังกูรชัชชัย และดอกรัก พยัคศรี. “จารึกวัดพระยืน.” ใน ฐานข้อมูล
จารึกในประเทศไทย, ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, ๒๕๔๖ (online). เปิดข้อมูล
เมื่อ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๐ หาข้อมูลจาก http://www.sac.or.th/jaruk/
http://khmer-language-communication.blogspot.com/2011/11/blogpost.html