More Related Content
Similar to สุปราณี ม.5 (20)
สุปราณี ม.5
- 1. จากตัวอย่างการคำานวณหาอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีของสารใน
ช่วงเวลาต่าง ๆ และพิจารณาจากความชันของกราฟ ทำาให้ทราบ
ว่าปฏิกิริยาเกิดขึ้นเร็วในช่วงแรกหรือเมื่อเริ่มเกิดปฏิกิริยา และจะ
เกิดช้าลงเมื่อเวลาผ่านไป นักเรียนคิดว่าเป็นเพราะเหตุใด และมี
ปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
1. ความเข้มข้นของสารกบอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
จากการศึกษาอัตราการสลายตัวของไดไนโตรเจนเพน
ตะออกไซด์ในช่วงเวลาต่างๆ พบว่าเมื่อเวลาผ่านไปอัตราการเกิด
ปฏิกิริยาเคมีมีค่าลดลงนักเรียนคิดว่าเป็นผลมาจากความเข้มข้น
ของสารตั้งต้นลดลงหรือไม่ เพื่อตรวจสอบว่าความเข้มข้นของ
สารมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีหรือไม่ ให้นักเรียนศึกษา
จากการทดลองต่อไปนี้
การทดลอง ความเข้มข้นของสารกับอัตราการเกิด
ปฏิกิริยาเคมี
ตอนที่ ١ ใช้สารละลายโซเดียมไทโอซัลเฟตที่มีความเข้มข้นต่าง
กันทำาปฏิกิริยากับสารละลายกรดไฮโดรคลอรอกที่มีความเข้มข้น
คงที่
1. รินสารละลายกรดไฮโดรคลอริก ٣ mol/dm3 จำานวน ١٠
cm3 ลงในหลอดทดลองขนาดใหญ่
2. นำากระดาษสีขาวทีทำาเครื่องหมายกากบาทไว้มาวางชิด
่
ข้างหลอดทดลองด้านหนึ่ง โดยให้เครื่องหมายกากบาทอยุ่
สูงจากก้นหลอดประมาณ ٢.٥ cm
3. เติมสารละลายโซเดียมไทโอซัลเฟต ٠.٣ mol/dm3
จำานวน ١٠ cm3 ลงในหลอดทดลองในข้อ ١ เขย่าให้เข้ากัน
สังเกตเครื่องหมายและจับเวลาตั้งแต่ผสมสารละลายเข้า
ด้วยกันนกระทั่งเริ่มมองไม่เห็นเครื่องหมายกากบาท
4. ทำาการทดลองอีก ٤ ครั้ง โดยใช้โซเดียมไทโอซัลเฟต
ผสมกับนำ้ากลั่นตามปริมาตรที่กำาหนดให้ในตาราง แต่ใช้
ปริมาตรของกรดไฮโดรคลอริกเท่าเดิม
- 2. ตารางกำาหนดปริมาตรของสารละลายโซเดียมไทโอ
ซัลเฟตและนำำาที่ใช้ในการทดลองตอนที่ ١
หลอด ปริมาตรของสารละลาย ปริมาตรของนำำา
ที่ Na2S2O3 (cm3) (cm3)
١ ١٠ ٠
٢ ٨ ٢
٣ ٦ ٤
٤ ٤ ٦
٥ ٢ ٨
ตอนที่ ٢ ใช้สารละลายกรดไอโดรคลอริกที่มีความเข้มข้นต่าง
กันทำาปฏิกิริยากับสาระลายโซเดียมไทโดซัลเฟตที่มีความเข้ม
ข้นคงทีทำาการทดลองเช่นเดียวกับตอนที่ ١ แต่ใช้สารละลายก
่
รดไฮโดรคลอริกที่มีความเข้มข้น ٠.٣ mol/dm3 ผสมกับนำ้า
กลั่นตามปริมาตรที่กำาหนดในตาราง และใช้สารละลายโซเดียม
ไทโอซัลเฟตเข้มข้น ٠.٣ mol/dm3 ปริมาตรที่คงที่ ١٠ cm3
ตารางกำาหนดปริมาตรของสารละลายกรดไฮโดรคลอริก
และนำำาที่ใช้ในการทดลองตอนที่ ٢
หลอด ปริมาตรของ ปริมาตรของนำำา
ที่ สารละลาย HCI (cm3)
(cm3)
1 10 0
2 8 2
3 6 4
4 4 6
5 2 8
ในการทดลองตอนที่ ١ เมื่อใส่สารละลายโซเดียมไทโอซัลเฟต
٠.٣ mol/dm3 ลงในหลอดที่ ١ โดยไม่มีการเดติมนำ้า ความเข้ม
ข้นของสารละลายในหลอดนี้ยังคงเป็น ٠.٣ mol/dm3 ส่วนหลอด
ที่ ٢ นำาสารละลายโซเดียมไทโอซัลเฟต ٠.٣ mol/dm3 จำานวน ٨
(cm3) มาเติมนำ้าให้เป็น ١٠ (cm3) ความเข้มข้นของสารละลายใน
- 3. หลอดคำานวณได้ดังนี้
จำานวนโมลของโซเดียมไทโอซัลเฟตในสารละลาย
โซเดียมไทโอซัลเฟต ٠.٣ mol/dm3 จำานวน ٨ (cm3) เป็นดังนี้
เมื่อเติมนำ้า ٢ (cm3) ทำาให้สารละลายมีปริมาตรรวม ١٠
(cm3) ความเข้มข้นของสารละลายโซเดียมไทโอซัลเฟตในหน่วย
เป็นดังนี้
แสดงว่าสารละลายโซเดียมไทโอซัลเฟตในหลอดที่ ٢ มี
ความเข้มข้น ٠.٢٤ mol/dm3 สำาหรับความเข้มข้นของสารละลาย
โซเดียมไทโอซัลเฟตในหลอดอื่นก็คำานวณได้ในทำานองเดียวกัน
เมื่อโซเดียมไทยโอซัลเฟตทำาปฏิกิริยากับกรดไฮโดรคลอริก
จะเกิดปฏิกิริยา ดังสมการ
Na2S2O3(aq) + 2 HCI(aq) → 2NaCl(aq) + H2O(l)
+SO2(g) + S(s)
หรือ
S2O3 ٢-(aq) + 2H+(aq) → H2O(l) + SO2(g) +
S(s)
จากการทดลอง นักเรียนได้วัดระยะเวลาของการเกิด
ปฏิกิริยาตั้งแต่เริ่มต้นจนได้ปริมาณของกำามะถันที่เกิดขึ้นเท่ากัน
คือเมื่อเริ่มมองไม่เห็นเครื่องหมายกากบาท ดังนั้นจึงกล่าวได้วา ่
ปฏิกิริยาของสารในทุกหลอดเริ่มต้นจากจุดเดียวกันและดำาเนินไป
จนถึงจุดหมายปลายทางเดียวกัน อัตราการเกิดปฏิกิริยาเฉลี่ย
- 4. เขียนแสดงได้ดังนี้
ถ้านำาอัตราการเกิดปฏิกิริยาเฉลี่ยของสารในแต่ละหลอดมา
เปรียบเทียบกันจะเป็นดังนี้
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเฉลี่ยของสารในหลอดที่ ١: อัตราการ
เกิดปฏิกิริยาเฉลี่ยของสารในหลอดที่ ٢
เนื่องจากปริมาณของกำามะถันที่เกิดขึ้นในแต่ละหลอดเท่า
กันดังนี้
จากความสัมพันธ์นี้จึงกล่าวได้วา ถ้าต้องการเปรียบเทียบ
่
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเฉลี่ยของสรในแต่ละหลอด อาจใช้ส่วน
กลับของระยะเวลาที่สารในแต่ละหลอดเกิดปฏิกิริยามาเปรียบ
เทียบกันได้ สารในหลอดทีใช้ระยะเวลาการเกิดปฏิกิริยาน้อย
่
แสดงว่ามีอัตราการเกิดปฏิกิริยาสูงกว่าสารในหลอดที่ใช้ระยะเวลา
มากกว่า
จากผลการทดลอง จะพบว่าเมื่อให้ความเข้มข้นของ
ไฮโดรเจนไอออนคงที่ แต่เปลี่ยนความเข้มข้นของไทโอซัลเฟต
ไอออน อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเปลียนไอในทำานองเดียวกันการ
่
เปลียนความเข้มข้นของไฮโดรเจนไอออนโดยให้ความเข้มข้นของ
่
ไทโอซัลเฟตคงที่ก็มีผลทำาให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลง
ด้วย แสดงว่าความเข้มข้นของสารตั้งต้นทั้งสองชนิดในปฏิกิรานี้มี
ผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
- 5. เนื่องจากการเพิ่มหรือลดความเข้มข้นของสารตั้งต้นมีความ
สัมพันธ์กับการเพิ่มหรือลดจำานวนอนุภาคของสารตั้งต้นในระบบ
ดังนั้นในกรณีของการเพิ่มความเข้มข้นของสารตั้งต้นระบบเพิ่มขึ้น
โอกาสที่อนุภาคของสารจะเกิดการชนกันจึงมีมากขึ้น (ดังรูป ٦.
٩) และอนุภาคที่มีพลังงานสูงก็มีจำานวนมากขึ้นด้วย จึงมีผลทำาให้
อัตราการเกิดปฏิกิริยามีค่าสูง
โดยทัวไปเราพบว่าการเพิ่มความเข้มข้นของสารตั้งต้นจะมี
่
ผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีอย่างไรก็ตามยังมีบางปฏิกิริยาที่
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารตั้งต้น
ชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น หรือบางปฏิกิริยาอัตราการเกิดปฏิกิริยา
เคมีก็ไม่ขึ้นกับความเข้มข้นของสารตั้งต้น กล่าวคืออัตราการเกิด
ปฏิกิริยาจะคงที่ไม่ว่าจะมีสารตั้งต้นมากหรือน้อยเพียงใด เช่น
ปฏิกิริยาการกำาจัดแอลกอฮอล์ออกจากกระแสเลือดในตับ โดย
ปกิตเมื่อมีแอลกอฮอล์เข้าสู่กระแสเลือด ร่างกายจะต้องกำาจัดออก
ทั้งในรูปแอลกอฮอล์โดยตรงและการสลายเป็นสารอื่น อัตราการ
สลายตัวของแอลกอฮอล์เป็นสารอื่นจะมีค่าคงที่ โดยไม่ขึ้นกับ
ปริมาณของแอลกอฮอล์ในเลือดว่ามีอยู่มากน้อยเพียงใด
จากตัวอย่างที่กล่าวมาแล้วถ้าเราทราบชนิดของสารตั้งต้น
และผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นในปฏิกิริยา เราสามารถเขียนสมการแสดง
ปฏิกิริยานันได้ แต่ไม่สามารถทำานายอัตราการเกิดปฏิกิริยาได้วา
้ ่
สูงหรือตำ่า และขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารใดบ้าง ข้อมูลนี้จะ
ได้จากการทดลองเท่านัน ้
2. พืำนที่ผิวของสารกับอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
นักเรียนได้ทราบแล้วว่าความเข้มข้นของสารเป็นปัจจัยที่มี
- 6. ผลต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมี รวมทั้งได้ศึกษาปฏิกิริยาระหว่างลวด
แมกนีเซียมกับกรดไฮโดรคลอลิกมาแล้ว นักเรียนคิดว่าถ้านำา
ลวดแมกนีเซียมที่มมวลเท่ากันแต่มีพื้นที่ผวไม่เท่ากันมาทำา
ี ิ
ปฏิกิริยากับกรดไฮโดรคลอริก อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะแตกต่าง
กันหรือไม่ อย่างไรศึกษาได้จากการทดลองต่อไปนี้
การทดลอง พืำน ที่ผิวของสารกับการเกิดปฏิกิริยาเคมี
١. ทำาการทดลองเช่นเดียวกับการทดลองที่ ٦.١ แต่เริ่มจับ
เวลาเมื่อสารละลายในกระบอกตวงอยู่ที่ขีด ١cm3 และทุกๆ ١cm3
จนถึง ٥cm3
2. ทำาการทดลองเช่นเดียวกับข้อที่ ١ แต่พับลวดแมกนีเซียม
เหลือความยาวประมาณ ٥ cm3
จากการทดลองพบว่าแมกนีเซียมที่มีมวลเท่ากันแต่มีพื้นผิว
ไม่เท่ากัน มีอัตราการเกิดปฏิกิริยาแตกต่างกัน กล่าวคือ
แมกนีเซียมที่มีพื้นที่ผวมากมีอัตราการเกิดปฏิดิริยาสูงกว่า
ิ
แมกนีเซียมที่มีพื้นผิวน้อย ซึ่งอธิบายไดว่า การที่สารตั้งต้นมีพื้ที่
ผิวมากมีผลให้อนุภาคของสารมีโอกาสเข้าชนกันได้มาก ปฏิกิริยา
จึงเกิดได้เร็วขึ้น
3. อุณหภูมิกับอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
เมื่อวางชิ้นโลหะแมกนีเซียมไว้ในอากาศที่อุณหภูมิห้อง ผิว
ของโลหะจะเปลี่ยนเป็นสีเทาช้าๆ เนื่องจากเกิดปฏิกิริกับ
ออกซิเจนในอากาศได้แมกนีเซียมออกไซด์ฉาบอยู่ที่ผิว แต่ถ้านำา
โลหะแมกนีเซียมไปเผาในอากาศจะได้ผงแมกนีเซียมออกไซด์
ภายในเวลาไม่กี่นาที ทำาให้ตั้งข้อสังเกตว่าอุณหภูมิน่าจะเป็นอีก
ปัจจัยหนึ่งที่ทำาให้ปฏิกิริยาเคมีเกิดเร็วหรือช้า การทดลองต่อไปนี้
เป็นการศึกษาว่าการเพิ่มหรือลดของอุณหภูมิมีผลต่ออัตราการเกิด
ปฏิกิริยาเคมีอย่างไร
การทดลอง ٦.٤ อัตราการเกิดปฏิกิริยาระหว่างกรด
ออกซาลิกกับโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนตที่อุณหภูมิต่างๆ
١. ใส่สารละลายกรดออกซาลิก ٠.٠٥ mol/dm3 10 หยด
และสารละลายกรดซัลฟิวริก ١.٠ mol/dm3 ٥ หยด ในหลอด
- 7. ทดลองขนาดเล็ก แล้วเติมสารละลายโพแทสเซียมเปอร์แมงกา
เนต ٠.٠٠٥ mol/dm3 ลงไป ١٠ หยด เขย่าและจับเวลาตั้งแต่เติม
สารละลายโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนตลงไปจนกระทัง ่
สารละลายเปลี่ยนเป็นไม่มีสี
٢. ทำาการทดลองเช่นเดียวกับข้อ ١ แต่นำาหลอดใส่
สารละลายผสมระหว่างกรดออกซาลิกกับกรดซัลฟิวริกไปแช่นำ้าที่
ควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ประมาณ ٦٠ องศา เป็นเวลา ٥ นาที
แล้วจึงเติมสารละลายโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต เขย่าและจับ
เวลา
٣. ทำาการดลองเช่นเดียวกับข้อ ٢ อีก ٢ ครั้ง โดยควบคุม
อุณหภูมิของนำ้าเป็นประมาณ ٤٠ องศา และ ٢٠ องศา ตามลำาดับ
เมื่อกรดออกซาลิกทำาปฏิกิริยากับสารละลายโพแทสเซียม
เปอร์แมงกาเนตจะเกิดปฏิกิริยาดังสมการ
٥H ٢C ٢O ٤(aq) + 2MnO ٤-(aq) + 6H+(aq) →
10CO ٢(g) + 2Mn2+(aq) + 8H ٢O(l)
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นนี้ จะสังเกตได้จากการเปลียนสีของ
่
สารละลายจากสีมวงเป็นสีชมพูอ่อน เนื่องจากเปอร์แมงกาเนต
่
ไอออน (MnO ٤) มีสีม่วง เมื่อทำาปฏิกิริยาจะเปลียนไปเป็น
่
แมงกานีส (ΙΙ)ไอออน (Mn ) ซึ่งเป็นสารสีชมพูอ่อน แต่ถ้าเจอ
2+
จามากจะได้สารละลายใสทีไม่มีสี ่
จากการทดลองทำาให้ทราบว่าที่อุณหภูมิสูงปฏิกิริยาเคมีเกิด
ได้เร็วกว่าที่อุณหภูมิตำ่าแสดงว่าอุณหภูมิมีผลต่ออัตราการเกิด
ปฏิกิริยาเคมี กล่าวคือเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะมี
ค่าเพิ่มขึ้น และเมื่ออุณหภูมิลดลงอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะมีค่า
น้อยลง ตามทฤษฎีจลน์อธิบายได้วา เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น
่
โมเลกุลของแก๊สจะเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วเพิ่มขึ้น จึงมีอาสที่จะ
ชนกันมากขึ้น ดังนั้นอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีจึงสูงขึ้น จากการ
คำานวณได้ผลว่าเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น ١٠ องศาเซลเซียส อัตราการ
ชนกันของโมเลกุลเพิ่มขึ้นเพียง ٠.٠١ เท่า แต่ในทางปฏิบัติ
ปรากฏว่าเมื่อเพิ่มอุณหภูมิขึ้น ١٠ องศาเซลเซียส อัตราการเกิด
- 8. ปฏิกิริยาจะเพิ่มขึ้น ٣-٢ เท่า นักเรียนคิดว่าเป็นเพราะเหตุใด
เราอาจเขียนกราฟแสดงการกระจายพลังงานจลน์ของ
โมเลกุลของแก๊สที่อุณหภูมิต่าง ๆ ได้ดังรูป
จากรูป จะพบว่าพื้นที่ใต้กราฟทางด้านขวาของพลังงาน E ที่
อุณหภูมิ T1 มีค่าน้อยกว่าที่อุณหภูมิ T2 แสดงว่าที่อุณหภูมิ T1
โมเลกุลที่มีพลังงานสูงกว่า E มีจำานวนน้อยกว่าที่อุณหภูมิ T2 โดย
ทัวไปการชนกันที่ทำาให้เกิดปฏิกิริยาเคมีเป็นการชนกันของ
่
โมเลกุลที่มีพลังงานสูง ซึ่งเมื่อชนกันแล้วทำาให้พลังงานที่เกิดขึ้น
มีค่าเท่ากับหรือมากกว่าพลังงานก่อกัมมันต์ นอกจากนี้การชนกัน
ของโมเลกุลที่มีพลังงานสูงมากๆ กับโมเลกุลที่มีพลังงานตำ่าก็อาจ
ทำาให้เกิดปฏิกิริยาได้เช่นเดียวกัน แสดงว่าอุณหภูมิเป็นอีกปัจจัย
หนึ่งทีมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
่
4. ตัวเร่งและตัวหน่วงปฏิกิริยาเคมี
จากการทดลองที่ผานมาช่วยให้ทราบว่าพื้นที่ผิวสัมผัส
่
ความเข้มข้นของสารที่เข้าทำาปฏิกิริยาและอุณหภูมิมีผลต่ออัตรา
การเกิดปฏิกิริยาเคมี ต่อไปจะศึกษาว่าเมื่อเติมสารบางชนิด
ปริมาณเล็กน้อยลงไปจะมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาหรือไม่
โดยศึกษาจากการทดลองต่อไปนี้
การทดลอง ผลของสารบางชนิดต่ออัตราการเกิด
ปฏิกิริยาเคมี
- 9. ตอนที่ ١ ผลของสารละลายแมงกานีส (II) ซัลเฟตต่ออัตรา
การเกิดปฏิกิริยาระหว่างสารละลายโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต
กับสารละลายกรดออกซาลิก
١. นำาหลอดทดลองขนาดกลางมา ٢ หลอด แต่ละหลอดใส่
สารละลายกรดออกซาลิก ٠.٠٥ mol/dm3 จำานวน ٢ cm3 และ
สารละลาย กรดซัลฟิวริก ١.٠ mol/dm3 จำานวน ١ cm3
٢. นำาหลอดที่ ١ มาเติมสารละลายโพแทสเซียมเปอร์แมงกา
เนต ٠.٠٠٥ mol/dm3 จำานวน ٢ cm3 เขย่าพร้อมทั้งเริ่มจับเวลา
จนกระทั่งสารละลายเปลี่ยนเป็นไม่มีสี
٣. นำาหลอดที่ ٢ มาเติมสารละลายโพแทสเซียมเปอร์แมงกา
เนต ٠.٠٠٥ mol/dm3 จำานวน ٢ cm3 และสารละลายแมงกานีส
(ΙΙ) ซัลเฟต ٠.١ mol/dm3 จำานวน ٥ หยด เขย่าพร้อมทังเริ่มจับ
้
เวลาจนสารละลายเปลี่ยนเป็นไม่มีสี
ตอนที่ ٢ ผลของโซเดียมฟลูออไรด์ต่ออัตราการเกิด
ปฏิกิริยาระหว่างเปลือกไข่กับสารละลายกรดแอซีติก
1. ใส่เปลือกไข่ที่ตกแห้งและบดละเอียดลงในหลอด
ทดลองขนาดกลาง ٢ หลอด ๆ ละ ١ g
2. ใส่ผงโซเดียมฟลูออไรด์ ٠.١ g ลงบนเปลือกไข่ในข้อ ١
เพียง ١ หลอด คลุกเคล้าให้ทว
ั่
3. นำาหลอดทดลองจากข้อ ١ และจากข้อ ٢ มาเติม
สารละลายกรดแอซีติก ٠.٥ mol/dm3 หลอดละ ٣ cm3
สังเกตการณ์เปลี่ยนแปลง
เมื่อเติมสารบางชนิดปริมาณเล็กน้อยลงไปแล้วทำาให้
ปฏิกิริยาเคมีเกิดได้เร็วขึ้น สารที่เติมลงไปนี้เรียกว่า ตัวเร่ง
ปฏิกิริยา แสดงว่าในการทดลอง ตอนที่ ١ แมงกานีส (ΙΙ)
ซัลเฟต ทำาหน่วงที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาระหว่างสารละลายกรดออก
ซาลิกกับสารละลายโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต ส่วนสารที่เติม
ลงไปแล้วทำาให้ปฏิกิริยาเคมีเกิดชาลงเรียกว่าตัวหน่วงปฏิกิริยา
จากผลการทอลองตอนที่ ٢ ปฏิกิริยาชองสารในหลอดที่เติมโซ
- 10. เดียมฟลูออไรด์เกิดช้ากว่า จึงกล่าวได้วาโซเดียมฟลูออไรด์เป็น
่
ตัวหน่วงปฏิกิริยา จากผลการทดลองที้งสองตอนสรุปได้ว่าตัวเร่ง
ปฏิกิริยาและตัวหน่วงปฏิกิริยามีผลทำาให้อัตราการเกิดปฏิกิริยา
เปลียนแปลงได้
่
จากการศึกษาที่ผ่านมาได้เปรียบเทียบการเกิด
ปฏิกิริยาเคมีกับการเดินทางข้ามภูเชา และพลังงานกอกัมมันต์
เปรียบได้กับความสูงของภูเขา ถ้าภูเขาสูงมากคนที่มีกำาลังมากพอ
เท่านั้นจึงจะผ่านไปได้ แต่เมื่อมีการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาซึ่งเปรียบ
เสมือนการเดินทางสายใหม่ที่ไปถึงจุดหมายปลายทางได้ อีกทั้ง
ข้ามภูเขาไม่สูงมากหรือกล่าวได้ว่ามีพลังงานก่อกัมมันต์ของ
ปฏิกิริยานันลดตำ่าลง ทำาให้คนที่จะเดินทางไปถึงจุดหมายปลาย
้
ทางมีจำานวนเพิ่มมากขึ้น นั่นคือโมเลกุลที่ชนกันแล้วมีพลังงานสูง
กว่าพลังงานก่อกัมมันต์จะมีจำานวนมากกว่าเมื่อมี่มีตัวเร่งปฏิกิริยา
จึงเป็นผลให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาสูงขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่าง
พลังงานจลน์กับจำานวนโมเลกุลซึ่งมใพลังงานสูงกว่าพลังงานก่
อกัมมันต์ในกรณีที่มีและไม่มีตัวเร่งปฏิกิริยาแสดงได้ดังรูป
- 11. ในปฏิกิริยาที่มีตัวเร่งปฏิกิริยาอยู่นั้น เมื่อปฏิกิริยาสิ้น
สุดแล้ว สมบัติของตัวเร่งปฏิกิริยาจะเป็นอย่างไร ศึกษาได้จาก
การทดลองต่อไปนี้
การทดลอง สมบัติของตัวเร่งปฏิกิริยา
١. ใส่โซเดียมโพแทสเซียมทาร์เทรต ٠.٥ g ในหลอด
ทดลองขนาดกลาง เติมนำ้าเดือด ٥ cm3 เขย่าจนสารละลายหมด
แล้วแบ่งสารละลายครึ่งหนึ่งใส่ในหลอดทดลองขนาดกลางอีก
หลอดหนึ่ง
٢. เติมสารละลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เข้มข้นร้อยละ ٦
จำานวน ٣ cm3 ลงในแต่ละหลอดพร้อมกัน
٣. เติมสารละลายโคบอลต์ (ΙΙ) คลอไรด์ ٠.١ mol/dm3 -٢
٣ หยด ลงในหลอดทดลองที่ ١
٤. เขย่าหลอดทดลองทั้งสองเบา ๆ ตลอดเวลาสังเกตการณ์
เปลียนแปลง
่
สารละลายโคบอลต์ (ΙΙ) คลอไรด์มีสีชมพู ขณะเกิด
ปฏิกิริยาจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวและเมื่อปฏิกิริยาสิ้นสุดลงจะกลับเป็น
สีชมพูเหมือนเดิม แสดงว่าขณะที่ปฏิกิริยาดำาเนินไปตัวเร่ง
ปฏิกิริยาจะเข้าไปมีสวนร่วมในปฏิกิริยาด้วยโดยเปลี่ยแปลงเป็น
่
สารอื่นชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อปฏิกิริยาสิ้นสุดแล้วจะกลับเป็นสารเดิม
การที่จะทราบว่าตัวเร่งปฏิกิริยาเข้าไปมีส่วนร่วมในปฏิกิริยา
- 12. อย่างไรนั้นจะได้ศึกษาในขั้นสูงต่อไป
ตัวเร่งปฏิกิริยามีประโยชน์มากทั้งในชีวิตประจำาวัน
และในกระบวนการอุตสาหกรรม เช่น การย่อยอาหารในร่างกายใช้
เอนไซม์หลายชนิดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา การผลิตแอมโมเนีใช้เหล็ก
เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ในกระบวนการเติมไฮโดรเจนแก่สารอินทรีย์ใช้
นิกเกิลเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา และในกระบวนการแตกสลาย
ไฮโดรคาร์บอนในการกลั่นนำ้ามันใช้ซิลิคอนไดออกไซด์และ
อะลูมิเนียมออกไซด์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาเพื่อ
ช่วยให้ปฏิกิริยาเกิดเร็วขึ้นต้องคำานึงถึงปัจจัยหลายอย่าง เช่น
ความปลอดภัย ความยากง่ายในการแยกตัวเร่งปฏิกิริยาออกจาก
ผลิตภัณฑ์ และราคาของตัวเร่งปฏิกิริยา
สำาหรับตัวหน่วงปฏิกิริยา นอกจากโซเดียมฟูลออไรด์
ซึ่งเป็นตัวหน่วงปฏิกิริยาระหว่างกรดแอซีติกกับแคลเซียม
คาร์บอเนตจากเปลือกไข่แล้ว ยังมีสารอื่นอีกทีทำาหน้าที่เป็นตัว
่
หน่วงปฏิกิริยา เช่น ปฏิกิริยาสลายตัวของไฮโดรเจนเปอร์
ออกไซด์ได้นำ้าและแก๊สออกซิเจนดังสมการ
٢H2O2(l) → 2H2O(l) + O2(g)
เมื่องเติมกรดไฮโดรคอลริกเจือจางหรือกลีเซอรอล
ลงไปเล็กน้อย จะทำาให้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์สลายได้ช้าลง
จากผลการทดลอง และความรูที่ได้ศึกษามาแล้ว
้
สามารถสรุปปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีได้ดังนี้
1. ปฏิกิริยาเคมีส่วนใหญ่เมื่อเพิ่มความเข้มข้นของสารตั้ง
ต้นปฏิกิริยาจะเกิดเร็วขึ้น และเมื่อลดความเข้มข้นของสาร
ตั้งต้นปฏิกิริยาจะเกิดช้าลง
2. สารที่มีพื้นที่ผวมากจะเกิดปฏิกิริยาเคมีเร็วกว่าสารที่มี
ิ
พื้นที่ผิวน้อย
3. การเพิ่มอุณหภูมิจะทำาให้ปฏิกิริยาเกิดเร็วขึ้นและการลด
อุณหภูมิจะทำาให้ปฏิกิริยาเกิดช้าลง