More Related Content
Similar to 2562 final-project -3-16
Similar to 2562 final-project -3-16 (20)
More from Tawanny Rawipon
More from Tawanny Rawipon (20)
2562 final-project -3-16
- 1. 1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5
ปีการศึกษา 2562
ชื่อโครงงาน ของขวัญที่ดีที่สุดคือการอ่าน
ชื่อผู้ทาโครงงาน
ชื่อ น.ส. นภัสนันท์ วงค์ศิริวรากุล เลขที่ 16 ชั้น 6 ห้อง 4
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 62
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 2. 2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม 1
1.นภัสนันท์ วงค์ศิริวรากุล เลขที่16
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน
= ของขวัญที่ดีที่สุดคือ การอ่าน
ชื่อโครงงาน
= best gif of you
ประเภทโครงงาน = โครงงานสารวจ รวบรวมข้อมูล
ชื่อผู้ทาโครงงาน = นางสาว นภัสนันท์ วงค์ศิริวรากุล
ชื่อที่ปรึกษา = ไม่มีผู้ช่วย
ระยะเวลาดาเนินงาน =ภาคเรียนที่ 1 ถึงภาคเรียนที่ 2
ที่มาและความสาคัญของโครงงา
หนังสือเป็นสิ่งที่สาคัญ ที่สามารถให้ความรู้ได้หลายด้านไม่ว่า จะเป็นด้านการศึกษาและด้านความรู้รอบตัวที่
สามารถนา ไปปรับใช้ในชีวิตประจา วันได้ล้วนแต่เป็นความรู้ที่มาจากการอ่านหนังสือทั้งนั้น แต่คนในปัจจุบันไม่ได้
ความวามสาคัญ กับ หนังสือเนื่องจากมีสื่อและสิ่งเร้าต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมากขึ้นพบว่า เด็กไทยอ่านหนังสือลดลง
เกือบทุกวัน เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม ความเป็นอยู่การศึกษาและค่านิยมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม
รวมทั้งสภาพแวดล้อมในปัจจุบันอีกด้วยในขณะเดียวกันการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในสังคมนั้นไม่ได้มาจากการอ่านหนังสือ
เพียงอย่างเดียวแต่หากจะมีสื่อชนิดอื่นที่มีอิทธิพลเพิ่มขึ้นมาในสังคมอีกมากมายเช่น อินเตอร์เน็ต อีเมล์มือถือ
คอมพิวเตอร์แบบพกพา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ความรู้และความสามารถสืบค้นหาความรู้จาก
สื่อนั้น ได้ไม่ว่า จะเป็นความรู้ด้านวิชาการ บันเทิง หรือ ประสบการณ์ต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านนี้ทา ให้ทุกคนมีช่องทางใน
การค้นหาความรู้มากขึ้นเป็นผลให้เด็กไทยอ่าน หนังสือและศึกษาหาความรู้จากด้านอื่นมากขึ้น เพราะมีความ
สะดวกสบายและประหยัดเวลา
วัตถุประสงค์
1.เพื่ออยากให้การอ่านหนังสือเป็นตัวเลือกหนึ่ง ในเวลาว่าง
2.เพื่อการได้รับความรู้ ความสนุก จากการอ่านหนังสือเพื่อให้เกิดผลประโยชน์
3.เพื่อฝึกเป็นนิสัยแต่ตัวเอง
4.เพื่อการศึกษาที่ดีขึ้นของประเทศ
- 3. 3
ขอบเขตโครงงาน
ผู้จัดคานึงถึงความเข้าใจที่แท้จริงจึงกาหนดขอบเขตในการอ่านหนังสือจะต้องให้บุคคลอื่นคาดดูสถานการณ์ของ ผู้ทา
โครงงานว่ามีพฤติกรรมที่ต่างจากเดิมยังไง ต้องมีความเข้าในโครงงานและอดทน มีความสุขไปพร้อมกัน
หลักการและทฤษฎี
1.ทฤษฎีและแนวทางการอ่าน
ในส่วนนี้จะนาเสนอ โดยแยกเป็นทฤษฏีว่าด้วย “การอ่าน”, “การคิด” และ “การเขียน” ซึ่งจุดเน้นจะอยู่ที่ “การคิด”
เป็นหลัก ซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวพันกับ “การคิดวิเคราะห์” ที่สุด
๑. การอ่าน (reading)
ราชบัณฑิตยสถานนิยามว่า “อ่าน” หมายถึง “ว่าตามตัวอักษร” ส่วน “การอ่าน” หมายถึง “การแปลความหมายของ
ตัวอักษรที่อ่านออกมาเป็นความรู้ ความคิด และเกิดความเข้าใจเรื่องราวที่อ่านตรงกับเรื่องราวที่ผู้เขียนเขียน ผู้อ่าน
สามารถนาความรู้ ความคิด หรือสาระเรื่องราวที่อ่านไปใช้ประโยชน์ได้” ซึ่งมีความหมายในลักษณะเป็นการรับแล้ว
ถ่ายทอดโยใช้ตัวอักษร สัญลักษณ์ เป็นสื่อความคิด เจตนาหรือการทาความเข้าใจกับที่ผู้ถ่านทอดต้องการสื่อความคิด
เจตนาหรือการทาความเข้าใจกับผู้ที่ผู้ถ่ายทอดต้องการสื่อความหมายนั้นจุดมุ่งหมายของการอ่าน
๒. การคิด (thinking or thought)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานนิยามไว้ว่า “ทาให้ปรากฏเป็นรูปหรือประกอบให้เป็นรูปหรือเป็นเรื่องขึ้นในใจ;
ใคร่ครวญ, ไตร่ตรอง, เช่น เรื่องนี้ยากยังคิดไม่ออก; คาดคะเน เช่นคิดว่าเย็นนี้ฝนอาจจะตก; คานวณ เช่น คิดเลขใน
ใจ; มุ่ง, จงใจ, ตั้งใจ,เช่น อย่าคิดร้ายเขาเลย; นึก เช่น คิดละอาย” เรื่องของการคิดมีนักการศึกษา และนักจิตวิทยา
จานวนไม่น้อยได้สร้างคาอธิบายไว้จานวนมาก โดยสรุป ระดับของการคิดสามารถแบ่งออกได้เป็น ๒ ระดับคือ
๑. ทักษะการคิดพื้นฐาน เป็นทักษะการคิดที่เป็นพื้นฐานของการคิดในระดับที่สูงขึ้นไปเป็นการคิดที่ใช้ในการดารงชีวิต
มีการพิจารณาไตร่ตรองเหตุการณ์หรือข้อมูลต่างๆโดยอาศัยประสบการณ์เป็นหลักในการตัดสินใจ
๒.ทักษะการคิดระดับสูง เป็นทักษะการคิดที่ต้องใช้กระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายและซับซ้อนมีการกลั่นกรองข้อมูล
หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสมเหตุสมผลโดยอาศัยประสบการณ์และการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องช่วยในการตัดสินใจ
ซึ่งการที่ผู้เรียนจะเกิดกระบวนการคิดได้นั้น ครูผู้สอนจะต้องพัฒนาทักษะการคิดก่อนเพราะการสอนให้ผู้เรียนเกิด
ทักษะการคิดในเบื้องต้นจะเป็นการปูพื้นฐานให้ผู้เรียนสร้างกระบวนการคิดของตนเองได้ ในที่สุด[1]
๓. การเขียน (writing)
ราชบัณฑิตยสถานนิยามว่า การเขียน คือ “ขีดให้เป็นตัวหนังสือหรือเลข, ขีดให้เป็นเส้นหรือรูปต่าง ๆ, วาดแต่ง
หนังสือ” การเขียนเป็นการแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึก และความต้องการ ของผู้ส่งสารออกไปเป็นลาบลักษณ์
อักษร เพื่อให้ผู้รับสาร สามารถอ่านเข้าใจ ได้รับทราบความรู้, ความคิด, ความรู้สึก และความต้องการเหล่านั้น การ
- 4. 4
ถ่ายทอดโดยวิธีบอกเล่าปากต่อปาก หรือที่เรียกว่า “มุขปาฐะ” อาจทาให้สารตกหล่นหรือคลาดเคลื่อนได้ง่าย ลาย
ลักษณ์อักษรหรือที่ตัวหนังสือ ที่แท้จริงคือเครื่องหมายที่ใช้แทนคาพูดนั่นเองความสาคัญและประโยชน์ของการเขียน
สื่อความมีความสาคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นวิธีการสื่อสารและมีประโยชน์เนื่องด้วยเป็นการถ่ายทอด ความรู้ความคิด
ความรู้สึกต่างๆ ของผู้เขียนเป็นหลัก และนอกจากนั้น การเขียนยังเป็นเครื่องสาคัญในการที่จะวัดความเจริญของ
อารยธรรมของมนุษย์ในแต่ละยุคสมัยด้วย รวมทั้งถ่ายทอดภาพในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตที่เป็นการจินตนาการได้
อีกด้วย สร้างความรัก ความเข้าใจ ข้อตกลงแนวปฏิบัติเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคม
ในการเขียนภาษาไทย มีแบบแผนที่ต้องการรักษา มีถ้อยคาสานวนที่ต้องใช้เฉพาะ และต้องเขียนให้แจ่มแจ้ง เพราะ
ผู้อ่านไม่สามารถไต่ถามผู้เขียน ได้เมื่ออ่านไม่เข้าใจ ผู้ที่จะเขียนให้ได้ดี ต้องใช้ถ้อยคาให้เหมาะสมกับผู้รับสาร โดย
พิจารณาว่าผู้รับสารสามารถรับสารที่ส่งมาได้มากน้อยเพียงใด
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา
ฌัง เพียเจต์ (Jean Piaget) นักทฤษฏีชาวสวิสผู้สนใจในพัฒนาการของเด็ก ได้เสนอทฤษฎีว่า มนุษย์ทุกคนตั้งแต่เกิด
มาพร้อมที่จะสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม มนุษย์มีความสามารถในการจัดรวบรวมข้อมูล และการซึมซับปรับตัว
(assimilation) เมื่อมนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมก็จะซึมซับเอาประสบการณ์ใหม่ ให้รวมเข้าอยู่ในโครงสร้างของ
สติปัญญา(cognitive structure) โดยจะเป็นการตีความ หรือการรับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อม เพียเจต์มองว่ามนุษย์
นอกจากสามารปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังสามารถปรับโครงสร้างทางปัญญา (accommodation) ให้เข้ากับ
สิ่งแวดล้อมหรือประสบการณ์ใหม่ หรือเป็นการเปลี่ยนแปลงความคิดเดิมจากประสบการณ์เดิมให้สอดคล้องกับ
สิ่งแวดล้อมใหม่ ซึ่งเป็นความสามารถในการปรับโครงสร้างทางปัญญาขั้นตอนการพัฒนาทางปัญญาเป็นไปตาม
ขั้นตอน
กล่าวได้โดยสรุปว่าว่าเพียเจต์มองว่า ความคิดต่างๆของมนุษย์ คือความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม
ระหว่างที่ปรับตัวเพื่อรักษาดุลยภาพแห่งชีวิตจะเกิดการเรียนรู้และความคิดขึ้นด้วยพัฒนาการทางความคิด
(สติปัญญา) ต่างๆออกเป็น ๒ ระดับ คือ ๑. การปรับด้วยการซึมซับ (assimilation) และ ๒. การปรับโครงสร้างทาง
ปัญญา (accommodation)
เขากล่าวต่อไปว่า ผลการทางานของขบวนการดังกล่าวจะเกิดเป็นโครงสร้าง (schema) ขึ้นในสมองโครงสร้างต่างๆ
จะพัฒนาตามระดับอายุและจะสมบูรณ์เมื่ออายุประมาณ ๑๕ ปี เพียเจต์ถือว่าเป็นไปตามลาดับขั้นจะข้ามขั้นไม่ได้ แต่
อัตราของการพัฒนาการจะแตกต่างกันไปในเด็กแต่ละคนอันเนื่องมาจากความแตกต่างกัน มีสาเหตุมาจากสิ่งแวดล้อม
เป็นสาคัญ เพียเจท์ยังได้แบ่งการพัฒนาการทางสติปัญญาของมนุษย์เป็น ๔ ขั้น ตามลาดับอายุ คือ
๑. ขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว (sensorimotor) เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึงประมาณ ๒ ปี วัยนี้เป็นวัยที่มนุษย์
ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมด้วยประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหวของอวัยวะต่างๆของร่างกายเป็นหลัก
๒. ขั้นความคิดก่อนการปฏิบัติการ (preoperational) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่อายุประมาณ ๑ปีครึ่ง – ๖ ปี เป็นขั้นเริ่มเรียนรู้
การพูดและเข้าใจเครื่องหมายท่าทางที่สื่อความหมายเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ดีขึ้น ใช้สัญลักษณ์แทนวัตถุสิ่งของที่อยู่
รอบๆตัว เริ่มมีความสามารถทางภาษา แต่ยังไม่สามารถใช้เหตุผลได้ดีนัก
- 5. 5
๓. ขั้นการคิดแบบรูปธรรม (concrete operational) ขั้นนี้เริ่มจากอายุประมาณ ๗ – ๑๑ ปี พัฒนาการในช่วงนี้
มนุษย์สามารถใช้เหตุผลกับสิ่งที่แลเห็นได้ แล้วแบ่งสิ่งแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ได้ และสามารถคิดย้อนกลับ
(Reversibility) ได้
๔. ขั้นการคิดแบบนามธรรม (formal operational) ขั้นนี้จะเริ่มตั้งแต่อายุประมาณ ๑๑ - ๑๕ ปี เป็นช่วงที่มนุษย์
รู้จักการใช้เหตุผล และเรียนรู้เกี่ยวกับนามธรรมได้ สามารถที่จะตั้งสมมุติฐานและทฤษฎีและเห็นว่าความจริงที่เห็น
ด้วยกับการรับรู้ไม่สาคัญเท่ากับการคิดถึงสิ่งที่อาจเป็นไปได้ (possibility) เด็กวัยนี้จึงเป็นเด็กที่เริ่มมีความ
ทะเยอทะยาน ฝันอยากจะเป็นโน่นเป็นนี่