More Related Content
Similar to พระราชประวัติรัชกาลที่ 9
Similar to พระราชประวัติรัชกาลที่ 9 (20)
พระราชประวัติรัชกาลที่ 9
- 1. พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เสด็จพระราชสมภพ ณ โรงพยาบาลเมานท์ ออ
เบิร์น เมืองเคมบริ ดจ์ รัฐแมสสาชูเซสท์ ประเทศสหรัฐอเมริ กา เมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๑๒ คํ่า เดือนอ้าย ปี เถาะ จุล
ศักราช ๑๒๘๙ ตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๗๐ มีพระนามเดิมว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลย
เดช เป็ นพระราชโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จเจ้าฟ้ ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานคริ นทร์ (พระราช
่ ั
โอรส ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูหว และสมเด็จพระศรี สวริ นทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสา
อัยยิกาเจ้า) และสมเด็จพระราชชนนีศรี สังวาลย์ ซึ่ งภายหลังทั้งสองพระองค์ได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธย
เป็ นสมเด็จพระมหิ ตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกและสมเด็จพระศรี นคริ นทราบรมราช
ชนนี มีพระเชษฐภคินีและพระเชษฐา คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ ากัลยาณิ วฒนา ประสู ติเมื่อวันที่ ๖
ั
พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๖๖ ณ กรุ งลอนดอน ประเทศอังกฤษ กับพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหา
อานันทมหิ ดล เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช
๒๔๖๘ ณ เมืองไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมนี
เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๑ ได้โดยเสด็จสมเด็จพระบรมราชชนก ซึ่งทรง
สําเร็ จการศึกษาปริ ญญาแพทยศาสตร์ บณฑิตเกียรตินิยม จาก
ั
มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ ดประเทศสหรัฐอเมริ กา เสด็จกลับประเทศไทย
ประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาในวันที่ ๒๔ กันยายน พุทธศักราช
่ ั
๒๔๗๒ สมเด็จพระบรมราชชนกทิวงคต ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหว รัชกาลปั จจุบน ทรงเจริ ญ
ั
พระชนมายุได้ไม่ถึงสองพรรษา และเมื่อมีพระชนมายุได้ ๕ พรรษา ได้เสด็จเข้ารับการศึกษาชั้นต้น ณ
โรงเรี ยนมาแตร์ เดอี กรุ งเทพฯ จนถึงพุทธศักราช ๒๔๗๖ จึงเสด็จไปประทับ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศ
สวิตเซอร์ แลนด์ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี พระเชษฐภคินีและพระเชษฐา เพื่อทรงศึกษาต่อในชั้น
ประถมศึกษา ในโรงเรี ยนเมียร์ มองต์ ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษ จากนั้น
ทรงเข้าศึกษาชั้นมัธยมศึกษา ณ เอกอล นูแวล เดอ ลา ชืออิส โรมองต์ เมืองแชลลี ชือ โลซานน์ ทรงได้รับ
ประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์ จาก ยิมนาส กลาชีค กังโดนาล แห่งเมืองโลซานน์ แล้วทรงเข้าศึกษาใน
มหาวิทยาลัยโลซานน์ โดยทรงเลือกศึกษาในแขนงวิชาวิศวกรรมศาสตร์
ในพุทธศักราช ๒๔๗๗ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิ ดล เสด็จขึ้นครองราชย์เป็ นพระมหากษัตริ ย ์
รัชกาลที่ ๘ แห่งพระบรมราชจักรี วงศ์ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช จึงทรงได้รับการสถาปนา
ขึ้นเป็ น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ าภูมิพลอดุลยเดช เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๘ และได้โดยเสด็จพระราช
่ ั
ดําเนิน สมเด็จพระเจ้าอยูหวอานันทมหิ ดล นิวติประเทศไทยเป็ นครั้งแรก ในพุทธ>ศักราช ๒๔๘๑ โดย
ั
- 2. ประทับ ณ พระตําหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เป็ นการชัวคราว แล้วเสด็จกลับไปประเทศ
่
่ ั
สวิตเซอร์แลนด์ จนถึงพุทธศักราช ๒๔๘๘ จึงโดยเสด็จพระราชดําเนิน สมเด็จพระเจ้าอยูหวอานันทมหิ ดล
นิวติประเทศไทยเป็ นครั้งที่สอง ครั้งนี้ประทับ ณ พระที่นงบรมพิมาน
ั ั่
ในพระบรมมหาราชวัง
่ ั
ในวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ สมเด็จพระเจ้าอยูหวอานันท
มหิดล เสด็จสวรรคตโดยกะทันหัน ณ พระที่นงบรมพิมาน ใน
ั่
พระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ าภูมิพลอดุลยเดช
จึงเสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์ในวันเดียวกันนั้น แต่
เนื่องจากยังทรงมีพระราชภารกิจด้านการศึกษา จึงต้องทรงอําลา
ประชาชนชาวไทย เสด็จพระราชดําเนินกลับไปยังประเทศ
สวิตเซอร์ แลนด์อีกครั้งหนึ่ง ในเดือนสิ งหาคม พุทธศักราช ๒๔๘๙
เพื่อทรงศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยแห่งเดิม ในครั้งนี้ ทรงเลือกศึกษา
วิชากฎหมายและวิชารัฐศาสตร์ แทนวิชาวิศวกรรมศาสตร์ที่ทรงศึกษา
อยูเ่ ดิม
ระหว่างที่ประทับศึกษาอยูในต่างประเทศนั้น ทรงพบกับหม่อมราชวงศ์สิริกิต์ ิ กิติยากร ธิ ดาในพระวรวงศ์
่
เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ (พระนามเดิม หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหว ่ ั
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระอิสริ ยยศ ขึ้นเป็ น พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้านักขัตรมง
คล เมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๓ และในพุทธศักราช ๒๔๙๕ ทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นเป็ น
พระองค์เจ้าต่างกรม มีพระนามว่าพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ) และหม่อมหลวงบัว (สนิทวงศ์)
กิติยากร ต่อมาทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิต์ ิ กิติยากร ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๙๒ ณ
เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ในพุทธศักราช ๒๔๙๓ เสด็จพระราชดําเนินนิวติพระนคร ประทับ ณ พระที่นงอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
ั ั่
ทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้าฯ ให้ต้ งการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร
ั
มหาอานันทมหิดล ในเดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ ต่อมาในวันที่ ๒๘ เมษายน ปี เดียวกัน ทรงพระ
กรุ ณาโปรดเกล้าฯ ให้จดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิต์ ิ กิติยากร ณ พระตําหนัก
ั
สมเด็จพระศรี สวริ นทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ในวังสระปทุม ซึ่งในการพระราชพิธี
ราชาภิเษกสมรสนี้ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิต์ ิ กิติยากร ขึ้นเป็ น
สมเด็จพระราชินีสิริกิต์ ิในวันที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ ทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้าฯ ให้ต้ งการพระ
ั
ราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ข้ ึน ณ พระที่นงไพศาลทักษิณ ใน
ั่
พระบรมมหาราชวัง เฉลิมพระบรมนามาภิไธย ตามที่จารึ กในพระสุ พรรณบัฏว่า พระบาทสมเด็จพระ
- 3. ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรี นฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถ
บพิตร พร้อมทั้งพระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า เราจะครองแผ่ นดินโดยธรรม เพือประโยชน์ สุข
่
แห่ งมหาชนชาวสยาม และในโอกาสนี้ ทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้าฯ
สถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระราชินีสิริกิต์ ิ ขึ้นเป็ น สมเด็จ
พระนางเจ้าสิ ริกิต์ ิ พระบรมราชินี หลังจากเสร็ จการพระราชพิธีบรม
ราชาภิเษกแล้ว ได้เสด็จพระราชดําเนินไปทรงรักษาสุ ขภาพ ณ
ประเทศสวิตเซอร์ แลนด์ ตามที่คณะแพทย์ได้ถวายคําแนะนํา และ
ระหว่างที่ประทับรักษาพระองค์อยูน้ น สมเด็จพระนางเจ้าสิ ริกิต์ ิ พระ
่ ั
บรมราชินี มีพระประสู ติกาลพระราชธิดาพระองค์แรก คือ สมเด็จพระ
เจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ าอุบลรัตนราชกัญญา สิ ริวฒนาพรรณวดี ซึ่งประสู ติ ณ
ั
โรงพยาบาลมองซัวซีส์ เมืองโลซานน์ เมื่อวันที่ ๔ เมษายน
พุทธศักราช ๒๔๙๔ และเมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์แรกเจริ ญ
่ ั
พระชันษาได้ ๗ เดือน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหว ได้เสด็จพระราช
ดําเนินนิวติพระนคร ประทับ ณ พระตําหนักจิตรลดารโหฐาน
ั
พระราชวังดุสิต จากนั้นทรงย้ายที่ประทับไปประทับ ณ พระที่นงอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต และที่พระที่
ั่
นังอัมพรสถานนี้ เอง สมเด็จพระนางเจ้าสิ ริกิต์ ิ พระบรมราชินี มีพระประสู ติกาลพระราชโอรสและพระราช
่
ธิดาอีกสามพระองค์ คือ
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้ าฟามหาวชิ ราลงกรณ สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จพระราชสมภพ เมื่อ
้
วันที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๙๕
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุ ดา เจ้ าฟามหาจักรีสิรินธร รั ฐสี มาคุณากรปิ ยชาติ สยามบรมราช
้
กุมารี เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๔๙๘
สมเด็จพระเจ้ าลูกเธอ เจ้ าฟาจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีประสู ติ เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม
้
พุทธศักราช ๒๕๐๐
่ ั
ในพุทธศักราช ๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหว ทรงมีพระราชศรัทธาที่จะทรงผนวช ด้วยทรง
พระราชดําริ วา พระพุทธศาสนาเป็ นศาสนาประจําชาติ ที่ประชาชนของพระองค์เลื่อมใสกันอยูเ่ ป็ นจํานวน
่
มาก ยิงทรงมีโอกาสคุนเคยกับหลักการและทางปฏิบติของพุทธศาสนิกชน ระหว่างที่ทรงปฏิบติพระราช
่ ้ ั ั
กรณี ยกิจ ก็ทรงมีพระราชศรัทธายิงขึ้น เพราะได้ประจักษ์แก่พระราชหฤทัยว่า ธรรมคําสั่งสอนของสมเด็จ
่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกอบด้วยเหตุผลและสัจจธรรม แม้ผใดจะวิจารณ์ดวยหลักวิทยาศาสตร์ ก็จะไม่
ู้ ้
เสื่ อมถอยในความนิยมเชื่ อถือ ทั้งจักเป็ นทางสนองพระเดชพระคุณพระราชบูรพการี ตามคตินิยมอีกโสต
- 4. หนึ่งด้วย จึงได้เสด็จออกทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรี รัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อ
วันที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙ เสร็ จการพระราชพิธีทรงผนวชแล้ว เสด็จพระราชดําเนินไปประทับ
ณ พระตําหนักปั้ นหยา วัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้า
สิ ริกิต์ ิ พระบรมราชินี เป็ นผูสาเร็ จราชการทรงปฏิบติพระราชกรณี ยกิจแทนพระองค์ตลอดเวลา ๑๕ วันที่
้ ํ ั
ทรงผนวชอยู่ และจากการที่สมเด็จพระนางเจ้าสิ ริกิต์ ิ พระบรมราชินี ทรงปฏิบติพระราชกรณี ยกิจใน
ั
ตําแหน่งผูสาเร็ จราชการแทนพระองค์ได้อย่างเรี ยบร้อย เป็ นที่พอพระราชหฤทัย จึงมีพระบรมราชโองการ
้ ํ
โปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็ น สมเด็จพระนางเจ้าสิ ริกิต์ ิ พระบรมราชินีนาถ ในปี เดียวกันนั้นเอง และใน
พุทธศักราช ๒๕๐๐ ทรงย้ายที่ประทับจากพระที่นงอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปประทับที่พระตําหนัก
ั่
จิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต จนถึงปัจจุบน
ั
- 5. พระอัจฉริยภาพด้ านจิตรกรรมฝี พระหัตถ์
่ ั
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหว สนพระราชหฤทัยงานศิลปะ ด้านจิตรกรรมตั้งแต่ยงทรงพระ
ั
่
เยาว์ ขณะที่ยงประทับอยูประเทศสวิตเซอร์ แลนด์ โดยทรงศึกษาด้วยพระองค์เอง จากตําราทางด้านศิลปะ
ั
และเสด็จพระราชดําเนิ นไปทอดพระเนตร งานศิลปกรรมตามหอศิลป์ และพิพิธภัณฑ์ต่างๆ
หลังจากที่เสด็จนิวตประเทศไทย พระองค์จึงทรงเริ่ มต้น สร้างสรรค์งานจิตรกรรมอย่าง
ั
จริ งจัง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๒ เป็ นต้นมา ทรงใช้เวลาเมื่อว่างจากพระราชภารกิจ เพื่อเขียนภาพ ภาพที่ทรง
- 6. เขียนส่ วนมาก จะเป็ นพระสาทิสลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิ ริกิต์ ิ พระบรมราชินีนาถ ซึ่ งมักจะเป็ น
ภาพเขียนครึ่ งพระองค์ เป็ นส่ วนใหญ่
ผลงานจิตรกรรมฝี พระหัตถ์ เริ่ มเผยแพร่ ให้ชื่นชมในวงกว้าง เมื่อทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานภาพเข้าร่ วมแสดง ในการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ในปี พุทธศักราช ๒๕๐๖ และในครั้งต่อๆ
มา ในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ มหาวิทยาลัยศิลปากรได้ทูลเกล้าฯ ถวายปริ ญญาดุษฎีบณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขา
ั
จิตรกรรม และในโอกาสสมโภชกรุ งรัตนโกสิ นทร์ครบ ๒๐๐ ปี กรมศิลปากรได้พระราชทานพระบรมรา
ชานุญาต ให้จดนิทรรศการจิตรกรรมฝี พระหัตถ์ของพระองค์ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์ นับเป็ น
ั
ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่มีการแสดงงานศิลปะของพระมหากษัตริ ยเ์ พียงพระองค์เดียว
่ ั ั
ผลงานจิตรกรรมฝี พระหัตถ์ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหว มีท้ งสิ้ นกว่า ๑๐๐ ชิ้น ส่ วน
ใหญ่เป็ นภาพสี น้ ามันบนผืนผ้าใบ จิตรกรรมฝี พระหัตถ์น้ น มีหลากหลายรู ปแบบ แบ่งออกเป็ น ๓ กลุ่ม
ํ ั
ใหญ่ๆ คือ ภาพแบบเหมือนจริ ง (Realistic) ภาพเอ็กซ์เพรสชันสิ สต์ (Expressionism) และภาพนามธรรม
่
(Abstractionism)
ภาพเขียนเหมือนจริ งที่ทรงเขียน ส่ วนใหญ่จะเป็ นภาพพระสาทิสลักษณ์ ของสมเด็จพระนาง
เจ้าฯ พระบรมราชิ นีนาถ และทูลกระหม่อมทุกพระองค์ ภาพเหล่านี้มีความกลมกลืน งดงามของแสงเงาอย่าง
นุ่มนวล ให้บรรยากาศลึกซึ้ ง ชวนฝัน
ส่ วนภาพเขียนแบบนามธรรม เป็ นผลงานที่พระองค์ ทรงพัฒนามาจากงานเขียน ในลักษณะ
เอ็กซ์เพรสชันนิสต์ เป็ นการแสดงออกทางอารมณ์ และความรู ้สึกอย่างอิสระ ปราศจากรู ปทรง และเรื่ องราว
่
่
มีความรู ้สึกจริ งจัง แฝงอยูในผลงานที่แสดงออกด้วยการใช้ฝีแปรงหยาบๆ สี สันที่ตดกันลงตัว
ั
- 7. พระอัจฉริยภาพด้ านหัตถกรรม
่ ั
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหว ทรงสนพระราชหฤทัย ในงานช่างตั้งแต่ยงทรงพระเยาว์ั
่
ขณะที่ประทับอยูที่เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์ แลนด์ ทรงร่ วมกับสมเด็จพระบรมเชษฐาธิ ราช ประดิษฐ์
ของเล่นของใช้หลายๆ แบบเมื่อพระชนมายุ ๑๐ พรรษา ทรงประกอบวิทยุโดยซื้ อหาอุปกรณ์ มาทําเองจน
สําเร็ จ สามารถฟังวิทยุท่ีส่งได้ พระองค์สนพระทัยในการทําเรื อแบบต่างๆ ด้วยไม้ ทรงจําลองเรื อรบหลวง
ศรี อยุธยา และทรงประดิษฐ์หุ่นเครื่ องบินเล็ก เรื อใบจําลอง และเครื่ องร่ อนต่างๆ และเมื่อทรงประดิษฐ์สิ่งใด
เพื่อความสวยงามแล้ว จะทรงคํานึงประโยชน์ใช้สอยของสิ่ งนั้นด้วย
เรื่ อใบลําแรกที่ทรงต่อเอง เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๐๗ เป็ นเรื อใบประเภทเอ็นเตอร์
ไพรส์ (International Enterprise Class) ชื่อ เรื่ อราชปะแตน และลําต่อมาชื่อ เรื อเอจี โดยทรงต่อตามแบบ
่ ั
สากล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหว ทรงแข่งขันแล่นเรื อใบหลายครั้ง ทั้งในและนอกประเทศ เช่น ในปี
พุทธศักราช ๒๕๐๘ ทรงใช้เรื อราชปะแตนแข่งขันกับดุ๊ค ออฟ เอดินเบอระ (The Duke of Edinburgh) พระ
ราชอาคันตุกะส่ วนพระองค์ โดยใช้เส้นทางไป - กลับ ระหว่างพัทยา - เกาะล้าน
ในปี พุทธศักราช ๒๕๐๘ ทรงต่อเรื อใบประเภทโอเค (International OK Class) ตามแบบ
สากลลําแรกที่ทรงต่อชื่ อ เรื อนวฤกษ์ หลังจากนั้นทรงต่อเรื อใบประเภทนี้ อีกหลายลํา เช่น เรื อเวคา ๑ เรื อเว
คา ๒ และเรื อเวคา ๓ เป็ นต้น
- 8. ่ ั
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหว ทรงออกแบบและต่อเรื อใบประเภทม็อธ (International
ํ
Moth Class) จํานวนหลายลํา เรื อประเภทนี้ เป็ นเรื อที่กาหนดความยาวของตัวเรื อไม่เกิน ๑๑ ฟุต เนื้ อที่ใบไม่
เกิน ๗๕ ตารางฟุต ส่ วนความกว้างของเรื อ รู ปร่ างลักษณะของเรื อ ความสู งของเสา ออกแบบได้โดยไม่
จํากัด วัสดุที่ใช้สร้างเรื อ อาจทําด้วยโลหะ ไฟเบอร์ กลาส หรื อไม้ก็ได้ เรื อม็อธ ที่ทรงออกแบบ และทรงต่อ
ด้วยพระองค์เอง ในระหว่างปี พุทธศักราช ๒๕๐๙ - ๒๕๑๐ มีอยู่ ๓ แบบ ซึ่ งได้พระราชทานชื่อดังนี้ เรื อมด
เรื อซูเปอร์มด และเรื อไมโครมด
- 9. พระอัจฉริยภาพด้ านการเกษตร
1.ทรงสร้ างฐานข้ อมูลของพืนที่
้
่ ่ ั
การเสด็จฯทัวประเทศไทย นับตั้งแต่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จนิวต ั
่ ั
ประเทศไทยพร้อมกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวอานันทมหิ ดล พระบรมเชษฐาธิ ราช รัชกาลที่ 8 ใน
วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ.2489 ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จที่ทุ่งนาบางเขน ที่วดพระศรี มหาธาตุ ทั้งสองพระองค์สน
ั
พระทัยอาชีพของชาวนามาตั้งแต่ครั้งนั้นที่เห็นชาวนาทํานา ปลูกข้าว เกี่ยวข้าว และพระองค์ยงทรงหว่าน
ั
ข้าว
ต่อมาในวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ซึ่งรัฐบาลได้กราบบังคมทูลอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
เจ้าฟ้ าภูมิพลอดุยเดชเสด็จขึ้นครองสิ ริราชสมบัติเป็ นกษัตริ ยรัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จกรี เมื่อ
์ ั
พระชนมายุ 19 ชันษา และหลังจากนั้นทรงกลับไปเปลี่ยนแนวทางศึกษาหลังจากที่ได้ตดสิ นพระราชหฤทัยที่
ั
เสด็จขึ้นครองราชย์ เสด็จฯไปเปลี่ยนแผนการศึกษาจากเดิมที่ศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ ด้านชลประทาน
เปลี่ยนเป็ นด้านการปกครองด้านรัฐศาสตร์ และหลายๆ อย่าง
ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2493 ทรงโปรดเกล้าฯให้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้น และได้
พระราชทานปฐมบรมราชโองการว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาว
สยาม" เป็ นพระราชสัจวาจาที่ทรงยึดมันมาเป็ นเวลา 56 ปี นับแต่น้ นเป็ นต้นมา
่ ั
- 10. ในการสร้างฐานข้อมูลพื้นฐาน พระองค์ทานทรงเป็ นเหมือนเด็กหนุ่ม ทรงประทับใน
่
ต่างประเทศเหมือนฝรั่งไม่เคยเห็นเมืองไทยเลยเพราะฉะนั้นการที่จะมาทรงเป็ นประมุขของประเทศ ท่านก็
ต้องศึกษาเมืองไทยให้ละเอียด และวิธีการที่ดีที่สุดก็คือการเสด็จไปเยียมราษฎรในทุกภาคของประเทศไทย
่
เพื่อให้ได้สัมผัสและทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง ขอพระราชทานอนุ ญาตใช้คาสามัญว่า จะได้เห็นได้ฟัง
ํ
ได้ชิม ได้สัมผัส เห็นฝุ่ น เห็นทะเล ด้วยตาตนเอง
ครั้งแรกที่เสด็จฯไปที่พระราชวังไกลกังวล ที่หวหิ นและเสด็จฯไปจังหวัดประจวบคีรีขนธ์
ั ั
ราชบุรี เพชรบุรี การที่เสด็จฯไปทรงงานทัวประเทศทําให้ได้ทรงเห็นเมืองไทย รู ้จกคนไทย มีความ
่ ั
ประทับใจ ทําให้เกิดแรงดลพระราชหฤทัยให้มีโครงการพระราชดําริ ข้ ึนมา
ช่วงที่เสด็จฯไปที่หวหิ นสมัยก่อนอาจจะไปรถไฟต่อมามีถนนจึงเดินทางโดยรถยนต์ และได้
ั
่
ทอดพระเนตรเห็นป่ ายางนาในช่วงอําเภอบ้านลาด จนถึงอําเภอท่ายาง จ.เพชรบุรี ขึ้นอยูสองข้างทาง
พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะเก็บป่ ายางนาไว้แต่เนื่องด้วยมีเหตุขดข้องทําให้ไม่สามารถรักษาป่ าไว้ได้ จึง
ั
ทรงโปรดให้มหาดเล็กเก็บเมล็ดพันธุ์ยางมาเพาะแล้วนํามาปลูกที่สวนจิตรลดา ปั จจุบนแปลงนายางนั้นยังอยู่
ั
แสดงให้เห็นว่าพระองค์สนพระทัยที่จะอนุ รักษ์พนธุ์ไม้
ั
ในช่วงปี พ.ศ.2496-2498 เสด็จเยียมเกษตรกรในภาคกลาง เสด็จฯโดยเรื อพระที่นง เสด็จฯไป
่ ั่
ั่ ่
ตอนเช้าเย็นเสด็จฯกลับไม่ทรงประทับแรม มีครั้งเดียวที่เสด็จฯ ชัยนาทประทับบนเรื อพระที่นงอยูครั้งเดียว
ในวันที่ 2-20 พฤศจิกายน 2498 ทรงไปเยียมภาคอีสานทุกจังหวัดเป็ นเวลา 19 วัน เป็ นครั้ง
่
แรกที่เสด็จฯภาคอีสาน พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยมาก เพราะไปรถไฟ จากรถไฟต่อรถยนต์ จากรถยนต์ต่อ
เฮลิคอปเตอร์ ไปภูกระดึง จากภูกระดึงมาประทับรถยนต์พระที่นงเสด็จฯ มาหนองคาย จากหนองคายมาลง
ั่
เรื อวิงตามลํานํ้าชมนํ้าโขงและนังรถยนต์ต่อ ผูที่เล่าตอนนั้นบอกว่าใกล้ฤดูหนาวเริ่ มแล้งฝุ่ นมาก เข้าใจว่า
่ ่ ้
ตอนนั้นรถยังไม่มีแอร์ ฝุ่ นก็เยอะมาก
ในระหว่างที่เสด็จฯจากนครพนมเพื่อเสด็จฯไปขอนแก่น ซึ่ งจะต้องผ่านภูพานลงมาจากภูพาน
ก็จะถึงสี่ แยกสมเด็จ ตอนแรกไม่ได้จะเสด็จที่น้ ีแต่มีพสกนิกรมาเฝ้ ารับเสด็จฯ ตอนนั้นแล้งมากข้าวในนาตาย
หมด พระองค์ตรัสถามชาวนาที่มาเฝ้ ารับเสด็จฯว่าข้าวในนาตายเพราะแล้งใช่ไหม ชาวนาบอกว่าไม่ใช่ ตาย
่ ่
เพราะนํ้าท่วม ทําให้พระองค์ตระหนักได้วาเมืองไทยมีน้ าสมบูรณ์แต่วานํ้าไม่สามารถนํามาใช้ประโยชน์ได้
ํ
เต็มที่ พอตกลงมาก็ท่วมสร้างความเสี ยหายแล้วนํ้าก็ไหลลงแม่น้ าลําคลองไม่มีประโยชน์อะไร
ํ
- 11. ่
ทําให้ทรงมีแรงดลพระราชหฤทัยหลายเรื่ องในจุดนั้น ท่านทรงมีพระราชดําริ วาบนภูพานมี
แม่น้ าหลายสายน่าจะมีการทําฝายทดนํ้าเล็กๆ เป็ นขั้นๆ ต่อมามีการทํากันมาก เมืองไทยมีแหล่งเก็บนํ้า
ํ
ธรรมชาติมาก จึงคิดว่าทําไมไม่ขดบ่อในไร่ นาขุดบ่อให้มีน้ าในไร่ นา แต่น่าเสี ยดายว่าแหล่งนํ้าธรรมชาติ
ุ ํ
หลายแห่งถูกพัฒนาแต่พฒนาเป็ นแหล่งท่องเที่ยวมากกว่า ต่อมาการขุดบ่อนํ้าในนาได้กลายมาเป็ นอ่างเก็บนํ้า
ั
่
เล็กๆ มากขึ้นหรื อที่เรี ยกกันว่า "แก้มลิง" ที่ตอนนี้กรุ งเทพฯมีอยูประมาณ 30 แก้ม
อีกหนึ่งโครงการพระราชดําริ ที่สาคัญคือถึงจะเป็ นหน้าแล้งแต่เมืองไทยก็มีเมฆขาวเต็ม
ํ
ท้องฟ้ า น่าจะมีวธีการที่ทาอย่างไรให้เมฆเหล่านั้นตกลงมาตามที่ตองการแล้วต่อมาก็กลายเป็ นโครงการฝน
ิ ํ ้
หลวง
วันที่ 20 กุมภาพันธ์ ถึง 17 มีนาคม พ.ศ.2501 เสด็จฯภาคเหนือทุกจังหวัด ยกเว้นจังหวัด
แม่ฮ่องสอน ทําให้มีแรงดลพระราชหฤทัยให้มีโครงการพระราชดําริ ช่วยเหลือชาวเขา ซึ่ งต่อมาได้กลายเป็ น
โครงการหลวงในที่สุด เพราะเนื่องมาจากเห็นชาวเขาปลูกฝิ่ นและทําไร่ เลื่อนลอย
วันที่ 6-26 มีนาคม 2502 เสด็จฯเยียมภาคใต้ทุกจังหวัด ทรงประทับที่จงหวัดนราธิวาส จังหวัด
่ ั
ปั ตตานี ทําให้ทรงทราบว่าเมืองไทยนั้นมีชาวมุสลิมอาศัยอยูหลายจังหวัดมีประเพณี ที่ต่างกับภาคอื่นและมี
่
ทะเลที่สวยงามมาก
จากนั้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2502 ถึงวันที่ 9 มิถุนายน 2510 เสด็จฯเยียมมิตรประเทศ
่
กว่า 28 ประเทศ บางช่วงเสด็จถึง 6 เดือนเพื่อศึกษาความแตกต่างของประเทศที่เจริ ญแล้วว่ามีสิ่งใดบ้างที่ควร
นํามาปรับปรุ ง ในสิ่ งที่ไม่ดีก็ไม่พยายามป้ องกันไม่นาเข้ามา เป็ นการผูกมิตรกับมิตรประเทศ
ํ
2.ทรงเริ่มงานพัฒนา ประกอบด้ วยอาชีพของประชาชน การพัฒนาป่ าไม้ ดินและนา
้
นับตั้งแต่ปี 2512 เป็ นต้นมา ตลอดเวลา 17 ปี พระองค์จะเสด็จฯแปรพระราชฐานไปเยียม
่
ราษฎรในภาคต่างๆ ทุกปี จะหมุนเวียนไปทุกภาคเพื่อไปทรงงานต่อยอดงานในโครงการพระราชดําริ ทุกปี
จากนั้นเป็ นต้นมาไม่เคยเสด็จฯต่างประเทศอีกเลย กระทังปี 2517 จึงได้เสด็จฯไปประเทศลาวซึ่งมีโครงการ
่
สร้างสะพาน
พระองค์ทรงมีเหตุผลของพระองค์ท่ีจะทรงใช้เวลาทั้งหมดเพื่อการพัฒนาช่วยเหลือประชาชน
ชาวไทย ทรงเริ่ มงานพัฒนาเกี่ยวกับอาชีพและอาหารของประชาชน การเริ่ มงานส่ วนใหญ่ทรงแนะนําหน่วย
ราชการในช่วงนั้นที่รับพระราชดําริ ไปค้นคว้าหาข้อมูลต่างๆ แต่บางสิ่ งบางอย่างเจ้าหน้าที่ก็ไม่มีขอมูลทันที
้
- 12. ไม่เห็นด้วยแต่บางอย่างที่พระองค์สนพระทัยก็จะนํามาวิจยมาพัฒนาของพระองค์เองที่พระตําหนักสวน
ั
จิตรลดา และพระตําหนักสวนอัมพร งานแรกที่เป็ นงานพัฒนาอาหาร คือ ข้าว ปลา ผัก ผลไม้ เป็ นอาหาร
หลักของคนไทยโดยเฉพาะเรื่ องข้าวสนพระทัยมาก
โครงการแรกคือ ทรงรับปลาหมอเทศมาจากปี นัง และทรงนําเลี้ยงที่พระตําหนักสวนจิตรลดา
แล้วจากนั้นได้นาพันธุ์ปลาหมอเทศ 5 หมื่นตัวไปแจกแก่กลุ่มเกษตรกรที่บางเขนแล้วก็แพร่ หลายออกไป
ํ
แล้วต่อมาที่สวนจิตรลดาก็ได้ขยายออกมาเป็ นสถานีทดลองส่ วนพระองค์ และทุกปี ในวันพืชมงคล จะโปรด
เกล้าฯให้ประชาชนเข้าชมงานในนั้น
ในปี 2503 ทรงฟื้ นฟูพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ที่เลิกมาตั้งแต่สมัย
เปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ที่ตองฟื้ นขึ้นมาเพื่อเป็ นขวัญกําลังใจแก่เกษตรกรที่เป็ นประชากรส่ วนใหญ่
้
ของประเทศ จากนั้นทรงเริ่ มมีระบบสหกรณ์ ธนาคารโคกระบือ ธนาคารข้าว การทดสอบการปลูกข้าวใน
สภาพดินต่างๆ เป็ นการทดลองในสภาพพื้นที่เช่นภาคเหนือที่มีการทดลองปลูกข้าวแบบขั้นบันได
ในปี พ.ศ.2505 ทรงเริ่ มโครงการโคนม ที่สวนจิตรลดา ตามพระราชประวัติของพระองค์เมื่อ
ทรงเรี ยนอนุบาลมีพระชนมายุ 5 ชันษา ที่โรงเรี ยนมาแตร์เดอี สมเด็จพระราชชนนีจะโปรดเกล้าฯให้
พระองค์และสมเด็จพระเชษฐา สะพายนมสดไปเสวยที่โรงเรี ยนทุกวัน เพราะอยากให้คนไทยร่ างกาย
แข็งแรงแบบฝรั่ง เป็ นแนวคิดในการส่ งเสริ มให้เลี้ยงโคนม
ในปี พ.ศ.2509 มกุฎราชกุมารประเทศญี่ปุ่นได้พระราชทานพันธุ์ปลานิลเป็ นปลาที่กลายพันธุ์
ั ่ ั
มาจากปลาหมอเทศ เติบโตเร็ วกว่าอร่ อยกว่าให้กบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวและต่อมาพระองค์ได้
่
เพาะเลี้ยงกลายพันธุ์เป็ นปลาทับทิมที่แพร่ หลายอยูในตอนนี้ เผยแพร่ ไปทัวประเทศ
่
ต่อมาเป็ นการพัฒนาป่ าไม้และดิน ในปี 2512 พระองค์เห็นสภาพปั ญหาของชาวเหนือที่มี
่
ชาวเขาอาศัยอยูหลายเผ่า ชาวเขามักจะถางป่ าทําไร่ เลื่อนลอยแล้วทําให้ตนนํ้าลําธารมีปัญหาแล้วเป็ นนํ้าที่คน
้
พื้นล่างใช้ พระองค์เริ่ มโครงการพัฒนาชาวเขาหาทางปลูกพืชอะไรก็ได้แทนการปลูกฝิ่ นและรายได้ดี หยุด
การทําไร่ เลื่อนลอย ขณะเดียวกันก็ปลูกป่ าเพิ่ม ต่อมาปี 2513 ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็ นโครงการหลวงซึ่ง
ดําเนินงานต่อมาถึงปั จจุบน ั
แนวพระราชดําริ ดานป่ าไม้ที่ทรงแนะนํา คือ 1.ให้สร้างฝายต้นนํ้าขนาดเล็ก ทางเหนื อเรี ยกว่า
้
ฝายแม้ว2.การปลูกป่ าโดยไม่ตองไปถางหรื อท่านใช้คาว่า "ห้ามปอกเปลือกป่ า" ปล่อยให้ข้ ึนเอง การปลูก
้ ํ
ต้นไม้ 3 อย่าง เพื่อประโยชน์ 4 อย่าง 1.ไม้ผล 2.ไม้ใช้สอย 3.ไม่ทาเชื้อเพลิง และ 4.เป็ นการอนุรักษ์ดินและ
ํ
นํ้า การปลูกไม้ผลบนยอดเขาเมล็ดของมันจะแพร่ พนธุ์ไปเองั
ทางด้าน ดิน พระองค์ทรงมีโครงการพระราชดําริ แกล้งดินในภาคใต้ เนื่องจากดินส่ วนใหญ่
เป็ นดินพรุ เป็ นกรดทําให้ดินเปรี้ ยว พระองค์ทรงใช้วธีการทําให้ดินหายเป็ นกรดคือต้องทําให้เปรี้ ยวสุ ดสุ ด
ิ
แล้วแก้หนเดียว โดยเริ่ มทําครั้งแรกที่ศูนย์พิกุลทอง จังหวัดนราธิ วาส จะเห็นว่าพระองค์จะไม่แนะนําเรื่ อง
สารเคมีเลย
- 13. เมื่อเกิดปั ญหาหน้าดินถล่มในปี พ.ศ.2532 ทรงแนะนําเรื่ องหญ้าแฝกเพราะว่าปี นั้นมีโครงการ
ดอยตุงมีผหวังดีไปตัดถนนใหม่เป็ นทางตรง ปรากฏว่าดินถล่มลงมากลบนาชาวบ้าน พระองค์ทรงมี
ู้
พระราชดําริ ให้ปลูกหญ้าแฝกเพื่อป้ องกันการชะล้างและการพังทลายของหน้าดินและยังช่วยบํารุ งดินเป็ นปุ๋ ย
พืชสด
โครงการนํ้า แห่งแรกที่พระองค์ริเริ่ มเมื่อปี 2506 การทําโครงการเก็บนํ้าเขาเต่าที่หวหิ นเป็ น
ั
โครงการแรกเลย โดยการทําเขื่อนกั้นไม่ให้น้ าทะเลเข้าแล้วเอานํ้าจืดจากเขามาใช้ประโยชน์เลี้ยงปลาทํา
ํ
การเกษตรได้ มีพระราชดําริ อย่างหนึ่งว่า การสร้างเขื่อนดีแน่ แต่การสร้างเขื่อนใหญ่ๆ มักใช้เงินมากต้องกู้
เงินมาสร้าง มีประโยชน์ในการผลิตไฟฟ้ า กันนํ้าท่วมได้ แต่ประโยชน์ท่ีเกษตรกรรายย่อยได้รับทันทีนอย ้
เพราะว่าการทําต้องทําคลองส่ งนํ้าและไม่มีเวลาที่จะทําให้แนวพระราชดําริ ของพระองค์ท่านคือทําเขื่อนตาม
แม่น้ าและคลองขนาดเล็กเพื่อสร้างเขื่อนขนาดเล็ก
ํ
3.ทรงสร้ างฐานส่ งกาลังบารุ งแบบทหาร
การทํางานต้องมีฐานกําลังสนับสนุน เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จฯไปทรงงานไปต่างจังหวัด
้ ้่
สมัยก่อนจะทรงไปประทับที่บานผูวาราชการจังหวัด ศาลากลางไม่มีที่ประทับในตอนนั้น ฉะนั้นจึงได้มีการ
สร้างตําหนักขึ้นมาในภาคกลางก็จะมีที่ประทับที่พระราชวังไกลกังวลพระตําหนักเปี่ ยมสุ ข เป็ นฐานที่ทางาน ํ
ในภาคกลางตะวันออกตะวันตก ในภาคเหนือสร้างพระตําหนักภูพิงค์ ภาคใต้สร้างพระราชตําหนักทักษิณ
ราชนิเวศน์ และที่ภาคอีสานสร้างตําหนักภูพานราชนิ เวศน์ ถือว่าเป็ นฐานที่ทรงไปปฏิบติงานประจําปี เพื่อ
ั
สามารถขยายผลได้อีก
ในปี พ.ศ.2522 ทรงสร้างศูนย์ศึกษาเพื่อการพัฒนาด้านการเกษตร 6 แห่งทัวประเทศ เพื่อเป็ น่
ตัวอย่างของความสําเร็ จในการทํางานของหน่วยงาน เพื่อประชาชนในท้องถิ่นสามารถนําไปใช้ได้ทนที เป็ น ั
พิพิธภัณฑ์ของสิ่ งมีชีวต เป็ นศูนย์บริ การเบ็ดเสร็ จ หรื อ One Stop Service เป็ นศูนย์ที่ต้ งก่อนธนาคารและ
ิ ั
อําเภอจะทําเสี ยอีก นอกจากนี้ยงมีมูลนิธิชยพัฒนาเป็ นมูลนิธิส่วนพระองค์ที่ต้ งขึ้นมาเพื่อใช้ในเหตุการณ์
ั ั ั
เร่ งด่วน เพราะบางโครงการกว่าจะรอรัฐบาลอนุมติก็ใช้เวลานานเป็ นปี
ั
โครงการทฤษฎีใหม่เป็ นการบริ หารจัดการดิน นํ้า พืช ทุน แรงงาน ให้มีประสิ ทธิภาพ ตาม
แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงที่พระองค์ทรงรับสั่งครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2537 และรับสั่งอีกครั้งใน
วันที่ 4 ธันวาคม 2538 ในช่วงนั้นเกิดฟองสบู่แตกประชาชนประชาชนเริ่ มหันไปสนใจแนวพระราชดําริ
ทฤษฎีใหม่มากขึ้น กระทังครั้งล่าสุ ดเมื่อวันที่ 4ธันวาคม 2548 เป็ นพระราชดํารัสของพระองค์ครั้งหลังสุ ด
่
ขออัญเชิ ญพระราชดํารัสของพระองค์ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง ที่รับสั่งว่า " เราก็ตอง ้
ขอให้พรทุกฝ่ าย ฝ่ ายรัฐบาล ฝ่ ายค้าน ได้พร้อมใจทําอะไรก็ทาให้ดี แต่วนนี้ไม่พดว่าให้ทาอะไรเพราะว่าจะ
ํ ั ู ํ
ทะเลาะกันไม่เอา ไม่ให้ทะเลาะกัน ให้ทาอะไรที่ดูดี แล้วคิดให้อย่าเกิน อย่าเลยเถิด แต่ถาแต่ละคนทํางานให้
ํ ้
เหมาะสมบ้านเมืองถึงจะไปได้ ถึงจะต้องให้พรว่าให้บานเมืองไปได้ให้แต่ละคนไปได้ ไม่ใช่ให้มีการหัวชน
้
ฝา จะทําอะไรก็ขอให้แต่ละคนมีความสําเร็ จ พอสมควร เศรษฐกิจพอเพียงคือทําให้พอเพียง ถ้าไม่พอเพียงก็
- 14. ไปไม่ได้ แต่ถาทําพอเพียงสามารถนําพาประเทศไปได้ ก็ขอให้ทุกคนประสบความสําเร็ จพอเพียงเพื่อให้
้
่
บ้านเมืองบรรลุความสําเร็ จที่แท้จริ ง ขอให้รู้วาคนที่รับพรก็รับไปคนที่ไม่รับพรก็คิดในใจ ขอบใจท่าน
ทั้งหลายที่มาให้พรเราเราขอรับพรท่าน"
พระอัจฉริ ยภาพด้านการศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศ
วิทยาศาสตร์
ด้ านการศึกษา “… ในประเทศไทยนี้ถาดูจากสถิติก็มีพลเมืองเพิมขึ้นทุกๆ วัน จึงสันนิษฐาน
้ ่
ได้วาพลเมืองของประเทศไทยนี้อยูในวัยเรี ยนอยูเ่ ป็ นส่ วนมากทุกๆ ปี การที่ส่วนรวมคือ ประชาชนทั้ง
่ ่
ประเทศเล็งเห็นความสําคัญของการศึกษาเป็ นสิ่ งที่ดีแล้ว จึงต้องช่วยกันจัดการให้เยาวชน ให้ประชาชนที่
เกิดขึ้นมาใหม่น้ ีได้มีโอกาสได้รับการศึกษาที่ดี เราจะไปอาศัยรัฐบาลหรื ออาศัยทางราชการที่จะช่วยให้
บ้านเมืองมีความเจริ ญด้านเดียวไม่ได้เพราะว่าในสมัยนี้ถือว่าเป็ นสมัยประชาธิ ปไตยทุกคนมีส่วนในงานของ
ประเทศชาติ... ” (พระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่คณะกรรมการบริ หารมูลนิธิช่วยนักเรี ยนที่ ขาดแคลน
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2512) ดังพระบรมราโววาทของพระบาทสมเด็จพระ
่ ั
เจ้าอยูหว ทรงเห็นความสําคัญของการศึกษากับประชาชนทุกช่วงวัย แต่ทรงเน้นหนักที่เยาวชน
่ ั
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวจึงทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้าฯ ให้จดตั้งโครงการสารานุกรมไทยสําหรับ
ั
เยาวชน ซึ่ งแบ่งหลักการทําคําอธิ บายเรื่ องต่างๆ แต่ละเรื่ องเป็ นสามระดับคือ
„ ระดับเด็กเล็กอ่าน
„ ระดับเด็กรุ่ นกลางอ่าน
„ ระดับเด็กรุ่ นใหญ่รวมถึงผูใหญ่อ่าน
้
- 15. ในปัจจุบนได้มีการจัดพิมพ์สารานุกรมไทยสําหรับเยาวชนโดยพระราชประสงค์ใน
ั
่ ั
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหว รวม 29 เล่ม
่ ั
ในด้านทุนการศึกษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน
พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อก่อตั้งกองทุนการศึกษาขึ้นตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และ
่
อุดมศึกษา เพราะพระองค์ทรางทราบดีวาเด็กไทยมีความสามารถในการเรี ยน แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ดังพระ
ราชดํารัสแก่สมาชิกสโมสรไลออนส์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2513 ว่า “… การให้
การศึกษาแก่คนนี้เป็ นปั ญหาของคนทุกคน ไม่ใช่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ ต้องร่ วมมือกันหลาย
ฝ่ าย ระหว่างผูที่มีความรู ้ ผูที่มีเจตนาดีต่อสังคม และผูมีทุนทรัพย์... ”
้ ้ ้
ดังนั้น พระองค์ทรงตั้งกองทุนพระราชทานให้แก่เยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในการเรี ยน ซึ่ งแต่ละ
ทุนมีวตถุประสงค์ท่ีแตกต่างกัน ดังนี้
ั
่ ั
„ ทุนมูลนิธิ “ ภูมิพล ” ก่อเมื่อ พ.ศ. 2495 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวพระราชทาน
ทรัพย์ส่วนพระองค์จานวน 100 , 000 บาท ให้แก่มหาวิทยาลัย แพทยศาสตร์ เพื่อพระราชทานแก่นกศึกษา
ํ ั
มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ผเู ้ รี ยนดีแต่ขาดทุนทรัพย์ ต่อมาได้พระราชทานทุนขยายไปยังมหาวิทยาลัยอื่นๆ
และได้ตราระเบียบลงวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2511 ซึ่ งแบ่งออกเป็ น 2 ประเภท ได้แก่
„ ทุนประเภทช่วยเหลือการศึกษา
„ ทุนประเภทช่วยเหลือการทําปริ ญญานิพนธ์หรื อการวิจย ั
„ ทุนมูลนิธิ “ อานันทมหิดล ” ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2498 โดยพระราชทานทุนนี้แก่นกศึกษา
ั
แพทย์ตามรอยพระบาทสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และเป็ นพระบรมราชา
นุสรณ์แด่สมเด็จพระบรมเชษฐาธิ ราช พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิ ดล เพื่อให้ไปศึกษาต่อ
ณ ต่างประเทศเมื่อสําเร็ จแล้วให้มาทํางานเป็ นผูเ้ ชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เรี ยนมา ต่อมาพระบาทสมเด็จพระ
่ ั
เจ้าอยูหวทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้าฯ ให้จดทะเบียนตราสารทุนอานันทมหิ ดล เป็ น “ มูลนิธิอานันท
มหิดล ” เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2502
ปัจจุบนมูลนิธิ “ อานันทมหิดล ” ได้พระราชทานทุนแก่นกศึกษาสาขาต่างๆ คือ
ั ั
แพทยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์
สังคมศาสตร์ วารสารศาสตร์ และอักษรศาสตร์
- 16. ่ ั
„ ทุนเล่าเรี ยนหลวงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูหว ได้ริเริ่ มพระราชทาน “ ทุน
เล่าเรี ยนหลวง ” (King's Scholarship) ให้นกเรี ยนไปเรี ยต่อต่างประเทศต่อเนื่ องกันมาจนถึงรัชกาล
ั
่ ั
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยูหว เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองาจึงยุติไปใน พ.ศ. 2476
่ ั
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวภูมิพลอดุลยเดชมีพระราชประสงค์ให้ฟ้ื นฟูทุนนี้ข้ ึน โดยพระราชทานแก่
นักเรี ยนที่สอบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสู ตรของกระทรวงศึกษาธิ การได้คะแนนดีเยียมปี ละ 9 ทุน
่
คือ แผนกศิลปะ 3 ทุน แผนกวิทยาศาสตร์ 3 ทุน และแผนกทัวไป 3 ทุน ่
„ ทุนการศึกษาสังเคราะห์ในมูลนิธิราชประชานุ เคราะห์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวทรง่ ั
พระกรุ ณาโปรดเกล้าฯ ก่อตั้ง “ มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ” เพื่อสงเคราะห์เด็กที่ครอบครัวประสบวาตภัย
ภาคใต้ และขาดผูอุปการะเลี้ยงดู รวมทั้งช่วยเหลือราษฏรผูประสบสาธารณภัยทัวประเทศ
้ ้ ่
„ ทุนมูลนิธิราชประชาสมาสัยในพระบรมราชูปถัมภ์ และมูลนิธิโรงเรี ยนราชประชาสมาสัย
ใน พ.ศ. 2501 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างสถาบันวิจยค้นคว้าเรื่ อง
่ ั ั
โรคเรื้ อน ณ อําเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เนื่ องจากว่าขณะนั้นโรคเรื้ อนได้ระบาดในประเทศ
ไทย กระทรวงสาธารณสุ ขและองค์การอนามัยโลกพยายามกําจัดโรคเรื้ อนให้หมดไปภายใน 10 ปี แต่ตองมี ้
่ ั
สถาบันค้นคว้าและวิจย ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวจึงทรงพระราชทานเงินทุนในการก่อตั้งสถาบัน
ั
และเสด็จพระราชดําเนินไปประกอบพิธีเปิ ดสถาบันเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2503 พระราชทานนาม
ว่า “ ราชประชาสมาสัย ” ต่อมากระทรวงสาธารณสุ ขได้ขอพระราชทานพระมหากรุ ณาธิ คุณให้ทรงรับ
่ ั ่
มูลนิธิน้ ีไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวจึงทรงมีขอแม้วากระทรวงสาธารณสุ ข
้
จะต้องจัดตั้งโรงเรี ยนสําหรับบุตรของผูป่วยที่เป็ นโรคเรื้ อน ซึ่ งแยกจากบิดามารดาตั้งแต่แรกเกิดดังพระบรม
้
ราโชวาทที่พระราชทานถึงการก่อตั้งโรงเรี ยน และพระราชดํารัสในพิธีเปิ ดโรงเรี ยนราชประชาสมาสัย เมื่อ
วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2507
่ ั
„ ทุนนวฤกษ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวทรงพระกรุ ณาริ เริ่ มก่อตั้ง “ ทุนนวฤกษ์ ” เพื่อ
ช่วยเหลือนักเรี ยนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์แต่มีผลการเรี ยนดี ความประพฤติเรี ยบร้อย ให้มีโอกาสได้ศึกษาต่อ
ในระดับต่างๆ รวมทั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์และสมทบจากผู ้
่ ั
บริ จาคทรัพย์โดยเสด็จพระราชกุศล ก่อสร้างโรงเรี ยนตามวัดในชนบท ทั้งระดับประถมศึกษาและ
มัธยมศึกษา เพื่อสังเคราะห์เด็กยากจนและเด็กกําพร้าให้มีสถานศึกษาเล่าเรี ยน
„ ทุนการศึกษาพระราชทานแก่นกเรี ยนเฉพาะกรณี
ั
„ ทุนพระราชทานแก่นกเรี ยนชาวเขา
ั
„ ทุนพระราชทานแก่นกเรี ยนเฉพาะสถานศึกษา
ั
- 17. „ รางวัลพระราชทานแก่นกเรี ยนและโรงเรี ยนดีเด่น
ั
่ ั
ด้ านเทคโนโลยีสารสนเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวทรงสนพระราชหฤทัยศึกษาหลาย
ด้าน อาทิ วิทยาศาสตร์ การเกษตร วิศวกรรมศาสตร์ การใช้เครื่ องมือเทคโนโลยีต่างๆ เป็ นต้น นอกจากนั้น
แล้วพระองค์ทรงสนพระทัยงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ทรงศึกษาคิดค้นสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์
เพื่อการประมวลผลข้อมูลต่างๆ ด้วยพระองค์เอง
ด้ านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี นอกเหนือจากพระอัจฉริ ยภาพด้านอื่นๆ แล้ว
่ ั
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวยังทรงสนพระราชหฤทัยในด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีอีกด้วย พระองค์
ทรงประดิษฐ์และสร้างสรรค์งานต่างๆ มากมายเนื่องจากตลอดระยะเวลาที่พระองค์ทรงครองราชย์ พระองค์
ได้เสด็จพระราชดําเนินเยียมราษฏรเป็ นประจํา เมื่อพระองค์พบเจอปั ญหาที่ราษฎรประสบพระองค์ก็ทรง
่
ศึกษาและประดิษฐ์เครื่ องมือต่างๆ เพื่อนํามาช่วยเหลือบรรเทาปั ญหาต่างๆ ซึ่ งพระองค์ได้มีพระราชดําริ ให้
จัดตั้งโครงการและมูลนิธิต่างๆ ดังนี้
1. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ ลักษณะของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ ในระยะแรกสามารถแบ่งออกได้เป็ น 2 ลักษณะ คือ
„ โครงการลักษณะที่พระองค์ทรงทําการศึกษา ค้นคว้า ทดลอง เป็ นการส่ วนพระองค์ และ
นําผลสรุ ปพระราชทานเผยแพร่ แก่เกษตรกร
„ โครงที่พระองค์ทรงเข้าไปร่ วมแก้ไขปั ญหาหลักของเกษตรกร ระยะแรกโครงการยัง
จํากัดอยูในพื้นที่รอบๆ ที่ประทับในส่ วนภูมิภาค ต่อมาเริ่ มขยายตัวสู่ สังคมเกษตรในพื้นที่ต่างๆ
่
่
โครงการอันเนื่ องมาจากพระราชดําริ มีอยูมากมายหลายสาขา หลายประเภท ในระยะแรกมี
ชื่อ เรี ยกแตกต่างกันไปดังนี้คือ
„ โครงการตามพระราชประสงค์
„ โครงการหลวง
„ โครงการในพระบรมราชานุเคราะห์
„ โครงการตามพระราชดําริ
2 . มูลนิธิชยพัฒนาความเป็ นมา เป็ นที่ประจักษ์แจ้งชัดในความรู้สึก และสํานึกของ
ั
่ ั
ประชาชนชาวไทยทุกถ้วนหน้าว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหว ทรงเป็ นศูนย์รวมแห่งดวงใจและความ
จงรักภักดีอนยิงใหญ่ของพสกนิกรชาวไทยทั้งชาติ ด้วยเหตุที่ได้ทรงทุ่มเทพระวรกาย พระสติปัญญา เวลา
ั ่
และพระราชทรัพย์ ตลอดจนได้อุทิศพระองค์ในการทรงงาน และประกอบพระราชกรณี ยกิจเพื่อการพัฒนา
ประเทศและช่วยเหลือสงเคราะห์ประชาชนผูยากไร้ตลอดมา เป็ นระยะเวลาที่ยาวนานและต่อเนื่ อง ทั้งนี้ก็
้
- 18. โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าบังเกิดความร่ มเย็น มีความอยูดีกินดี อันจะนําไปสู่ ความ
่
มันคงของประเทศชาติเป็ นส่ วนรวม
่
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการดําเนินงานพัฒนาช่วยเหลือประชาชนตามระบบราชการนั้น
บางครั้งบางโอกาสจําเป็ นต้องดําเนินการตามระเบียบปฏิบติที่ทางราชการกําหนดไว้ตามขั้นตอนต่างๆ ทําให้
ั
โครงการบางโครงการอาจถูกจํากัดด้วยเงื่อนไขบางประการ เช่น กฎเกณฑ์ ระเบียบ หรื องบประมาณ ฯลฯ
จนเป็ นเหตุให้การดําเนินงานนั้นๆ ไม่สอดคล้องหรื อทันกับสถานการณ์ท่ีจาเป็ นเร่ งด่วนที่จะต้องกระทําการ
ํ
โดยเร็ ว
่ ั
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวได้มีพระราชดําริ ให้จดตั้ง “ มูลนิธิชยพัฒนา ” เพื่อสนับสนุน
ั ั
การช่วยเหลือประชาชนในรู ปของการดําเนินการพัฒนาในด้านต่างๆ ในกรณี ท่ีการดําเนินการนั้นๆ ถูกจํากัด
ด้วยเงื่อนไขดังที่ได้กล่าวมาแล้ว หรื อดําเนิ นงานในลักษณะอื่นใดที่จะทําให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่าง
่
แท้จริ ง รวดเร็ ว และไม่ตกอยูภายใต้ขอจํากัดในเรื่ องเงื่อนไขของเวลา
้
กระทรวงมหาดไทย โดยกรุ งเทพมหานครได้รับจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิชยพัฒนาให้เป็ นั
นิติบุคคลตามเลขทะเบียนลําดับที่ 3975 ตั้งแต่ วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2531 และได้ประกาศในราชกิจจา
นุเบกษา เล่มที่ 105 ตอนที่ 109 วันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2531
3. ทฤษฎีใหม่ การขุดสระนํ้าประจําไร่ นา
่ ั่
“… หลักสําคัญจะต้องมีน้ าบริ โภค นํ้าใช้ นํ้าเพื่อการเพาะปลูกเพราะว่าชีวิตอยูท่ีนน ถ้ามี
ํ
่ ่ ่ ่
นํ้าคนอยูได้ ถ้าไม่มีน้ าคนอยูไม่ได้ ไม่มีไฟฟ้ าคนอยูได้ แต่ถามีไฟฟ้ า ไม่มีน้ า คนอยูไม่ได้.. ”
ํ ้ ํ
่ ั
จากพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวข้างต้นนี้ได้พระราชทานแก่
ผูอานวยการสํานักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ (กปร.)
้ํ
และคณะฯ เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2529 ณ สวนจิตรลดา คงสามารถเป็ นเครื่ องยืนยันได้วาพระองค์ทรง ่
ตระหนักถึงความสําคัญเรื่ องทรัพยากรนํ้าเป็ นอย่างยิง เพราะนํ้านั้นจําเป็ นอย่างยิงในการดํารงชีวตของมนุษย์
่ ่ ิ
่
ไม่วาในด้านอุปโภคหรื อบริ โภค ตลอดจนการเพาะปลูก
ตลอดระยะเวลานานกว่า 40 ปี พระองค์ทรงทุ่มเทพระสติปัญญาตรากตรําพระวรกายโดย
่
มิได้ยอท้อต่อความเหนื่ อยยากแม้แต่นอยท่ามกลางปั ญหาอันสลับซับซ้อนนี้ พระองค์ทรงหาหนทางโดยใช้
้
หลักการหรื อทฤษฎีปฏิบติอย่างง่ายๆ เข้าแก้ไขสิ่ งที่ยากอยูเ่ สมอ เพราะทุกหนทางที่จะแก้ไขนั้นจะต้องเป็ น
ั
หนทางที่ชาวบ้านทําได้ แต่ที่สาคัญในการแก้ไขปั ญา พระองค์ทรงมีพระบรมราโชบายให้ราษฏรเข้ามามี
ํ
ส่ วนร่ วม มีส่วนรับผิดชอบด้วยตนเองด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้ราษฏรมีความรู้สึกเป็ นเจ้าของ หวงแหน และ
แบ่งปั นผลประโยชน์ซ่ ึ งกันและกัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวได้พระราชทานแนวพระราชดําริ เกี่ยวกับ “ ทฤษฏีใหม่ ” ใน
่ ั
การแก้ไขปั ญหานํ้าเพื่อการเกษตรให้ราษฏรและได้ใช้พ้ืนที่ของมูลนิธิชยพัฒนา อันเป็ นมูลนิธิส่วนพระองค์
ั
ทําการทดสอบจนประสบความสําเร็ จมาแล้ว ที่วดมงคลชัยพัฒนา จังหวัดสระบุรี แนวทางในการแก้ไขของ
ั
พระองค์น้ นแสนจะง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็ลึกซึ้ งยิงนักเพราะเป็ นหนทางธรรมชาติ
ั ่