More Related Content
Similar to เวสสันดรวิเคราะห์
Similar to เวสสันดรวิเคราะห์ (20)
More from Tongsamut vorasan
More from Tongsamut vorasan (20)
เวสสันดรวิเคราะห์
- 1. ๑.๑ ประเด็นปญหาเรื่องการใหทานของพระเวสสันดร
พระเวสสันดรบําเพ็ญทานบารมีโดยบริจาคพระโอรสพระธิดา และพระชายา ใหแก
พราหมณชูชกเพือนําไปเปนทาสรับใช ในทางพระพุทธศาสนาถือวาเปนการใหทานระดับกลางคือ
่
ขั้นอุปทานบารมี ซึ่งพระโพธิสัตวทงหลายนิยมกระทําและบัณฑิตก็สรรเสริญการกระทําเชนนี้
ั้
เพราะผลของการกระทําอยางนีจะเปนปจจัยใหไดสมโพธิญาณซึ่งจะเปนประโยชนตอชาวโลก
้ ั
อยางมหาศาล แตในทางสังคมของฆราวาสถือวาเปนสิ่งที่กระทําไดยากอยางยิง และถูกมองวา
่
เปนเรื่องที่ไมถูกตอง เพราะนําความทุกขมาใหบุตรธิดาและพระชายาของตน และขัดกับจริยธรรม
ในฐานะของบิดาที่ตองดูแลบุตรธิดาและภรรยาใหมความสุข
ี
ประเด็นดังกลาวนี้พระยามิลินทกษัตริยแหงโยนกไดตั้งขอสงสัยและถามพระนาคเสนเมือประมาณ
่
๒,๐๔๖ ปมาแลว ขอสงสัย ประเด็นคําถามและคําตอบของนักปราชญทั้งสองไดดําเนินไปอยาง
ดุเดือดชนิดที่ฝายหนึ่งเอาเกียรติยศและศักดิ์ศรีของความเปนพระราชามาเปนเดิมพัน และอีกฝาย
หนึ่งก็เอาความมั่นคงของพระพุทธศาสนาเปนประกัน แมวาเรื่องนี้จะผานมาแลวสองพันกวาปก็
ตาม แตยังดูเหมือนวาคุกรุนอยูตลอดเวลา ทั้งนี้เนื่องจากวาเปนประเด็นเกี่ยวกับจริยธรรมซึ่ง
เกี่ยวของโดยตรงกับวิถชีวิตมนุษยในสังคม โดยเฉพาะการทําหนาที่ของบิดามารดาตอบุตรธิดา
ี
สามีตอภรรยาเพือแลกกับอุดมการณสูงสุดคือสัมโพธิญาณ โดยพระยามิลินทสวมบทบาทของ
่
สังคมผูครองเรือน สวนพระนาคเสนสวมบทบาทตัวแทนทางศาสนาที่จะตองตอบปญหาใหกระจาง
ไมทิ้งหลักพุทธธรรม และไมสรางปญหาสังคมภายหลัง เพราะถาพระนาคเสนตอบปญหานี้ผิด
จากแนวพุทธศาสนา นั่นก็แสดงวาปริยัติธรรมถูกทาทายตอการพิสจนจากกระแสสังคม จะสงผล
ู
ตอการปฏิบัติศาสนา ปฏิเวธธรรมก็จะเปลาประโยชน แตเหตุการณนี้ไดผานบทพิสูจนไปไดดวยดี
วีรธรรมของนักปราชญทั้งสองที่ไดทําไวยังอยูในความทรงจําของชาวพุทธตลอดมา
- 2. อยางไรก็ตาม แมวาเรื่องนี้จะผานมานานแลว แตก็ยังมีชาวพุทธจํานวนมากที่ยังกังขาและตั้ง
คําถามอยูตลอดเวลาวาเปนการกระทําไมถูกตอง และเมื่อผนวกกับเรื่องสิทธิมนุษยชนแลวยิ่งมี
ประเด็นใหถกเถียงอีกมากมาย ผูเขียนคิดวาถาไดนําเรื่องนีมาอภิปรายกันอีกครังหนึ่งในแงวชาการ
้ ้ ิ
นาจะเปนประโยชนตอสังคมและเปนการปกปองพระพุทธศาสนา ชวยใหชาวพุทธทั้งหลายได
มองเห็นคุณคาของการใหทานของพระเวสสันดร ตลอดจนวีรธรรมที่พระนาคเสนและพระยามิลินท
ไดกระทําไวซงเปนความพยายามอยางยิงที่จะปกปองพระพุทธศาสนาใหคงอยูคูโลกตอไป
ึ่ ่
การใหทานถือวาเปนการบําเพ็ญบารมีอยางหนึ่งในบรรดาบารมี ๑๐ อยางใน
พระพุทธศาสนา พระโพธิสัตวทั้งหลายลวนบําเพ็ญทานบารมีเปนอันดับแรก กอนที่จะบําเพ็ญ
บารมีอยางอื่น เพราะทานบารมีเริ่มจากการสละสิงของภายนอกจนกระทั่งสละสิงของภายใน จาก
่ ่
สิ่งของที่หยาบจนถึงขั้นละเอียดถึงขนาดสละไดแมกระทั่งชีวิตของตน ทั้งนี้เพื่อใหบารมีสมบูรณ
และที่สําคัญเพื่อใหไดมาซึ่งสัพพัญุตญาณ อันเปนเปาหมายหลักของพระโพธิสัตวนั่นเอง[๑]
การใหทานของคนทั่วไปนั้นถือเปนเรืองปกติของมนุษยผูดํารงชีวิตอยูในสังคม เปนการให
่
ทานที่สละไดไมยากนักเพราะสิงของที่ใหทานนั้นไมใหญโตและมีคานอย แตการใหทานของพระ
่
โพธิสัตวทั้งหลายโดยเฉพาะพระเวสสันดรที่ยอมสละพระชายา พระโอรสและพระธิดาเพื่อใหเปน
ทาสแกพราหมณชูชกนั้นเปนสิ่งที่กระทําไดยากยิ่ง เพราะนอกจากจะสูญเสียสิงอันเปนที่รักแลว
่
พราหมณเฒายังแสดงอํานาจบาทใหญเฆี่ยนตีพระโอรสและพระธิดาตอหนาตอตาอยางไรความ
ปราณี ซึ่งสถานการณอยางนี้ยอมสรางความเจ็บปวดรวดราวทางจิตใจของผูเปนบิดาอยางมาก
ถาเปนสามัญชนคงกระทําไดยากหรืออาจทําไมไดเลย แตพระเวสสันดรไดผานการทดสอบและ
พิสูจนถงความมีพระทัยแนวแนมั่นคงในการใหทานอยางดีเยี่ยมจนประสบความสําเร็จมาแลว
ึ
แมวาการกระทําของพระเวสสันดรจะไดรับการยอมรับวาเปนการกระทําทีบัณฑิต
่
สรรเสริญ เปนแบบอยางที่ดในแงของศาสนาก็ตาม แตในทางสังคมของฆราวาสและสามัญสํานึก
ี
- 3. ของบิดามารดาโดยทั่วไปแลวกลับมองวาเปนการกระทําที่ไมถูกตองเพราะนําความทุกขมาใหบุตร
ธิดาซึ่งไมรูเห็นและไมเขาใจอุดมการณของบิดา ยิ่งไปกวานั้น บทบาทของพระเวสสันดรในฐานะ
บิดาที่ตองดูแลบุตรธิดาใหมีความสุขและหนาที่ในความเปนสามีที่พึงปฏิบัติตอภรรยาก็ถูกละเลย
ไป สายใยแหงความสัมพันธทางครอบครัวถูกตัดขาด ภาพลักษณของสถาบันครอบครัวไมมั่นคง
ขาดความอุนเชนนี้แลว นักการศาสนาจะกลาวไดอยางไรวาเปนสิงที่ถูกตองเหมาะสม เปน
่
แบบอยางที่ดีแกสังคมควรกระทําตาม
เวสสันดรชาดกเปนชาดกหนึ่งในทศชาติวาดวยการบําเพ็ญทานบารมีของพระเวสสันดร
ซึ่งเปนชาติสุดทายกอนจะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ เนื้อความของเวสสันดรชาดก กลาวถึงการ
บริจาคทานของพระเวสสันดร จนในที่สุดตองถูกไลออกจากพระราชวังไปอยูปาและในที่นั้น
พระองคก็ไดพระโอรสและพระชายแกพราหมณและพระอินทรทมาขอ อันเปนการบําเพ็ญทานที่ทํา
ี่
ไดยากยิ่ง และเปนที่มาของคติโพธิสัตวที่วา ถาหากจะบําเพ็ญเพียรเพือความเปนพระโพธิสัตวตอง
่
สามารถสละไดทุกสิ่งโดยไมเวนแมกระทั้งชีวิตของตนเองก็ใหได
เวสสันดรชาดก มีอิทธิพลตอสังคมไทยแทบทุกภาคของเมืองไทย จะเห็นไดจากการนิยม
นําเอาเรื่องพระเวสสันดรมาเทศนและเรียกชือวา เทศนมหาชาติบาง เทศนผเวสบาง ตามแตละ
่
ทองถิ่น มีคตินิยมอยางหนึ่งวา ถาหากใครไดฟงการเทศนเรื่องพระเวสสันดรชาดกจบไดภายในวัน
เดียวจะมีผลานิสงสมากมาย
พระมหาสงา ไชยวงศ กลาวถึงอิทธิพลของพระเวสสันดรชาดกตอสังคมไทยและการใหทานตาม
คติแหงพระเวสสันดร วา
ในชวงกรุงรัตนโกสินทรตอนตน มีการสอนเรืองการสรางบุญกุศลในทางศาสนาที่ไดบุญมาก
่
คือการบริจาคทาน… การทําทานในสังคมไทย สวนหนึ่งมาจากการสอนเรื่องชาดกใน
พระพุทธศาสนา ซึ่งเปนเรื่องการบําเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว ชาดกไดเขามามีอิทธิพลตอวิถีชีวิต
- 4. ของคนไทยมาหลายยุค หลายสมัย นับแตผูนําประเทศจนถึงชาวบานธรรมดา เพราะเปนเรื่องที่
สามารถนําไปประยุกตใชในชีวิตประจําวันได และมีตัวอยางใหเปนเปนรูปธรรมอยางชัดเจน เชน
ภาพสลักตางๆ หรือภาพปนโบราณที่เลาเรืองราว ซึงนักโบราณคดีไดสันนิษฐานจากลักษณะทาง
่ ่
ประติมาณวิทยาวา เปนชาดกในพระพุทธศาสนา
จริยธรรมที่เปนเอกลักษณของเรือง (เวสสันดรชาดก) อยูที่เนนใหเห็นอานุภาพของความเสียสละ
่
ไมเห็นแกตัว ปลูกฝงนิสัยเรืองความเมตตากรุณาตอกัน เห็นใจกัน ผูรับฟงก็จะมีนสัยโนมเอียงไป
่ ิ
ทางพระเวสสันดร เพราะตองการเอาอยาง เมื่อเปนเชนนี้ ความโลภ ความเห็นแกตัวก็จะนอยลง รัก
ที่จะเสียสละเอือเฟอกัน มีการปลูกฝงใหเห็นภาพ และปรารถนาสังคมในอุดมคติอยางในสมัยพระ
้
อริยเมตไตรย โดยใชการสรางแรงจูงใจวา แมไมไดทําทาน แตใครก็ตามที่ตังใจฟงธรรมเวสสันดร
ตั้งแตตนจนจบ ๑๓ กัณฑก็สามารถปรารถนาพระนิพพาน หรือไปเกิดในสมัยพระศรีอริยเมตไตรย
ไดเชนกัน[๒]
นอกจากจริยธรรมที่ปรากฏในพระเวสสันดรชาดก ซึ่งเนนที่ความเสียสละเพือ
่
ประโยชนแกสวนรวม คนไทยยังไดนําหลักจริยธรรมเหลานี้มาปฏิบัติและจากลักษณะของความ
เปนคนใจบุญสุนทานนี่เอง เชื่อวา พระเวสสันดรชาดกนาจะมีอิทธิพลตอลักษณะนิสัยในความเปน
ผูมักใหทานและความเปนผูมีใจโอบออมอารี เอื้อเฟอเผื่อแผ ซึ่งในเรืองนี้ พระมหาบุญทัน อานนฺโท
่
กลาววา
๑. เวสสันดรชาดกเปนพระพุทธวจนะทีพระพุทธเจาทรงแสดงแกพระภิกษุสงฆพุทธ
่
บริษัท ณ นิโครธาราม ในกรุงกบิลพัสดุ และเมือผูใดไดสดับก็ยอมเกิดสิรสวัสดิมงคล เปนกุศลบุญ
่ ิ
ราศี
๒. บุคคลสดับเวสสันดรชาดกอันประดับดวยพระคาถาหนึ่งพัน ในวันและราตรีเดียวให
จบและใหบูชาดวยประทีป ธูป เทียน ธงฉัตร สารพัดดอกไม ดอกบัว ดอกผักตบ เปนตน ใหครบ
- 5. จํานวนถวนสิ่งละพัน ดวยอานิสงสนั้นจะชักนําใหสมมโนรถตามปรารถนา ผูมั่งมุงหมายใครจะพบ
ศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย[๓]
อิทธิพลของความเชื่อเกี่ยวกับการบําเพ็ญทานบารมี สืบเนื่องจากสุโขทัยจนถึงอยุธยาและ
รัตนโกสินทร คตินิยมการทําบุญตามพระเวสสันดรโพธิสัตวก็ยังคงอยูเสมอ และการฟงเทศน
มหาชาติไมไดจํากัดอยูแคประชาชนเทานั้น แมองคพระมหากษัตริยก็มีพิธีเทศนตามพิธีหลวง และ
นอกจากนั้น ยังมีพระมหากษัตริยบางพระองคถือคติตามพระเวสสันดรโพธิสัตวและไดถวายทาน
ดุจวาบําเพ็ญบารมีเพื่อโพธิญาณ
เพื่อความเขาใจถูกตองรวมกันและเปนประโยชนทางดานการศึกษาของชาวพุทธ ผูเขียน
จึงไดศึกษาวิเคราะหเรืองนี้โดยไดตั้งวัตถุประสงคในการศึกษา ดังนี้
่
๑.๒ วัตถุประสงคในการศึกษา การวิเคราะหประเด็นเรื่องการใหทานของพระเวสสันดรครังนี้
้
เพื่อศึกษาเกณฑตัดสินดานพุทธจริยศาสตรเกี่ยวกับการใหทานของพระเวสสันดรวาถูกตอง
เหมาะสมหรือไม
๑.๓ ประโยชนที่คาดวาจะไดรับ ผูเขียนไดตั้งความคาดหวังจากงานวิเคราะหครั้งนี้ โดยหวังวาจะ
เกิดประโยชน คือ ทําใหทราบเกณฑตัดสินดานพุทธจริยศาสตรเกี่ยวกับการใหทานของพระ
เวสสันดรวาถูกตองเหมาะสมหรือไม อันจะนําไปสูการประยุกตใชในสังคมตอไป
๑.๔ วิธีการดําเนินการวิจัย งานวิจัยนี้มีกรอบการศึกษาวิจัยเฉพาะเชิงเอกสาร
(Documentary Research) โดยศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับการใหทานจากเอกสาร
ขอมูลขั้นปฐมภูมิ(Primary Sources)ไดแกคัมภีรสําคัญของพระพุทธศาสนาคือพระวินัย
ปฎก(Vinaya Pitaka) พระสุตตันตปฎก(Suttanta Pitaka) และพระอภิธรรมปฎก
และศึกษาคนควาขอมูล แนวการอธิบายพุทธจริยศาสตรเกี่ยวกับการใหทาน และประเด็นที่
- 6. เกี่ยวของอื่นๆ จากเอกสารขั้นทุติยภูมิ(Secondary Sources) ไดแก คัมภีรอรรถกถา
เอกสารงานวิจัย วิทยานิพนธ หนังสือ ตําราและผลงานทางวิชาการของนักการศาสนาและ
นักวิชาการทั่วไปทังชาวไทยและชาวตางประเทศ อันเปนวรรณกรรมที่มีเนื้อหาเกี่ยวของกับ
้
งานวิจัยฉบับนี้
หลังจากคนควาขอมูลไดแลวก็จะเก็บรวบรวมและจัดลําดับขอมูลจากทีไดศึกษาคนควา นําขอมูล
่
ที่ไดมาศึกษาวิเคราะหในเชิงสังคมศาสตร พิสจนทดสอบตามที่ไดตั้งสมมติฐานเอาไว สุดทายก็จะ
ู
ไดสรุปผลการวิเคราะหวิจัยและนําเสนอขอมูลจากเอกสารที่ไดศึกษาคนควาตอไป
อนึ่ง งานวิจัยนี้เนื่องจากจํากัดดวยเรื่องเวลาจึงอาจมีขอบกพรองอยูมาก ผูวิจัยจึงขอนอมรับคําติ
ชมจากครูอาจารยผูเปนปราชญทั้งหลายไดกรุณาชี้แนะในสวนที่บกพรอง เพื่อจะไดนําไปปรับปรุง
แกไขใหสมบูรณตอไป
สวนที่ ๒. หลักคําสอนเรื่องทานในพระพุทธศาสนา
- 7. ๒.๑ หลักคําสอน ๒ ระดับ
พระพุทธศาสนามีหลักคําสอนที่มงใหมนุษยพงปฏิบัติเพื่อความสุขแกตนเองและผูอื่น ตาม
ุ ึ
แนวทางแหงอริยมรรคซึงเปนหนทางสายเดียวเพื่อการเขาถึงเปาหมายสูงสุดคือพระนิพพานอันเปน
่
บรมสุข และเปนอุดมคติของชีวิตตามหลักพุทธธรรม โดยแบงคําสอนออกเปน ๒ ประเภท คือ
๑) คําสอนแนวสัจธรรมสําหรับสอนกลุมอนาคาริก
๒) คําสอนแนวศีลธรรมสําหรับสอนกลุมอาคาริก
๑. คําสอนแนวสัจธรรม พระพุทธองคทรงสอนกลุมที่เปนอนาคาริก เชนพระปญจวัคคียดวยการให
หลีกจากการทรมานตน และการเติมกามสุขใหแกชวิตจนเกิดความมัวเมา แลวสอนใหปฏิบัติตาม
ี
มัชฌิมาปฏิปทาคือทางเดินชีวิตอันประเสริฐเพือความพนทุกขอันประกอบดวยสัมมาทิฏฐิเปนตน
่
[๔]
๒. คําสอนแนวศีลธรรม พระองคทรงสอนกลุมอาคาริกคือชนผูครองเรือน โดยปรับระดับคําสอน
จากแนวสัจจธรรมซึงเปนนามธรรมมาเปนรูปธรรม โดยทรงสอนอนุปพพิกถาแกยสกุลบุตร บิดา
่ ุ
มารดาและภรรยาของเขา ตลอดทั้งเพื่อน ๕๔ คน จนกระทั่งทานเหลานั้นไดบรรลุธรรมเปนพระ
อรหันต เนื้อหาในอนุปุพพีกถาไดกลาวถึงทาน ศีล สวรรค โทษของกาม และอานิสงสของการออก
บวช ทั้งนี้เพื่อเปนการฟอกจิตของผูที่เคยครองเรือนใหสามารถขจัดความหวงใยเรืองทรัพยสินกอน
่
จากนั้นจึงสอนเรืองศีล สวรรค โทษของกามและการออกกจากกามเปนลําดับไป แมในที่แหงอื่น
่
- 8. พระองคก็ทรงสอนในลักษณะเดียวกัน[๕] ดังเชนในบุญกิริยาวัตถุสูตร พระพุทธองคก็ไดตรัสสอน
เรื่องทานมัย ศีลมัย และภาวนามัย[๖]
คําสอนทั้งสองแนวดังกลาวนี้พระพุทธองคทรงปรับประยุกตใหเขากับจริตของบุคคล เขากับปญหา
ชีวิตของเขาจึงจะแกปญหาชีวิตของเขาได เปรียบเหมือนนายแพทยผรักษาคนไขรจักโรคของคนไข
ู ู
แลวเยียวยา อาการปวยจึงจะหาย
๒.๒ ความหมายและคําสอนเรื่องทาน ที่ปรากฏในพระไตรปฎก อรรถกถา
คําวา ทาน หมายถึงการให การเสียสละวัตถุสิ่งของ ๆ ตนเพื่อประโยชนแกคนอื่น เปนการ
ใหที่ประกอบดวยเจตนาดี การใหปจจัย ๔ เพื่อประโยชนแกการดําเนินชีวิต การใหพระสงฆเพือ
่
ตองการบุญและบํารุงศาสนา ความหมายของทานครอบคลุมทั้งผูให ผูรบ และสิงของที่ใหทุกอยาง
ั ่
และทานก็รวมอยูในคําสอนแนวศีลธรรม
คําสอนแนวศีลธรรมซึงมีความสําคัญตอบุคคลทั้งในระดับปจเจกและสังคม โดยพระองคตรัสวา
่
“คนผูหวังประโยชนควรศึกษาบุญนี้ที่ใหผลอันเลิศ อํานวยความสุขให คือ ควรบําเพ็ญทาน ควร
ประพฤติธรรมเสมอตนเสมอปลาย (ธรรมจริยสมจริยา) ควรเจริญเมตตาภาวนา บัณฑิตครั้นเจริญ
ธรรม ๓ ประการนี้ที่เปนเหตุใหเกิดความสุขแลว ยอมเขาถึงโลกที่เปนสุข ที่ไมมีการเบียดเบียน[๗]
ทานมีความสัมพันธโดยความเปนธรรมที่มอุปการะแกกันระหวางศีลและภาวนา มีคําแสดงลําดับ
ี
ความสัมพันธของทาน ศีล และภาวนาไววา ทานมีอุปการะมากแกศีลและทําไดงาย เพราะฉะนั้น
ทานจึงเปนเบืองตนแหงศีล ทานอันศีลกําหนด จึงมีผลมาก มีอานิสงสมาก ดังนั้น ศีลจึงอยูใน
้
ลําดับตอจากทาน
นี้แสดงใหเห็นวาทานเปนการทําบุญที่สําคัญประการแรกสําหรับคฤหัสถ ทั้งนี้เนื่องจากคฤหัสถยัง
ตองดํารงชีวิตอยูในสังคมและอาศัยปจจัย ๔ เปนเครื่องเลี้ยงชีวิต ปจจัยเหลานี้เปนสิงจําเปน
่
- 9. สําหรับการมีชีวิต เมื่อทุกคนตองการปจจัย ๔ เพื่อการดํารงชีวิตเชนเดียวกัน การขวนขวายเพื่อการ
ไดมาซึงสิงเหลานี้จงเปนสิ่งที่จําเปนตองกระทําอยูเสมอ เพราะเมื่อชีวิตยังดําเนินไปตราบใด ความ
่ ่ ึ
จําเปนที่จะใชปจจัยเหลานี้ก็ยังมีอยูตราบนั้น เมื่อเงือนไขของการมีชีวิตขึ้นอยูกับความตองการทาง
่
วัตถุ การแสวงหาความมั่นคงแกชีวิตเพื่อชีวิตที่ดี มีความสุขสบายตลอดไปจึงเปนอุดมคติของการ
มีชีวิตในปจจุบันชาติ ซึ่งกรณีนี้เห็นไดชัดเจนในสังคมที่ตกอยูภายใตอิทธิพลกระแสวัตถุนิยมดังเชน
ในปจจุบัน
มองในระดับสังคม ทานเปนกลไกลควบคุมสังคมใหดําเนินไปดวยความสงบเรียบรอย สวนใน
ระดับปจเจกบุคคล ทานนอกจากจะเปนขอปฏิบัติทางกาย วาจาแลว ยังสงผลถึงสภาวะแหงจิตใจ
ของผูใหทาน กลาวคือผูใหยอมไดรบความสุข ความอิมเอิบ ความสบายใจ ขจัดความตระหนี่
ั ่
ความเห็นแกตัว ความอิจฉาริษยา และความโลภในทรัพยสินของผูอื่น เมื่อหมั่นใหทานเปนนิตย สิ่ง
เหลานี้จะถูกขจัดออกไปและในที่สุดก็จะเปนผูยินดีในการให มีสีหนาและผิวพรรณผองใสดังที่
เรียกวาอิ่มบุญ การใหทานจึงเปนการพัฒนาจิตใจสวนปจเจกบุคคลใหเบาบางจากอกุศลธรรม
ทั้งหลาย และเปนทางเพือการปฏิบัตบุญกิริยาขั้นอืน ๆ ตอไป
่ ิ ่
นอกจากนี้ ทานยังมีความสําคัญและเปนหลักธรรมประการแรกในหลักคําสอนอื่นๆ ทั้งนี้ เพื่อการ
ขัดเกลาและบรรเทาความตระหนี่ ความยึดติดในวัตถุ ความโลภ ความโกรธ และความหลงอันเปน
กิเลสอยางหยาบใหเบาบางกอนจะปฏิบัติธรรมในระดับอื่น ๆ เชน บุญกิริยาวัตถุ ๓[๘] ซึ่ง
ประกอบดวยทานมัยเปนอันดับแรก จากนั้นจึงเปนเรื่องของศีลและภาวนาตอไปจนถึงทิฏุชุกรรม
สังคหวัตถุ ๔ ก็เริ่มจากทาน จากนั้นจึงเปนความเปนผูมีวาจานารัก การประพฤติสิ่งที่เปน
ประโยชนและความเปนผูมีตนสม่ําเสมอ[๙] อนุปุพพีกถา ก็ประกอบดวย ทานกถา สีลกถา สัคค
กถา กามาทีนวกถา เนกขัมมานิสังสกถา ธรรมหมวดนี้ พระพุทธองคทรงแสดงแกคฤหัสถเปน
ประการแรก กอนจะแสดงหลักธรรมประการอื่น ๆ เหตุผลก็คือเพือเปนการปูพื้นฐานจากสิงที่เปน
่ ่
รูปธรรมทีงายที่สุดไปสูสงที่เปนนามธรรมยากขึ้นไปตามลําดับ มีขอความกลาวไวในอัมพัฏฐสูตร
่ ิ่
- 10. ดังนี้วาพระผูมีพระภาคเจาไดตรัสแสดงอนุปุพพิกถาแกพราหมณโปกขรสาติ ครั้นแสดงจบแลวทรง
ทราบวามีจิตคลอง มีจิตออน มีจิตปราศจากนิวรณ มีจิตสูง มีจิตผองใสแลว จึงทรงประกาศอริยสัจ
๔ คือ ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค จนกระทั่งพราหมณไดดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลี ปราศจาก
มลทินไดเกิดขึ้นแลวแกพราหมณโปกขรสาติวา สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเปนธรรมดา สิ่งนั้นทั้ง
มวลลวนมีความดับไปเปนธรรมดา ณ ที่นั่งนั้นแล เหมือนผาทีสะอาดปราศจากมลทิน ควรที่จะรับ
่
น้ํายอมเปนอยางดี ฉะนั้น[๑๐] แมในบารมี ๑๐ ก็ประกอบดวยทานบารมีเปนขอแรก จากนั้นจึง
เปน ศีล เนกขัมมะ ปญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตาและ อุเบกขาบารมี
ในอรรถกถาแหงขุททกนิกาย จริยาปฎกกลาวถึงลักษณะของทานในประการอื่นๆ โดยลักษณะแหง
การบําเพ็ญบารมีไววา ทานจะชือวาบริสุทธิผองแผวเพราะปราศจากความกําหนดไทยธรรมและ
่ ์
ปฏิคาหกเปนตน อันกิเลสทั้งหลาย มีตัณหา มานะ ทิฏฐิ เปนตน ไมเขาไปกระทบ และกลาววาสิงที่
่
เปนปฏิปกขตอการใหทานคือความตระหนี่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เพราะทาน
ประกอบดวยคุณคืออโลภะ อโทสะ อโมหะ ในไทยธรรม ปฏิคาหกและผลของทาน สวนขอปฏิบัติ
ของการใหทาน คือการทําความอนุเคราะหสัตวทั้งหลายโดยสวนมาก ดวยการสละเครื่องอุปกรณ
ความสุข รางกายและชีวิต ดวยการกําจัดภัย และการชี้แจงธรรม[๑๑]
กลาวโดยสรุป การใหทานเปนการบําเพ็ญบุญหรือการทําความดีสําหรับคฤหัสถหรือผูครอง
เรือนประการหนึ่ง ตามหลักบุญกิริยาวัตถุ ทายกผูตองการบําเพ็ญบุญตองเริมจากการใหทาน เพื่อ
่
ดําเนินไปสูศีล และภาวนาในที่สุด การใหทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนาตามหลักบุญ
กิริยาวัตถุจึงเปนการพัฒนาจิตใจอยางเปนขันตอน มีความสัมพันธสืบเนื่องกันจากระดับที่บุคคล
้
สามารถทําไดโดยงาย ไปถึงระดับที่ตองอาศัยความเพียรอยางแรงกลา บุคคลผูสามารถเจริญ
สมาธิภาวนาจนใจสงบแนวแนควรแกการงานนั้น จิตใจของบุคคลนั้น ตองไดรบการฝกฝนในขั้น
ั
การใหทาน และการรักษาศีลเพื่อขจัดความโลภ ความโกรธ และความหลงอันเปนรากเหงาของ
- 11. อกุศลมาเปนอยางดี ซึ่งถาบุคคลไมสามารถชําระศีลอันเปนการบําเพ็ญเพียรทางกายใหบริสุทธิ์ ก็
ไมอาจจะยังสมาธิภาวนาใหเกิดและไมอาจจะบรรลุฌาน วิปสสนา (ญาณ) มรรคและผลใด ๆ ได
ทานในระดับปจเจกบุคคล จึงเปนไปเพื่อขจัดความโลภ ความโกรธ และความหลงอันเปนเหตุเกิด
แหงอกุศลมูล สวนทานในระดับสังคม เปนหลักปฏิบัติการฝกจิตใจใหมีความเอื้อเฟอเผือแผ รูจัก
่
การแบงปน ไมแกงแยง ชิงดีชงเดน ไมกอใหเกิดการทะเลาะวิวาท เปนเหตุสรางความบาดหมาง
ิ
ใหแกคนในสังคม เมื่อทุกคนรูจักการใหแกผูอื่น ผูใหยอมเปนที่รัก และทุกคนจะรูสึกถึงความ
ปลอดภัยในชีวิต การงาน และการใชชีวิตที่ไมตองหวาดระแวง ยอมนํามาซึงความสุขทั้งตอตนเอง
่
และสังคม นอกจากทานในระดับสังคมหรือประโยชนตอผูอื่นแลว ในระดับทีสูงขึ้นไป สําหรับผูที่มี
่
ความเสียสละเพือสังคมอยางยอดเยี่ยม ทานยังเปนคุณธรรมสําหรับการสรางบารมีเพื่อการบรรลุ
่
คุณธรรมในระดับทีสูงขึ้นไป ดังเชน ทานอุปบารมีทพระพุทธองคทรงบําเพ็ญมาเมือครั้ง
่ ี่ ่
เสวยพระชาติเปนพระเวสสันดร ไดทรงใหพระนางมัทรีผูเปนมเหสี กัณหา และชาลีบุตรธิดาเปน
ทานแกชูชก ซึ่งเปนทานที่กระทําไดยากยิ่ง ทานจึงมีความสําคัญทั้งในระดับปจเจกบุคคล และใน
ระดับสังคม
๒.๓ ประเภทของทาน
ประเภทของทานตามหลักพระพุทธศาสนาอาจแบงได ๔ ประเภท คือ
๒.๓.๑ ประเภทที่จัดตามปฏิคาหก มี ๒ ไดแก
๑) ปาฏิปุคคลิกทาน การใหทานเจาะจงผูรับ
๒) สังฆทาน การใหทานแกสงฆ มุงที่หมูคณะ
๒.๓.๒ ประเภทที่จัดตามสิ่งของที่ใหทาน มี ๓ ไดแก
- 12. ๑) อามิสทาน การใหทานดวยสิ่งของ
๒) ธรรมทาน การใหทานดวยการแนะนําศิลปวิทยา รวมถึงใหธรรมเปนทาน
๓) อภัยทาน การใหทานโดยการใหอภัย
๒.๓.๓ ประเภทที่จัดตามเปาหมายในการใหทาน มี ๒ ไดแก
๑) วัฏฏทาน หรือวัฏฏคามีทาน การใหทานที่ปรารถนามนุษยสมบัติและสวรรคสมบัติ
๒) วิวัฏฏทาน หรือวิวัฏฏคามีทาน การใหทานที่ปรารถนาออกจากทุกขในสังสารวัฏ
๒.๓.๔ ประเภทที่จัดตามลักษณะและวิธีการใหทาน มี ๓ ไดแก
๑) ทานทาส การใหทานโดยที่ผูใหยังเปนถูกกิเลสครอบงํา และใหในสิงที่เลวแกคนอื่น
่
๒) ทานสหาย การใหทานที่เสมอกับสิงที่ตนมี
่
๓) ทานบดี การใหทานที่ประณีตกวาสิ่งที่ตนมี
กลาวโดยสรุป ทานประเภทแรกมุงถึงบุคคลผูจะรับทานโดยมีขอบเขตกวางแคบตางกัน ประเภทที่
สองมุงกลาวถึงสิงของที่จะใหทานซึ่งมีทั้งใหวัตถุและใหธรรม ประเภทที่สามมุงถึงเปาหมายของ
่
การใหทาน สวนประเภทที่สมุงถึงบุคคลผูใหทานโดยจัดตามสภาพของจิตใจที่ยังมีกิเลสมากนอย
ี่
ตางกัน มองโดยสรุปก็มีเพียงสามประเภทเทานั้น คือผูใหทาน ผูรบทาน วัตถุทาน สวนเปาหมาย
ั
ทานนั้นขึ้นอยูกับผูใหทานเปนสําคัญ เพราะกระบวนการใหทานบุคคลผูใหยอมแสดงบทบาท
สําคัญกวาองคประกอบอยางอื่น ในที่นี้จะไมขอกลาวรายละเอียด เพราะจะทําใหประเด็นกวาง
เกินไป ผูเขียนจึงงดการอธิบายประเภทของทานไวเพียงเทานี้กอน ผูสนใจรายละเอียดเอียด
เกี่ยวกับประเภทของของทานโปรดศึกษาไดจากในทักขิณาวิภังคสูตร [๑๒] ศึกษาความหมายของ
ทานและประเภทของทานในคัมภีรมงคลัตถทีป[๑๓] ในทุติยทานสูตร[๑๔] ในทานสูตร[๑๕] คัมภีร
ั
- 13. ปรมัตถทีปนี อรรถกถาแหงขุททกนิกาย จริยาปฎก[๑๖] ขุททกนิกาย ธรรมบท[๑๗]ในทานวรรค
แหงอังคุตตรนิกาย”[๑๘] ศึกษาอภัยทานในอรรถกถาแหงขุททกนิกาย จริยาปฎก[๑๙]
๒.๔ องคประกอบของทาน
โดยทั่วไป องคประกอบของทาน มี ๓ สวนคือ ผูใหทาน ผูรับทาน และวัตถุทาน โดยเรียกตาม
ภาษาพระวา ทายก คือ ผูใหทาน ๒) ปฏิคาหก คือ ผูรับทาน ๓) ไทยธรรรม คือ วัตถุที่ให
ทาน[๒๐] หากขาดสวนใดสวนหนึ่งการใหทานยอมไมครบองคประกอบ และการวินิจฉัยคุณคา
ของทานยึดเอาองคประกอบหลักทั้ง ๓ เหลานี้เปนเกณฑ
๒.๔.๑ องคประกอบของทายก มี ๓ ประการคือ
๑. บุพพเจตนา หมายถึงทายกยอมเปนผูยินดี กอนที่จะใหทานลวงหนา ๑ เดือนหรือ ๑๕ วัน วา
เราจักใหทาน เจตนาในสวนนี้เกิดขึ้นตั้งแตเกิดความคิดเชนนี้ จนถึงขณะจัดแจงเครื่องอุปกรณ
สําหรับใหทานกอนมุญจนเจตนา ทายกยอมมีจิตยินดีในขณะนั้นวา เราจักฝงขุมทรัพยอันเปนเหตุ
แหงสมบัติที่สามารถจะติดตามเราไปได
๒. มุญจนเจตนา หมายถึง ขณะที่ใหทาน ยอมมีใจยินดีในทานที่ตนกําลังใหนั้น เจตนาในขณะ
กําลังใหนี้ เกิดขึ้นเมื่อทายกบรรจงวางไทยธรรมในมือของทักขิไณยบุคคล ทําจิตใหเลือมใสวา เรา
่
กําลังทําการถือเอาสิ่งที่เปนแกนสาร มีสาระจากทรัพยที่ไมมีสาระไมมีแกนสาร
๓. อปราปรเจตนา หมายถึงหลังจากใหทานแลว ทายกยอมยินดีเสมอ ๆ เมื่อระลึกถึงทานที่ตนได
ใหแลว เจตนาในสวนนี้ เกิดขึ้นหลังจากทายกบริจาคไทยธรรมแกทักขิไณยบุคคลแลว มีจิตใจชื่น
บาน เกิดปติโสมนัสวา ทานที่ชื่อวาบัณฑิตบัญญัติไว เราก็ไดปฏิบัติตามแลว ทานของเราสําเร็จ
ประโยชนดวยดีแลว
- 14. สิ่งสําคัญประการหนึ่งก็คือ เจตนาทั้ง ๓ ประการนี้ จะบริบูรณครบองคไดเมือทายกนั้น
่
ประกอบดวยสัมมาทิฏฐิ มีความเชื่อในกรรมและผลของกรรม คือเชื่อวาทานเปนความดี
พระพุทธเจาเปนตนทรงบัญญัติไว ทานที่ทําแลวมีผล บุญกรรมทีบุคคลบําเพ็ญแลวยอมมีผล
่
๒.๔.๒ องคประกอบของปฏิคาหก มี ๓ ประการคือ
๑. เปนผูปราศราคะหรือเปนผูปฏิบัติเพือกําจัดราคะ
่
๒. เปนผูปราศโทสะหรือเปนผูปฏิบัติเพื่อกําจัดโทสะ
๓. เปนผูปราศโมหะหรือเปนผูปฏิบัติเพื่อกําจัดโมหะ
องคของปฏิคาหกทั้ง ๓ ประการนี้ไมไดจํากัดอยูเฉพาะพระอรหันตเทานั้นวาเปนผูถึงพรอมดวย
องคของปฏิคาหก แมทานที่ถวายแกพระอนาคามี พระสกทาคามี พระโสดาบัน กระทั่งสามเณร
ผูรบใช ถึงบวชในวันนั้น ก็ชื่อวา บวชเพื่อโสดาปตติมรรค ฉะนั้น ทานที่ถวายแกสามเณรก็ถือไดวา
ั
ถวายแกทานผูปฏิบัติเพือกําจัดราคะ โทสะ โมหะเชนกัน ทานที่ประกอบดวยองค ๖ คือ องคของ
่
ทายก ๓ และปฏิคาหก ๓ เหลานี้นับวามีผลมาก มีอานิสงสมาก
๒.๔.๓ องคประกอบของวัตถุทาน มี ๓ คือ
๑) เปนของสะอาด ไดมาโดยบริสุทธิ์
๒) เปนของประณีต
๓) เปนของที่เหมาะสม สมควรแกผรับ
ู
สิ่งที่ควรเนนเปนพิเศษในที่นี้คือ จาคเจตนา คือเจตนาเปนเหตุใหบริจาคทาน บุคคลเมื่อจะใหทาน
ตองประกอบดวยเจตนาที่มีศรัทธา มีหิริจงใหทาน และทานที่ใหนั้นเปนทานที่ไมมีโทษ จาคเจตนา
ึ
เหลานี้จึงเรียกวาเปนทาน เจตนาเปนเหตุบริจาคทานแกผูอื่น ซึ่งมีปญญาเครื่องรูดีเปนเบืองหนา
้
- 15. ประกอบดวยวัตถุ ๑๐ มี ขาวเปนตนชื่อวาทาน หรือความไมโลภ ที่ประกอบดวยเจตนาเปนเหตุให
บริจาคทานนั้น ก็เรียกวา ทานเชนกัน [๒๑] ทานที่ทายกเปนผูมสัมมาทิฏฐิ คือเปนผูมีความเชือวา
ี ่
ทานที่ทายกใหแลวยอมมีผล ทานเปนความดี ทานผูรมีพระพุทธเจาเปนตน สรรเสริญไวและ
ู
บัญญัติไวแลว ทานในสวนนี้ จึงหมายเอาเจตนาเปนเหตุใหคนบริจาคทาน ซึ่งเปนไปทางใจ
(เจตสิกทาน) ลักษณะของทานที่มุงเจตนาเปนหลักนี้ เปนเกณฑหลักสําหรับตัดสินคาทางจริยะ
ของทานประการหนึ่ง ซึ่งจะกลาวโดยละเอียดอีกครังหนึ่งในเกณฑตัดสินเรื่องทาน
้
ประการตอมา คือ วิรัติ คือการงดเวน ไดชื่อวาทาน เพราะเมื่อบุคคลประกอบดวยวิรัติ ยอมจะงด
เวนจากเจตนาแหงบุคคลผูทุศีล ไดแก ความกลัว และความขลาดเปนตน ขอนี้ จะเห็นไดจากการ
ใหอภัยแกบุคคลอื่น เปนตน วิรัติมี ๓ อยางคือ ๑) สัมปตตวิรัติ งดเวนสิ่งที่มาถึงเขาโดยมิได
สมาทาน สมาทานวิรัติงดเวนเพราะการสมาทาน และสมุจเฉทวิรัติงดเวนโดยสิ้นเชิง[๒๒]วิรัติ
ประการสุดทายนี้เปนวิรัติของพระอริยสาวกผูไดสําเร็จอริยมรรคและอริยผลแลว เพราะภัยและเวร
ทั้ง ๕ ของพระอริยสาวกเปนอันสงบแลว ตั้งแตวิรัตนั้นประกอบพรอมดวยอริยมรรคกลาวคือการ
ิ
บรรลุมรรคผล
ประการสุดทายคือ ไทยธรรม ไดชื่อวาทาน เพราะบุคคลเมื่อจะใหก็ยอมใหขาวและน้ําเปนตนเปน
ทาน เมื่อหมายถึงวัตถุสําหรับใหทาน จึงเรียกวาวัตถุนั้นวา เปนไทยธรรม
ทานมี ๓ อยางดังที่กลาวมาแลว แตโดยเนื้อความมีเพียง ๒ อยางคือ ธรรมที่เกี่ยวเนื่องทางใจ
(เจตสิกธรรม) และไทยธรรม เมื่อกลาวโดยสรุปแลว ในมังคลัตถทีปนี หมายความเฉพาะจาค
เจตนาเทานั้นวาเปนทาน
๒.๕ เหตุเกิดแหงทาน ลักษณะเฉพาะและวิธีการใหทาน
- 16. การใหทานเปนพิธีกรรมที่ผนวกอยูกับประเพณีพิธีกรรมทางศาสนา และขนบธรรมเนียม จารีต
ประเพณีทางสังคมจากคติความเชื่ออื่น ๆ นอกเหนือจากศาสนา ซึ่งแตละทองถิ่นมีคติความเชื่อ
ตางกัน แตโดยเนื้อหาสาระแลว ทานยอมมีคุณคา และมีเปาหมายรวมกัน ตางกันแตเพียงเหตุ
ปจจัยทีมาเทานั้น
่
ในทานูปปปตติสูตร พระองคตรัสเหตุที่ทําใหคนใหทานเพราะเขาปรารถนามนุษยสมบัติ สวรรค
สมบัติ พรหมสมบัติ การที่เขาปรารถนาอยางนั้นเพราะเขาเห็นกษัตริย พราหมณ คหบดีผูพรัง
่
พรอมดวยกามคุณ ๕ ไดฟงเรื่องสวรรค ๖ ชั้นและพรหมชั้นสูง[๒๓] คนบางกลุมก็ใหทาน
เพราะความกลัว เพราะหวังผลตอบแทนทางดานโลกธรรม[๒๔] บางคนใหทานเพราะนึกวาเปน
บุพการีชนคือใหเพื่อรักษาวงศตระกูลดั้งเดิม บางคนใหทานเพราะตองการเขาถึงสุคติภพ บางคน
ใหทานเพราะตองการอบรมจิตใหเบิกบาน และบางคนใหทานเพื่อประดับปรุงแตงจิต [๒๕] แต
อยางไรก็ตาม ความปรารถนาเหลานี้ จะสําเร็จไดกดวยจิตที่บริสุทธิ์ แตจิตอธิษฐานภาวนาที่นอม
็
ไปเพือสิงเหลานี้ จัดวายังเปนไปเพือโลกียะสมบัติ
่ ่ ่
กลาวโดยสรุป เหตุแหงการใหทานมี ๕ ระดับ คือ
๑) การใหเพราะถึงแกอคติอยางใดอยางหนึงจัดอยูในระดับที่ไมดีนัก
่
๒) การใหตามประเพณีเปนธรรมเนียมปฏิบัติของวงศสกุล จัดอยูในระดับปานกลางแตโอกาสที่จะ
ผิดพลาดมีมากเนื่องจากเปนการยึดถือตามประเพณี
๓) เปนการใหเพราะหวังสภาวะที่ดีขึ้นหรืออุปธิอยูในระดับกลาง
๔) เปนการใหเพราะเห็นวาการใหนั้นเปนสิงที่ดี ขอนี้จัดอยูในเกณฑดี
่
๕) เปนการใหทานในฝายดีกวาทุกขอ เพราะเปนการใหทานเพื่อพัฒนาจิตใจ
- 17. สวนลักษณะของการใหหรือวิธีการใหทานนั้น พระพุทธองคตรัสไวทงในฝายดีและในฝายที่ไมดี
ั้
ลักษณะและวิธีการใหทานในฝายดี คือ ทายกยอมใหแกผูมาสูถิ่นของตน ผูเตรียมจะไป ใหทาน
สมัยขาวแพง ใหขาวใหมแกผมีศีล และใหผลไมใหมแกผูมีศล[๒๖] วิธีการการใหโดยเนนที่ทายก
ู ี
คือใหโดยเคารพออนนอม ใหดวยมือตนเอง ใหของไมเปนเดน เห็นผลที่จะมาถึงให [๒๗]
ในสัปปุรสทาน พระองคทรงแสดงลักษณะและวิธการใหทานโดยแยกเปนสิ่งที่ให ปฏิคาหกผูรบ
ิ ี ั
ทานและเจตนาของทายกผูใหทานรวมเปน ๘ ประการ ๑)ใหของที่สะอาด ๒)ใหของประณีต ๓) ให
เหมาะสมกับกาละ ๔) ใหของสมควร เปนประโยชน ๕) พิจารณากอนแลวจึงให เลือกให
ในบุญญเขตที่ดี ๖) ใหอยางสม่ําเสมอ เปนนิจทาน ๗) เมื่อให ทําจิตใหผองใส ๘) ครั้นให
แลว จิตใจเบิกบาน[๒๘]
ทรงสรุปผลของทานที่กระทําดีแลววาสัตบุรษครั้นใหทานดวยศรัทธาแลวยอมเปนผูมงคั่ง
ุ ั่
มีทรัพยมาก มีโภคะมากและเปนผูมรูปสวยงาม นาดู นาเลื่อมใส ประกอบดวยผิวพรรณงามยิงนัก
ี ่
ในที่ที่ทานนั้นเผล็ดผล (บังเกิดขึ้น) …เปนผูมีบุตรภรรยา ทาส คนใชหรือคนงาน เปนผูเชือฟง
่
เงี่ยโสตลงสดับคําสั่งตังใจใครรู ในที่ที่ทานนั้นเผล็ดผล …ยอมเปนผูมีความตองการที่เกิดขึ้นตาม
้
กาลบริบรณ ในที่ ที่ทานนั้นเผล็ดผล …เปนผูมีจิตนอมไปเพือบริโภคกามคุณ ๕ สูงยิ่งขึ้น ในที่ ที่
ู ่
ทานนั้นเผล็ดผล …เปนผูมีโภคทรัพยไมมีภยันตรายมาแตที่ไหนๆคือ จากไฟ จากน้ํา จากพระราชา
จากโจร จากคนไมเปนที่รัก หรือจากทายาทในที่ที่ทานนั้นเผล็ดผล[๒๙]
สวนลักษณะของการใหทานที่ไมดีโดยรูปแบบและวิธีการใหทานนั้น พึงศึกษาไดจาก
ลักษณะที่ตรงกันขามที่กลาวมาในฝายขางดี ในอสัปปุริสทานสูตร[๓๐]
- 18. ๒.๖ การบําเพ็ญทานบารมี
เพื่อใหประเด็นที่จะอภิปรายชัดเจนขึ้นในที่นี้จึงมาศึกษา บารมี ในพระไตรปฎก คัมภีร
ปกรณพิเศษ อรรถกถา และคัมภีรอื่น ๆ ทั้งความหมายในคัมภีรเหลานั้นก็ยอมจะแตกตางกันไป
ในที่นี้จะกลาวเฉพาะความหมายของคําวา บารมี ที่เกี่ยวของกับทานบารมีที่ตองการศึกษาใน
บทความนี้
บารมี คือคุณความดีที่ควรบําเพ็ญมี ๑๐ อยาง ไดแก ทานบารมี ศีล เนกขัมมะ ปญญา
วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฏฐาน เมตตา อุเบกขา คุณความดีที่ไดบําเพ็ญมา คุณสมบัติที่ทําใหยิ่งใหญ
[๓๑]
พระธรรมปาละใหความหมายวา บารมีคือคุณธรรมทั้งหลาย มีทานเปนตน กําหนดดวยความเปน
ผูฉลาดในอุบาย คือกรุณาอันตัณหา มานะ และทิฏฐิไมเขาไปกําจัด[๓๒]
พระธรรมปฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ใหความหมายไววา ปฏิปทาอันยวดยิ่ง, คุณธรรมที่ประพฤติ
ฏิบัติอยางยิงยวดคือความดีที่บําเพ็ญอยางพิเศษ เพื่อบรรลุซงจุดหมายอันสูง เชน ความเปน
่ ึ่
พระพุทธเจา และความเปนมหาสาวกเปนตน[๓๓]
และไดอธิบายโดยศัพทความวา คําวาบารมีนั้น โดยตัวศัพทแปลวา ความจบถวน ภาวะที่
ยอดยิ่ง สุดยอด เต็มเปยม หมายถึงคุณความดีที่บําเพ็ญอยางยอดยิ่งของพระโพธิสัตว ไมวาจะ
เปนมหาโพธิสัตว (ทานผูมุงตอการตรัสรูเปนพระสัมมาสัมพุทธเจา) ปจเจกพุทธเจา (ทานผูมงตอ
ุ
การตรัสรูเปนพระปจเจกพุทธเจา) หรือสาวกโพธิสัตว (ทานผูมุงตอการตรัสรูเปนพระอรหันตสาวก)
ก็ตาม แตโดยทั่วไป จะหมายถึงมหาโพธิสัตว คือทานผูมุงตอการตรัสรูเ ปนพระสัมมาสัมพุทธเจา
- 19. การใหทานที่เปนการบําเพ็ญทานบารมี จะตองเปนการใหทานที่ตองสังสมสืบเนื่องโดยตลอดโดย
่
ไมขาดสาย เปนการบําเพ็ญที่เกิดจากการอธิษฐานจิต มีการทําอภินิหาร เพื่อมุงหวังพระ
สัพพัญุตญาณในอนาคตกาล แลวปฏิบัติตามความตั้งใจจนกวาจะบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง
โดยสรุป ลักษณะของการบําเพ็ญทานบารมี มีดังนี้
๑. ใหแกคนหรือสัตว เพื่อประโยชนแกเขาในชีวิตที่เปนจริง
๒. ใหดวยจิตใจเสียสละแทจริง โดยไมหวังอะไรตอบแทน
๓. การใหนั้น เปนสวนหนึ่งของการกาวไปในกระบวนการฝกฝนพัฒนาตนใหปญญาเจริญ
สมบูรณ เพื่อจะไดบําเพ็ญประโยชนสุขแกสรรพสัตวไดบริบูรณ
๔. ผูใหจะเปนใครก็ได ไมวาจนมี ใหญโตหรือต่ําตอย ขอสําคัญอยูที่วา
ความเขมแข็งเด็ดเดี่ยวมุงแนวแนไปในกระบวนการศึกษาพัฒนาตน
ความหมายของทานบารมีมักจะพบในชาดกเรืองตาง ๆ โดยเฉพาะในอรรถกถาชาดก สุเมธดาบส
่
โพธิสัตว ไดเลือกทานบารมีเปนประการแรกกอนจะบําเพ็ญสีลบารมี และบารมีประการอื่น ๆ ตอไป
ดังปรากฏขอความวา
... พระโพธิสัตว ลุกขึ้นจากที่ประทับ ในเวลาที่เทวดาและมนุษยทั้งหลายหลีกไปแลว ประทับนังคู
่
บัลลังกบนกองดอกไมดวยความดําริวา เราจักพิจารณา (เลือกเฟน) บารมีทั้งหลาย
... พระโพธิสัตว ตกลงพระทัยดังนี้วา เราจะตองเปนพระพุทธเจาอยางแนนอน เพื่อจะไตรตรองถึง
ธรรมทังหลาย ที่เปนเครื่องกระทําความเปนพระพุทธเจา จึงพิจารณาธรรมธาตุทงสิ้นตามลําดับวา
้ ั้
ธรรมที่เปนเครื่องกระทําความเปนพระพุทธเจามีอยู ณ ที่ไหนหนอแล อยูเบื้องบนหรือเบืองลาง อยู
้
ในทิศ หรือทิศเฉียงทั้งหลาย ไดทอดพระเนตรเห็นทานบารมี อันเปนบารมีประการแรกที่พระ
- 20. โพธิสัตวองคกอน ๆ ไดประพฤติปฏิบัติกันมาแลว จึงแนะนําตนเองดังนี้วา ดูกอนสุเมธบัณฑิต ทาน
ควรบําเพ็ญทานบารมีเปนประการแรกใหบริบูรณนับตั้งแตบัดนี้เปนตนไป เปรียบเสมือนหมอน้ําที่
คว่ํา ยอมหลั่งน้ําออกจนหมดไมมีเหลือ ทานก็จักตองไมแลเหลียวถึงทรัพยสมบัติ
ยศฐาบรรดาศักดิ์ บุตร ภรรยา หรืออวัยวะนอยใหญ ใหทานแกผูขอทั้งหลายที่พบเขา ทําใหถึงที่สุด
ตามที่คนเหลานันตองการโดยไมใหเหลือ นั่งที่โคนตนโพธิแลวจะตองเปนพระพุทธเจา พระ
้
โพธิสัตวนั้นจึงอธิษฐานทานบารมีเปนประการแรกอยางหนักแนน
... พระโพธิสัตวพิจารณาเห็นบารมี ๑๐ อุปปารมี ๑๐ และปรมัตถปารมี ๑๐ อยางนี้วา การบริจาค
ขาวของเครื่องใชทั่วไป ชื่อ ทานปารมี การบริจาคอวัยวะ ชื่อวา ทานอุปปารมี การบริจาคชีวิต ชื่อ
วา ทานปรมัตถปารมี.[๓๔]
การที่พระโพธิสัตวเลือกทานบารมีเปนประการแรกนั้น ยอมแสดงใหเห็นถึงความสําคัญของการให
ทาน เนื่องจากการใหทานนี้เปนธรรมที่ตรงขามกับความโลภ และมัจฉริยะ (ความตระหนี่) เมื่อ
บุคคลใหทานยอมสามารถขจัดความโลภ ความตระหนี่ในใจตนเอง ไมยืดมั่นถือมั่น ไมยึดติดกับ
วัตถุ หรือแมกระทั้งบุตร ธิดา และภรรยา สามี ซึ่งเปนสิ่งที่จะตองละใหไดในระดับเริ่มตนกอนที่จะ
บําเพ็ญบารมีในขั้นอื่น ๆ ที่สูงขึ้นไป ทานบารมีนี้มี ๓ ระดับคือ ระดับบารมี ระดับอุปบารมี และ
ระดับ ปรมัตถบารมี
๑) ทานบารมี ไดแก ทานที่บําเพ็ญดวยการสละทรัพย ในขุททกนิกาย จริยาปฎก กลาวถึงการ
บําเพ็ญทานบารมีของมหาโควินทพราหมณโพธิสัตวที่ไดบริจาคมหาทานรอยลานแสนโกฏิ เพื่อ
พระสัพพัญุตญาณ[๓๕]
๒) ทานอุปบารมี ไดแก ทานที่บําเพ็ญดวยการสละอวัยวะ เชนดวงตา และโลหิต ในการ
บําเพ็ญทานอุปบารมีนี้ ในขุททกนิกาย จริยาปฎก กลาวถึงพระจริยาของพระเจาสีวราชโพธิสัตวที่
ี
ใหทานพระเนตรขางหนึ่งแกทาวสักกะ การใหทานครั้งนี้ก็เพื่อสัพพัญุตญาณ[๓๖]
- 21. ๓) ทานปรมัตถบารมี ไดแก ทานที่บําเพ็ญดวยการสละชีวิต ในสสปณฑิตจริยา กลาวถึง
การบําเพ็ญทานปรมัตถปารมีของสสบัณฑิตพระโพธิสัตวที่อุทิศรางกายใหเปนทานแกพราหมณ
[๓๗]
การใหทานของพระโพธิสัตวนี้ถือวาเปนการกระทําที่ทําไดยาก เพราะไมมีความเสียดายใน
สิ่งที่ตนให มีจิตยินดีและมองเห็นประโยชนตอสรรพสัตวจึงไดใหทาน โดยเฉพาะทานในระดับที่สอง
คือทานอุปบารมี และปรมัตถบารมียิ่งเปนทานที่ทําไดยาก เพราะมีการสละอวัยวะบางสวน เชน
ตา เปนตน หรือการบริจาคอวัยวะใหกับผูที่ตองการเปลี่ยนถายอวัยวะเพื่อใหใชงานไดตามปกติ
โดยความสมัครใจ มิใชการแลกเปลี่ยน เหลานี้จัดเปนทานอุปบารมี
สวนการบําเพ็ญปรมัตถบารมี เปนการบําเพ็ญทานขั้นสูงสุดในบรรดาการบําเพ็ญบารมีดวยการให
ทาน เนื่องจากการบําเพ็ญปรมัตถบารมีนี้ ตองสละชีวิตของตนเพื่อผูอื่น การยอมสละชีวิตของตน
เพื่อผูอื่นในสังคมปจจุบันนี้ อาจจะทําไดโดยการยอมตายเพื่อผูมีพระคุณ และผูที่เปนที่รักของตน
แตการบําเพ็ญปรมัตถบารมี จะตองเปนการสละชีวตที่ตนเองยินดี พรอมใจ ไมถูกบังคับ และสละ
ิ
ไดกับทุกคน ไมวาจะเปนมิตรหรือศัตรู และตองทําไปเพื่อมุงหวังพระสัพพัญุตญาณเพียงสิ่งเดียว
เทานั้น
๒.๗ เปาหมายของการใหทาน
เปาหมายของการใหทานในพระพุทธศาสนา แบงได ๓ ระดับคือ
๒.๗.๑ เปาหมายระดับตน คือสิ่งที่บุคคลพึงมี พึงไดในปจจุบัน กลาวคือประโยชนที่จะไดรับในชาติ
นี้ เชน ทรัพยสิน เงินทอง สุขภาพอนามัย ความมีศิลปวิทยา ยศฐาบรรดาศักดิ์ ญาติมิตรสหายและ
ความผาสุกอยางอื่นที่มนุษยพงมีพึงไดทั้งที่เปนรูปธรรมและนามธรรม
ึ
- 22. สิ่งเหลานีลวนเปนเรืองของโลกธรรมที่จําเปนสําหรับฆราวาสวิสัย แมจะเปนเรืองของวัตถุ แต
้ ่ ่
ความสุขที่เกิดจากวัตถุเหลานี้ก็เปนหนทางแหงการแสวงหาความสุขที่ดี ละเอียดและเปนบรมสุข
ในระดับตอไปได เพราะถาหากบุคคลไมไดรบความสุขหรืออานิสงสแหงการทําบุญใหทาน หรือ
ั
การกระทําของตน ความพยายามเพื่อไปสูสภาวะทีสูงกวาที่เปนอยูยอมไมอาจจะเกิดขึ้นได
่
๒.๗.๒ เปาหมายระดับกลาง เปนจุดหมายที่สูงขึ้นมาอีกระดับหนึง เปนประโยชนใน
่
ดานในหรือประโยชนดานคุณคาของชีวิต เปนหลักประกันชีวิตเมือละโลกนี้ไปแลว ไดแก ความ
่
เจริญงอกงามแหงชีวิตจิตใจ สัมปรายิกัตถะประโยชน ๔ ประการ ประกอบดวยศรัทธา เชื่อในสิ่งที่
ควรเชื่อตามหลักพระพุทธศาสนา ถึงพรอมดวยศีล คือรักษากายวาจาเรียบรอย ถึงพรอมดวยการ
บริจาค คือสละแบงปน และถึงพรอมดวยปญญา รูจักบาปบุญคุณโทษ
ทานในระดับนี้ อยูในระดับที่สูงกวาระดับวัตถุหรือความสุขทางรางกาย กลาวคือเปน
จุดหมายที่เนนเรื่องของจิตใจ เปนการพัฒนาจิตใจเพื่อไปสูระดับทีสูงขึ้น เพราะนอกจากทรัพย
่
สมบัติ ชื่อเสียงเกียรติยศในโลกปจจุบันนีแลว ทานในระดับนี้ จะเปนการเตรียมความพรอมเพือ
้ ่
การเขาถึงสุคติโลกสวรรคอันเปนสัมปรายภพ
๒.๗.๓ เปาหมายขั้นสูงสุด คือประโยชนสงสุดในทางพระพุทธศาสนา กลาวคือความเปนผูรูแจง
ู
สภาวะของสิงทั้งหลายตามความเปนจริง อยูจบพรหมจรรย ไมมีกจที่จะตองทําอีกตอไปแลว การ
่ ิ
ดําเนินชีวิตเพื่อเขาถึงจุดหมายขั้นนี้ ก็คือการดําเนินตามทางสายกลางที่เรียกวา มัชฌิมาปฏิปทา
อันเปนทางสายกลางระหวางความหลงมัวเมาในกามสุข และการปฏิบัติตนใหลําบากโดยเปลา
ประโยชน
ทานในกระบวนการพัฒนาตามหลักอริยมรรค ๘ นี้ ปรากฏอยู ๒ ระดับคือ ในระดับ
ปญญา กลาวคือสัมมาทิฏฐิ ที่หมายถึงความรูในสิงที่เปนกุศลและกุศลมูล กับอกุศลและอกุศลมูล
่
และเห็นไตรลักษณ ความรูวา ทานที่บุคคลใหแลวยอมมีผล (สัมมาทิฏฐิกะ) เปนตนและรูวาการ