More Related Content
Similar to อรูป 4 สมถกัมมัฏฐาน (20)
More from เตชะชิน เก้าเดือนยี่ (19)
อรูป 4 สมถกัมมัฏฐาน
- 6. อรูปฌาน
อรูปฌานคือฌานที่ไม่มีรูป ๔ คือ อากาสานัญจายตนะ
วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ
เนวสัญญานาสัญญายตนะ
รวม ๔ อย่างด้วยกัน
๑.ฌาน คือ การหยั่งรู้หรือการเพ่งในองค์กรรมฐาน
๒.ฌาน (บาลี) หรือ ธยาน (สันสกฤต) หมายถึง การเพ่ง
อารมณ์จนใจแน่วแน่เป็นอัปปนาสมาธิ ภาวะจิตสงบ
ประณีต ซึ่งมีสมาธิเป็นองค์ธรรมหลัก)
- 7. อรูปฌาน
อรูปฌานทั้ง ๔ นี้ เป็นฌานละเอียดและอยู่ในระดับฌานที่
สูงสุด ท่านที่ปฏิบัติได้อรูปทั้ง ๔ นี้แล้ว เจริญวิปัสสนาญาณ
ย่อมได้บรรลุมรรคผลรวดเร็วเป็นพิเศษ เพราะอารมณ์ในอรูปฌาน
และอารมณ์ในวิปัสสนาญาณ มีส่วนคล้ายคลึงกันมาก
ต่างกันแต่อรูปฌานเป็นสมถภาวนา มุ่งดํารงฌานเป็นสําคัญ
สําหรับวิปัสสนาภาวนามุ่งรู้แจ้งเห็นจริง
ตามอํานาจของกฎธรรมดาเป็นสําคัญ แต่ทว่า
อรูปฌานนี้ก็มีลักษณะเป็นฌานปล่อยอารมณ์ คือ ไม่ยึดถืออะไร
เป็นสําคัญ ปล่อยหมดทั้งรูปและนาม ถือความว่างเป็นสําคัญ
- 9. การพัฒนาตน
อากาสานัญจายตนะ คือ การเพ่งอากาศว่าไม่มีที่สุด
ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคว่า
ก่อนที่จะเจริญอากาสานัญจายตนะนี้ ท่านจะเข้าจตุตถฌานในกสิณกอง
ใดกองหนึ่งแล้วให้เพิก คือ(ปล่อย) ม่สนใจในกสิณนิมิตนั้นเสีย
ใคร่ครวญว่า กสิณนิมิตนี้เป็นอารมณ์ที่มีรูปเป็นสําคัญ(ได้แก่) ความสุข
ความทุกข์(ซึ่ง)เป็นปัจจัยของภยันตราย มีรูปเป็นต้นเหตุ เราไม่มีความ
ต้องการในรูปแล้วละรูปนิมิตกสิณนั้น ถืออากาศเป็นอารมณ์จนวงอากาศ
เกิดเป็นนิมิตที่มีขอบเขตกว้างใหญ่ แล้วย่อให้สั้นลงมา อธิษฐานให้เล็ก
ใหญ่ได้ตามประสงค์ ทรงจิตรักษาอากาศไว้โดยกําหนดใจว่า อากาศหา
ที่สุดมิได้ดังนี้ จนจิตเป็นอุเบกขารมณ์ (อารมณ์วางเฉย จัด)เป็นฌาน ๔
(แต่อยู่)ในอรูปฌาน
- 12. การพัฒนาตน
เนวสัญญานาสัญญายตนะ
คือ การเพ่งถึงความมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่(ยังมีสัญญา
อยู่แต่มันละเอียดประณีตมากจน ไม่ปรากฏอาการของสัญญา)
เนวสัญญานาสัญญายตนะนี้ กําหนดว่ามีสัญญา(ความจําได้)ก็ไม่ใช่
ไม่มีสัญญา(จําไม่ได้)ก็ไม่ใช่ คือ ทําความรู้สึกตัวเสมอว่า ทั้งมีสัญญาอยู่นี้
ก็ทําความรู้สึกเหมือนไม่มีสัญญา คือไม่ยอมรับรู้จดจําอะไรหมด ทําตัว
เสมือนหุ่นที่ไร้(ทั้ง)วิญญาณ(และหน่วยความจํา คือไม่มีการประมวลผล)
ไม่รับรู้ ไม่รับอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น หนาวก็รู้ว่าหนาวแต่ไม่เอาเรื่อง ร้อนก็รู้
ว่าร้อนแต่ไม่ดิ้นรนกระวนกระวาย มีชีวิตทําเสมือนคนตาย คือไม่ปรารภ
สัญญาความจดจําใดๆ ปล่อยตามเรื่องเปลื้องความสนใจใดๆ ออกจนสิ้น
จนจิตเป็นเอกัคคตาและอุเบกขารมณ์
- 14. การพัฒนาตน
สําหรับสมาบัติ ๘ นี้
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งยังเป็น
เจ้าชายสิทธัตถะได้เคยศึกษามาแล้ว ในสํานัก
ของดาบสทั้งสอง ได้แก่ อุทกดาบส และ
อาฬารดาบส ทรงเห็นแล้วว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์
ไม่ใช่ทางตรัสรู้ จึงอําลาจากดาบสทั้งสอง มา
แสวงหาทางพ้นทุกข์ด้วยพระองค์เอง จนได้
ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- 18. ลืมตาเพ่งมองไปที่อุปกรณ์กรรมฐาน (บริกรรมนิมิต) เช่น
ดินที่ทําเป็นรูปวงกลม โดยให้เห็นเป็นภาพติดตา
นี้เรียกว่า บริกรรมภาวนา แล้วหลับตาลงเบาๆ ให้นึก
เห็นภาพนั้นชัดเจน ภาพที่เห็นในความจําได้นั้นเรียกว่า
อุคคหนิมิต ซึ่งถือเป็นบริกรรมสมาธิ ตั้งสติส่งจิตเข้าไป
จับอุคคหนิมิตนั้นเป็นอารมณ์ จนเกิดเห็นภาพนั้นแปร
รูปใสขึ้นกว่าของจริงเรียกว่า ปฏิภาคนิมิต ซึ่งเรา
กําหนดจิตสั่งให้ภาพนั้นย่อ ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมได้
หรือจะกําหนดให้ภาพนั้นเข้ามาใกล้ ห่างออกไปก็ได้
อย่างนี้เรียกว่า อุปจารสมาธิ
- 20. การพัฒนาตน
ถัดจากนี้ ให้เราเจริญ อัปปนา
ภาวนา เรื่อยไป จนกระทั่ง
สามารถบังคับให้เกิด อัปปนา
สมาธิ ได้ตลอดเวลาที่เรากําหนด
จะเข้า จะออก ในเวลาใดก็ได้ตาม
ประสงค์ ขั้นนี้เรียกว่า
อัปปนาสมาธิ ที่เป็นฌานสมาบัติ
อันจัดเป็น ครุกรรมฝ่ ายกุศล
และใช้เป็นบาทแห่งการเจริญ
วิปัสสนาของผู้ต้องการให้ฌาน
เป็นฐานในการเจริญวิปัสสนาได้