SlideShare a Scribd company logo
1 of 19
Download to read offline
ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
190
หนวยที่ 6
คลื่นแมเหล็กไฟฟา
6.1 ทฤษฎีเกี่ยวกับคลื่นแมเหล็กไฟฟา
คลื่นแมเหล็กไฟฟาเปนคลื่นที่เคลื่อนที่ไดโดยไมตองอาศัยตัวกลาง ประกอบดวย
สนามแมเหล็กและสนามไฟฟาที่ตั้งฉากกัน และเคลื่อนที่ดวยเฟสตรงกันตลอดเวลาเชน คลื่นแสง ดังรูป
7.1 การเคลื่อนที่เปนไปตามกฎของแมเหล็กและไฟฟาดังนี้
รูป 6.1 ระนาบแมเหล็กและไฟฟาของคลื่นแมเหล็กไฟฟา
สนามไฟฟาและสนามแมเหล็กที่กลาวมาในหนวยที่ 1 และ 3 เปนสนามที่มีลักษณะสถิต กลาวคือจะมี
คาคงที่เสมอไมขึ้นอยูกับเวลา ขนาดของสนามจะแปรคาไปตามระยะทางจากแหลงกําเนิดสนามไปยัง
ตําแหนงที่ตองการหาสนามนั้น ในยุคกอนนั้นเชื่อกันวาปรากฏการณไฟฟาและแมเหล็กเปนปรากฏการณ
ที่แยกจากกันอยางเด็ดขาด จนถึง ค.ศ. 1865 เจมส เคลิรก แมกซเวลล (James Cleark Maxwel) ไดเส
อสมการเกี่ยวกับทฤษฎีแมเหล็กไฟฟา 4 สมการ และยังทํานายดวยวาสนามแมเหล็กและสนามไฟฟา
สามารถเดินทางรวมกันในอวกาศได เรียกวาคลื่นแมเหล็กไฟฟา ซึ่งในสมัยนั้นยังไมมีการคนพบคลื่นวิทยุ
และยังไมมีใครทราบวาแสงก็จัดเปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาชนิดหนึ่ง
6.1.1 สมการแมกซเวลล
สมการแมกซเวลลทั้งสี่สมการไดมาจากการรวบรวมกฎที่สําคัญซึ่งเปนรากฐานของวิชา
แมเหล็กไฟฟา แลวใชวิธีการทางคณิตศาสตรสรางเปนสมการ รายละเอียดของแตละสมการมีดังนี้
1. สมการแรกจะเปนกฎของเกาสสําหรับสนามไฟฟา กลาววาฟลักซทั้งหมด (φE) ผานพื้นที่
ผิวปดจะมีคาเทากับประจุสุทธิภายในผิวปดนั้นเสมอ ดังสมการ
ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
191
φE = ∈ ⋅∫0 E ds
s
v v
= q ................... (6.1)
สมการนี้แสดงใหเห็นวาเสนแรงของสนามไฟฟาจะมีลักษณะเปด เสนแรงจะเริ่มตนจากประจุ
บวกไปยังประจุลบ แรงทางไฟฟาสถิตสามารถหาไดจากกฎของคูลอมบ ประจุไฟฟาอิสระในธรรมชาติมีได
ทั้งประจุบวกหรือประจุลบ จากคณิตศาสตรในเรื่องเวกเตอรวิเคราะห การอินทิเกรตรอบผิวปดใด ๆ
สามารถเขียนแทนไดดวยอินทิเกรตเชิงปริมาตร โดยใชทฤษฎีไดเวอรเจนซ (divergence theorem) ดังนี้
v v
A ds
S
⋅∫ = ( . )
v v
∇∫ A dV
V
................... (6.2)
จากสมการ (6.1) เปลี่ยนประจุ q ใหอยูในรูปของความหนาแนนประจุ (ρ) คูณดวยปริมาตร
ยอยเล็ก ๆ (dV) จะได
q = ρdV
V
∫
กฎของเกาสในสมการ (6.1) จะกลายเปน
ε0 ( . )
v v
∇∫ E dV
V
= ρdV
V
∫
สมการนี้เปนจริงเสมอที่ทุกๆ จุดใดๆ ในปริมาตร เขียนใหอยูในรูปสมการเชิงอนุพันธไดดังนี้
v v
∇.E = ρ / ε0 ................... (6.3)
2. สมการที่ 2 ของแมกซเวลล จะเปนกฎของเกาสสําหรับสนามแมเหล็ก เพราะวาเสนแรง
แมเหล็กจะเปนวงปดเสมอ เสนแรงแมเหล็กที่พุงเขาผิวปดจึงมีคาเทากับเสนแรงแมเหล็กที่พุงออกจากผิว
ปด จํานวนเสนแรงสุทธิที่ผานผิวปดหนึ่ง ๆ จึงมีคาเปนศูนย นั่นคือ
φB =
v v
B ds
S
.∫ = 0 ....................(6.4)
อาศัยทฤษฎีไดเวอรเจนซจะได
v v
∇.B = 0 ....................(6.5)
สมการ (6.5) แสดงใหเห็นความแตกตางระหวางสนามแมเหล็กและไฟฟา เราไมสามารถพบ
ขั้วแมเหล็กอิสระ (แมเหล็กที่มีขั้วเหนือหรือขั้วใตเพียงอยางเดียว) เหมือนกับที่ไดพบประจุอิสระ
3. สมการที่ 3 เปนสมการเกี่ยวกับการเกิดแรงเคลื่อนไฟฟาเหนี่ยวนําของฟาราเดย ซึ่งแสดงให
เห็นวาการเปลี่ยนแปลงคาสนามแมเหล็กทําใหเกิดแรงเคลื่อนไฟฟาเหนี่ยวนํา หรือทําใหเกิดสนามไฟฟาได
ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
192
จากกฎของฟาราเดยจะได
แรงเคลื่อนไฟฟาเหนี่ยวนํารอบวงจรปด = −
∂φ
∂
B
t
หรือ
v v
E.dl∫ = −
∫∂
∂
v v
B ds
t
.
....................(6.6)
อาศัยทฤษฎีของสโตกส (Stoke’s Theorem) จากเรื่องเวกเตอรวิเคราะห ซึ่งเปลี่ยนรูปการอินทิ
เกรตรอบเสนปดใหเปนการอินทิเกรตเชิงพื้นที่ไดดังนี้
v v
A.dl
L
∫ = ( ).
v v v
∇ ×∫ A ds
S
....................(6.7)
สมการ (6.6) จึงเปลี่ยนรูปไดใหมเปน
( ).
v v v
∇ ×∫ E ds
S
= −
∫∂
∂
v v
B ds
t
.
....................(6.8)
สมการ (6.8) เปนจริงเสมอกับทุก ๆ ผิวยอย ds เขียนใหอยูในรูปเชิงอนุพันธจะไดเปน
v v
∇ × E = −
∂
∂
v
B
t
....................(6.9)
4. สมการที่ 4 เปนกฎของแอมแปร ซึ่งเขียนเปนสมการไดดังนี้
v v
B dl
L
.∫ = µ0I ...................(6.10)
สมการ (6.10) หมายถึงการหมุนเวียนของสนามแมเหล็กไปตามเสนปดลอม L จะเทากับ
กระแสที่ไหลผานพื้นที่ที่ถูกปดลอมดวยเสนปดนั้นเสมอ สมการนี้ใชไดเฉพาะกรณีที่สนามแมเหล็กและ
กระแสไฟฟาไมแปรเปลี่ยนตามเวลา แตถาบริเวณนั้นมีการเปลี่ยนแปลงฟลักซไฟฟาหรือขนาดประจุมี
การเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับเวลาจะตองคิดกระแสไฟฟาที่เกิดขึ้นในกรณีนี้ดวย กระแสไฟฟานี้มีชื่อ
เรียกวา “กระแสไฟฟาการขจัด” (displacement current, Id)
กระแสไฟฟาการขจัดหาไดจากสูตร
Id =
∂φ
∂
E
t
=
d
dt
E ds( . )ε0
v v
∫ ...................(6.11)
เมื่อรวมกระแสการขจัดเขาไปดวย สมการ (6.10) จะไดเปน
v v
B dl.∫ = µ0(I + Id) ...................(6.12)
ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
193
แทนคา I =
v v
J ds.∫ และ Id จากสมการ (6.11)
v v
B dl.∫ = µ0 (
v v v v
J ds
d
dt
E ds. ( . )∫ ∫+ ε0 )
ใชทฤษฎีของสโตกส สมการ (6.7)
( ).
v v v
∇ ×∫ B ds
S
= µ0 (
v v v v
J ds
d
dt
E ds. ( . )∫ ∫+ ε0
เขียนใหอยูในรูปเชิงอนุพันธจะได
v v
∇ × B = µ µ ε
∂
∂0 0 0
v
v
J
E
t
+ ..................(6.13)
เมื่อเปรียบเทียบสมการ (6.13) กับสมการ (6.9) จะเห็นวามีลักษณะคลายคลึงกันมาก ถาให
ความหนาแนนกระแสไฟฟา ( )
v
J ในสมการ (6.13) มีคาเทากับศูนย จะเห็นวาการเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟา
ทําใหเกิดสนามแมเหล็ก เชนเดียวกับสนามแมเหล็กที่มีการเปลี่ยนแปลงทําใหเกิดสนามไฟฟาหรือ
แรงเคลื่อนไฟฟาเหนี่ยวนํา
หลังจากแมกซเวลลไดเสนอสมการแมกซเวลล 4 สมการและทํานายวาคลื่นแมเหล็ก
ไฟฟามีจริง ผูที่ตรวจวัดคลื่นแมเหล็กไฟฟาเปนคนแรกยืนยันคําทํานายของแมกซเวลลคือ เฮิรตซ
(Heinrich Hertz) โดยทดลองในป ค.ศ. 1887
อุปกรณที่ใชในการทดลองประกอบดวยขดลวดเหนี่ยวนําเชื่อมตอกับโลหะทรงกลม 2 ลูก ซึ่ง
วางใกลกันมาก จะทําหนาที่คลายกับเปนตัวเก็บประจุ อุปกรณชุดนี้ทําหนาที่คลายวงจร LC ของเครื่องสง
คลื่นวิทยุ การสั่นแกวง (oscillate) ของคลื่นเกิดขึ้นไดโดยปอนความตางศักยเปนคลื่นชวงสั้น ๆ (pulse)
เขาไปที่ขดลวดตัวนํา จะเกิดคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่ความถี่ประมาณ 100 MHz จากนั้นเฮิรตซสรางวงจร
ขึ้นมาอีกวงหนึ่ง ประกอบดวยขดลวดเพียงขดเดียว ที่ปลายขดลวดมีทรงกลมตัวนําวางไวใกล ๆ กัน วงจร
ชุดนี้ทําหนาที่คลายเครื่องรับคลื่น เฮิรตซพบอีกวาวงจรรับคลื่นจะสามารถรับคลื่นไดก็ตอเมื่อความถี่ที่สงมา
รูป 6.2 แผนภาพแสดงอุปกรณที่ใชในการทดลองของเฮิรตซ
ขดลวดเหนี่ยวนํา
ปอนพัลซที่นี่
ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
194
นั้นเปนความถี่อภินาทของวงจรรับคลื่นพอดี ถาความตางศักยบนขดลวดชุดรับคลื่นมีคาสูงจะทําใหเกิด
ประกายไฟกระโดดขามระหวางทรงกลมทั้งสอง การทดลองนี้แสดงใหเห็นวาพลังงานสามารถสงผาน
จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งไดโดยอยูในรูปของคลื่นแมเหล็กไฟฟา
การเขียนสมการเพื่อแสดงการเคลื่อนที่ของคลื่นแมเหล็กไฟฟาทําไดโดยนําสมการแมกซเวลล
บางสมการมาจัดรูปใหม เริ่มตนดวยสมการ (6.9) ใชวิธีการเคิรล (curl) กับสมการนี้ทั้งสองขาง
v v v
∇ × ∇ ×( )E =
−
∇ ×
∂
∂t
B( )
v v
แทนเทอมดานขวามือดวยสมการ (6.13) ในตัวกลางที่เปนอวกาศ ความหนาแนนกระแส (J) = 0
v v v
∇ × ∇ ×( )E =
−
∈
∂
∂
µ
∂
∂t
E
t
( )0 0
v
เพราะวา
v v v
∇ × ∇ ×( )E =
v v v v v
∇ ∇ ⋅ − ∇( )E E2
ในอวกาศไมประจุอิสระ (ρ = 0) ดังนั้น
v v
∇ ⋅ E = 0
จะได
v v
∇2
E = µ
∂
∂0 0
2
2∈
v
E
t
...................(6.14)
สมการ (6.14) เปนสมการคลื่นที่มีสนามไฟฟาเปนตัวแปรกับตําแหนงและเวลา
ในทํานองเดียวกันถาเริ่มตนดวยสมการ (6.13) จะไดสมการของคลื่นสนามแมเหล็กที่แปรตาม
ตําแหนงและเวลาเชนเดียวกัน
v v
∇2
B = µ
∂
∂0 0
2
2∈
v
B
t
...................(6.15)
เมื่อเทียบกับสมการคลื่นทั่วๆ ไปใน 3 มิติ f (r, t) คือ
v
∇2
f =
1
2
2
2
v
f
dt
∂
...................(6.16)
เมื่อ v คือความเร็วของคลื่น
ให v
c เปนความเร็วของคลื่นแมเหล็กไฟฟา เมื่อเปรียบเทียบสัมประสิทธิ์ของเทอมดานขวามือ
ของสมการ (6.15) และ (6.16) จะเห็นวา
c =
1
0 0µ ∈
...................(6.17)
สมการ (6.17) เปนผลพลอยไดจากสมการแมกซเวลลเมื่อแทนคา µ0 และ ∈0 สามารถ
คํานวณหาความเร็วแสงได
ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
195
c =
1
4 10 88542 107 12
( )( . )π × ×− −
= 2.998 × 108
m/s
สมการ (6.15) และสมการ (6.16) เปนสมการอนุพันธซึ่งแสดงการเคลื่อนที่ของคลื่นระนาบ
(plane wave) สนามแมเหล็ก
v
B และสนามไฟฟา
v
E จะแปรคาตามตําแหนงพิกัด (x, y, z) และเวลา t
แนวการเปลี่ยนคาของ
v
E และ
v
B จะตั้งฉากซึ่งกันและกัน และตั้งไดฉากกับทิศการเคลื่อนที่ เพราะแนวของ
สนามแมเหล็กไฟฟาและทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่นมีทิศตั้งฉากซึ่งกันและกัน คลื่นแมเหล็กไฟฟาจึง
จัดเปนคลื่นตามขวาง (transverse wave)
เมื่อหาคําตอบสมการอนุพันธ (6.15) และ (6.16) จะไดฟงกชันคลื่นระนาบที่มีความถี่ f =
ω π/ 2 และ λ = 2π/k ดังนี้
E = E0 sin ( )kx t− ω
B = B0 sin ( )kx t− ω
เมื่อ E0 และ B0 คือแอมพลิจูดของสนามไฟฟาและสนามแมเหล็กตามลําดับ
ความสัมพันธของสนามไฟฟาและสนามแมเหล็กคือ
n|E| = c|B|
เมื่อ n คือดัชนีหักเหของตัวกลางที่คลื่นแมเหล็กไฟฟาผานสําหรับสูญญากาศ n = 1
รูป 6.3 แสดงสมการคลื่นแมเหล็กไฟฟาซึ่งขึ้นอยูกับตําแหนงพิกัด x และ t
ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
196
6.1.2 การถอดสมการแมกซเวลลและคลื่นระนาบ
การเขียนสมการเพื่อแสดงการเคลื่อนที่ของคลื่นแมเหล็กไฟฟาทําไดโดยนําสมการแมกซเวลล
บางสมการมาจัดรูปใหม เริ่มตนดวยสมการ (a.8) ใชวิธีการเคิรล (curl) กับสมการนี้
ทั้งสองขาง
v v v
∇ × ∇ ×( )E =
−
∇ ×
∂
∂t
B( )
v v
แทนเทอมดานขวามือดวยสมการ (a.11) ในตัวกลางที่เปนอวกาศ ความหนาแนนกระแส (J)
= 0
v v v
∇ × ∇ ×( )E =
−
∈
∂
∂
µ
∂
∂t
E
t
( )0 0
v
เพราะวา
v v v
∇ × ∇ ×( )E =
v v v v v
∇ ∇ ⋅ − ∇( )E E2
ในอวกาศไมประจุอิสระ (ρ = 0) ดังนั้น
v v
∇ ⋅ E = 0
จะได
v v
∇2
E = µ
∂
∂0 0
2
2∈
v
E
t
...................(6.19)
สมการ (6.19) เปนสมการคลื่นที่มีสนามไฟฟาเปนตัวแปรกับตําแหนงและเวลาในทํานอง
เดียวกันถาเริ่มตนดวยสมการ (6.18) จะไดสมการของคลื่นสนามแมเหล็กที่แปรตามตําแหนงและเวลา
เชนเดียวกัน
v v
∇2
B = µ
∂
∂0 0
2
2∈
v
B
t
...................(6.20)
เมื่อเทียบกับสมการคลื่นทั่วๆ ไปใน 3 มิติ f (r, t) คือ
v
∇2
f =
1
2
2
2
v
f
dt
∂
...................(6.21)
เมื่อ v คือความเร็วของคลื่น
ให v
c เปนความเร็วของคลื่นแมเหล็กไฟฟา เมื่อเปรียบเทียบสัมประสิทธิ์ของเทอมดานขวามือ
ของสมการ (6.20) และ (6.21) จะเห็นวา
c =
1
0 0µ ∈
...................(6.22)
สมการ (6.22) เปนผลพลอยไดจากสมการแมกซเวลลเมื่อแทนคา µ0 และ ∈0 สามารถ
คํานวณหาความเร็วแสงได
c =
1
4 10 88542 107 12
( )( . )π × ×− −
ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
197
= 2.998 × 108
m/s
และ ความเร็วคลื่นแมเหล็กไฟฟาในตัวกลางใดๆ v =
∈µ
1
เมื่อ µ และ ε เปนความซาบซึมไดทางแมเหล็ก และสภาพยอมทางไฟฟาของตัวกลางนั้นๆ
สมการ (6.20) และสมการ (6.21) เปนสมการอนุพันธซึ่งแสดงการเคลื่อนที่ของคลื่นระนาบ
(plane wave) สนามแมเหล็ก
v
B และสนามไฟฟา
v
E จะแปรคาตามตําแหนงพิกัด (x, y, z) และเวลา t
แนวการเปลี่ยนคาของ
v
E และ
v
B จะตั้งฉากซึ่งกันและกัน และตั้งไดฉากกับทิศการเคลื่อนที่ เพราะแนวของ
สนามแมเหล็กไฟฟาและทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่นมีทิศตั้งฉากซึ่งกันและกัน คลื่นแมเหล็กไฟฟาจึง
จัดเปนคลื่นตามขวาง (transverse wave)
เมื่อหาคําตอบสมการอนุพันธ (6.20) และ (6.21) จะไดฟงกชันคลื่นระนาบที่มีความถี่
f =ω π/ 2 และ λ = 2π/k ดังนี้
E = E0 sin ( )kx t− ω = E0 sin )ctx( −
B = B0 sin ( )kx t− ω = B0 sin )ctx( −
เมื่อ k = 2π/λ (เลขคลื่น) และ E0 และ B0 คือแอมพลิจูดของสนามไฟฟาและสนามแมเหล็กตามลําดับ
ความสัมพันธของสนามไฟฟาและสนามแมเหล็กคือ
n|E| = c|B| (6.23)
เมื่อ n คือดัชนีหักเหของตัวกลางที่คลื่นแมเหล็กไฟฟาผานสําหรับสูญญากาศ n = 1
รูป 6.4 แสดงสมการคลื่นแมเหล็กไฟฟาซึ่งขึ้นอยูกับตําแหนงพิกัด x และ t
ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
198
ตัวอยาง 6.1 คลื่นแมเหล็กไฟฟาแบบคลื่นไซนมีความถี่ 40.0 MHz เคลื่อนที่ในทิศ +x ดังรูป ณ จุดหนึ่ง
เวลาใดๆ มีสนามไฟฟามากที่สุดเปน 750 N/C
ตามแกน y จงหา
ก. ความยาวคลื่นและคาบของคลื่น
ข. สนามแมเหล็ก เมื่อ สนามไฟฟา
เทากับ 750 N/C ในแนวแกน y
ค. สมการคลื่นของสนามแมเหล็ก
และสนามไฟฟา
รูปที่6.5 แสดงคลื่นแมเหล็กไฟฟา
วิธีทํา
ก. ความยาวคลื่นและคาบของคลื่น
เนื่องจาก
8
7
3.00 10
/ 7.50 .
40.0 10
c f c f mλ λ
×
= → = = =
×
8
7
1 1
2.5 10 sec.
40.0 10f
τ −
= = = ×
×
ข. สนามแมเหล็ก เมื่อ สนามไฟฟาเทากับ 750 N/C ในแนวแกน y
เนื่องจาก 6max
max 8
750 /
2.5 10 .
30 10 /
E N C
B T
c m s
= = = ×
×
v
v
ค. สมการคลื่นของสนามแมเหล็กและสนามไฟฟา
เนื่องจาก
7 1
2 8 10
2 / 0.838 ./ .
f s
k rad m
ω π π
π λ
−
= = ×
= =
และ 7
max cos( ) 750cos(0.838 8 10 )E E kx t x tω π −
= − = − ×
v v v
6 7
max cos( ) 2.5 10 cos(0.838 8 10 )B B kx t x tω π− −
= − = × − ×
v v v
……………………………………………………
ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
199
6.1.3 พลังงานของโมเมนตัมของคลื่นแมเหล็กไฟฟา
คลื่นแมเหล็กไฟฟาประกอบดวยสนามแมเหล็กและสนามไฟฟา เมื่อคลื่นแมเหล็กไฟฟาเคลื่อนที่ก็
จะนําพลังงานไปดวย ถาให Bu เปน พลังงานแมเหล็กที่สะสมตอหนวยปริมาตรซึ่งเรียกวาความ
หนาแนนพลังงานแมเหล็กและ Eu เปนความหนาแนนพลังงานไฟฟา
เมื่อความหนาแนนพลังงานแมเหล็กเปน
1 2
02
u E
E
ε=
ความหนาแนนพลังงานไฟฟาเปน 2
0
B B
2
1
u
µ
=
จากสมการ (a.16) และ (a.15) จะไดความหนาแนนพลังงานคลื่นแมเหล็กไฟฟาในสุญญากาศเปน
2
0
2
0
2
2
0
B
E2
1
C2
E
B
2
1
u
ε
=
µ
=
µ
=
ความหนาแนนพลังงานรวมของคลื่นแมเหล็กไฟฟา ( u ) จึงมีคาเปน u u u
E B
= + ดังนั้น
2
0
u Eε=
( )2 2
sin
0
E t kxε ω= −
หรือ ( )[ ]
2
0 0 1 cos 2
2
E
u t kx
ε
ω= − −
คาเฉลี่ยของ ( )cos 2 t kxω − เมื่อเทียบกับเวลามีคาเปนศูนย เนื่องจาก ณ ตําแหนงใดๆ
คาเฉลี่ยนี้จะมีคาเปนบวกในเวลาครึ่งคาบ และเปนลบในเวลาอีกครึ่งคาบ ดังนั้นความหนาแนนพลังงาน
เฉลี่ย avµ ของคลื่นแมเหล็กไฟฟาจึงเปน 1 2
0 02
E
av
µ ε=
ความเขมของคลื่น แมเหล็กไฟฟาซึ่งหมายถึง พลังงานที่ผานหนวยพื้นที่ตอหนวยเวลา จะได
2
0ECCuI ε==
โดยที่ ความเขมเฉลี่ย (ความเขมรังสี) หรือ พอยนติงเวกเตอรเฉลี่ยเปน 0
2
0av Ec
2
1
I ε=
เนื่องจากมีความสัมพันธระหวางพลังงานและโมเมนตัมของคลื่น 2
c/uvp =
เมื่อ p คือ โมเมนตัมของคลื่น และ v = c ดังนั้น c/up = ในรูปของเวกเตอร
e
c
u
p )v = ในเมื่อ p เปนโมเมนตัมที่คลื่นพาหะไป และ ˆe เปนเวกเตอรหนึ่งหนวย
ตําแหนงของการเคลื่อนที่ของคลื่นแมเหล็กไฟฟา
สมบัติที่คอนขางสําคัญของคลื่นแมเหล็กไฟฟาอีกประการหนึ่ง คือ โพลาไรเซซัน (polarization)
เนื่องจากสนามไฟฟาตั้งไดฉากกับสนามแมเหล็กเสมอ ดังนั้นพิจารณาแตสนามไฟฟาของคลื่นแตอยาง
เดียวก็บงชนิดของโพลาไรเซซันได ดังนี้
ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
200
1. โพลาไรเซซันตามเสนหรือตามระนาบ (linear or plane) แนวของสนามไฟฟาจะอยูคงที่
ตลอดไป คือ จะชี้ไปในแนวหนึ่งแนวใดไมเปลี่ยนไปตามเวลา เชน ถาชี้ไปตามแกน Y ก็อาจจะเปนบวก
หรือลบได แตจะยังคงอยูตามแกน Y เสมอ
2. โพลาไรเซซันตามวงกลม (circular polarization) แนวของสนามไฟฟาจะเปนรัศมีของ
วงกลมและจุหมุนรอบแกนซึ่งเปนแนวของการเคลื่อนที่ของคลื่น
3. โพลาไรเซซันตามวงรี (elliptical polarization) นั้น ปลายของแนวของสนามไฟฟาจะเปน
เสนรอบของวงรี (โพลาไรเซซันตามวงกลมเปนกรณีพิเศษของการโพลาไรเซซัน ตามวงรี) ดังรูป 6.6
ตัวอยาง 6.2 สนามไฟฟาของคลื่นแมเหล็กไฟฟาในสุญญากาศมีขนาดตามแนวแกนตางๆดังนี้
Ex = 10 sin 2π(ct-x), Ey = 0, Ez =0
จงหา ก) เลขคลื่น
ข) สนามไฟฟาสูงสุด
ค) สนามแมเหล็กขณะหนึ่ง
ง) สนามแมเหล็กสูงสุด
จ) ความยาวคลื่นและควมถี่
ฉ) ความเขมรังสี
วิธีทํา
ก) จาก Ex = 10 sin 2π(ct-x)
Ex = 10 sin (2πct-2πx)
เปรียบเทียบสมการ E = E0 sin (ωt-kx)
จะได k = 2π m-1
รูป 6.6 ก. โพลาไรเซชันตามเสนหรือระนาบ
ข. โพลาไรเซชันตามวงกลม
ค. โพลาไรเซชันตามวงรี
ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
201
ข) จาก Ex = 10 sin 2π(ct-x)
เปรียบเทียบสมการ E = E0 sin (ωt-kx)
เพราะฉะนั้น E0 = 10 m.
ค) จาก B = E/c
B = Bx = (10/3x108
) sin 2π(ct-x)
ง) เพราะฉะนั้น B0 = (10/3x108
)
จ) k = 2π/λ นั้นคือ λ = 2π/2π = 1 m.
c = f λ นั้นคือ f = 3x108
/1 =3x108
s-1
ฉ) 0
2
0av Ec
2
1
I ε= = 0.5 x 3 x 108
x 8.85 x 10-12
x 102
= 0.133 W/m2
6.2 สเปกตรัมของคลื่นแมเหล็กไฟฟา
ความเร็ว (v) ความถี่ (f) และความยาวคลื่น (λ) ของคลื่นแมเหล็กไฟฟามีความสัมพันธ
เหมือนกับคลื่นชนิดอื่น ๆ คือ
v = fλ ...................(6.24)
ความถี่ของคลื่นจะเปนปฏิภาคผกผันกับความยาวคลื่น เราสามารถแบงประเภทของคลื่น
แมเหล็กโดยอาศัยความถี่เปนหลัก เรียกวาสเปกตรัม (spectrum) ของคลื่นแมเหล็กไฟฟา แบงเปน
1. คลื่นวิทยุโทรทัศน เปนคลื่นที่ใชสง-รับวิทยุและโทรทัศน มีความถี่ตั้งแต 2-3 Hz ไป
จนถึง 109
Hz คลื่นวิทยุในชวง AM ( Amplitude Modulation) มีความถี่พาหะอยูระหวาง 530 KHzถึง
1600 KHz คลื่นวิทยุ FM (Frequency Modulation) มีความถี่ในชวง 88 MHz ถึง 108 MHz คลื่นวิทยุ-
โทรทัศนนี้ทําใหเกิดไดโดยอาศัยวงจรอิเล็กทรอนิกส คลื่นแมเหล็กไฟฟาที่เกิดจากฟาผาจะมีความถี่ในยาน
นี้เชนกัน
ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
202
2. ไมโครเวฟ (Microwave) มีความยาวคลื่นในชวง 1 มิลลิเมตร ถึง 30 เซนติเมตร หรือ
ความถี่ 109
Hz ถึง 3 × 1011
Hz สามารถผลิตคลื่นชนิดนี้ไดโดยอุปกรณอิเล็กทรอนิกส เราใชคลื่น
ไมโครเวฟในการประกอบอาหารเพราะความถี่ในชวงไมโครเวฟเปนความถี่ธรรมชาติของโมเลกุลของน้ํา
พลังงานที่โมเลกุลของน้ําไดรับจะกลายเปนความรอนทําใหอาหารสุก
ไมโครเวฟใชทําเรดาร (RADAR, Radio Detection and Ranging) ซึ่งใชในการตรวจจับ
เครื่องบินและการจราจร
3. รังสีอินฟราเรด (Infrared Wave) เรียกอีกอยางหนึ่งวาเปนรังสีความรอน มีความยาว
คลื่นตั้งแต 1 มิลลิเมตรถึง 7× 10-7
เมตร หรือความถี่ตั้งแต 3 × 1011
Hz ถึง 4 × 1014
Hz วัตถุเมื่อไดรับ
รังสีนี้จะรอนขึ้นเพราะพลังงานของคลื่นจะทําใหอะตอมสั่นมากขึ้น
รังสีอินฟราเรดสามารถผานหมอกควันไดดีกวาแสงที่ตามองเห็น จึงมีการพัฒนาฟลมที่ไวตอ
แสงอินฟราเรด เมื่อถายภาพภูมิประเทศจากเครื่องบินหรือดาวเทียมโดยใชฟลมชนิดนี้จะมองเห็นความ
แตกตางและรายละเอียดของพื้นดินไดมากกวาใชฟลมปกติ เชน สามารถจําแนกทุงขาวโพดและทุงขาวสาลี
ได เพราะธัญพืชทั้งสองแผรังสีความรอนที่มีความยาวคลื่นตางกัน
กลองโทรทัศนบางชนิดสามารถรับรังสีอินฟราเรดและเปลี่ยนภาพที่เกิดจากรังสีอินฟราเรดนี้
เปนคลื่นแสงที่ตามนุษยมองเห็นได รายละเอียดของภาพจะตางไปจากภาพที่เห็นทั่วไป ตรงสวนที่ไมมี
เสื้อผาปกคลุมจะสวางมากกวาปกติ ในทางการแพทยการตรวจรางกายดวยรังสีอินฟราเรดจะเห็นตําแหนง
ที่ใหรังสีความรอนมากกวาปกติ ตําแหนงตรงนั้นมีแนวโนมที่เนื้อเยื่อเจริญแบบผิดปกติ
4. แสงที่ตามองเห็นได (Visible light) มีความยาวคลื่นอยูในชวง 4,000 ถึง 7,000 แองสต
รอม (1 แองสตรอม = 10-10
เมตร) หรือความถี่อยูในชวง 4 × 1014
Hz ถึง 8 × 1014
Hz เพราะความถี่ที่
แตกตางกันทําใหตามนุษยมองเห็นเปนสีตาง ๆ กัน ประสาทตาของมนุษยจะไวตอแสงสีเหลืองแกมเขียว
ซึ่งมีความยาวคลื่น 5.6 × 10-7
เมตร มากที่สุด
ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
203
ความยาวคลื่นและความถี่ของแสงที่ตามองเห็นไดแยกเปนตารางดังนี้
ตาราง 6.1 ความยาวคลื่นและความถี่ของแสงที่ตามองเห็นได
สี ความยาวคลื่น (10-7
m) ความถี่ (1014
Hz)
มวง 3.90 - 4.55 7.69 - 6.59
น้ําเงิน 4.55 - 4.92 6.59 - 6.10
เขียว 4.92 - 5.77 6.10 - 5.20
เหลือง 5.77 - 5.97 5.20 - 5.03
สม 5.97 - 6.22 5.03 - 4.82
แดง 6.22 - 7.80 4.82 - 3.84
5. รังสีอุลตราไวโอเลต (Ultraviolet light) มีความยาวคลื่นในชวง 60 นาโนเมตรถึง 380
นาโนเมตร หรือความถี่ในชวง 8 × 104
Hz ถึง 3 × 1017
Hz รังสีนี้สวนใหญไดมาจากดวงอาทิตย ถา
มนุษยไดรับรังสีนี้เปนจํานวนมากจะเปนอันตรายได ถาไดรับเปนจํานวนนอย ๆ จะทําใหผิวหนังเปนสี
น้ําตาล ชั้นบรรยากาศที่อยูสูงจากพื้นโลกจะมีโอโซน (Ozone, O3) ชวยปองกันรังสีนี้
รังสีอุลตราไวโอเลตใชฆาเชื้อโรค หลอดอุลตราไวโอเลตตามโรงพยาบาลใชในการอบฆาเชื้อ
เครื่องมือผาตัด และหองผาตัด เราใชหลอดไฟอุลตราไวโอเลตที่มีความเขมต่ําสองเหนือชั้นวางของชําและ
เนื้อสดเพื่อลดปริมาณการเนาเสีย
6. รังสีเอ็กซ (X-rays) มีความยาวคลื่นอยูในชวง 10-4
นาโนเมตร ถึง 10 นาโนเมตร หรือมี
ความถี่ในชวง 3 × 1017
Hz ถึง 5 × 1019
Hz รังสีเอ็กซไดมาจากอิเล็กตรอนซึ่งมีพลังงานสูงเคลื่อนที่ผาน
อะตอมของธาตุโลหะหนัก อิเล็กตรอนจะถูกหนวง การเปลี่ยนสถานะพลังงานของอิเล็กตรอนพลังงานจะ
ถูกปลอยออกมาในรูปรังสีเอ็กซ ประโยชนของรังสีเอ็กซใชในการวินิจฉัยโรคและตรวจสอบวัสดุทึบแสง เชน
ชิ้นสวนของเครื่องจักร
ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
204
7. รังสีแกมมา (Gamma rays) มีความยาวคลื่นตั้งแต 10-10
เมตร จนถึง 10-14
เมตร หรือมี
ความถี่ตั้งแต 3 × 1018
Hz ถึง 3 × 1032
Hz พบรังสีนี้จากการแผรังสีของสารกัมมันตรังสีและเครื่อง
ปฏิกรณปรมาณู สามารถทะลุและทําลายเนื้อเยื่อสิ่งมีชีวิต เราสามารถใชรังสีแกมมาในการรักษา
โรคมะเร็งได
รูป 6.7 แผนภาพแสดงสเปกตรัมคลื่นแมเหล็กไฟฟา
ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
205
6.3 การสื่อสารดวยคลื่นแมเหล็กไฟฟา
มนุษยตั้งแตสมัยโบราณ เชน แสงแดดในเวลากลางวัน ตะเกียงในเวลากลาง หลักสําคัญในการ
สื่อสารสมัยโบราณ ก็คือ จะตองมีการเปลี่ยนแปลงความเขมของแสงจากนอยไปหามาก หรือมากไปหา
นอย เพื่อจะใชในการสงรหัสหรือสัญญาณซึ่งเปนที่เขาใจกันระหวางผูสงและผูรับ ในยุคปจจุบัน ขาวสาร
ที่สงนั้นสามารถจะสงเปนคําพูด เสียงดนตรี และภาพที่เคลื่อนไหวได โดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงของคลื่น
แมเหล็กไฟฟา
ในระยะแรกที่มีการคนพบและนําเอาคลื่นวิทยุมาสงไดรหัสมอรส (Morse code) คือ ยาวและ
สั้น แลวประกอบกันขึ้นเปนอักษรที่ละตัว ตอมาก็สามารถสงเสียง จนกระทั่งสงภาพโดยอาศัยการ
เปลี่ยนแปลงของคลื่นพาหะ (carrier wave ) เพราะเราไมสามารถจะใชคลื่นเสียงในการติดตอทางไกลได
แตคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่ที่เหมะสมจะเดินทางไดไกล วิธีการที่จะใสสัญญาณลงไปในคลื่น
แมเหล็กไฟฟานี้ เราเรียกวา โมดูเลชัน (modulation) เมื่อคลื่นแมเหล็กไฟฟาไปถึงปลายทางแลวก็มิ
วิธีการที่แยกเอาสัญญาณที่ตองการออก และขบวนการนั้นเรียกวา ดีโมดูเลชัน (demdulation)
ในขั้นแรก เราจะพิจารณาการสงวิทยุโทรเลขเสียกอน การสงวิทยุโทรเลขเปนการสงสัญญาณใช
รหัสมอรส (Morse code) เครื่องสงจะประกอบดวยเครื่องกําเนิดไฟฟาความถี่สูง มีความถี่เทากับความถี่
ของคลื่นวิทยุที่จะใชเปนคลื่นพาหะ ถาไฟฟาความถี่สูงมีกําลังมากพอก็จะถูกสงออกไปตามสายอากาศ
และเคลื่อนที่ไปตามที่วางถึงผูที่จะรับ ผูรับตองใชสายอากาศสําหรับรับคลื่นวิทยุ แยกเอาเฉพาะคลื่นที่
ตองการดวยวงจรเรโซแนนซ สวนมากสัญญาณเมื่อมาถึงผูรับจะมีกําลังออนมาก จะตองอาศัยเครื่อง
ขยายและแยกเอารหัสที่ตองการออกดวยเครื่องตรวจวัด(detector) เพราะเพียงคลื่นวิทยุอยางเดียวหูฟงจะ
ไมสามารถไดยินรหัสได เนื่องจากความถี่ของคลื่นพาหะสูงเกินไปที่จะรับฟงไดดวยหู ถาไมใชหูฟง รหัส
อาจถูกบันทึกไวดวยเครื่องรับโทรเลข หรือในสมัยใหมใชเครื่องโทรพิมพ (teletype) พิมพออกมาเปน
ขอความและอานไดเลย
การสงกระจายเสียงออกเปนคําพูดและเสียงดนตรีนั้น การใสคลื่นเสียงลงไปในคลื่นพาหะที่
เรียกวา โมดูเลชันนั้น มีวิธีที่นิยมอยู 2 วิธี คือ โมดูแลชันดวยแอมพลิจูด (amplitude modulation) ที่
เรียกยอๆ เอ เอม (A.M.) และโมดูเลชันดวยความถี่ (frequency modulation) ซึ่งเรียกยอๆ วา เอฟ
เอม ( F.M.) ความแตกตางระหวางเอ เอม และเอฟ เอม เปนดังนี้
โมดูเลชันดวยแอมพลิจูดอาศัยการเปลี่ยนแปลงของแอมพลิจูดของคลื่นพาซึ่งสอดคลองกับความถี่
ของคลื่นเสียงที่เปนสัญญาณ ดังรูป 6.8
ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
206
คลื่นพาหะเมื่อยังไมถูกโมดูเลต จะสังเกตเห็นไดวามีแอมพลิจูดคงที่ สวนรูปที่แสดงถึงคลื่นวิทยุที่
ถูกโมดูเลตแลวและแผนภาพของคลื่นเสียง จะสังเกตไดวา ความถี่ของคลื่นวิทยุมีคาคงที่ตลอดเวลาทั้ง
กอนและหลังการโมดูเลต
รูป 6.8 แสดงโมดูเลชันดวยแอมพลิจูด
การโมดูเลตดวยความถี่นั้นอาศัยการเปลี่ยนแปลงของความถี่ของคลื่นพาหะเล็กนอย ความถี่
ที่เปลี่ยนไปขึ้นอยูกับความถี่ของสัญญาณ สวนแอมพลิจูดของคลื่นพาและคลื่นที่ถูกโมดูเลตแลวไมเปลี่ยน
มีคาคงที่ ความถี่หรือความยาวคลื่นเปลี่ยนไปจากคลื่นที่ยังไมถูกโมดูเลตโดยที่แอมพลิจูดมีคาคงที่เสมอ
ทําใหพลังงานที่ออกอากาศมีคาเสมดตนเสมอปลายไดดีกวาระบบเอ เอม
การสงภาพโดยอาศัยคลื่นเมเหล็กไฟฟาจะเปนภาพนิ่งหรือโทรทัศนก็ตามมีความยุงยากเพิ่มขึ้นทั้ง
การสงภาพนิ่งและโทรทัศนจะตองแบงภาพออกเปนเสนเรียงจากบนลงมาขางลางแลววัดความเขม และ
สัญญาณจะตองบอกความเขม ณ จุดหนึ่งจุดใดของภาพ ที่เรียกวา การกวาด (scanning)
การสงภาพนิ่งทําไดงายกวาการสงโทรทัศน เพราะแตละครั้งจะมีอยูภาพเดียว การที่จะกําหนดวาตําแหนง
ของความเขมที่สงนั้นทําไดโดยอาศัยสัญญาณกําหนดเวลา เชน จากจุดตั้งตนของเสนแรกและจุดตั้งตน
ของเสนตอๆ ไป ก็จะตองมีสัญญาณกําหนดเวลาบอกไวทุกครั้งไป
สวนการสงภาพที่เคลื่อนไหวไดนั้น อาศัยหลักการสงภาพนิ่งหลายๆ ภาพ ในชวงเวลาที่สั้น กวา
ขีดจํากัดของสายตาในการแยกภาพ ทําใหผูรับมีความรูสึกวาเห็นวัตถุเคลื่อนไหวได เชน ภาพยนตร การ
สงวิทยุโทรทัศนนั้นแบงไดเปน 2 ภาค คือ ภาคเสียง และภาคภาพ ใชความถี่ตางกันแตไมหางกันมาก
นัก ภาคเสียงใชระบบเอฟ เอม และภาคภาพใชระบบเอ เอม
คลื่นแมเหล็กไฟฟาเปนสิ่งที่มีประโยชนมากสําหรับการติดตอสื่อสารและความถี่ที่ใชก็มีไดหลาย
ชวง เชน ตั้งแตความถี่ต่ํามากสําหรับใชในการติดตอระหวางเรือดําน้ําและฐานปฏิบัติการ คลื่นไมโครเวฟ
ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
207
ใชสําหรับการติดตอเปนเสนตรงระหวางจุดสงถึงจุดรับ เชน จากพื้นดินถึงดาวเทียม นอกจากนั้นการโมดู
เลตคลื่นแมเหล็กไฟฟาก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่เรียกวา โมดูเลชันดวยคลื่นดล (pulse modulation) คือตัดชวง
คลื่นใหเปนชวงสั้นๆ ที่เรียกวา คลื่นดล (pulse) ซึ่งจะหาความรูเพิ่มเติม ไดจากตําราวิศวกรรมอิเลกโทร
นิกส
นอกจากจะใชในการสื่อสารแลว คลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่บางขนาด เชน ไมโครเวฟ ยังเปน
ประโยชนสามารถใชแทนนัยนตาในเมื่อคลื่นแสงไมสามารถเดินทางผานได เชน ในกรณีหมอกลงจัด
ระบบเรดารซึ่งอาศัยหลักการสะทอนของไมโครเวฟจากวัตถุทั้งที่อยูกับที่และเคลื่อนที่ ทําใหสามารถเห็น
ภูมิประเทศสะดวกในการขึ้นลงของเครื่องบิน และหาเครื่องบินและเรือรบในยามสงคราม เปนการเตือน
ภัยลวงหนาไดอยางดี การตรวจตําแหนงของเครื่องบินพาณิชยของหอบังคับการบิน
ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/
208
แบบฝกหัดหนวยที่ 6
คลื่นแมเหล็กไฟฟา
6.1 คลื่นแมเหล็กไฟฟาสามารถเดินทางในสุญญากาศ และเดินทางผานตัวกลางที่เปนตัวนําไดหรือไม
6.2 ความเร็วของคลื่นแมเหล็กไฟฟาในน้ําบริสุทธิ์เปนเทาใดถาคาคงที่ไดอิเลกตริกของน้ําเทากับ 81
6.3 คลื่นโทรทัศนชองหนึ่งมีความถี่ 200 เมกะเฮิรทซ จงคํานวณหาความยาวของคลื่นโทรทัศนที่เดิน
ทางผานน้ําบริสุทธิ์
6.4 สนามไฟฟาของคลื่นแมเหล็กไฟฟาระนาบในสุญญากาศมี
( ){ }8
0.5 cos 2 10y
x
E x t
c
π= − และ 0z x
E E= = 0z x
E E= =
จงหา ก) ความยาวของคลื่น ชนิดของโพลาไรเซซัน และแนวของการเคลื่อนที
ข) สนามแมเหล็กของคลื่น
ค) ความเขมเฉลี่ยของสนามแมเหล็กไฟฟา
6.5 สนามไฟฟาของคลื่นแมเหล็กไฟฟาระนาบในสุญญากาศขณะหนึ่งคือ
)]
c
x
t(102sin[5.0E 8
−×=
v
จงหา ก) ความยาวคลื่น (3 เมตร)
ข) สนามแมเหล็กขณะหนึ่ง ( ⎥
⎦
⎤
⎢
⎣
⎡
⎟
⎠
⎞
⎜
⎝
⎛
−×π
−
c
x
t(102sin
6
10 8
6
)
ค) ความหนแนนพลังงานเฉลี่ย (3.3 x 10-4
W/m2
)
6.6 สารโปรงแสงชนิดหนึ่งเมื่อใหคลื่นแมเหล็กไฟฟายานความถี่แสงผานพบวามีคาสภาพซาบซึมไดทาง
แมเหล็กสัมพัทธ (relative magnetic permeability) เทากับ 1 มีคาคงที่ไดอิเล็กตริกเทากับ 2.25
ก. จงหาความเร็วของแสงในตัวกลางนี้ (2 × 108
เมตร/วินาที)
ข. ดัชนีหักเหของสารนี้ (1.5)
6.7 คลื่นแมเหล็กไฟฟาในอวกาศพบวามีคาสนามไฟฟาคาสูงสุดเทากับ 500 โวลต/เมตร จงหาคา
สนามแมเหล็กสูงสุดของคลื่นแมเหล็กไฟฟาชุดนี้ (1.667 × 10-6
เทสลา)
---------------------------

More Related Content

What's hot

แรงดันในของเหลว1
แรงดันในของเหลว1แรงดันในของเหลว1
แรงดันในของเหลว1tewin2553
 
วิทย์ฯเพิ่มเติมเทอม1ม1
วิทย์ฯเพิ่มเติมเทอม1ม1วิทย์ฯเพิ่มเติมเทอม1ม1
วิทย์ฯเพิ่มเติมเทอม1ม1Niwat Yod
 
แบบทดสอบ บทที่ 1 ปฏิสัมพันธ์ในระบบสุริยะ
แบบทดสอบ บทที่ 1 ปฏิสัมพันธ์ในระบบสุริยะแบบทดสอบ บทที่ 1 ปฏิสัมพันธ์ในระบบสุริยะ
แบบทดสอบ บทที่ 1 ปฏิสัมพันธ์ในระบบสุริยะJariya Jaiyot
 
แบบทดสอบวิชาวิทยาศาสตร์ 5 ภาคเรียน 1
แบบทดสอบวิชาวิทยาศาสตร์ 5  ภาคเรียน 1แบบทดสอบวิชาวิทยาศาสตร์ 5  ภาคเรียน 1
แบบทดสอบวิชาวิทยาศาสตร์ 5 ภาคเรียน 1dnavaroj
 
แบบทดสอบปลายภาคเรียน วิทย์ 5 2558
แบบทดสอบปลายภาคเรียน วิทย์ 5   2558แบบทดสอบปลายภาคเรียน วิทย์ 5   2558
แบบทดสอบปลายภาคเรียน วิทย์ 5 2558dnavaroj
 
การหางานจากพื้นที่ใต้กราฟ
การหางานจากพื้นที่ใต้กราฟการหางานจากพื้นที่ใต้กราฟ
การหางานจากพื้นที่ใต้กราฟjirupi
 
ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค
ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาคทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค
ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาคChanthawan Suwanhitathorn
 
เรื่องที่3มวลแรงและกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน
เรื่องที่3มวลแรงและกฎการเคลื่อนที่ของนิวตันเรื่องที่3มวลแรงและกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน
เรื่องที่3มวลแรงและกฎการเคลื่อนที่ของนิวตันApinya Phuadsing
 
5ความร้อน และการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ
5ความร้อน และการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ5ความร้อน และการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ
5ความร้อน และการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพWijitta DevilTeacher
 
Ep05 การเคลื่อนที่แนวตรง01 อัตราเร็ว และความเร็ว (v คงที่)
Ep05 การเคลื่อนที่แนวตรง01 อัตราเร็ว และความเร็ว (v คงที่)Ep05 การเคลื่อนที่แนวตรง01 อัตราเร็ว และความเร็ว (v คงที่)
Ep05 การเคลื่อนที่แนวตรง01 อัตราเร็ว และความเร็ว (v คงที่)wiriya kosit
 
ไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิพระร่วงไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิพระร่วงพัน พัน
 
03. ใบงาน 5 ปรับ
03. ใบงาน 5 ปรับ03. ใบงาน 5 ปรับ
03. ใบงาน 5 ปรับWijitta DevilTeacher
 
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องสถานะของสาร รายการครูมืออาชีพ ตอนครูหัดบิน ครูกอบว...
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องสถานะของสาร รายการครูมืออาชีพ ตอนครูหัดบิน ครูกอบว...แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องสถานะของสาร รายการครูมืออาชีพ ตอนครูหัดบิน ครูกอบว...
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องสถานะของสาร รายการครูมืออาชีพ ตอนครูหัดบิน ครูกอบว...Kobwit Piriyawat
 
บทที่ 2 การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ
บทที่ 2 การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆบทที่ 2 การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ
บทที่ 2 การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆThepsatri Rajabhat University
 
แบบทดสอบดาราศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบดาราศาสตร์ ม.3แบบทดสอบดาราศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบดาราศาสตร์ ม.3Jariya Jaiyot
 
แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาฟิสิกส์ 2 (ว30202)
แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาฟิสิกส์ 2 (ว30202)แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาฟิสิกส์ 2 (ว30202)
แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาฟิสิกส์ 2 (ว30202)Miss.Yupawan Triratwitcha
 

What's hot (20)

แรงดันในของเหลว1
แรงดันในของเหลว1แรงดันในของเหลว1
แรงดันในของเหลว1
 
ตะลุยโจทย์ข้อสอบ งานและพลังงาน
ตะลุยโจทย์ข้อสอบ งานและพลังงานตะลุยโจทย์ข้อสอบ งานและพลังงาน
ตะลุยโจทย์ข้อสอบ งานและพลังงาน
 
วิทย์ฯเพิ่มเติมเทอม1ม1
วิทย์ฯเพิ่มเติมเทอม1ม1วิทย์ฯเพิ่มเติมเทอม1ม1
วิทย์ฯเพิ่มเติมเทอม1ม1
 
แบบทดสอบ บทที่ 1 ปฏิสัมพันธ์ในระบบสุริยะ
แบบทดสอบ บทที่ 1 ปฏิสัมพันธ์ในระบบสุริยะแบบทดสอบ บทที่ 1 ปฏิสัมพันธ์ในระบบสุริยะ
แบบทดสอบ บทที่ 1 ปฏิสัมพันธ์ในระบบสุริยะ
 
แบบทดสอบวิชาวิทยาศาสตร์ 5 ภาคเรียน 1
แบบทดสอบวิชาวิทยาศาสตร์ 5  ภาคเรียน 1แบบทดสอบวิชาวิทยาศาสตร์ 5  ภาคเรียน 1
แบบทดสอบวิชาวิทยาศาสตร์ 5 ภาคเรียน 1
 
แบบทดสอบปลายภาคเรียน วิทย์ 5 2558
แบบทดสอบปลายภาคเรียน วิทย์ 5   2558แบบทดสอบปลายภาคเรียน วิทย์ 5   2558
แบบทดสอบปลายภาคเรียน วิทย์ 5 2558
 
การหางานจากพื้นที่ใต้กราฟ
การหางานจากพื้นที่ใต้กราฟการหางานจากพื้นที่ใต้กราฟ
การหางานจากพื้นที่ใต้กราฟ
 
ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค
ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาคทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค
ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค
 
เรื่องที่3มวลแรงและกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน
เรื่องที่3มวลแรงและกฎการเคลื่อนที่ของนิวตันเรื่องที่3มวลแรงและกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน
เรื่องที่3มวลแรงและกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน
 
5ความร้อน และการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ
5ความร้อน และการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ5ความร้อน และการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ
5ความร้อน และการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ
 
ไฟฟ้าสถิต
ไฟฟ้าสถิตไฟฟ้าสถิต
ไฟฟ้าสถิต
 
Ep05 การเคลื่อนที่แนวตรง01 อัตราเร็ว และความเร็ว (v คงที่)
Ep05 การเคลื่อนที่แนวตรง01 อัตราเร็ว และความเร็ว (v คงที่)Ep05 การเคลื่อนที่แนวตรง01 อัตราเร็ว และความเร็ว (v คงที่)
Ep05 การเคลื่อนที่แนวตรง01 อัตราเร็ว และความเร็ว (v คงที่)
 
Astronomy V
Astronomy VAstronomy V
Astronomy V
 
ไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิพระร่วงไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิพระร่วง
 
03. ใบงาน 5 ปรับ
03. ใบงาน 5 ปรับ03. ใบงาน 5 ปรับ
03. ใบงาน 5 ปรับ
 
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องสถานะของสาร รายการครูมืออาชีพ ตอนครูหัดบิน ครูกอบว...
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องสถานะของสาร รายการครูมืออาชีพ ตอนครูหัดบิน ครูกอบว...แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องสถานะของสาร รายการครูมืออาชีพ ตอนครูหัดบิน ครูกอบว...
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องสถานะของสาร รายการครูมืออาชีพ ตอนครูหัดบิน ครูกอบว...
 
เฉลย08งานพลังงาน
เฉลย08งานพลังงานเฉลย08งานพลังงาน
เฉลย08งานพลังงาน
 
บทที่ 2 การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ
บทที่ 2 การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆบทที่ 2 การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ
บทที่ 2 การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ
 
แบบทดสอบดาราศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบดาราศาสตร์ ม.3แบบทดสอบดาราศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบดาราศาสตร์ ม.3
 
แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาฟิสิกส์ 2 (ว30202)
แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาฟิสิกส์ 2 (ว30202)แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาฟิสิกส์ 2 (ว30202)
แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาฟิสิกส์ 2 (ว30202)
 

Similar to คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

ฟิสิกสืยุคใหม่และทฤษฎีควอนตัม
ฟิสิกสืยุคใหม่และทฤษฎีควอนตัมฟิสิกสืยุคใหม่และทฤษฎีควอนตัม
ฟิสิกสืยุคใหม่และทฤษฎีควอนตัมสุริยะ ไฝชัยภูมิ
 
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าNang Ka Nangnarak
 
งานนำเสนอ11
งานนำเสนอ11งานนำเสนอ11
งานนำเสนอ11Nang Ka Nangnarak
 
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าNang Ka Nangnarak
 
เรื่องที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เรื่องที่ 18  คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเรื่องที่ 18  คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เรื่องที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าthanakit553
 
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าChakkrawut Mueangkhon
 
เรื่อง ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์และการ
เรื่อง  ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์และการเรื่อง  ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์และการ
เรื่อง ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์และการSomporn Laothongsarn
 
Conic section-clip vidva
Conic section-clip vidvaConic section-clip vidva
Conic section-clip vidvaYoothapichai KH
 
เรื่อง การแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากสายอากาศ
เรื่อง  การแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากสายอากาศเรื่อง  การแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากสายอากาศ
เรื่อง การแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากสายอากาศSomporn Laothongsarn
 

Similar to คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (12)

ฟิสิกสืยุคใหม่และทฤษฎีควอนตัม
ฟิสิกสืยุคใหม่และทฤษฎีควอนตัมฟิสิกสืยุคใหม่และทฤษฎีควอนตัม
ฟิสิกสืยุคใหม่และทฤษฎีควอนตัม
 
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
 
งานนำเสนอ11
งานนำเสนอ11งานนำเสนอ11
งานนำเสนอ11
 
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ดงมะไฟพิทยาคม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
 
เรื่องที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เรื่องที่ 18  คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเรื่องที่ 18  คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เรื่องที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
 
P18
P18P18
P18
 
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
 
สนามแม่เหล็กไฟฟ้า
สนามแม่เหล็กไฟฟ้าสนามแม่เหล็กไฟฟ้า
สนามแม่เหล็กไฟฟ้า
 
เรื่อง ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์และการ
เรื่อง  ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์และการเรื่อง  ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์และการ
เรื่อง ทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์และการ
 
Conic section-clip vidva
Conic section-clip vidvaConic section-clip vidva
Conic section-clip vidva
 
เรื่อง การแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากสายอากาศ
เรื่อง  การแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากสายอากาศเรื่อง  การแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากสายอากาศ
เรื่อง การแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากสายอากาศ
 
อบรมSme1 มฟล.1
อบรมSme1 มฟล.1อบรมSme1 มฟล.1
อบรมSme1 มฟล.1
 

More from สุริยะ ไฝชัยภูมิ

More from สุริยะ ไฝชัยภูมิ (7)

แรงไฟฟ้าและสนามไฟฟ้าสถิต
แรงไฟฟ้าและสนามไฟฟ้าสถิตแรงไฟฟ้าและสนามไฟฟ้าสถิต
แรงไฟฟ้าและสนามไฟฟ้าสถิต
 
ไฟฟ้ากระแสสลับ
ไฟฟ้ากระแสสลับไฟฟ้ากระแสสลับ
ไฟฟ้ากระแสสลับ
 
ไฟฟ้ากระแสตรง
ไฟฟ้ากระแสตรงไฟฟ้ากระแสตรง
ไฟฟ้ากระแสตรง
 
โครงสร้างของอะตอมและนิวเคลียส
โครงสร้างของอะตอมและนิวเคลียสโครงสร้างของอะตอมและนิวเคลียส
โครงสร้างของอะตอมและนิวเคลียส
 
อิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น
อิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้นอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น
อิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น
 
ไดอิเล็กทริก
ไดอิเล็กทริกไดอิเล็กทริก
ไดอิเล็กทริก
 
คำขวัญประจำจังหวัด 77 จังหวัดของประเทศไทย
คำขวัญประจำจังหวัด 77 จังหวัดของประเทศไทยคำขวัญประจำจังหวัด 77 จังหวัดของประเทศไทย
คำขวัญประจำจังหวัด 77 จังหวัดของประเทศไทย
 

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

  • 1. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/ 190 หนวยที่ 6 คลื่นแมเหล็กไฟฟา 6.1 ทฤษฎีเกี่ยวกับคลื่นแมเหล็กไฟฟา คลื่นแมเหล็กไฟฟาเปนคลื่นที่เคลื่อนที่ไดโดยไมตองอาศัยตัวกลาง ประกอบดวย สนามแมเหล็กและสนามไฟฟาที่ตั้งฉากกัน และเคลื่อนที่ดวยเฟสตรงกันตลอดเวลาเชน คลื่นแสง ดังรูป 7.1 การเคลื่อนที่เปนไปตามกฎของแมเหล็กและไฟฟาดังนี้ รูป 6.1 ระนาบแมเหล็กและไฟฟาของคลื่นแมเหล็กไฟฟา สนามไฟฟาและสนามแมเหล็กที่กลาวมาในหนวยที่ 1 และ 3 เปนสนามที่มีลักษณะสถิต กลาวคือจะมี คาคงที่เสมอไมขึ้นอยูกับเวลา ขนาดของสนามจะแปรคาไปตามระยะทางจากแหลงกําเนิดสนามไปยัง ตําแหนงที่ตองการหาสนามนั้น ในยุคกอนนั้นเชื่อกันวาปรากฏการณไฟฟาและแมเหล็กเปนปรากฏการณ ที่แยกจากกันอยางเด็ดขาด จนถึง ค.ศ. 1865 เจมส เคลิรก แมกซเวลล (James Cleark Maxwel) ไดเส อสมการเกี่ยวกับทฤษฎีแมเหล็กไฟฟา 4 สมการ และยังทํานายดวยวาสนามแมเหล็กและสนามไฟฟา สามารถเดินทางรวมกันในอวกาศได เรียกวาคลื่นแมเหล็กไฟฟา ซึ่งในสมัยนั้นยังไมมีการคนพบคลื่นวิทยุ และยังไมมีใครทราบวาแสงก็จัดเปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาชนิดหนึ่ง 6.1.1 สมการแมกซเวลล สมการแมกซเวลลทั้งสี่สมการไดมาจากการรวบรวมกฎที่สําคัญซึ่งเปนรากฐานของวิชา แมเหล็กไฟฟา แลวใชวิธีการทางคณิตศาสตรสรางเปนสมการ รายละเอียดของแตละสมการมีดังนี้ 1. สมการแรกจะเปนกฎของเกาสสําหรับสนามไฟฟา กลาววาฟลักซทั้งหมด (φE) ผานพื้นที่ ผิวปดจะมีคาเทากับประจุสุทธิภายในผิวปดนั้นเสมอ ดังสมการ
  • 2. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/ 191 φE = ∈ ⋅∫0 E ds s v v = q ................... (6.1) สมการนี้แสดงใหเห็นวาเสนแรงของสนามไฟฟาจะมีลักษณะเปด เสนแรงจะเริ่มตนจากประจุ บวกไปยังประจุลบ แรงทางไฟฟาสถิตสามารถหาไดจากกฎของคูลอมบ ประจุไฟฟาอิสระในธรรมชาติมีได ทั้งประจุบวกหรือประจุลบ จากคณิตศาสตรในเรื่องเวกเตอรวิเคราะห การอินทิเกรตรอบผิวปดใด ๆ สามารถเขียนแทนไดดวยอินทิเกรตเชิงปริมาตร โดยใชทฤษฎีไดเวอรเจนซ (divergence theorem) ดังนี้ v v A ds S ⋅∫ = ( . ) v v ∇∫ A dV V ................... (6.2) จากสมการ (6.1) เปลี่ยนประจุ q ใหอยูในรูปของความหนาแนนประจุ (ρ) คูณดวยปริมาตร ยอยเล็ก ๆ (dV) จะได q = ρdV V ∫ กฎของเกาสในสมการ (6.1) จะกลายเปน ε0 ( . ) v v ∇∫ E dV V = ρdV V ∫ สมการนี้เปนจริงเสมอที่ทุกๆ จุดใดๆ ในปริมาตร เขียนใหอยูในรูปสมการเชิงอนุพันธไดดังนี้ v v ∇.E = ρ / ε0 ................... (6.3) 2. สมการที่ 2 ของแมกซเวลล จะเปนกฎของเกาสสําหรับสนามแมเหล็ก เพราะวาเสนแรง แมเหล็กจะเปนวงปดเสมอ เสนแรงแมเหล็กที่พุงเขาผิวปดจึงมีคาเทากับเสนแรงแมเหล็กที่พุงออกจากผิว ปด จํานวนเสนแรงสุทธิที่ผานผิวปดหนึ่ง ๆ จึงมีคาเปนศูนย นั่นคือ φB = v v B ds S .∫ = 0 ....................(6.4) อาศัยทฤษฎีไดเวอรเจนซจะได v v ∇.B = 0 ....................(6.5) สมการ (6.5) แสดงใหเห็นความแตกตางระหวางสนามแมเหล็กและไฟฟา เราไมสามารถพบ ขั้วแมเหล็กอิสระ (แมเหล็กที่มีขั้วเหนือหรือขั้วใตเพียงอยางเดียว) เหมือนกับที่ไดพบประจุอิสระ 3. สมการที่ 3 เปนสมการเกี่ยวกับการเกิดแรงเคลื่อนไฟฟาเหนี่ยวนําของฟาราเดย ซึ่งแสดงให เห็นวาการเปลี่ยนแปลงคาสนามแมเหล็กทําใหเกิดแรงเคลื่อนไฟฟาเหนี่ยวนํา หรือทําใหเกิดสนามไฟฟาได
  • 3. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/ 192 จากกฎของฟาราเดยจะได แรงเคลื่อนไฟฟาเหนี่ยวนํารอบวงจรปด = − ∂φ ∂ B t หรือ v v E.dl∫ = − ∫∂ ∂ v v B ds t . ....................(6.6) อาศัยทฤษฎีของสโตกส (Stoke’s Theorem) จากเรื่องเวกเตอรวิเคราะห ซึ่งเปลี่ยนรูปการอินทิ เกรตรอบเสนปดใหเปนการอินทิเกรตเชิงพื้นที่ไดดังนี้ v v A.dl L ∫ = ( ). v v v ∇ ×∫ A ds S ....................(6.7) สมการ (6.6) จึงเปลี่ยนรูปไดใหมเปน ( ). v v v ∇ ×∫ E ds S = − ∫∂ ∂ v v B ds t . ....................(6.8) สมการ (6.8) เปนจริงเสมอกับทุก ๆ ผิวยอย ds เขียนใหอยูในรูปเชิงอนุพันธจะไดเปน v v ∇ × E = − ∂ ∂ v B t ....................(6.9) 4. สมการที่ 4 เปนกฎของแอมแปร ซึ่งเขียนเปนสมการไดดังนี้ v v B dl L .∫ = µ0I ...................(6.10) สมการ (6.10) หมายถึงการหมุนเวียนของสนามแมเหล็กไปตามเสนปดลอม L จะเทากับ กระแสที่ไหลผานพื้นที่ที่ถูกปดลอมดวยเสนปดนั้นเสมอ สมการนี้ใชไดเฉพาะกรณีที่สนามแมเหล็กและ กระแสไฟฟาไมแปรเปลี่ยนตามเวลา แตถาบริเวณนั้นมีการเปลี่ยนแปลงฟลักซไฟฟาหรือขนาดประจุมี การเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับเวลาจะตองคิดกระแสไฟฟาที่เกิดขึ้นในกรณีนี้ดวย กระแสไฟฟานี้มีชื่อ เรียกวา “กระแสไฟฟาการขจัด” (displacement current, Id) กระแสไฟฟาการขจัดหาไดจากสูตร Id = ∂φ ∂ E t = d dt E ds( . )ε0 v v ∫ ...................(6.11) เมื่อรวมกระแสการขจัดเขาไปดวย สมการ (6.10) จะไดเปน v v B dl.∫ = µ0(I + Id) ...................(6.12)
  • 4. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/ 193 แทนคา I = v v J ds.∫ และ Id จากสมการ (6.11) v v B dl.∫ = µ0 ( v v v v J ds d dt E ds. ( . )∫ ∫+ ε0 ) ใชทฤษฎีของสโตกส สมการ (6.7) ( ). v v v ∇ ×∫ B ds S = µ0 ( v v v v J ds d dt E ds. ( . )∫ ∫+ ε0 เขียนใหอยูในรูปเชิงอนุพันธจะได v v ∇ × B = µ µ ε ∂ ∂0 0 0 v v J E t + ..................(6.13) เมื่อเปรียบเทียบสมการ (6.13) กับสมการ (6.9) จะเห็นวามีลักษณะคลายคลึงกันมาก ถาให ความหนาแนนกระแสไฟฟา ( ) v J ในสมการ (6.13) มีคาเทากับศูนย จะเห็นวาการเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟา ทําใหเกิดสนามแมเหล็ก เชนเดียวกับสนามแมเหล็กที่มีการเปลี่ยนแปลงทําใหเกิดสนามไฟฟาหรือ แรงเคลื่อนไฟฟาเหนี่ยวนํา หลังจากแมกซเวลลไดเสนอสมการแมกซเวลล 4 สมการและทํานายวาคลื่นแมเหล็ก ไฟฟามีจริง ผูที่ตรวจวัดคลื่นแมเหล็กไฟฟาเปนคนแรกยืนยันคําทํานายของแมกซเวลลคือ เฮิรตซ (Heinrich Hertz) โดยทดลองในป ค.ศ. 1887 อุปกรณที่ใชในการทดลองประกอบดวยขดลวดเหนี่ยวนําเชื่อมตอกับโลหะทรงกลม 2 ลูก ซึ่ง วางใกลกันมาก จะทําหนาที่คลายกับเปนตัวเก็บประจุ อุปกรณชุดนี้ทําหนาที่คลายวงจร LC ของเครื่องสง คลื่นวิทยุ การสั่นแกวง (oscillate) ของคลื่นเกิดขึ้นไดโดยปอนความตางศักยเปนคลื่นชวงสั้น ๆ (pulse) เขาไปที่ขดลวดตัวนํา จะเกิดคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่ความถี่ประมาณ 100 MHz จากนั้นเฮิรตซสรางวงจร ขึ้นมาอีกวงหนึ่ง ประกอบดวยขดลวดเพียงขดเดียว ที่ปลายขดลวดมีทรงกลมตัวนําวางไวใกล ๆ กัน วงจร ชุดนี้ทําหนาที่คลายเครื่องรับคลื่น เฮิรตซพบอีกวาวงจรรับคลื่นจะสามารถรับคลื่นไดก็ตอเมื่อความถี่ที่สงมา รูป 6.2 แผนภาพแสดงอุปกรณที่ใชในการทดลองของเฮิรตซ ขดลวดเหนี่ยวนํา ปอนพัลซที่นี่
  • 5. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/ 194 นั้นเปนความถี่อภินาทของวงจรรับคลื่นพอดี ถาความตางศักยบนขดลวดชุดรับคลื่นมีคาสูงจะทําใหเกิด ประกายไฟกระโดดขามระหวางทรงกลมทั้งสอง การทดลองนี้แสดงใหเห็นวาพลังงานสามารถสงผาน จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งไดโดยอยูในรูปของคลื่นแมเหล็กไฟฟา การเขียนสมการเพื่อแสดงการเคลื่อนที่ของคลื่นแมเหล็กไฟฟาทําไดโดยนําสมการแมกซเวลล บางสมการมาจัดรูปใหม เริ่มตนดวยสมการ (6.9) ใชวิธีการเคิรล (curl) กับสมการนี้ทั้งสองขาง v v v ∇ × ∇ ×( )E = − ∇ × ∂ ∂t B( ) v v แทนเทอมดานขวามือดวยสมการ (6.13) ในตัวกลางที่เปนอวกาศ ความหนาแนนกระแส (J) = 0 v v v ∇ × ∇ ×( )E = − ∈ ∂ ∂ µ ∂ ∂t E t ( )0 0 v เพราะวา v v v ∇ × ∇ ×( )E = v v v v v ∇ ∇ ⋅ − ∇( )E E2 ในอวกาศไมประจุอิสระ (ρ = 0) ดังนั้น v v ∇ ⋅ E = 0 จะได v v ∇2 E = µ ∂ ∂0 0 2 2∈ v E t ...................(6.14) สมการ (6.14) เปนสมการคลื่นที่มีสนามไฟฟาเปนตัวแปรกับตําแหนงและเวลา ในทํานองเดียวกันถาเริ่มตนดวยสมการ (6.13) จะไดสมการของคลื่นสนามแมเหล็กที่แปรตาม ตําแหนงและเวลาเชนเดียวกัน v v ∇2 B = µ ∂ ∂0 0 2 2∈ v B t ...................(6.15) เมื่อเทียบกับสมการคลื่นทั่วๆ ไปใน 3 มิติ f (r, t) คือ v ∇2 f = 1 2 2 2 v f dt ∂ ...................(6.16) เมื่อ v คือความเร็วของคลื่น ให v c เปนความเร็วของคลื่นแมเหล็กไฟฟา เมื่อเปรียบเทียบสัมประสิทธิ์ของเทอมดานขวามือ ของสมการ (6.15) และ (6.16) จะเห็นวา c = 1 0 0µ ∈ ...................(6.17) สมการ (6.17) เปนผลพลอยไดจากสมการแมกซเวลลเมื่อแทนคา µ0 และ ∈0 สามารถ คํานวณหาความเร็วแสงได
  • 6. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/ 195 c = 1 4 10 88542 107 12 ( )( . )π × ×− − = 2.998 × 108 m/s สมการ (6.15) และสมการ (6.16) เปนสมการอนุพันธซึ่งแสดงการเคลื่อนที่ของคลื่นระนาบ (plane wave) สนามแมเหล็ก v B และสนามไฟฟา v E จะแปรคาตามตําแหนงพิกัด (x, y, z) และเวลา t แนวการเปลี่ยนคาของ v E และ v B จะตั้งฉากซึ่งกันและกัน และตั้งไดฉากกับทิศการเคลื่อนที่ เพราะแนวของ สนามแมเหล็กไฟฟาและทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่นมีทิศตั้งฉากซึ่งกันและกัน คลื่นแมเหล็กไฟฟาจึง จัดเปนคลื่นตามขวาง (transverse wave) เมื่อหาคําตอบสมการอนุพันธ (6.15) และ (6.16) จะไดฟงกชันคลื่นระนาบที่มีความถี่ f = ω π/ 2 และ λ = 2π/k ดังนี้ E = E0 sin ( )kx t− ω B = B0 sin ( )kx t− ω เมื่อ E0 และ B0 คือแอมพลิจูดของสนามไฟฟาและสนามแมเหล็กตามลําดับ ความสัมพันธของสนามไฟฟาและสนามแมเหล็กคือ n|E| = c|B| เมื่อ n คือดัชนีหักเหของตัวกลางที่คลื่นแมเหล็กไฟฟาผานสําหรับสูญญากาศ n = 1 รูป 6.3 แสดงสมการคลื่นแมเหล็กไฟฟาซึ่งขึ้นอยูกับตําแหนงพิกัด x และ t
  • 7. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/ 196 6.1.2 การถอดสมการแมกซเวลลและคลื่นระนาบ การเขียนสมการเพื่อแสดงการเคลื่อนที่ของคลื่นแมเหล็กไฟฟาทําไดโดยนําสมการแมกซเวลล บางสมการมาจัดรูปใหม เริ่มตนดวยสมการ (a.8) ใชวิธีการเคิรล (curl) กับสมการนี้ ทั้งสองขาง v v v ∇ × ∇ ×( )E = − ∇ × ∂ ∂t B( ) v v แทนเทอมดานขวามือดวยสมการ (a.11) ในตัวกลางที่เปนอวกาศ ความหนาแนนกระแส (J) = 0 v v v ∇ × ∇ ×( )E = − ∈ ∂ ∂ µ ∂ ∂t E t ( )0 0 v เพราะวา v v v ∇ × ∇ ×( )E = v v v v v ∇ ∇ ⋅ − ∇( )E E2 ในอวกาศไมประจุอิสระ (ρ = 0) ดังนั้น v v ∇ ⋅ E = 0 จะได v v ∇2 E = µ ∂ ∂0 0 2 2∈ v E t ...................(6.19) สมการ (6.19) เปนสมการคลื่นที่มีสนามไฟฟาเปนตัวแปรกับตําแหนงและเวลาในทํานอง เดียวกันถาเริ่มตนดวยสมการ (6.18) จะไดสมการของคลื่นสนามแมเหล็กที่แปรตามตําแหนงและเวลา เชนเดียวกัน v v ∇2 B = µ ∂ ∂0 0 2 2∈ v B t ...................(6.20) เมื่อเทียบกับสมการคลื่นทั่วๆ ไปใน 3 มิติ f (r, t) คือ v ∇2 f = 1 2 2 2 v f dt ∂ ...................(6.21) เมื่อ v คือความเร็วของคลื่น ให v c เปนความเร็วของคลื่นแมเหล็กไฟฟา เมื่อเปรียบเทียบสัมประสิทธิ์ของเทอมดานขวามือ ของสมการ (6.20) และ (6.21) จะเห็นวา c = 1 0 0µ ∈ ...................(6.22) สมการ (6.22) เปนผลพลอยไดจากสมการแมกซเวลลเมื่อแทนคา µ0 และ ∈0 สามารถ คํานวณหาความเร็วแสงได c = 1 4 10 88542 107 12 ( )( . )π × ×− −
  • 8. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/ 197 = 2.998 × 108 m/s และ ความเร็วคลื่นแมเหล็กไฟฟาในตัวกลางใดๆ v = ∈µ 1 เมื่อ µ และ ε เปนความซาบซึมไดทางแมเหล็ก และสภาพยอมทางไฟฟาของตัวกลางนั้นๆ สมการ (6.20) และสมการ (6.21) เปนสมการอนุพันธซึ่งแสดงการเคลื่อนที่ของคลื่นระนาบ (plane wave) สนามแมเหล็ก v B และสนามไฟฟา v E จะแปรคาตามตําแหนงพิกัด (x, y, z) และเวลา t แนวการเปลี่ยนคาของ v E และ v B จะตั้งฉากซึ่งกันและกัน และตั้งไดฉากกับทิศการเคลื่อนที่ เพราะแนวของ สนามแมเหล็กไฟฟาและทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่นมีทิศตั้งฉากซึ่งกันและกัน คลื่นแมเหล็กไฟฟาจึง จัดเปนคลื่นตามขวาง (transverse wave) เมื่อหาคําตอบสมการอนุพันธ (6.20) และ (6.21) จะไดฟงกชันคลื่นระนาบที่มีความถี่ f =ω π/ 2 และ λ = 2π/k ดังนี้ E = E0 sin ( )kx t− ω = E0 sin )ctx( − B = B0 sin ( )kx t− ω = B0 sin )ctx( − เมื่อ k = 2π/λ (เลขคลื่น) และ E0 และ B0 คือแอมพลิจูดของสนามไฟฟาและสนามแมเหล็กตามลําดับ ความสัมพันธของสนามไฟฟาและสนามแมเหล็กคือ n|E| = c|B| (6.23) เมื่อ n คือดัชนีหักเหของตัวกลางที่คลื่นแมเหล็กไฟฟาผานสําหรับสูญญากาศ n = 1 รูป 6.4 แสดงสมการคลื่นแมเหล็กไฟฟาซึ่งขึ้นอยูกับตําแหนงพิกัด x และ t
  • 9. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/ 198 ตัวอยาง 6.1 คลื่นแมเหล็กไฟฟาแบบคลื่นไซนมีความถี่ 40.0 MHz เคลื่อนที่ในทิศ +x ดังรูป ณ จุดหนึ่ง เวลาใดๆ มีสนามไฟฟามากที่สุดเปน 750 N/C ตามแกน y จงหา ก. ความยาวคลื่นและคาบของคลื่น ข. สนามแมเหล็ก เมื่อ สนามไฟฟา เทากับ 750 N/C ในแนวแกน y ค. สมการคลื่นของสนามแมเหล็ก และสนามไฟฟา รูปที่6.5 แสดงคลื่นแมเหล็กไฟฟา วิธีทํา ก. ความยาวคลื่นและคาบของคลื่น เนื่องจาก 8 7 3.00 10 / 7.50 . 40.0 10 c f c f mλ λ × = → = = = × 8 7 1 1 2.5 10 sec. 40.0 10f τ − = = = × × ข. สนามแมเหล็ก เมื่อ สนามไฟฟาเทากับ 750 N/C ในแนวแกน y เนื่องจาก 6max max 8 750 / 2.5 10 . 30 10 / E N C B T c m s = = = × × v v ค. สมการคลื่นของสนามแมเหล็กและสนามไฟฟา เนื่องจาก 7 1 2 8 10 2 / 0.838 ./ . f s k rad m ω π π π λ − = = × = = และ 7 max cos( ) 750cos(0.838 8 10 )E E kx t x tω π − = − = − × v v v 6 7 max cos( ) 2.5 10 cos(0.838 8 10 )B B kx t x tω π− − = − = × − × v v v ……………………………………………………
  • 10. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/ 199 6.1.3 พลังงานของโมเมนตัมของคลื่นแมเหล็กไฟฟา คลื่นแมเหล็กไฟฟาประกอบดวยสนามแมเหล็กและสนามไฟฟา เมื่อคลื่นแมเหล็กไฟฟาเคลื่อนที่ก็ จะนําพลังงานไปดวย ถาให Bu เปน พลังงานแมเหล็กที่สะสมตอหนวยปริมาตรซึ่งเรียกวาความ หนาแนนพลังงานแมเหล็กและ Eu เปนความหนาแนนพลังงานไฟฟา เมื่อความหนาแนนพลังงานแมเหล็กเปน 1 2 02 u E E ε= ความหนาแนนพลังงานไฟฟาเปน 2 0 B B 2 1 u µ = จากสมการ (a.16) และ (a.15) จะไดความหนาแนนพลังงานคลื่นแมเหล็กไฟฟาในสุญญากาศเปน 2 0 2 0 2 2 0 B E2 1 C2 E B 2 1 u ε = µ = µ = ความหนาแนนพลังงานรวมของคลื่นแมเหล็กไฟฟา ( u ) จึงมีคาเปน u u u E B = + ดังนั้น 2 0 u Eε= ( )2 2 sin 0 E t kxε ω= − หรือ ( )[ ] 2 0 0 1 cos 2 2 E u t kx ε ω= − − คาเฉลี่ยของ ( )cos 2 t kxω − เมื่อเทียบกับเวลามีคาเปนศูนย เนื่องจาก ณ ตําแหนงใดๆ คาเฉลี่ยนี้จะมีคาเปนบวกในเวลาครึ่งคาบ และเปนลบในเวลาอีกครึ่งคาบ ดังนั้นความหนาแนนพลังงาน เฉลี่ย avµ ของคลื่นแมเหล็กไฟฟาจึงเปน 1 2 0 02 E av µ ε= ความเขมของคลื่น แมเหล็กไฟฟาซึ่งหมายถึง พลังงานที่ผานหนวยพื้นที่ตอหนวยเวลา จะได 2 0ECCuI ε== โดยที่ ความเขมเฉลี่ย (ความเขมรังสี) หรือ พอยนติงเวกเตอรเฉลี่ยเปน 0 2 0av Ec 2 1 I ε= เนื่องจากมีความสัมพันธระหวางพลังงานและโมเมนตัมของคลื่น 2 c/uvp = เมื่อ p คือ โมเมนตัมของคลื่น และ v = c ดังนั้น c/up = ในรูปของเวกเตอร e c u p )v = ในเมื่อ p เปนโมเมนตัมที่คลื่นพาหะไป และ ˆe เปนเวกเตอรหนึ่งหนวย ตําแหนงของการเคลื่อนที่ของคลื่นแมเหล็กไฟฟา สมบัติที่คอนขางสําคัญของคลื่นแมเหล็กไฟฟาอีกประการหนึ่ง คือ โพลาไรเซซัน (polarization) เนื่องจากสนามไฟฟาตั้งไดฉากกับสนามแมเหล็กเสมอ ดังนั้นพิจารณาแตสนามไฟฟาของคลื่นแตอยาง เดียวก็บงชนิดของโพลาไรเซซันได ดังนี้
  • 11. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/ 200 1. โพลาไรเซซันตามเสนหรือตามระนาบ (linear or plane) แนวของสนามไฟฟาจะอยูคงที่ ตลอดไป คือ จะชี้ไปในแนวหนึ่งแนวใดไมเปลี่ยนไปตามเวลา เชน ถาชี้ไปตามแกน Y ก็อาจจะเปนบวก หรือลบได แตจะยังคงอยูตามแกน Y เสมอ 2. โพลาไรเซซันตามวงกลม (circular polarization) แนวของสนามไฟฟาจะเปนรัศมีของ วงกลมและจุหมุนรอบแกนซึ่งเปนแนวของการเคลื่อนที่ของคลื่น 3. โพลาไรเซซันตามวงรี (elliptical polarization) นั้น ปลายของแนวของสนามไฟฟาจะเปน เสนรอบของวงรี (โพลาไรเซซันตามวงกลมเปนกรณีพิเศษของการโพลาไรเซซัน ตามวงรี) ดังรูป 6.6 ตัวอยาง 6.2 สนามไฟฟาของคลื่นแมเหล็กไฟฟาในสุญญากาศมีขนาดตามแนวแกนตางๆดังนี้ Ex = 10 sin 2π(ct-x), Ey = 0, Ez =0 จงหา ก) เลขคลื่น ข) สนามไฟฟาสูงสุด ค) สนามแมเหล็กขณะหนึ่ง ง) สนามแมเหล็กสูงสุด จ) ความยาวคลื่นและควมถี่ ฉ) ความเขมรังสี วิธีทํา ก) จาก Ex = 10 sin 2π(ct-x) Ex = 10 sin (2πct-2πx) เปรียบเทียบสมการ E = E0 sin (ωt-kx) จะได k = 2π m-1 รูป 6.6 ก. โพลาไรเซชันตามเสนหรือระนาบ ข. โพลาไรเซชันตามวงกลม ค. โพลาไรเซชันตามวงรี
  • 12. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/ 201 ข) จาก Ex = 10 sin 2π(ct-x) เปรียบเทียบสมการ E = E0 sin (ωt-kx) เพราะฉะนั้น E0 = 10 m. ค) จาก B = E/c B = Bx = (10/3x108 ) sin 2π(ct-x) ง) เพราะฉะนั้น B0 = (10/3x108 ) จ) k = 2π/λ นั้นคือ λ = 2π/2π = 1 m. c = f λ นั้นคือ f = 3x108 /1 =3x108 s-1 ฉ) 0 2 0av Ec 2 1 I ε= = 0.5 x 3 x 108 x 8.85 x 10-12 x 102 = 0.133 W/m2 6.2 สเปกตรัมของคลื่นแมเหล็กไฟฟา ความเร็ว (v) ความถี่ (f) และความยาวคลื่น (λ) ของคลื่นแมเหล็กไฟฟามีความสัมพันธ เหมือนกับคลื่นชนิดอื่น ๆ คือ v = fλ ...................(6.24) ความถี่ของคลื่นจะเปนปฏิภาคผกผันกับความยาวคลื่น เราสามารถแบงประเภทของคลื่น แมเหล็กโดยอาศัยความถี่เปนหลัก เรียกวาสเปกตรัม (spectrum) ของคลื่นแมเหล็กไฟฟา แบงเปน 1. คลื่นวิทยุโทรทัศน เปนคลื่นที่ใชสง-รับวิทยุและโทรทัศน มีความถี่ตั้งแต 2-3 Hz ไป จนถึง 109 Hz คลื่นวิทยุในชวง AM ( Amplitude Modulation) มีความถี่พาหะอยูระหวาง 530 KHzถึง 1600 KHz คลื่นวิทยุ FM (Frequency Modulation) มีความถี่ในชวง 88 MHz ถึง 108 MHz คลื่นวิทยุ- โทรทัศนนี้ทําใหเกิดไดโดยอาศัยวงจรอิเล็กทรอนิกส คลื่นแมเหล็กไฟฟาที่เกิดจากฟาผาจะมีความถี่ในยาน นี้เชนกัน
  • 13. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/ 202 2. ไมโครเวฟ (Microwave) มีความยาวคลื่นในชวง 1 มิลลิเมตร ถึง 30 เซนติเมตร หรือ ความถี่ 109 Hz ถึง 3 × 1011 Hz สามารถผลิตคลื่นชนิดนี้ไดโดยอุปกรณอิเล็กทรอนิกส เราใชคลื่น ไมโครเวฟในการประกอบอาหารเพราะความถี่ในชวงไมโครเวฟเปนความถี่ธรรมชาติของโมเลกุลของน้ํา พลังงานที่โมเลกุลของน้ําไดรับจะกลายเปนความรอนทําใหอาหารสุก ไมโครเวฟใชทําเรดาร (RADAR, Radio Detection and Ranging) ซึ่งใชในการตรวจจับ เครื่องบินและการจราจร 3. รังสีอินฟราเรด (Infrared Wave) เรียกอีกอยางหนึ่งวาเปนรังสีความรอน มีความยาว คลื่นตั้งแต 1 มิลลิเมตรถึง 7× 10-7 เมตร หรือความถี่ตั้งแต 3 × 1011 Hz ถึง 4 × 1014 Hz วัตถุเมื่อไดรับ รังสีนี้จะรอนขึ้นเพราะพลังงานของคลื่นจะทําใหอะตอมสั่นมากขึ้น รังสีอินฟราเรดสามารถผานหมอกควันไดดีกวาแสงที่ตามองเห็น จึงมีการพัฒนาฟลมที่ไวตอ แสงอินฟราเรด เมื่อถายภาพภูมิประเทศจากเครื่องบินหรือดาวเทียมโดยใชฟลมชนิดนี้จะมองเห็นความ แตกตางและรายละเอียดของพื้นดินไดมากกวาใชฟลมปกติ เชน สามารถจําแนกทุงขาวโพดและทุงขาวสาลี ได เพราะธัญพืชทั้งสองแผรังสีความรอนที่มีความยาวคลื่นตางกัน กลองโทรทัศนบางชนิดสามารถรับรังสีอินฟราเรดและเปลี่ยนภาพที่เกิดจากรังสีอินฟราเรดนี้ เปนคลื่นแสงที่ตามนุษยมองเห็นได รายละเอียดของภาพจะตางไปจากภาพที่เห็นทั่วไป ตรงสวนที่ไมมี เสื้อผาปกคลุมจะสวางมากกวาปกติ ในทางการแพทยการตรวจรางกายดวยรังสีอินฟราเรดจะเห็นตําแหนง ที่ใหรังสีความรอนมากกวาปกติ ตําแหนงตรงนั้นมีแนวโนมที่เนื้อเยื่อเจริญแบบผิดปกติ 4. แสงที่ตามองเห็นได (Visible light) มีความยาวคลื่นอยูในชวง 4,000 ถึง 7,000 แองสต รอม (1 แองสตรอม = 10-10 เมตร) หรือความถี่อยูในชวง 4 × 1014 Hz ถึง 8 × 1014 Hz เพราะความถี่ที่ แตกตางกันทําใหตามนุษยมองเห็นเปนสีตาง ๆ กัน ประสาทตาของมนุษยจะไวตอแสงสีเหลืองแกมเขียว ซึ่งมีความยาวคลื่น 5.6 × 10-7 เมตร มากที่สุด
  • 14. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/ 203 ความยาวคลื่นและความถี่ของแสงที่ตามองเห็นไดแยกเปนตารางดังนี้ ตาราง 6.1 ความยาวคลื่นและความถี่ของแสงที่ตามองเห็นได สี ความยาวคลื่น (10-7 m) ความถี่ (1014 Hz) มวง 3.90 - 4.55 7.69 - 6.59 น้ําเงิน 4.55 - 4.92 6.59 - 6.10 เขียว 4.92 - 5.77 6.10 - 5.20 เหลือง 5.77 - 5.97 5.20 - 5.03 สม 5.97 - 6.22 5.03 - 4.82 แดง 6.22 - 7.80 4.82 - 3.84 5. รังสีอุลตราไวโอเลต (Ultraviolet light) มีความยาวคลื่นในชวง 60 นาโนเมตรถึง 380 นาโนเมตร หรือความถี่ในชวง 8 × 104 Hz ถึง 3 × 1017 Hz รังสีนี้สวนใหญไดมาจากดวงอาทิตย ถา มนุษยไดรับรังสีนี้เปนจํานวนมากจะเปนอันตรายได ถาไดรับเปนจํานวนนอย ๆ จะทําใหผิวหนังเปนสี น้ําตาล ชั้นบรรยากาศที่อยูสูงจากพื้นโลกจะมีโอโซน (Ozone, O3) ชวยปองกันรังสีนี้ รังสีอุลตราไวโอเลตใชฆาเชื้อโรค หลอดอุลตราไวโอเลตตามโรงพยาบาลใชในการอบฆาเชื้อ เครื่องมือผาตัด และหองผาตัด เราใชหลอดไฟอุลตราไวโอเลตที่มีความเขมต่ําสองเหนือชั้นวางของชําและ เนื้อสดเพื่อลดปริมาณการเนาเสีย 6. รังสีเอ็กซ (X-rays) มีความยาวคลื่นอยูในชวง 10-4 นาโนเมตร ถึง 10 นาโนเมตร หรือมี ความถี่ในชวง 3 × 1017 Hz ถึง 5 × 1019 Hz รังสีเอ็กซไดมาจากอิเล็กตรอนซึ่งมีพลังงานสูงเคลื่อนที่ผาน อะตอมของธาตุโลหะหนัก อิเล็กตรอนจะถูกหนวง การเปลี่ยนสถานะพลังงานของอิเล็กตรอนพลังงานจะ ถูกปลอยออกมาในรูปรังสีเอ็กซ ประโยชนของรังสีเอ็กซใชในการวินิจฉัยโรคและตรวจสอบวัสดุทึบแสง เชน ชิ้นสวนของเครื่องจักร
  • 15. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/ 204 7. รังสีแกมมา (Gamma rays) มีความยาวคลื่นตั้งแต 10-10 เมตร จนถึง 10-14 เมตร หรือมี ความถี่ตั้งแต 3 × 1018 Hz ถึง 3 × 1032 Hz พบรังสีนี้จากการแผรังสีของสารกัมมันตรังสีและเครื่อง ปฏิกรณปรมาณู สามารถทะลุและทําลายเนื้อเยื่อสิ่งมีชีวิต เราสามารถใชรังสีแกมมาในการรักษา โรคมะเร็งได รูป 6.7 แผนภาพแสดงสเปกตรัมคลื่นแมเหล็กไฟฟา
  • 16. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/ 205 6.3 การสื่อสารดวยคลื่นแมเหล็กไฟฟา มนุษยตั้งแตสมัยโบราณ เชน แสงแดดในเวลากลางวัน ตะเกียงในเวลากลาง หลักสําคัญในการ สื่อสารสมัยโบราณ ก็คือ จะตองมีการเปลี่ยนแปลงความเขมของแสงจากนอยไปหามาก หรือมากไปหา นอย เพื่อจะใชในการสงรหัสหรือสัญญาณซึ่งเปนที่เขาใจกันระหวางผูสงและผูรับ ในยุคปจจุบัน ขาวสาร ที่สงนั้นสามารถจะสงเปนคําพูด เสียงดนตรี และภาพที่เคลื่อนไหวได โดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงของคลื่น แมเหล็กไฟฟา ในระยะแรกที่มีการคนพบและนําเอาคลื่นวิทยุมาสงไดรหัสมอรส (Morse code) คือ ยาวและ สั้น แลวประกอบกันขึ้นเปนอักษรที่ละตัว ตอมาก็สามารถสงเสียง จนกระทั่งสงภาพโดยอาศัยการ เปลี่ยนแปลงของคลื่นพาหะ (carrier wave ) เพราะเราไมสามารถจะใชคลื่นเสียงในการติดตอทางไกลได แตคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่ที่เหมะสมจะเดินทางไดไกล วิธีการที่จะใสสัญญาณลงไปในคลื่น แมเหล็กไฟฟานี้ เราเรียกวา โมดูเลชัน (modulation) เมื่อคลื่นแมเหล็กไฟฟาไปถึงปลายทางแลวก็มิ วิธีการที่แยกเอาสัญญาณที่ตองการออก และขบวนการนั้นเรียกวา ดีโมดูเลชัน (demdulation) ในขั้นแรก เราจะพิจารณาการสงวิทยุโทรเลขเสียกอน การสงวิทยุโทรเลขเปนการสงสัญญาณใช รหัสมอรส (Morse code) เครื่องสงจะประกอบดวยเครื่องกําเนิดไฟฟาความถี่สูง มีความถี่เทากับความถี่ ของคลื่นวิทยุที่จะใชเปนคลื่นพาหะ ถาไฟฟาความถี่สูงมีกําลังมากพอก็จะถูกสงออกไปตามสายอากาศ และเคลื่อนที่ไปตามที่วางถึงผูที่จะรับ ผูรับตองใชสายอากาศสําหรับรับคลื่นวิทยุ แยกเอาเฉพาะคลื่นที่ ตองการดวยวงจรเรโซแนนซ สวนมากสัญญาณเมื่อมาถึงผูรับจะมีกําลังออนมาก จะตองอาศัยเครื่อง ขยายและแยกเอารหัสที่ตองการออกดวยเครื่องตรวจวัด(detector) เพราะเพียงคลื่นวิทยุอยางเดียวหูฟงจะ ไมสามารถไดยินรหัสได เนื่องจากความถี่ของคลื่นพาหะสูงเกินไปที่จะรับฟงไดดวยหู ถาไมใชหูฟง รหัส อาจถูกบันทึกไวดวยเครื่องรับโทรเลข หรือในสมัยใหมใชเครื่องโทรพิมพ (teletype) พิมพออกมาเปน ขอความและอานไดเลย การสงกระจายเสียงออกเปนคําพูดและเสียงดนตรีนั้น การใสคลื่นเสียงลงไปในคลื่นพาหะที่ เรียกวา โมดูเลชันนั้น มีวิธีที่นิยมอยู 2 วิธี คือ โมดูแลชันดวยแอมพลิจูด (amplitude modulation) ที่ เรียกยอๆ เอ เอม (A.M.) และโมดูเลชันดวยความถี่ (frequency modulation) ซึ่งเรียกยอๆ วา เอฟ เอม ( F.M.) ความแตกตางระหวางเอ เอม และเอฟ เอม เปนดังนี้ โมดูเลชันดวยแอมพลิจูดอาศัยการเปลี่ยนแปลงของแอมพลิจูดของคลื่นพาซึ่งสอดคลองกับความถี่ ของคลื่นเสียงที่เปนสัญญาณ ดังรูป 6.8
  • 17. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/ 206 คลื่นพาหะเมื่อยังไมถูกโมดูเลต จะสังเกตเห็นไดวามีแอมพลิจูดคงที่ สวนรูปที่แสดงถึงคลื่นวิทยุที่ ถูกโมดูเลตแลวและแผนภาพของคลื่นเสียง จะสังเกตไดวา ความถี่ของคลื่นวิทยุมีคาคงที่ตลอดเวลาทั้ง กอนและหลังการโมดูเลต รูป 6.8 แสดงโมดูเลชันดวยแอมพลิจูด การโมดูเลตดวยความถี่นั้นอาศัยการเปลี่ยนแปลงของความถี่ของคลื่นพาหะเล็กนอย ความถี่ ที่เปลี่ยนไปขึ้นอยูกับความถี่ของสัญญาณ สวนแอมพลิจูดของคลื่นพาและคลื่นที่ถูกโมดูเลตแลวไมเปลี่ยน มีคาคงที่ ความถี่หรือความยาวคลื่นเปลี่ยนไปจากคลื่นที่ยังไมถูกโมดูเลตโดยที่แอมพลิจูดมีคาคงที่เสมอ ทําใหพลังงานที่ออกอากาศมีคาเสมดตนเสมอปลายไดดีกวาระบบเอ เอม การสงภาพโดยอาศัยคลื่นเมเหล็กไฟฟาจะเปนภาพนิ่งหรือโทรทัศนก็ตามมีความยุงยากเพิ่มขึ้นทั้ง การสงภาพนิ่งและโทรทัศนจะตองแบงภาพออกเปนเสนเรียงจากบนลงมาขางลางแลววัดความเขม และ สัญญาณจะตองบอกความเขม ณ จุดหนึ่งจุดใดของภาพ ที่เรียกวา การกวาด (scanning) การสงภาพนิ่งทําไดงายกวาการสงโทรทัศน เพราะแตละครั้งจะมีอยูภาพเดียว การที่จะกําหนดวาตําแหนง ของความเขมที่สงนั้นทําไดโดยอาศัยสัญญาณกําหนดเวลา เชน จากจุดตั้งตนของเสนแรกและจุดตั้งตน ของเสนตอๆ ไป ก็จะตองมีสัญญาณกําหนดเวลาบอกไวทุกครั้งไป สวนการสงภาพที่เคลื่อนไหวไดนั้น อาศัยหลักการสงภาพนิ่งหลายๆ ภาพ ในชวงเวลาที่สั้น กวา ขีดจํากัดของสายตาในการแยกภาพ ทําใหผูรับมีความรูสึกวาเห็นวัตถุเคลื่อนไหวได เชน ภาพยนตร การ สงวิทยุโทรทัศนนั้นแบงไดเปน 2 ภาค คือ ภาคเสียง และภาคภาพ ใชความถี่ตางกันแตไมหางกันมาก นัก ภาคเสียงใชระบบเอฟ เอม และภาคภาพใชระบบเอ เอม คลื่นแมเหล็กไฟฟาเปนสิ่งที่มีประโยชนมากสําหรับการติดตอสื่อสารและความถี่ที่ใชก็มีไดหลาย ชวง เชน ตั้งแตความถี่ต่ํามากสําหรับใชในการติดตอระหวางเรือดําน้ําและฐานปฏิบัติการ คลื่นไมโครเวฟ
  • 18. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/ 207 ใชสําหรับการติดตอเปนเสนตรงระหวางจุดสงถึงจุดรับ เชน จากพื้นดินถึงดาวเทียม นอกจากนั้นการโมดู เลตคลื่นแมเหล็กไฟฟาก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่เรียกวา โมดูเลชันดวยคลื่นดล (pulse modulation) คือตัดชวง คลื่นใหเปนชวงสั้นๆ ที่เรียกวา คลื่นดล (pulse) ซึ่งจะหาความรูเพิ่มเติม ไดจากตําราวิศวกรรมอิเลกโทร นิกส นอกจากจะใชในการสื่อสารแลว คลื่นแมเหล็กไฟฟาที่มีความถี่บางขนาด เชน ไมโครเวฟ ยังเปน ประโยชนสามารถใชแทนนัยนตาในเมื่อคลื่นแสงไมสามารถเดินทางผานได เชน ในกรณีหมอกลงจัด ระบบเรดารซึ่งอาศัยหลักการสะทอนของไมโครเวฟจากวัตถุทั้งที่อยูกับที่และเคลื่อนที่ ทําใหสามารถเห็น ภูมิประเทศสะดวกในการขึ้นลงของเครื่องบิน และหาเครื่องบินและเรือรบในยามสงคราม เปนการเตือน ภัยลวงหนาไดอยางดี การตรวจตําแหนงของเครื่องบินพาณิชยของหอบังคับการบิน
  • 19. ฟสิกสราชมงคล http://www.rit.ac.th/homepage-sc/physics/ 208 แบบฝกหัดหนวยที่ 6 คลื่นแมเหล็กไฟฟา 6.1 คลื่นแมเหล็กไฟฟาสามารถเดินทางในสุญญากาศ และเดินทางผานตัวกลางที่เปนตัวนําไดหรือไม 6.2 ความเร็วของคลื่นแมเหล็กไฟฟาในน้ําบริสุทธิ์เปนเทาใดถาคาคงที่ไดอิเลกตริกของน้ําเทากับ 81 6.3 คลื่นโทรทัศนชองหนึ่งมีความถี่ 200 เมกะเฮิรทซ จงคํานวณหาความยาวของคลื่นโทรทัศนที่เดิน ทางผานน้ําบริสุทธิ์ 6.4 สนามไฟฟาของคลื่นแมเหล็กไฟฟาระนาบในสุญญากาศมี ( ){ }8 0.5 cos 2 10y x E x t c π= − และ 0z x E E= = 0z x E E= = จงหา ก) ความยาวของคลื่น ชนิดของโพลาไรเซซัน และแนวของการเคลื่อนที ข) สนามแมเหล็กของคลื่น ค) ความเขมเฉลี่ยของสนามแมเหล็กไฟฟา 6.5 สนามไฟฟาของคลื่นแมเหล็กไฟฟาระนาบในสุญญากาศขณะหนึ่งคือ )] c x t(102sin[5.0E 8 −×= v จงหา ก) ความยาวคลื่น (3 เมตร) ข) สนามแมเหล็กขณะหนึ่ง ( ⎥ ⎦ ⎤ ⎢ ⎣ ⎡ ⎟ ⎠ ⎞ ⎜ ⎝ ⎛ −×π − c x t(102sin 6 10 8 6 ) ค) ความหนแนนพลังงานเฉลี่ย (3.3 x 10-4 W/m2 ) 6.6 สารโปรงแสงชนิดหนึ่งเมื่อใหคลื่นแมเหล็กไฟฟายานความถี่แสงผานพบวามีคาสภาพซาบซึมไดทาง แมเหล็กสัมพัทธ (relative magnetic permeability) เทากับ 1 มีคาคงที่ไดอิเล็กตริกเทากับ 2.25 ก. จงหาความเร็วของแสงในตัวกลางนี้ (2 × 108 เมตร/วินาที) ข. ดัชนีหักเหของสารนี้ (1.5) 6.7 คลื่นแมเหล็กไฟฟาในอวกาศพบวามีคาสนามไฟฟาคาสูงสุดเทากับ 500 โวลต/เมตร จงหาคา สนามแมเหล็กสูงสุดของคลื่นแมเหล็กไฟฟาชุดนี้ (1.667 × 10-6 เทสลา) ---------------------------