More Related Content Similar to จุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ (Oh! History Begin) Similar to จุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ (Oh! History Begin) (20) จุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ (Oh! History Begin)8. ยุคหินกลาง
Middle Stone
Age
มีอายุประมาณ 8,000 ปี ก่อนคริสตกาล
มนุษย์ยุคหินกลางรู้จักการตั้งถิ่นฐานภายนอกถ้า เครื่องมือเครื่องใช้ทาด้วย
หินแต่มีความประณีตมากขึ้น รู้จักทาศรธนูล่าสัตว์ ทาขวานหิน ทาการเพาะปลูก
จับปลา และปั้นหม้อไหด้วยดินเหนียวตากแห้ง
ผลงานด้านศิลปวัฒนธรรม มีภาพวาดตามชะง่อนหินผา ในเขตชายฝั่ง
ตะวันออกของประเทศสเปน แต่จะมีรูปมนุษย์และรูปสัตว์ปรากฎในภาพร่วมกัน
สันนิษฐานว่ามนุษย์ในยุคหินกลางคงมีความเชื่อเรื่องวิญญาณ
10. ยุคหินใหม่
New Stone Age
มีอายุประมาณ 4,000 ปี ก่อนคริสตกาล
มนุษย์ยุคหินใหม่ รู้จักผลิตอาหารได้เอง รู้จักการทอผ้า ใช้เครื่องนุ่งห่มและทา
เครื่องปั้นดินเผา เครื่องมือเครื่องใช้ยังทาด้วยหิน เขาสัตว์หรือกระดูกสัตว์แต่พัฒนาฝีมือ
ประณีตขึ้น จึงมักเรียกยุคนี้ว่า
"ยุคหินขัด" ตลอดจนรู้จักการ
นาสุนัขมาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน
13. เป็นยุคที่มนุษย์รู้จักนาเอาแร่โลหะมาจากธรรมชาตินามาใช้เพื่อประโยชน์ เช่น ทองแดง
สาริด และเหล็ก นามาหล่อหรือขึ้นเป็นมีด หอก และดาบ เพื่อใช้ในการล่าสัตว์หรือมาประกอบ
เป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ และเครื่องประดับ มนุษย์สมัยนี้พัฒนาการเป็นอยู่อาศัยและการ
เกษตรกรรมให้ดียิ่งขึ้น นาทองแดงมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ เมื่อประมาณ 4,000 ปี ก่อน
คริสต์ศักราช ยุคโลหะ (METAL AGE) แบ่งออกเป็น 3 ยุคย่อยคือ ยุคทองแดงปนหิน ยุคสาริด
และยุคเหล็ก
ยุคโลหะ
Metal Age
15. ยุคสาริด Bronze
Age
ยุคสาริดเริ่มต้นในภูมิภาคต่างๆ ของโลก สาริดเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับดีบุกกรรมวิธี
การทาสาริดค่อนข้างยุ่งยาก เครื่องมือเครื่องใช้ในยุคสาริดที่พบตามแหล่งต่าง ๆ ในภูมิภาคต่างๆของโลก
นอกจากทาด้วยสาริดแล้วยังพบเครื่องมือเครื่องใช้ทาจากดินเผา หิน และแร่ ในบางแหล่งมีการใช้สาริด
ต่อเนื่องมาจนถึงยุคเหล็กเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทาจากสาริดมีขวาน หอก ภาชนะ กาไล ตุ้มหู ลูกปัด เป็น
ต้น
ในยุคนี้ความเป็นอยู่ของมนุษย์เปลี่ยนไปมากทั้งด้านการเมืองและสังคม ชุมชนเกษตรกรรม
ขยายตัวจนกลายเป็นชุมชนเมือง
20. อารยธรรมของโลกตะวันตก
อารยธรรมเมโสโปเตเมีย 3,500 B.C
- กาเนิดในลุ่มแม่น้าสองสาย คือ ไทกริสและยูเฟร
ติส เป็นแหล่งอารยธรรมแรกของโลกเมื่อประมาณ3500
ปี ก่อนค.ศ. เนื่องจากเป็นแหล่งน้าอุดมสมบูรณ์ท่ามกลาง
ดินแดนทะเลทรายและภูเขา (ปัจจุบันได้แก่ประเทศอิรัก)
- บริเวณที่ราบที่แม่น้าทั้งสองสายบรรจบกันและไหลลง
สู่ทะเล อ่าวเปอร์เซีย เรียกว่า “บาบิโลเนีย”
- โดยเหตุนี้ ทาให้มีชนหลายกลุ่มหลายเผ่าผลัดกันมาตั้ง
ถิ่นฐาน และมีอานาจในดินแดนแถบนี้
21. ชนเผ่าสุเมเรียน
Sumerian
- เป็นชนเผ่าแรกที่เข้าครอบครอง และทาการก่อสร้างระบบ
ชลประทานเป็นชาติแรก
- สังคมของสุเมเรียนยกย่อง เกรงกลัวเทพเจ้า นิยมก่อสร้างศา
สนสถานเรียกว่า “ซิกกูแรต” สร้างด้วยอิฐตากแห้ง
- ชาวสุเมเรียน เป็นกลุ่มแรกที่ประดิษฐ์อักษรได้แก่ อักษรลิ่ม
หรือ “คูนิฟอร์ม” cuneiform นักประวัติศาสตร์จึงนับเอา
เป็นเกณฑ์ในการแบ่งยุคประวัติศาสตร์
- “กิลกาเมซ” Epic of Gilgamesh เป็นมหากาพย์ที่
ถูกแต่งขึ้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับน้าท่วมโลก
- มีความเจริญทางด้านคณิตศาสตร์ ปฏิทิน และการชั่งตวง
วัด
22. ชนเผ่าอามอไรต์
Amorite
- หลังจากสุเมเรียนเสื่อมอานาจ ชาวอามอไรต์Amorite ได้
ตั้ง อาณาจักรบาบิโลเนีย Babylonia ขึ้นมา การปกครองแบบ
รวมศูนย์การจัดเก็บภาษี การเกณฑ์ทหาร
- สมัยพระเจ้าฮัมมูราบี ( 1792-1745 B.C.) ได้มี “ประมวล
กฎหมายฮัมมุราบี”เป็นลายลักษณ์อักษรจารึกแผ่นศิลายึดถือ
หลัก ตาต่อตาฟันต่อฟัน ในการลงโทษ
ชนเผ่าฮิตไทต์Hittite
- เข้ายึดครองแทนในดินแดนแถบนี้ เมื่อ 1590 B.C.
ชนเผ่าคัสไซต์ Kassite
- อพยพมาจาก เทือกเขาซากรอส เข้าครอบครองต่อ และมีอายุ
ยาวนานต่อเนื่องกว่า 400 ปี
23. 800 B.C.
ชนเผ่าอัสซีเรีย
- พวกอัสซีเรียน ได้เข้ายึดครองกรุงบาบิโลน มีศูนย์กลางที่ นิเนเวห์ ตั้งจักรวรรดิอัสซีเรีย
Assyrian
- สมัยพระเจ้าอัสชูร์บานิปาล 668-629 B.C. อัสซีเรียมีความเจริญขีดสุด
612 B.C
ชนเผ่าคาลเดีย
. เผ่าคาลเดียน Chaldean เข้ายึดครองนิเนเวห์สาเร็จ สถาปนากรุงบาบิโลนขึ้นใหม่
- สมัยพระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ 605-562 B.C. สามารถตีเยรูซาเลม และกวาดต้นเชลยมาเป็นจานวน
มาก ได้สร้าง “สวนลอยแห่งบาบิโลน” Hanging Gardens of Babylon
- ชาวคาลเดียน เป็นชาติแรกที่นาเอาความรู้ด้านดาราศาสตร์มาพยากรณ์โชคชะตามนุษย์และยัง
สามารถคานวณด้านดาราศาสตร์ได้อย่างแม่นยา
539 B.C.
พระเจ้าไซรัสมหาราช แห่งเปอร์เซีย
เข้ายึดครอง และผนวกเข้ากับจักรวรรดิ์เปอร์เซียทาให้ประวัติศาสตร์แถบเมโสโปเตเมียสิ้นสุดลง
24. ชนชาติอื่นในเอเชียไมเนอร์
ได้แก่ ดินแดนที่อยู่ระหว่าง ทะเลดา กับทะเลเมดิเตอร์
เรเนียน (ปาเลสไตน์ ตุรกี ซีเรีย)
1.ฟินิเชียน1300-1000B.C.
เชี่ยวชาญในการเดินเรือทะเล มีเมืองท่าคือ ไทร์ และ
ไซดอน ค้าขายจนถึงตอนเหนือแอฟริกา
(เมืองคาร์เทจ Carthage)
- จากการเปิดกว้างของวัฒนธรรมทาให้ชาวฟินิเชียน
ดัดแปลงตัวอักษรเฮียราติกและคูนิฟอร์มมาเป็น
“อัลฟาเบต”Alphabet ต่อมากลายเป็นต้นแบบ
ของภาษากรีก ละติน ชาติตะวันตก และตะวันออก
อื่น ๆ ด้วย
25. 2. ฮีบรู 1400 B.C
เรียกอีกชื่อว่า “ยิว” เร่ร่อนในทะเลทราย . ถูกจับเป็น
ทาสที่อียิปต์ ต่อมา “โมเสส” เป็นผู้ช่วยปลดแอก แล้ว
อพยพไปตั้งถิ่นฐานที่ปาเลสไตน์ Canaan
เนื่องจากเป็นชาติที่ไม่เข้มแข็งเรื่องการทหาร จึงถูก
ชนเผ่าอื่นครอบครองซ้าแล้วซ้าเล่า จนกระทั่งยุค
สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเกิดเป็นประเทศอิสระ ชื่อ
ว่า “อิสราเอล”
มรดกตกทอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้แก่ “คัมภีร์ไบเบิ้ล” ถือ
เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ชิ้นสาคัญของโลก รวมไป
จนถึงการเป็นต้นกาเนินศาสนาคริสต์ และอิสลาม
26. อารยธรรมของโลกตะวันตก
อารยธรรมอียิปต์ 3,100 B.C
- อารยธรรมอียิปต์โบราณ เกิดขึ้นในบริเวณสองฝั่ง
ของแม่น้าไนล์
- บริเวณลุ่มแม่น้าแบ่งเป็น 2 บริเวณ คือ Lower
Egypt (ปากแม่น้าไหลสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน)
เรียกว่า “เดลตา” อารยธรรมได้เกิดขึ้นบริเวณนี้ ส่วน
อีกที่คือ Upper Egypt เป็นที่แม่น้าไหล
ผ่านทะเลทราย หุบเขาไปจนถึงซูดานในปัจจุบัน
- ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นทะเลทราย ดังนั้นแม่น้า
ไนล์จึงเปรียบเสมือน โอเอซีส และทาให้อียิปต์ถูก
ป้องกันการรุกรานจากชาติอื่น ๆ โดยธรรมชาติ จน
กล่าวได้ว่า “Egypt is the gift of
the Nile”
27. เทพเจ้าของชาวอียิปต์
- Re เทพเจ้าเร หรือ สุริยเทพ
- Osiris โอซิริส หรือ เทพแห่งแม่น้าไนล์ เทพแห่งยมโลก
- Isis ไอซิส หรือ เทพีแห่งพื้นดิน เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์
- Set เซต เทพแห่งสงคราม
-Hathor ฮาธอร์ เทพี แห่งความรัก
- Horus ฮอรัส เทพผู้เป็นตัวแทนของฟาโรห์ทุกพระองค์
- นอกจากนี้ยังมีเทพอื่นๆที่ถือเป็นเทพเจ้าประจาแต่ละเมือง
ชาวอียิปต์ถือ ฟาโรห์เป็นเทพเจ้าพระองค์หนึ่ง ซึ่งได้แสดงออกโดย
งานสร้าง และสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ที่ถวายแก่ฟาโรห์
29. ปิรามิด Pyramid และ มัมมี่
Mummy
- ปิรามิด สร้างโดยการสกัดหินมาเรียงเป็น
ขั้นบันได เป็นรูปกรวยสามเหลี่ยมขนาดใหญ่
เพื่อเป็นสุสานฝังพระศพฟาโรห์ ส่วนมัมมี่ เป็น
การรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อย ตามความเชื่อเรื่อง
การฟื้นคืนชีพจากตาย
30. อียิปต์สมัยประวัติศาสตร์
- อียิปต์ ประดิษฐ์อักษรภาพเรียกว่า “เฮียโรกลิฟิก” hieroglyphic เป็นการ
แกะสลักฝาผนังโบสถ์ และสุสานฟาโรห์ ต่อมาได้พัฒนาการเขียนลงในกระดาษ “ปาปิรุส”
- Book of the Dead เป็นวรรณกรรมความเชื่อของชาวอียิปต์ ที่กล่าวถึงการ
ปฏิบัติตนเมื่อต้องเข้าไปสู่ยมโลก
- ความรู้ที่ถ่ายทอดได้แก่ วิชาดาราศาสตร์ และปฏิทินแบบสุริยคติ แบ่งปีออกเป็น 365 วัน
- สมัยปลายราชวงศ์ ได้มีการพยายามเปลี่ยนความเชื่อ จากการบูชาเทพเจ้าหลายพระองค์
ให้เหลือเพียงพระองค์เดียว ได้แก่ สุริยเทพ Aton หรือ อะตัน ซึ่งฟาโรห์เท่านั้นจะมี
สิทธิ์ ส่วนประชาชนทั่วไปให้บูชาฟาโรห์แทน นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ทาให้ชนชาติขาดความ
เข้มแข็ง
35. กรีกสมัยประวัติศาสตร์
- 2000 B.C. กาเนิดอารยธรรมไมนวน Minoan การค้นพบดินเผาจารึกตัว
อักษรบนเกาะครีต มีการก่อสร้างวังใหญ่โต
- ต่อมาถูกรุกรานจากพวก ไมซิเนียน Mycenaean และต่อมาเป็นพวก ดอ
เรียน Dorian
- 1120-800 B.C. ถือเป็นยุคมืด การค้าขายถูกพวกฟินิเชียนเข้ามาขยาย
อิทธิพล ***โฮเมอร์ และอิเลียด โอดิสซีย์เกิดในช่วงนี้ ***
- 800 B.C. ยุคคลาสสิค มีลักษณะเป็นนครรัฐ เรียกว่า “โพลิส” Polis มี
กษัตริย์และขุนนางปกครองนคร เริ่มใช้ระบอบประชาธิปไตย
-500 B.C. ศูนย์กลางอยู่ที่ เอเธนส์ แคว้นแอตติก Attica ได้ร่วมกันกับ
นครรัฐกรีกอื่น ป้องกันการรุกรานจากเปอร์เซีย กลายเป็นยุคทองแห่งเอเธนส์
- 431-404 B.C. สงครามเพโลพอนนีเชียน ระหว่างเอเธนส์ กับสปาร์ตา ผลทาให้
มาซีโดเนีย เข้าครอบครองกรีก สมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช เรียกว่ายุค “เฮลเล
นิสติก” ขยายดินแดนครอบคลุมถึงอียิปต์ และอินเดีย
41. เฮโรโดตุส Herodotus 484-420 B.C.
- งานเขียนของเขามีชื่อว่าเดอะ ฮีสทอรี่ (The Histories)
นักปราชญ์ที่สาคัญของโลก
รูปหนังสือ The Histories รูปปั้นเฮโรโดตุส
42. โซเครตีส Socrates 470-399 B.C.(บิดาแห่งประวัติศาสตร์)
- เขียนบุคคลในประวัติศาสตร์ เป็นอาจารย์ของเทโตอริสโตเติ้ล
รูปปั้นโซเครตีส
43. อริสโตเติ้ล Aristotle 384-322 B.C.(บิดาแห่ง
ศาสตร์ใหม่)- เขียนหนังสือไว้มากมายประมาณ 400 - 1,000 เล่ม ซึ่ง
งานต่าง ๆ ที่ได้เขียนขึ้นมานั้น ได้มีอิทธิพลต่อความ
เชื่อในศาสนาคริสต์จวบจนกระทั่งยุคกลางหรือยุคมืด
รูปปั้นอริสโตเติ้ล
44. เพลโต Plato 328-247 B.C.(บิดาแห่งประวัติศาสตร์ใหม่)
- คาสอนของเพลโตมีอิทธิพลอย่างมากต่อความเชื่อทางศาสนา
ของผู้คนนับล้าน เพลโตมีความสนใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องชีวิต
หลังความตาย. หนังสือเล่มหนึ่ง
(Body and Soul in Ancient
Philosophy )
รูปปั้นเพลโต
หนังสือ
Body and Soul in Ancient
Philosophy
46. 450 ปีก่อน ค.ศ. ได้มีการนากฎหมายเขียนเป็น
ลายลักษณ์อักษร คือ กฎหมายสิบสองโต๊ะ
กฎหมายนี้ช่วยพิทักษ์บรรดาเพลเบียน ให้พ้น
จากอานาจตามอาเภอใจของชนชั้นแพทริเชียน
กฎหมายสิบสองโต๊ะนี้นับว่ามีความสาคัญมาก
ต่อพัฒนาการทางกฎหมายรัฐธรรมนูญของ
โรมัน
กฎหมายสิบสองโต๊ะ
48. มรดกสาคัญของโรมัน
-ถนนโรมัน โดยการนาหิน ศิลา มาทาเป็นพื้นถนน สามารถรองรับ
น้าหนักของรถม้าได้
- ท่อส่งน้า และประตูชัย
- กองกาลังทหารฟาลังส์ เป็นกองทหารรบที่มีประสิทธิภาพสูงสุดใน
ยุโรป
- โคลอสเซียม เป็นสนามกีฬาอัฒจันทร์ล้อมรอบ เดิมทีสร้างเพื่อเป็น
การพบปะระหว่างรัฐ กับประชาชน ต่อมากลายเป็นสังเวียนการต่อสู้
ของทาส หรือพวกกลาดิเอเตอร์ (นักรบ) เป็นลานประหารนักโทษที่
ถูกตัดสินประหารชีวิต โดยนามาสู้กับสิงโต ขณะเดียวกันเป็นที่แข่ง
ม้าศึกด้วย