More Related Content
Similar to การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
Similar to การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ (20)
More from Onpreeya Sahnguansak
More from Onpreeya Sahnguansak (20)
การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
- 2. ความสําคัญของภาษาคอมพิวเตอร์
ภาษาคอมพิวเตอร์ (Computer Language) เป็นสัญลักษณ์ที่ผู้พัฒนาภาษา
กําหนดรหัสคําสั่ง ขึ้นมา ใช้ควบคุมการทํางานอุปกรณ์ในระบบคอมพิวเตอร์
พัฒนาการภาษาคอมพิวเตอร์ เริ่มจากรหัส คําสั่งอยู่ในรูปแบบเลขฐานสอง
จากนั้นพัฒนารูปแบบเป็นข้อความภาษาอังกฤษ ในยุคปัจจุบัน
ภาษาคอมพิวเตอร์มีอีกมากมายหลายภาษาให้เลือกใช้งาน มีจุดเด่นด้าน
ประสิทธิภาพคําสั่งแตกตางกันไป ดังนั้นผู้สร้างงานโปรแกรมต้องศึกษาว่า
ภาษาใดมีคําสั่งที่มีประสิทธิภาพควบคุมการทํางานตามต้องการ เพื่อเลือกไป
ใช้สร้างโปรแกรมประยุกต์งานตามที่ได้กําหนดจุดประสงค์ไว้
- 3. 1. พัฒนาการภาษาคอมพิวเตอร์
ภาษาคอมพิวเตอร์ได้รับการพัฒนาควบคู่กับการประดิษฐ์เครื่อง
คอมพิวเตอร์ เพื่อใช้เป็นคําสั่ง ควบคุมการทํางาน มีพัฒนาการของการสร้าง
รหัสคําสั่งจนมาเป็นรูปแบบในปัจจุบัน ดังนี้
ช่วงที่ 1 คอมพิวเตอร์จัดเป็นเครื่องมือคํานวณทางอิเล็กทรอนิกส์ จึง
ทํางานลักษณะวงจรเปิด – ปิด แทนค่าด้วย 0 กับ 1 ผู้สร้างภาษาจึงออกแบบ
รหัสคําสั่งเป็นชุดเลขฐานสอง เรียกว่า ภาษาเครื่อง (Machine Language) ผู้ที่จะ
เขียนรหัสคําสั่งควบคุมระบบได้จึงจํากัดอยู่เฉพาะกลุ่ม และใช้ใน
ห้องปฏิบัติการทดลองดําเนินงาน
- 4. ช่วงที่ 2 จากช่วงแรกที่รหัสคําสั่งเป็นชุดเลขฐานสองมีความยุ่งยากในการ
จําชุดของรหัสคําสั่ง ควบคุมการทํางาน จึงมีผู้พัฒนารหัสคําสั่งเป็นอักษร
ภาษาอังกฤษรวมกับเลขฐานอื่น เช่น เลขฐานสิบหก เพื่อให้เขียนคําสั่งควบคุม
งานง่ายขึ้น ตั้งชื่อภาษาว่า แอสแซมบลีหรือภาษาสัญลักษณ์ (Assembly/
Symbolic Language) พร้อมกันนี้ต้องพัฒนาโปรแกรมแปลภาษาขึ้นมาด้วย
(TranslatorProgram) คือโปรแกรมแอสแซมเบลอร์ (Assembler)ใช้แปลรหัสคําสั่ง
กลับมาเป็นเลขฐานสองเพื่อให้ระบบ สามารถประมวลผลได้
ช่วงที่ 3 เป็นช่วงที่บริษัทหลายแห่งสร้างภาษาคอมพิวเตอร์หลากหลาย
ภาษา เน้นให้ใช้งานง่ายขึ้น โดยรหัสคําสั่งเป็นข้อความใกล้เคียงกับ
ภาษาอังกฤษที่ใช้ในการสื่อสารกันอยู่แล้ว จัดให้เป็นกลุ่ม ภาษาระดับสูง (High
Level Language) เช่น ภาษาเบสิก ภาษาปาสคาล ภาษาซี ในส่วนของ โปรแกรม
แปลภาษามี 2 ลักษณะ คือ อินเทอรพรีตเทอร์ และคอมไพเลอร์
- 5. ช่วงที่ 4 เน้นเพิ่มประสิทธิภาพภาษาคอมพิวเตอร์ให้นําไปใช้ควบคุมการ
ทํางานระบบ คอมพิวเตอร์ที่ใช้งานรวมกับเทคโนโลยีการสื่อสาร ภาษามี
รูปแบบการเขียนรหัสคําสั่งเป็นงานโปรแกรม เชิงวัตถุ (Object – Oriented
Programming Language : OOP) ติดต่อใช้งานกับผู้ใช้โปรแกรมเชิง กราฟฟิก
(Graphic User Interface : GUI) ลดขั้นตอนการจดจําเพื่อพิมพ์รหัสคําสั่งมาเป็นการ
คลิก เลือกรายการคําสั่ง และป้อนค่าควบคุม เช่น ภาษาวิชวลเบสิก (Visual
BASIC)ภาษาจาว่า (JAVA)
- 6. 2. ภาษาระดับสูง
ภาษาคอมพิวเตอร์กลุ่มภาษาระดับสูงได้รับความนิยมใช้งานจนถึง
ปัจจุบัน เพราะเป็นภาษาที่มี รูปแบบการเขียนรหัสคําสั่งสั้น สื่อความหมายตรง
กับการทํางาน ใช้ระยะเวลาสั้นในการเรียนรู้เพื่อเขียน ชุดรหัสคําสั่งควบคุม
การทํางาน ใช้หน่วยความจําระบบน้อย จึงเหมาะกับผู้เริ่มฝึกทักษะการสร้าง
งาน โปรแกรมประยุกต์งานคํานวณในสาขางานต่าง ๆ เช่น ระบบงานคํานวณ
ทางวิศวกรรมโยธา ระบบงาน คํานวณทางวิทยาศาสตร์ ตัวอย่างภาษาระดับสูง
ที่ได้รับความนิยมใช้งาน มีดังนี้
- 7. 1) ภาษาเบสิก (BASIC: Beginner’s All-purposeSymbolic InstructionCode) เป็น
ภาษาในระยะเริ่มแรกที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในห้องปฏิบัติการของ
สถาบันการศึกษา เพื่อฝึกทักษะการ เขียนรหัสคําสั่งควบคุมการทํางานของ
คอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก คือ ไมโครคอมพิวเตอร์ ข้อดี คือ รูปแบบที่ใช้งานสั้น มี
จํานวนคําสั่งไม่มาก กฎเกณฑ์การใช้คําสั่งน้อย ใช้ระยะเวลาศึกษาเรียนรู้สั้น
เหมาะสมที่จะใช่ในการเรียนการสอน เพื่อฝึกทักษะการเขียนรหัสควบคุมการ
ทํางานระบบ ข้อจํากัด คือ ประสิทธิภาพของคําสั่งงานมีน้อย เป็นภาษาที่ไม่มี
รูปแบบโครงสร้าง จึงไม่เหมาะสมในการนําไปใช้สร้างโปรแกรมประยุกต์งาน
ในองค์กร
- 8. 2) ภาษาโคบอล (COBOL: Common Business OrientedLanguage) เป็นภาษาใน
ยุคแรกที่มีลักษณะโปรแกรมเชิงโครงสร้าง ช่วงต้นของภาษาได้รับการ
ออกแบบรหัสคําสั่งเพื่อ ควบคุมการทํางานคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ประเภท
เมนเฟรม และมินิ ต่อมาจึงปรับรูปแบบคําสั่งให้ใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์ได้
ข้อดี คือ ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการเขียนรหัสคําสั่งควบคุมการทํางาน
ไมโครคอมพิวเตอร์ก่อนที่จะไปเขียนรหัสคําสั่งควบคุมคอมพิวเตอร์ขนาด
ให้ญืในการทํางานจริง ข้อจํากัด คือ โครงสร้างภาษามีส่วนประกอบของ
บรรทัดคําสั่งงานมาก รูปแบบรหัส คําสั่งมีความยาว จดจําคําสั่งได้ยาก ไม่
เหมาะกับผู้เริ่มฝึกทักษะสร้างงานโปรแกรม
- 9. 3) ภาษาปาสคาล (PASCAL)เป็นภาษาที่มีรูปแบบเป็นโครงสร้าง ได้รับ
การออกแบบ มาเพื่อใช้เขียนรหัสคําสั่งควบคุมการทํางานไมโครคอมพิวเตอร์
ข้อดี คือ แต่ละส่วนของโครงสร้างกําหนดหน้าที่การเขียนรหัสคําสั่งควบคุม
งาน ชัดเจน คําสั่งสั้น สื่อความหมายดี จึงจดจําได้งาย ประสิทธิภาพคําสั่งงานมี
เลือกใช้งานหลากหลาย รูปแบบ ใช้ระยะเวลาสั้นในการเรียนรู้ เหมาะสมกับ
การนําไปใช้ในหลักสูตรการเรียนการสอน ข้อจํากัด คือ ประสิทธิภาพของ
คําสั่งไม่สามารถใช้ควบคุมการทํางานในลักษณะ ระบบงานแบบฐานข้อมูล
หรือแบบเครือขายได้แต่อาจใช้พื้นฐานความรู้สําหรับภาษาอื่นได้ เช่น ภาษา
เดลไฟ (DELPHI)ที่คําสั่งงานคลายภาษาปาสคาล
- 10. 4) ภาษาซี เป็นภาษาที่มีรูปแบบเป็นโครงสร้าง เน้นให้คําสั่งมี
ประสิทธิภาพการคํานวณที่ รวดเร็ว เข้าถึงอุปกรณ์ในระบบรวมกับภาษาแอส
แซมบลีได้ใช้ควบคุมการทํางานไมโครคอมพิวเตอร์
ข้อดี คือ ภาษาได้รับการพัฒนามาอย่างตอเนื่อง การออกแบบรหัสคําสั่งมี
มาตรฐาน รวมกัน ถึงแม้จะเป็นภาษาซีตางบริษัทก็ใช้งานส่วนคําสั่งพื้นฐาน
รวมกันได้ใช้ระยะเวลาสั้นในการเรียนรู้ จึงเหมาะสมสําหรับนําไปใช้ใน
หลักสูตรการเรียนการสอน และนําไปใช้สร้างงานโปรแกรมระบบขนาด ใหญ่
ได้ข้อจํากัด คือ อยู่ในส่วนของรุนภาษาซีมากกว่า เช่น เทอรโบซีจะไม่
สามารถนําไป สร้างระบบงานฐานข้อมูลได้แต่หากต้องการนําไปสร้างงาน
โปรแกรมแบบฐานข้อมูล ต้องใช้วิชวล ซีพลัสพลัส (Visual C++) เป็นต้น
- 11. 3. ตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์ (Translator Program)
การเขียนรหัสคําสั่งควบคุมการทํางานระบบด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ใด ๆ
ก็ตาม ที่มิใช้ภาษาเครื่อง ระบบไม่สามารถประมวลผลได้ทันที เพราะการ
ทํางานของระบบเป็นรหัสเลขฐานสอง คือ 0 กับ 1 ดังนั้นผู้สร้าง
ภาษาคอมพิวเตอร์ ต้องสร้างโปรแกรมสําหรับแปลรหัสคําสั่งให้เป็นรหัส
เลขฐานสองด้วย โปรแกรมแปลรหัสคําสั่งภาษาคอมพิวเตอร์มีการทํางาน 3
ลักษณะ คือ
1.)โปรแกรมแปลภาษาแบบแอสแซมเบลอร (Assembler)ใช้แปลรหัส
คําสั่งเฉพาะภาษา แอสแซมบลีให้เป็นเลขฐานสอง
- 12. 2.)โปรแกรมแปลภาษาแบบคอมไพเลอร์ (Compiler) ลักษณะการแปลคือ แปล
คําสั่งทั้ง โครงสร้างโปรแกรมแล้วจึงแจงข้อผิดพลาดทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข จากนั้น
ต้องประมวลผลให้ หากไม่มี ข้อผิดพลาดจะสร้างแฟ้มโปรแกรมให้อัตโนมัติเพื่อเก็บ
รหัสเครื่องภายหลังเมื่อเรียกใช้โปรแกรมนี้ เครื่อง จะอ่านรหัสจากโปรแกรมที่สร้าง
ไว้นั้น จึงไม่ต้องเริ่มแปลรหัสให้ ข้อดี คือ ทํางานได้รวดเร็ว เพราะไม่ต้องแปลรหัสให้
ทุกครั้ง ข้อจํากัด คือ ต้องเขียนโปรแกรมให้ครบทุกส่วนของโครงสร้าง
ภาษาคอมพิวเตอร์ จึง จะสามารถคอมไพลปละประมวลผลเพื่อแสดงผลได้
3.)โปรแกรมแปลภาษาแบบอินเทอรพรีตเทอร์ (Interpreter) ลักษณะการแปล คือ
แปลรหัสทีละคําสั่ง เมื่อพบข้อผิดพรากจะหยุดทํางาน แล้วจึงแจงข้อผิดพลาดให้ทราบ
เพื่อแก้ไข จากนั้นประมวลผลให้ จนกว่าจะไม่มีข้อผิดพลาด แต่ไม่มีการสร้างแฟ้ม
โปรแกรมให้เพื่อเก็บรหัสคําสั่ง คือ สั่งให้ประมวลผลรหัสคําสั่งเพื่อดูผลการทํางานได้
ทันทีที่ต้องการ โดยไม่ ข้อดี ต้องเขียนโปรแกรมถึงบรรทัดสุดทาย ข้อจํากัด คือ หาก
โปรแกรมมีบรรทัดคําสั่งจํานวนมากจะประมวลผลชา เพราะต้องเริ่ม แปลรหัสคําสั่ง
ให้ที่บรรทัดคําสั่งแรกทุกครั้งที่สั่งให้ประมวลผล
- 13. 4.)การเลือกใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ การสร้างโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ มี
ข้อแนะนําในการนําไปใช้เป็นแนวทางพิจารณา เลือกภาษาคอมพิวเตอร์ ดังนี้
1. พิจารณาจุดเด่นประสิทธิภาพของคําสั่งงานของแต่ละภาษา เปรียบเทียบกับ
ลักษณะงาน เช่น สร้างโปรแกรมระบบงานคํานวณทางวิศวกรรมศาสตร์ อาจ
เลือกใช้ภาษาซี ภาษา ปาสคาล
2. พิจารณาลักษณะการประมวลผล เช่น ระบบงานต้องประมวลผลบน
เครือข่ายอาจ เลือกใช้ภาษาวิชวลเบสิก ในรุ่นของโปรแกรมที่มีคําสั่งควบคุมการ
ทํางานได้
3. พิจารณาคุณสมบัติเครื่องคอมพิวเตอร์และรุนของระบบปฏิบัติการที่ใช้
ควบคุม เพื่อเลือก ภาษาคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้งานรวมกันกับระบบได้
4. ควรเลือกภาษาที่ทีมงานพัฒนาระบบงานโปรแกรมมีความชํานาญอยู่แล้ว
เพื่อไม่ต้อง เสียเวลาเริ่มต้นศึกษาเรียนรู้ภาษาให้ หรือหากเป็นภาษาให้ ควรเป็นภาษา
ที่มี ลักษณะใกล้เคียงกับความรู้เดิม
5. ควรเป็นภาษาที่มีลักษณะเป็นโครงสร้าง มีความยืดหยุ่นสูง เอื้ออํานวยความ
สะดวกใน การปรับปรุงพัฒนาระบบงานในอนาคต
- 14. 6. หากระบบงานต้องการความปลอดภัยเรื่องการเข้าถึงข้อมูล ต้อง
คัดเลือก ภาษาคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพเรื่องนี้ด้วย
7. พิจารณางบประมาณ ใช้จัดหาคอมพิวเตอร์ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องมาใช้
งาน เพื่อป้องกัน ปัญหาทางกฎหมายและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะไม่ก่อปัญหา
เมื่อขยายพัฒนาระบบงานเพิ่ม มากขึ้นในอนาคต
8. เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่ได้รับความนิยมใช้งานทั่วไปเพื่อศึกษา
รวบรวมข้อมูล และ ป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต และมีความ
เชื่อมั่นว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญให้ คําปรึกษาหากเกิดปัญหาขึ้น
- 15. 4.การพัฒนาระบบงานทางคอมพิวเตอร์
การพัฒนาระบบงานทางคอมพิวเตอร์ การพัฒนาระบบงาน (System
Development) เป็นกระบวนการพัฒนาระบบงานเดิม ให้เป็น ระบบการทํางานแบบให้
มีจุดประสงค์ให้ระบบการทํางานมีประสิทธิภาพมากขึ้น สําหรับการพัฒนา ระบบงาน
ทางคอมพิวเตอร์นอกจากจัดหาอุปกรณ์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อนํามาใช้งานแล้ว
ยังต้อง จัดหาโปรแกรมประยุกต์งานมาใช้ในการดําเนินงานอีกด้วย ขั้นตอนการสร้าง
โปรแกรมประยุกต์งาน อาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ในที่นี้มีแนวทาง
ดําเนินงานดังนี้
1) ขั้นกําหนดขอบเขตปัญหา
2) ขั้นวางแผนและการออกแบบ
3) ขั้นดําเนินการเขียน คําสั่งงาน
4) ขั้นทดสอบและแก้ไขโปรแกรม
5) ขั้นจัดทําคู่มือระบบ
6) ขั้นการติดตั้ง
7) ขั้น การบํารุงรักษา
- 16. 1. ขั้นกําหนดขอบเขตปัญหา (Problem Definition)
เริ่มต้นด้วยการศึกษาวิเคราะห์ระบบงานเดิม เพื่อพัฒนาระบบงานให้ อาจ
วิเคราะห์งานจาก ผลลัพธ์ เช่น รูปแบบรายงาน เพื่อวิเคราะห์ส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น สมการที่ใช้คํานวณ การนําเข้า ข้อมูลที่ใช้ประมวลผล กรณีเป็นระบบงานใหญ่
ความซับซ้อนของงาน
ย่อมมากขึ้น อาจเริ่มจากสภาพปัญหา โดย รวบรวมข้อมูลปัญหาและ ความต้องการ
ต่าง ๆ จากผู้เกี่ยวข้อง เช่น ผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อสรุป และศึกษา ความเป็นไปได้
ในการพัฒนาระบบงานให้ การกําหนดความต้องการ (Requirements Specification) เป็น
ความต้องการ ประสิทธิภาพการทํางานจากระบบงานให้ รวบรวมข้อมูลความต้องการ
โดยใช้เครื่องมือทางสถิติ เช่น แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ การสังเกต เพื่อหาข้อสรุป
รวมกันที่ชัดเจนระหว่างผู้พัฒนาระบบและผู้ใช้ ระบบ การกําหนดความต้องการนั้นมี
แนวทางในการดําเนินงาน ดังนี้
- 17. 1) ประสานงานรวบรวมข้อมูลจากผู้ที่เกี่ยวของกับระบบ เพื่อประมวลความ
ต้องการทั้งหมด
2) จัดทําข้อสรุปความต้องการ บันทึกลงเอกสาร และลงนามทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
เพื่อป้องกัน ข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในขั้นตอนรับมอบระบบงาน
3) การให้คําจํากัดความตาง ๆ ในเอกสาร ต้องมีความชัดเจน ไม่กํากวม
การศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) ศึกษาสิ่งที่เกี่ยวของกับระบบงานที่เป็น
ปัจจัย เอื้อต่อการทํางาน หรืออุปสรรคในการทํางานมีแนวศึกษา ดังนี้
1) ศึกษาความเป็นไปได้ด้านเทคนิค (Technical Feasibility) เช่น ศึกษาระบบ
คอมพิวเตอร์ที่มีอยู่เดิมต้องปรับปรุง (Upgrade) ประสิทธิภาพเครื่องอย่างไรบาง
2) ศึกษาความเป็นไปได้เชิงเศรษฐศาสตร์ (Economical Feasibility) เช่น ต้นทุน
ค่าใช้จ่าย ในการดําเนินงานระบบงานให้ หรือด้านงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร
รวบรวมโดย นางพวงพรรณ สุพิพัฒนโมลี ตําแหน่ง ครูชํานาญการ โรงเรียนชัยภูมิ
ภักดีชุมพล
3) ศึกษาความเป็นไปได้ด้านการปฏิบัติงาน (Operational Feasibility) เช่น ทักษะ
เดิมของ ผู้ใช้ระบบงานให้ การยอมรับระบบให้ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการ
ทํางาน
- 18. 2. ขั้นวางแผนและการออกแบบ (Planning & Design)
ขั้นตอนการวางแผนวิเคราะลําดับการทํางานมีหลายวิธีให้เลือกใช้ เช่น วิธี
อัลกอริทึม (Algorithm) วิธีซูโดโคด (Pseudocode Design) วิธีผังงาน (Flowchart) ลําดับ
ขั้นตอนการออกแบบ ระบบ เช่น การออกแบบรูปแบบการแสดงผล (Output Design)
การออกแบบรูปแบบการนําเข้า ข้อมูล (Input Design) มีแนวทางการออกแบบระบบ
ดังนี้
1) จํานวนและประเภทเนื้อหาของข้อมูล (Content) ต้องมีเพียงพอ ครบถ้วน
สมบูรณ์ นําเสนอเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวของกันและแยกเป็นระบบงานย่อย
2) รูปแบบ (Form) การนําเสนอข้อมูลต้องอยู่ในรูปแบบที่ผู้ใช้ระบบเข้าใจงาย
เช่น การ นําเสนอข้อมูลสรุปด้วยกราฟดีกว่าการนําเสนอข้อมูลสรุปในรูปแบบตาราง
3) รูปแบบแสดงผล (Output Format) คํานึงว่าเป็นการแสดงผลรายงานทางจอภาพ
หรือ เครื่องพิมพ์เพราะการกําหนดรูปแบบ และรายละเอียดมีความแตกตางกัน
- 19. 3. ขั้นดําเนินการเขียนคําสั่งงาน (Coding)
เป็นขั้นตอนเขียนคําสั่งควบคุมงาน ด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ตามกฎเกณฑ์
ไวยากรณ์ที่กําหนดไว้ต้องลําดับคําสั่งตามขั้นตอนที่วิเคราะห์ว่า สําหรับ
ขั้นตอนการเขียนคําสั่งงานมีแนวทางดําเนินงาน ดังนี้
1) จัดทีมงานในองค์กรวิเคราะห์และพัฒนาระบบงานเอง มีข้อดี คือ
ปรับแก้ไขโปรแกรมได้ตามต้องการ ได้รับความรวมมือจากคนในองค์กรใน
ระดับดี เพราะเป็นกลุ่มบุคคลในองค์กร เดียวกัน ข้อเสีย คือ หากไม่มี
หน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง เป็นการทํางานเฉพาะกิจ จะ เกิดความเสี่ยงใน
ระบบงาน เช่น งานลาชา หรืองานไม่เสร็จสิ้นตามกําหนด
- 20. 2) จัดซื้อโปรแกรมสําเร็จรูป ข้อดี คือ มีโปรแกรมที่นํามาใช้กับงานได้
ทันที งานขององค์กรไม่ หยุดชะงัก และมีบริการอบรมการใช้โปรแกรม ส่วน
ใหญ่โปรแกรมออกแบบมาดี จึงใช้งาน ง่าย ข้อเสีย คือ โปรแกรมสําเร็จรูปมี
ข้อจํากัดในตัวเอง ไม่สามารถตอบสนองความ ต้องการผู้ใช้ระบบได้
ครอบคลุมทุกด้าน และผู้ใช้ไม่สามารถแก้ไขข้อจํากัดตาง ๆ ของ โปรแกรมได้
ด้วยต้นเอง
3) จัดจ้างบริษัทพัฒนาระบบ ข้อดี คือ พัฒนาระบบงานได้รวดเร็วเพราะมี
ทีมงานที่มีความ ชํานาญงานระบบงานตรงตามความต้องการของผู้ใช้ระบบ
ข้อเสีย คือ ค่าจ้างการพัฒนามี ราค่าสูง เพราะต้องวิเคราะห์ระบบงานให้ และ
รวมราคาการบํารุงรักษาโปรแกรมใน อนาคตไวแล้ว
- 21. 4. ขั้นทดสอบและแก้ไขโปรแกรม (Testing & Debugging)
การทดสอบการทํางานของโปรแกรมแบงออกเป็น2 ช่วงคือ ช่วงแรกทดสอบโดย
พัฒนา ระบบงานเองโดยใช้ข้อมูลสมมติ ทดสอบเพื่อหาข้อผิดพลาดจากการใช้ไวยากรณ์คําสั่ง
และวิเคราะห์ เปรียบเทียบผลลัพธ์การทํางานกับจุดประสงค์ของงานหากไม่มีข้อผิดพลาดใด
ๆ จึงสงมอบการทําสอบอีกช่วงคือ ทดสอบโดยผู้ใช้ระบบงานจริง ทั้งนี้ข้อผิดพลาดที่เกิดจาก
การทดสอบ โดยสรุปมี 2 รูปแบบ คือ
1) ข้อผิดพลาดที่เกิดจากการใช้คําสั่งผิดรูปแบบไวยากรณ์ที่ภาษากําหนดไว้(Syntex
Errors)
2) ข้อผิดพลาดที่เกิดจากกระบวนการวิเคราะห์งานผิด (Logic Error) กรณีระบบงานขนาด
ใหญ่ การทดสอบระบบงานให้โดยผู้ใช้ระบบอาจต้องฝึกอบรมการใช้โปรแกรมก่อนแล้วจึง
หาข้อสรุปข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น มีแนวทางจัดฝึกอบรมการใช้โปรแกรมดังนี้
1) ฝึกอบรมโดยวิทยากร ใช้วิธี บรรยาย สาธิต และจําลองข้อมูลนําเข้า เพื่อทดสอบ
ระบบ
2) เรียนรู้ด้วยต้นเอง ผู้ใช้ระบบศึกษาอ่านจากคู่มือระบบงาน หรือใช้ซีดีรอมเรียนรู้
ด้วยต้นเอง
- 22. 5. ขั้นจัดทําคู่มือระบบ (Documentation)
เมื่อโปรแกรมผ่านการทดสอบ ผู้พัฒนาระบบจะต้องรวบรวมเอกสารเพื่อ
จัดทําคู่มือการใช้ ระบบงานให้ คู่มือระบบงานมีความสําคัญมาก เพราะ
เปรียบเสมือนกับพิมพ์เขียวของบานคู่มือระบบ จึงถูกใช้เพื่อศึกษารูปแบบ
ระบบงานเพื่อพัฒนาระบบในอนาคต คู่มือระบบมีหลายรูปแบบ เช่น
1) คู่มือสําหรับผู้ใช้ระบบ (User Documentation) เป็นส่วนอธิบายขั้นตอน
การทํางานของ ระบบเพื่อให้ผู้ใช้ระบบเรียนรู้การทํางาน เช่น วิธีกรอกข้อมูล
ในส่วนตาง ๆ
2) คู่มือระบบงาน (System Documentation) จัดทําสําหรับผู้ดูแลระบบ เช่น
ขั้นตอนการ ติดตั้งโปรแกรม การแก้ปัญหาระบบงานขั้นพื้นฐาน
- 23. 6. ขั้นการติดตั้ง (Implementation)
เป็นขั้นตอนนําระบบให้ที่ผ่านการทดสอบ และได้รับการยอมรับจากกลุ่ม
ตัวแทนผู้ใช้ระบบว่า สามารถนํามาทดแทนระบบงานเดิม มีแนวทางใช้ระบบงานให้
ดังนี้
1) ติดตั้งระบบแบบหยุดระบบงานเดิมทั้งหมด และใช้ระบบงานให้ทันที (Direct
Changeover) วิธีนี้สะดวกกับผู้ใช้คือ ทํางานระบบงานเดียว แต่มีความเสี่ยงสูงหาก
ระบบงานให้มีปัญหาจะไม่สามารถใช้ระบบงานระบบใดได้เลย
2) ติดตั้งระบบแบบคู่ขนาน (Parallel Running) เป็นการทํางาน 2 ระบบในคราว
เดียวกัน เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับระบบงานให้ ยังคงมีระบบงานเดิมสํารอง
ความผิดพลาด ที่ไม่อาจคาดคิด เกิดขึ้นได้แต่เป็นการเพิ่มภาระงานของผู้ใช้ระบบที่
ต้องทํางานทั้ง 2 ระบบ จนกว่าแน่ใจว่าระบบงานให้ สามารถใช้รองรับการทํางานได้
โดยไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ
- 24. 3) ติดตั้งระบบแบบทีละเฟส (Phase Changeover) เป็นการติดตั้งระบบ
ย่อยทีละระบบจาก ระบบงานทั้งหมด เพื่อพิจารณาประสิทธิภาพการทํางาน
หากมีข้อผิดพลาดที่เฟสใดจะ ดําเนินการแก้ไขเฉพาะเฟสนั้นก่อน จากนั้นจึง
ขยายจนครบทั้งระบบ
4) ติดตั้งระบบแบบโครงการนํารอง (Pilot Project) พิจารณาจัดทํา
เฉพาะงานของหน่วยงาน ในองค์กรที่มีความสําคัญและความจําเป็น พิจารณา
ผลงานที่ได้หากไม่มีปัญหาเรื่องใด จึง ขยายระบบงานตอไป
- 25. 7. ขั้นการบํารุงรักษา (Maintenance)
เป็นการดูแลระบบงานหลังติดตั้งระบบ ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้
ตลอดเวลา สาเหตุที่ต้อง บํารุงรักษา มีดังนี้
1) การบํารุงรักษาด้วยการแก้ไขระบบให้ถูกต้อง (Corrective Maintenance) เป็น
ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นหลังจากมีการใช้ข้อมูลจริงในระบบงาน ซี่งตรวจสอบไม่พบใน
ขั้นการ ทดสอบระบบ
2) การบํารุงรักษาด้วยการปรับปรุงให้ดีขึ้น (Perfective Maintenance) เป็นการปรับ
ระบบงานกรณีผลกระทบอื่น เช่น การปรับปรุงการคํานวณภาษีที่มีการเปลี่ยนแปลง
ไปตาม นโยบายของรัฐ
3) การบํารุงรักษาด้วยการป้องกัน (Preventive Maintenance) เช่น ป้องกันการเกิด
ความ สูญหายของข้อมูลที่อาจเกิดจากระบบไฟฟ้า การทําระบบสํารองข้อมูล การ
ป้องกันไวรัส คอมพิวเตอร์ (Virus) การบุกรุกข้อมูล (Hacker)
- 27. 1. ขั้นวิเคราะห์ระบบงานเบื้องต้น
อาจวิเคราะห์จากผลลัพธ์ หรือลักษณะรูปแบบรายงานของระบบงานนั้น เพื่อ
วิเคราะห์ย้อนกลับ ไปถึงที่มาของข้อมูลคือสมการคํานวณ จนถึงข้อมูลที่ต้องปอนเข้า
ระบบเพื่อใช้ในสมการ แนวทางการ วิเคราะห์ระบบงานเบื้องต้นโดยสรุปมีขั้นตอน
ย่อยดังนี้
1) สิ่งที่ต้องการ
2) สมการคํานวณ
3) ข้อมูล นําเข้า
4) การแสดงผล
5) กําหนดคุณสมบัติตัวแปร
6) ลําดับขั้นตอนการทํางาน
- 28. 2. ขั้นวางแผนลําดับการทํางาน
มีหลายวิธี เช่น อัลกอริทึม ซูโดโคด ผังงาน ต่างมีจุดประสงค์เพื่อแสดง
ลําดับขั้นตอน กระบวนการแก้ปัญหางานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ ก่อน
ไปสู่ขั้นตอนการเขียนคําสั่งงานและกรณี โปรแกรมมีข้อผิดพลาด สามารถ
ย้อนกลับมาตรวจสอบที่ขั้นตอนนี้ได้
- 34. 2. หลักในการเขียนผังงาน
ข้อแนะนําในการเขียนผังงานเพื่อให้ผู้อานระบบงาน ใช้ศึกษา ตรวจสอบลําดับการ
ทํางานได้งาย ไม่สับสน มีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
1. ทิศทางการทํางานต้องเรียงลําดับตามขั้นตอนที่ได้วิเคราะห์ไว้
2. ใช้ชื่อหนวยความจํา เช่น ตัวแปร ให้ตรงกับขั้นตอนที่ได้วิเคราะห์ไว้
3. ลูกศรกํากับทิศทางใช้หัวลูกศรตรงปลายทางเทานั้น
4. เส้นทางการทํางานหามมีจุดตัดการทํางาน
5. ต้องไม่มีลูกศรลอย ๆ โดยไม่มีการตอจุดการทํางานใด ๆ
6. ใช้สัญลักษณ์ให้ตรงกับความหมายการใช้งาน
7. หากมีคําอธิบายเพิ่มเติมให้เขียนไว้ด้านขวาของสัญลักษณ์นั้น
- 35. 3. ประโยชน์ของผังงาน
การเขียนผังงานโปรแกรมของคอมพิวเตอร์นั้นมีประโยชน ดังนี้
1. ทําให้องเห็นรูปแบบของงานได้ทั้งหมด โดยใช้เวลาไม่มาก
2. การเขียนผังงานเป็นสากล สามารถนําไปเขียนคําสั่งได้ทุกภาษา
3. สามารถตรวจสอบข้อผิดพลาดของโปรแกรมได้อย่างรวดเร็ว
4. รูปแบบการเขียนผังงาน การเขียนผังงานแสดงลําดับการทํางานของ
ระบบงานไม่มีรูปแบบการเขียนตายตัว เพราะเป็น เรื่องการออกแบบ
ระบบงานของแต่ละบุคคล ในส่วนนี้เป็นการนําเสนอรูปแบบการเขียนผังงาน
โปรแกรม ดังนี้
- 36. 1.) การเขียนผังงานแบบเรียงลําดับ แสดงขั้นตอนการทํางานตามลําดับ
โดยไม่มีทางแยกการ ทํางานแต่อย่างใด เช่น
2. ) การเขียนผังงานแบบมีทางเลือกการทํางาน แสดงขั้นตอนการ
ทํางานที่มีลักษณะกําหนด เงื่อนไขทางตรรกะ ให้ระบบสรุปว่าจริงหรือเท็จ
เพื่อเลือกทิศทางประมวลผลคําสั่งที่ได้กําหนดไว้เช่น รวบรวมโดย นางพวง
พรรณ สุพิพัฒนโมลี ตําแหน่ง ผู้ชํานาญการ โรงเรียนชัยภูมิภักดีชุมพล
3. ) การเขียนผังงานตรวจสอบเงื่อนไขก่อนวนซํ้าแสดงขั้นตอนการ
ทํางานที่มีลักษณะกําหนด เงื่อนไขทางตรรกะให้ระบบตรวจสอบก่อน เพื่อ
เลือกทิศทางการวนซํ้าหรือออกจากการวน ซํ้าเช่น
4. ) การเขียนผังงานแบบตรวจสอบเงื่อนไขหลังวนซํ้าแสดงขั้นตอน
การทํางานที่มีลักษณะ ทํางานก่อน 1 รอบ แล้วจึงกําหนดเงื่อนไขทางตรรกะ
ให้ระบบตรวจสอบ เพื่อเลือกทิศ ทางการวนซํ้าหรือออกจากการวนซํ้า
- 37. จัดทําโดย
1.นายณรงค์เดช บุญพุ่มพวง เลขที่ 2
2.นายชุติพนธ์ บัวเพชร เลขที่ 8
3.นายปรินทร สุกุลธนาศร เลขที่ 10
4.นางสาวอรปรียา สงวนศักดิ์ เลขที่ 23
5.นางสาวปัทมา พรหมขนะ เลขที่ 30
6.นางสาวอรฤทัย อินทนิล เลขที่ 32
7.นางสาวมนัชญา วสุอนันต์กุล เลขที่ 38
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1
เสนอ
อาจารย์ ทรงศักดิ์ โพธิ์เอี่ยม
รายวิชาการเขียนโปรแกรมเพื่องานอาชีพ (ง30212)
โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ กาญจนบุรี