หน่วยที่ 2 ข้อมูลและตัวแปร

1. ข้อมูลและตัวแปร
วิชาโปรแกรมสาเร็จรูปทางสถิติเพื่อการวิจัย
รหัสวิชา 3204-2104
Unit 2
ครูฌามาดา จันดาอาจ แผนกวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยการอาชีพบ้านไผ่

2. 2.1 ข้อมูล
ความหมายของข้อมูล
ข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริงของสิ่งที่เราสนใจ ที่เป็นตัวเลข ข้อความ หรือ
รายละเอียดซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ภาพ เสียง วีดิโอไม่ว่าจะเป็น
คน สัตว์ สิ่งของ หรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ

3. 2.1 ข้อมูล
ประเภทของข้อมูล
1. แบ่งประเภทข้อมูลตามวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
1) ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data)
2) ข้อมูลทุติยภูมิ (Second Data)

4. 2.1 ข้อมูล
ประเภทของข้อมูล
2. แบ่งประเภทข้อมูลตามระดับการวัด
1) ข้อมูลระดับนามบัญญัติ (Nominal Scale)
2) ข้อมูลระดับอันดับ (Ordinal Scale
3) ข้อมูลระดับอันตรภาค (Interval Scale)
4) ข้อมูลระดับอัตราส่วน (Ratio Scale)

5. 2.1 ข้อมูล
ชนิดของข้อมูล
1. ข้อมูลชนิดตัวเลข (Numeric Data)
2. ข้อมูลชนิดตัวอักษร/อักขระ (Character Data)
3. ข้อมูลชนิดตัวอักษรเลข (Alphanumeric Data)
4. ข้อมูลชนิดมัลติมีเดีย (Multimedia Data)

6. 2.1 ข้อมูล
แหล่งข้อมูล
1. ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data)
2. ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) )

7. 2.2 ตัวแปร
ความหมายของตัวแปร
ตัวแปร (Variable) หมายถึง คุณสมบัติหรือคุณลักษณะของสิ่งต่างๆ ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่มี
ชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ได้
ตัวแปร (Concept) หมายถึง ตัวแปรที่แสดงความหมายในลักษณะของคนทั่วไปรับรู้ได้
ตรงกันหรือสอดคล้องกัน เป็นตัวแปรที่เป็นรูปธรรม
ตัวแปร (Construct) หมายถึง ตัวแปรที่แสดงความหมายในลักษณะเฉพาะตัวบุคคล
คนทั่วไปอาจรับรู้ได้ตรงกันหรือไม่ก็ได้ มักเป็นนามธรรม
สรุปได้ว่า ตัวแปร หมายถึง คุณลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งต่าง ๆ ทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่
มีชีวิตที่แสดงความหมายในลักษณะของคนทั่วไปและเฉพาะตัวบุคคล ที่รับรู้ได้ตรงกันหรือ
สอดคล้องกัน หรืออาจรับรู้ได้ไม่ตรงกันก็ได้

8. 2.2 ตัวแปร
ประเภทของตัวแปร (Type of Variable)
1. พิจารณาคุณสมบัติของค่าตัวแปรว่าทาเป็นปริมาณได้หรือไม่ได้
1) ตัวแปรเชิงปริมาณ (Quantitative Variable)
2) ตัวแปรเชิงคุณภาพ (Qualitative Variable)

9. 2.2 ตัวแปร
ประเภทของตัวแปร (Type of Variable)
2. พิจารณาคุณสมบัติของตัวแปรว่ามีความต่อเนื่องกันหรือไม่
1) ตัวแปรต่อเนื่อง (Continuous Variable)
2) ตัวแปรไม่ต่อเนื่อง (Discrete Variable)

10. 2.2 ตัวแปร
ประเภทของตัวแปร (Type of Variable)
3. พิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรในเชิงเหตุและผล
1) ตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้น (Independent Variable)
2) ตัวแปรตาม (Dependent Variable)
3) ตัวแปรแทรกซ้อนหรือตัวแปรเกิน (Extraneous Variable)
4) ตัวแปรสื่อกลาง (Intervening Variable)

11. 2.2 ตัวแปร
ประเภทของตัวแปร (Type of Variable)
4. พิจารณาถึงการกระทาของผู้วิจัยว่าเป็นผู้กาหนดตัวแปรให้กับกลุ่มตัวอย่างได้หรือไม่
1) ตัวแปรทดลองหรือตัวแปรจัดกระทา (Experimental Variable
or Active Variable or Treatment Variable)
2) ตัวแปรคุณลักษณะ (Attribute Variable)

12. 2.2 ตัวแปร
ระดับการวัดตัวแปร (Measurement Scales)
1. มาตรานามบัญญัติ (Nominal Scale)
2. มาตราอันดับ (Ordinal Scale)
3. มาตราช่วง/อันตรภาค (Interval Scale)
4. มาตราอัตราส่วน (Ratio Scale)

13. 2.2 ตัวแปร
การหาข้อมูลหรือข้อเท็จจริงและการนิยามตัวแปร
1. การหาข้อมูลหรือข้อเท็จจริง
ผู้วิจัยสามารถหาข้อมูลหรือข้อเท็จจริง ต่าง ๆ นี้ได้ 2 แนวทาง คือ
1) อาศัยทฤษฎีหรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
2) อาศัยข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูล

14. 2.2 ตัวแปร
การหาข้อมูลหรือข้อเท็จจริงและการนิยามตัวแปร
2. การนิยามตัวแปร มีหลักในการนิยามตัวแปร ดังนี้
1) กาหนดรายการตัวแปรของการวิจัย
2) นิยามตัวแปร

15. 2.3 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากร (Population)
ประเภทของประชากร ที่ใช้ในการวิจัย สามารถจาแนกออกได้
เป็น 2 ประเภท คือ
1) ประชากรที่มีจานวนจากัด (Finite Population)
2) ประชากรที่มีจานวนไม่จากัด (Infinite Population)

16. 2.3 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่าง (Sample)
1. ขั้นตอนในการเลือกกลุ่มตัวอย่าง

17. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1. ขั้นตอนในการเลือกกลุ่มตัวอย่าง
1) การนิยามประชากรที่จะเลือกกลุ่มตัวอย่าง
2) กาหนดลักษณะข้อมูลที่จะรวบรวม
3) กาหนดขอบเขตของกลุ่มตัวอย่าง
4) กาหนดวิธีการสุ่มตัวอย่าง
5) ทาการสุ่มตัวอย่าง

18. 2.3 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่าง (Sample)
2. การกาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง (Sample Size)
หมายถึง จานวนสมาชิกกลุ่ม
ตัวอย่าง ซึ่งผู้วิจัยจะต้องกาหนดกลุ่มตัวอย่างว่าจะใช้จานวนเท่าใด

19. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2. การกาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง
1) การกาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้เกณฑ์
2) การใช้ตาราง
3) การใช้สูตรคานวณ

20. 2.3 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่าง (Sample)
3. เทคนิคการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง

21. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
3. เทคนิคการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง
1) การสุ่มโดยไม่คานึงถึงความน่าจะเป็น
(1) การสุ่มโดยบังเอิญ (Accidental Sampling)
(2) การสุ่มแบบโควตา (Quota Sampling)
(3) การสุ่มตัวอย่างเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling)
(4) การสุ่มกลุ่มตัวอย่างตามสะดวก (Convenience Sampling)
(5) การสุ่มตัวอย่างแบบสโนว์บอลล์ (Snowball Sampling)

22. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
3. เทคนิคการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง
2) การสุ่มโดยคานึงถึงความน่าจะเป็น
(1) การสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling)
(2) การสุ่มแบบเป็นระบบ (Systematic Sampling)
(3) การสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling)
(4) การสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling)
(5) การสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling)

23. 2.4 สมมติฐาน
ความหมายของสมมติฐาน
สมมติฐาน หมายถึง ข้อคิดเห็นหรือถ้อยแถลงที่ใช้เป็นมูลฐานแห่งการหาเหตุผล การ
ทดลอง หรือการวิจัย
สมมติฐาน หมายถึง คาอธิบายหรือคาตอบที่ตั้งไว้ล่วงหน้าเพื่อเป็นแนวทางในการ
ทดสอบหรือหาข้อมูลต่อไป
สมมติฐาน หมายถึง คาตอบของปัญหาวิจัยที่ผู้วิจัยตั้งขึ้นไว้ล่วงหน้า หรืออาจเป็นความ
เชื่อหรือสิ่งที่ผู้วิจัยคาดไว้ ซึ่งอาจจะเป็นคาตอบที่ถูกหรือผิดก็ได้ จึงจาเป็นที่จะต้องมีการทดสอบ
เพื่อหาข้อสรุปที่แน่นอนของปัญหาวิจัยนั้น
สรุปได้ว่า สมมติฐาน หมายถึง ข้อความที่แสดงการคาดเดาคาตอบต่อปัญหาการวิจัย
โดยอาศัยความรู้ ประสบการณ์ สถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันหรือทฤษฎีเป็นแนวคิดเบื้องหลังของการ
คาดคะเนคาตอบนั้น

24. 2.4 สมมติฐาน
ลักษณะของสมมติฐาน
1. มีตัวแปรอย่างน้อย 2 ตัวและระบุตัวแปรให้ชัดเจน ทั้งตัวแปร
ต้นและตัวแปรตาม
2. เป็นความสัมพันธ์ที่จะต้องบอกทิศทาง ความสัมพันธ์ของตัว
แปรตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป
3. ต้องนาไปพิสูจน์ต่อไปในอนาคต

25. 2.4 สมมติฐาน
ประเภทของสมมติฐาน
1. สมมติฐานเชิงบรรยาย (Descriptive Hypothesis)
2. สมมติฐานเชิงสถิติ (Statistical Hypothesis)

26. 2.4 สมมติฐาน
เกณฑ์การตั้งสมมติฐานในการวิจัย
1. การทดสอบสมมติฐานที่ตั้งขึ้นต้องสามารถทดสอบได้
2. ความเกี่ยวข้องกับปัญหา
3. ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
4. ทฤษฎีและงานวิจัยสนับสนุน

27. 2.4 สมมติฐาน
แหล่งที่มาของสมมติฐาน
1. ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ของผู้วิจัย
2. การใช้หลักเหตุผล
3. การใช้ทฤษฎี แนวคิด และหลักการ
4. การศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร บทความ รายงาน และงานวิจัย
ที่เกี่ยวข้อง
5. การศึกษาเปรียบเทียบ
6. ความเชื่อ ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรม
ต่าง ๆ

28. 2.4 สมมติฐาน
ลักษณะของสมมติฐานที่ดี
1. ต้องอธิบาย หรือตอบคาถามได้หมด
2. ต้องสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง
3. ภาษาที่ใช้ในการเขียนต้องเข้าใจง่าย
4 . ต้องสามารถทดสอบได้
5. ต้องสมเหตุสมผลตามทฤษฎี
6. ต้องสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายการวิจัย
7. สมมติฐานที่ดีต้องมีอานาจการพยากรณ์สูง

29. 2.4 สมมติฐาน
ข้อแนะนาในการตั้งสมมติฐาน
1. เขียนอยู่ในรูป ประโยคบอกเล่า
2. เขียนหลังจากได้ศึกษา เอกสาร งานวิจัยมามากเพียงพอ
3. เลือกใช้คาหรือข้อความ ที่รัดกุม ไม่ฟุ่มเฟือย
4. มีสมมติฐานให้ครอบคลุม สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการ
วิจัย
5. สมมติฐานแต่ละข้อเขียนเพื่อตอบคาถามเพียงคาถามเดียว

30. 2.4 สมมติฐาน
ประโยชน์ของสมมติฐาน
1. ช่วยให้ผู้วิจัยมองเห็นปัญหาการวิจัยชัดเจนยิ่งขึ้น
2. ช่วยจากัดขอบเขตของการวิจัย
3. ช่วยให้มองเห็นภาพของข้อมูลต่างๆ
4. ช่วยชี้แนวทางในการเก็บรวบรวมข้อมูล
5. อาจสามารถบอกให้ทราบถึงการวางแผนรูปแบบของการวิจัย
6. ช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจตัวแปรที่ศึกษาได้อย่างแจ่มแจ้ง
7. ช่วยชี้แนวทางในการแปลผล และสรุปผล

31. ข้อมูลและตัวแปร
จบการนาเสนอบทเรียน
ครูฌามาดา จันดาอาจ แผนกวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยการอาชีพบ้านไผ่
Unit 2