More Related Content
Similar to อารยธรรมกรีก-โรมัน (16)
อารยธรรมกรีก-โรมัน
- 5. 2. ภาคกลาง ได้แก่ บริเวณที่เป็นเนินเขาสูง
เป็นที่ตงั้ของนครทีบส์ (Thebes) นคร
เดลฟี (Delphi) ช่องเขาเทอร์มอปิเล
(Thermopylae) และยอดเขาพาร์แนสซัส
(Parnassus) ซึ่งเป็นที่สถิตของอะพอลโล
(Apollo) หรือสุริยเทพ ตรงปลายสุดของ
ด้านตะวันออก คือ แคว้นแอตติกะ
(Attica) ซึ่งมีเมืองหลวง คือ นครรัฐ
เอเธนส์ (Athens) แหล่งกำาเนิดของการ
ปกครองระบอบประชาธิปไตย
- 12. แต่ในดินกรีซส่วนใหญ่มีลักษณะคล้าย
แหลมยื่นไปในทะเล ชายฝงั่ทะเลสามารถ
ใช้เป็นอ่าวธรรมชาติสำาหรับจอดเรือได้เป็น
อย่างดี ที่ตงั้และสภาพภูมิประเทศจึงเป็น
ปัจจัยส่งเสริมให้ชาวกรีกหันมาทำาการ
ค้าขายทางทะเลกับดินแดนอื่นๆอย่างกว้าง
ขวาง ทำาให้ชาวกรีกได้เรียนรู้วัฒนธรรม
อื่นๆ เช่น อารยธรรมของอียิปต์ อารยธรรม
เมโสโปเตเมีย ส่วนหมู่เกาะในทะเลอีเจียนที่
สำาคัญ คือ เกาะครีต(Crete) ซึ่งเป็นเกาะ
ใหญ่อันดับ 1 และมีความสำาคัญในฐานะ
เป็นต้นกำาเนิดอารยธรรมกรีก
- 16. หลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบได้ใน
บริเวณที่ราบในแคว้นทางภาคเหนือ ภาค
กลาง และคาบสมุทรกรีซ แสดงว่ามีการ
ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนในดินแดนกรีซเมื่อ
ประมาณ 4,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช พบ
เครื่องมือเครื่องใช้ทำาด้วยหิน
เครื่องปั้นดินเผามีลวดลายประดับและมี
คุณภาพ ผคู้นในดินแดนนดี้ำารงชีวิตด้วย
การเกษตรเป็นหลัก ลักษณะสงิ่ก่อสร้าง
บางแห่งมีลักษณะคล้ายป้อมปราการ
สันนิษฐานว่าอาจมีการจัดระเบียบการ
- 17. ในราว 3,000-2,000 ปีก่อนคริสต์
ศักราช บนเกาะครีตในทะเลอีเจียนรู้จัก
ใช้โลหะ ได้แก่ ทองแดง สำาริด ซึ่งเข้าใจ
ว่าคงรับมาจากอารยธรรมอียิปต์โบราณ
เนื่องจากเกาะครีตตั้งอยู่ทางตอนใต้สุด
ของกรีซ ใต้เกาะครีตลงไปคืออียิปต์ โดย
มีทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอยู่ระหว่างกลาง
- 20. 1. อารยธรรมไมนวน (Minoan
Civillization) เกิดขึ้นบนเกาะครีต ชาว
ครีตหรือชาวครีตัน (Cretan) เป็นชนพื้น
เมืองของเกาะนี้ กษัตริย์ที่มีอำานาจมาก
ที่สุด คือ พระเจ้ามินอส (Minos) ความ
เจริญของชาวครีตันได้ชอื่ว่า อารยธร
รมไมนวน อารยธรรมไมนวนเจริญสูงสุด
ในระหว่าง 1,800-1,500 ปีก่อนคริสต์
ศักราช เรียกช่วงสมัยนวี้่า สมัยวัง
(Palace Period) เนื่องจากชาวครีตัน
สร้างพระราชวังขนาดมโหราฬ
พระราชวังสำาคัญคือ พระราชวังนอสซัส
(Knossos)
- 23. 2. อารยธรรมไมซีเน (Mycenae
Civillization) เป็นอารยธรรมพวกไมซี
เนียน (Mycenaean) เจริญรุ่งเรืองอยู่
เมอื่ประมาณ 1,400-1,100 ปีก่อนคริสต์
ศักราช มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองไมซีเนบน
คาบสมุทรเพโลพอน
- 24. บรรพบุรุษของชาวไมซีเนียน คือ
พวกเอเคียน (Achean) ซึ่งเป็นกลุ่มชนที่
พูดภาษาตระกูลอินโด-ยูโรเปียน อพยพมา
จากทางเหนือประมาณ 2,000 ปีก่อน
คริสต์ศักราช พวกเอเคียนมีความสามารถ
ในการรบและการค้า รับและแลกเปลี่ยน
อารยธรรมกับดินแดนใกล้เคียงที่ติดต่อกัน
ทางการค้า เช่น เกาะครีต อียิปต์
คาบสมุทรอานาโตเลีย
- 25. ประมาณ 1,460 ปีก่อนคริสต์ศักราช
พวกเอเคียนโจมตีเกาะครีต ทำาลายพระ
ราชวังนอสซัส และเข้าครอบครองเกาะ
ครีต ต่อเมอื่ 1,400 ปีก่อนคริสต์ศักราชได้
สร้างเมืองไมซีเนที่มีป้อมปราการแข็งแรง
พวกเอเคียนจึงมีชื่อใหม่ว่าไมซีเนียนตาม
ชื่อเมือง
- 31. การปกครองกรีกหลัง 800 ปีก่อน
คริสต์ศักราช หรือที่เรียกว่า ยุคคลาสสิก
(Classical Age) ใน 700 ปีก่อนคริสต์
ศักราช กษัตริย์ได้สูญเสียอำานาจทั้งหมดให้
แก่พวกขุนนาง ซึ่งเข้ามามีบทบาทในการ
ปกครองและบริหารนครรัฐแก่ราษฎรที่เป็น
ผู้ชายที่อายุบรรลุนิติภาวะและเป็นพลเมือง
ของนครรัฐ อุดมการณ์ประชาธิปไตยของ
กรีกนับว่าเป็นมรดกทางอารยธรรมที่สำาคัญ
ประการหนงึ่ที่ถ่ายทอดให้แก่โลกตะวันตก
จนเกิดพัฒนาการกลายเป็นระบอบ
ประชาธิปไตยในปัจจุบัน
- 32. ประมาณ 500 ปีก่อนคริสต์ศักราช
ศูนย์กลางความเจริญของกรีกได้ย้ายมาสู่
นครรัฐเอเธนส์ (Athens) ในแคว้นแอตติ
กะ (Attica) สถาปัตยกรรม วรรณคดี
ประวัติศาสตร์ การแพทย์ และปรัชญา
เจริญขึ้นในเวลารวดเร็ว
- 33. เอเธนส์และนครรัฐกรีกอื่นๆก็ผนึก
กำาลังกันเพื่อทำาสงครามป้องกันการรุกราน
จากเปอร์เซียในระหว่าง 470-429 ปีก่อน
คริสต์ศักราชผลของสงครามเอเธอนเป็น
ฝ่ายชนะ เอเธนส์ได้จัดตงั้สมาพันธรัฐแห่ง
หมู่เกาะเดลอส (Delos) ซึ่งใช้เป็นศูนย์และ
เป็นที่เก็บรักษาทรัพย์สมบัติ ต่อมาสหพันธรัฐ
ได้ย้ายศูนย์กลางไปอยทูี่่เอเธนส์ ความมงั่คงั่
ของเอเธนส์ได้นำาเอเธนส์เข้าสู่สงครามเพโล
พอนนีเชียน (Peloponnesian War 431-
404 ปีก่อนคริสต์ศักราช) อันเป็นสงคราม
ระหว่างเอเธนส์กับสปาร์ตา เนอื่งจากนั้น
ขณะสปาร์ตาเป็นนครรัฐทหารและเป็นคู่แข่ง
ที่สำาคัญในการแย่งชิงอำานาจเพื่อเป็นผู้นำา
- 35. สงครามเพโลพอนนีเชียนได้นำา
ความเสอื่มมาสู่นครรัฐกรีก และเปิดโอกาส
ให้มาชิโดเนีย (Macedonia) ขยายอำานาจ
เข้าครอบครองนครรัฐของกรีก ในสมัย
พระเจ้าอะเล็กซานเดอร์มหาราช
(Alexander the Great 336-323 ปีก่อน
คริสต์ศักราช) หรือที่เรียกว่า ยุคเฮลเลนิสติก
(Hellenistic Age) กรีกสามารถขยายดิน
แดนครอบคลุมอียิปต์ เอเชียไมเนอร์
เปอร์เซีย ไปจนถึงอินเดีย ในยุคแห่งความ
เจริญรุ่งเรืองนี้ มีการจัดตั้งเมืองอะเล็กซาน
เดรีย (Alexandria) ในอียิปต์ เพื่อเป็น
ศูนย์กลางของการค้าและศิลปวัฒนธรรมของ
กรีก
- 37. เนื่องจากระบอบการ
สถาปัตยกรรม
ปกครองของกรีกในยุคคลาสสิกเป็นแบบ
นครรัฐที่ไม่มีกษัตริย์เป็นประมุข งาน
ก่อสร้างของกรีกจึงไม่ใช่พระราชวังที่
หรูหราเหมือนสมัยไมนวน แต่จะเป็นวิหาร
สำาหรับเทพเจ้า ซึ่งชาวกรีกให้ความ
สำาคัญอย่างสูง เทพเจ้าของกรีกกับ
ธรรมชาติมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
ชาวกรีกซึ่งเป็นพวกที่นับถือธรรมชาติเชื่อ
ว่าพลังลึกลับที่มีอยู่ตามธรรมชาติสามารถ
ให้คุณและโทษได้ อำานาจลึกลับใน
- 38. วิหารที่กรีกสร้างไว้บูชาเทพเจ้า
ต่างๆนั้น นิยมสร้างบนเนินดินหรือภูเขา
เล็กๆ ซึ่งมีชอื่เรียกว่า อะครอโพลิส
(Acropolis) วิหารที่สำาคัญ ได้แก่ วิหา
รพาร์เธนอน (Parthenon) ที่อะครอโพลิส
ในนครรัฐเอเธนส์ สร้างในศตวรรษที่ 5
ก่อนคริสต์ศักราช แสดงให้เห็นถึง
สถาปัตยกรรมที่งดงามของกรีก ตัวอาคาร
สร้างด้วยหินอ่อน หลังคาหน้าจั่ว มีเสาหิน
เรียงราย โครงสร้างได้สัดส่วนและสมดุล
กัน
- 40. 1. แบบดอริก (Doric order) เน้นความแข็ง
แรง เสาส่วนล่างใหญ่และเรียวขึ้นเล็ก
น้อย ตารมลำาเสาแกะเป็นทางยาวตาม
แนวตั้ง หัวเสาเป็นแผ่นหินเรียบ วิหา
รพาร์เธนอนเป็นตัวอย่างอาคารที่ใช้เสา
- 41. 2. แบบไอออนิก (Ionic order) ลักษณะ
เรียวกว่าเสาแบบดอริก หัวเสาทำาเป็น
ลวดลายโค้งม้วนย้อยลงมาทั้งสองข้าง
ทำาให้เสาดูสูงเพรียว ตัวอย่างอาคารที่ใช้
เสาแบบนี้ เช่น วิหารอีเรกเธอัม
(Erectheum) ที่เอเธนส์ สร้างอุทิศแก่
อีเรกเธอัส (Erectheus)
- 44. ประติมากร
รม
งานประติมากรรมของกรีกสะท้อนให้
เห็นถึงลักษณะธรรมชาติที่นิยมอย่างแท้จริง
เทพเจ้าของกรีกจะมีลักษณะเป็นมนุษย์ มี
อารมณ์ความรู้สึก ท่าทางและการ
เคลื่อนไหวเหมือนจริง งานประติมากรรม
ของกรีกในระยะแรกได้รับอิทธิพลจาก
อียิปต์ซึ่งมีลักษณะหน้าตรงแข็งทื่อ
- 45. ต่อมาในสมัยคลาสสิก กรีกก็สร้างงาน
ประติมากรรมภาพเปลือยที่แสดงกล้ามเนื้อ
ให้มีความถูกต้องตามหลักกายวิภาคศาสตร์
และสามารถแกะสลักหินอ่อนเป็นเสื้อผ้าที่ดู
พลิ้วอย่างไรก็ดี รสนิยมของชาวกรีกก็จะ
เริ่มเปลี่ยนไปในสมัยเฮลเลนิสติก (หลัง
ศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสต์ศักราช) ศิลปินจะ
สร้างงานประติมากรรมจากสภาพมนุษย์ที่
เป็นจริงและสงิ่ที่ตนเห็น ไม่สวยตามแบบ
อุดมคติอีกต่อไป งานประติมากรรมในยุค
หลังของกรีกมักแสดงให้เห็นถึงความทุกข์
ยาก ความทรมาน ความเจ็บปวด และความ
- 46. งานจิตรกรรมยุคแรกๆ ของกรีกทหี่ลง
เหลือมาถึงทุกวันนี้ส่วนใหญ่จะเป็นงาน
จิตรกรรมบนภาชนะของใช้ต่างๆ ที่ทำาจาก
เครื่องปั้นดินเผา ชาวกรีกได้พัฒนาลวดลาย
โบราณที่คล้ายลายเรขาคณิตของเมโสโปเต
เมีย ภาพทนีิ่ยมวาดในตอนแรกมักเป็นรูป
สัตว์ใหญ่ แต่ต่อมาได้มีการวาดภาพคนลงไป
ด้วย ในระยะแรกนิยมใช้สีแดงเป็นพื้นและ
วาดรูปคนเป็นสีดำา เรียกว่า แจกันลวดลาย
คนสีดำา (Black Figure Vase) ต่อมาในยุค
คลาสสิกรูปวาดและสีพื้นจะสลับสีกัน มีชื่อว่า
แจกันลวดลายคนสีแดง (Red Figure Vase)
รูปที่วาดเป็นเรื่องราวจากเทพปกรณัม
และมหากาพย์ของโฮเมอร์ มี
จิตรกรรม
- 51. จนในที่สุดก็พัฒนาเป็นละครประเภท
โศกนาฏกรรม (tragedy) และ
สุขนาฏกรรม (comedy) การแสดง
นาฏกรรมของกรีกใช้นักแสดงชาย
ทั้งหมด โดยทุกคนจะสวมหน้ากากและมีผู้
พากย์และหมู่นักร้อง (chorus) ส่งเสียง
ประกอบ เวที การแสดงเป็นโรงละคร
กลางแจ้ง การละครของกรีกนนีั้บว่าเป็น
มรดกลำ้าค่าทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่กรีก
ได้มอบให้แก่ชาวโลก และยังคงมีอิทธิพล
สำาคัญต่อวงการละครตะวันตกในปัจจุบัน
- 52. นอกจาก มหากาพย์อิเลียด และ โอดิส
ชีย์ ของมหากวีโฮเมอร์ที่ได้รับการยกย่อง
ในแง่โครงเรื่อง ความไพเราะ
จินตนาการ ตลอดจนอารมณ์ที่ถ่ายทอด
ออกมาได้อย่างงดงามซึ่งถือกันว่าเป็นงาน
ที่เป็นแม่แบบของงานวรรณกรรมแล้ว
กรีกก็ยังมีงานประพันธ์อื่นๆ ที่ถือเป็น
มรดกทางวัฒนธรรมที่สำาคัญ งานประพันธ์
ดังกล่าวนี้Ethics ถือว่าเป็ขอนงอาการิสรโตเริ่เติมต้ล น(Aristotle)
หรือจุด
กำาเนิดของปวิระชามาปณ รัช384-ญา322 และปีปก่อระนควัริติสศาต์ศักสราตช
ร์
จริยศาสตร์
วรรณกร
รม
- 53. คณิตศาสต
ร์
นักคณิตศาสตร์ ได้แก่ ปีทาโกรัสแห่ง
ซามอส (Pythagoras of Samos
ประมาณ 580-496 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
เป็นผคูิ้ดทฤษฎีบทปีทาโกรัส ซึ่งเป็นหลัก
สำาคัญในวิชาเรขาคณิต และยูคลิดแห่งอะ
เล็กซานเดรีย (Euclid of Alexandria
ประมาณ 450-380 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ผู้
คิดเรขาคณิตแบบยูคลิด เป็นผเู้ขียน
หนังสือชุด Pythagoras Elements ซึ่งมีจำานวEuclid
น 13
เล่ม เนอื้หาส่วนใหญ่กล่าวถึงเรขาคณิต
ระนาบและเรื่องสัดส่วน
- 55. การแพทย์
ฮิปโปคราตีส (Hippocrates ประมาณ
460-377 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ได้รับการ
ยกย่องเป็น “บิดาแห่งการแพทย์” มีความ
เชอื่ว่าโรคทุกชนิดเกิดจากธรรมชาติ ไม่ใช่
พระเจ้าลงโทษ เฮโลฟิลัสแห่งแคลซีดอน
(Herophilus of Chalcedon ประมาณ 335-
280 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นคนแรกที่ตัด
ชนิ้ส่วนของมนุษย์เพื่อศึกษา และพบว่าสมอง
เป็นศูนย์กลางของระบบประสาท ได้รับการ
ยกย่องเป็น “บิดาแห่งกายวิภาคศาสตร์”
- 57. ประวัติศาสตร์
เฮโรโดตัส (Herodotus ประมาณ 484-
425 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ได้เดินทางไปยัง
ดินแดนต่างๆ แล้วเขียนหนังสือ
ประวัติศาสตร์ (History เป็นภาษากรีก
แปลว่า สอบถาม) กล่าวถึงขนบธรรมเนียม
ประเพณี ตำานาน และประวัติศาสตร์ของ
โลกสมัยโบราณ ส่วนท้ายของหนังสือกล่าว
ถึงความขัดแย้งระหว่างกรีกกับเปอร์เซีย
- 68. ความเชอื่ตามตำานานว่า กรุงโรม
สถาปนาขึ้นบนเนินเขา 7 ลูกเมื่อ 753 ปีก่อน
คริสต์ศักราช โดยพี่น้องฝาแฝดคู่หนึ่งชอื่ โร
มูลุส (Romulus) และเรมุส (Remus) แต่ตาม
หลักฐานทางด้านโบราณคดีและ
ประวัติศาสตร์ยืนยันว่าบริเวณที่ตั้งของกรุง
โรมในปัจจุบันมีพวกอิทรัสกัน (Etruscan)
ซึ่งได้รับอารยธรรมของกรีกและเมื่ออพยพ
เข้ามา ก็ได้นำาความเชื่อในศาสนาของกรีก
ศิลปะการแกะสลัก การทำาเครื่องปั้นดินเผา
อักษรกรีก การปกครองแบบนครรัฐ และ
อื่นๆเข้ามา
- 69. ที่ตั้งถิ่นฐานของผู้อพยพจากเผ่า
อื่นๆอีกที่สำาคัญ ได้แก่ พวกละตินซึ่ง
เป็นบรรพบุรุษของชาวโรมัน เมื่อ 509
ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกละตินได้ขับไล่
กษัตริย์อิทรัสกันออกจากบัลลังก์ และ
จัดตั้งโรม จัดตั้งสาธารณรัฐ แต่อำานาจ
การปกครองยังเป็นของชนชั้นสูงที่เรียก
ว่า พวกพาทริเชียน (patrician) เท่านนั้
ส่วนประชาชนส่วนใหญ่ที่เรียกว่า เพล
เบียน (plebeian) ไม่มีสิทธิใดๆทางด้าน
การเมืองและสังคม
- 70. ความขัดแย้งระหว่างพวกพาทริเชียน
และเพลเบียนนำาไปสู่การต่อสู้ระหว่างทั้งสอง
ชนชนั้ใน 494 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวก
เพลเบียนได้มีสิทธิออกกฎหมายร่วมกับพวก
พาทริเชียน เป็นการออกประมวลกฎหมาย
เป็นลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของโรมัน
เรียกว่ากฎหมายสิบสองโต๊ะ (Law of the
twelve tables) เพื่อใช้บังคับให้ชาวโรมัน
ทุกคนปฏิบัติอยู่ในกรอบเดียวกันของ
กฎหมายและสังคม กฎหมายสิบสองโต๊ะนับ
เป็นมรดกชิ้นสำาคัญของโรมที่ถือกันว่าเป็น
แม่บทของกฎหมายโลกตะวันตก
- 71. ระหว่าง 264-146 ปีก่อนคริสต์ศักราช
โรมันทำาสงครามพิวนิก (Punic Wars) กับ
พวกคาร์เทจ สาเหตุมาจากการแย่งผล
ประโยชน์ในเกาะซิซิลี คาร์เทจเป็นฝ่าย
พ่ายแพ้ตลอดและหมดอำานาจไป เป็นการ
เปิดโอกาสให้โรมันได้เป็นเจ้าทะเล
เมดิเตอร์เรเนียน และเป็นรัฐที่มีอำานาจมาก
ที่สุดในขณะนนั้ โดยผูกขาดการค้าระหว่าง
ยุโรปตะวันตกกับยุโรปตะวันออกและเอเชีย
ไมเนอร์ จนมีฐานะมั่งคงั่และมีอำานาจ
ปกครองดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล
- 72. เมอื่ 27 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาวโรมัน
ได้ยุติการปกครองในระบอบสาธารณรัฐและ
หันมาใช้การปกครองแบบจักรวัติอย่างเป็น
ทางการ ออคเทเวียน (Octavian) ได้รับ
สมญานามว่า ออกัสตัส (Augustus) และ
สภาโรมันได้ยกย่องให้เป็นจักรพรรดิองค์
แรกของจักรวรรดิโรมัน โรมันเจริญถึงขีด
สูงสุดและสามารถขยายอำานาจและอิทธิพล
ไปทั่วทั้งทวีปยุโรป เอเชียตะวันตก และ
แอฟริกาเหนือ
- 73. ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 คริสต์ศาสนาแผ่
ขยายไปทางทิศตะวันตกของปาเลสไตน์ซึ่ง
ขณะนนั้อยู่ใต้การปกครองของโรม
จักรวรรดิโรมันต่อต้านคริสต์ศาสนาอย่าง
รุนแรง จนถึง ค.ศ. 313 จักรพรรดิคอนส
แตนตินมหาราช ประกาศกฤษฎีกาให้
เสรีภาพในการนับถือศาสนาคริสต์ ทำาให้
คริสต์ศาสนาได้รับการยอมรับอย่างแพร่
หลาย มีผลให้จักรวรรดิโรมันเป็น
จักรวรรดิของคริสต์ศาสนา
- 74. ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 4 ถึงคริสต์
ศตวรรษที่ 5 จักรวรรดิโรมันอ่อนแอลงตาม
ลำาดับ จนในที่สุดกรุงโรมถูกพวก
อนารยชนเผ่าเยอรมันหรือเผ่ากอท (Goth)
เข้าปล้นสะดมหลายครั้ง จักรพรรดิของ
โรมันองค์สุดท้ายถูกอนารยชนขับออกจาก
บัลลังก์ใน ค.ศ.476 จึงถือกันว่าปีดังกล่าว
เป็นการสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมันและ
ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ
- 77. ประติมากรรม
สะท้อนบุคลิกภาพของมนุษย์อย่าง
สมจริงตามธรรมชาติ มีสัดส่วนงดงาม
เหมือนกรีก แต่โรมันจะพัฒนาศิลปะด้าน
การแกะสลักรูปเหมือนของบุคคลสำาคัญๆ
โดยเฉพาะในท่าครึ่งท่อนบนได้อย่าง
สมบูรณ์ เพราะสามารถทำาให้หินอ่อนแกะ
สลักนนั้ดูมีชีวิต อีกทั้งสะท้อนบุคลิกภาพ
ของบุคคลที่เป็นแบบอย่างสมจริงที่สุด
นอกจากนี้ชาวโรมันยังได้พัฒนาศิลปะการ
แกะสลักภาพนูนตำ่า เพื่อบันทึกเรื่องราวหรือ
เหตุการณ์สำาคัญทางประวัติศาสตร์ และ
สดุดีวีรกรรมของนักรบ
- 78. วรรณกรรม
งานประพันธ์ของโรมันมีวัตถุประสงค์ที่
แตกต่างจากกรีก งานประพันธ์ของกรีกมี
สีสันและจินตนาการที่กว้างไกล เรื่องเทพ
ปกรณัม หรือประเภทปรัชญาที่ลึกซึ้ง แต่
งานประพันธ์ที่เป็นของโรมันแท้ๆจะมีวัตุ
ประสงค์ที่จะรับใช้จักรวรรดิของตน งาน
ประเภทนี้จะงาสนดุเขีดียคนวาขอมง
ยิ่งใหญ่ของชาวโรมัน
เวอร์จิล ( Virgil 70-ก่อนคริสต์ศักราช) ได้19 เรื่อแก่
ปี
งอี
นีอิด (Aeneid) ซงึ่เป็นมหา
กาพย์ว่าด้วยความเป็นมา
ของกรุงโรม สอดแทรกคำา
สอนเกี่ยวกับหน้าที่ และ
ความจงรักภักดีต่อ
- 79. งานประพันธ์ร้อยแก้วของซิเซโร (Cicero
106-43 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นข้อเขียนทางการเมือง
และจริยธรรมในรูปแบบของสุนทรพจน์และจดหมาย ซิ
เซโรใช้ภาษาละตินทสี่ละสลวย มีระเบียบแบบแผนใน
งานประพันธ์ร้อยแก้วของเขา ซงึ่เป็นแม่แบบของการ
ใช้ภาษาละตินทุกยุคทุกสมัยต่อมา ดังนั้นซิเซโรจึงได้
รับการยกย่องให้เป็นผู้ให้กำาเนิดคำาประพันธ์ประเภท
ร้อยแก้ว งานประพันธ์ของเขายังมีลักษณะพิเศษทใี่ช้
โวหารในการเสียดสีประชดประชัน (Satire) พฤติกรรม
- 83. ปฏิทิน
เดิมชาวโรมันใช้ปฏิทินจันทรคติ ปี
หนงึ่มี 10 เดือน ภายหลังเพิ่มเป็น 12 เดือน
แต่ก็ยังมีความคลาดเคลื่อนไปจากฤดูกาล
จนกระทั่งเมื่อ 45 ปีก่อนคริสต์ศักราช จูเลีย
ส ซีซาร์ ให้ใช้ปฏิทินจูเลียนซึ่งเป็นแบบ
สุริยคติ ปีหนงึ่มี 12 เดือน แต่ละปีมี 365
วัน และให้เพิ่มวันในเดือนกุมภาพันธ์ในทุก
4 ปี ให้เป็นปีที่มี 366 วัน ปฏิทินจูเลียนใช้
มานานถึง 1,600 ปี จึงมีการปรับปรุงเป็น
ปฏิทินเกรกอเรียนใน ค.ศ. 1582
- 85. จากนั้นกฎหมายของโรมันก็
วิวัฒนาการเป็นระบบมากขึ้น และใช้บังคับ
ประชาชนทั่วไปในจักรวรรดิโดยไม่จำากัด
เชอื้ชาติ และให้ความยุติธรรมแก่
ประชาชนยงิ่ขึ้น แม้แต่ทาสซึ่งโรมันไม่นับ
เป็นพลเมืองก็มีสิทธิที่จะอุทรณ์เรียกร้อง
ความยุติธรรมจากบ้านเมืองได้ในกรณีที่
ถูกเจ้านายทำาทารุณกรรม ประมวล
กฎหมายของโรมันนี้เป็นรากฐานของ
ประมวลกฎหมายของประเทศต่างๆ เช่น
อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน สกอตแลนด์ ญี่ปนุ่
- 86. แม้แต่กฎหมายของวัด (Cannon Law)
ในสมัยกลาง (Middle Ages) ก็ยังแสดงให้
เห็นถึงอิทธิพลของกฎหมายโรมันในสมัย
จักรวรรดิจัสติเนียน (Justinian ค.ศ.
527-565) แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์
(Byzantine Empire) หรือจักรวรรดิโรมัน
ตะวันออก ซึ่งได้รวบรวมและจัดประมวล
กฎหมายโรมันเป็นหมวดหมู่ เรียกว่า