More Related Content
Similar to พัฒนาการทางสังคมและศิลปวัฒนธรรม601
Similar to พัฒนาการทางสังคมและศิลปวัฒนธรรม601 (20)
More from Princess Chulabhorn's College, Chiang Rai Thailand
More from Princess Chulabhorn's College, Chiang Rai Thailand (20)
พัฒนาการทางสังคมและศิลปวัฒนธรรม601
- 1. พัฒนาการทางสังคม ศิลปวัฒนธรรม
ในสมัยสุโขทัย อยุธยาและธนบุรี
จัดทาโดย
นายชัญภัสท์ บุญเจือจันทร์ เลขที่ 1
นายวิชา อุ่ยอุทัย เลขที่ 6
นางสาวพัฒนพร อินต๊ะเสน เลขที่ 11
นางสาววลัยพรรณ มณีดุลย์ เลขที่ 12
นางสาวนภาพรรณ ใจดี เลขที่ 18
ครูผู้สอน
คุณครู สายพิณ วงษารัตน์
- 4. ลักษณะทางสังคม
สังคมสุโขทัยประกอบด้วยชนชั้นต่างๆ ดังนี้
1) พระมหากษัตริย์
พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขของอาณาจักร เป็นผู้พิพากษาสูงสุด
ในการวินิจฉัยข้อพิพาทต่างๆ มีหน้าที่บาบัดทุกข์บารุงสุขของราษฎร ดูแล
ช่วยเหลือการประกอบอาชีพ ทรงปกครองบ้านเมืองโดยยึดมั่นใน
หลักธรรม ทรงส่งเสริมทานุบารุงพระพุทธศาสนา และทรงเป็นผู้นา
กองทัพบังคับบัญชาไพร่พล ปกป้องประเทศเมื่อเกิดศึกสงคราม
- 5. 2) เจ้านายและขุนนาง
ศิลาจารึกหลักที่ 1 เรียกว่า "ลูกเจ้าลูกขุน" หมายความรวมถึงกลุ่ม
พระราชวงศ์และขุนนาง ซึ่งมีส่วนช่วยเหลือพระมหากษัตริย์ในการ
ปกครองเมืองต่างๆ ช่วยรับผิดชอบการควบคุมกาลังคน สามารถนาไพร่
พลมาทางานให้แก่รัฐทั้งในยามปกติและในยามสงคราม
- 6. 3) พระสงฆ์
พระสงฆ์เป็นผู้สืบทอดเผยแผ่พระพุทธศาสนา ทาหน้าที่สั่งสอนอบรมให้
ประชาชนอยู่ในศีลธรรม มีเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือกันและกัน
ประชาชนนิยมส่งบุตรหลานไปฝากไว้กับพระสงฆ์ เพื่อเล่าเรียนหนังสือและ
หลักธรรมพระพุทธศาสนา วัดจึงเป็นสถานที่ให้การศึกษาแก่เด็กชาย โดยมี
พระสงฆ์เป็นครูอบรมสั่งสอนไปในตัว พระสงฆ์ได้รับความเคารพศรัทธาจาก
ประชาชนทุกชนชั้น เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา ที่สาคัญคือการ
บวช เป็นที่ปรึกษาเมื่อผู้ใดมีเรื่องคับข้องใจ ช่วยหาทางไกล่เกลี่ยให้คนอยู่
ร่วมกันอย่างสงบสุขตามหลักธรรม และเป็นผู้นาชักจูงให้ร่วมมือทากิจกรรมเพื่อ
สาธารณประโยชน์ พระสงฆ์จึงเป็นที่พึ่งของสังคมทั้งทางโลกและทางธรรม
- 7. 4) ประชาชน
ประชาชนคือกลุ่มชนส่วนใหญ่
ซึ่งเป็นชนชั้นที่อยู่ใต้การปกครอง
ศิลาจารึกหลักที่1 ใช้คาว่า "ลูกบ้าน
ลูกเมือง" หรือ "ไพร่" เป็นแรงงาน
ด้านเกษตรกรรม สร้างเขื่อนกักเก็บ
น้าเพื่อการชลประทาน ก่อสร้าง
ถาวรวัตถุต่างๆ และทาหน้าที่เป็น
ทหารป้องกันประเทศในยาม
สงครามด้วย
- 8. การปกครองแบบพ่อกับลูกและแบบธรรมราชา ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของ
การปกครองสมัยสุโขทัย ยังผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นต่างๆ เป็นไป
อย่างใกล้ชิด พระสงฆ์มีบทบาทสาคัญเชื่อมโยงชนชั้นผู้ปกครอง คือ
พระมหากษัตริย์ เจ้านายและขุนนาง กับประชาชนซึ่งเป็นผู้อยู่ใต้การปกครอง
ให้อยูร่วมกันอย่างสันติ โดยการอบรมสั่งสอนให้ชนทุกชั้นยึดมั่น ประพฤติ
่
ปฏิบัติตามหลักธรรมพระพุทธศาสนาในแนวทางเดียวกัน
การดาเนินชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่เป็นไปอย่างสงบสุข
พระมหากษัตริย์ทรงให้ความยุติธรรมอย่างเสมอหน้าแก่ประชาชน ให้เสรีภาพ
ในการยื่นเรื่องราวร้องทุกข์ ประชาชนมีเสรีภาพในการประกอบอาชีพ มีสิทธิ
ในทรัพย์สินทีตนหามา และมีสิทธิที่จะยกทรัพย์สินนั้นๆ ให้เป็นมรดกแก่บุตร
่
ของตนได้
- 9. ในศิลาจารึกหลักที่ 1 มีข้อความที่สะท้อนให้เห็นว่า วัดเป็นศูนย์รวม
กิจกรรมทางศาสนาและเป็นศูนย์กลางของสังคม เป็นสถานศึกษาสาหรับ
เด็กชาย เป็นแหล่งรวมศิลปวิทยาการแขนง วัดเป็นที่ชุมนุมพบปะสังสรรค์
ของประชาชนทุกชนชั้นในวันสาคัญทางศาสนา และในเทศกาลวันนักขัต
ฤกษ์ต่างๆ วัดกับชาวบ้านมีความผูกพันกันอย่างใกล้ชิด การสร้างวัดถือ
กันว่าเป็นกุศลได้บุญมาก และเป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูลด้วย คนสุโขทัย
จึงมุ่งทาบุญด้วยการร่วมมือร่วมใจกันสร้างหรือปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม
- 10. ศิลปกรรม
สมัยสุโขทัย ศิลปกรรมมีแรงบันดาลใจมาจากพุทธศาสนา ซึ่งใน
ระยะแรกๆก็ได้รับอิทธิพลมาจากขอม แต่ตอมาก็ดัดแปลงเป็นแบบของ
่
สุโขทัยเอง ที่สาคัญที่สุด คือ
1.สถาปัตยกรรม ได้แก่ เจดียแบบสุโขทัยแท้ ยอดเป็นทรงพุ่มข้าว
์
บิณฑ์หรือดอกบัวตูม และเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา หรือแบบโอคว่า หรือ
ทรงระฆังคว่า
- 11. 2.ประติมากรรม นิยมหล่อพระพุทธรูปด้วยสาริด (ทองแดงผสมดีบุก)
ซึ่งมีลักษณะอ่อนช้อย งดงามประณีตมาก ที่สาคัญ คือ พระพุทธรูปปาง
ลีลา
3.จิตรกรรม เป็นภาพลายศิลปกรรมมีแรงบันดาลใจมาจากพุทธ
ศาสนา ซึ่งในระยะแรก ๆ ก็ได้รับอิทธิพลมาจากขอม แต่ตอมาก็ดัดแปลง
่
เป็นแบบของสุโขทัยเองส้นและภาพสีฝุ่น เป็นเรื่องเกี่ยวกับชาดก ตามฝา
ผนังตามวัดต่าง ๆ ใช้สีกลุ่มดาแดงเรียกว่า สีเอกรงค์ เช่น ที่วัดเจดีย์เจ็ด
แถว เมืองศรีสัชนาลัย
- 14. สมัยอยุธยา
สังคมไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา แม้ว่าจะต่อเนื่องมาจากสังคมสมัย
สุโขทัย แต่ก็ได้มีความเปลี่ยนแปลงแตกต่างไปจากสังคมสมัยสุโขทัยหลาย
ด้าน ทั้งนี้ก็เพราะว่าสถาบันสูงสุดของการปกครองได้เปลี่ยนฐานะไป นั่น
คือ พระมหากษัตริย์ได้เปลี่ยนฐานะจากมนุษยราชในสมัยสุโขทัยเป็น
เทวราชขึ้นในสมัยอยุธยา เปลี่ยนจากฐานะความเป็น "พ่อขุน" มาเป็น
"เจ้าชีวิต" ของประชาชนซึ่งเป็นผลให้ระบบและสถาบันทางการปกครอง
ต่างๆ แตกต่างไปจากสังคมไทยสมัยสุโขทัยด้วย
- 15. ชนชั้นของสังคมสมัยอยุธยา
สังคมอยุธยา เป็นสังคมที่เต็มไปด้วยชนชั้น มีการแบ่งแยกชนชั้น
อย่างเด็ดขาด ระหว่างกษัตริย์กับราษฎร ซึงชนชั้นต่างๆ เหล่านี้ จะ
่
ก่อให้เกิดมีสิทธิในสังคมอยุธยาขึ้นแตกต่างกัน
ชนชั้นสูงสุดในสมัยอยุธยาคือพระบรมวงศานุวงศ์ ส่วนข้าราชการ
หรือขุนนางนั้น ก็แบ่งเป็นชั้นๆ ลดหลั่นกันไปตามลักษณะหน้าที่และความ
รับผิดชอบ พร้อมกับตาแหน่งหน้าที่แล้ว ราชการสมัยอยุธยายังมีศักดินา
ซึ่งมากน้อยตามตาแหน่งหน้าที่ ระบบศักดินานี้เป็นระบอบของสังคม
อยุธยาโดยแท้ เพราะศักดินานั้น ทุกคนต้องมีตั้งแต่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ พระ
บรมวงศานุวงศ์ลงไปจนถึงข้าราชการชั้นผู้น้อย และประชาชนธรรมดา
จานวนลดหลั่นลงไป
- 18. ลักษณะสังคมไทยทีน่าสนใจอยู่อีกประการหนึ่งคือ ระบบราชการ ซึ่งเป็น
่
เครื่องผูกมัดราษฎรให้มีภาระต่อแผ่นดิน ชีวิตคนไทยได้ผูกพันอยู่กับราชการมา
ตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงปัจจุบัน
ข้าราชการในสมัยอยุธยา เรียกว่า ขุนนาง มียศหรือบรรดาศักดิ์ชั้น
พระยาหรือออกญาเป็นชั้นสูงสุด และลดลงไปตามลาดับคือ
เจ้าหมื่น พระ จมื่น หลวง ขุน จ่า หมื่น และพัน ส่วนเจ้าพระยา และ
สมเด็จพระยานั้น เกิดในตอนปลายๆ สมัยอยุธยา และยศ เจ้าหมื่น จมื่น จ่า
นั้น เป็นยศที่ใช้กันอยู่ในกรมหาดเล็กเท่านั้น
ส่วนตาแหน่งข้าราชการสมัยอยุธยาก็มี อัครมหาเสนาบดี เสนาบดี
จางวาง เจ้ากรม ปลัดกรม และสมุหบัญชี เป็นต้น ตาแหน่งอัครมหาเสนาบดี
และเสนาบดีนั้นในระยะแรกๆ มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยา ต่อมาในระยะหลังๆ ก็
เป็นเจ้าพระยาไปหมด ส่วนตาแหน่งอื่นๆ ตั้งแต่ จางวาง เจ้ากรม ปลัดกรมลง
มาจนถึงสมุบัญชีนั้น มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาบ้าง พระบ้าง จนถึงหลวง และ
ขุนตามความสาคัญของตาแหน่งนั้นๆ
- 20. ระบบราชการของอยุธยานั้น ได้นาคนลงเป็นไพร่ สังคมอยุธยาจึงมี
ไพร่มีนาย ตามจดหมายเหตุลาลูแบร์กล่าวไว้ว่า "ประชาชนชาวสยาม
รวมกันเป็นกองทหารรักษาดินแดน" ซึ่งทุกคนต้องขึ้นทะเบียนหางว่าวกรม
สุรัสวดีเข้าไว้ทั้งหมด ทุกคนเป็นพลรบต้องเกณฑ์เข้าเดือนรับราชการใน
พระองค์ปีละ ๖ เดือน
พลเมืองทั้งสิ้นต้องขึ้นทะเบียนเป็นหลักฐานไว้โดยแบ่งออกเป็นฝ่าย
ขวาฝ่ายซ้าย เพื่อทุกคนรู้ว่าตนต้องขึ้นสังกัดหน้าที่ฝ่ายใด นอกจากนั้น ยัง
แบ่งส่วนราชการออกเป็นกรมอีก แต่ละกรมมีหัวหน้าคนหนึ่งเรียกว่า นาย
จนกระทั่งนายนี้เป็นคาแสดงความเคารพยกย่องที่ใช้กันทั่วไป
- 21. ในสมัยอยุธยา ไพร่คือ ประชาชนที่สังกัดมูลนายต่างๆ มีหน้าที่และ
ความรับผิดชอบแยกออกได้ดังนี้
๑. ไพร่หลวง หมายถึง ไพร่ที่สังกัดวังหลวงหรือพระเจ้าแผ่นดิน ไพร่
หลวงจะต้องถูกเกณฑ์เข้ารับราชการปีละ ๖ เดือนคือเข้าเดือนหนึ่งออก
เดือนหนึ่งสลับกันไป ถ้าไม่อยากถูกเกณฑ์เข้ารับราชการก็จะต้องเสียเงิน
แทน ซึ่งอาจจะเป็นเดือนละ ๔-๖ บาท ไพร่หลวงจะต้องสังกัดอยู่ในกรม
พระสัสดีซ้าย ขวา นอก ใน ไพร่หลวงที่เป็นชายเมื่อเกิดศึกสงครามก็
จะต้องออกรบได้
๒. ไพร่สม หมายถึง ไพร่ที่สังกัดบรรดาเจ้านายหรือขุนนางใหญ่น้อย
ทั้งหลายในยามปรกติก็ถูกเกณฑ์ แรงงานหรือรับราชการ ถ้าเกิดศึก
สงครามผู้เป็นชายก็จะต้องออกรบ มีบางครั้งพวกไพร่หลวงหนีไปสมัคร
เป็นไพร่สมอยูกับเจ้านาย กฎหมายอยุธยามีบทลงโทษถึงจาคุกและถูก
่
เฆี่ยนถ้าหากจับได้
- 24. ศิลปกรรม
ชาวกรุงศรีอยุธยานับถือพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ แต่ได้รับอิทธิพล
ขอม ศาสนาพราหมณ์ ที่แพร่หลาย อยูก่อนหน้าการเข้ามาของ พุทธ
่
ศาสนาอยู่มาก การผสมผสานกันของพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์จึง
เป็นลักษณะสาคัญของศาสนาในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งสะท้อนให้เห็นใน
ศิลปกรรมต่างๆ ได้แก่ งานสถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม ภาษา
และวรรณคดี และวัฒนธรรมประเพณี
- 25. สถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรมของสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ได้รับอิทธิพลจากขอม
และสุโขทัย เช่น พระปรางค์วัดพุทไธสวรรค์ วัดราชบูรณะ เป็นต้น ส่วน
สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายเป็นเจดียแบบเจดียย่อมุมไม้สิบสอง เช่น
์ ์
เจดีย์วัดภูเขาทอง วัดชุมพลนิกายาราม เป็นต้น
ประติมากรรม
พระพุทธรูปได้รับอิทธิพลจากศิลปะขอมเรียกว่า พระพุทธรูปสมัยอู่
ทองและตอนปลายสมัย กรุงศรีอยุธยานิยมสร้างพระพุทธรูป แบบ
ทรงเครื่อง อย่างไรก็ตามสมัยกรุงศรีอยุธยาพระพุทธ รูปมีลักษณะน่าเกรง
ขาม และไม่งดงามเท่าสมัยสุโขทัย
- 27. จิตรกรรม
จิตรกรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นภาพพุทธประวัติใช้สี 3 สีในสมัยกรุงศรี
อยุธยาตอนต้น คือ สีดา ขาว และแดง และตอนปลาย เพิ่ม สีเขียว สีฟ้า และสี
ม่วง ภาพที่วาดเป็นภาพธรรมชาติ
ภาษาและวรรณกรรม
ภาษาได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมขอม เป็นคาราชาศัพท์ วรรณคดีสวน ่
ใหญ่เกี่ยวกับพุทธศาสนาทีสาคัญ เช่นลิลิตโองการแช่งน้า มหาชาติคาหลวง
ลิลิตยวนพ่าย ลิลิตพระลอ และกาพย์เห่เรือ เป็นต้น
- 30. สมัยธนบุรี
สภาพทางสังคม
โครงสร้างของสังคมไทยสมัยธนบุรี ยังคงมีลักษณะเหมือนกับ
โครงสร้างทางสังคมสมัยกรุงศรีอยุธยา กล่าวคือ มีองค์ประกอบอยู่ 5
ประเภท ได้แก่
1. พระมหากษัตริย์ เป็นผู้มีพระราชอานาจสูงสุดในแผ่นดิน ทรง
เป็นประมุขของราชอาณาจักร เป็นเจ้าชีวิตต่อของทุกคนและเป็นเจ้าของ
แผ่นดินตลอดทั้งราชอาณาจักร ซึ่งในสมัยธนบุรีมีพระมหากษัตริย์เพียง
พระองค์เดียว คือ สมเด็จพระเจ้าตากสิน
- 31. 2. พระบรมวงศานุวงศ์ ได้แก่ พระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ บรรดาพระ
ราชโอรสและพระราชธิดา ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในพระราชวงศ์เดียวกันกับ
องค์พระมหากษัตริย์ มีสทธิต่างๆ เหนือไพร่ทั้งปวง
ิ
3. ไพร่ ได้แก่ คนธรรมดาสามัญที่เป็นชายฉกรรจ์ ส่วนเด็ก ผู้หญิง
และคนชราอายุเกินกว่า 70 ปี ถือว่าเป็นบริวารของไพร่
- 32. ไพร่แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ไพร่หลวง และไพร่สม
ไพร่หลวง หมายถึง ไพร่ที่พระมหากษัตริยทรงพระราชทานแก่กรม
์
กองต่างๆ ซึ่งเปรียบเสมือนหน่วยงานบริหารราชอาณาจักร ไพร่หลวงนี้
เป็นไพร่ของพระมหากษัตริยโดยตรง หน้าที่ของไพร่หลวงจึงแตกต่างกัน
์
ไปตามหน้าที่ของกรมกองนั้นๆ ไพร่หลวงมีอยู่ 2 ประเภท คือ ไพร่หลวงที่
ต้องมารับราชการตามที่กาหนดไว้ และ ไพร่หลวงส่วย หมายถึง ไพร่
หลวงที่ต้องอยู่เวรยามรับราชการปีละ 6 เดือน เรียกว่า “เข้าเวร” และอยู่
กับบ้านตามปกติอีกท 6 เดือน (ออกเวร) สลับกันไป หรือที่เรียกว่า “การ
เข้าเดือนออกเดือน”
ไพร่สม หมายถึง ไพร่ที่พระมหากษัตริยพระราชทานให้แก่เจ้านาย
์
และขุนนางที่มีตาแหน่งทาราชการ เพื่อเป็นประโยชน์ตอบแทน เนื่องจาก
ในสมัยนั้นยังไม่มีเงินเดือนสาหรับข้าราชการ
- 33. 4. ทาส หมายถึง บุคคลที่มิได้เป็นไทแก่ตนเองโดยสิ้นเชิง กรรมสิทธิ์
เหนือชีวิตของบุคคลดังกล่าวนี้ ตกเป็นของนายทั้งหมด ทาสเป็นบุคคลที่ต้อง
ทางานให้กับนายผู้เป็นเจ้าของทุกอย่างตามที่นายจะสั่ง และถูกซื้อขายเหมือน
สินค้าได้ตามความพอใจของเจ้าของ ทาสในสมัยธนบุรีมีอยู่ 7 ชนิด
เช่นเดียวกับสมัยกรุงศรีอยุธยา
4.1 ทาสสินไถ่ คือ ทาสที่ไถ่มาด้วยทรัพย์
4.2 ลูกทาส หรือ ทาสในเรือนเบี้ย เป็นลูกทาสที่เกิดจากพ่อหรือแม่เป็นทาส
4.3 ทาสที่ได้มากจากบิดามารดาซึ่งเป็นผู้ยกให้เป็นมรดก
4.4 ทาสที่มีผให้ดวยความเสน่หา
ู้ ้
4.5 ทาสที่ได้จากการไถ่โทษให้พ้นจากการลงโทษทัณฑ์
4.6 ทาสที่เกิดจากเวลาข้าวยากหมากแพง
4.7 ทาสเชลย คือ ทาสที่ได้จากไปรบทัพจับศึก เป็นสมบัติของ
พระมหากษัตริย์
- 38. ประติมากรรม ที่สาคัญในสมัยนี้คือ พระแท่นบรรทม ของพระเจ้า
ตากสิน ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่วัดอินทาราม ทาด้วยไม้กระดาน 2 แผ่น
ประกบกัน มีลูกกรงเป็นงา และภายใต้ลูกกรงโดยรอบมีแผ่นงาจาหลัก
เป็นลายดอกพุดตาน พระแท่นเริญวิปัสสนากัมมัฎฐาน เป็นพระแท่น
สาหรับพระเจ้าตากสินทรงประทับเจริญวิปัสสนากัมมัฎฐาน ประดิษฐาน
อยู่ในวิหารเล็กหน้าพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม ทาด้วยไม้กระดานแผ่น
เดียว กว้าง 7 ฟุด ยาว 20 ฟุต ตู้ลายรดน้า อยู่ในพิพิธภัณฑ์สถาน
แห่งชาติ ปรากฏว่ามีฝีมือพอใช้ และมีลายใบที่มีฝมือคล้ายกัน
ี