More Related Content
Similar to ระบบนิเวศ (Ecosystem)
Similar to ระบบนิเวศ (Ecosystem) (20)
ระบบนิเวศ (Ecosystem)
- 5. ความหมายของระบบนิเวศ (Ecosystem) ระบบนิเวศเป็นหน่วยที่สาคัญที่สุดในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม เพราะประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด มีการแลกเปลี่ยนสสาร แร่ธาตุ และพลังงานกับสิ่งแวดล้อม โดยผ่านห่วงโซ่ อาหาร (food chain)มีลาดับของการกินเป็นทอด ๆ ทาให้สสารและแร่ธาตุมีการหมุนเวียน ไปใช้ในระบบจนเกิดเป็นวัฏจักร ทาให้มีการถ่ายทอดพลังงานไปตามลาดับขั้นเป็นช่วง ๆ ใน ห่วงโซ่อาหารได้ การจาแนกองค์ประกอบของระบบนิเวศ ส่วนใหญ่จะจาแนกได้เป็นสอง องค์ประกอบใหญ่ ๆ คือ 1. องค์ประกอบที่มีชีวิต 2. องค์ประกอบที่ไม่มีชีวิต
- 6. ซึ่งเป็นระบบความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ร่วมกัน ในบริเวณนั้น และความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มสิ่งมีชีวิตกับสภาพแวดล้อม ของแหล่งที่อยู่ ได้แก่ ดิน น้า แสง ในระบบนิเวศจะมีการถ่ายทอด พลังงานระหว่างกลุ่มสิ่งมีชีวิตกลุ่มต่างๆ และมีการหมุนเวียนสารต่างๆ จากสิ่งแวดล้อมสู่สิ่งมีชีวิตและจากสิ่งมีชีวิตสู่สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศมีทั้งระบบใหญ่ เช่น โลกของเราจัดเป็นระบบนิเวศที่ ใหญ่ที่สุด เรียกว่า โลกของสิ่งมีชีวิตหรือชีวภาค (biosphere) ซึ่งรวม ระบบนิเวศหลากหลายระบบ และระบบนิเวศเล็กๆ เช่น ทุ่งหญ้า สระน้า ขอนไม้ผุ ระบบนิเวศ จาแนกได้เป็น ระบบนิเวศตามธรรมชาติ ได้แก่ ระบบนิเวศบนบก เช่น ป่าไม้ บึง ทุ่งหญ้า ทะเลทราย ระบบนิเวศน้า เช่น แม่น้าลาคลอง ทะเล หนอง บึง มหาสมุทร ระบบนิเวศอีกประเภทหนึ่ง
- 7. ระบบนิเวศ ..... การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม ประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด มีการแลกเปลี่ยนสสาร แร่ ธาตุ และพลังงานกับสิ่งแวดล้อม โดยผ่านห่วงโซ่อาหาร (foodchain) มีลาดับของการกินเป็นทอด ๆ ผลที่เกิดขึ้น...ทาให้สสารและแร่ธาตุมีการหมุนเวียนไปใช้ในระบบ จนเกิดเป็นวัฏจักร ทาให้มีการถ่ายทอดพลังงานไปตามลาดับขั้นเป็น ช่วง ๆ ในห่วงโซ่อาหาร
- 9. องค์ประกอบที่ไม่มีชีวิต (abioticcomponent) 1 สารอนินทรีย์ (inorganic substances) ประกอบด้วยแร่ธาตุและ สารอนินทรีย์ซึ่งเป็นองค์ประกอบสาคัญในเซลล์สิ่งมีชีวิต เช่น คาร์บอน ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ และน้า 2 สารอินทรีย์ (organic compound) ได้แก่สารอินทรีย์ที่จาเป็นต่อ ชีวิต เช่นโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และซากสิ่งมีชีวิตเน่าเปื่อยทับ ถมกันในดิน (humus) 3 สภาพภูมิอากาศ (climate regime) ได้แก่ปัจจัยทางกายภาพที่มี อิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ แสง ความชื้น อากาศ และพื้นที่ อยู่อาศัย
- 11. องค์ประกอบที่มีชีวิต (biotic component)ได้แก่
1ผู้ผลิต (producer or autotrophic)ได้แก่สิ่งมีชีวิตที่สร้างอาหาร เองได้จากสารอนินทรีย์ส่วนมากจะเป็นพืชที่มีคลอโรฟิลล์
2ผู้บริโภค (consumer) ได้แก่สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารเอง ได้ (heterotroph)ส่วนใหญ่เป็นสัตว์ที่กินสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหาร
3ผู้ย่อยสลายซาก (decomposer, saprotroph, osmotrophหรือ microconsumer) ได้แก่สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่สร้างอาหารเองไม่ได้ เช่น แบคทีเรีย เห็ด รา (fungi)
หน้าที่...
ทาหน้าที่ย่อยสลายซากสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้วในรูปของสารประกอบโมเลกุล ใหญ่ให้กลายเป็นสารประกอบโมเลกุลเล็กในรูปของสารอาหาร (nutrients) เพื่อให้ผู้ผลิตนาไปใช้ได้ใหม่อีก
อินทรีย์สาร อนินทรียสาร (แร่ธาตุ)
- 13. แสง (Light) ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานของโลกของสิ่งมีชีวิต พืช และสิ่งมีชีวิตที่มีคลอโรฟีลล์เป็นกลุ่มสิ่งชีวิต ที่รับพลังงานแสง จากดวงอาทิตย์มาใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงเป็นการ เก็บพลังงานไว้ในโมเลกุลของอาหารสาหรับใช้ในการดารงชีวิต ของพืชเอง และเป็นอาหารของสัตว์ต่อไปตามลาดับ แหล่งที่อยู่แต่ละแห่งจะมีปริมาณแสงแตกต่างกันไป ทาให้ สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่แต่ละบริเวณแตกต่างกันด้วย เช่น เราจะพบ กลุ่มพืชหนาแน่นในบริเวณที่มีแสงส่องถึง แต่บริเวณใต้ต้นไม้ ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านกว้างมักจะไม่พบพืชชนิดอื่นมากนัก
- 14. พืชแต่ละชนิดยังมีความต้องการแสงในปริมาณแตกต่างกัน บาง พวกต้องการแสงมาก เช่น ข้าว อ้อย ข้าวโพด ในขณะที่พืชบางกลุ่ม เช่น กล้วยไม้ เจริญดีในที่ที่มีแสงราไร หรือมีแสงน้อย สาหรับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้า ส่วนใหญ่จะกระจาย อยู่บริเวณผิวน้าและในระดับที่ไม่ลึกมากมีแสงส่องถึง โดยเฉพาะ พวกพืชน้า สาหร่ายและสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กพวกแพลงตอนพืช แพลงตอนสัตว์ แต่ก็มีสัตว์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่น้ามีความลึกมาก ซึ่งจะมีโครงสร้างเป็นแหล่งกาเนิดแสงในตัวเอง หรือมีลวดลาย เด่นชัดตามลาตัว
- 16. พืช.....แต่ละชนิดยังมีความต้องการแสงในปริมาณแตกต่างกัน บาง พวกต้องการแสงมาก เช่น ข้าว อ้อย ข้าวโพด ในขณะที่พืชบางกลุ่ม เช่น กล้วยไม้ เจริญดีในที่ที่มีแสงราไร หรือมีแสงน้อย สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้า.... ส่วนใหญ่จะกระจายอยู่บริเวณผิวน้าและ ในระดับที่ไม่ลึกมากมีแสงส่องถึง โดยเฉพาะพวกพืชน้า สาหร่ายและ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กพวกแพลงตอนพืช แพลงตอนสัตว์ สัตว์...ที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่น้ามีความลึกมาก ซึ่งจะมีโครงสร้างเป็น แหล่งกาเนิดแสงในตัวเอง หรือมีลวดลายเด่นชัดตามลาตัว
- 17. อุณหภูมิ
สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดดารงชีวิตอยู่ได้ในอุณหภูมิประมาณ 10-30องศา เซลเซียส ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงมากหรือต่ามากจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่น้อย ทั้งชนิดและจานวน หรืออาจไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้เลย เช่น แถบขั้วโลก และ บริเวณทะเลทราย ในแหล่งน้าอุณหภูมิไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากนัก ถึงแม้ ในเขตอบอุ่นและเขตหนาวแถบอาร์กติก ที่ปกคลุมด้วยน้าแข็ง น้าก็ไม่ได้ เป็นน้าแข็งไปหมด น้าที่อยู่ด้านล่างก็ยังคงเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตบาง ชนิดได้
- 21. แร่ธาตุ
แร่ธาตุต่างๆจะมีอยู่ในอากาศที่ห่อหุ้มโลก อยู่ในดินและละลายอยู่ใน น้า แร่ธาตุที่สาคัญ ได้แก่ ออกซิเจน คาร์บอน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และแร่ธาตุอื่นๆเป็นสิ่งจาเป็นที่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องการใน กระบวนการดารงชีพ แต่สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดต้องการแร่ธาตุเหล่านี้ในปริมาณ ที่แตกต่างกัน และระบบนิเวศแต่ละระบบจะมีแร่ธาตุต่างๆเป็นองค์ประกอบ ในปริมาณแตกต่างกัน จึงเป็นปัจจัยสาคัญในการจากัดชนิดและปริมาณของ สิ่งมีชีวิต เช่น ระบบนิเวศป่าชายเลน ซึ่งเป็นดินเลน น้ากร่อย ก็จะมีพืชและ สัตว์ที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตที่พบบนบก เป็นต้น
ในระบบนิเวศแต่ละแห่งจะมีการหมุนเวียนถ่ายเทแร่ธาตุและสาร ต่างๆ จากภายนอกเข้าสู่สิ่งมีชีวิตและจากสิ่งมีชีวิตกลับคืนสู่ธรรมชาติเป็นวัฏ จักร
- 26. ผู้บริโภคในระบบนิเวศ
ผู้บริโภคกินพืช (Herbivore)
เช่น กระต่าย วัว ม้า ช้าง ผีเสื้อ เลียงผา ผู้บริโภคกินสัตว์ (Carnivore)
เช่น เสือ เหยี่ยว กบ ลิ่น นกแต้วแล้ว ผู้บริโภคทั้งพืชและสัตว์ (Omnivore)
เช่น นกบางชนิดที่กินทั้งแมลงและเมล็ดพืช ได้แก่ นกหัวขวาน นกกระทาทุ่ง
- 27. สายใยอาหาร (food web) ระบบนิเวศจานวนน้อยที่ประกอบไปด้วยห่วงโซ่อาหารเดี่ยวๆ ผู้บริโภค แรกเริ่มหลายรูปแบบมักจะกินพืชชนิดเดียวกันและผู้บริโภคแรกเริ่มชนิดเดียว อาจกินพืชหลายชนิดดังนั้นสาขาย่อยของห่วงโซ่อาหารจึงเกิดขึ้นในระดับการ กินอื่นๆด้วย ตัวอย่างเช่น กบตัวเต็มวัยซึ่งเป็นผู้บริโภคลาดับสองกินแมลงหลาย ชนิดซึ่งอาจถูกกินโดยนกหลายชนิด นอกจากนี้แล้ว ผู้บริโภคบางชนิดยังกิน อาหารในระดับการกินที่แตกต่างกัน นกฮูกกินหนูซึ่งเป็นผู้บริโภคแรกเริ่มที่กิน สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังบางชนิด แต่นกฮูกอาจกินงูซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่กินเนื้ออีก ด้วย สิ่งมีชีวิตที่กินทั้งพืชและสัตว์ รวมทั้งมนุษย์ด้วย(omnivore) จะกินทั้งผู้ผลิต และผู้บริโภคในระดับการกินต่างๆ ดังนั้นความสัมพันธ์เชิงการกินอาหารใน ระบบนิเวศจึงถูกถักทอให้มีความละเอียดซับซ้อนมากยิ่งขึ้นจนกลายเป็นสายใย อาหาร (food web)
- 30. ปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชากรต่างชนิดกัน (InterspecificInteractions in Community) สิ่งมีชีวิตทั้งหลายในสังคมต้องมีปฏิสัมพันธ์กัน อาจมีทั้งพึ่งพาและ แก่งแย่งกัน ความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆทาให้สิ่งมีชีวิตมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน ซึ่งแบ่งได้เป็น 3แบบใหญ่ๆได้แก่ การแก่งแย่ง (competition) การล่าเหยื่อ(predation) ภาวะอยู่ร่วมกัน (symbiosis) ซึ่งแต่ละแบบทาหน้าที่เป็นองค์ประกอบของสิ่งแวดล้อมเพื่อปรับตัว ด้านวิวัฒนาการ ผ่านทางการคัดเลือกธรรมชาติมา การเรียนรู้ถึงความสัมพันธ์ ของสิ่งมีชีวิตในรูปแบบต่างๆดังกล่าว ทาให้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงประชากร ในสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้น
- 31. ภาวะพึ่งพากัน (mutualism)+/+ทั้งสองที่มาอยู่ร่วมกันต่างให้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน เช่น แบคทีเรียไรโซเบียมที่รากต้นถั่วช่วยตรึงไนโตรเจนจากอากาศสะสมไว้ที่รากต้น ถั่ว ภาวะได้ประโยชน์ร่วมกัน (protocooperation)+/+คล้ายภาวะพึ่งพากัน แต่ทั้งคู่ไม่ได้ ดารงชีวิตร่วมกันตลอดเวลา เช่น ดอกไม้กับแมลง โดยดอกไม้ได้ประโยชน์จากแมลง ที่มาช่วยผสมเกสรให้ และแมลงก็ได้น้าหวานจากดอกไม้เป็นอาหาร ภาวะเกื้อกูลกันหรือภาวะอิงอาศัย+/0 (commensalism)โดยฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ส่วน อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ประโยชน์แต่ก็ไม่เสียประโยชน์ เช่น กล้วยไม้เกาะบนต้นไม้ จะเห็น ได้ว่ากล้วยไม้ได้ประโยชน์จากต้นไม้แต่ต้นไม้ไม่ได้ประโยชน์แต่ก็ไม่เสียประโยชน์
- 32. ภาวะล่าเหยื่อ (predation)+/- ฝ่ายได้ประโยชน์เรียกว่า ผู้ล่า (predator) ส่วนฝ่ายที่เสีย ประโยชน์เรียกว่า เหยื่อ (prey) เช่น แมวกับนก แมวจะ เป็นผู้ล่าเหยื่ออย่างนก ภาวะมีปรสิต (parasitism)+/- ฝ่ายได้ประโยชน์เรียกว่า ปรสิต (parasite) เช่น กาฝากที่ เกาะบนต้นไม้ใหญ่ กาฝากเป็นปรสิตที่ทาให้ต้นไม้ใหญ่ หรือ ผู้ให้อาศัย (host) เสียประโยชน์
- 34. ภาวะเป็นกลาง (neutralism)0/0คือ ภาวะที่มีสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ อาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกัน สิ่งมีชีวิต แต่ละชนิดต่างดารงชีวิตกันอย่างไม่เกี่ยวข้องกัน เช่น ตั๊กแตนในนาข้าว กับไส้เดือนดิน ภาวะหลั่งสารยับยั้งการเจริญ( Antibiosis : 0 , -) หมายถึง การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหลั่งสารมายับยั้ง การเจริญของแบคทีเรียสาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงิน บางชนิดหลั่งสารพิษ เรียกว่า hydroxylamine ทาให้สัตว์น้าในบริเวณนั้นได้รับ อันตราย
- 38. พีระมิดการถ่ายทอดพลังงาน ( food pyramid ) 1. พีระมิดจานวน ( pyramid of number )
แต่ละขั้นแสดงให้เห็นจานวนสิ่งมีชีวิตในแต่ละลาดับขั้นของห่วงโซ่ อาหารต่อหน่วย พื้นที่หรือปริมาตรสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนยอดสุดของ พีระมิดถูกรองรับโดยสิ่งมีชีวิตจานวนมาก
- 39. 2. พีระมิดพลังงาน ( pyramid of energy ) แสดงค่าพลังงานในสิ่งมีชีวิตแต่ละหน่วยมีหน่วยเป็น กิโลแคลอรีต่อตารางเมตรต่อปีที่ถ่ายทอดจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภคใน ระดับต่างๆ
- 40. วัฏจักรของสาร (Biogeochemicalcycle) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของสารหนึ่งไปอีกสารหนึ่ง โดยการเปลี่ยนตาแหน่งจากแหล่งหนึ่งไปยังอีกแหล่งหนึ่ง หรือจากสิ่งมีชีวิตชนิดชนิดหนึ่งไปยังอีกชนิดหนึ่ง แต่ ในที่สุดจะหมุนเวียนกลับไปยังสภาพเดิมอีก เช่น ออกซิเจนมี อยู่ตามแหล่งต่างๆ ทั่วไป
- 41. วัฏจักรน้า (Water cycle) น้าจัดเป็นทรัพยากรที่สามารถสร้างทดแทนขึ้นใหม่ได้น้า ประมาณ 97 % เป็นน้าในมหาสมุทรและอีก 3% เป็นน้าที่ขั้วโลก แม่น้าลาธาร น้าใต้ดิน และอื่น ๆ ในการหมุนเวียนของน้าเริ่มจาก แสงแดดที่ส่องมายังโลก โดยใช้พลังงานจากแสงแดดนี้จะมีผลต่อ การระเหย(Evaporation) และการคลายน้าของพืช (Transpiration) เมื่อไอ น้าตกกระทบความเย็นจะเกิดการควบแน่น (Condensation)แล้วตกมาสู่แผ่นดินและ มหาสมุทรหมุนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อยไป จึงทาให้เกิดวัฏจักรของน้า
- 46. การหมุนเวียนของไนโตรเจน (Nitrogen Cycle) ธาตุไนโตรเจนเป็นธาตุที่จาเป็นในการสร้างโปรโตปลาสซึมของ สิ่งมีชีวิต โดยจะเป็นส่วนประกอบหลักของโปรตีน ในบรรยากาศมีก๊าซ ไนโตรเจน ประมาณร้อยละ 78 แต่สิ่งมีชีวิตไม่สามารถนามาใช้ได้โดยตรง แต่จะใช้ได้เมื่ออยู่ในสภาพของสารประกอบ แอมโมเนีย ไนไตรท์และไนเต รท ไนโตรเจนในบรรยากาศ จึงต้องเปลี่ยนรูปให้อยู่ในสภาพที่สิ่งมีชีวิต ส่วนใหญ่จะใช้ได้
- 47. วัฏจักรนี้จึงประกอบด้วย ขบวนการตรึงไนโตรเจน (Nitrogen Fixation) ขบวนการสร้างแอมโมเนีย (Ammonification) ขบวนการสร้างไนเตรด (Nitrification) ขบวนการสร้างไนโตรเจน (Denitrification) ขบวนการเหล่านี้จะต้องอาศัยแบคทีเรีย จุลินทรีย์ อื่น ๆ จานวนมาก จึงทาให้เกิด สมดุลของวัฏจักรไนโตรเจน นอกจากจะถูกตรึง โดยสิ่งมีชีวิตแล้ว ไนโตรเจนใน บรรยากาศ ยังถูกตรึงจากธรรมชาติอีกด้วย เป็นต้นว่าเมื่อเกิดฟ้าแลบขึ้นมา ไนโตรเจนในท้องฟ้าจะเปลี่ยนแปลงทางเคมี ฟิสิกส์ ก่อให้เกิดสารประกอบไนเต รดขึ้นมา จากนั้นจะถูกน้าฝนชะพาลงสู่พื้นดินต่อไป