4. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
256
โดย k เปนคาคงที่ ไมขึ้นกับเวลาและตําแหนง แตจําเปนจะตองเปน function ของความเร็ว
และ k จะกลายเปน 1 เมื่อ v<<c
x/
= k(x - vt ) ………………………..(8.4)
y/
= y ……………………….. (8.5)
z/
= z ……………………….. (8.6)
สมการ (8.4), (8.5), (8.6) เรียกวา Lorentz Coordinate Transformation Equation
เมื่อพิจารณาในกรอบ s จะได
x = k(x/
- vt/
) ……………………….. (8.7)
y = y/
……………………….. (8.8)
z = z/
……………………….. (8.9)
โดยที่ k ก็คือคาคงที่ตัวเดิม แต t/
คือเวลาวัดใน s/
– Frame เครื่องหมาย v จําตองกลับกับกรณี
แรก เรียกสมการ (8.7), (8.8) และ (8.9) วาเปนInverse Lorentz Coordinate transformation equation
แทนคา (8.4) ลงใน (8.7)
x = k( k(x –vt) + vt/
)
หรือ x = k2
x – k2
vt + kvt/
t/
= kt + x(
kv
k 2
1−
) …………..(a)
สมการ (8.4) ถึง (8.9) ไดมาจากสัจพจนขอที่ 1 ของไอนสไตน กลาวคือ ลักษณะ
ของ Transformation เปนแบบเดียวกันใน s และ s/
โดยความแตกตางที่มีนั้นเปนเพียงเครื่องหมาย
ของความเร็วเทานั้น ตอไปจะเปนการหาคา k
5. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
257
รูป 8.2
จากรูป 8.2 ยานอวกาศสองลําสัมผัสกันที่เวลา t/
= t ขณะนั้น x = x/
เปนตําแหนงของ หนา
คลื่น ของแสงซึ่งเกิดจากการสัมผัสกันระหวางยานอวกาศทั้งสองลํา สัจพจนขอ 2 กลาววา ผูสังเกตใน
s และ s/
วัดความเร็วของแสงได c เทากัน
ในเวลาตอมา t ใน s ขณะนั้นเปนเวลา t/
ใน s/
ตําแหนงของ Wave front ใน s คือ x
และใน s/
คือ x/
ดังนั้น ใน s x = ct (8.10)
และ s/
x/
= ct/
(8.11)
แทนคา x/
จากสมการ (8.4) และ t/
จากสมการ (a) ลงในสมการ (8.11)
k( x – vt) = c( kt + x(
kv
k 2
1−
) )
จัดรูปสมการใหมจะไดเปน
x = 22
2
)(
ckcvk
vcvtk
+−
+
(8.12)
6. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
258
นําสมการ ( 8.10) ตั้งหารดวยสมการ (8.12) จะได
1 =
tvkvtck
ckcvkct
222
22
)(
+
+−
c2
k2
– k2
v2
= c2
k =
2
2
1
1
c
v
−
± (8.13)
k เปนคาคงที่ ไมขึ้นกับเวลา แตขึ้นกับความเร็วและเมื่อ v<<c จะได v2
/ c2
มีคาเขาใกลศูนย
แสดงวา Lorentz Transformation เปน Galilean transformation เมื่อความเร็วต่ํา
เมื่อแทนคา k ลงในสมการ (a) จะไดความสัมพันธระหวาง t/
และ t
t/
=
2
2
2
1
c
v
c
vx
t
−
−
(8.14)
ดังนั้น สมการ Lorentz Coordinate Transformation ที่สมบูรณทั่วไป สมการมีดังนี้
x/
=
2
2
1
c
v
vtx
−
−
(8.15)
y/
= y (8.16)
z/
= z (8.17)
t/
=
2
2
2
1
c
v
c
vx
t
−
−
(8.18)
Inverse Lorentz Coordinate Transformation
x =
2
2
1
c
v
tvx
−
′−′
(8.19)
y = y/
(8.20)
z = z/
(8.21)
7. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
259
t =
2
2
2
1
c
v
c
xv
t
−
′
−′
(8.22)
Relativistic Mechanics
เปนการพัฒนาทฤษฎีสัมพัทธภาพขึ้นมาจากสัจจพจนทั้งสองขอของไอนสไตน ทฤษฎีนี้
พัฒนาขึ้นมาวาดวย การวัดระยะของ, เวลา , ความเร็ว, มวล, พลังงานและโมเมนตัม ตามลําดับ ซึ่ง
เปนเรื่องราวทางกลศาสตร จึงเรียกวากลศาสตรสัมพัทธภาพ
Lorentz -Fitzgerald Contraction
ถาสิ่งที่ถูกวัดกับผูวัดไมไดเคลื่อนที่สัมพันธกัน เชน ไมเมตรวางอยูตอหนา เมื่อผูวัดนําไมเมตร
มาตรฐานมาเปรียบเทียบก็จะได 1 เมตร ไมวาเราจะวัดเมื่อใดก็ตาม ในทฤษฎีสัมพัทธภาพ เรียก
Frame of Reference ที่ไมเคลื่อนที่ เมื่อเทียบกับวัตถุ วา “Rest Frame of Reference ความยาวของ
วัตถุที่วัดไดโดยผูวัดอยูใน Frame เดียวกัน เรียกวา Rest Length สมมุติวาไมชิ้นหนึ่งมี Rest Length
เทากับ L0 วางไมดังรูปใน s/
Frame โดยปลายทั้งสองอยูที่ตําแหนง x1
/
และ x2
/
ตามลําดับ
รูป 8.3
L0 = x2
/
- x1
/
L = x2- x1
ถา s/
Frame เคลื่อนที่ดวยความเร็วคงที่ v เมื่อเทียบกับ s – Frame ดังรูป ผูสังเกตใน s –
Frame จะวัดปลายทั้งสองของไมอยูที่ตําแหนง x1 และ x2 ในขณะนั้น เวลาใน s – Frame คือ t
การจัดตําแหนงของปลายทั้งสองจะตองทําในเวลาเดียวกัน เพราะมิฉะนั้นความยาวจะผิดไป เพราะ
8. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
260
วัตถุเคลื่อนที่ตลอดเวลา เมื่อเทียบกับ s – Frame ดังนั้นความหมายที่วัดไดใน s – Frame เรียกวา
Relativistic Length คือ L
ความสัมพันธระหวาง x1 และ x2กับ x1
/
และ x2
/
ในขณะที่เวลาใน s – Frame คือ t หาได
จากสมการ Lorentz Transformation คือ
x/
1 =
2
2
1
1
c
v
vtx
−
−
x/
2 =
2
2
2
1
c
v
vtx
−
−
L0 = x2
/
- x1
/
=
2
2
12
1
c
v
xx
−
−
=
2
2
1
c
v
L
−
หรือ L = L0 2
2
1
c
v
− (8.23)
เปนความสัมพันธระหวางความยาวที่วัดไดจริงใน s และ s/
– Frame
เนื่องจาก v < c ดังนั้น 2
2
1
c
v
− จึงมีคานอยกวา 1 เสมอ นั่นคือ L < L0
วัตถุที่เคลื่อนที่จะวัดไดวาหดสั้นลง ในแนวการเคลื่อนที่นั้น (ความยาวในแนว y และ Z
ไมเปลี่ยนแปลง) เมื่อผูวัดกับวัตถุอยูตาง Frame กัน ปรากฏการณ เชนนี้เรียกวา Lorentz -
Fitzgerald Contraction
ตัวอยาง เชน ความเร็วของกรอบ s/
คือ 1000 ไมล / วินาที
0L
L
= 2
2
1
c
v
− = 2
2
)/186000(
)/1000(
1
smi
smi
−
= 99.985 %
ถาความเร็ว ของกรอบ s/
มีความเร็วเปน 90% ของความเร็วแสง
0L
L
= 2
2
)(
)9.0(
1
c
c
− = 43.6%
9. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
261
ตัวอยาง 8.1 สําหรับผูสังเกตที่อยูนิ่งในระบบ s/
สังเกตไมเมตร ความยาว 1 เมตร ทํามุม 450
กับ
แกน x/
ใหคํานวณหาความยาวของไมเมตรและมุมที่ไมเมตรทําแกน x เมื่อผูสังเกตอยูในระบบ s/
เมื่อระบบ s/
เคลื่อนที่ดวยความเร็ว v = c)2/3( สัมพันธกับ s ตามแกน xx/
วิธีทํา ใหความยาวของไมเมตรเมื่อหยุดนิ่งสัมพันธกับ s/
คือ L0 ตองหาองคประกอบ L0x และ L0y
ดังแสดง
รูป 8.4
L0x = L0 cos θ0
และ L0y = L0 sin θ0
องคประกอบของ L0 ในแนวเดียวกับ v จะหดสั้นลง เมื่อสังเกตจากระบบ s
Lx = L0x 2
2
1
c
v
− = L0 cos θ0 2
2
1
c
v
−
ดังนั้น ผูสังเกต s เห็นความยาวไมเมตรเปน L = 22
yx LL +
L = 2
00
2
2
2
00 )sin()1cos( θθ L
c
v
L +−
10. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
262
แทนคา L0 = 1 m, θ0 = 45 องศา และ v = c)2/3( จะได
L = 0.625 m
พิจารณา
tan θ =
x
y
L
L
=
2
2
0
0
1cos
sin
c
v
−θ
θ
= 2
จะได θ = 63 0
27/
8.1.4 การยืดของเวลา (Time Dilation)
รูป 8.5
สมมุติในเวลาตอมา ในขณะที่เขามองเห็นเวลาใน s/
เปน t1
/
นั้น นาฬิกามาตรฐาน s ชี้ที่ t1
ความสัมพันธระหวาง t1
/
กับ t1 คือ
t1 =
2
2
2
/
1
1
c
v
c
xv
t
−
′
−
ตอมาอีกชวงเวลาหนึ่ง สมมุติขณะนั้น เปนเวลา t2
/
ใน s/
และเปนเวลา t2 ใน S
t2 =
2
2
2
/
2
1
c
v
c
xv
t
−
′
−
11. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
263
ชวงในเวลา s/
– Frame คือ t2
/
- t1
/
เรียกวา Rest time ชวงเวลา t2 – t1 เรียกวา
Relativistic Time เพราะอยูตาง Frame กัน
t2 – t1 =
2
2
/
1
/
2
1
c
v
tt
−
−
(8.24)
v << c ดังนั้น t2 – t1 > t2
/
- t1
/
นาฬิกาใน s/
เดินชากวานาฬิกาใน s
ตัวอยาง 8.2 อนุภาค mu-meson เปนอนุภาคชนิดหนึ่ง ถาอยูกับที่วัดอายุได 2x10-6
วินาที
ถาวัดอนุภาคนี้เมื่อเคลื่อนที่เขามาในบรรยากาศของโลกไดความเร็วสัมพัทธกับโลก 2.999 x 108
เมตร/วินาที และอนุภาคชนิดนี้จะสลายตัวหมดอายุใน ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร จงหา
(1) อายุของอนุภาคที่เคลื่อนที่
(2) ระยะทางบนพื้นโลกที่อนุภาคเคลื่อนที่ผาน
วิธีทํา
(1) อายุของอนุภาคที่เคลื่อนที่ t = t2 – t1 =
v
s
=
sm
m
/10999.2
1010
8
3
×
×
= 31.7 x 10-6
วินาที
อายุอยูนิ่ง คือ 2 x 10-6
วินาที (อายุที่วัดไดเมื่ออนุภาคนี้อยูนิ่งสัมพัทธกับผูวัดเรียกวา
t0= t2
/
- t1
/
)
t =
2
2
0
1
c
v
t
−
=
2
28
6
)10999.2(
1
102
c
×
−
× −
= 31.7 x 10-6
วินาที
(2) ในแงของระยะทางบนพื้นโลกที่อนุภาคเคลื่อนที่ผาน
12. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
264
ถา mu-meson สามารถวัดระยะทางได ระยะทางที่ mu-meson วัดได ใน Frame of
Reference ของตัวมันเองก็คือ ผลคูณของความเร็วสัมพัทธกับโลกกับอายุของ mu-meson ใน Frame
ของตนเอง
ระยะนี้ คือ Relativistic Length
L0 = v t0
= 2.999 x 108
x 2 x10-6
m
= 600 m โดยประมาณใน mu-meson Frame
แตในระยะทางนี้ คือระยะทางบนพื้นโลกประมาณ 10 กิโลเมตร (L0) ซึ่งเปน Rest Length
เพราะระยะทางนี้ เปนความยาวของพื้นดิน ซึ่งอยูนิ่งใน Frame ของโลก
L = L0 2
2
1
c
v
−
= 2
28
3 )10999.2(
11010
c
×
−×
= 600 เมตร โดยประมาณ
ตัวอยาง 8.3 ผูสังเกตบนโลกสังเกตเห็นรถยนตเคลื่อนที่ไปได 1 กิโลเมตรในเวลา 50 วินาที บน
ถนนสายตรง สําหรับผูสังเกตในยานอวกาศซึ่งเคลื่อนที่สัมพัทธกับโลกดวยอัตราเร็ว 0.95c จะเห็น
รถยนตเคลื่อนที่ไปไดระยะทางเทาใด เมื่อใชนาฬิกาของเขาจับเวลาการเคลื่อนที่ของรถยนต โดยที่
ความเร็วของยานอวกาศนี้ (ก) ตั้งฉากกับเสนทางการเคลื่อนที่ของรถยนตและ (ข) อยูในแนวเดียวกัน
กับการเคลื่อนที่ของรถยนต
วิธีทํา เวลา t0 คือ 50 วินาที
t =
2
2
0
1
c
v
t
−
= 2
)95.0(1
50
−
= 3.2 x 50 = 160 วินาที
(ก) ไมมีการหดของความยาวสําหรับระยะทางที่รถเคลื่อนที่ ถาความเร็วของยานอวกาศมี
ทิศ ตั้งฉากกับเสนทางการเคลื่อนที่ของรถยนต แตผูสังเกตในยานอวกาศจะเห็นวารถยนตตองใชเวลา
160 วินาที จึงจะเคลื่อนที่ไปได 1 km
(ข) ถายานอวกาศเคลื่อนที่ในแนวเดียวกันกับเสนทางการเคลื่อนของรถยนต จะมีการหดตัว
ของระยะทางที่รถเคลื่อนที่ไปได คือ
13. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
265
L = L0 2
2
1
c
v
−
= 1/3.2 = 0.31 km
ดังนั้น สําหับผูสังเกตในยานอวกาศ จะสังเกตเห็นรถยนตเคลื่อนที่ไดเพียง 0.31 กม. ในเวลา
160 วินาที กลาวคือ จะเคลื่อนที่ 1 km ในเวลา 517 วินาที
8.1.5 สมมูลยระหวางมวลและพลังงาน
มวลเปนปริมาณมูลฐานทางฟสิกส เชนเดียวกับระยะทางและเวลา การวัดมวลใน Rest
Frame กับการวัดใน Moving Frame ปรากฏวามีลักษณะเชนเดียวกับการวัดเวลา กลาวคือ
m =
2
2
0
1
c
v
m
−
เมื่อ m0 = rest mass คือ มวลที่วัดไดเมื่อผูวัดอยูใน Rest Frame of Reference
m = relativistic mass คือ มวลที่วัดไดเมื่อผูวัดอยูใน Moving Frame of Reference
m ≥ m0 สามารถแสดงสภาพการเปลี่ยนของมวลเมื่อความเร็วมีคาตางๆ ไดดังรูป ซึ่ง
แสดงวามวลเปน dependent variable ขึ้นอยูกับความเร็วซึ่งเปน independent variable
m /mo
0
1
2
3
4
5
6
7
8
0 0.2 0.4 0.6 0.8 1 1.2
รูป 8.6
14. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
266
การสังเกตจากกราฟ จะไดวา
1. มวลที่วัดไดไมคงที่ เปลี่ยนไปตามความเร็วสัมพัทธระหวางมวลกับผูวัด
2. ความสัมพัทธระหวางมวลกับความเร็วไมใช linear แตเปนเสนโคง
3. ในกรณีที่มวลมีความเร็วต่ํา m = m0
4. ในกรณีที่ v มีคาเขาใกลกับความเร็วแสง มวล m มีขนาดเขาสูอนันต
ถาเรานําผลที่ไดจากทฤษฎีสัมพัทธภาพมาใชกับกฎขอที่ 2 ของนิวตัน
F = )(mv
dt
d
= ma
c
v
m
dt
d
v +
−
)
1
(
2
2
0
จะเห็นไดวา F ไมเทากับ ma เพราะมวลจะเปลี่ยนไปไดเมื่อความเร็วเปลี่ยนแต F = ma ยังคง
ใชได ในกรณีความเร็วต่ําอยูตามเดิม เพราะในบริเวณที่ความเร็วต่ํานั้นคาของมวลเกือบคงที่
ตัวอยาง 8.4 วัตถุมวล 63 kg บนพื้นโลก ถายิงออกไปนอกโลกดวยความเร็วคงที่ = 0.998c คน
บนโลกจะวัดมวลของวัตถุชิ้นนี้ไดที่กิโลกรัม
วิธีทํา มวลบนพื้นโลกวัดได 63 kg เมื่อผูวัดอยูบนโลกจึงเรียกวา rest mass = m0 = 63 kg
m =
2
2
0
1
c
v
m
−
=
2
2
)998.0(
1
63
c
c
−
= 1000 kg
ตัวอยาง 8.5 โปรตอนเคลื่อนที่ดวยความเร็วเทาใด มวลของโปรตอนจึงเปนสองเทาของมวลนิ่ง
วิธีทํา กําหนดให m = 2 m0
m =
2
2
0
1
c
v
m
−
v = 0.866c
15. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
267
ในที่นี้จะศึกษาแตพลังงานจลนกับพลังงานรวม (Total Emery) เราจะพิจารณาพลังงานศักย
(ซึ่งขึ้นอยูกับตําแหนง)
การที่วัตถุมีพลังงานจลนเพิ่มขึ้นก็เพราะไดรับงานจากภายนอก งานนี้สมมุติวาเกิดมาจากแรง
F มากระทํากับวัตถุนั้น สมมุติวาในชวงระยะทางสั้น ๆ = ds มีแรง F มากระทํากับวัตถุในแนว ds งาน
ที่เกิดจากแรงนี้คือ Fds กลายไปเปนสวน ที่เพิ่มขึ้นของพลังงานจลน dEk ของวัตถุนั้น
dEk = Fds
สมมุติวาเมื่อเริ่มตนใน S วัตถุอยูที่ตําแหนง s = 0 มีความเร็ว v = 0 จึงมีพลังงานจลน EK =
0 แตตอมาหลังจากการกระทําของแรง F วัตถุเคลื่อนที่ถึงตําแหนง = s ความเร็ว = v และมี
พลังงานจลนขณะนั้นเปน EK
จากกฎขอที่สองของนิวตัน F = )(mv
dt
d
dEk = { )(mv
dt
d
}ds = )(mvd
dt
ds
= vd(mv) = v(vdm + mdv)
= v2
dm + mvdv …………( 1)
แต m =
2
2
0
1
c
v
m
−
mc2
= m2
v2
+ m0
2
c2
โดยคิดวา m และ v อาจเปลี่ยนแปลงได แต c = คงที่ จึงหา differentials ทั้งสองขางของ
สมการไดเปน
2mc2
dm = 2mv2
dm + 2m2
vdv
หารดวย 2m ได
c2
dm = v2
dm + mvdv .……….(2)
จะเห็นวาสมการ (1) และสมการ (2) มีดานขวามือเทากัน
16. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
268
dEk = c2
dm
เมื่อแรกเริ่มใน s วัตถุมี v=0 Ek = 0 และ m = m0 กอนเมื่อถูกแรง F กระทําจะมีความเร็ว
ใด ๆ v พลังงานจลน Ek และมวล m โดยวิธี Integrates สมการขางบนนี้อาจหาพลังงานจลนของ
วัตถุไดคือ
Ek = ∫
kE
kdE
0
= ∫
m
m
dmc
0
2
= c2
(m –m0)
mc2
= Ek + m0c2
………..(8.26)
สมการนี้เปนสมการพลังงาน ดังนั้น mc2
จึงเปนพลังงานทั้งหมดของวัตถุซึ่งประกอบดวย 2
สวน สวนแรกคือ พลังงานจลน Ek และสวนหลังคือ m0c2
ซึ่งหมายถึงพลังงานที่มีอยูในตัววัตถุอัน
เนื่องมาจากมวลสวนที่อยูกับที่นั่นเอง จึงเรียกชื่อวา “Rest Energy” ของวัตถุนั้น แสดงวามวล
สามารถเปลี่ยนเปนพลังงานได แมวาจะอยูนิ่ง ๆ ใน Frame นั้น ให E แทน Total Energy และ E0
แทน Rest Energy
E = Ek + E0
โดยที่ E = mc2
และ E0 = m0c2
เนื่องจาก m > m0 เสมอดังนั้น E > E0
ในกรณีความเร็วต่ํา v << c เทอม v / c จะมีคาเขาสูศูนย
Ek = mc2
- m0c2
=
2
2
0
1
c
v
m
−
c2
- m0c2
= m0c2
( ( 1)1( 2
1
2
2
−−
−
c
v
)
อาศัยทฤษฎีบททวินามกระจายอนุกรมเทอมที่ยกกําลัง –(1/2)จะได
= m0c2
( ( 1......)
2
1
1( 2
2
−++
c
v
)
= 2
0
2
1
vm
17. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
269
ตัวอยาง 8.6 จงคํานวณหา rest energy ของ electron เปนหนวย Joule และหนวย electron
Volt โดยกําหนด rest mass ของ electron เทากับ 9.11 x 10-31
kg
วิธีทํา E0 = m0c2
= (9.11 x 10-31
kg)( 3 x 108
)2
m2
/s2
= 8.2 x10-14
j
= 0.51 MeV
8.2 ทฤษฎีควอนตัมเบื้องตน
กอน ค.ศ. 1900 นักวิทยาศาสตรเชื่อวาความรูทางฟสิกสที่มีอยูสามารถนํามาใชอธิบาย
ปรากฏการณธรรมชาติไดครอบคลุมทั้งหมด ทั้งทางดานสสารและพลังงาน ทางดานสสารสามารถใช
กฎของนิวตันอธิบายการเคลื่อนที่ของอนุภาคตั้งแตระดับอิเล็กตรอนจนถึงดวงดาว ทางดาน
พลังงานมีทฤษฎีแมเหล็กไฟฟาของแมกซเวลล ซึ่งใชอธิบายสมบัติของสนามแมเหล็กไฟฟาไดครบถวน
ตอมาเมื่อนักวิทยาศาสตรไดศึกษาปรากฏการณตาง ๆ ลึกลงไปถึงระดับจุลภาค เชนระดับอะตอม
นิวเคลียสหรือเล็กกวานี้ พบวาความรูกฎเกณฑที่มีอยูไมสามารถอธิบายปรากฏการณเหลานั้นได
ครบถวนสมบูรณ จึงมีการตั้งกฎเกณฑใหม ๆ ขึ้นมา ทฤษฎีควอนตัมเปนทฤษฎีหนึ่งซึ่งตั้งขึ้นเพื่อใช
อธิบาย ทํานาย และแสดงความสัมพันธของปรากฏการณธรรมชาติในระดับเล็ก ๆ
8.2.1 การแผรังสีของวัตถุดํา (Black body radiation)
ปรากฏการณการแผรังสีของวัตถุดําเปนปรากฏการณหนึ่งซึ่งไมสามารถใชทฤษฎีหรือกฎ
ตางๆ ในฟสิกสยุคเกาอธิบายได วัตถุดําหมายถึงวัตถุที่สามารถแผหรือดูดกลืนรังสีไดทุกความถี่ ไดแก
วัตถุที่มีอุณหภูมิสูงมาก ๆ ดวงอาทิตยแผรังสีเกือบทุกความถี่ อนุโลมวาเปนวัตถุดําได
กฎเกี่ยวกับการแผรังสี
สมมติวาวัตถุดําชิ้นหนึ่งแผรังสีออกมาทุกความถี่ ตองการหาการกระจายของความถี่ใน
ชวงเวลาหนึ่ง ๆ วาวัตถุดําจะแผรังสีแตละความถี่ไดมากนอยเพียงใด ถาเรารูจํานวนแบบ (mode) การ
สั่นสะเทือนของคลื่นและพลังงานของการสั่นสะเทือนของแตละแบบ เราก็สามารถหาการ
กระจายของความถี่ (frequency distribution) ได
จากการศึกษาในวิชากลศาสตรสถิติพบวาความนาจะเปนของคาพลังงานซึ่งเกิดจากการ
สั่นสะเทือนจะมีคาอยูในชวง E ถึง E + dE จะเปนฟงกชันอยูในรูป e dEE k TB− /
18. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
270
พลังงานเฉลี่ยของการสั่นสะเทือนแตละแบบ คือ
E =
Ee dE
0
e dE
0
E
k
B
T
E k
B
T
−
−
∞
∫
∞
∫
อาศัยการอินทิเกรตบางสวน (Integrating by part) จะได
E = k TB .................... (8.27)
เมื่อ T คืออุณหภูมิมีหนวยเปนเคลวิน kB คือคาคงที่ของโบลซมานน
การหาจํานวนแบบของการสั่นสะเทือน พิจารณาจากการสมมติวามีกลองใบหนึ่งถูกทําให
รอน มีคลื่นแมเหล็กไฟฟาสะทอนแผออกมา กลองนี้จะอยูในภาวะสมดุลทางความรอน เมื่อคลื่น
แมเหล็กไฟฟาที่ถูกแผออกมาและถูกดูดกลืนเขาไปในกลองมีคาเทากัน อาจเปรียบเทียบไดวาคลื่นที่
สะทอนกลับไปกลับมาในกลองเปนคลื่นนิ่ง (Standing wave)
-จากการศึกษาสมบัติของคลื่นนิ่ง ความยาวคลื่น (λ)
¨จํานวนวงรอบของคลื่น(n)
ความยาวของกลอง(L) หาไดจาก
n = 2L/λ
กําหนดให k คือเลขคลื่น (Wave number)
k = 2πf/c
k = 2π/λ
L
รูป 8.7 การสะทอนของคลื่นในกลอง
รูป 8.8 การเกิดคลื่นนิ่ง n = 1
L
19. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
271
เมื่อ f คือความถี่ของคลื่น λ คือความยาวคลื่น
เงื่อนไขที่ทําใหเกิดคลื่นนิ่งในกรณีที่เปน 3 มิติคือ
2
2
2
π
π
π
n k L
n k L
n k L
x x
y y
z z
=
=
=
.................... (8.28)
ตรงจุด n จะได
n2
= n n nx y z
2 2 2
+ +
ปริมาตรที่อยูระหวางทรงกลมรัศมี n + dn คือ 4πn2
dn ซึ่งปริมาตรเทานี้จะมีคลื่น
แมเหล็กไฟฟาเทากับ 4πn2
dn คลื่นดวย จากสมการ (8.28) เมื่อยกกําลังสองทั้งสองขางแลวนํามา
รวมกันจะได
4π2
(n n nx y z
2 2 2
+ + ) = ( )k k k Lx y z
2 2 2 2
+ +
k =
2πn
L
dk =
2πdn
L
จํานวนคลื่นแมเหล็กไฟฟาในปริมาตรระหวาง n และ dn จะมีคาเปน
L k dk3 2
2
2π
คลื่น
เพราะคลื่นแมเหล็กไฟฟาเปนคลื่นตามขวาง ทิศทางการโพลาไรซจะมีอยู 2 ทิศทาง
จํานวนแบบ (mode) ของการสั่นสะเทือนในชวง k ถึง k + dk
mode =
2
2
3 2
2
L k dk
π
ในฟสิกสยุคเกา บอกวาการสั่นสะเทือนของแตละแบบจะมีพลังงานเทากับ kBT ดังนั้น
ในชวงความถี่ f ถึง f + df จะมีพลังงานเทากับ uf uf คือความหนาแนนพลังงาน/ปริมาตรในชวง
ความถี่ดังกลาว
z
n+dn
n
y
รูป 8.9 การหาจํานวนคลื่นในชวง
dn + n
x
22. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
274
ไฟฟาที่สั่นสะเทือนสงคลื่นแมเหล็กไฟฟาออกมานั้น พลังงานที่สงออกมาจะมีคาเพียงบางคา มี
ลักษณะไมตอเนื่อง เปนกอนพลังงาน (quantum of energy) พลังงานของคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่แผ
ออกมาแตละความถี่คือ
∈ = hf .................... (8.34)
เมื่อ h คือคาคงที่ของพลังค = 6.63 × 10-34
จูล⋅วินาที
f คือความถี่ของคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่แผออกมา
เมื่อพลังงานมีคาไมตอเนื่อง พลังงานเฉลี่ยของการสั่นสะเทือนแตละแบบคือ
E =
n e
e
n /kBT
n /kBT
n 0
n 0
∈
− ∈
− ∈
=
∞
=
∞
∑
∑
.................... (8.35)
เมื่อ n มีคามาก ๆ ∈ จะอยูชิดกันมากจนถือไดวามีคาเกือบตอเนื่อง อาศัยการกระจาย
ของอนุกรม เมื่อกําหนดให x e
n
kBT
=
−
ε
xn
n=
∑0
= 1 + x + x2
+ ...
=
1
1( )− x
∑n ∈xn
= ∈x (1 + 2x +3x2
+ ...)
=
∈
−
x
x( )1 2
แทนคา x =
∈
−
∈
e
kBT/
1
กระจายเทอมเอ็กซโพเนนเชียลใหอยูในรูปอนุกรม
≈
∈
+
∈
+ −( )1 1
k TB
K
สมการ (6.9) จะกลายเปน
E ≅ kBT
สอดคลองกับที่หาไดจากสมมติฐานเดิมที่พลังงานที่แผออกมามีคาตอเนื่อง
23. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
275
ความหนาแนนของพลังงานตอหนึ่งหนวยปริมาตร เมื่อใชสมมติฐานของพลังคพบวามีคา
เปน
ufdf =
8 1
1
3
3
πhf
c e
dfnf kBT/
−
.................... (8.36)
เมื่อนําไปพล็อตกราฟระหวาง uf และ f เสนกราฟที่ไดจะสอดคลองกับผลการทดลองพอดี
u dff
0
∞
∫ =
8 h
c
f df
e 1
3
3
0
hf /kBT
π
−
∞
∫
= σT4
เมื่อ σ =
8
15
5 4
3 3
π k
h c
B
ซึ่งตรงกับกฎของสตีฟานไดทํานายไว
เมื่อใหอุณหภูมิคงที่ หาความถี่ของคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่แผออกมาไดมากที่สุด นั่นคือ
du
df
f
= 0 จะได
T = 0.2131
h
k
f
B
m
ซึ่งสอดคลองกับกฎของวีนที่วาผลคูณของอุณหภูมิสมบูรณกับความยาวคลื่นที่แผออกมา
ไดมากที่สุดมีคาคงที่
จะเห็นวาสมมติฐานของพลังคที่กลาวถึงพลังงานในลักษณะที่มีคาไมตอเนื่องนี้สามารถ
ใชอธิบายปรากฏการณแผรังสีไดสอดคลองกับผลการทดลอง และสอดคลองกับกฎตาง ๆ ในฟสิกสยุค
เกา เปนสมมติฐานที่เปดศักราชของฟสิกสยุคใหม และเปนที่มาของวิชากลศาสตรควอนตัม
ตัวอยาง 8.6 ความหนาแนนพลังงานตอปริมาตรที่ไดจากสมมติฐานของพลังค (uf) คือ
uf =
8 hf
c
1
e 1
3
3 nf /kBT
π
−
จงแสดงวาเมื่อ
hf
k TB
มีคานอยกวาหนึ่งมาก ๆ สมการนี้จะสอดคลองกับกฎของเรเลห
และจีนส
วิธีทํา เมื่อกระจาย ex
เปนอนุกรมจะได
ex
= 1 + x +
x2
2!
+
x3
3!
+ ...
จากสมการความหนาแนนพลังงานตอปริมาตร กระจายเทอม ehf k TB/
ใหอยูในรูปอนุกรม
24. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
276
uf (T) =
8 1
1
1
2
1
3
3 2
πhf
c hf
k T
hf
k TB B
+ +
⎛
⎝
⎜
⎞
⎠
⎟ +
⎛
⎝
⎜
⎞
⎠
⎟ −
⎡
⎣
⎢
⎢
⎤
⎦
⎥
⎥
...
เพราะ
hf
k TB
มีคานอยมาก เทอมยกกําลังสองจึงตัดทิ้งได จะได
uf =
8 3
3
πhf
c
k TB
เหมือนกับสมการของเรเลหและจีนส สมการที่ (8.30)
ตัวอยาง 8.7 จากตัวอยาง 8.6 จงแสดงวาความหนาแนนพลังงานที่แผออกมาจากวัตถุดําที่ทุก
คาความถี่จะเปนไปตามกฎของสตีฟาน
วิธีทํา วัตถุดําแผรังสีทุกความถี่ตั้งแต 0 ถึง ∞
ความหนาแนนของพลังงานที่ไดจากทุกความถี่
U = u dff
0
∞
∫
=
( )
8 hf
c
df
e 1
3
3
0
hf /k TB
π∞
∫ −
เปลี่ยนตัวแปร โดยให x =
hf
k TB
dx =
h
k T
df
B
สมการจะกลายเปน
u =
8
1
4 4
3 3
3
0
πk T
h c
x dx
e
B
x
−
∞
∫
=
8
1
1
4 4
3 3
3
0
πk T
h c
x e
e
dxB
x
x
−∞
−
⎛
⎝
⎜
⎞
⎠
⎟
∫
จากอนุกรมเลขคณิต
1
1− n
= 1 + n +n2
+ n3
+ ...
u =
8 T
h c
x3e x (1 e x e 2x ...)dx
0
4
3 3
πk
B
4
− + − + − +
∞
∫
u =
8 4 4
3 3
3
10
πk T
h c
x e dx
B sx
s
−
=
∞∞
∑∫
25. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
277
จากสูตรของ Gamma function
e x dxx n− −
∞
∫ 1
0
= Γ( )n
= (n-1)!
หรือ
1 1
0s
e sx dxn
sx n− −
∞
∫ ( ) =
( )!n
sn
− 1
=
3
4
!
s
n = 4 เพราะเมื่อเทียบกับตัวแปรในสมการจะได
(sx)3
= (sx)n-1
จึงได n = 4
ผลลัพธของการอินทิเกรตจะได
U =
8 34 4
3 3 4
0
πk T
h c s
B
n
!
=
∞
∑
แต
1
4
s
∑ = 1 +
1
2
1
3 904 4
4
+ + =...
π
แทนคา
1
4
s
∑ จะได
U =
8
15
4
3 3
4
πk
h c
T
B
ตรงกับสูตรซึ่งสตีฟานหาไวในสมการ (8.36)
สมมติฐานของพลังคสามารถนําไปใชอธิบายปรากฏการณอื่นๆ ซึ่งทฤษฎีฟสิกสยุคเกาไม
สามารถอธิบายไดถูกตองอีกหลายปรากฏการณดังที่จะกลาวตอไปนี้
8.3 ปรากฏการณโฟโตอิเล็กตริก (Photoelectic effect)
ค.ศ. 1887 เฮิรตซ (Hertz) ไดทดลองฉายรังสีอุลตราไวโอเล็ตไปกระทบบนผิวโลหะ พบวา
เกิดอิเล็กตรอนอิสระที่โลหะนั้น เรียกอิเล็กตรอนนี้วา โฟโตอิเล็กตรอน เมื่อเฮิรตซเปลี่ยนความถี่ของ
แสงที่ฉายตกกระทบบนโลหะพบวา เมื่อลดความถี่ของรังสีใหนอยลงถึงคาคาหนึ่งซึ่งพอดีที่จะทําให
อิเล็กตรอนในอะตอมหลุดเปนอิสระได ถาความถี่นอยกวาคาคานี้จะไมเกิดโฟโตอิเล็กตรอนขึ้น
ความถี่นี้เรียกวาความถี่ขีดเริ่ม (threshold frequency) เมื่อเพิ่มความถี่ใหสูงขึ้น พบวาโฟโต
อิเล็กตรอนจะมีพลังงานมากขึ้น ถาเพิ่มปริมาณความเขมของรังสีจะมีผลตอจํานวนโฟโตอิเล็กตรอน
ซึ่งจะมีจํานวนมากขึ้น
26. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
278
ทฤษฎีฟสิกสยุคเกากลาววาเมื่อคลื่นแมเหล็กไฟฟาตกกระทบโลหะ จะทําใหอะตอมมีการ
สั่นสะเทือนแบบซิมเปลฮารมอนิก ถาความเขมของคลื่นมีคามากขึ้น นั่นคือขนาดของสนาม
แมเหล็กไฟฟาจะมากขึ้น ทําใหแรงที่ทําใหเกิดการสั่นมีคามาก อิเล็กตรอนจะหลุดจากผิวโลหะดวย
พลังงานที่มีคามาก ถาเพิ่มความถี่แสงพลังงานของโฟโตอิเล็กตรอนจะมีคาลดลง เพราะผลของความ
เฉื่อยของมวลของอิเล็กตรอน จะเห็นวาคําทํานายที่ทฤษฎีฟสิกสยุกเกากลาวไวขัดแยงกับผลการ
ทดลอง
8.3.1 สมการทั่วไปของปรากฏการณโฟโตอิเล็กตริก
ค.ศ. 1905 ไอนสไตนไดอธิบายปรากฏการณโฟโตอิเล็กตริกไดเปนผลสําเร็จ ทําใหเขา
ไดรับรางวัลโนเบลในเวลาตอมา ไอนสไตนเสนอวาแสงเปนกลุมพลังงานเล็ก ๆ เปรียบไดดังอนุภาค มี
มวล มีโมเมนตัม และพลังงาน เรียกวาโฟตอน (photon) เมื่อโฟตอนชนกับอิเล็กตรอนจะเหมือนกับ
อนุภาค 2 อนุภาคชนกัน จะมีการถายเทพลังงานใหแกอิเล็กตรอนทั้งหมด ถา
พลังงานที่ถายเทใหนี้มีคาเทากับพลังงานที่ยึดอิเล็กตรอนไวในนิวเคลียส เราเรียกคาพลังงานนี้วา เวิรก
ฟงกชัน ถาพลังงานที่ถายเทใหมีคามากกวาเวิรกฟงกชัน พลังงานที่เหลือจะกลายเปน
พลังงานจลนของโฟโตอิเล็กตรอน สามารถเขียนเปนสมการโฟโตอิเล็กตริกของไอนสไตน ดังนี้
hf = W + K .................... (8.37)
เมื่อให hf เปนพลังงานของโฟตอนที่ตกกระทบ
W คือ Work function หนวยปนอิเล็กตรอนโวลต (eV)
K คือพลังงานจลนคาสูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน
เมื่อเขียนกราฟระหวางพลังงานจลนของโฟโตอิเล็กตรอนกับความถี่ของแสงที่
ตกกระทบจะมีลักษณะดังนี้
รูป 8.14 แสดงความสัมพันธระหวางพลังงานจลนและความถี่
K
Kmax
hf
ff0
W f
27. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
279
กราฟที่ไดเปนกราฟเสนตรง มีความชันเทากับคาคงที่ของพลังค จุดที่ตัดกับแกน f ที่
ตําแหนง f0 จุดนี้คือความถี่ขีดเริ่ม เวิรกฟงกชัน (W) จึงหาไดจาก W = hf0 ตรงจุด f0 นี้พลังงานจลน
ของอิเล็กตรอนจะเปนศูนย
ตารางตอไปนี้เปนเวิรกฟงกชันของโลหะชนิดตาง ๆ
ตาราง 8.1 แสดงคาเวิรกฟงกชันของโลหะ
โลหะ W (eV)
แบเรียม 2.5
ซีเซียม 1.9
ทองแดง 4.5
โปแตสเซียม 2.2
เงิน 4.6
โซเดียม 2.3
ทังสเตน 4.5
การวัดคาพลังงานจลนของอิเล็กตรอนจะตองรูคาความเร็วของอิเล็กตรอน ซึ่งในทาง
ปฏิบัติวัดไดลําบาก เราจึงวัดพลังงานจลนของอิเล็กตรอนในรูปของศักยหยุดยั้ง(Stopping Potential)
มิลลิแคน (Millikan) ไดเสนอวิธีการวัดคาศักยหยุดยั้งไวเมื่อ ค.ศ. 1916
อุปกรณประกอบดวยหลอดสูญญากาศ มีขั้วลบเปนแผนโลหะ (C) รับแสงที่ตกกระทบ
อีกปลายดานหนึ่งของหลอดเปนขั้วบวก (A) ตอขั้วทั้งสองเขากับแหลงจายไฟตรงที่สามารถปรับ
รูป 6.7 การหาคาศักยหยุดยั้ง
B
V
A
C A
28. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
280
แรงเคลื่อนไฟฟาได สามารถวัดกระแสและความตางศักยไฟฟาที่ขั้วทั้งสองของหลอดไดจาก
แอมมิเตอรและโวลตมิเตอร
จากรูปเมื่อใหแสงตกกระทบบนโลหะจะเกิดโฟโตอิเล็กตรอนเคลื่อนที่จากขั้วลบมายัง
ขั้วบวก ถาความตางศักยที่ขั้ว AC มากเทาใดจะยิ่งชวยเสริมรวมกับพลังงานจลนของอิเล็กตรอน ทํา
ใหวิ่งมาถึงแผนบวกไดเร็วและมากขึ้น ถากลับขั้วแหลงจายไฟตรงเสียใหม ใหขั้ว A เปนลบเมื่อเทียบ
กับ C เริ่มตนปรับคาความตางศักยจากศูนยโวลตขึ้นไป จะมีสนามไฟฟาซึ่งทําใหเกิดแรงตานในทิศที่
สวนกับการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน ความตางศักยที่ขั้ว A เปนลบมากขึ้นเทาใด อิเล็กตรอนจะวิ่งถึง
ขั้ว A ไดยากขึ้นเพียงนั้น จนถึงคาความตางศักยคาหนึ่งเทากับ V0 จะไมมีอิเล็กตรอนตัวใดวิ่งถึงขั้ว A
เลย ซึ่งสังเกตไดจากกระแสที่ไหลผานแอมมิเตอรเปนศูนย เรียกวา V0 วาเปนศักยหยุดยั้ง ตรงคา V0
นี้แสดงวาพลังงานไฟฟาที่ใชตานการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนมีคาเทากับพลังงานจลนของอิเล็กตรอน
พอดี นั่นคือ
K = qV0 .................... (8.38)
แทนคา K ลงในสมการ (8.37)
hf = W + qV0 .................... (8.39)
สมการ (8.38) ถูกนําไปใชในทางปฏิบัติมากกวาสมการ (8.36) เพราะสามารถวัด
พลังงานจลนไดจากความตางศักยไดโดยตรง
8.3.2 การคํานวณหาเวิรกฟงกชัน ความถี่ขีดเริ่ม และศักยหยุดยั้ง
ตัวอยาง 8.8 โลหะโซเดียมมีคาเวิรกฟงกชัน = 2.3 eV เมื่อฉายแสงสีเขียวความยาวคลื่น 5,000 แอง
สตรอม จะเกิดปรากฏการณโฟโตอิเล็กตริกหรือไม
วิธีทํา จากคาเวิรกฟงกชัน ทําใหรูความถี่ขีดต่ําสุดของโลหะโซเดียมได
W = hf0 =
hc
λ0
หรือ λ0 =
hc
W
h = 6.625 × 10-34
จูล⋅วินาที
c = 3 × 108
เมตร/วินาที
w = 2.3 × 1.6 × 10-19
จูล
จะได λ0 = 5394.9 แองสตรอม
ความยาวคลื่นของแสงสีเขียวนอยกวาความยาวคลื่นขีดต่ําสุด จึงเกิดปรากฏการณ
โฟโตอิเล็กตริกได
29. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
281
ตัวอยาง 8.9 ฉายแสงจากหลอดปรอทซึ่งใหแสงความยาวคลื่น 2537 แองสตรอม บนแผนโลหะ
ซีเซียมซึ่งมีคาเวิรกฟงกชันเทากับ 19 eV จงคํานวณหา
ก. ความเร็วสูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน
ข. ศักยหยุดยั้ง
วิธีทํา ก. จาก K = hf - W
=
hc
λ0
- W
เมื่อ c = 3 × 108
เมตร/วินาที h = 6.625 × 10-34
จูล.วินาที
λ = 2537 ×10-10
เมตร W = 1.9 × 1.6 × 10-19
จูล
K = 4.67 × 10-19
จูล
คาพลังงานจลนนี้ถือวาเปนคาสูงสุด เพราะเกิดจากโฟโตอิเล็กตรอนหลุดเปน
อิเล็กตรอนอิสระโดยตรง ไมเสียพลังงานใหกับการชนกับอิเล็กตรอนตัวอื่นๆ ความเร็วสูงสุดของ
อิเล็กตรอนคือ
v2
=
2K
m
v = 1.02 × 106
เมตร/วินาที
ข. คํานวณหาคาศักยหยุดยั้ง
K = qV0
=
coulomb
J
19
19
106.1
1067.4
−
−
×
×
= 2.99 volt
8.4 ปรากฏการณคอมปตัน (The Compton effect)
ปรากฏการณคอมปตัน เปนปรากฏการณที่แสดงใหเห็นอยางชัดเจนวาคลื่นแมเหล็ก
ไฟฟาสามารถประพฤติตัวเปนอนุภาคไรมวลที่เรียกวาโฟตอนได คอมปตันไดทําการทดลองไวเมื่อ
ค.ศ. 1923 โดยฉายรังสีเอ็กซไปยังแทงกราไฟต รังสีเอ็กซที่ผานแทงกราไฟตจะมีการกระเจิงออกมา
ความถี่ของรังสีเอ็กซที่กระเจิงนี้จะมีคาลดลงกวาเดิมและขึ้นอยูกับมุมกระเจิงเทานั้น
จากทฤษฎีสัมพัทธภาพ สมการพลังงานของอนุภาคที่มีมวลนิ่งเทากับ m0 มีโมเมนตัม
เทากับ p คือ
E2
= (m0c2
)2
+ (pc)2
= (mc2
)2
30. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
282
โฟตอนของรังสีเอ็กซที่มีความถี่ f เปนอนุภาคไรมวล m0 = 0 ดังนั้น
E = pc
หรือ p =
E
c
=
hf
c
h
=
λ
.................... (8.39)
จากรูป 8.16 โฟตอนของรังสีเอ็กซมีพลังงาน E1 = hf1 มีโมเมนตัม p1 = h/λ1 วิ่งชน
อิเล็กตรอนของแทงกราไฟต ทําใหอิเล็กตรอนเบี่ยงเบนไปจากแนวเดิมเทากับ θ โมเมนตัมของ
อิเล็กตรอนหลังการชนคือ P พลังงานทั้งหมดของอิเล็กตรอนหลังชนคือ E โดยที่ E
= ( )m c P c0
2 2 2 2
+ โฟตอนกระเจิงไปจากแนวเดิมเปนมุม φ ความถี่ของโฟตอนหลัง
ชนเทากับ f2
จากกฎการอนุรักษโมเมนตัม
ผลบวกของโมเมนตัมกอนชน = ผลบวกของโมเมนตัมหลังชนในแนวแกน x
hf
c
1
0+ =
hf
c
P2
cos cosφ θ+ .................... (8.40)
ในแนวแกน y
0 + 0 =
hf
c
P2
sin sinφ θ+ .................... (8.41)
จากสมการ (8.40)
hf1 - hf2 cosφ = Pc cos θ .................... (8.42)
E2=hf2
E1=hf1
φ
p2=hf2 / c
θเปาอิเล็กตรอนp1=hf1 / c
P, E
กอนชน หลังชน
รูป 8.16 แสดงการชนของโฟตอนกับอิเล็กตรอนในแทงกราไฟต
33. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
285
8.5 สมบัติคลื่นของอนุภาค
ค.ศ.1924 หลุยส วิกเตอร เดอบรอยล ไดเสนอวาเมื่อคลื่นแมเหล็กไฟฟาสามารถมี
สมบัติของอนุภาคได อนุภาคมีสมบัติความเปนคลื่นไดเชนกัน เรียกคลื่นของอนุภาคนี้วา คลื่น
เดอบรอยล ความยาวคลื่นและโมเมนตัมของอนุภาคมีความสัมพันธกันดังนี้
P =
h
λ
= mv
λ =
h
mv
.................... (8.50)
ถาความเร็วของอนุภาคมีคานอยกวาความเร็วแสงมาก ๆ ถือไดวา m = m0 เมื่อ m0 คือ
มวลของอนุภาคขณะหยุดนิ่ง แตถาความเร็วของอนุภาคเขาใกลความเร็วแสงตองใชความสัมพันธของ
m และ m0 ในสมการ(8.47) มาคํานวณดวย
ในชีวิตประจําวันคลื่นของอนุภาคมีอิทธิพลตอปรากฏการณที่สังเกตนอยมาก
ตัวอยางเชน ลูกบอลมวล 1 กิโลกรัม เคลื่อนที่ดวยความเร็ว 1 เมตร/วินาที คลื่นเดอบรอยลของลูก
บอลมีคาเทากับ 6.625 ×10-34
เมตร ความยาวคลื่นคานี้มีคานอยมากยากที่จะตรวจวัดได
ผลการทดลองที่แสดงใหเห็นวาอิเล็กตรอนแสดงสมบัติความเปนคลื่นไดคือการทดลอง
ของเดวิดสันและเจอเมอร (Davidson and Germer) ในป ค.ศ. 1927 โดยปลอยลําอิเล็กตรอนผาน
เขาไปในผลึกของนิเกิล อิเล็กตรอนจะเกิดการเลี้ยวเบนในผลึกทําใหทางเดินของ
ลําอิเล็กตรอนที่ผานระนาบของผลึกที่อยูติดกันมีคาตางกันทําใหเกิดการแทรกสอดของคลื่นอนุภาค
จากรูปคลื่นอิเล็กตรอนผานระนาบที่ตางกันของผลึกซึ่งมีความกวาง = a เสนทางของ
คลื่น ABC และ DEFG จะมีความยาวไมเทากันโดยมีผลตางของทางเดิน (path difference)
เทากับ EFG
รูป 8.17 คลื่นอิเล็กตรอนผานระนาบที่ตางกันของผลึกนิเกิล
F
CA
D H
B
E Gθ a
34. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
286
EFG = 2a sinθ
การแทรกสอดของคลื่นอนุภาคจะเสริมกันก็ตอเมื่อผลตางของทางเดินของคลื่นเปน
จํานวนเทาของความยาวคลื่น
2a sin θ = n λ .................... (8.51)
เมื่อ n =1, 2,3 ....
ตัวอยาง 8.11 นิวตรอนมีพลังงานจลน 0.0082 eV จงหาความยาวคลื่นเดอบรอยลของนิวตรอนนี้
วิธีทํา จาก λ =
h
P
h
m K
=
2 0
เมื่อ K คือพลังงานจลนของนิวตรอน = 0.082 × 1.602 × 10-19
จูล
m0 คือมวลนิ่งของนิวตรอน = 1.675 × 10-27
กิโลกรัม
h คาคงที่ของพลังค = 6.625 × 10-34
จูล⋅วินาที
แทนคาจะได λ = 1.412 × 10-10
เมตร
ตัวอยาง 8.12 โลกมีมวล 6 × 1024
กิโลกรัม รัศมีวงโคจร 1.5 × 1011
เมตร ความเร็วในแนวเสน
สัมผัสเสนรอบวงคือ 3 × 104
เมตร/วินาที จงคํานวณหาความยาวคลื่นเดอบรอยลของโลก
วิธีทํา λ =
h
mv
เมื่อ m คือมวลของโลก และ v คือความเร็วของโลก
= 424
34
103106
10625.6
×××
× −
= 0.368 × 10-62
เมตร
อนุภาคที่มวลมากคลื่นเดอบรอยลจะมีคานอยมากจนไมสามารถวัดได คลื่นเดอบรอยล
ของอนุภาคที่มีมวลนอย ๆ เชน อิเล็กตรอนจะสังเกตเห็นไดงายกวา
35. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
287
8.3 หลักความไมแนนอนของไฮเซนเบิรก-ฟงกชันคลื่น
รูป 8.18 แสดงใหเห็นการจัดตัวของความยาวคลื่นอิเล็กตรอนเปนจํานวนเต็มหนวยรอบเสนรอบวงโคจรของ
บอร (Bohr orbit) รัศมี r
พิจารณาดูอิเลกตรอนที่โคจรรอบนิวเคลียส มันสามารถวิ่งโคจรรอบนิวเคลียสได โดยไมถูกดูด
ลงไปเขาหานิวเคลียส นั่นแสดงวา ขณะที่มันโคจรอยูมันไมไดสูญเสียพลังงานเลย ตามสมมุติฐาน
ของเดอบรอยล การเคลื่อนที่ของมันรอบนิวเคลียสนาจะเปนลักษณะคลื่นนิ่ง โดย ความยาวของวง
โคจร เทากับผลคูณเลขจํานวนเต็มกับความยาวคลื่น
พิจารณา 2π r = n λ
แต λ = h / P
ฉะนั้น 2π r = n h / P
จะได 2π r(mv) = nh
mvr =
π2
nh
ซึ่งสอดคลองกับสมมุติฐานขอที่หนึ่งของนิลส บอหร
รูป 8.19 (ก.) เชือกยาว L ถูกตรึงปลายทั้งสอง ( ข )อนุภาคมวล m ความเร็ว v เคลื่อนที่ระหวางผนังแข็งระยะ L
36. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
288
wave disturbance เปนการมองตัวกลางซึ่งถูกรบกวนโดยคลื่น การรบกวนที่เกิดขึ้นก็คือ
คลื่นนั่นเอง สําหรับ คลื่นวัตถุ ψ เปนตัวบอก wave disturbance ในเรื่องคลื่นเสียง wave
disturbance คือ การแปรของความกดอากาศ P ในเรื่องคลื่นแมเหล็กไฟฟา wave disturbance ก็
คือ ความเขมสนามไฟฟา นั่นเอง
พิจารณาฟงกชันคลื่น ψ(x,r) ของเชือกยาวL ที่ถูกตรึงปลายทั้งสองในรูปถาเชือกเสนนี้เกิด
คลื่นนิ่งและมีบัพ (node) ที่ปลายทั้งสอง ความยาวคลื่นหาไดจาก
λ =
n
L2
เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม = 1,2,3, …
และเขียน wave disturbance ไดดังนี้
y = ym sin kx cos ωt
ซึ่ง ω = 2πf เปนความถี่เชิงมุมของคลื่นและ k =
λ
π2
=
L
nπ
เปนเลขคลื่น
ดังนั้นสมการคลื่นนิ่งจะเปน
Y = ym sin
L
nπ
x cos ωt
ถาเรานําสมการ 1 มา plot โดยให n = 1, 2 และ 3 จะไดรูป 8.20 ซึ่งที่ x = 0 และ
x = L จะได y = 0 เปนบัพที่ปลายทั้งสอง พิจารณาอนุภาคมวล m ที่เคลื่อนที่อยูระหวางกําแพง
แข็งสองขางหางกัน L ดังรูป ความยาวคลื่นของอนุภาคคือ
λ =
n
L2
เมื่อ n เปนจํานวนเต็ม = 1,2,3,
แทนคา λ = h / P จะได P = nh / 2L
จากสมการ P = mE2
จาก 2 สมการขางตน แทนคา P เราจะได
L
nh
2
= mE2
E = 2
22
8mL
hn
เมื่อ n = 1,2,3,…
37. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
289
รูป 8.20
พลังงานของอนุภาค มิใชมีคาเทาไรก็ได แตจะมีคาตามสมการขางตน สมการคลื่นของ
อนุภาคนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับสมการคลื่นนิ่งในเสนเชือก จึงเขียนไดดังนี้
ψ = ψm sin
L
nπ
x cos ωt
ตัวอยาง 8.12 อิเลครอนมวล 9 × 10-31
kg เคลื่อนที่อยูระหวางผนังแข็งหางกัน 1.0 × 10-9
m
(ประมาณ 5 เทา ของเสนผาศูนยกลางของอะตอม) จงหาพลังงานควัน-ไตซของอิเลคตรอนเมื่อ n
= 1, 2 และ 3
วิธีทํา จากสมการ เมื่อ n = 1 จะได
E = 2
22
8mL
hn
=
)101)(101.9(8
)106.6(
1 931
234
2
mkg
sJ
−−
−
××
−×
= 6.0 × 10-20
J = 0.38 eV
เมื่อ n = 2 E = 22
(0.38) = 1.5 eV
เมื่อ n = 3 E = 32
(0.38) = 3.4 eV
38. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
290
ตัวอยาง 8.13 ผงฝุนมวล 1 ไมโครกรัม หรือ 10-9
kg เคลื่อนที่อยูระหวางผนังแข็งหางกัน 0.1 mm
หรือ 10-4
m ดวยความเร็ว10-6
m/s ถามันใชเวลา 100 s ในการเคลื่อนที่จากผนังดานหนึ่งไปอีกดาน
หนึ่ง จงหาเลขควันตัมของการเคลื่อนที่นี้
วิธีทํา
หาพลังงานของผงฝุน mE2 =
L
nh
2
E = 2
2
1
mv
= 0.5 × 10-9
kg ×(10-6
m/s)2
= 5 ×1022
J
จากสมการ n =
h
L
mE8
= 3 × 1014
ผลการคํานวณชี้ใหเห็นวา ในการพิจารณาวัตถุมีขนาดที่เรารูสึกมองเห็นนั้น (เชนผงฝุน) จะ
สังเกตเห็นธรรมชาติของควันไตเซชั่นไดยาก เพราะเราไมสามารถจะแยกความแตกตางระหวาง
n = 3 × 1014
และ 3 × 1014
+ 1 ได ฉะนั้นฟสิกสแบบเกาไมสามารถอธิบายตัวอยาง (8.13) ได แต
จะสามารถอธิบายตัวอยาง(8.12) ได อยางดี
ความหมายของ ψ
แมกซบอรน (Max Born) ไดแนะวา ปริมาณ ψ
2
ที่จุดใดจุดหนึ่ง คือ ความเปนไปได
(Probability) ที่จะพบอนุภาคใกลจุดนั้น ถาเราสรางปริมาตรเล็กๆ dV ลอมรอบจุดนั้น ความเปนไป
ไดที่เราจะพบอนุภาค ขณะใดขณะหนึ่งจะเทากับ ψ
2
dV สําหรับอนุภาคที่วิ่งอยูระหวางผนังหรือ
กําแพงที่กลาวมาแลว ความ เปนไปไดที่จะพบอนุภาคระหวางระนาบ x และ x + dx จากปลายขาง
หนึ่งของผนังคือ
ψ
2
dx = ψ
2
m sin2
L
nπ
x cos2
ωt dx
ถาแทนคา cos2
ωt ดวย ½ ซึ่งเปนคาเฉลี่ยของ cos เราจะได ψ
2
เฉลี่ยดังนี้
ψ
2
=
2
1
ψ
2
m sin2
L
nπ
x (8.52)
39. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
291
รูป 8.21 แสดงความเปนไปไดที่จะพบอนุภาคเมื่อ n =1, 2 และ 3
เชนเมื่อ n = 1 ความเปนไปไดทีเราจะพบอนุภาคที่กึ่งกลางจะมากกวาที่ผนังทั้งสองขาง
ผลลัพธดังกลาวนี้ขัดกับความคิดแบบเกามาก ซึ่งกลาววา ความเปนไปไดในการพบอนุภาคตามที่
ตาง ๆ ระหวางผนังทั้งสองมีคาเทาๆ กัน
ถาลองเอาวิชากลศาสตรแหงคลื่นของชโรดิงเจอร มาใชกับอะตอมของไฮโดรเจน และอาศัย
คณิตศาสตร ชั้นสูง เราจะไดฟงกชั่นคลื่นของอะตอมไฮโดรแจนที่ ground state ดังนี้
ψ = α
πα
r
e
−
3
2
cos ωt
ซึ่ง α = 2
2
me
h
π
ถามีที่วางระหวางทรงกลมสองลูกศูนยกลางอยูที่นิวเคลียสของอะตอมของไฮไดรเจน รัศมีของ
ทรงกลม r และ dr จงหาความเปนไปได P(r) ที่อิเลคตรอนจะอยูในที่วางนี้ในเทอมของ r
ความเปนไปได ψ
2
dV ซึ่ง dV เปนปริมาตรของที่วางอยูระหวางทรงกลมทั้งสองคือ 4πr2
dr
ดังนั้น
ψ
2
dV = ( α
πα
r
e
−
3
2
cos ωt )2
4πr2
dr = P( r ) dr (8.53)
แทนคา cos2
ωt ดวย ½ จะไดความเปนไปไดเฉลี่ยคือ