ใบงานท 2
- 1. ใบงานที่ 2
นาฏศิลป์ไทย
เป็ นศิลปะการแสดงประกอบดนตรีของไทย เช่น ฟ้ อน รา ระบา โขน แต่ละ
ท้องถิ่นจะมีชื่อเรียกและมีลีลาท่าการแสดงที่แตกต่างกันไป สาเหตุหลักมาจากภูมิประเทศ
ภูมิอากาศของแต่ละท้องถิ่น ความเชื่อ ศาสนา ภาษา นิสัยใจคอของผู้คน ชีวิตความ
เป็ นอยู่ของแต่ละภาค
ประวัติ
นาฏศิลป์ ไทยเป็ นศิลปะการละครฟ้ อนราและดนตรีอันมีคุณสมบัติตามคัมภีร์นาฏะ
หรือนาฏยะกาหนดว่า ต้องประกอบไปด้วยศิลปะ 3 ประการ คือ การฟ้ อนรา การดนตรี
และการขับร้อง รวมเข้าด้วยกัน ซึ่งทั้ง 3 สิ่งนี้ เป็ นอุปนิสัยของคนมาแต่ดึกดาบรรพ์
นาฏศิลป์ ไทยมีที่มาและเกิดจากสาเหตุแนวคิดต่าง ๆ เช่น เกิดจากความรู้สึก
กระทบกระเทือนทางอารมณ์ไม่ว่าจะอารมณ์แห่งสุข หรือความทุกข ์และสะท้อนออกมาเป็ น
ท่าทางแบบธรรมชาติและประดิษฐ์ขึ้นมาเป็ นท่าทางลีลาการฟ้ อนรา หรือเกิดจากลัทธิ
ความเชื่อในการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธ์ เทพเจ้า โดยแสดงความเคารพบูชาด้วยการเต้นรา
ขับร้องฟ้ อนราให้เกิดความพึงพอใจ เป็ นต้น นาฏศิลป์ไทยยังได้รับอิทธิพลแบบแผนตาม
แนวคิดจากต่างชาติเข้ามาผสมผสานด้วย เช่น วัฒนธรรมอินเดียเกี่ยวกับวรรณกรรมที่
เป็ นเรื่องของเทพเจ้าและตานานการฟ้ อนราโดยผ่านเข้าสู่ประเทศไทยทั้งทางตรงและ
ทางอ้อมคือผ่านชนชาติชวาและเขมร ก่อนที่จะนามาปรับปรุงให้เป็ นรูปแบบตาม
- 2. เอกลักษณ์ของไทย เช่น ตัวอย่างของเทวรูปศิวะปางนาฏราชที่สร้างเป็ นท่าการร่ายราของ
พระอิศวร ซึ่งมีทั้งหมด 108 ท่า หรือ 108 กรณะ โดยทรงฟ้ อนราครั้งแรกในโลก ฌ
ตาบลจิทรัมพรัม เมืองมัทราส อินเดียใต้ ปัจจุบันอยู่ในรัฐทมิฬนาดูนับเป็ นคัมภีร์สาหรับ
การฟ้ อนรา แต่งโดยพระภรตมุนีเรียกว่าคัมภีร์ภรตนาฏยศาสตร์ ถือเป็ นอิทธิพลสาคัญ
ต่อแบบแผนการสืบสานและถ่ายทอดนาฏศิลป์ของไทยจนเกิดขึ้นเป็ นเอกลักษณ์ของตนเอง
ที่มีรูปแบบ แบบแผนการเรียน การฝึ กหัด จารีต ขนบธรรมเนียมมาจนถึงปัจจุบัน
บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาทางด้านนาฏศิลป์ ไทยได้สันนิษฐานว่า อารยธรรมทางศิลปะ
ด้านนาฏศิลป์ ของอินเดียนี้ได้เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่สมันกรุงศรีอยุธยาตารม
ประวัติการสร้างเทวาลัยศิวะนาฏราชที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1800 ซึ่งเป็ นระยะที่ไทยเริ่มก่อตั้ง
กรุงสุโขทัย ดังนั้นท่าราไทยที่ดัดแปลงมาจากอินเดียในครั้งแรกจึงเป็ นความคิดของ
นักปราชญ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และมีการแก้ไขปรับปรุงหรือประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในกรุง
รัตนโกสินทร์ จนนามาสู่การประดิษฐ์ท่าร่ายราและละครไทยมาจนถึงปัจจุบัน
นาฏศิลป์ไทย แบ่งออกเป็ น 4 ประเภท
1. รา คือการแสดงที่มุ่งเน้นถึงศิลปะท่วงท่า ดนตรี ไม่มีการแสดงเป็ นเรื่องราว ราบางชุด
เป็ นการชมความงาม บางชุดตัดตอนมาจากวรรณคดี หรือบางที่ก็ไม่จาเป็ นที่จะต้องมีเนื้อ
เพลงเช่นการราหน้าพาทย์เป็ นต้น ราจะแบ่งออกเป็ น 4 ประเภทดังนี้
1.1 ราเดี่ยว เป็ นการแสดงที่มุ่งอวดศิลปะทางนาฏศิลป์อย่างแท้จริงซึ่งผู้ราจะต้องมีผี
มือดีเยี่ยม เพราะเป็ นการแสดงที่แสดงแต่เพียงผู้เดียว ราเดี่ยวโดยส่วนมากก็จะเป็ นการรา
ฉุยฉายต่างๆ เช่น ฉุยฉายเบญจกาย ฉุยฉายวันทอง ฯลฯ เป็ นต้น
- 3. 1.2 ราคู่ การแสดงชุดนี้ไม่จาเป็ นจะต้องพร้อมเพียงกันแต่อาจมีท่าที่เหมือนก็ได้
เพราะการราคู่นี้เป็ นการใช ้ลีลาที่แตกต่างกันระหว่างผู้แสดงสองคน เช่น ตัวพระ กับตัวนาง
หรือบทบาทของตัวแสดงนั้น ราคู่นี้ก็จะแบ่งออกเป็ นสองประเภท คือ
1.2.1 ราคู่สวยงามจากวรรณคดี เช่น หนุมานจับนาสุพรรณมัจฉา เป็ นต้น
1.2.2 รามุ่งอวดการใช ้อุปกรณ์ เช่าการราอาวุธ รากระบี่กระบอง
1.3 ราหมู่ ราชุดนี้เป็ นการราที่เน้นความพร้อมเพรียง เช่นราอวยพรชุดต่างๆ
- 4. 1.4 ราละคร คือการราที่ใช ้ในการแสดงละครหรือโขน เป็ นการแสดงท่าทางสื่อ
ความหมายไปกับบทร้อง หรือบทละคร และเพลงหน้าพาทย์ต่างๆในการแสดงละคร
2. ระบา คือการแสดงที่มีความหมายในตัวใช ้ผู้แสดงสองคนขึ้นไป คือผู้คิดได้มีวิสัยทัศน์
และต้องการสื่อการแสดงชุดนั้นผ่านทางบทร้อง เพลง หรือการแต่งกายแบบ ที่มาจากแรง
บัลดาลใจ จากเรื่องต่างๆเช่นวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี และเป็ นการแสดงที่จบในชุดๆ
เดียว เป็ นต้น ระบา จะแบ่งออกเป็ นสองประเภทคือ
2.1 ระบามาตรฐาน เป็ นระบาที่บรมครูทางนาฏศิลป์ได้คิดค้นไว้ ทั้งเรื่องเพลง บท
ร้อง การแต่งกาย ท่ารา ซึ่งไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ระบามาตรฐานจะมีอยู่ทั้งหมด
6ชุด คือ ระบาสี่บท ระบาย่องหงิดหรือยู่หงิด ระบาพรมมาตร ระบาดาวดึงส์ ระบากฤษ
ดา ระบาเทพบันเทิง
- 5. 2.2 ระบาที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ เป็ นระบาที่บรมครูหรือผู้รู้ทางนาฏศิลป์ ได้คิดค้นและ
ปรับปรุงชึ้นมาใหม่ ชึ่งสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตามโอกาส อาจเป็ นระบาที่ได้แรงบัล
ดาลใจที่ผู้ประดิษฐ์ต้องการสื่ออาจเป็ นเรื่องของการแต่งกาย วิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี
ระบาปรับปรุงมีอยู่หลากหลายเช่น ระบาชุมนุมเผ่าไทย ระบาไกรราศสาเริง ระบาไก่
ระบาสุโขทัย ฯลฯ เป็ นต้น
ฟ้ อน และ เซิ้ง ก็จัดว่าเป็ นระบาที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ เพราะผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญทาง
นาฏศิลป์ได้คิดค้นขึ้นมา มีการแต่งการตามท้องถิ่นเพราะการแสดงแต่ละชุดได้เกิดขึ้นมา
จากแรงบัลดาลใจของผู้คิดที่จะถ่ายทอดไม่ว่าจะเป็ นเรื่องของวิถีชีวิต การแต่งกาย ดนตรี
เพลง และการเรียกชื่อการแสดงนั้น จะเรียกตาม ภาษาท้องถิ่น และการแต่งกายก็แต่ง
กายตามท้องถิ่น เช่นภาคเหนือก็จะเรียกว่าฟ้ อน เช่นป้ อนเล็บ ฟ้ อนเทียน ภาคอิสานก็
จะเรียกและแต่งกายตามท้องถิ่น ทางภาคอิสานเช่น เซิ้งกะติ๊บข้าว เซิ้งสวิง เป็ นต้น การ
แสดงต่างๆล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นมาจากท้องถิ่นและแต่งกายตามท้องถิ่นไม่ได้มีหลักหรือ
เกณฑ์ที่ใช ้กันโดยทั่วไปในวงการนาฏศิลป์ไทยทั่วประเทศสามารถปรับปรุงหรื่อเปลี่ยนแปลง
ได้ตามโอกาสที่แสดง จึงถือว่า การฟ้ อนและการเซิ้งเป็ นระบาที่ปรับปรุงขึ้นใหม่
- 7. 4. มหรสพ' คือการแสดงรื่นเริง หรือการแสดงที่ใช ้ในงานพิธีต่างๆ มีรูปแบบและวิธีการ
แสดงที่เป็ นแบบแผน เช่น การแสดงโขน หนังใหญ่เป็ นต้น
อ้างอิง : http://th.wikipedia.org/wiki/นาฏศิลป์ ไทย