SlideShare a Scribd company logo
1 of 122
รหัสวิชา ง 33202 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ปีการศึกษา 2557
ที่มาและความสาคัญ
วัตถุประสงค์
วิธีทาขนมไทย
ประวัติความเป็นมา
วัตถุดิบในการปรุง
การแบ่งประเภท
ที่มาและความสาคัญ
เนื่องจากสมัยนี้ผลิตภัณฑ์ขนมจากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศไทย
มากขึ้น ทาให้ขนมไทยนั้นมีได้รับความนิยมน้อยลง คนไทยไม่ว่าจะเป็นวัย
เด็ก วัยรุ่น หรือแม้แต่กระทั่งผู้ใหญ่บางคนไม่รู้จักขนมไทยอีกหลายชนิด
เนื่องจากขนมบางชนิดมีขั้นตอน วิธีทาที่ซับซ้อนและใช้เวลานานทาให้มี
การทาขายน้อยลง ทาให้ขนมบางชนิดหายไป กลุ่มของพวกเราจึงจัดทา
โครงงานนี้ขึ้นมาเพื่อให้คนไทยได้รู้จักขนมไทยมากขึ้น
วัตถุประสงค์
1. ทราบประวัติความเป็นมาของขนมไทย
2. รู้วิธีการการแบ่งประเภทของขนมไทย
3. รู้ว่าวัตถุดิบในการปรุงขนมไทยมีอะไรบ้าง
4. รู้จักขนมไทยแต่ละภาค
5.ได้รู้วิธีการทาขนมไทยแต่ละชนิด
ประวัติความเป็นมา
ในสมัยโบราณคนไทยจะทาขนมเฉพาะวาระสาคัญเท่านั้นเป็นต้นว่างานทาบุญ งานแต่ง เทศกาลสาคัญ หรือ
ต้อนรับแขกสาคัญ เพราะขนมบางชนิดจาเป็นต้องใช้กาลังคนอาศัยเวลาในการทาพอสมควรส่วนใหญ่เป็น
ขนบประเพณี เป็นต้นว่า ขนมงาน เนื่องในงานแต่งงาน ขนมพื้นบ้าน เช่น ขนมครก ขนมถ้วยฯลฯ ส่วนขนม
ในรั้วในวังจะมีหน้าตาจุ๋มจิ๋มประณีตวิจิตรบรรจงในการจัดวางรูปทรงขนมสวยงามขนมไทยดั้งเดิม มี
ส่วนผสมคือ แป้ง น้าตาล กะทิ เท่านั้น ส่วนขนมที่ใช้ไข่เป็นส่วนประกอบ เช่น ทองหยิบ ทองหยอด เม็ด
ขนุน นั้น มารี กีมาร์ เดอ ปีนา (ท้าวทองกีบม้า) หญิงสาวชาวโปรตุเกส เป็นผู้คิดค้นขึ้นมา ขนมไทยที่นิยมทา
กันทุกๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่างๆก็คือขนมจากไข่ และเชื่อกันว่าชื่อและลักษณะของขนมนั้นๆ
เช่น รับประทานฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกันยืดยาวมีอายุยืนรับประทาน ขนมชั้นก็ให้ได้เลื่อนขั้น
เงินเดือน รับประทาน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เจริญรับประทานขนมทองเอก ก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น
วัตถุดิบในการปรุง
1. ข้าวและแป้ ง 5. ถั่วและงา
2. มะพร้าวและกะทิ 6. กล้วย
3. น้าตาล 7. สี (จากธรรมชาติ)
4. ไข่ 8. กลิ่นหอม (จากดอกไม้และสมุนไพร)
การแบ่งประเภท
ขนมที่ทาให้สุกด้วยการกวน ส่วนมากใช้กระทะทอง กวนตั้งแต่เป็นน้าเหลวใสจนงวด แล้วเทใส่พิมพ์หรือถาด
เมื่อเย็นจึงตัดเป็นชิ้น เช่น ตะโก้ ขนมที่ทาให้สุกด้วยการนึ่ง ใช้ลังถึง บางชนิดเทส่วนผสมใส่ถ้วยตะไลแล้วนึ่ง
บางชนิดใส่ถาดหรือพิมพ์บางชนิดห่อด้วยใบตองหรือใบมะพร้าวเช่น ขนมชั้น ขนมที่ทาให้สุกด้วยการเชื่อม
เป็นการใส่ส่วนผสมลงในน้าเชื่อมที่กาลังเดือดจนสุก ได้แก่ ทองหยอด ทองหยิบ ขนมที่ทาให้สุกด้วยการทอด
เป็นการใส่ส่วนผสมลงในกระทะที่มีน้ามันร้อนๆ จนสุก เช่น กล้วยทอด ข้าวเม่าทอด ขนมที่ทาให้สุกด้วยการนึ่ง
หรืออบ ได้แก่ ขนมหม้อแกง ขนมหน้านวล ขนมกลีบลาดวน ขนมทองม้วน สาลี่แข็ง ขนมจ่ามงกุฎ นอกจากนี้
อาจรวม ขนมครก ขนมที่ทาให้สุกด้วยการต้ม ขนมประเภทนี้จะใช้หม้อหรือกระทะต้มน้าให้เดือดใส่ขนมลงไป
จนสุกแล้วตักขึ้น นามาคลุกหรือโรยมะพร้าว ได้แก่ ขนมถั่วแปบ
นอกจากนี้ยังรวมขนมประเภทน้า ที่นิยมนามาต้มกับกะทิ หรือใส่แป้งผสมเป็นขนมเปียก และขนมที่กินกับ
น้าเชื่อมและน้ากะทิ เช่น กล้วยบวชชี มันแกงบวด
วิธีการทาขนมไทย
กล้วยบวชชี วุ้นกะทิ ข้าวเหนียวมะม่วง
สังขยาใบเตย
ขนมกล้วย
ข้าวเหนียวดา
ตะโก้
ทับทิมกรอบ
ลูกชุบ
กล้วยทอด
ทองหยอด
สังขยาฟักทอง
หม้อแกง
เม็ดขนุน
บัวลอย
วิธีการทาขนมไทย
ฝอยทอง ครองแครงกะทิ
ขนมเปียกปูน
ขนมเบื้อง
ขนมผิง
ขนมครก
กล้วยเชื่อม
ขนมอาลัว
ขนมชั้น
ขนมเทียน
ขนมถ้วย
ขนมสาลี่
ขนมปุยฝ้ าย
ขนมถังแตก
แกงบวดฟักทอง
วิธีการทาขนมไทย
ไข่นกกระทา โตเกียว
ทองม้วน
สาปันนี
เกสรลาเจียก
ลอดช่อง
ทองหยิบ
โดนัท
บ้าบิ่น
ขนมไข่
มะพร้าวแก้ว
เค้กกล้วยหอม
เต้าส่วน
ขนมรังผึ้ง
น้าดอกไม้
วิธีการทาขนมไทย
ฟักทองเชื่อม แกงบวดเผือกขนมขี้หนู
ข้าวเหนียวมูน
วุ้นสังขยา
ข้าวเหนียวเปียกลาไย
ข้าวต้มมัด
ข้าวตูมะพร้าวอ่อน
มันสาปะหลังเชื่อม
วุ้นมะพร้าวอ่อน
ข้าวปั้นขลิบทอด
กลีบลาดวน
สาคูเปียกมะพร้าวอ่อน
ถั่วแปบ
ถั่วเขียวต้มน้าตาล
วิธีการทาขนมไทย
ไข่นกกระทา โตเกียว
ทองม้วน
สาปันนี
เกสรลาเจียก
ลอดช่อง
ทองหยิบ
โดนัท
บ้าบิ่น
ขนมไข่
มะพร้าวแก้ว
เค้กกล้วยหอม
เต้าส่วน
ขนมรังผึ้ง
น้าดอกไม้
วิธีการทาขนมไทย
ขนมสอดไส้ ขนมต้มใบเตย
ขนมฝรั่งกุฏิจีน
เสน่ห์จันทร์
ขนมเผือก
น้ากะทิทุเรียน
สละลอยแก้ว
หยกมณี
ขนมมันสาปะหลัง
ขนมมันเทศเชื่อม
แตงไทน้ากะทิ
ดอกจอก
ขนมถั่วกวน
ข้าวเหนียวแดง
ลูกเดือยเปียกเผือก
วิธีการทาขนมไทย
ก้านบัว วุ้นกรอบ
พุทราเชื่อม
ข้าวเม่าคลุก
ข้าวเหนียวปิ้ง
ขนมเหนียว
กาละแม
กระยาสารทเสวย
น้าทองเอก
เทียนแก้ว
ถั่วดาแกงบวด
กอและห์
ข้าวเหนียวกลอยนึ่ง
ขนมฟักทอง
ขนมกล้วยปิ้ง
วิธีการทาขนมไทย
ข้าวโพดอบเนย ดอกโสน
เผือกเชื่อม
ขนมหน้านวล
หม้อตาล
ขนมโก๋
ลืมกลืน
ขนมทองพลุ
สาคูแคนตาลูป
ขนมกง
กล้วยบวชชี
1. นากล้วยไปนึ่งในน้าเดือดประมาณ 3-5 นาที หรือนึ่งจนกระทั่งผิวกล้วยเริ่มแตกออก จึงปิดไฟและ
นาออกมาปอกเปลือกและหั่นครึ่งลูก จากนั้นจึงหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
2. นาหางกะทิไปต้มในหม้อและใส่ใบเตยลงไปด้วย เมื่อเดือดแล้วจึงใส่กล้วยที่หั่นไว้แล้วลงไป ตาม
ด้วยน้าตาลปี๊บ, น้าตาลทรายขาวและเกลือนิดหน่อย
3. เมื่อกะทิเริ่มเดือดอีกครั้งจึงใส่หัวกะทิลงไป และปล่อยทิ้งไว้ให้เดือด
อีกประมาณ 3 นาที ถ้าต้องการให้น้าข้นเหนียวก็ให้ใส่แป้งมันลงไป
ประมาณ 1 ช้อนชาและคนให้ละลายทั่ว
4. อย่าต้มนานจนเกินไปเพราะจะทาให้กล้วยเละ กล้วยควรจะยังแข็งนิด
หน่อย จากนั้นตักใส่จานและเสิร์ฟทันที
วุ้นกะทิ
1. ทาตัววุ้นโดย ใส่ผงวุ้นและน้าเปล่า ลงในกระทะทองเหลืองแล้วนาไปต้มจนผงวุ้นละลาย(หมายเหตุ : สามารถใส่น้าใบเตย
เพื่อทาวุ้นกะทิใบเตยหรือ น้ากาแฟเพื่อทาวุ้นกะทิกาแฟหรืออาจใส่ สีผสมอาหารเพื่อให้ได้สีที่ต้องการสาหรับตัววุ้น)
2. ใส่น้าตาลทรายลงไป คนให้ละลายดีจึงหรี่ไฟเบาลง
3. ตักส่วนผสมตัววุ้นลงไปในแบบพิมพ์ที่เตรียมไว้โดยหยอดให้ได้ประมาณ 3/4 ของแบบ และปล่อยไว้ให้วุ้นจับตัวพอตึง
4. ระหว่างรอตัววุ้นแข็ง เตรียมทาหน้าวุ้นโดย ใส่ผงวุ้นและน้ามะพร้าวลงในกระทะทองเหลืองแล้วนาไปต้มจนผงวุ้นละลาย
5. จากนั้นจึงใส่แป้งข้าวโพด, หัวกะทิ (ประมาณ 1/2 ถ้วยตวง) และ เกลือลงไปในส่วน
ผสมหน้าวุ้น คนอย่างต่อเนื่องจน ส่วนผสมละลายเข้ากัน
6. ใส่หัวกะทิที่เหลือลงไปคนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นจึงนาส่วนผสม
หน้าวุ้นไปหยอดใส่พิมพ์ให้เต็มอย่างประณีต(พิมพ์ต้องใส่ตัววุ้นก่อนและต้องรอจน
ตัววุ้นแข็งพอตึงๆก่อนมิเช่นนั้นตัววุ้นและหน้าวุ้นจะผสมกัน)
7. เมื่อหน้าวุ้นและตัววุ้นแข็งดีแล้วก็ให้เคาะออกจากแบบจัดใส่จานและเสิร์ฟได้ทันที
ข้าวเหนียวมะม่วง
1. นาข้าวเหนียวไปล้างและแช่น้าทิ้งไว้1 คืน จากนั้นนาไปสะเด็ดน้า
2. นาผ้าขาวบางรองไว้ในซึ้งหรือหม้อนึ่ง แล้วจึงนาข้างเหนียววางลงบนผ้าขาวบาง จากนั้นนาไปนึ่งจนข้าวเหนียวสุก
3. ในหม้อขนาดเล็ก ใส่น้าตาล, เกลือป่น (3/4 ช้อนชา) และหัวกะทิ และนาไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนส่วนผสมทั้งหมด
เข้ากันดี จากนั้นจึงใส่ใบเตยลงไป ทิ้งไว้สักพักจึงปิดไฟ
4. ในชามขนาดกลาง ใส่ข้าวเหนียวที่นึ่งไว้จนสุกดีแล้วลงไป จากนั้นจึงใส่น้ากะทิที่เคี่ยวไว้ในขั้นตอนที่สามตามลงไป
คนจนส่วนผสมเข้ากันทั่ว และทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที
5. ในระหว่างที่รอเตรียมทาน้ากะทิราดหน้าโดย ผสมหัวกะทิ (2 ถ้วยตวง)
และเกลือป่น (1/4 ช้อนชา) ลงในหม้อขนาดเล็ก และนาไปตั้งบนไฟอ่อนๆ
คนจนเกลือละลายทั่ว จึงปิดไฟ
6. ปอกมะม่วงและจัดใส่จาน เวลาเสิร์ฟ ตักข้าวเหนียวใส่จานจากนั้นโรยหน้า
ด้วยน้าราดกะทิและถั่วทอง ควรเสิร์ฟทันทีหลังจากปอกมะม่วงเสร็จใหม่ๆ
สังขยาใบเตย
1. นาใบเตยและน้าเปล่าใส่ลงไปในเครื่องปั่นไฟฟ้า และปั่นจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นจึง
นาไปกรองด้วยผ้าขาวบาง
2. ใส่นมข้นจืด, น้าตาล, แป้งข้าวโพด, ไข่ และน้าใบเตย (ที่ทาในขั้นตอนที่หนึ่ง) ลงไปในเครื่องปั่น
ไฟฟ้าและปั่นจน ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเป็นเนื้อเดียว
3. นาส่วนผสมที่ได้ไปใส่ลงในกระทะและตั้งบนไฟอ่อนๆ
และคนอย่างต่อเนื่องประมาณ 20 นาที จึงปิดไฟ และทิ้งไว้
ให้เย็น
4. ตักสังขยาใส่ถ้วยแล้วโรยหน้าด้วยนมข้นจืดนิดหน่อย และจัด
เสิร์ฟพร้อมกับขนมปัง หรือปาท่องโก๋แล้วแต่ชอบ
ทับทิมกรอบ
1. นาแห้วที่หั่นเสร็จแล้วไปแช่ในน้าแดงประมาณ 15 นาที จากนั้นจึงนาออกมาสะเด็ดน้า
2. นาแห้วที่แช่ในน้าแดงไปคลุกในแป้งมันให้ติดผิว ค่อยๆคลุกให้ติดทั่วผิวแห้วทั้งหมด จากนั้น จึงนาไปต้มในน้า
เดือดจนสุกจึงนาออกมาแช่น้าเย็น (วิธีสังเกตุ : แห้วสุกแล้วจะลอยขึ้นเหนือน้า)
3. เตรียมทาน้าเชื่อม โดยผสมน้าตาลกับน้าและนาไปต้มจนเดือด คนจนส่วนผสมทั้งหมดละลายดี แล้วจึงปิดไฟ
4. นากะทิและเกลือไปใส่ในหม้อขนาดเล็ก และนาไปตั้งบนไฟอ่อน
จนส่วนผสมละลายเข้ากันดี จึงปิดไฟ
5. นาเมล็ดทับทิม ไปใส่ในถ้วยเสิร์ฟ โรยหน้าด้วยเกล็ดน้าแข็ง ราดด้วย
น้าเชื่อม,น้ากะทิ, ขนุนฝอยและข้าวโพด (ถ้าต้องการ) เสิร์ฟทันทีเป็น
อาหารว่าง คลายร้อนในวันสบายๆ
สังขยาฟักทอง
1. นาฟักทองมาตัดออกเป็นสี่เหลี่ยมบริเวณหัวขั้วจากนั้นจึงขวักเมล็ดข้างในออก จนกลวงเป็นช่องภายใน
จากนั้นจึงนาไปน้าปูนใสประมาณ 8 - 10 นาที แล้วจึงนาออกมาสะเด็ดน้า (เคล็ดลับ : แช่น้าปูนใสเพื่อไม่ให้
ฟักทองแตกเวลานึ่ง)
2. ระหว่างรอฟักทองที่แช่ในน้าปูนใส เตรียมทาสังขยาโดยผสมไข่ไก่,หัวกะทิ , แป้งข้าวเจ้า,
น้าตาลปิ๊บ และเกลือ คนจนส่วนผสมเข้ากันดี
3. นาส่วนผสมสังขยาที่ทาในขั้นตอนที่สองเทลงในฟักทอง
จากนั้นจึงนาไปนึ่งประมาณ 20 - 25 นาที กรณีเสิร์ฟเป็นลูก
ฟักทอง ก็นาฝาที่ตัดออกไปนึ่งด้วย ถ้าแบ่งเสิร์ฟก็หั่นเป็นชิ้นๆ
เพื่อความสวยงามและน่ารับประทาน เวลาหั่นควรระวังไม่ให้
สังขยาเละ
ขนมกล้วย
1. นากล้วย, แป้งข้าวเจ้า, แป้งมัน, น้าตาล, เกลือ, หัวกะทิ และ เนื้อมะพร้าวขูด (ประมาณ 3/4 ส่วนของ
ทั้งหมด) ผสมกัน จากนั้นนวดด้วยมือจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว
2. ตักส่วนผสมในข้อหนึ่งลงในถ้วยหรือแบบที่ต้องการ หรือจะใช้ใบตองห่อก็ได้แล้วแต่ความสะดวก เสร็จ
แล้วนาเนื้อมะพร้าวขูดที่เหลือโรยหน้า
3. นาไปนึ่งประมาณ 30 นาที หรืออาจนาไปอบโดยใช้
ความร้อนประมาณ180 องศาเซลเซียส (360 องศาฟา
เรนไฮต์) เป็นเวลา 30 นาทีเช่นกัน
4. เมื่อขนมกล้วยสุกแล้ว ให้นาออกจากแบบ สามารถ
เสิร์ฟได้ทั้งขณะร้อนหรือเย็นแล้ว
ลูกชุบ
1. นาถั่วเขียวเลาะเปลือกมาทาความสะอาด และแช่น้าทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นจึงนาไปนึ่งให้สุก ใช้เวลาประมาณ 15 นาที)
2. เมื่อถั่วเขียวสุกดีแล้ว ให้นาไปใส่ในเครื่องปั่นไฟฟ้า พร้อมกับน้าตาลทรายและน้ากะทิ ปั่นจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี
3. จากนั้นจึงเทส่วนผสมลงในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเคลือบเทฟลอนก็ได้)และตั้งบนไฟอ่อนๆ ค่อยๆกวนจนข้นและเหนียว (ใช้เวลา
ประมาณ 20 - 30 นาที) จึงปิดไฟ และทิ้งไว้ให้เย็น (ถั่วต้องแห้ง มิเช่นนั้นจะไม่สามารถนาไปปั้นได้)
4. ก่อนปั้นให้นวดส่วนผสมทั้งหมดอีกครั้งจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นจึงปั้นให้เป็นรูปทรงตามใจชอบ (ผัก, ผลไม้หรือสัตว์น่ารักๆ) เมื่อปั้น
เสร็จให้เสียบไม้จิ้มฟันรอไว้ควรปั้นส่วนผสมทั้งหมดให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ถั่วที่ปั้นเสร็จแล้วควรห่อไว้ด้วยผ้าขาวบางชุบน้าหมาดๆ
5. ผสมสีผสมอาหารตามต้องการ แล้วจึงบรรจงแต่งสีลงบนถั่วปั้นให้เหมือนจริง หรือตามแต่ความชอบ
6. ทาน้าวุ้นโดยผสมน้าเปล่า, ผงวุ้นและน้าตาล ลงในหม้อ นาไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง หมั่น
คนอย่างสม่าเสมอรอจนส่วนผสมเดือด ช้อนฟองที่ลอยหน้าออก จึงหรี่ไฟลง
7. นาถั่วปั้นที่แต่งสีแล้วไปชุบในน้าวุ้น ควรชุบประมาณ 2 - 3 ครั้ง ระหว่างชุบวุ้นต้องอุ่นน้าวุ้น
ด้วยไฟอ่อนเพื่อไม่ให้วุ้นแข็ง ถ้าไม่พอก็ผสมน้าวุ้นขึ้นใหม่ตามอัตราส่วนข้างต้น
8. นาลูกชุบออกจากไม้จิ้มฟัน ตัดแต่งเศษวุ้นส่วนเกินออกด้วยกรรไกร จัดใส่จาน เสิร์ฟเป็นของ
ว่างในวันสบายๆได้ทันที
หม้อแกง
1. นาหอมแดงไปเจียวในน้ามันจนเหลืองและกรอบ (ระวังไหม้ควรเจียวด้วยไฟอ่อนๆ )
2. นาถั่วเขียวเลาะเปลือกไปแช่ในน้าและนาไปนึ่งจนสุก หรือถ้าใช้เผือกก็ปอกเปลือกและนาไปนึ่งจนสุก จากนั้นจึงนาเผือกไปยีให้เป็นชิ้นเล็กๆ
3. ในชามขนาดกลาง, ผสมไข่ น้าตาลปี๊บและเกลือ แล้วขยาโดยใช้ใบเตยให้เข้ากันดี น้าตาลละลายหมด จากนั้นจึงใส่หัวกะทิลงไป ขยาต่ออีกจน
ส่วนผสมเข้ากันดี แล้วจึงนาไปกรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อเอาสิ่งสกปรกออก4. เอาถั่วหรือเผือกใส่ลงไปในส่วนผสมที่กรองแล้ว และใส่น้ามันที่เหลือ
จากการเจียวหอมแดง (ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ) คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี
5. นาส่วนผสมที่ได้ไปกวนด้วยไฟร้อนปานกลางในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเทฟลอนก็ได้) กวนจนส่วนผสมเริ่มข้นก็พอ ถ้ากวนมากเมื่อ
นาไปอบจะ ไม่น่าทานเพราะจะแตกมัน ที่เรานามากวนก็เพื่อป้องกันไม่ให้ส่วนผสม
แยกชั้นเมื่อนาไปอบเนื่องจากไข่กับกะทิ ไม่เข้ากันดี
6. นาส่วนผสมที่กวนแล้วไปอบ โดยใส่ถาดหรือแบบที่ต้องการ ใช้ความร้อน 180 องศา
เซลเซียส (360 องศาฟาเรนไฮต์) อบประมาณ 30 - 40 นาที จากนั้นจึงนาหอมเจียวไปโรย
หน้าและอบต่ออีกประมาณ 5 นาที
7. ถ้าอบโดยใส่ถาดไว้เวลาเสิร์ฟก็ตัดแบ่งเป็นชิ้นขนาดตามความเหมาะสมถ้าอบโดยใส่
แบบอื่นๆไว้ถ้าขนาดแบบไม่ใหญ่มาก อาจเสิร์ฟได้พร้อมแบบทันที
ข้าวเหนียวดา
1. นาข้าวเหนียวดาไปล้างทาความสะอาด แล้วจึงใส่หม้อและใส่น้าเปล่าลงไปต้มทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
คนเป็นระยะๆ จนข้าวเหนียวสุก
2. ระหว่างรอข้าวเหนียวสุกนาเผือกมาปอกเปลือกและหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า แล้วนาไปนึ่งจนสุก ทิ้งไว้
ให้เย็น
3. เมื่อข้าวเหนียวสุก เติมหัวกะทิ (เหลือหัวกะทิไว้
นิดหน่อยเพื่อราดหน้าตอนเสิร์ฟ) น้าตาลและเผือกนึ่ง
ต้มต่อไปอีกประมาณ5 นาที
4. ตักใส่ถ้วย ราดหน้าด้วยน้ากะทิ และเสิร์ฟเป็นของว่าง
ได้ทันทีขณะยังร้อน หรือเสิร์ฟขณะเย็นแล้วก็ได้
กล้วยทอด
1. นากล้วยมาปอกเปลือกและหั่นตามยาวเป็นชิ้นบางๆ หนึ่งลูกควรหั่นให้ได้อย่างน้อย 3 ชิ้น
2. นาแป้งข้าวเจ้า, แป้งสาลี, เกลือ, ผงฟู, น้าตาลปี๊บ, งาขาว, มะพร้าวขูด,น้าปูนใสและหัวกะทิ ผสมเข้า
ด้วยกันในชามขนาดใหญ่คนจนแป้งและน้าตาลละลายดี ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเป็นเนื้อเดียว
3. ใส่น้ามันลงในกระทะ และนาไปตั้งบนไฟค่อนข้างแรง รอจนน้ามันเดือด จึงใส่ใบเตยลงไปทอดก่อนให้
น้ามันหอม
4. นากล้วยที่หั่นเตรียมไว้ในขั้นตอนที่หนึ่งชุบแป้งแล้วนาไปลง
ทอดจนเหลืองสุกและกรอบ จึงตักออกมาสะเด็ดน้ามัน
5. เรียงจัดใส่จาน และเสิร์ฟเป็นของว่างทานเล่น
เม็ดขนุน
1. นาถั่วเขียวเลาะเปลือกมาทาความสะอาด และแช่น้าทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นจึงนาไปนึ่งให้สุก ใช้เวลาประมาณ 15 นาที)
2. เมื่อถั่วเขียวสุกดีแล้ว ให้นาไปใส่ในเครื่องปั่นไฟฟ้า พร้อมกับน้าตาลทรายและน้ากะทิ ปั่นจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี
3. จากนั้นจึงเทส่วนผสมลงในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเคลือบเทฟลอนก็ได้)และตั้งบนไฟอ่อนๆ ค่อยๆกวนจนข้นและเหนียว (ใช้เวลา
ประมาณ 20 - 30 นาที) จึงปิดไฟ และทิ้งไว้ให้เย็น (ถั่วต้องแห้ง มิเช่นนั้นจะไม่สามารถนาไปปั้นได้)
4. ก่อนปั้นให้นวดส่วนผสมทั้งหมดอีกครั้งจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นจึงปั้นให้เป็นรูปทรงเม็ดขนุน
5. ทาน้าเชื่อมโดยผสมน้าตาลและน้าเปล่า นาไปเคี่ยวในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเคลือบเทฟลอนก็ได้) จนเหนียวข้นเป็นยางมะตูม จึงปิดไฟ
6. ตอกไข่และเลือกเอาเฉพาะไข่แดงมารวมกัน เขี่ยพอให้ไข่แดงแตก จากนั้นจึงนาเม็ดขนุนที่
ปั้นเตรียมไว้ใส่ลงไปแช่ในไข่แดงทีละเม็ด แล้วจึงนาไปใส่ในน้าเชื่อมพยายามอย่าให้ติดกัน
พอใส่ลงไปมากแล้วจึงนากระทะไปตั้งบนไฟอ่อนๆจนสุกทั่งจึงตักออกมาพัก ทาซ้าเช่นนี้จน
เม็ดขนุนที่ปั้นไว้หมด
7. จัดเม็ดขนุนใส่จาน เสิร์ฟทานเป็นของว่างในวันสบายๆ
ตะโก้
1. เตรียมทาตัวตะโก้โดยผสมแป้งถั่วเขียว, น้าตาลทราย, น้าใบเตยและ น้ากลิ่นมะลิ เข้าด้วยกันในหม้อ และนาไปตั้ง
บนไฟร้อนปานกลาง กวนจนสุกและข้น
2. จากนั้นใส่แห้วจีนต้มที่หั่นเตรียมไว้ลงไปในหม้อ กวนต่ออีกสักครู่จึงปิดไฟ ตักตัวตะโก้หยอดในกระทงหรือแบบ
พิมพ์ที่เตรียมไว้ประมาณครึ่งหนึ่งของแบบ
3. เตรียมทาหน้าตะโก้ โดยผสมแป้งข้าวเจ้า, กะทิ และเกลือป่น
เข้าด้วยกันในหม้อขนาดเล็ก จากนั้นนาไปตั้งบนไฟร้อนปาน
กลาง กวนจนข้นพอดี จึงปิดไฟ
4. หยอดหน้าตะโก้ลงบนกระทงหรือแบบให้เต็ม ทิ้งไว้ให้เย็น
จัดใส่จานเสิร์ฟเป็นของว่างได้ทันที
ทองหยอด
1. ผสมน้าลอยดอกไม้กับน้าตาลทรายลงในกระทะทองเหลือง แล้วนาไปตั้งไฟแรงให้เดือด เคี่ยวทิ้งไว้
ประมาณ 10-15 นาที จากนั้นจึงแบ่งน้าเชื่อมส่วนหนึ่งออกมาสาหรับแช่ทองหยอดที่สุกแล้ว
2. ต่อยไข่ แยกไข่ขาวออก ใช้เฉพาะไข่แดง โดยนาไข่แดงไปกรองในผ้าขาวบางเพื่อรีดเอาเยื่อออก จากนั้นจึงตี
ไข่แดงให้ขึ้นฟู จากนั้นค่อยๆผสม แป้งทองหยอดลงไปและคนให้แป้งและไข่แดงเข้ากัน
3. นาไข่แดงที่ผสมแป้งเรียบร้อยไปหยอดในน้าเชื่อม สาหรับวิธีหยอดนั้นให้ใช้นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ และนิ้วกลาง
หยิบส่วนผสมมาเป็นลูกขนาดพอประมาณแล้วจึงสะบัดลง
ไปในน้าเชื่อม ทาเช่นนี้จนเต็มกระทะทองเหลือง จากนั้นรอจน
ทองหยอดสุกจึงตักออกมาพักใส่ในน้าเชื่อมที่แยกไว้ก่อนหน้านี้
(ทองหยอดที่สุกจะลอยขึ้น)
4. จัดทองหยอดใส่จานเสิร์ฟเป็นของว่างหรือของทานเล่น
บัวลอย
1. ทาบัวลอยโดยผสมแป้งข้าวเหนียว, เผือกนึ่งและน้าเปล่าเข้าด้วยกัน นวดจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันเป็น
เนื้อเดียว จากนั้นจึงนามาปั้นเป็นลูกกลมๆ ระหว่างปั้นนั้น ควรโรยด้วยเศษแป้งข้าวเหนียวเล็กน้อยเพื่อ
ป้องกันไม่ให้ลูกบัวลอยติดกัน (ถ้าต้องการทาบัวลอยหลายสีก็ใช้ส่วนผสมเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นฟักทองสาหรับสี
เหลือง หรือใบเตยสาหรับสีเขียว เป็นต้น)
2. ต้มน้าในหม้อขนาดกลาง รอจนเดือดจึงใส่ลูกบัวลอยที่ปั้นไว้แล้ว เมื่อบัวลอยสุกให้นาออกมาแช่ในน้าเย็น
(บัวลอยที่สุกแล้วจะลอยขึ้น) 3. ทาน้ากะทิโดยผสม กะทิ, น้าตาลมะพร้าว, น้าตาลทรายและเกลือป่นลงไป
ควรใส่น้าตาลทรายแค่ครึ่งเดียวก่อน ถ้ายังหวานไม่พอจึงค่อยใส่เพิ่มลงไป
ต้มจนเดือด จึงหรี่ไฟลง นาบัวลอยที่ต้มไว้แล้วใส่ลงไปในน้ากะทิ ต้มต่อ
อีกสักพักจึงปิดไฟ ถ้ามีมะพร้าวอ่อนก็ใส่ได้เลย พร้อมลูกบัวลอย (กรณี
ต้องการทาบัวลอยไข่หวาน ก็ตอกไข่ใส่ไปในหม้อหลังจากที่ใส่บัวลอย
ลงไป รอจนไข่สุกจึงปิดไฟ)
4. ตักใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยงาขาว เสิร์ฟขณะร้อนหรือรอให้เย็นก็ได้
แกงบวดฟักทอง
1. ทาความสะอาดและหั่นฟักทองเป็นชิ้นพอดีคา เพื่อความสวยงามไม่ต้องปอกเปลือกออก
2. นาหางกะทิ, ใบเตย, น้าตาลทรายและน้าตาลปี๊บใส่ลงไปในหม้อ และนาไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง
จนเดือด
3. ใส่ฟักทองที่หั่นไว้แล้วลงไป ต้มต่อไปจนฟักทองสุกและนุ่ม (ใช้เวลาประมาณ 10 นาที)
4. ใส่หัวกะทิและเกลือลงไป ต้มต่อจนเดือดอีกครั้งจึงปิดไฟ
5 . ตักใส่ถ้วย สามารถเสิร์ฟทันทีขณะร้อน หรือปล่อยไว้ให้
เย็นแล้วค่อยเสิร์ฟเป็นอาหารว่างในวันสบายๆ
ฝอยทอง
1. ต่อยไข่ไก่และไข่เป็ด เลือกเอาเฉพาะไข่แดง นาออกมากรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อรีดเอาเยื่อออก
2. ผสมไข่แดง, ไข่น้าค้างและน้ามันพืชเข้าด้วยกัน คนจนผสมกันทั่ว
3. นาน้าลอยดอกมะลิผสมกับน้าตาลในกระทะทองเหลืองและนาไปตั้งไฟร้อนปานกลาง รอจน
เดือด
4. นาส่วนผสมไข่แดงใส่ลงไปในกรวยและนาไปโรยใน
น้าเชื่อมที่เดือด ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาทีจนไข่สุกจึงใช้ไม้แหลม
สอยขึ้นและพับให้เป็นแพตามต้องการ
5. จัดใส่จาน เสิร์ฟเป็นของว่างทางเล่นในวันสบายๆ
ครองแครงกะทิ
1. นาแป้งมันไปร่อนและผสมกับน้ากะทิ (1/2 ถ้วยตวง) ในกระทะทองเหลือง นาไปตั้งบนไฟอ่อนๆจนแป้งละลาย
คนจนแห้งและเหนียว จึงปิดไฟ
2. นาแป้งมานวดจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว และนาไปปั้นเป็นลูกกลมๆ จากนั้นจึงนาไปกดบนแบบครองแครง (ถ้าไม่มี
ใช้ส้อมกดแทนพอได้) เสร็จแล้วนาไปคลุกแป้งมันนิดหน่อยเพื่อไม่ให้ติด และใช้ผ้าขาวบางหมาดๆ คลุมไว้ทา
ครองแครงจนแป้งหมด
3. ตั้งน้าร้อนในหม้อจนเดือด จึงนาครองแครงที่ปั้นแล้วใส่ลงไปต้มจนสุกใส จึงนาออกมาแช่น้าเย็นไว้สักพักแล้วนา
ออกมาสะเด็ดน้า
4. ทาน้ากะทิโดยผสมหัวกะทิ (1 ถ้วยตวง), น้าตาลทราย และเกลือป่น
ลงในหม้อ และนาไปตั้งบนไฟอ่อนๆ จนละลายเข้ากันดี รอจนน้ากะทิ
เดือดจึงใส่ครองแครงที่ต้มสุกแล้วลงไป ต้มต่ออีกสักพักจึงปิดไฟ
5. ตักใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยงาขาว และเสิร์ฟเป็นของว่าง
ขนมเปียกปูน
1. นากาบมะพร้าวไปเผาไฟพอไหม้นิดหน่อยจึงนาไปจุ่มลงในน้าสะอาด ทิ้งไว้ให้กาบมะพร้าวแห้ง จึงนาไปโขลกให้
ละเอียด และร่อนจนได้ผงละเอียด แล้วจึงนาไปผสมกับน้าสะอาด 3/4 ถ้วยตวง
2. ผสมแป้งข้าวเจ้าและ แป้งเท้ายายม่อม กับน้ากะทิ, น้าปูนใส, น้ากาบมะพร้าว (ที่ทาในขั้นตอนที่ 1)และ น้าตาล
มะพร้าว ผสมจนทุกอย่างละลายเข้ากันดีจึงนาไปกรองด้วยผ้าขาวบาง
3. เมื่อกรองเสร็จแล้ว เทส่วนผสมลงในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเทฟลอนก็ได้) นาไปตั้งไฟกวนโดยใช้ไฟแรง
กวนสักพักพอแป้งจับตัวกันเป็นก้อน จึงลดไฟลงและ
กวนต่อจนส่วนผสมข้นและเหนียว จึงเทใส่ถาดเกลี่ยหน้าให้เรียบ
หรือเทใส่แบบพิมพ์ที่เตรียมไว้
4. ถ้าเทใส่ถาด รอจนส่วนผสมเย็นจึงตัดเป็นชิ้น โรยด้วยเนื้อมะพร้าวฝอย
ตักเป็นชิ้นใส่จานเสิร์ฟ
กล้วยเชื่อม
1. นากระทะทองเหลืองไปตั้งบนไฟอ่อน จากนั้นผสมน้าตาลทราย, น้าเปล่า และน้ามะนาวลงไป คน
จนส่วนผสม ทุกอย่างเข้ากันดี
2. นากล้วยที่ปอกแล้วลงไปเชื่อมในกระทะ เชื่อมจนสุกทั่ว โดยสังเกตุว่าผิวกล้วยจะใส ฉ่าและเป็นเงา
จากนั้นตักใส่จานเสิร์ฟเตรียมไว้
3. ทาน้าราดหน้าโดยผสมน้ากะทิกับเกลือป่นเข้าด้วยกัน
นาไปตั้งบนไฟอ่อนๆสักพัก ระวังอย่าให้กะทิแตกมัน
4. เวลาเสิร์ฟ ราดน้ากะทิบนกล้วยที่เชื่อมแล้ว สามารถเสิร์ฟ
ได้ทั้งขณะร้อน หรือเย็น
ขนมถ้วย
1. เตรียมทาตัวขนมโดย นาหางกะทิไปผสมกับแป้งข้าวเจ้า, แป้งเท้ายายม่อม, น้าตาลปี๊บและน้าใบเตย นวดจนเข้ากันดี
นาไปกรองด้วยผ้าข้าวบางและพักไว้
2. เตรียมทาหน้าขนมโดยนาหัวกะทิผสมกับแป้งข้าวเจ้าและเกลือ คนจนละลายดีจึงนาไปกรองด้วยผ้าขาวบาง และทิ้งไว้
3. ตั้งหม้อนึ่งรอจนน้าเดือดจึงเรียงถ้วยตะไลลงไป นึ่งจนถ้วยตะไลร้อน จึงเริ่มหยอดตัวขนม (ที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 1)
ลงไปประมาณ 3/4 ถ้วยตะไล จากนั้นจึงปิดฝาหม้อและนึ่งทิ้งไว้
ประมาณ 3 - 5 นาที จากนั้นจึงหยอดหน้าขนม (ที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 2)
ลงไปในถ้วยตะไล จนเต็มและนึ่งต่อไปอีกประมาณ 5 นาที
4. รอจนเย็นแล้วจึงนาไปเสริฟ เวลาเสริฟสามารถเสริฟทั้งถ้วย
ตะไล หรือใช้ไม้พายแคะออกจากถ้วยแล้วจัดเรียงใส่จาน
ขนมเบื้อง
1. เตรีมทาตัวแป้งโดยนาแป้งข้าวเจ้า, แป้งถั่วเขียวและแป้งสาลีไปร่อนรวมกัน แล้วจึงนาไปผสมกับน้าปูนใส,
น้าตาลปี๊บและไข่แดง นวด(ขยา) จนส่วนผสมเข้ากันดี แล้วจึงพักไว้
2. เตรียมทาน้าตาลทาขนมเบื้อง โดยนาไข่ขาวและน้าตาลปี๊บมาผสมกัน คนจนน้าตาลละลายทั่วดี แล้วจึงพักไว้
3. เตรียมทาส่วนผสมหน้าครีม โดยผสมไข่ขาว, น้าตาลทรายและครีมออฟทาร์ทาร์เข้าด้วยกัน ตีจนส่วนผสมเข้ากัน
ดี, ผิวเนียนและขึ้นฟู จึงพักไว้
4. ตั้งไฟบนกระทะก้นแบน ใช้กระจ่าแตะที่ส่วนผสมตัวแป้ง (ที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 1) แล้วละเลงบนกระทะ
จากนั้น จึงเลือกเอาว่าจะทาน้าตาล (ส่วนผสมที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 2)
หรือจะทาครีม (ส่วนผสมที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 3) เลือกเอา อย่างใด
อย่างหนึ่งเท่านั้น แล้วละเลงบนตัวแป้ง
5. จากนั้นจึงเลือกว่าจะใส่ไส้เค็มหรือไส้หวาน เมื่อใส่ไส้เสร็จแล้ว
รอสักพักจนขนมสุกจึงพับครึ่งแล้วแซะใส่ถาด หรือจัดใส่จานเสิร์ฟ
ขนมอาลัว
1. นามะพร้าวขูดไปผสมกับน้าลอยดอกมะลิ จากนั้นนาไปคั้นจนได้น้ากะทิ
2. นาแป้งสาลี, แป้งถั่วเขียว และแป้งมันร่อนผสมกัน
3. นาน้ากะทิผสมกับแป้งและน้าตาล คนจนละลายเข้ากันดี จึงนาไปกรองด้วยผ้าขาวบาง เสร็จแล้วนาไปตั้งบน
ไฟร้อนปานกลาง ใส่สีผสมอาหารลงไป และกวนเรื่อยจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดี (แป้งจะมีลักษณะเหนียว
ใสๆ ถ้านาไปหยอดในน้า แล้วแป้งยังคงรูปอยู่ก็เป็นอันใช้ได้)
4. นาน้าแป้งที่ได้ตักใส่ถุงบีบ แล้วจึงบีบลงในถาดที่ทาเนย
ขาวบาง ๆ แล้วจึงนาไปตากแดดสัก 2 - 3 แดด เสร็จแล้วนา
ไปอบควันเทียน
5. จัดใส่จานเสิร์ฟได้ทันที หรือใส่กระปุกมิดชิดเก็บไว้รับประทาน
ภายหลังได้
ขนมสาลี่
1. ตอกไข่ใส่ชาม แล้วใช้ส้อมตีแรงๆ ระหว่างตีนั้นก็ใส่น้าตาลทรายลงไปด้วยตีไข่จนขึ้นเป็นสีขาวนวล
2. ร่อนแป้งสาลี แล้วนาไปผสมในไข่ คนเบาๆจนแป้งละลายดีจึงใส่สีผสมอาหารลงไป (ไม่ควรใส่มากควร
ผสมให้เป็นสีโทนอ่อน จะน่ารับประทานมากกว่าสีเข้ม)
3. นากระดาษปูลงในถาดที่จะใช้นึ่งขนม จากนั้นเทแป้งลงในถาด (หรือแบบพิมพ์ที่เตรียมไว้)และแต่งหน้า
ด้วยลูกเกด (แล้วแต่ความชอบ)
4. ตั้งหม้อนึ่งรอจนน้าเดือด จึงนาถาด (หรือแบบพิมพ์)ที่ใส่แป้งลง
ไปนึ่ง ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ถ้าแป้งหนาอาจต้องใช้เวลานึ่งนานขึ้น
(20-25 นาที) เมื่อสุกดีแล้วจึงยกลง ทิ้งไว้ให้เย็นตัดเป็นชิ้นๆ จัดใส่
จานเสิร์ฟ
ขนมผิง
1. นากะทิไปตั้งบนไฟอ่อน ใส่น้าตาลลงไป คนจนน้าตาลละลายดี
2. จากนั้นจึงใส่แป้งลงไปในกะทิ ใส่ทีละน้อย ใส่แล้วคนต่อเนื่องจนแป้งนุ่ม จึงนามาปั้นเป็นก้อนกลมๆ
หรือปั้นเป็นรูปทรงตามใจชอบ แล้วจึงนาไปวางบนถาดซึ่งทาน้ามันไว้บางๆปั้นทิ้งไว้1 คืนจนแห้ง (อย่า
วางชิดกันมาก เนื่องจากเวลานาไปอบขนมอาจขยายและติดกันได้)
3. วันรุ่งขึ้นนาแป้งที่ปั้นไว้ไปอบในเตาประมาณ 15 นาที
หรืออบจนส่วนล่างเป็นสีน้าตาลอ่อน จึงเอาออกมาแซะออก
และนาไปอบควันเทียน
4. จัดขนมใส่จานเสิร์ฟ หรือใส่โหล, ภาชนะมิดชิดเก็บไว้
ทานภายหลัง
ขนมชั้น
1. นาดอกอัญชันล้างน้าให้สะอาด นาไปปั่นใส่น้าแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง เพื่อเตรียมน้าดอกอัญชัญ กรณีต้องการทาสีเขียวจากใบเตย ก็นาเอา
ใบเตยไปล้างให้สะอาดและนาไปปั่นใส่น้าและกรองด้วยผ้าขาวบาง กรณีต้องการสีอื่น อาจใช้สีผสมอาหารแทน
2. นาน้าลอยดอกมะลิไปตั้งบนไฟอ่อนๆ ผสมน้าตาลทรายลงไป คนจนละลายดีเสร็จแล้วทิ้งไว้ให้เย็น
3. นาแป้งทั้งสองชนิด ผสมกับกะทิ นวดให้เหนียว จากนั้นใส่น้าลอยดอกมะลิที่ผสมน้าตาลแล้ว (ขั้นตอนที่ 2) ลงไปผสมให้เข้ากัน
4. แบ่งแป้งที่ผสมแล้วออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกแบ่งไว้ทาสีขาว และส่วนที่สอง ไว้ทาสีม่วงโดยเติมน้าดอกอัญชัน(น้าใบเตยหรือสีผสมอาหาร)
ลงไปคนให้เข้ากัน
5. นาถาดที่ต้องการ (หรือแบบพิมพ์ที่เตรียมไว้) ใส่บนลังถึงตั้งบนไฟแรง ๆ พอน้าเดือด
เปิดฝา ตักแป้งสีขาวเทใส่ลงในถาดเกลี่ยให้ทั่วถาดบางที่สุด ปิดฝาเพื่อให้สุกประมาณ
5 นาที เปิดดูแป้งจะมีลักษณะใส จากนั้นตักแป้งสีม่วง (หรือสีที่ผสมลงไป) ใส่ลงไป
อีก ทาสลับกันจนแป้งหมด
6. นึ่งจนขนมสุกทั้งหมด แล้วยกลงทิ้งไว้ให้เย็นประมาณ 2 ชั่วโมงจึงตัดเป็นชิ้นเพื่อเสิร์ฟ
ขนมปุยฝ้าย
1. ผสมเอสพี น้าตาลทรายและน้า 1 ถ้วยเข้าด้วยกัน จากนั้นคนด้วยเครื่องตีไข่ ระหว่างคนตอกไข่ลงไป 2 ฟองและ
คนต่อไปเรื่อยๆ
2. นาผงฟูผสมกับแป้งสาลี แล้วนาไปร่อน จากนั้นจึงใส่ผสมลงไปกับส่วนผสมที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 1 คนต่อไป
ให้เข้ากันทั่ว
3. ใส่น้า 1 ถ้วยตวง, นมข้น และน้ามะนาว คนหรือตีต่อไปจนส่วนผสมขึ้นขาว จึงใส่สีและกลิ่นตามความชอบ
4. จากนั้นนาส่วนผสมไปหยอดลงในแบบหรือพิมพ์ที่เตรียมไว้
แต่งหน้าด้วยลูกเกด (แล้วแต่ความชอบ) และนาไปนึ่งโดยใช้
ไฟแรงๆ ประมาณ 10 นาทีหรือจนสุก จึงยกลง
5. ทิ้งไว้ให้เย็น สามารถนาไปเสิร์ฟทานได้ทันที
ขนมครก
1. ทาตัวแป้งก่อน โดยเอาข้าวสารซาวให้สะอาดผสมกับข้าวสุก, แป้งข้าวเจ้า, มะพร้าว และเกลือ ใส่กะละมังพักไว้
2. ต้มน้าให้เดือด แล้วเอามาผสมในกะละมังที่ใส่ส่วนผสมไว้ใช้ไม้พายคนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันทั่ว
3. ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วเอาไปโม่ก็จะได้แป้งขนมครกตามต้องการ
4. ทากะทิหยอดหน้าโดยผสมหัวกะทิ, น้าตาลทรายและเกลือป่นเข้าด้วยกัน เสร็จแล้วพักไว้
5. วิธีทา นากระทะหลุมที่เตรียมไว้ตั้งไฟจนร้อนได้ที่ จึงเช็ดหลุมด้วยน้ามัน
จากนั้นจึงหยอดแป้งลงไป (อย่าหยอดจนเต็ม เพราะต้องหยอดหน้ากะทิภาย
หลัง) ปิดฝาทิ้งไว้จวนสุกจึงเปิดฝาออกและหยอดด้วยหน้ากะทิที่เตรียมไว้
ถ้ามีต้นหอมหรืออย่างอื่นเพิ่มเติมก็โรยลงบนหน้ากะทิ ปิดฝารอสักพักจน
สุกจึงแคะออก ควรทานขณะร้อนจะรสชาติดีกว่าทิ้งไว้จนเย็น
ขนมเทียน
1. เริ่มจากทาตัวแป้งก่อนโดย นาน้าตาลโตนดไปเคี่ยวจนเหนียวแล้วจึงนาไปนวดกับแป้งข้าวเหนียวจน
เข้ากันดี
2. เตรียมทาไส้หวาน โดยนาน้าตาลโตนดเคี่ยวกับมะพร้าวจนแห้งจึงปิดไฟ ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วปั้นเป็น
ก้อนกลมๆ สาหรับไส้เค็ม ให้นาน้ามันใส่กระทะไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง จากนั้นใส่ถั่วนึ่ง, พริกไทย
, เกลือและน้าตาลทราย ผัดจนหอมและส่วนผสมเข้ากันทั่วจึงปิดไฟ และทิ้งไว้ให้เย็น
3. ห่อขนมโดยตัดใบตองเป็นแผ่นๆ เช็ดให้สะอาดและทาด้วยน้ามัน
นิดหน่อย ตักแป้งใส่แล้วห่อไส้เค็มหรือไส้หวานตามชอบ จากนั้น
นาแป้งอีก ก้อนวางลงบนไส้ ห่อให้เป็นรูปสามเหลี่ยม นาไปนึ่ง
ประมาณ 30 นาทีจนสุกดี
ขนมถังแตก
1. ผสมแป้งสาลี, แป้งข้าวเจ้า, น้าตาลทราย(ส่วนที่ 1 : 800 กรัม) และเกลือป่นเล็กน้อย จากนั้นใส่กะทิและน้า
คนให้เข้ากัน
2. ผสมยีสต์กับน้าตาลทราย (ส่วนที่ 2 : 2 ช้อนชา)ในน้าอุ่นเล็กน้อย คนให้เข้ากันดี จากนั้นจึงปิดฝาภาชนะที่ใช้
ผสม นาไป ตากแดดประมาณ 8-10 นาที จึงนาไปผสมกับส่วนผสมแป้งในขั้นตอนที่หนึ่ง คนส่วนผสมทั้งหมด
ให้เข้ากันดี ทิ้งไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง พอเริ่มมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวและมีฟองเป็นอันใช้ได้
3. ทาน้ามันที่กระทะ ตั้งไฟจนร้อนจัดแล้วลดไฟลง ตักแป้ง
(ประมาณ 1/2 ถ้วยตวง) ใส่กระทะเหล็ก พอแป้งเริ่มสุก
จึงโรยน้าตาลทราย(ตามความหวานที่ชอบ), งา และมะพร้าว
ขูด แซะพับครึ่งแล้วตักขึ้นใส่จานเสิร์ฟ
น้าดอกไม้
1. ผสมแป้งข้าวเจ้าและแป้งเท้ายายม่อม จากนั้นนาไปร่อนและพักทิ้งไว้
2. นาน้าลอยดอกมะลิและน้าตาลทรายไปตั้งในหม้อบนไฟอ่อนๆ คนจนผสมกันทั่วและน้าตาล
ละลายดีจึงปิดไฟ ทิ้งไว้ให้เย็น
3. นาน้าเชื่อมและแป้งผสมกันทีละน้อย คนจนส่วนผสมเข้ากันดี จึงใส่สีผสมอาหารลงไป ควรผสม
ให้เป็นสีโทนอ่อนจะน่ารับประทานมากกว่าสีเข้ม
4. นาแบบพิมพ์ที่ต้องการไปนึ่งให้ร้อนประมาณ 10 นาที
จากนั้นจึงหยอดน้าแป้งลงในแบบพิมพ์ที่ต้องการ แล้วนา
ไปนึ่งประมาณ 15
นาทีจนสุก ทิ้งไว้ให้เย็น แคะออกจากแบบ จัดใส่จานเสิร์ฟ
ไข่นกกระทา
1. นาแป้งมัน, แป้งสาลี, น้าตาลทราย, และเกลือผสมเข้าด้วยกัน
2. นาส่วนผสมในขั้นตอนที่หนึ่งไปผสมกับมันเทศนึ่ง จากนั้นใส่น้าปูนใสลงไปนิดหน่อย ขยา
ส่วนผสมจนเข้ากันดี จึงปั้นเป็นลูกกลมๆ
3. ตั้งน้ามันในกระทะบนไฟร้อนปานกลาง รอจนน้ามันร้อนจึงใส่แป้งที่ปั้นไว้แล้วลงไปทอด คอย
กลับสม่าเสมอ อย่าให้ไหม้
4.. เมื่อสุกเหลืองดี ตักออกมาสะเด็ดน้ามัน ทิ้งไว้ให้เย็น
(โรยหน้าด้วยงาขาว) จึงเสิร์ฟรับประทานได้
โตเกียว
1. ทาตัวแป้งโดยผสมน้าเปล่ากับโซดาไบคาร์บอเนต จากนั้นจึงใส่ไข่ไก่และน้าตาลทรายลงไปตีพอให้น้าตาล
ละลาย (ไม่ต้องตีจนฟู) จากนั้นจึงใส่แป้งสาลีลงไป คนจนแป้งละลายดีและส่วนผสมเข้ากัน เสร็จแล้วพักทิ้งไว้
2. ทาไส้ขนมโดยนานมข้นผสมกับแป้งข้าวโพดและเติมน้าเปล่าลงไปจากนั้นนาไปตั้งบนไฟอ่อน กวนจนแป้ง
สุกจึงใส่ไข่ลงไป กวนจนเข้ากัน จึงใส่กลิ่นวานิลา, เกลือ และเนย คนจนส่วนผสมเข้ากันดีจึงปิดไฟ และทิ้งไว้ให้
เย็น
3. วิธีทาขนม : ตักส่วนผสมตัวแป้งและละเลงบนกระทะแบน
พอแป้งสุกจึงตักไส้ขนมใส่บนตัวแป้ง (กรณีต้องการทาไส้
ไส้กรอก ก็นาไส้กรอกลงไปวางบนตัวแป้ง หรือต้องการทา
ไส้แยมก็ทาแยมผลไม้ลงไปบนตัวแป้ง) ม้วนปิดไส้ แซะออก
จากกระทะ จัดใส่จานเสิร์ฟได้ทันที
ทองม้วน
1. นามะพร้าวไปคั้นให้ได้น้ากะทิ จากนั้นจึงนาไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง เคี่ยวจนกะทิแตกมัน
2. ผสมแป้งสาลีกับน้าตาลทราย แล้วจึงนาน้ากะทิที่ได้จากขั้นตอนที่หนึ่งมาผสม คนจนแป้งละลายดี
3. ตอกไข่ใส่ลงไป ตีจนขึ้นฟอง จึงใส่แป้งหอมผสมอาหารและงาขาว คนจนผสมกันทั่ว พักทิ้งไว้4.
ทาน้ามันบนกระทะแบน รอจนร้อนจึงหยอดแป้งที่เตรียมไว้ลงไป รอให้สุกจึงกลับหน้าให้เหลืองทั้ง
สองด้าน ขณะที่ขนมยังร้อน พับม้วนตามต้องการ จึงนาออกจากเตา
5. เสิร์ฟรับประทานได้ทันที หรือเก็บในภาชนะมิดชิดเพื่อไว้
รับประทานภายหลัง
ทองหยิบ
1. ผสมน้าเปล่าและน้าตาลทรายลงในกระทะทองเหลือง นาไปตั้งบนไฟอ่อนจนละลายปิดไฟ ทิ้งไว้
ให้เย็นนาไปกรองด้วย ผ้าขาวบางหนึ่งครั้ง
2. นาน้าเชื่อมที่กรองแล้วไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง กะพอให้น้าเชื่อมร้อนจัดแต่ไม่ให้เดือดพล่าน
3. ใส่ไข่แดงลงในถ้วย ตีจนขึ้นฟู เมื่อน้าเชื่อมร้อนได้ที่ ใช้ช้อนตักไข่แดงที่ตีจนฟู หยอดลงใน
น้าเชื่อม ไข่จะแผ่เป็นวงกลม ใช้ช้อนกลับหน้าสักครั้งเพื่อให้
สุกทั่วทั้งสองด้าน จากนั้นจึงตักขึ้น
4. รอจนหายร้อน จึงจับจีบโดยใช้นิ้วมือหยิบ 5 หยิบแล้วใส่ลง
ในถ้วยตะไลหรือแบบพิมพ์ที่เตรียมไว้
มะพร้าวแก้ว
1. ผสมน้าเปล่าและน้าตาลทรายลงในกระทะทองเหลือง นาไปตั้งบนไฟอ่อนจนละลาย ใส่เกลือลงไป เคี่ยวต่อจน
เหนียวเป็นยางมะตูม แล้วจึงเติมสีผสมอาหารลงไป (ถ้าต้องการหลายสี ให้แบ่งน้าเชื่อมออกมาเป็นส่วนๆ ตามจานวนสี
ที่ต้องการ)
2. เมื่อเตรียมน้าเชื่อมเสร็จแล้ว ใส่มะพร้าวขูดลงไปเชื่อม คนให้ทั่วเพื่อให้น้าตาลจับมะพร้าวให้ทั่วทั้งเส้น เชื่อมจนน้า
งวดลงจึงปิดไฟ
3. ตักมะพร้าวเชื่อมออกมาวางบนถาด ใช้ช้อนจัดแต่งรูปทรงให้
เป็นลักษณะก้อนกลมขนาดพอๆกัน (ต้องทาให้เสร็จก่อนน้าเชื่อม
แห้ง) เมื่อทาเสร็จ ให้นาไปผึ่งแดดจนแห้ง
4. จัดใส่จานเสิร์ฟหรือใส่ภาชนะมิดชิดเพื่อเก็บไว้รับประทาน
ภายหลังได้
สาปันนี
1. นาน้าลอยดอกมะลิไปผสมกับมะพร้าวขูด คั้นเป็นน้ากะทิออกมา จากนั้นใสน้าตาลทรายลงไป
แล้วนาไปตั้งบนไฟอ่อนๆ เคี่ยวจนงวดเป็นยางมะตูม ปิดไฟและทิ้งไว้ให้เย็น
2. นาแป้งมันไปคั่วบนกระทะให้สุก เสร็จแล้วปิดไฟ ทิ้งไว้ให้เย็น
3. ผสมแป้งที่คั่วแล้ว (ขั้นตอนที่สอง) กับน้ากะทิเชื่อม
(ขั้นตอนที่ 1) และสีผสมอาหาร คนจนส่วนผสมละลาย
ทั่วและเข้ากันดี จึงนาไปอัดใส่แม่พิมพ์ที่เตรียมไว้อบ
ด้วยเทียน
4. จัดใส่จานเสิร์ฟ รับประทานได้ทันที
โดนัท
1. ผสมไข่ไก่, นมสด, น้าตาลทราย, น้าเปล่าและเกลือป่นเข้าด้วยกัน คนจนเข้ากันดีแล้ว จึงพักไว้
2. นาแป้งสาลี ผสมกับยีสต์, นมผงและผงฟู เมื่อผสมเสร็จก็ค่อยๆเติมน้าที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่หนึ่งลงมา
ผสม แล้วค่อยๆนวดแป้งไปเรื่อยๆ เติมจนน้าหมด
3. หลังจากนั้นให้ผสมเนยลงไปในแป้งและนวดต่ออีกจนเนื้อแป้งเนียนเข้ากันดี ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30 นาที
4. พักแป้งที่นวดไว้แล้วให้ขึ้นฟูประมาณ30 นาที จากนั้นจึงปั้น
เป็นก้อน ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วจึงเจาะเป็นรู และวางพักไว้
อีก 20 นาที จึงนาไปทอดจนเหลืองสุกทั่ว ตักออกไปสะเด็ดน้ามัน
5. รอจนโดนัทหายร้อนจึงนาไปคลุกน้าตาลทรายที่ผิวให้ทั่ว
พร้อมเสิร์ฟ
เค้กกล้วยหอม
1. ผสมเนย, กล้วย และโซดาไบคาร์บอเนต ตีจนขึ้นฟู
2. ผสมน้าตาลทรายและไข่เข้าด้วยกัน ตีจนขึ้นฟู จากนั้นจึงแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกนาไปตีผสม
กับเนยและกล้วย (ที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่หนึ่ง) คนให้เข้ากัน
3. ร่อนแป้งและผงฟูรวมกัน จากนั้นจึงนาส่วนผสมไข่กับน้าตาลทรายส่วนที่แบ่งไว้อีกส่วนมาผสม
กัน คนให้เข้ากันดี
4. นาส่วนผสมทั้งสองส่วนมาผสมเคล้ากันให้ทั่ว
จากนั้นจึงเทส่วนผสมลงในแบบหรือพิมพ์ที่เตรียมไว้
จากนั้นจึงนาไปอบที่อุณหภูมิ 430 องศาฟาเรนไฮต์จนสุก
เกสรลาเจียก
1. เตรียมทาไส้โดยนาน้าตาลมะพร้าวไปผสมกับน้าเล็กน้อย นาไปตั้งไฟให้ละลาย จึงใส่มะพร้าวขูด เคี่ยวสัก
พักจึงนาไปอบควันเทียน
2. ทาตัวแป้งโดย นาแป้งข้าวเหนียวนวดกับหัวกะทิ ถ้าชื้นมาก ก็ผึ่งให้หมาด จึงจะยีได้สะดวก แต่แป้งต้องชื้น
อยู่เสมอ
3. ตั้งกระทะแบนบนไฟอ่อนๆ ให้ยีแป้งผ่านกระชอนลวดตาละเอียด ๆ
หรือแล่ง โรยให้แป้งบางเสมอกันเป็นแผ่นกลม
4. พอแป้งสุก ตักไส้ใส่บนตัวแป้ง ม้วนปิดไส้ แซะขึ้นเรียงใส่โถ
อบด้วยควันเทียนให้หอม
บ้าบิ่น
1. นามะพร้าวทึนทึกขูดฝอยไปผสมกับ แป้งมัน, แป้งข้าวเหนียว, น้าตาลทราย ผสมให้เข้ากัน
2. จากนั้นใส่ไข่ไก่ทั้งฟองและกะทิ คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี
3. ตักส่วนผสมเทใส่ถาด (หรือแบบที่เตรียมไว้) ควรทาน้ามันบางๆที่ถาดเพื่อไม่ให้ขนมติดเมื่ออบ
เสร็จ จากนั้นจึงนาไปอบด้วยอุณหภูมิ ประมาณ 280 - 300 องศาเซลเซียสประมาณ 25 นาทีหรือจน
สุกทั่ว
4. เมื่อขนมสุกแล้วนาออกมาแล้วทาด้วยไข่แดงที่หน้าขนม
จากนั้นนาไปอบต่ออีกสักพัก จะได้ขนมที่มีหน้า เป็นสีน้าตาล
5. เมื่ออบรอบสองแล้ว นาออกมาทิ้งไว้ให้เย็น ตัดเป็นชิ้นๆ
เสิร์ฟรับประทานได้ทันที
เต้าส่วน
1. นาถั่วเขียวเลาะเปลือก ล้างทาความสะอาด จากนั้นจึงนาไปแช่ในน้าร้อนประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้น
จึงนาไปใส่ผ้าขาวบางและนาไปนึ่งจนสุก
2. ระหว่างรอถั่วเขียวนึ่ง เตรียมทาน้ากะทิราดหน้าโดยนาหัวกะทิไปผสมกับเกลือและนาไปตั้งบนไฟ
อ่อนๆ คนสักพักจึงใส่แป้งข้าวเจ้าลงไปกวนจนแป้งสุกจึงปิดไฟ และพักไว้
3. นาน้าเปล่าไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง จากนั้นจึงใส่น้าตาลทรายลงไปคนจนละลายดี เสร็จแล้วใส่
แป้งมัน ลงไปคนต่อจนแป้งสุกใสใส่ถั่วเขียวนึ่งที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่หนึ่ง
ลงไป คนจนกระจายทั่ว จึงปิดไฟ
4. ตักเต้าส่วนใส่ถ้วย ราดหน้าด้วยน้ากะทิ (ที่เตรียมไว้ในขั้นตอน
ที่สอง) พร้อมเสิร์ฟได้ทันทีทั้งร้อนและเย็น
ลอดช่อง
1. ทาตัวลอดช่องโดยผสมแป้งข้าวเจ้า, แป้งเท้ายายม่อม, แป้งซ่าหริ่ม เข้าด้วยกัน หลังจากนั้นค่อยๆใส่น้า ปูนใสทีละ
น้อย ขณะเดียวกันก็นวดแป้งให้เข้ากันจนเนียนและเหนียว และค่อยๆใส่น้าปูนใสจนหมด แล้วจึงใส่น้า ใบเตย แล้ว
นาไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง กวนจนแป้งเหนียวและข้นจึงลดไฟลง กวนต่อจนแป้งสุก (แป้งจะมี ลักษณะข้น
เหนียว)จึงปิดไฟ
2. เตรียมน้าเย็นโดย นาน้าแข็งไปละลายในน้าจนน้าเย็นจัด จากนั้นนาส่วนผสมแป้งที่เตรียมไว้ในขั้นตอน ที่หนึ่งไป
ใส่ลงในพิมพ์ลอดช่อง ค่อยๆกดให้เป็นเส้นหย่อนลงไปในน้าเย็นที่เตรียมไว้
3. ทาน้ากะทิโดยนาน้าตาลปึกผสมกับน้ากะทิและเกลือป่น นาไปตั้งบน
ไฟอ่อนๆ ค่อยๆ คนจนน้าตาลละลายดี จึงปิดไฟ และนาไปอบควันเทียน
ให้หอม
4. ตักเส้นลอดช่องใส่ถ้วย ราดด้วยน้ากะทิ และน้าแข็งทุบ สามารถใส่
เครื่องเพิ่มเติมได้ตามต้องการ (เผือกนึ่ง, ข้าวเหนียวดา, อื่น) เสิร์ฟได้ทันที
ขนมไข่
1. ตีไข่กับน้าจนไข่ขึ้นฟู จากนั้นจึงใส่น้าตาลทรายลงไป ตีจนน้าตาลละลาย ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
2. นาส่วนผสมไข่ไปใส่ในตระแกรงล่อน เพื่อเอาสิ่งสกปรกออก เมื่อล่อนเสร็จแล้วนาแป้งลงไปผสม ตีจนไข่ขึ้นฟู
อีกครั้ง หลังจากนั้นจึงเติมกลิ่นวานิลา
3. นาส่วนผสมแป้งและไข่ที่ทาเสร็จไปหยอดลงในแบบหรือพิมพ์ที่เตรียมไว้(อย่าใส่จนเต็มแบบ เพราะ เมื่ออบแล้ว
ตัวขนมจะฟูขึ้นอีก ควรใส่ประมาณครึ่งหนึ่งของแบบก็พอ) ควรทาน้ามันบางๆที่ผิวแบบเพื่อไม่ให้ติด
4. นาไปอบโดยใช้อุณหภูมิประมาณ 180 องศาเซลเซียส อบประมาณ 20-25 นาที
หรือจนสุก จึงนาออกมาจากเตา
5. เคาะขนมออกจากแบบ จัดใส่จานเสริฟ (บางกรณีอาจเสริฟขนมโดยไม่ต้องนา
ขนมออกจากแบบก็ได้)
ขนมรังผึ้ง
1. นาแป้งไปผสมกับ น้าตาลทราย, เกลือ และถั่วต้มบด คนจนส่วนผสมเข้ากันดี
2. นาไข่ขาวไปตีจนขึ้นฟู จากนั้นจึงนาไปเทผสมกับแป้งที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่หนึ่ง คนจน
ส่วนผสม ทั้งหมดเข้ากันทั่ว3. ทาน้ามันบางๆทั่วแบบพิมพ์ ตักส่วนผสมแป้งเทลงในแบบ พอ
ท่วมให้รีบปิดฝาบนทันที กลับพิมพ์ไปมาทั้งสองด้าน
ให้ถูกความร้อนจนสุกเหลืองทั่ว จึงเคาะออกจากแบบ
4. เสิร์ฟทันทีขณะร้อนๆ
ขนมขี้หนู
1. นวดแป้งข้าวเจ้ากับน้าดอกไม้1/2 ถ้วยตวง อย่าให้แชะเกินไป จากนั้นห่อด้วยผ้าขาวบางและนาไปใส่ถุงผ้า มัดปาก
ถุงให้แน่น หาของหนักๆทับเพื่อให้แห้งน้า
2. จากนั้นจึงนาไปยีเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วผึ่งแดดให้พอหมาด แล้วจึงนาไปร่อน ให้สิ่งสกปรกออก
3. นาแป้งที่ร่อนแล้วไปใส่ในผ้าขาวบางและนึ่งจนสุก
4. นาน้าตาลทรายไปผสมกับน้าลอยดอกไม้และสีผสมอาหาร จากนั้นนาไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนน้าตาล ละลายดี จึง
ปิดไฟและกรองน้าเชื่อมด้วยผ้าขาวบางอีกครั้ง
5. นาแป้งที่นึ่งสุกใส่ลงในอ่างน้าเชื่อม ใช้ไม้พายคนเบาๆ หาฝาปิดไว้
สักครู่เพื่อให้แป้งฟู คนต่ออีกครั้ง เพื่อให้แป้งกับน้าเชื่อมเข้ากัน จากนั้น
จึงนาไปอบด้วยควันเทียนให้หอม
6. ตักแป้งใส่จาน ก่อนเสิร์ฟโรยหน้าด้วยมะพร้าวขูดหยาบๆ พร้อมรับ
ประทานได้ทันที
ฟักทองเชื่อม
1. นาฟักทองไปทาความสะอาด และหั่นเป็นชิ้นๆ (จะปอกเปลือกหรือไม่ปอกก็ได้ แล้วแต่
ความชอบ) เสร็จแล้วนาไปแช่น้าปูนใสประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นจึงนาขึ้นมาล้างน้าและผึ่งให้
แห้ง
2. ทาน้าราดกะทิ โดยใส่น้ากะทิ, แป้งข้าวเจ้าและเกลือลงในหม้อเล็ก ตั้งบนไฟอ่อนๆจนเข้ากันดี
ปิดไฟและพักไว้
3. ใส่น้าเปล่า, น้าตาลทรายและน้ามะนาวลงในกระทะทอง
เหลือง (หรือใช้กระทะเทฟลอนแทนก็ได้) นาไปตั้งไฟร้อน
ปานกลางรอจนน้าตาลละลาย จึงใส่
ฟักทองลงไปเชื่อมจนสุก จะมีลักษณะเงา ฉ่าใส จึงปิดไฟ
4. ตักฟักทองใส่ถ้วยและราดหน้าด้วยกะทิ เสิร์ฟได้ทันที
แกงบวดเผือก
1. ทาความสะอาดและหั่นเผือกเป็นชิ้นพอดีคา จากนั้นนาไปแช่น้าปูนใสประมาณ 15 นาทีจึงนาไปล้าง
ทาความสะอาดอีกครั้ง และผึ่งให้แห้ง
2. นาหางกะทิ, ใบเตย, น้าตาลทรายและน้าตาลปี๊บใส่ลงไปในหม้อ และนาไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง
จนเดือด3. ใส่เผือกที่หั่นไว้แล้วลงไป ต้มต่อไปจนเผือกสุกและนุ่ม (ใช้เวลาประมาณ 10 นาที)
4. ใส่หัวกะทิและเกลือลงไป ต้มต่อจนเดือดอีกครั้งจึงปิดไฟ
5 . ตักใส่ถ้วย สามารถเสิร์ฟทันทีขณะร้อน หรือปล่อยไว้ให้
เย็นแล้วค่อยเสิร์ฟเป็นอาหารว่างในวันสบายๆ
ข้าวเหนียวมูน
1. นาข้าวเหนียวไปล้างทาความสะอาดและแช่น้าทิ้งไว้1 คืน จากนั้นนาไปสะเด็ดน้า (กรณีต้องการทาข้าวเหนียว
ที่มีสีต่างๆ ก็ให้ใส่สีลงไปในน้าที่แช่ค้างคืนไว้ด้วย)
2. นาผ้าขาวบางรองไว้ในซึ้งหรือหม้อนึ่งแล้วจึงนาข้างเหนียววางลงบนผ้าขาวบาง จากนั้นนาไปนึ่งจนข้าวเหนียว
สุก
3. ในหม้อขนาดเล็ก ใส่น้าตาล, เกลือป่น (3/4 ช้อนชา) และหัวกะทิ และนาไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนส่วนผสม
ทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นจึงใส่ใบเตยลงไป ทิ้งไว้สักพักจึงปิดไฟ
4. ในชามขนาดกลาง ใส่ข้าวเหนียวที่นึ่งไว้จนสุกดีแล้วลงไป
จากนั้นจึงใส่น้ากะทิที่เคี่ยวไว้ในขั้นตอนที่สามตามลงไป
คนจนส่วนผสมเข้ากันทั่ว และทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที ก็สามารถนา
ไปเสิร์ฟได้
ข้าวตูมะพร้าวอ่อน
1. นาข้าวสุกไปตากให้แห้ง ถ้าตากแล้วไม่แห้งดี สามารถนาไปอบได้เมื่อแห้งดีแล้ว นาไปคั่วทีละ
น้อย โดยใช้ไฟอ่อนๆ เสร็จแล้วนาไปโม่บดให้ละเอียด
2. ตั้งกระทะทองเหลือง (หรือใช้กระทะเทฟลอนแทนก็ได้) บนไฟอ่อนๆ ใส่กะทิ, น้าตาลมะพร้าว,
มะพร้าวขูดฝอย, น้ามะพร้าวและเนื้อมะพร้าวลงไปเคี่ยวจนกระทั่งส่วนผสมข้นเหนียว
3. ใส่ผงข้าวคั่วลงไปในกระทะและกวนต่อจนเหนียวพอปั้นได้
ปิดไฟ ทิ้งไว้ให้หายร้อน
4. อัดส่วนผสมใส่แบบที่เตรียมไว้จากนั้นนาไปอบควันเทียนให้
หอม เสิร์ฟรับประทานได้ทันที หรือเก็บ ใส่ภาชนะมิดชิดเก็บไว้
รับประทานภายหลังได้
กลีบมะพร้าวอ่อน
1. ผสมแป้งสาลีกับน้าตาลเข้าด้วยกัน นาไปร่อน 2 ครั้ง เสร็จแล้วใส่น้ามันพืช (หรือเนยขาว) ลงไปผสม นวดจน
ส่วนผสมทั้งสามเข้ากันดี
2. ปั้นแป้งเป็นลูกกลมๆขนาดเท่าๆกัน ใช้มีดคมๆแบ่งแป้งเป็น 4 ส่วนเท่าๆกัน
3. จับวางเป็น 3 กลีบ ส่วนอีก 1 กลีบที่เหลือให้ปั้นเป็นลูกกลมๆวางตรงกลางกลีบทั้งสามเป็นเกสร ก็จะได้รูปทรง
ดอกไม้ทาเช่นนี้จนแป้งหมด เรียงไว้ในถาด
4. นาแป้งไปอบที่อุณหภูมิประมาณ 300 องศาฟาเรนไฮต์ประมาณ 10 - 15 นาทีหรือจนสุก จะได้ขนมที่มีลักษณะผิว
นวล กรอบ นาไปอบควันเทียนให้หอม ก็พร้อมรับประทานได้ทันที
หมายเหตุ : ถ้าต้องการกลีบหรือเกสรที่ต่างสีกัน ก็ให้แยกส่วนผสมแป้ง
ในขั้นตอนที่หนึ่ง แล้วผสมสีตาม ที่ชอบขณะใส่น้ามันพืชลงไปนวด
ควรใช้สีโทนอ่อนจะน่ารับประทานมากกว่าสีเข้ม
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย

More Related Content

What's hot

โครงงานยาเสพติด
โครงงานยาเสพติดโครงงานยาเสพติด
โครงงานยาเสพติดพัน พัน
 
โครงงานน้ำยากัดสนิมจากมะเขือเทศ
โครงงานน้ำยากัดสนิมจากมะเขือเทศโครงงานน้ำยากัดสนิมจากมะเขือเทศ
โครงงานน้ำยากัดสนิมจากมะเขือเทศCgame Umum
 
โครงงาน สุดยอดว่านหางจระเข้
โครงงาน สุดยอดว่านหางจระเข้โครงงาน สุดยอดว่านหางจระเข้
โครงงาน สุดยอดว่านหางจระเข้KuNg Pw
 
โครงงานวิทยาศาสตร์
โครงงานวิทยาศาสตร์โครงงานวิทยาศาสตร์
โครงงานวิทยาศาสตร์Aphinya Tantikhom
 
กล้วยบวชชี
กล้วยบวชชีกล้วยบวชชี
กล้วยบวชชีToeyy Piraya
 
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง น้ำยาเช็ดกระจกจากแป้งข้าวโพด
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง น้ำยาเช็ดกระจกจากแป้งข้าวโพดโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง น้ำยาเช็ดกระจกจากแป้งข้าวโพด
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง น้ำยาเช็ดกระจกจากแป้งข้าวโพดพัน พัน
 
โครงงาน Banana spit
โครงงาน Banana spitโครงงาน Banana spit
โครงงาน Banana spitsledped39
 
แบบประเมินผลการแสดงนาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์ ชุด ตำนานท้าวศรีจุฬาลักษณ์
แบบประเมินผลการแสดงนาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์ ชุด ตำนานท้าวศรีจุฬาลักษณ์แบบประเมินผลการแสดงนาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์ ชุด ตำนานท้าวศรีจุฬาลักษณ์
แบบประเมินผลการแสดงนาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์ ชุด ตำนานท้าวศรีจุฬาลักษณ์ธณัชช์ภรณ์ ศิริวัชเดชากุล
 
โครงร่างโครงงาน
โครงร่างโครงงานโครงร่างโครงงาน
โครงร่างโครงงานKasichaphat Sae-tuan
 
โครงงาน
โครงงานโครงงาน
โครงงานspanerrrrr
 
โครงงานภูมิปัญญาพื้นบ้าน
โครงงานภูมิปัญญาพื้นบ้านโครงงานภูมิปัญญาพื้นบ้าน
โครงงานภูมิปัญญาพื้นบ้านMo Taengmo
 
โครงงานจิตอาสา พาสะอาด
โครงงานจิตอาสา   พาสะอาดโครงงานจิตอาสา   พาสะอาด
โครงงานจิตอาสา พาสะอาดGob Chantaramanee
 
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบน้ำหยดประหยัดน้ำเลียนแบบต้นกล้วย
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบน้ำหยดประหยัดน้ำเลียนแบบต้นกล้วยโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบน้ำหยดประหยัดน้ำเลียนแบบต้นกล้วย
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบน้ำหยดประหยัดน้ำเลียนแบบต้นกล้วยธณัชช์ภรณ์ ศิริวัชเดชากุล
 
แนวข้อสอบวิชาภาษาไทย ป.2
แนวข้อสอบวิชาภาษาไทย ป.2แนวข้อสอบวิชาภาษาไทย ป.2
แนวข้อสอบวิชาภาษาไทย ป.2iberryh
 
รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์2558 สำรวจแมงมุมแม่หม้ายน้ำตาล
รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์2558 สำรวจแมงมุมแม่หม้ายน้ำตาล รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์2558 สำรวจแมงมุมแม่หม้ายน้ำตาล
รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์2558 สำรวจแมงมุมแม่หม้ายน้ำตาล Sircom Smarnbua
 
แผ่นพับแนะนำโรงเรียน
แผ่นพับแนะนำโรงเรียนแผ่นพับแนะนำโรงเรียน
แผ่นพับแนะนำโรงเรียนkrupick2514
 
โครงงานปลาเค็มตากแห้ง2
โครงงานปลาเค็มตากแห้ง2โครงงานปลาเค็มตากแห้ง2
โครงงานปลาเค็มตากแห้ง2Kritsada Changmai
 
โครงงาน เรื่อง การย้อมผ้าจากเปลือกมังคุด
โครงงาน เรื่อง การย้อมผ้าจากเปลือกมังคุดโครงงาน เรื่อง การย้อมผ้าจากเปลือกมังคุด
โครงงาน เรื่อง การย้อมผ้าจากเปลือกมังคุดพัน พัน
 
บทเรียนสำเร็จรูปธนาคาร ป.5pdf
บทเรียนสำเร็จรูปธนาคาร ป.5pdfบทเรียนสำเร็จรูปธนาคาร ป.5pdf
บทเรียนสำเร็จรูปธนาคาร ป.5pdfakke1881
 

What's hot (20)

โครงงานยาเสพติด
โครงงานยาเสพติดโครงงานยาเสพติด
โครงงานยาเสพติด
 
โครงงานน้ำยากัดสนิมจากมะเขือเทศ
โครงงานน้ำยากัดสนิมจากมะเขือเทศโครงงานน้ำยากัดสนิมจากมะเขือเทศ
โครงงานน้ำยากัดสนิมจากมะเขือเทศ
 
โครงงาน สุดยอดว่านหางจระเข้
โครงงาน สุดยอดว่านหางจระเข้โครงงาน สุดยอดว่านหางจระเข้
โครงงาน สุดยอดว่านหางจระเข้
 
โครงงานวิทยาศาสตร์
โครงงานวิทยาศาสตร์โครงงานวิทยาศาสตร์
โครงงานวิทยาศาสตร์
 
กล้วยบวชชี
กล้วยบวชชีกล้วยบวชชี
กล้วยบวชชี
 
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง น้ำยาเช็ดกระจกจากแป้งข้าวโพด
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง น้ำยาเช็ดกระจกจากแป้งข้าวโพดโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง น้ำยาเช็ดกระจกจากแป้งข้าวโพด
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง น้ำยาเช็ดกระจกจากแป้งข้าวโพด
 
โครงงาน Banana spit
โครงงาน Banana spitโครงงาน Banana spit
โครงงาน Banana spit
 
แบบประเมินผลการแสดงนาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์ ชุด ตำนานท้าวศรีจุฬาลักษณ์
แบบประเมินผลการแสดงนาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์ ชุด ตำนานท้าวศรีจุฬาลักษณ์แบบประเมินผลการแสดงนาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์ ชุด ตำนานท้าวศรีจุฬาลักษณ์
แบบประเมินผลการแสดงนาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์ ชุด ตำนานท้าวศรีจุฬาลักษณ์
 
โครงร่างโครงงาน
โครงร่างโครงงานโครงร่างโครงงาน
โครงร่างโครงงาน
 
โครงงาน
โครงงานโครงงาน
โครงงาน
 
โครงงานภูมิปัญญาพื้นบ้าน
โครงงานภูมิปัญญาพื้นบ้านโครงงานภูมิปัญญาพื้นบ้าน
โครงงานภูมิปัญญาพื้นบ้าน
 
โครงงานจิตอาสา พาสะอาด
โครงงานจิตอาสา   พาสะอาดโครงงานจิตอาสา   พาสะอาด
โครงงานจิตอาสา พาสะอาด
 
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบน้ำหยดประหยัดน้ำเลียนแบบต้นกล้วย
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบน้ำหยดประหยัดน้ำเลียนแบบต้นกล้วยโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบน้ำหยดประหยัดน้ำเลียนแบบต้นกล้วย
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบน้ำหยดประหยัดน้ำเลียนแบบต้นกล้วย
 
พระอภัยมณี
พระอภัยมณีพระอภัยมณี
พระอภัยมณี
 
แนวข้อสอบวิชาภาษาไทย ป.2
แนวข้อสอบวิชาภาษาไทย ป.2แนวข้อสอบวิชาภาษาไทย ป.2
แนวข้อสอบวิชาภาษาไทย ป.2
 
รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์2558 สำรวจแมงมุมแม่หม้ายน้ำตาล
รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์2558 สำรวจแมงมุมแม่หม้ายน้ำตาล รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์2558 สำรวจแมงมุมแม่หม้ายน้ำตาล
รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์2558 สำรวจแมงมุมแม่หม้ายน้ำตาล
 
แผ่นพับแนะนำโรงเรียน
แผ่นพับแนะนำโรงเรียนแผ่นพับแนะนำโรงเรียน
แผ่นพับแนะนำโรงเรียน
 
โครงงานปลาเค็มตากแห้ง2
โครงงานปลาเค็มตากแห้ง2โครงงานปลาเค็มตากแห้ง2
โครงงานปลาเค็มตากแห้ง2
 
โครงงาน เรื่อง การย้อมผ้าจากเปลือกมังคุด
โครงงาน เรื่อง การย้อมผ้าจากเปลือกมังคุดโครงงาน เรื่อง การย้อมผ้าจากเปลือกมังคุด
โครงงาน เรื่อง การย้อมผ้าจากเปลือกมังคุด
 
บทเรียนสำเร็จรูปธนาคาร ป.5pdf
บทเรียนสำเร็จรูปธนาคาร ป.5pdfบทเรียนสำเร็จรูปธนาคาร ป.5pdf
บทเรียนสำเร็จรูปธนาคาร ป.5pdf
 

Viewers also liked

โครงร่างโครงงานขนมไทย
โครงร่างโครงงานขนมไทยโครงร่างโครงงานขนมไทย
โครงร่างโครงงานขนมไทยKanokwan Makepothi
 
โครงร่างงานคอมขนมไทย
โครงร่างงานคอมขนมไทยโครงร่างงานคอมขนมไทย
โครงร่างงานคอมขนมไทยPhanomkorn Sujaree
 
ตัวอย่างโครงงานคอม
ตัวอย่างโครงงานคอมตัวอย่างโครงงานคอม
ตัวอย่างโครงงานคอมปยล วชย.
 
รูปแบบการเขียนรายงานโครงงาน 5 บท
รูปแบบการเขียนรายงานโครงงาน 5 บทรูปแบบการเขียนรายงานโครงงาน 5 บท
รูปแบบการเขียนรายงานโครงงาน 5 บทAekapoj Poosathan
 
20080109 Botany Cud11
20080109 Botany Cud1120080109 Botany Cud11
20080109 Botany Cud11tanaple1234
 
ขนมไทยมงคล
ขนมไทยมงคลขนมไทยมงคล
ขนมไทยมงคลSudarat Houiluek
 
โครงงานวิตามินในไข่
โครงงานวิตามินในไข่โครงงานวิตามินในไข่
โครงงานวิตามินในไข่punchza
 
รายงาน โครงงานคอมพิวเตอร์
รายงาน โครงงานคอมพิวเตอร์รายงาน โครงงานคอมพิวเตอร์
รายงาน โครงงานคอมพิวเตอร์Tanyaporn Puttawan
 
หนังสือ KM หนองพอก ปี 2555 (งาน KM ปีที่ 4) Page 101 136
หนังสือ KM หนองพอก ปี 2555 (งาน KM ปีที่ 4)  Page 101 136หนังสือ KM หนองพอก ปี 2555 (งาน KM ปีที่ 4)  Page 101 136
หนังสือ KM หนองพอก ปี 2555 (งาน KM ปีที่ 4) Page 101 136Makin Puttaisong
 
โครงงานเรื่อง กล้วยฉาบ
โครงงานเรื่อง กล้วยฉาบโครงงานเรื่อง กล้วยฉาบ
โครงงานเรื่อง กล้วยฉาบLorpiyanon Krittaya
 
โครงงานเรื่อง กล้วย (กล้วยแขก)
โครงงานเรื่อง กล้วย (กล้วยแขก) โครงงานเรื่อง กล้วย (กล้วยแขก)
โครงงานเรื่อง กล้วย (กล้วยแขก) Np Vnk
 
โครงงานการทำขนมเค้ก
โครงงานการทำขนมเค้กโครงงานการทำขนมเค้ก
โครงงานการทำขนมเค้กPloy Siriwanna
 
โครงงาน เพาว์เวอร์พอย
โครงงาน เพาว์เวอร์พอยโครงงาน เพาว์เวอร์พอย
โครงงาน เพาว์เวอร์พอยNick Nook
 
ขนมไทย
ขนมไทยขนมไทย
ขนมไทยBiobiome
 
ตัวอย่างการเขียนโครงงาน 5 บท
ตัวอย่างการเขียนโครงงาน 5 บทตัวอย่างการเขียนโครงงาน 5 บท
ตัวอย่างการเขียนโครงงาน 5 บทchaipalat
 
โครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง เปลือกไข่ไล่มด
โครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง เปลือกไข่ไล่มดโครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง เปลือกไข่ไล่มด
โครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง เปลือกไข่ไล่มดพัน พัน
 
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมุนไพรกำจัดปลวก
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมุนไพรกำจัดปลวกโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมุนไพรกำจัดปลวก
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมุนไพรกำจัดปลวกพัน พัน
 

Viewers also liked (19)

โครงร่างโครงงานขนมไทย
โครงร่างโครงงานขนมไทยโครงร่างโครงงานขนมไทย
โครงร่างโครงงานขนมไทย
 
โครงร่างงานคอมขนมไทย
โครงร่างงานคอมขนมไทยโครงร่างงานคอมขนมไทย
โครงร่างงานคอมขนมไทย
 
ตัวอย่างโครงงานคอม
ตัวอย่างโครงงานคอมตัวอย่างโครงงานคอม
ตัวอย่างโครงงานคอม
 
รูปแบบการเขียนรายงานโครงงาน 5 บท
รูปแบบการเขียนรายงานโครงงาน 5 บทรูปแบบการเขียนรายงานโครงงาน 5 บท
รูปแบบการเขียนรายงานโครงงาน 5 บท
 
20080109 Botany Cud11
20080109 Botany Cud1120080109 Botany Cud11
20080109 Botany Cud11
 
ฟักทอง
ฟักทองฟักทอง
ฟักทอง
 
ขนมไทยมงคล
ขนมไทยมงคลขนมไทยมงคล
ขนมไทยมงคล
 
ฟักทอง
ฟักทองฟักทอง
ฟักทอง
 
โครงงานวิตามินในไข่
โครงงานวิตามินในไข่โครงงานวิตามินในไข่
โครงงานวิตามินในไข่
 
รายงาน โครงงานคอมพิวเตอร์
รายงาน โครงงานคอมพิวเตอร์รายงาน โครงงานคอมพิวเตอร์
รายงาน โครงงานคอมพิวเตอร์
 
หนังสือ KM หนองพอก ปี 2555 (งาน KM ปีที่ 4) Page 101 136
หนังสือ KM หนองพอก ปี 2555 (งาน KM ปีที่ 4)  Page 101 136หนังสือ KM หนองพอก ปี 2555 (งาน KM ปีที่ 4)  Page 101 136
หนังสือ KM หนองพอก ปี 2555 (งาน KM ปีที่ 4) Page 101 136
 
โครงงานเรื่อง กล้วยฉาบ
โครงงานเรื่อง กล้วยฉาบโครงงานเรื่อง กล้วยฉาบ
โครงงานเรื่อง กล้วยฉาบ
 
โครงงานเรื่อง กล้วย (กล้วยแขก)
โครงงานเรื่อง กล้วย (กล้วยแขก) โครงงานเรื่อง กล้วย (กล้วยแขก)
โครงงานเรื่อง กล้วย (กล้วยแขก)
 
โครงงานการทำขนมเค้ก
โครงงานการทำขนมเค้กโครงงานการทำขนมเค้ก
โครงงานการทำขนมเค้ก
 
โครงงาน เพาว์เวอร์พอย
โครงงาน เพาว์เวอร์พอยโครงงาน เพาว์เวอร์พอย
โครงงาน เพาว์เวอร์พอย
 
ขนมไทย
ขนมไทยขนมไทย
ขนมไทย
 
ตัวอย่างการเขียนโครงงาน 5 บท
ตัวอย่างการเขียนโครงงาน 5 บทตัวอย่างการเขียนโครงงาน 5 บท
ตัวอย่างการเขียนโครงงาน 5 บท
 
โครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง เปลือกไข่ไล่มด
โครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง เปลือกไข่ไล่มดโครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง เปลือกไข่ไล่มด
โครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง เปลือกไข่ไล่มด
 
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมุนไพรกำจัดปลวก
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมุนไพรกำจัดปลวกโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมุนไพรกำจัดปลวก
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมุนไพรกำจัดปลวก
 

Similar to โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย

แบบร่างโครงงาน (งานคู่)
แบบร่างโครงงาน (งานคู่)แบบร่างโครงงาน (งานคู่)
แบบร่างโครงงาน (งานคู่)sirinya55555
 
2557 โครงงานเพ -มเต_ม
2557 โครงงานเพ -มเต_ม2557 โครงงานเพ -มเต_ม
2557 โครงงานเพ -มเต_มJaturaphun
 
คอม
คอมคอม
คอมtennes
 
คอม
คอมคอม
คอมtennes
 
โครงงานคอม1
โครงงานคอม1โครงงานคอม1
โครงงานคอม1Mai Lusie
 
โครงงานกล้วยแขก
โครงงานกล้วยแขก โครงงานกล้วยแขก
โครงงานกล้วยแขก Rut' Np
 
โครงงานถั่วกวนอบควันเทียน1 1
โครงงานถั่วกวนอบควันเทียน1 1โครงงานถั่วกวนอบควันเทียน1 1
โครงงานถั่วกวนอบควันเทียน1 1Tewit Chotchang
 
โครงงานถั่วกวนอบควันเทียน1 1
โครงงานถั่วกวนอบควันเทียน1 1โครงงานถั่วกวนอบควันเทียน1 1
โครงงานถั่วกวนอบควันเทียน1 1Tewit Chotchang
 
ใบความรู้เรื่องโครงงาน
ใบความรู้เรื่องโครงงานใบความรู้เรื่องโครงงาน
ใบความรู้เรื่องโครงงานSaimai Jitlang
 
โครงงานผักสวนครัวในขวดพลาสติก
โครงงานผักสวนครัวในขวดพลาสติกโครงงานผักสวนครัวในขวดพลาสติก
โครงงานผักสวนครัวในขวดพลาสติกFah Philip
 
โครงงานสื่อการสอนวิชาสุขศึกษา
โครงงานสื่อการสอนวิชาสุขศึกษาโครงงานสื่อการสอนวิชาสุขศึกษา
โครงงานสื่อการสอนวิชาสุขศึกษาnammint
 
Din tai-fung
Din tai-fungDin tai-fung
Din tai-fungfogza
 
โครงงานข้าวต้มมัดฝอยทอง
โครงงานข้าวต้มมัดฝอยทอง โครงงานข้าวต้มมัดฝอยทอง
โครงงานข้าวต้มมัดฝอยทอง Bunnaruenee
 
โครงงานข้าวต้มมัดฝอยทอง
โครงงานข้าวต้มมัดฝอยทอง โครงงานข้าวต้มมัดฝอยทอง
โครงงานข้าวต้มมัดฝอยทอง Bunnaruenee
 

Similar to โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย (19)

แบบร่างโครงงาน (งานคู่)
แบบร่างโครงงาน (งานคู่)แบบร่างโครงงาน (งานคู่)
แบบร่างโครงงาน (งานคู่)
 
France
FranceFrance
France
 
2560 project
2560 project 2560 project
2560 project
 
Project thitinan
 Project thitinan Project thitinan
Project thitinan
 
2557 โครงงานเพ -มเต_ม
2557 โครงงานเพ -มเต_ม2557 โครงงานเพ -มเต_ม
2557 โครงงานเพ -มเต_ม
 
ขนมทไทย 3.1
ขนมทไทย 3.1ขนมทไทย 3.1
ขนมทไทย 3.1
 
คอม
คอมคอม
คอม
 
คอม
คอมคอม
คอม
 
คอม
คอมคอม
คอม
 
โครงงานคอม1
โครงงานคอม1โครงงานคอม1
โครงงานคอม1
 
โครงงานกล้วยแขก
โครงงานกล้วยแขก โครงงานกล้วยแขก
โครงงานกล้วยแขก
 
โครงงานถั่วกวนอบควันเทียน1 1
โครงงานถั่วกวนอบควันเทียน1 1โครงงานถั่วกวนอบควันเทียน1 1
โครงงานถั่วกวนอบควันเทียน1 1
 
โครงงานถั่วกวนอบควันเทียน1 1
โครงงานถั่วกวนอบควันเทียน1 1โครงงานถั่วกวนอบควันเทียน1 1
โครงงานถั่วกวนอบควันเทียน1 1
 
ใบความรู้เรื่องโครงงาน
ใบความรู้เรื่องโครงงานใบความรู้เรื่องโครงงาน
ใบความรู้เรื่องโครงงาน
 
โครงงานผักสวนครัวในขวดพลาสติก
โครงงานผักสวนครัวในขวดพลาสติกโครงงานผักสวนครัวในขวดพลาสติก
โครงงานผักสวนครัวในขวดพลาสติก
 
โครงงานสื่อการสอนวิชาสุขศึกษา
โครงงานสื่อการสอนวิชาสุขศึกษาโครงงานสื่อการสอนวิชาสุขศึกษา
โครงงานสื่อการสอนวิชาสุขศึกษา
 
Din tai-fung
Din tai-fungDin tai-fung
Din tai-fung
 
โครงงานข้าวต้มมัดฝอยทอง
โครงงานข้าวต้มมัดฝอยทอง โครงงานข้าวต้มมัดฝอยทอง
โครงงานข้าวต้มมัดฝอยทอง
 
โครงงานข้าวต้มมัดฝอยทอง
โครงงานข้าวต้มมัดฝอยทอง โครงงานข้าวต้มมัดฝอยทอง
โครงงานข้าวต้มมัดฝอยทอง
 

โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ขนมไทย

  • 1.
  • 2. รหัสวิชา ง 33202 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ปีการศึกษา 2557
  • 4. ที่มาและความสาคัญ เนื่องจากสมัยนี้ผลิตภัณฑ์ขนมจากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศไทย มากขึ้น ทาให้ขนมไทยนั้นมีได้รับความนิยมน้อยลง คนไทยไม่ว่าจะเป็นวัย เด็ก วัยรุ่น หรือแม้แต่กระทั่งผู้ใหญ่บางคนไม่รู้จักขนมไทยอีกหลายชนิด เนื่องจากขนมบางชนิดมีขั้นตอน วิธีทาที่ซับซ้อนและใช้เวลานานทาให้มี การทาขายน้อยลง ทาให้ขนมบางชนิดหายไป กลุ่มของพวกเราจึงจัดทา โครงงานนี้ขึ้นมาเพื่อให้คนไทยได้รู้จักขนมไทยมากขึ้น
  • 5. วัตถุประสงค์ 1. ทราบประวัติความเป็นมาของขนมไทย 2. รู้วิธีการการแบ่งประเภทของขนมไทย 3. รู้ว่าวัตถุดิบในการปรุงขนมไทยมีอะไรบ้าง 4. รู้จักขนมไทยแต่ละภาค 5.ได้รู้วิธีการทาขนมไทยแต่ละชนิด
  • 6. ประวัติความเป็นมา ในสมัยโบราณคนไทยจะทาขนมเฉพาะวาระสาคัญเท่านั้นเป็นต้นว่างานทาบุญ งานแต่ง เทศกาลสาคัญ หรือ ต้อนรับแขกสาคัญ เพราะขนมบางชนิดจาเป็นต้องใช้กาลังคนอาศัยเวลาในการทาพอสมควรส่วนใหญ่เป็น ขนบประเพณี เป็นต้นว่า ขนมงาน เนื่องในงานแต่งงาน ขนมพื้นบ้าน เช่น ขนมครก ขนมถ้วยฯลฯ ส่วนขนม ในรั้วในวังจะมีหน้าตาจุ๋มจิ๋มประณีตวิจิตรบรรจงในการจัดวางรูปทรงขนมสวยงามขนมไทยดั้งเดิม มี ส่วนผสมคือ แป้ง น้าตาล กะทิ เท่านั้น ส่วนขนมที่ใช้ไข่เป็นส่วนประกอบ เช่น ทองหยิบ ทองหยอด เม็ด ขนุน นั้น มารี กีมาร์ เดอ ปีนา (ท้าวทองกีบม้า) หญิงสาวชาวโปรตุเกส เป็นผู้คิดค้นขึ้นมา ขนมไทยที่นิยมทา กันทุกๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่างๆก็คือขนมจากไข่ และเชื่อกันว่าชื่อและลักษณะของขนมนั้นๆ เช่น รับประทานฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกันยืดยาวมีอายุยืนรับประทาน ขนมชั้นก็ให้ได้เลื่อนขั้น เงินเดือน รับประทาน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เจริญรับประทานขนมทองเอก ก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น
  • 7. วัตถุดิบในการปรุง 1. ข้าวและแป้ ง 5. ถั่วและงา 2. มะพร้าวและกะทิ 6. กล้วย 3. น้าตาล 7. สี (จากธรรมชาติ) 4. ไข่ 8. กลิ่นหอม (จากดอกไม้และสมุนไพร)
  • 8. การแบ่งประเภท ขนมที่ทาให้สุกด้วยการกวน ส่วนมากใช้กระทะทอง กวนตั้งแต่เป็นน้าเหลวใสจนงวด แล้วเทใส่พิมพ์หรือถาด เมื่อเย็นจึงตัดเป็นชิ้น เช่น ตะโก้ ขนมที่ทาให้สุกด้วยการนึ่ง ใช้ลังถึง บางชนิดเทส่วนผสมใส่ถ้วยตะไลแล้วนึ่ง บางชนิดใส่ถาดหรือพิมพ์บางชนิดห่อด้วยใบตองหรือใบมะพร้าวเช่น ขนมชั้น ขนมที่ทาให้สุกด้วยการเชื่อม เป็นการใส่ส่วนผสมลงในน้าเชื่อมที่กาลังเดือดจนสุก ได้แก่ ทองหยอด ทองหยิบ ขนมที่ทาให้สุกด้วยการทอด เป็นการใส่ส่วนผสมลงในกระทะที่มีน้ามันร้อนๆ จนสุก เช่น กล้วยทอด ข้าวเม่าทอด ขนมที่ทาให้สุกด้วยการนึ่ง หรืออบ ได้แก่ ขนมหม้อแกง ขนมหน้านวล ขนมกลีบลาดวน ขนมทองม้วน สาลี่แข็ง ขนมจ่ามงกุฎ นอกจากนี้ อาจรวม ขนมครก ขนมที่ทาให้สุกด้วยการต้ม ขนมประเภทนี้จะใช้หม้อหรือกระทะต้มน้าให้เดือดใส่ขนมลงไป จนสุกแล้วตักขึ้น นามาคลุกหรือโรยมะพร้าว ได้แก่ ขนมถั่วแปบ นอกจากนี้ยังรวมขนมประเภทน้า ที่นิยมนามาต้มกับกะทิ หรือใส่แป้งผสมเป็นขนมเปียก และขนมที่กินกับ น้าเชื่อมและน้ากะทิ เช่น กล้วยบวชชี มันแกงบวด
  • 17. กล้วยบวชชี 1. นากล้วยไปนึ่งในน้าเดือดประมาณ 3-5 นาที หรือนึ่งจนกระทั่งผิวกล้วยเริ่มแตกออก จึงปิดไฟและ นาออกมาปอกเปลือกและหั่นครึ่งลูก จากนั้นจึงหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ 2. นาหางกะทิไปต้มในหม้อและใส่ใบเตยลงไปด้วย เมื่อเดือดแล้วจึงใส่กล้วยที่หั่นไว้แล้วลงไป ตาม ด้วยน้าตาลปี๊บ, น้าตาลทรายขาวและเกลือนิดหน่อย 3. เมื่อกะทิเริ่มเดือดอีกครั้งจึงใส่หัวกะทิลงไป และปล่อยทิ้งไว้ให้เดือด อีกประมาณ 3 นาที ถ้าต้องการให้น้าข้นเหนียวก็ให้ใส่แป้งมันลงไป ประมาณ 1 ช้อนชาและคนให้ละลายทั่ว 4. อย่าต้มนานจนเกินไปเพราะจะทาให้กล้วยเละ กล้วยควรจะยังแข็งนิด หน่อย จากนั้นตักใส่จานและเสิร์ฟทันที
  • 18. วุ้นกะทิ 1. ทาตัววุ้นโดย ใส่ผงวุ้นและน้าเปล่า ลงในกระทะทองเหลืองแล้วนาไปต้มจนผงวุ้นละลาย(หมายเหตุ : สามารถใส่น้าใบเตย เพื่อทาวุ้นกะทิใบเตยหรือ น้ากาแฟเพื่อทาวุ้นกะทิกาแฟหรืออาจใส่ สีผสมอาหารเพื่อให้ได้สีที่ต้องการสาหรับตัววุ้น) 2. ใส่น้าตาลทรายลงไป คนให้ละลายดีจึงหรี่ไฟเบาลง 3. ตักส่วนผสมตัววุ้นลงไปในแบบพิมพ์ที่เตรียมไว้โดยหยอดให้ได้ประมาณ 3/4 ของแบบ และปล่อยไว้ให้วุ้นจับตัวพอตึง 4. ระหว่างรอตัววุ้นแข็ง เตรียมทาหน้าวุ้นโดย ใส่ผงวุ้นและน้ามะพร้าวลงในกระทะทองเหลืองแล้วนาไปต้มจนผงวุ้นละลาย 5. จากนั้นจึงใส่แป้งข้าวโพด, หัวกะทิ (ประมาณ 1/2 ถ้วยตวง) และ เกลือลงไปในส่วน ผสมหน้าวุ้น คนอย่างต่อเนื่องจน ส่วนผสมละลายเข้ากัน 6. ใส่หัวกะทิที่เหลือลงไปคนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นจึงนาส่วนผสม หน้าวุ้นไปหยอดใส่พิมพ์ให้เต็มอย่างประณีต(พิมพ์ต้องใส่ตัววุ้นก่อนและต้องรอจน ตัววุ้นแข็งพอตึงๆก่อนมิเช่นนั้นตัววุ้นและหน้าวุ้นจะผสมกัน) 7. เมื่อหน้าวุ้นและตัววุ้นแข็งดีแล้วก็ให้เคาะออกจากแบบจัดใส่จานและเสิร์ฟได้ทันที
  • 19. ข้าวเหนียวมะม่วง 1. นาข้าวเหนียวไปล้างและแช่น้าทิ้งไว้1 คืน จากนั้นนาไปสะเด็ดน้า 2. นาผ้าขาวบางรองไว้ในซึ้งหรือหม้อนึ่ง แล้วจึงนาข้างเหนียววางลงบนผ้าขาวบาง จากนั้นนาไปนึ่งจนข้าวเหนียวสุก 3. ในหม้อขนาดเล็ก ใส่น้าตาล, เกลือป่น (3/4 ช้อนชา) และหัวกะทิ และนาไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนส่วนผสมทั้งหมด เข้ากันดี จากนั้นจึงใส่ใบเตยลงไป ทิ้งไว้สักพักจึงปิดไฟ 4. ในชามขนาดกลาง ใส่ข้าวเหนียวที่นึ่งไว้จนสุกดีแล้วลงไป จากนั้นจึงใส่น้ากะทิที่เคี่ยวไว้ในขั้นตอนที่สามตามลงไป คนจนส่วนผสมเข้ากันทั่ว และทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที 5. ในระหว่างที่รอเตรียมทาน้ากะทิราดหน้าโดย ผสมหัวกะทิ (2 ถ้วยตวง) และเกลือป่น (1/4 ช้อนชา) ลงในหม้อขนาดเล็ก และนาไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนเกลือละลายทั่ว จึงปิดไฟ 6. ปอกมะม่วงและจัดใส่จาน เวลาเสิร์ฟ ตักข้าวเหนียวใส่จานจากนั้นโรยหน้า ด้วยน้าราดกะทิและถั่วทอง ควรเสิร์ฟทันทีหลังจากปอกมะม่วงเสร็จใหม่ๆ
  • 20. สังขยาใบเตย 1. นาใบเตยและน้าเปล่าใส่ลงไปในเครื่องปั่นไฟฟ้า และปั่นจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นจึง นาไปกรองด้วยผ้าขาวบาง 2. ใส่นมข้นจืด, น้าตาล, แป้งข้าวโพด, ไข่ และน้าใบเตย (ที่ทาในขั้นตอนที่หนึ่ง) ลงไปในเครื่องปั่น ไฟฟ้าและปั่นจน ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเป็นเนื้อเดียว 3. นาส่วนผสมที่ได้ไปใส่ลงในกระทะและตั้งบนไฟอ่อนๆ และคนอย่างต่อเนื่องประมาณ 20 นาที จึงปิดไฟ และทิ้งไว้ ให้เย็น 4. ตักสังขยาใส่ถ้วยแล้วโรยหน้าด้วยนมข้นจืดนิดหน่อย และจัด เสิร์ฟพร้อมกับขนมปัง หรือปาท่องโก๋แล้วแต่ชอบ
  • 21. ทับทิมกรอบ 1. นาแห้วที่หั่นเสร็จแล้วไปแช่ในน้าแดงประมาณ 15 นาที จากนั้นจึงนาออกมาสะเด็ดน้า 2. นาแห้วที่แช่ในน้าแดงไปคลุกในแป้งมันให้ติดผิว ค่อยๆคลุกให้ติดทั่วผิวแห้วทั้งหมด จากนั้น จึงนาไปต้มในน้า เดือดจนสุกจึงนาออกมาแช่น้าเย็น (วิธีสังเกตุ : แห้วสุกแล้วจะลอยขึ้นเหนือน้า) 3. เตรียมทาน้าเชื่อม โดยผสมน้าตาลกับน้าและนาไปต้มจนเดือด คนจนส่วนผสมทั้งหมดละลายดี แล้วจึงปิดไฟ 4. นากะทิและเกลือไปใส่ในหม้อขนาดเล็ก และนาไปตั้งบนไฟอ่อน จนส่วนผสมละลายเข้ากันดี จึงปิดไฟ 5. นาเมล็ดทับทิม ไปใส่ในถ้วยเสิร์ฟ โรยหน้าด้วยเกล็ดน้าแข็ง ราดด้วย น้าเชื่อม,น้ากะทิ, ขนุนฝอยและข้าวโพด (ถ้าต้องการ) เสิร์ฟทันทีเป็น อาหารว่าง คลายร้อนในวันสบายๆ
  • 22. สังขยาฟักทอง 1. นาฟักทองมาตัดออกเป็นสี่เหลี่ยมบริเวณหัวขั้วจากนั้นจึงขวักเมล็ดข้างในออก จนกลวงเป็นช่องภายใน จากนั้นจึงนาไปน้าปูนใสประมาณ 8 - 10 นาที แล้วจึงนาออกมาสะเด็ดน้า (เคล็ดลับ : แช่น้าปูนใสเพื่อไม่ให้ ฟักทองแตกเวลานึ่ง) 2. ระหว่างรอฟักทองที่แช่ในน้าปูนใส เตรียมทาสังขยาโดยผสมไข่ไก่,หัวกะทิ , แป้งข้าวเจ้า, น้าตาลปิ๊บ และเกลือ คนจนส่วนผสมเข้ากันดี 3. นาส่วนผสมสังขยาที่ทาในขั้นตอนที่สองเทลงในฟักทอง จากนั้นจึงนาไปนึ่งประมาณ 20 - 25 นาที กรณีเสิร์ฟเป็นลูก ฟักทอง ก็นาฝาที่ตัดออกไปนึ่งด้วย ถ้าแบ่งเสิร์ฟก็หั่นเป็นชิ้นๆ เพื่อความสวยงามและน่ารับประทาน เวลาหั่นควรระวังไม่ให้ สังขยาเละ
  • 23. ขนมกล้วย 1. นากล้วย, แป้งข้าวเจ้า, แป้งมัน, น้าตาล, เกลือ, หัวกะทิ และ เนื้อมะพร้าวขูด (ประมาณ 3/4 ส่วนของ ทั้งหมด) ผสมกัน จากนั้นนวดด้วยมือจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว 2. ตักส่วนผสมในข้อหนึ่งลงในถ้วยหรือแบบที่ต้องการ หรือจะใช้ใบตองห่อก็ได้แล้วแต่ความสะดวก เสร็จ แล้วนาเนื้อมะพร้าวขูดที่เหลือโรยหน้า 3. นาไปนึ่งประมาณ 30 นาที หรืออาจนาไปอบโดยใช้ ความร้อนประมาณ180 องศาเซลเซียส (360 องศาฟา เรนไฮต์) เป็นเวลา 30 นาทีเช่นกัน 4. เมื่อขนมกล้วยสุกแล้ว ให้นาออกจากแบบ สามารถ เสิร์ฟได้ทั้งขณะร้อนหรือเย็นแล้ว
  • 24. ลูกชุบ 1. นาถั่วเขียวเลาะเปลือกมาทาความสะอาด และแช่น้าทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นจึงนาไปนึ่งให้สุก ใช้เวลาประมาณ 15 นาที) 2. เมื่อถั่วเขียวสุกดีแล้ว ให้นาไปใส่ในเครื่องปั่นไฟฟ้า พร้อมกับน้าตาลทรายและน้ากะทิ ปั่นจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี 3. จากนั้นจึงเทส่วนผสมลงในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเคลือบเทฟลอนก็ได้)และตั้งบนไฟอ่อนๆ ค่อยๆกวนจนข้นและเหนียว (ใช้เวลา ประมาณ 20 - 30 นาที) จึงปิดไฟ และทิ้งไว้ให้เย็น (ถั่วต้องแห้ง มิเช่นนั้นจะไม่สามารถนาไปปั้นได้) 4. ก่อนปั้นให้นวดส่วนผสมทั้งหมดอีกครั้งจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นจึงปั้นให้เป็นรูปทรงตามใจชอบ (ผัก, ผลไม้หรือสัตว์น่ารักๆ) เมื่อปั้น เสร็จให้เสียบไม้จิ้มฟันรอไว้ควรปั้นส่วนผสมทั้งหมดให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ถั่วที่ปั้นเสร็จแล้วควรห่อไว้ด้วยผ้าขาวบางชุบน้าหมาดๆ 5. ผสมสีผสมอาหารตามต้องการ แล้วจึงบรรจงแต่งสีลงบนถั่วปั้นให้เหมือนจริง หรือตามแต่ความชอบ 6. ทาน้าวุ้นโดยผสมน้าเปล่า, ผงวุ้นและน้าตาล ลงในหม้อ นาไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง หมั่น คนอย่างสม่าเสมอรอจนส่วนผสมเดือด ช้อนฟองที่ลอยหน้าออก จึงหรี่ไฟลง 7. นาถั่วปั้นที่แต่งสีแล้วไปชุบในน้าวุ้น ควรชุบประมาณ 2 - 3 ครั้ง ระหว่างชุบวุ้นต้องอุ่นน้าวุ้น ด้วยไฟอ่อนเพื่อไม่ให้วุ้นแข็ง ถ้าไม่พอก็ผสมน้าวุ้นขึ้นใหม่ตามอัตราส่วนข้างต้น 8. นาลูกชุบออกจากไม้จิ้มฟัน ตัดแต่งเศษวุ้นส่วนเกินออกด้วยกรรไกร จัดใส่จาน เสิร์ฟเป็นของ ว่างในวันสบายๆได้ทันที
  • 25. หม้อแกง 1. นาหอมแดงไปเจียวในน้ามันจนเหลืองและกรอบ (ระวังไหม้ควรเจียวด้วยไฟอ่อนๆ ) 2. นาถั่วเขียวเลาะเปลือกไปแช่ในน้าและนาไปนึ่งจนสุก หรือถ้าใช้เผือกก็ปอกเปลือกและนาไปนึ่งจนสุก จากนั้นจึงนาเผือกไปยีให้เป็นชิ้นเล็กๆ 3. ในชามขนาดกลาง, ผสมไข่ น้าตาลปี๊บและเกลือ แล้วขยาโดยใช้ใบเตยให้เข้ากันดี น้าตาลละลายหมด จากนั้นจึงใส่หัวกะทิลงไป ขยาต่ออีกจน ส่วนผสมเข้ากันดี แล้วจึงนาไปกรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อเอาสิ่งสกปรกออก4. เอาถั่วหรือเผือกใส่ลงไปในส่วนผสมที่กรองแล้ว และใส่น้ามันที่เหลือ จากการเจียวหอมแดง (ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ) คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี 5. นาส่วนผสมที่ได้ไปกวนด้วยไฟร้อนปานกลางในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเทฟลอนก็ได้) กวนจนส่วนผสมเริ่มข้นก็พอ ถ้ากวนมากเมื่อ นาไปอบจะ ไม่น่าทานเพราะจะแตกมัน ที่เรานามากวนก็เพื่อป้องกันไม่ให้ส่วนผสม แยกชั้นเมื่อนาไปอบเนื่องจากไข่กับกะทิ ไม่เข้ากันดี 6. นาส่วนผสมที่กวนแล้วไปอบ โดยใส่ถาดหรือแบบที่ต้องการ ใช้ความร้อน 180 องศา เซลเซียส (360 องศาฟาเรนไฮต์) อบประมาณ 30 - 40 นาที จากนั้นจึงนาหอมเจียวไปโรย หน้าและอบต่ออีกประมาณ 5 นาที 7. ถ้าอบโดยใส่ถาดไว้เวลาเสิร์ฟก็ตัดแบ่งเป็นชิ้นขนาดตามความเหมาะสมถ้าอบโดยใส่ แบบอื่นๆไว้ถ้าขนาดแบบไม่ใหญ่มาก อาจเสิร์ฟได้พร้อมแบบทันที
  • 26. ข้าวเหนียวดา 1. นาข้าวเหนียวดาไปล้างทาความสะอาด แล้วจึงใส่หม้อและใส่น้าเปล่าลงไปต้มทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที คนเป็นระยะๆ จนข้าวเหนียวสุก 2. ระหว่างรอข้าวเหนียวสุกนาเผือกมาปอกเปลือกและหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า แล้วนาไปนึ่งจนสุก ทิ้งไว้ ให้เย็น 3. เมื่อข้าวเหนียวสุก เติมหัวกะทิ (เหลือหัวกะทิไว้ นิดหน่อยเพื่อราดหน้าตอนเสิร์ฟ) น้าตาลและเผือกนึ่ง ต้มต่อไปอีกประมาณ5 นาที 4. ตักใส่ถ้วย ราดหน้าด้วยน้ากะทิ และเสิร์ฟเป็นของว่าง ได้ทันทีขณะยังร้อน หรือเสิร์ฟขณะเย็นแล้วก็ได้
  • 27. กล้วยทอด 1. นากล้วยมาปอกเปลือกและหั่นตามยาวเป็นชิ้นบางๆ หนึ่งลูกควรหั่นให้ได้อย่างน้อย 3 ชิ้น 2. นาแป้งข้าวเจ้า, แป้งสาลี, เกลือ, ผงฟู, น้าตาลปี๊บ, งาขาว, มะพร้าวขูด,น้าปูนใสและหัวกะทิ ผสมเข้า ด้วยกันในชามขนาดใหญ่คนจนแป้งและน้าตาลละลายดี ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเป็นเนื้อเดียว 3. ใส่น้ามันลงในกระทะ และนาไปตั้งบนไฟค่อนข้างแรง รอจนน้ามันเดือด จึงใส่ใบเตยลงไปทอดก่อนให้ น้ามันหอม 4. นากล้วยที่หั่นเตรียมไว้ในขั้นตอนที่หนึ่งชุบแป้งแล้วนาไปลง ทอดจนเหลืองสุกและกรอบ จึงตักออกมาสะเด็ดน้ามัน 5. เรียงจัดใส่จาน และเสิร์ฟเป็นของว่างทานเล่น
  • 28. เม็ดขนุน 1. นาถั่วเขียวเลาะเปลือกมาทาความสะอาด และแช่น้าทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นจึงนาไปนึ่งให้สุก ใช้เวลาประมาณ 15 นาที) 2. เมื่อถั่วเขียวสุกดีแล้ว ให้นาไปใส่ในเครื่องปั่นไฟฟ้า พร้อมกับน้าตาลทรายและน้ากะทิ ปั่นจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี 3. จากนั้นจึงเทส่วนผสมลงในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเคลือบเทฟลอนก็ได้)และตั้งบนไฟอ่อนๆ ค่อยๆกวนจนข้นและเหนียว (ใช้เวลา ประมาณ 20 - 30 นาที) จึงปิดไฟ และทิ้งไว้ให้เย็น (ถั่วต้องแห้ง มิเช่นนั้นจะไม่สามารถนาไปปั้นได้) 4. ก่อนปั้นให้นวดส่วนผสมทั้งหมดอีกครั้งจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นจึงปั้นให้เป็นรูปทรงเม็ดขนุน 5. ทาน้าเชื่อมโดยผสมน้าตาลและน้าเปล่า นาไปเคี่ยวในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเคลือบเทฟลอนก็ได้) จนเหนียวข้นเป็นยางมะตูม จึงปิดไฟ 6. ตอกไข่และเลือกเอาเฉพาะไข่แดงมารวมกัน เขี่ยพอให้ไข่แดงแตก จากนั้นจึงนาเม็ดขนุนที่ ปั้นเตรียมไว้ใส่ลงไปแช่ในไข่แดงทีละเม็ด แล้วจึงนาไปใส่ในน้าเชื่อมพยายามอย่าให้ติดกัน พอใส่ลงไปมากแล้วจึงนากระทะไปตั้งบนไฟอ่อนๆจนสุกทั่งจึงตักออกมาพัก ทาซ้าเช่นนี้จน เม็ดขนุนที่ปั้นไว้หมด 7. จัดเม็ดขนุนใส่จาน เสิร์ฟทานเป็นของว่างในวันสบายๆ
  • 29. ตะโก้ 1. เตรียมทาตัวตะโก้โดยผสมแป้งถั่วเขียว, น้าตาลทราย, น้าใบเตยและ น้ากลิ่นมะลิ เข้าด้วยกันในหม้อ และนาไปตั้ง บนไฟร้อนปานกลาง กวนจนสุกและข้น 2. จากนั้นใส่แห้วจีนต้มที่หั่นเตรียมไว้ลงไปในหม้อ กวนต่ออีกสักครู่จึงปิดไฟ ตักตัวตะโก้หยอดในกระทงหรือแบบ พิมพ์ที่เตรียมไว้ประมาณครึ่งหนึ่งของแบบ 3. เตรียมทาหน้าตะโก้ โดยผสมแป้งข้าวเจ้า, กะทิ และเกลือป่น เข้าด้วยกันในหม้อขนาดเล็ก จากนั้นนาไปตั้งบนไฟร้อนปาน กลาง กวนจนข้นพอดี จึงปิดไฟ 4. หยอดหน้าตะโก้ลงบนกระทงหรือแบบให้เต็ม ทิ้งไว้ให้เย็น จัดใส่จานเสิร์ฟเป็นของว่างได้ทันที
  • 30. ทองหยอด 1. ผสมน้าลอยดอกไม้กับน้าตาลทรายลงในกระทะทองเหลือง แล้วนาไปตั้งไฟแรงให้เดือด เคี่ยวทิ้งไว้ ประมาณ 10-15 นาที จากนั้นจึงแบ่งน้าเชื่อมส่วนหนึ่งออกมาสาหรับแช่ทองหยอดที่สุกแล้ว 2. ต่อยไข่ แยกไข่ขาวออก ใช้เฉพาะไข่แดง โดยนาไข่แดงไปกรองในผ้าขาวบางเพื่อรีดเอาเยื่อออก จากนั้นจึงตี ไข่แดงให้ขึ้นฟู จากนั้นค่อยๆผสม แป้งทองหยอดลงไปและคนให้แป้งและไข่แดงเข้ากัน 3. นาไข่แดงที่ผสมแป้งเรียบร้อยไปหยอดในน้าเชื่อม สาหรับวิธีหยอดนั้นให้ใช้นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ และนิ้วกลาง หยิบส่วนผสมมาเป็นลูกขนาดพอประมาณแล้วจึงสะบัดลง ไปในน้าเชื่อม ทาเช่นนี้จนเต็มกระทะทองเหลือง จากนั้นรอจน ทองหยอดสุกจึงตักออกมาพักใส่ในน้าเชื่อมที่แยกไว้ก่อนหน้านี้ (ทองหยอดที่สุกจะลอยขึ้น) 4. จัดทองหยอดใส่จานเสิร์ฟเป็นของว่างหรือของทานเล่น
  • 31. บัวลอย 1. ทาบัวลอยโดยผสมแป้งข้าวเหนียว, เผือกนึ่งและน้าเปล่าเข้าด้วยกัน นวดจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันเป็น เนื้อเดียว จากนั้นจึงนามาปั้นเป็นลูกกลมๆ ระหว่างปั้นนั้น ควรโรยด้วยเศษแป้งข้าวเหนียวเล็กน้อยเพื่อ ป้องกันไม่ให้ลูกบัวลอยติดกัน (ถ้าต้องการทาบัวลอยหลายสีก็ใช้ส่วนผสมเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นฟักทองสาหรับสี เหลือง หรือใบเตยสาหรับสีเขียว เป็นต้น) 2. ต้มน้าในหม้อขนาดกลาง รอจนเดือดจึงใส่ลูกบัวลอยที่ปั้นไว้แล้ว เมื่อบัวลอยสุกให้นาออกมาแช่ในน้าเย็น (บัวลอยที่สุกแล้วจะลอยขึ้น) 3. ทาน้ากะทิโดยผสม กะทิ, น้าตาลมะพร้าว, น้าตาลทรายและเกลือป่นลงไป ควรใส่น้าตาลทรายแค่ครึ่งเดียวก่อน ถ้ายังหวานไม่พอจึงค่อยใส่เพิ่มลงไป ต้มจนเดือด จึงหรี่ไฟลง นาบัวลอยที่ต้มไว้แล้วใส่ลงไปในน้ากะทิ ต้มต่อ อีกสักพักจึงปิดไฟ ถ้ามีมะพร้าวอ่อนก็ใส่ได้เลย พร้อมลูกบัวลอย (กรณี ต้องการทาบัวลอยไข่หวาน ก็ตอกไข่ใส่ไปในหม้อหลังจากที่ใส่บัวลอย ลงไป รอจนไข่สุกจึงปิดไฟ) 4. ตักใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยงาขาว เสิร์ฟขณะร้อนหรือรอให้เย็นก็ได้
  • 32. แกงบวดฟักทอง 1. ทาความสะอาดและหั่นฟักทองเป็นชิ้นพอดีคา เพื่อความสวยงามไม่ต้องปอกเปลือกออก 2. นาหางกะทิ, ใบเตย, น้าตาลทรายและน้าตาลปี๊บใส่ลงไปในหม้อ และนาไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง จนเดือด 3. ใส่ฟักทองที่หั่นไว้แล้วลงไป ต้มต่อไปจนฟักทองสุกและนุ่ม (ใช้เวลาประมาณ 10 นาที) 4. ใส่หัวกะทิและเกลือลงไป ต้มต่อจนเดือดอีกครั้งจึงปิดไฟ 5 . ตักใส่ถ้วย สามารถเสิร์ฟทันทีขณะร้อน หรือปล่อยไว้ให้ เย็นแล้วค่อยเสิร์ฟเป็นอาหารว่างในวันสบายๆ
  • 33. ฝอยทอง 1. ต่อยไข่ไก่และไข่เป็ด เลือกเอาเฉพาะไข่แดง นาออกมากรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อรีดเอาเยื่อออก 2. ผสมไข่แดง, ไข่น้าค้างและน้ามันพืชเข้าด้วยกัน คนจนผสมกันทั่ว 3. นาน้าลอยดอกมะลิผสมกับน้าตาลในกระทะทองเหลืองและนาไปตั้งไฟร้อนปานกลาง รอจน เดือด 4. นาส่วนผสมไข่แดงใส่ลงไปในกรวยและนาไปโรยใน น้าเชื่อมที่เดือด ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาทีจนไข่สุกจึงใช้ไม้แหลม สอยขึ้นและพับให้เป็นแพตามต้องการ 5. จัดใส่จาน เสิร์ฟเป็นของว่างทางเล่นในวันสบายๆ
  • 34. ครองแครงกะทิ 1. นาแป้งมันไปร่อนและผสมกับน้ากะทิ (1/2 ถ้วยตวง) ในกระทะทองเหลือง นาไปตั้งบนไฟอ่อนๆจนแป้งละลาย คนจนแห้งและเหนียว จึงปิดไฟ 2. นาแป้งมานวดจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว และนาไปปั้นเป็นลูกกลมๆ จากนั้นจึงนาไปกดบนแบบครองแครง (ถ้าไม่มี ใช้ส้อมกดแทนพอได้) เสร็จแล้วนาไปคลุกแป้งมันนิดหน่อยเพื่อไม่ให้ติด และใช้ผ้าขาวบางหมาดๆ คลุมไว้ทา ครองแครงจนแป้งหมด 3. ตั้งน้าร้อนในหม้อจนเดือด จึงนาครองแครงที่ปั้นแล้วใส่ลงไปต้มจนสุกใส จึงนาออกมาแช่น้าเย็นไว้สักพักแล้วนา ออกมาสะเด็ดน้า 4. ทาน้ากะทิโดยผสมหัวกะทิ (1 ถ้วยตวง), น้าตาลทราย และเกลือป่น ลงในหม้อ และนาไปตั้งบนไฟอ่อนๆ จนละลายเข้ากันดี รอจนน้ากะทิ เดือดจึงใส่ครองแครงที่ต้มสุกแล้วลงไป ต้มต่ออีกสักพักจึงปิดไฟ 5. ตักใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยงาขาว และเสิร์ฟเป็นของว่าง
  • 35. ขนมเปียกปูน 1. นากาบมะพร้าวไปเผาไฟพอไหม้นิดหน่อยจึงนาไปจุ่มลงในน้าสะอาด ทิ้งไว้ให้กาบมะพร้าวแห้ง จึงนาไปโขลกให้ ละเอียด และร่อนจนได้ผงละเอียด แล้วจึงนาไปผสมกับน้าสะอาด 3/4 ถ้วยตวง 2. ผสมแป้งข้าวเจ้าและ แป้งเท้ายายม่อม กับน้ากะทิ, น้าปูนใส, น้ากาบมะพร้าว (ที่ทาในขั้นตอนที่ 1)และ น้าตาล มะพร้าว ผสมจนทุกอย่างละลายเข้ากันดีจึงนาไปกรองด้วยผ้าขาวบาง 3. เมื่อกรองเสร็จแล้ว เทส่วนผสมลงในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเทฟลอนก็ได้) นาไปตั้งไฟกวนโดยใช้ไฟแรง กวนสักพักพอแป้งจับตัวกันเป็นก้อน จึงลดไฟลงและ กวนต่อจนส่วนผสมข้นและเหนียว จึงเทใส่ถาดเกลี่ยหน้าให้เรียบ หรือเทใส่แบบพิมพ์ที่เตรียมไว้ 4. ถ้าเทใส่ถาด รอจนส่วนผสมเย็นจึงตัดเป็นชิ้น โรยด้วยเนื้อมะพร้าวฝอย ตักเป็นชิ้นใส่จานเสิร์ฟ
  • 36. กล้วยเชื่อม 1. นากระทะทองเหลืองไปตั้งบนไฟอ่อน จากนั้นผสมน้าตาลทราย, น้าเปล่า และน้ามะนาวลงไป คน จนส่วนผสม ทุกอย่างเข้ากันดี 2. นากล้วยที่ปอกแล้วลงไปเชื่อมในกระทะ เชื่อมจนสุกทั่ว โดยสังเกตุว่าผิวกล้วยจะใส ฉ่าและเป็นเงา จากนั้นตักใส่จานเสิร์ฟเตรียมไว้ 3. ทาน้าราดหน้าโดยผสมน้ากะทิกับเกลือป่นเข้าด้วยกัน นาไปตั้งบนไฟอ่อนๆสักพัก ระวังอย่าให้กะทิแตกมัน 4. เวลาเสิร์ฟ ราดน้ากะทิบนกล้วยที่เชื่อมแล้ว สามารถเสิร์ฟ ได้ทั้งขณะร้อน หรือเย็น
  • 37. ขนมถ้วย 1. เตรียมทาตัวขนมโดย นาหางกะทิไปผสมกับแป้งข้าวเจ้า, แป้งเท้ายายม่อม, น้าตาลปี๊บและน้าใบเตย นวดจนเข้ากันดี นาไปกรองด้วยผ้าข้าวบางและพักไว้ 2. เตรียมทาหน้าขนมโดยนาหัวกะทิผสมกับแป้งข้าวเจ้าและเกลือ คนจนละลายดีจึงนาไปกรองด้วยผ้าขาวบาง และทิ้งไว้ 3. ตั้งหม้อนึ่งรอจนน้าเดือดจึงเรียงถ้วยตะไลลงไป นึ่งจนถ้วยตะไลร้อน จึงเริ่มหยอดตัวขนม (ที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 1) ลงไปประมาณ 3/4 ถ้วยตะไล จากนั้นจึงปิดฝาหม้อและนึ่งทิ้งไว้ ประมาณ 3 - 5 นาที จากนั้นจึงหยอดหน้าขนม (ที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 2) ลงไปในถ้วยตะไล จนเต็มและนึ่งต่อไปอีกประมาณ 5 นาที 4. รอจนเย็นแล้วจึงนาไปเสริฟ เวลาเสริฟสามารถเสริฟทั้งถ้วย ตะไล หรือใช้ไม้พายแคะออกจากถ้วยแล้วจัดเรียงใส่จาน
  • 38. ขนมเบื้อง 1. เตรีมทาตัวแป้งโดยนาแป้งข้าวเจ้า, แป้งถั่วเขียวและแป้งสาลีไปร่อนรวมกัน แล้วจึงนาไปผสมกับน้าปูนใส, น้าตาลปี๊บและไข่แดง นวด(ขยา) จนส่วนผสมเข้ากันดี แล้วจึงพักไว้ 2. เตรียมทาน้าตาลทาขนมเบื้อง โดยนาไข่ขาวและน้าตาลปี๊บมาผสมกัน คนจนน้าตาลละลายทั่วดี แล้วจึงพักไว้ 3. เตรียมทาส่วนผสมหน้าครีม โดยผสมไข่ขาว, น้าตาลทรายและครีมออฟทาร์ทาร์เข้าด้วยกัน ตีจนส่วนผสมเข้ากัน ดี, ผิวเนียนและขึ้นฟู จึงพักไว้ 4. ตั้งไฟบนกระทะก้นแบน ใช้กระจ่าแตะที่ส่วนผสมตัวแป้ง (ที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 1) แล้วละเลงบนกระทะ จากนั้น จึงเลือกเอาว่าจะทาน้าตาล (ส่วนผสมที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 2) หรือจะทาครีม (ส่วนผสมที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 3) เลือกเอา อย่างใด อย่างหนึ่งเท่านั้น แล้วละเลงบนตัวแป้ง 5. จากนั้นจึงเลือกว่าจะใส่ไส้เค็มหรือไส้หวาน เมื่อใส่ไส้เสร็จแล้ว รอสักพักจนขนมสุกจึงพับครึ่งแล้วแซะใส่ถาด หรือจัดใส่จานเสิร์ฟ
  • 39. ขนมอาลัว 1. นามะพร้าวขูดไปผสมกับน้าลอยดอกมะลิ จากนั้นนาไปคั้นจนได้น้ากะทิ 2. นาแป้งสาลี, แป้งถั่วเขียว และแป้งมันร่อนผสมกัน 3. นาน้ากะทิผสมกับแป้งและน้าตาล คนจนละลายเข้ากันดี จึงนาไปกรองด้วยผ้าขาวบาง เสร็จแล้วนาไปตั้งบน ไฟร้อนปานกลาง ใส่สีผสมอาหารลงไป และกวนเรื่อยจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดี (แป้งจะมีลักษณะเหนียว ใสๆ ถ้านาไปหยอดในน้า แล้วแป้งยังคงรูปอยู่ก็เป็นอันใช้ได้) 4. นาน้าแป้งที่ได้ตักใส่ถุงบีบ แล้วจึงบีบลงในถาดที่ทาเนย ขาวบาง ๆ แล้วจึงนาไปตากแดดสัก 2 - 3 แดด เสร็จแล้วนา ไปอบควันเทียน 5. จัดใส่จานเสิร์ฟได้ทันที หรือใส่กระปุกมิดชิดเก็บไว้รับประทาน ภายหลังได้
  • 40. ขนมสาลี่ 1. ตอกไข่ใส่ชาม แล้วใช้ส้อมตีแรงๆ ระหว่างตีนั้นก็ใส่น้าตาลทรายลงไปด้วยตีไข่จนขึ้นเป็นสีขาวนวล 2. ร่อนแป้งสาลี แล้วนาไปผสมในไข่ คนเบาๆจนแป้งละลายดีจึงใส่สีผสมอาหารลงไป (ไม่ควรใส่มากควร ผสมให้เป็นสีโทนอ่อน จะน่ารับประทานมากกว่าสีเข้ม) 3. นากระดาษปูลงในถาดที่จะใช้นึ่งขนม จากนั้นเทแป้งลงในถาด (หรือแบบพิมพ์ที่เตรียมไว้)และแต่งหน้า ด้วยลูกเกด (แล้วแต่ความชอบ) 4. ตั้งหม้อนึ่งรอจนน้าเดือด จึงนาถาด (หรือแบบพิมพ์)ที่ใส่แป้งลง ไปนึ่ง ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ถ้าแป้งหนาอาจต้องใช้เวลานึ่งนานขึ้น (20-25 นาที) เมื่อสุกดีแล้วจึงยกลง ทิ้งไว้ให้เย็นตัดเป็นชิ้นๆ จัดใส่ จานเสิร์ฟ
  • 41. ขนมผิง 1. นากะทิไปตั้งบนไฟอ่อน ใส่น้าตาลลงไป คนจนน้าตาลละลายดี 2. จากนั้นจึงใส่แป้งลงไปในกะทิ ใส่ทีละน้อย ใส่แล้วคนต่อเนื่องจนแป้งนุ่ม จึงนามาปั้นเป็นก้อนกลมๆ หรือปั้นเป็นรูปทรงตามใจชอบ แล้วจึงนาไปวางบนถาดซึ่งทาน้ามันไว้บางๆปั้นทิ้งไว้1 คืนจนแห้ง (อย่า วางชิดกันมาก เนื่องจากเวลานาไปอบขนมอาจขยายและติดกันได้) 3. วันรุ่งขึ้นนาแป้งที่ปั้นไว้ไปอบในเตาประมาณ 15 นาที หรืออบจนส่วนล่างเป็นสีน้าตาลอ่อน จึงเอาออกมาแซะออก และนาไปอบควันเทียน 4. จัดขนมใส่จานเสิร์ฟ หรือใส่โหล, ภาชนะมิดชิดเก็บไว้ ทานภายหลัง
  • 42. ขนมชั้น 1. นาดอกอัญชันล้างน้าให้สะอาด นาไปปั่นใส่น้าแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง เพื่อเตรียมน้าดอกอัญชัญ กรณีต้องการทาสีเขียวจากใบเตย ก็นาเอา ใบเตยไปล้างให้สะอาดและนาไปปั่นใส่น้าและกรองด้วยผ้าขาวบาง กรณีต้องการสีอื่น อาจใช้สีผสมอาหารแทน 2. นาน้าลอยดอกมะลิไปตั้งบนไฟอ่อนๆ ผสมน้าตาลทรายลงไป คนจนละลายดีเสร็จแล้วทิ้งไว้ให้เย็น 3. นาแป้งทั้งสองชนิด ผสมกับกะทิ นวดให้เหนียว จากนั้นใส่น้าลอยดอกมะลิที่ผสมน้าตาลแล้ว (ขั้นตอนที่ 2) ลงไปผสมให้เข้ากัน 4. แบ่งแป้งที่ผสมแล้วออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกแบ่งไว้ทาสีขาว และส่วนที่สอง ไว้ทาสีม่วงโดยเติมน้าดอกอัญชัน(น้าใบเตยหรือสีผสมอาหาร) ลงไปคนให้เข้ากัน 5. นาถาดที่ต้องการ (หรือแบบพิมพ์ที่เตรียมไว้) ใส่บนลังถึงตั้งบนไฟแรง ๆ พอน้าเดือด เปิดฝา ตักแป้งสีขาวเทใส่ลงในถาดเกลี่ยให้ทั่วถาดบางที่สุด ปิดฝาเพื่อให้สุกประมาณ 5 นาที เปิดดูแป้งจะมีลักษณะใส จากนั้นตักแป้งสีม่วง (หรือสีที่ผสมลงไป) ใส่ลงไป อีก ทาสลับกันจนแป้งหมด 6. นึ่งจนขนมสุกทั้งหมด แล้วยกลงทิ้งไว้ให้เย็นประมาณ 2 ชั่วโมงจึงตัดเป็นชิ้นเพื่อเสิร์ฟ
  • 43. ขนมปุยฝ้าย 1. ผสมเอสพี น้าตาลทรายและน้า 1 ถ้วยเข้าด้วยกัน จากนั้นคนด้วยเครื่องตีไข่ ระหว่างคนตอกไข่ลงไป 2 ฟองและ คนต่อไปเรื่อยๆ 2. นาผงฟูผสมกับแป้งสาลี แล้วนาไปร่อน จากนั้นจึงใส่ผสมลงไปกับส่วนผสมที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 1 คนต่อไป ให้เข้ากันทั่ว 3. ใส่น้า 1 ถ้วยตวง, นมข้น และน้ามะนาว คนหรือตีต่อไปจนส่วนผสมขึ้นขาว จึงใส่สีและกลิ่นตามความชอบ 4. จากนั้นนาส่วนผสมไปหยอดลงในแบบหรือพิมพ์ที่เตรียมไว้ แต่งหน้าด้วยลูกเกด (แล้วแต่ความชอบ) และนาไปนึ่งโดยใช้ ไฟแรงๆ ประมาณ 10 นาทีหรือจนสุก จึงยกลง 5. ทิ้งไว้ให้เย็น สามารถนาไปเสิร์ฟทานได้ทันที
  • 44. ขนมครก 1. ทาตัวแป้งก่อน โดยเอาข้าวสารซาวให้สะอาดผสมกับข้าวสุก, แป้งข้าวเจ้า, มะพร้าว และเกลือ ใส่กะละมังพักไว้ 2. ต้มน้าให้เดือด แล้วเอามาผสมในกะละมังที่ใส่ส่วนผสมไว้ใช้ไม้พายคนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันทั่ว 3. ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วเอาไปโม่ก็จะได้แป้งขนมครกตามต้องการ 4. ทากะทิหยอดหน้าโดยผสมหัวกะทิ, น้าตาลทรายและเกลือป่นเข้าด้วยกัน เสร็จแล้วพักไว้ 5. วิธีทา นากระทะหลุมที่เตรียมไว้ตั้งไฟจนร้อนได้ที่ จึงเช็ดหลุมด้วยน้ามัน จากนั้นจึงหยอดแป้งลงไป (อย่าหยอดจนเต็ม เพราะต้องหยอดหน้ากะทิภาย หลัง) ปิดฝาทิ้งไว้จวนสุกจึงเปิดฝาออกและหยอดด้วยหน้ากะทิที่เตรียมไว้ ถ้ามีต้นหอมหรืออย่างอื่นเพิ่มเติมก็โรยลงบนหน้ากะทิ ปิดฝารอสักพักจน สุกจึงแคะออก ควรทานขณะร้อนจะรสชาติดีกว่าทิ้งไว้จนเย็น
  • 45. ขนมเทียน 1. เริ่มจากทาตัวแป้งก่อนโดย นาน้าตาลโตนดไปเคี่ยวจนเหนียวแล้วจึงนาไปนวดกับแป้งข้าวเหนียวจน เข้ากันดี 2. เตรียมทาไส้หวาน โดยนาน้าตาลโตนดเคี่ยวกับมะพร้าวจนแห้งจึงปิดไฟ ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วปั้นเป็น ก้อนกลมๆ สาหรับไส้เค็ม ให้นาน้ามันใส่กระทะไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง จากนั้นใส่ถั่วนึ่ง, พริกไทย , เกลือและน้าตาลทราย ผัดจนหอมและส่วนผสมเข้ากันทั่วจึงปิดไฟ และทิ้งไว้ให้เย็น 3. ห่อขนมโดยตัดใบตองเป็นแผ่นๆ เช็ดให้สะอาดและทาด้วยน้ามัน นิดหน่อย ตักแป้งใส่แล้วห่อไส้เค็มหรือไส้หวานตามชอบ จากนั้น นาแป้งอีก ก้อนวางลงบนไส้ ห่อให้เป็นรูปสามเหลี่ยม นาไปนึ่ง ประมาณ 30 นาทีจนสุกดี
  • 46. ขนมถังแตก 1. ผสมแป้งสาลี, แป้งข้าวเจ้า, น้าตาลทราย(ส่วนที่ 1 : 800 กรัม) และเกลือป่นเล็กน้อย จากนั้นใส่กะทิและน้า คนให้เข้ากัน 2. ผสมยีสต์กับน้าตาลทราย (ส่วนที่ 2 : 2 ช้อนชา)ในน้าอุ่นเล็กน้อย คนให้เข้ากันดี จากนั้นจึงปิดฝาภาชนะที่ใช้ ผสม นาไป ตากแดดประมาณ 8-10 นาที จึงนาไปผสมกับส่วนผสมแป้งในขั้นตอนที่หนึ่ง คนส่วนผสมทั้งหมด ให้เข้ากันดี ทิ้งไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง พอเริ่มมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวและมีฟองเป็นอันใช้ได้ 3. ทาน้ามันที่กระทะ ตั้งไฟจนร้อนจัดแล้วลดไฟลง ตักแป้ง (ประมาณ 1/2 ถ้วยตวง) ใส่กระทะเหล็ก พอแป้งเริ่มสุก จึงโรยน้าตาลทราย(ตามความหวานที่ชอบ), งา และมะพร้าว ขูด แซะพับครึ่งแล้วตักขึ้นใส่จานเสิร์ฟ
  • 47. น้าดอกไม้ 1. ผสมแป้งข้าวเจ้าและแป้งเท้ายายม่อม จากนั้นนาไปร่อนและพักทิ้งไว้ 2. นาน้าลอยดอกมะลิและน้าตาลทรายไปตั้งในหม้อบนไฟอ่อนๆ คนจนผสมกันทั่วและน้าตาล ละลายดีจึงปิดไฟ ทิ้งไว้ให้เย็น 3. นาน้าเชื่อมและแป้งผสมกันทีละน้อย คนจนส่วนผสมเข้ากันดี จึงใส่สีผสมอาหารลงไป ควรผสม ให้เป็นสีโทนอ่อนจะน่ารับประทานมากกว่าสีเข้ม 4. นาแบบพิมพ์ที่ต้องการไปนึ่งให้ร้อนประมาณ 10 นาที จากนั้นจึงหยอดน้าแป้งลงในแบบพิมพ์ที่ต้องการ แล้วนา ไปนึ่งประมาณ 15 นาทีจนสุก ทิ้งไว้ให้เย็น แคะออกจากแบบ จัดใส่จานเสิร์ฟ
  • 48. ไข่นกกระทา 1. นาแป้งมัน, แป้งสาลี, น้าตาลทราย, และเกลือผสมเข้าด้วยกัน 2. นาส่วนผสมในขั้นตอนที่หนึ่งไปผสมกับมันเทศนึ่ง จากนั้นใส่น้าปูนใสลงไปนิดหน่อย ขยา ส่วนผสมจนเข้ากันดี จึงปั้นเป็นลูกกลมๆ 3. ตั้งน้ามันในกระทะบนไฟร้อนปานกลาง รอจนน้ามันร้อนจึงใส่แป้งที่ปั้นไว้แล้วลงไปทอด คอย กลับสม่าเสมอ อย่าให้ไหม้ 4.. เมื่อสุกเหลืองดี ตักออกมาสะเด็ดน้ามัน ทิ้งไว้ให้เย็น (โรยหน้าด้วยงาขาว) จึงเสิร์ฟรับประทานได้
  • 49. โตเกียว 1. ทาตัวแป้งโดยผสมน้าเปล่ากับโซดาไบคาร์บอเนต จากนั้นจึงใส่ไข่ไก่และน้าตาลทรายลงไปตีพอให้น้าตาล ละลาย (ไม่ต้องตีจนฟู) จากนั้นจึงใส่แป้งสาลีลงไป คนจนแป้งละลายดีและส่วนผสมเข้ากัน เสร็จแล้วพักทิ้งไว้ 2. ทาไส้ขนมโดยนานมข้นผสมกับแป้งข้าวโพดและเติมน้าเปล่าลงไปจากนั้นนาไปตั้งบนไฟอ่อน กวนจนแป้ง สุกจึงใส่ไข่ลงไป กวนจนเข้ากัน จึงใส่กลิ่นวานิลา, เกลือ และเนย คนจนส่วนผสมเข้ากันดีจึงปิดไฟ และทิ้งไว้ให้ เย็น 3. วิธีทาขนม : ตักส่วนผสมตัวแป้งและละเลงบนกระทะแบน พอแป้งสุกจึงตักไส้ขนมใส่บนตัวแป้ง (กรณีต้องการทาไส้ ไส้กรอก ก็นาไส้กรอกลงไปวางบนตัวแป้ง หรือต้องการทา ไส้แยมก็ทาแยมผลไม้ลงไปบนตัวแป้ง) ม้วนปิดไส้ แซะออก จากกระทะ จัดใส่จานเสิร์ฟได้ทันที
  • 50. ทองม้วน 1. นามะพร้าวไปคั้นให้ได้น้ากะทิ จากนั้นจึงนาไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง เคี่ยวจนกะทิแตกมัน 2. ผสมแป้งสาลีกับน้าตาลทราย แล้วจึงนาน้ากะทิที่ได้จากขั้นตอนที่หนึ่งมาผสม คนจนแป้งละลายดี 3. ตอกไข่ใส่ลงไป ตีจนขึ้นฟอง จึงใส่แป้งหอมผสมอาหารและงาขาว คนจนผสมกันทั่ว พักทิ้งไว้4. ทาน้ามันบนกระทะแบน รอจนร้อนจึงหยอดแป้งที่เตรียมไว้ลงไป รอให้สุกจึงกลับหน้าให้เหลืองทั้ง สองด้าน ขณะที่ขนมยังร้อน พับม้วนตามต้องการ จึงนาออกจากเตา 5. เสิร์ฟรับประทานได้ทันที หรือเก็บในภาชนะมิดชิดเพื่อไว้ รับประทานภายหลัง
  • 51. ทองหยิบ 1. ผสมน้าเปล่าและน้าตาลทรายลงในกระทะทองเหลือง นาไปตั้งบนไฟอ่อนจนละลายปิดไฟ ทิ้งไว้ ให้เย็นนาไปกรองด้วย ผ้าขาวบางหนึ่งครั้ง 2. นาน้าเชื่อมที่กรองแล้วไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง กะพอให้น้าเชื่อมร้อนจัดแต่ไม่ให้เดือดพล่าน 3. ใส่ไข่แดงลงในถ้วย ตีจนขึ้นฟู เมื่อน้าเชื่อมร้อนได้ที่ ใช้ช้อนตักไข่แดงที่ตีจนฟู หยอดลงใน น้าเชื่อม ไข่จะแผ่เป็นวงกลม ใช้ช้อนกลับหน้าสักครั้งเพื่อให้ สุกทั่วทั้งสองด้าน จากนั้นจึงตักขึ้น 4. รอจนหายร้อน จึงจับจีบโดยใช้นิ้วมือหยิบ 5 หยิบแล้วใส่ลง ในถ้วยตะไลหรือแบบพิมพ์ที่เตรียมไว้
  • 52. มะพร้าวแก้ว 1. ผสมน้าเปล่าและน้าตาลทรายลงในกระทะทองเหลือง นาไปตั้งบนไฟอ่อนจนละลาย ใส่เกลือลงไป เคี่ยวต่อจน เหนียวเป็นยางมะตูม แล้วจึงเติมสีผสมอาหารลงไป (ถ้าต้องการหลายสี ให้แบ่งน้าเชื่อมออกมาเป็นส่วนๆ ตามจานวนสี ที่ต้องการ) 2. เมื่อเตรียมน้าเชื่อมเสร็จแล้ว ใส่มะพร้าวขูดลงไปเชื่อม คนให้ทั่วเพื่อให้น้าตาลจับมะพร้าวให้ทั่วทั้งเส้น เชื่อมจนน้า งวดลงจึงปิดไฟ 3. ตักมะพร้าวเชื่อมออกมาวางบนถาด ใช้ช้อนจัดแต่งรูปทรงให้ เป็นลักษณะก้อนกลมขนาดพอๆกัน (ต้องทาให้เสร็จก่อนน้าเชื่อม แห้ง) เมื่อทาเสร็จ ให้นาไปผึ่งแดดจนแห้ง 4. จัดใส่จานเสิร์ฟหรือใส่ภาชนะมิดชิดเพื่อเก็บไว้รับประทาน ภายหลังได้
  • 53. สาปันนี 1. นาน้าลอยดอกมะลิไปผสมกับมะพร้าวขูด คั้นเป็นน้ากะทิออกมา จากนั้นใสน้าตาลทรายลงไป แล้วนาไปตั้งบนไฟอ่อนๆ เคี่ยวจนงวดเป็นยางมะตูม ปิดไฟและทิ้งไว้ให้เย็น 2. นาแป้งมันไปคั่วบนกระทะให้สุก เสร็จแล้วปิดไฟ ทิ้งไว้ให้เย็น 3. ผสมแป้งที่คั่วแล้ว (ขั้นตอนที่สอง) กับน้ากะทิเชื่อม (ขั้นตอนที่ 1) และสีผสมอาหาร คนจนส่วนผสมละลาย ทั่วและเข้ากันดี จึงนาไปอัดใส่แม่พิมพ์ที่เตรียมไว้อบ ด้วยเทียน 4. จัดใส่จานเสิร์ฟ รับประทานได้ทันที
  • 54. โดนัท 1. ผสมไข่ไก่, นมสด, น้าตาลทราย, น้าเปล่าและเกลือป่นเข้าด้วยกัน คนจนเข้ากันดีแล้ว จึงพักไว้ 2. นาแป้งสาลี ผสมกับยีสต์, นมผงและผงฟู เมื่อผสมเสร็จก็ค่อยๆเติมน้าที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่หนึ่งลงมา ผสม แล้วค่อยๆนวดแป้งไปเรื่อยๆ เติมจนน้าหมด 3. หลังจากนั้นให้ผสมเนยลงไปในแป้งและนวดต่ออีกจนเนื้อแป้งเนียนเข้ากันดี ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30 นาที 4. พักแป้งที่นวดไว้แล้วให้ขึ้นฟูประมาณ30 นาที จากนั้นจึงปั้น เป็นก้อน ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วจึงเจาะเป็นรู และวางพักไว้ อีก 20 นาที จึงนาไปทอดจนเหลืองสุกทั่ว ตักออกไปสะเด็ดน้ามัน 5. รอจนโดนัทหายร้อนจึงนาไปคลุกน้าตาลทรายที่ผิวให้ทั่ว พร้อมเสิร์ฟ
  • 55. เค้กกล้วยหอม 1. ผสมเนย, กล้วย และโซดาไบคาร์บอเนต ตีจนขึ้นฟู 2. ผสมน้าตาลทรายและไข่เข้าด้วยกัน ตีจนขึ้นฟู จากนั้นจึงแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกนาไปตีผสม กับเนยและกล้วย (ที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่หนึ่ง) คนให้เข้ากัน 3. ร่อนแป้งและผงฟูรวมกัน จากนั้นจึงนาส่วนผสมไข่กับน้าตาลทรายส่วนที่แบ่งไว้อีกส่วนมาผสม กัน คนให้เข้ากันดี 4. นาส่วนผสมทั้งสองส่วนมาผสมเคล้ากันให้ทั่ว จากนั้นจึงเทส่วนผสมลงในแบบหรือพิมพ์ที่เตรียมไว้ จากนั้นจึงนาไปอบที่อุณหภูมิ 430 องศาฟาเรนไฮต์จนสุก
  • 56. เกสรลาเจียก 1. เตรียมทาไส้โดยนาน้าตาลมะพร้าวไปผสมกับน้าเล็กน้อย นาไปตั้งไฟให้ละลาย จึงใส่มะพร้าวขูด เคี่ยวสัก พักจึงนาไปอบควันเทียน 2. ทาตัวแป้งโดย นาแป้งข้าวเหนียวนวดกับหัวกะทิ ถ้าชื้นมาก ก็ผึ่งให้หมาด จึงจะยีได้สะดวก แต่แป้งต้องชื้น อยู่เสมอ 3. ตั้งกระทะแบนบนไฟอ่อนๆ ให้ยีแป้งผ่านกระชอนลวดตาละเอียด ๆ หรือแล่ง โรยให้แป้งบางเสมอกันเป็นแผ่นกลม 4. พอแป้งสุก ตักไส้ใส่บนตัวแป้ง ม้วนปิดไส้ แซะขึ้นเรียงใส่โถ อบด้วยควันเทียนให้หอม
  • 57. บ้าบิ่น 1. นามะพร้าวทึนทึกขูดฝอยไปผสมกับ แป้งมัน, แป้งข้าวเหนียว, น้าตาลทราย ผสมให้เข้ากัน 2. จากนั้นใส่ไข่ไก่ทั้งฟองและกะทิ คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี 3. ตักส่วนผสมเทใส่ถาด (หรือแบบที่เตรียมไว้) ควรทาน้ามันบางๆที่ถาดเพื่อไม่ให้ขนมติดเมื่ออบ เสร็จ จากนั้นจึงนาไปอบด้วยอุณหภูมิ ประมาณ 280 - 300 องศาเซลเซียสประมาณ 25 นาทีหรือจน สุกทั่ว 4. เมื่อขนมสุกแล้วนาออกมาแล้วทาด้วยไข่แดงที่หน้าขนม จากนั้นนาไปอบต่ออีกสักพัก จะได้ขนมที่มีหน้า เป็นสีน้าตาล 5. เมื่ออบรอบสองแล้ว นาออกมาทิ้งไว้ให้เย็น ตัดเป็นชิ้นๆ เสิร์ฟรับประทานได้ทันที
  • 58. เต้าส่วน 1. นาถั่วเขียวเลาะเปลือก ล้างทาความสะอาด จากนั้นจึงนาไปแช่ในน้าร้อนประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้น จึงนาไปใส่ผ้าขาวบางและนาไปนึ่งจนสุก 2. ระหว่างรอถั่วเขียวนึ่ง เตรียมทาน้ากะทิราดหน้าโดยนาหัวกะทิไปผสมกับเกลือและนาไปตั้งบนไฟ อ่อนๆ คนสักพักจึงใส่แป้งข้าวเจ้าลงไปกวนจนแป้งสุกจึงปิดไฟ และพักไว้ 3. นาน้าเปล่าไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง จากนั้นจึงใส่น้าตาลทรายลงไปคนจนละลายดี เสร็จแล้วใส่ แป้งมัน ลงไปคนต่อจนแป้งสุกใสใส่ถั่วเขียวนึ่งที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่หนึ่ง ลงไป คนจนกระจายทั่ว จึงปิดไฟ 4. ตักเต้าส่วนใส่ถ้วย ราดหน้าด้วยน้ากะทิ (ที่เตรียมไว้ในขั้นตอน ที่สอง) พร้อมเสิร์ฟได้ทันทีทั้งร้อนและเย็น
  • 59. ลอดช่อง 1. ทาตัวลอดช่องโดยผสมแป้งข้าวเจ้า, แป้งเท้ายายม่อม, แป้งซ่าหริ่ม เข้าด้วยกัน หลังจากนั้นค่อยๆใส่น้า ปูนใสทีละ น้อย ขณะเดียวกันก็นวดแป้งให้เข้ากันจนเนียนและเหนียว และค่อยๆใส่น้าปูนใสจนหมด แล้วจึงใส่น้า ใบเตย แล้ว นาไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง กวนจนแป้งเหนียวและข้นจึงลดไฟลง กวนต่อจนแป้งสุก (แป้งจะมี ลักษณะข้น เหนียว)จึงปิดไฟ 2. เตรียมน้าเย็นโดย นาน้าแข็งไปละลายในน้าจนน้าเย็นจัด จากนั้นนาส่วนผสมแป้งที่เตรียมไว้ในขั้นตอน ที่หนึ่งไป ใส่ลงในพิมพ์ลอดช่อง ค่อยๆกดให้เป็นเส้นหย่อนลงไปในน้าเย็นที่เตรียมไว้ 3. ทาน้ากะทิโดยนาน้าตาลปึกผสมกับน้ากะทิและเกลือป่น นาไปตั้งบน ไฟอ่อนๆ ค่อยๆ คนจนน้าตาลละลายดี จึงปิดไฟ และนาไปอบควันเทียน ให้หอม 4. ตักเส้นลอดช่องใส่ถ้วย ราดด้วยน้ากะทิ และน้าแข็งทุบ สามารถใส่ เครื่องเพิ่มเติมได้ตามต้องการ (เผือกนึ่ง, ข้าวเหนียวดา, อื่น) เสิร์ฟได้ทันที
  • 60. ขนมไข่ 1. ตีไข่กับน้าจนไข่ขึ้นฟู จากนั้นจึงใส่น้าตาลทรายลงไป ตีจนน้าตาลละลาย ใช้เวลาประมาณ 40 นาที 2. นาส่วนผสมไข่ไปใส่ในตระแกรงล่อน เพื่อเอาสิ่งสกปรกออก เมื่อล่อนเสร็จแล้วนาแป้งลงไปผสม ตีจนไข่ขึ้นฟู อีกครั้ง หลังจากนั้นจึงเติมกลิ่นวานิลา 3. นาส่วนผสมแป้งและไข่ที่ทาเสร็จไปหยอดลงในแบบหรือพิมพ์ที่เตรียมไว้(อย่าใส่จนเต็มแบบ เพราะ เมื่ออบแล้ว ตัวขนมจะฟูขึ้นอีก ควรใส่ประมาณครึ่งหนึ่งของแบบก็พอ) ควรทาน้ามันบางๆที่ผิวแบบเพื่อไม่ให้ติด 4. นาไปอบโดยใช้อุณหภูมิประมาณ 180 องศาเซลเซียส อบประมาณ 20-25 นาที หรือจนสุก จึงนาออกมาจากเตา 5. เคาะขนมออกจากแบบ จัดใส่จานเสริฟ (บางกรณีอาจเสริฟขนมโดยไม่ต้องนา ขนมออกจากแบบก็ได้)
  • 61. ขนมรังผึ้ง 1. นาแป้งไปผสมกับ น้าตาลทราย, เกลือ และถั่วต้มบด คนจนส่วนผสมเข้ากันดี 2. นาไข่ขาวไปตีจนขึ้นฟู จากนั้นจึงนาไปเทผสมกับแป้งที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่หนึ่ง คนจน ส่วนผสม ทั้งหมดเข้ากันทั่ว3. ทาน้ามันบางๆทั่วแบบพิมพ์ ตักส่วนผสมแป้งเทลงในแบบ พอ ท่วมให้รีบปิดฝาบนทันที กลับพิมพ์ไปมาทั้งสองด้าน ให้ถูกความร้อนจนสุกเหลืองทั่ว จึงเคาะออกจากแบบ 4. เสิร์ฟทันทีขณะร้อนๆ
  • 62. ขนมขี้หนู 1. นวดแป้งข้าวเจ้ากับน้าดอกไม้1/2 ถ้วยตวง อย่าให้แชะเกินไป จากนั้นห่อด้วยผ้าขาวบางและนาไปใส่ถุงผ้า มัดปาก ถุงให้แน่น หาของหนักๆทับเพื่อให้แห้งน้า 2. จากนั้นจึงนาไปยีเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วผึ่งแดดให้พอหมาด แล้วจึงนาไปร่อน ให้สิ่งสกปรกออก 3. นาแป้งที่ร่อนแล้วไปใส่ในผ้าขาวบางและนึ่งจนสุก 4. นาน้าตาลทรายไปผสมกับน้าลอยดอกไม้และสีผสมอาหาร จากนั้นนาไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนน้าตาล ละลายดี จึง ปิดไฟและกรองน้าเชื่อมด้วยผ้าขาวบางอีกครั้ง 5. นาแป้งที่นึ่งสุกใส่ลงในอ่างน้าเชื่อม ใช้ไม้พายคนเบาๆ หาฝาปิดไว้ สักครู่เพื่อให้แป้งฟู คนต่ออีกครั้ง เพื่อให้แป้งกับน้าเชื่อมเข้ากัน จากนั้น จึงนาไปอบด้วยควันเทียนให้หอม 6. ตักแป้งใส่จาน ก่อนเสิร์ฟโรยหน้าด้วยมะพร้าวขูดหยาบๆ พร้อมรับ ประทานได้ทันที
  • 63. ฟักทองเชื่อม 1. นาฟักทองไปทาความสะอาด และหั่นเป็นชิ้นๆ (จะปอกเปลือกหรือไม่ปอกก็ได้ แล้วแต่ ความชอบ) เสร็จแล้วนาไปแช่น้าปูนใสประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นจึงนาขึ้นมาล้างน้าและผึ่งให้ แห้ง 2. ทาน้าราดกะทิ โดยใส่น้ากะทิ, แป้งข้าวเจ้าและเกลือลงในหม้อเล็ก ตั้งบนไฟอ่อนๆจนเข้ากันดี ปิดไฟและพักไว้ 3. ใส่น้าเปล่า, น้าตาลทรายและน้ามะนาวลงในกระทะทอง เหลือง (หรือใช้กระทะเทฟลอนแทนก็ได้) นาไปตั้งไฟร้อน ปานกลางรอจนน้าตาลละลาย จึงใส่ ฟักทองลงไปเชื่อมจนสุก จะมีลักษณะเงา ฉ่าใส จึงปิดไฟ 4. ตักฟักทองใส่ถ้วยและราดหน้าด้วยกะทิ เสิร์ฟได้ทันที
  • 64. แกงบวดเผือก 1. ทาความสะอาดและหั่นเผือกเป็นชิ้นพอดีคา จากนั้นนาไปแช่น้าปูนใสประมาณ 15 นาทีจึงนาไปล้าง ทาความสะอาดอีกครั้ง และผึ่งให้แห้ง 2. นาหางกะทิ, ใบเตย, น้าตาลทรายและน้าตาลปี๊บใส่ลงไปในหม้อ และนาไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง จนเดือด3. ใส่เผือกที่หั่นไว้แล้วลงไป ต้มต่อไปจนเผือกสุกและนุ่ม (ใช้เวลาประมาณ 10 นาที) 4. ใส่หัวกะทิและเกลือลงไป ต้มต่อจนเดือดอีกครั้งจึงปิดไฟ 5 . ตักใส่ถ้วย สามารถเสิร์ฟทันทีขณะร้อน หรือปล่อยไว้ให้ เย็นแล้วค่อยเสิร์ฟเป็นอาหารว่างในวันสบายๆ
  • 65. ข้าวเหนียวมูน 1. นาข้าวเหนียวไปล้างทาความสะอาดและแช่น้าทิ้งไว้1 คืน จากนั้นนาไปสะเด็ดน้า (กรณีต้องการทาข้าวเหนียว ที่มีสีต่างๆ ก็ให้ใส่สีลงไปในน้าที่แช่ค้างคืนไว้ด้วย) 2. นาผ้าขาวบางรองไว้ในซึ้งหรือหม้อนึ่งแล้วจึงนาข้างเหนียววางลงบนผ้าขาวบาง จากนั้นนาไปนึ่งจนข้าวเหนียว สุก 3. ในหม้อขนาดเล็ก ใส่น้าตาล, เกลือป่น (3/4 ช้อนชา) และหัวกะทิ และนาไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนส่วนผสม ทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นจึงใส่ใบเตยลงไป ทิ้งไว้สักพักจึงปิดไฟ 4. ในชามขนาดกลาง ใส่ข้าวเหนียวที่นึ่งไว้จนสุกดีแล้วลงไป จากนั้นจึงใส่น้ากะทิที่เคี่ยวไว้ในขั้นตอนที่สามตามลงไป คนจนส่วนผสมเข้ากันทั่ว และทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที ก็สามารถนา ไปเสิร์ฟได้
  • 66. ข้าวตูมะพร้าวอ่อน 1. นาข้าวสุกไปตากให้แห้ง ถ้าตากแล้วไม่แห้งดี สามารถนาไปอบได้เมื่อแห้งดีแล้ว นาไปคั่วทีละ น้อย โดยใช้ไฟอ่อนๆ เสร็จแล้วนาไปโม่บดให้ละเอียด 2. ตั้งกระทะทองเหลือง (หรือใช้กระทะเทฟลอนแทนก็ได้) บนไฟอ่อนๆ ใส่กะทิ, น้าตาลมะพร้าว, มะพร้าวขูดฝอย, น้ามะพร้าวและเนื้อมะพร้าวลงไปเคี่ยวจนกระทั่งส่วนผสมข้นเหนียว 3. ใส่ผงข้าวคั่วลงไปในกระทะและกวนต่อจนเหนียวพอปั้นได้ ปิดไฟ ทิ้งไว้ให้หายร้อน 4. อัดส่วนผสมใส่แบบที่เตรียมไว้จากนั้นนาไปอบควันเทียนให้ หอม เสิร์ฟรับประทานได้ทันที หรือเก็บ ใส่ภาชนะมิดชิดเก็บไว้ รับประทานภายหลังได้
  • 67. กลีบมะพร้าวอ่อน 1. ผสมแป้งสาลีกับน้าตาลเข้าด้วยกัน นาไปร่อน 2 ครั้ง เสร็จแล้วใส่น้ามันพืช (หรือเนยขาว) ลงไปผสม นวดจน ส่วนผสมทั้งสามเข้ากันดี 2. ปั้นแป้งเป็นลูกกลมๆขนาดเท่าๆกัน ใช้มีดคมๆแบ่งแป้งเป็น 4 ส่วนเท่าๆกัน 3. จับวางเป็น 3 กลีบ ส่วนอีก 1 กลีบที่เหลือให้ปั้นเป็นลูกกลมๆวางตรงกลางกลีบทั้งสามเป็นเกสร ก็จะได้รูปทรง ดอกไม้ทาเช่นนี้จนแป้งหมด เรียงไว้ในถาด 4. นาแป้งไปอบที่อุณหภูมิประมาณ 300 องศาฟาเรนไฮต์ประมาณ 10 - 15 นาทีหรือจนสุก จะได้ขนมที่มีลักษณะผิว นวล กรอบ นาไปอบควันเทียนให้หอม ก็พร้อมรับประทานได้ทันที หมายเหตุ : ถ้าต้องการกลีบหรือเกสรที่ต่างสีกัน ก็ให้แยกส่วนผสมแป้ง ในขั้นตอนที่หนึ่ง แล้วผสมสีตาม ที่ชอบขณะใส่น้ามันพืชลงไปนวด ควรใช้สีโทนอ่อนจะน่ารับประทานมากกว่าสีเข้ม