More Related Content
Similar to โครงงานคอมพิวเตอร์
Similar to โครงงานคอมพิวเตอร์ (20)
More from Prom Pan Pluemsati
More from Prom Pan Pluemsati (11)
โครงงานคอมพิวเตอร์
- 2. • ชื่อโครงงาน : ภาษาไทยและวิวฒนาการของอักษรไทย
ั
• ประเภทโครงงาน : สื่ อเพื่อนการเรี ยนรู้และการศึกษา
• ชื่อผู้จัดทา : นายกนิษฐ์ พชร์ มุสิกโปดก ชันม.6/15 เลขที่ 4
ั
้
นายพร้ อมพันธุ์ ปลื ้มสติ ชันม.6/15 เลขที่ 12
้
• ชื่อครู ทปรึกษา : ครู เขื่อนทอง มูลวรรณ์
ี่
• ระยะเวลาดาเนินการ : 1 สัปดาห์
- 3. ที่มาและความสาคัญของโครงงาน
•
ที่มาและความสาคัญภาษาไทยเป็ นเอกลักษณ์ประจาชาติ เป็ นสมบัติทาง
วัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็ นเอกภาพ และเสริ มสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติ
ให้มีความเป็ นไทย เป็ นเครื่ องมือในการติดต่อสื่ อสารความเข้าใจและความสัมพันธ์
ที่ดีต่อกัน ทาให้สามารถประกอบกิจธุระการงานและดารงชีวิตร่ วมกันในสังคม
ประชาชาติได้อย่างสันติสุข และเป็ นเครื่ องมือในการแสวงหาความรู้
ประสบการณ์ จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่างๆ เพื่อพัฒนาความรู ้ ความคิด
วิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทนต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และ
ั
ความก้าวหน้า ทางวิทยาศาสตร์ สืบต่อไป
- 4. วัตถุประสงค์
• 1.การเรี ยนรู ้ภาษาไทยย่อมเกี่ยวพันกับความคิดของมนุษย์ เพราะภาษาเป็ นสื่ อของ
ความคิดการเรี ยนรู ้ภาษาไทยจึงต้องส่ งเสริ มให้ผเู ้ รี ยนได้สร้างสรรค์
• 2.ภาษาไทยเป็ นเครื่ องมือของคนในชาติเพื่อการสื่ อสารทาความเข้าใจกันและใช้
ภาษาในการประกอบกิจการงานทั้งส่ วนตัว ครอบครัว กิจกรรมทางสังคมและ
ประเทศชาติ เป็ นเครื่ องมือการเรี ยนรู้
• 3.ภาษาไทยเป็ นทักษะที่ตองฝึ กฝนจนเกิดความชานาญ ในการใช้ภาษาเพื่อการ
้
สื่ อสาร การอ่าน การฟังเป็ นทักษะของการแสดงออกด้วยการแสดงความคิดเห็น
ความรู้และประสบการณ์การเรี ยนรู้ภาษาไทยจึงต้องเรี ยนเพื่อการสื่ อสารให้
สามารถรับรู้ขอมูลได้ชดเจน
้
ั
• 4.ภาษาไทยมีส่วนที่เป็ นเนื้อหาสาระ ได้แก่ กฎเกณฑ์ทางภาษา ซึ่ งผูใช้ภาษาจะต้อง
้
รู้และใช้ภาษาให้ถกต้อง
ู
- 5. ขอบเขตของโครงงาน
• 1.เพื่อให้ เกิดความเข้ าใจตรงกันและตรงตามจุดหมายไม่วาจะเป็ นการแสดงความคิด
่
ความต้ องการและความ รู้สก คาในภาษาไทยย่อมประกอบด้ วยเสียง รูปพยัญชนะ
ึ
สระ วรรณยุกต์ และความหมาย ส่วนประโยคเป็ นการเรี ยงคาตามหลักเกณฑ์ของ
ภาษา
• 2. อักษรหลายประโยคเรี ยงกันเป็ นข้ อความ นอกจากนันคาในภาษาไทยยังมีเสียง
้
หนัก เบา มีระดับของภาษา ซึงใช้ ให้ เหมาะแก่กาลเทศะและบุคคล ภาษาย่อมมีการ
่
เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ตามสภาพวัฒนธรรมของกลุมคน ตามสภาพของสังคม
่
และเศรษฐกิจ การใช้ ภาษาเป็ นทักษะที่ผ้ ใช้ ต้องฝึ กฝนให้ เกิดความชานาญ ไม่วาจะ
ู
่
เป็ นการอ่าน การเขียน การพูด การฟั ง และการดูสื่อต่างๆ รวมทังต้ องใช้ ให้ ถกต้ อง
้
ู
ตามหลักเกณฑ์ทางภาษา เพื่อสื่อสารให้ เกิดประสิทธิภาพ และ ใช้ อย่างคล่องแคล่ว
มีวิจารณญาณและมีคณธรรม
ุ
- 7. ความเป็ นมาของอักษรไทย
•
อักษรไทยเป็ นอักษรตระกูลเดียวกับอักษรโรมัน (อังกฤษ) อักษร ที่
เก่าแก่ที่สุดของโลกคืออักษรเฮียโรกลิฟฟิ กของอียปต์ ซึ่งเป็ นต้นตระกูล
ิ
ของอักษรไทยด้วย! อักษรในแถบเมดิเตอร์เรเนียนและตะวันออกกลาง
ได้วิวฒนาการมาระยะหนึ่ง (ตามในผัง) จนถึงอักษรฟิ นิเชีย ซึ่งถือว่าเป็ น
ั
่
อักษรแม่ของโลก เนื่องจากฟิ นิเชียเป็ นชนชาติพอค้า ได้ติดต่อค้าขายกับ
ดินแดนต่าง ๆ และเผยแพร่ อกษรออกไปไกล อักษรเปอร์เซีย อาหรับ
ั
และพราหมีของอินเดียก็มาจากอักษรฟิ นิเชีย
- 9. อักษรไทยจากละโวขึนไปสุโขทัย
้ ้
•
อักษรไทยที่มีอกษรขอมเป็ นรากฐานสาคัญ คงใช้เวลาวิวฒนาการอยู่
ั
ั
นานพอสมควรกว่าจะได้รูปแบบลงตัวเป็ นที่ยอมรับทัวไป รวมทั้งต้อง
่
เอาแบบจากอักษรอื่นๆ มาเพิ่มพูนด้วย เช่น อักษรมอญ ลังกา เป็ นต้น
จากนั้นก็ค่อยๆ แพร่ หลายจากลุ่มแม่น้ าเจ้าพระยาขึ้นไปถึงบ้านเมือง
ห่างไกล เช่น ขึ้นไปทางรัฐสุ โขทัยทางลุ่มน้ ายม-น่าน ดังมีร่องรอยความ
่
ทรงจาอยูใน พงศาวดารเหนือ เรื่ องพระร่ วงอรุ ณกุมารเมืองสวรรคโลก
ทาพิธีลบศักราชแล้ว "ทาหนังสื อไทย"
- 11. •
อาจารย์คนเดียวกับสมเด็จพระร่ วงเจ้ากรุ งสุ โขทัย"ร่ องรอยและ
่
หลักฐานทั้งหมดนี้ยอมสอดคล้องกับวิวฒนาการของอักษรไทยที่มีข้ ึน
ั
บริ เวณลุ่มน้ าเจ้าพระยา โดยเฉพาะทางรัฐละโว้-อโยธยาศรี รามเทพ แล้ว
แพร่ หลายขึ้นไปทางลุ่มน้ ายม-น่าน ที่เป็ นรัฐสุ โขทัย จึงทาจารึ กคราว
แรกๆ ขึ้น คือจารึ กวัดศรี ชุม อันเป็ นเรื่ องราวทางศาสนา-การเมืองของ
พระมหาเถรศรี ศรัทธาฯ นันและ
่
- 12. สมัยสุโขทัย
่
• จากข้อความจารึ ก ระบุวา พ่อขุนรามคาแหงทรงประดิษฐ์ลายสื อไทย
หรื ออักษรไทยสุ โขทัยสมัยพ่อขุนรามฯ ในปี จุลศักราช ๑๒๐๕ ซึ่งตรง
กับพุทธศักราช ๑๘๒๖ (ปี จุลศักราช บวกด้วย ๑๑๘๑ เท่ากับปี
พุทธศักราช) ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากรู ปอักษรในจารึ ก เชื่อว่าอักษรนี้
ได้รับการดัดแปลงมาจากอักษรขอมโบราณและมอญโบราณ เพียงแต่
อักษรไทยสุ โขทัยจะมีส่วนประกอบของอักษรน้อยกว่าอักษรมอญและ
อักษรขอม กล่าวคือ ไม่มีรูปพยัญชนะตัวเชิงและสระลอย การตัด
พยัญชนะตัวเชิงออกไปทาให้ไม่มีการเขียนตัวสะกดหรื อตัวควบกล้ าไว้
ใต้พยัญชนะต้น และตัด “ศก” หรื อ “สก” แบบตัวอักษรขอมออก ส่ งผล
ให้มีอกขรวิธีที่แตกต่าง และเหมาะกับการเขียนคาไทยมากขึ้น
ั
- 13. ่
• ศก เป็ นส่ วนที่อยูบนสุ ดของตัวอักษร (ศก เป็ นภาษาเขมรแปลว่า
ผม)
่
• ตัว เป็ นส่ วนที่อยูตรงกลางของตัวอักษร ไม่ตองแปลเป็ นภาษา
้
อะไรเพราะว่ามันคือตัว
่
• เชิง เป็ นส่ วนที่อยูล่างสุ ดของตัวอักษร (เชิง เป็ นภาษาเขมร
แปลว่า เท้า,ตีน) ความสาคัญของตัวเชิงคือตัวเชิงจะถูกนาไปใช้
เมื่อต้องการนาไปเป็ นตัวควบกล่าหรื อตัวสะกด
- 16. •
่
หลังจากที่พอขุนรามคาแหงได้ประดิษฐ์ตวอักษรไทยสุ โขทัยมาแล้ว
ั
ไม่นาน ใน พ.ศ. ๑๙๐๐ ซึ่งเป็ นสมัยของพระยาลิไทย ได้มีการแก้ไข
ดัดแปลงอักษรไทยสุ โขทัยสมัยพ่อขุนรามคาแหง โดยการนาสระบน
กลับไปไว้ที่ดานบนตัวพยัญชนะ และนาสระล่างไว้ที่ดานล่างของ
้
้
พยัญชนะดังอักขรวิธีแบบเก่า เช่นเดียวกับอักษรขอมและอักษรมอญ
โบราณ ทั้งนี้ รู ปแบบอักษรส่ วนใหญ่ยงคงเหมือนกับอักษรสุ โขทัยสมัย
ั
พ่อขุนรามฯ ที่เปลี่ยนแปลงก็เห็นจะเป็ นส่ วนของอักขรวิธีและรู ปของ
่
สระบางตัว ซึ่งเมื่อเปลี่ยนตาแหน่งที่อยูแล้วยังผลให้มีรูปร่ างเปลี่ยนไป
- 17. พยัญชนะ
•
การจารึ กอักษรไทยครั้งแรกนั้น ได้ใช้พยัญชนะไม่ครบทั้ง ๔๔ ตัว คือมีเพียง
๓๙ ตัวขาดตัว ฌ ฑ ฒ ฬ และ ฮ ไม่ครบชุดพยัญชนะเหมือนที่ใช้สอนวิชาภาษาไทย
ในโรงเรี ยนในปั จจุบนแต่เราก็อาจสันนิษฐานว่า ระบบภาษาเขียน ในขณะนั้นมี
ั
จานวนพยัญชนะเท่ ากับในปัจจุบน ด้วยเหตุผล ๓ ประการ คือ
ั
ประการแรก จารึ กหลักที่ ๒ และจารึ กยุคต่อๆ มาใช้ตวอักษรอีก ๔ ตัวที่ไม่
ั
ปรากฏในศิลาจารึ กหลักที่ ๑ และถึงแม้เราจะไม่พบตัวอักษร "ฮ" ในศิลาจารึ กใน
่
่
ยุคต่อๆ มาก็เป็ นที่เชื่อได้วา "ฮ" มีอยูแล้วในระบบ
ประการที่ ๒ คือ ภาษาเขียนนั้นประดิษฐ์ข้ ึนเป็ นระบบ ให้มีอกษรสู งทุกตัวคู่
ั
ั
กับอักษรต่า "ฮ" มีข้ ึนเพื่อคู่กบ "ห"
- 18. • ประการที่ ๓ คือ "ฮ" เป็ นอักษรที่มีที่ใช้นอยที่สุดเมื่อเทียบกับอักษรอื่นๆ
้
่ ้
โดยเฉพาะอย่างยิงกับคาในภาษาสมัยโบราณ แม้ในขณะที่เขียนเรื่ องภาษาอยูน้ ีถา
่
เราไม่กล่าวถึงตัว "ฮ" โอกาสที่เราจะใช้คาที่เขียนด้วยตัว "ฮ" แทบจะไม่มีเลย และ
เพราะเหตุน้ ีจึงไม่น่าที่จะมีการคิดเพิ่มอักษร "ฮ" ขึ้นภายหลัง เพราะไม่มีความ
จาเป็ นในการใช้
เราสามารถเห็นร่ องรอยของการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ต้ งแต่สมัยสุ โขทัยยุคหลังศิลา
ั
จารึ กหลักที่ ๑ กล่าวคือ การใช้ "ข" และ "ฃ" เริ่ มไม่สม่าเสมอ คาๆ เดียวกันบางครั้ง
ก็เขียนด้วย "ข" บางครั้งก็เขียนด้วย "ฃ
- 19. สระ
การเขียนสระในศิลาจารึ กสุ โขทัยหลักที่ ๑ ต่างจากการเขียนสระในสมัยปั จจุบนมาก
ั
่
ทั้งรู ปร่ าง สระและวิธีการเขียนกล่าวคือ สระเขียนอยูในบรรทัดเช่นเดียวกับ
่
พยัญชนะ แต่ในสมัยสุ โขทัยยุคต่อมา ได้กลับไปเขียนแบบให้มีสระอยูรอบๆ
พยัญชนะ คือ มีท้ งที่เขียนข้างหน้า ข้างบน ข้างหลัง และข้างล่าง พยัญชนะที่
ั
เกี่ยวข้อง การเปลี่ยนนี้คงให้เหมือนกับระบบภาษาเขียนอื่นที่คนไทยสมัยนั้นใช้อยู่
ก่อนและมีความเคยชินด้วยนอกจากเรื่ องตาแหน่งแล้ว
- 20. • วิธีเขียนสระก็ต่างไป คือ สระอัว ในหลักที่ ๑ ใช้ วว ในคาที่ไม่มีเสี ยงสะกด เช่น
หวว "หัว" ตวว "ตัว" ถ้ามีตวสะกดก็ใช้ "ว" ตัวเดียว เช่นเดียวกับในปั จจุบน
ั
ั
เช่น สวน แสดงว่ายังไม่มีการใช้ไม้หนอากาศ เพราะ เสี ยง "ะ" ในคาที่มีตวสะกดก็
ั
ั
ใช้พยัญชนะสะกดซ้ า ๒ ตัว เช่น มนน "มัน" แต่ในสมัยสุ โขทัยยุคต่อมาก็มีการใช้
ไม้หนอากาศ ส่ วนสระเอียใช้เขียนเป็ น "ย" เช่น วยง "เวียง" สยง "เสี ยง" โดย
ั
ภาพรวมแล้ว สระที่มีการเขียนเป็ นตัวอักษรแทนเสี ยงมีจานวนเท่ากับสระใน
ปัจจุบน
ั
- 21. วรรณยุกต ์
• รู ปวรรณยุกต์ที่ใช้เขียนกากับในยุคสุ โขทัยมีเพียง ๒ รู ป คือ ไม้เอก และไม้โท แต่
ไม้โทใช้เป็ นเครื่ องหมายกากบาทแทน สิ่ งที่น่าสังเกตเกี่ยวกับรู ปวรรณยุกต์คือ
ไม่ใช่ตวอักษรแทนเสี ยงในทานองเดียวกับตัวพยัญชนะและสระ เพราะไม้เอก
ั
ไม่ได้กากับเฉพาะคาที่มีเสี ยงเอกเท่านั้น ใน ทานองเดียวกันไม้โทก็ไม่ได้กากับ
เสี ยงโทเท่านั้นแต่เสี ยงวรรณยุกต์เปลี่ยนไปตามลักษณะพยัญชนะต้นของคา คือ
ไม้เอก บอกเสี ยงเอกในคาที่ข้ ึนต้นด้วยอักษรสู งและกลาง แต่บอกเสี ยงโทในคาที่
ขึ้นต้นด้วยอักษรต่า
- 22. • รู ปวรรณยุกต์ที่ใช้เขียนกากับในยุคสุ โขทัยมีเพียง ๒ รู ป คือ ไม้เอก และไม้โท แต่
ไม้โทใช้เป็ นเครื่ องหมายกากบาทแทน สิ่ งที่น่าสังเกตเกี่ยวกับรู ปวรรณยุกต์คือ
ไม่ใช่ตวอักษรแทนเสี ยงในทานองเดียวกับตัวพยัญชนะและสระ เพราะไม้เอก
ั
ไม่ได้กากับเฉพาะคาที่มีเสี ยงเอกเท่านั้น ใน ทานองเดียวกันไม้โทก็ไม่ได้กากับ
เสี ยงโทเท่านั้นแต่เสี ยงวรรณยุกต์เปลี่ยนไปตามลักษณะพยัญชนะต้นของคา คือ
ไม้เอก บอกเสี ยงเอกในคาที่ข้ ึนต้นด้วยอักษรสู งและกลาง แต่บอกเสี ยงโทในคาที่
ขึ้นต้นด้วยอักษรต่า
- 23. ตัวเลขไทย
• ตัวเลขนับเป็ นส่ วนสาคัญของการเขียน ดังเราได้ทราบแล้วว่า การบันทึก
ระยะแรกๆ ของภาษาโบราณของโลก เป็ นการบันทึกเรื่ องจานวนสิ่ งของและผูคน
้
และตัวเลขก็ยงมีความสาคัญตลอดมา
ั
ตัวเลขไทยคงจะประดิษฐ์ข้ ึนในเวลาเดียวกันกับตัวอักษรอื่นๆ แม้ในศิลา
จารึ กสุ โขทัยหลักที่ ๑ เราจะไม่พบเลขครบทั้ง ๑๐ ตัว ขาด ๓ ๖ ๘ และ ๙ แต่เราก็
่
อนุมานได้ในทานองเดียวกับพยัญชนะว่าต้องมีตวเลขเหล่านี้อยูแล้ว เพราะการ
ั
ประดิษฐ์ตวเลขนั้นต้องเป็ นระบบและมีลาดับ ที่สาคัญเราพบตัวเลขที่ขาดไปใน
ั
่
จารึ กสมัยของพระยาลิไท แสดงว่าตัวเลขทั้งหมดมีอยูแล้ว ตัวเลขสมัยสุ โขทัยเขียน
แตกต่างไปจากตัวเลขสมัยปั จจุบนมาก
ั
- 25. จากสุโขทัยไปอยุธยา
• จากนั้นในตานานมูลศาสนา (สันนิษฐานว่า เรี ยบเรี ยงขึ้นระหว่าง พ.ศ. ๒๐๐๐ –
๒๐๑๑) ได้กล่าวถึงพระภิกษุสุโขทัย ๘ รู ป ที่ได้ไปศึกษาพุทธศาสนานิกายลังกา
วงศ์ที่เมืองพัน ครั้นกลับมาถึงสุ โขทัยแล้วต่างก็แยกย้ายกันไปเผยแพร่ พทธศาสนา
ุ
นิกายลังกาวงศ์ในเมืองต่างๆ ดังนี้ เจ้าปิ ยทัสสี เอาศาสนาไปประดิษฐานในอโยธยา
เจ้าสุ วณณคีรีเอาศาสนาไปประดิษฐานในเมืองชะวา (หลวงพระบาง) เจ้าเวสสภูเอา
ั
ศาสนาไปประดิษฐานในเมืองน่าน
- 26. • เจ้าอานนท์ (ศิษย์เจ้าสุ มนะ) ก็ปฏิบติอยูในป่ ามะม่วงเมืองสุ โขทัยแทนที่เจ้าสุ มนะ
ั ่
เจ้าสุ มนะเอาศาสนาไปประดิษฐานในเชียงใหม่ เจ้าพุทธสาคร เจ้าสุ ชาตะ เจ้าเขมะ
และเจ้าสัทธาติสสะ นั้น ช่วยกันปฏิบติอยูในเมืองสองแคว คาดว่าพระภิกษุท้ ง ๘
ั ่
ั
รู ปดังกล่าว ได้แยกย้ายไปเผยแพร่ ศาสนา พร้อมนาอักษรไทยสุ โขทัยสมัยพระยาลิ
ไทยที่ใช้บนทึกเรื่ องราวทางศาสนานั้นไปเผยแพร่ ดวย ดังหลักฐานที่ปรากฏใน
ั
้
จารึ กวัดพระยืน (ลพ. ๓๘) ที่กล่าวถึงการนิมนต์พระสุ มนเถระจากสุ โขทัยไปยังล้าน
- 27. บทสรุป
•
ตัวอักษรที่เราใช้เขียนในราชการ ในโรงเรี ยน และในการสื่ อสารทัวๆ ไป ใน
่
่
ปัจจุบนเป็ นตัวเขียนที่มีวิวฒนาการสื บทอดมาจากลายสื อไทยที่พอขุนรามคาแหง
ั
ั
ทรงประดิษฐ์ข้ ึนที่เราได้เห็นในศิลาจารึ กสุ โขทัยหลักที่ ๑ จาก "การจารึ ก" บนแผ่น
ศิลา มาสู่ การเขียนด้วยมือ และในปั จจุบนนอกจากการเขียนแล้ว เรายัง "พิมพ์"
ั
ภาษาไทยด้วยพิมพ์ดีด และด้วยเครื่ องคอมพิวเตอร์ อีกด้วยรู ปร่ างลักษณะของ
ตัวหนังสื อไทยได้เปลี่ยนไปตามกาลเวลาและเทคโนโลยีของแต่ละยุค
่
เช่น เดียวกับคนไทยที่เปลี่ยนลักษณะชีวิตความเป็ นอยูไปตามกาลเวลาและ
สภาพแวดล้อม
- 28. •
ในสมัยอยุธยามีการเรี ยนการสอนภาษาไทยดังเห็นได้จากมีตารา
สอนอ่านและเขียนภาษาไทยเกิดขึ้น ชื่อว่า จินดามณี คนไทยนิยมแต่งโคลงกลอน
(และแต่งตาราต่างๆ) ในยุคนี้คนมีโอกาสเขียนหนังสื อ การเขียนคงแพร่ หลาย
มากกว่ายุคสุ โขทัย และเป็ นการเขียนด้วยมือ ตัวหนังสื อจึงพัฒนาเปลี่ยนไปมาก
และมีลกษณะใกล้เคียงกับตัวเขียนในปั จจุบน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็ นเรื่ อง
ั
ั
ของการเขียนตัวอักษรเท่านั้น ส่ วนระบบการเขียนยังคงเดิม
นอกจากอักษรไทยที่สืบทอดมาจากสุ โขทัยที่กล่าวมาแล้ว ในเมืองไทยยังมี
ตัวอักษรพื้นเมืองอื่นๆ ที่รู้จกกันอีกคือ ตัวอักษรฝักขาม และตัวอักษรพื้นเมือง
ั
ล้านนา ซึ่ งในปั จจุบนไม่ได้ใช้เขียนอ่านในชีวิตประจาวันแล้ว
ั
- 29. แหล่ งอ้ างอิง
• http://kongprateep76.wikispaces.com/%E0%B8
%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1
%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0
%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8
%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97
%E0%B8%A2
• หนังสื อ อักษรไทยมาจากไหน ของ สุ จิตต์ วงษ์เทศ
• หนังสื อ ตาราเรี ยนอักษรไทยโบราณ ของ รศ.กรรณิ การ์ วิมลเกษม
• กรรณิ การ์ วิมลเกษม. “พัฒนาการของอักษรโบราณในประเทศไทย.” ใน สังคม
และวัฒนธรรมใน
- 30. • ประเทศไทย = Thailand : culture and society. กรุ งเทพฯ : ศูนย์
มานุษยวิทยาสิ รินธร, ๒๕๔๒.
• กาธร สถิรกุล. ลายสื อไทย 700 ปี . พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุ งเทพฯ : องค์การค้าของคุรุ
สภา, ๒๕๔๓.
• ตรงใจ หุ ตางกูร, วชรพร อังกูรชัชชัย และดอกรัก พยัคศรี . “จารึ กพ่อขุนรามคาแหง.”
ใน ฐานข้อมูลจารึ กในประเทศไทย, ศูนย์มานุษยวิทยาสิ รินธร, ๒๕๔๖ (online).
เปิ ดข้อมูลเมื่อ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๐ หาข้อมูลจาก
http://www.sac.or.th/jaruk/
- 31. • ตรงใจ หุตางกูร, วชรพร อังกูรชัชชัย และดอกรัก พยัคศรี . “จารึกวัดป่ า
มะม่วง (ภาษาไทย) หลักที่ ๑,” ในฐานข้ อมูลจารึกในประเทศไทย,
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, ๒๕๔๖ (online). เปิ ดข้ อมูลเมื่อ ๑
มิถนายน ๒๕๕๐ หาข้ อมูลจาก
ุ
http://www.sac.or.th/jaruk/
• ธวัช ปุณโณทก. ศิลาจารึกอีสานสมัยไทย – ลาว : ศึกษาทางด้ านอักข
รวิทยาและประวัติศาสตร์ อีสาน.กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคาแหง,
๒๕๓๐.