การสร้างงาน
โปรแกรมด้วย
ภาษาคอมพิวเตอร์
ความสําคัญของภาษาคอมพิวเตอร์
 ภาษาคอมพิวเตอร์ (Computer Language) เป็นสัญลักษณ์ที่ผู้พัฒนาภาษา
กําหนดรหัสคําสั่ง ขึ้นมา ใช้ควบคุมการทํางานอุปกรณ์ในระบบคอมพิวเตอร์
พัฒนาการภาษาคอมพิวเตอร์ เริ่มจากรหัส คําสั่งอยู่ในรูปแบบเลขฐานสอง
จากนั้นพัฒนารูปแบบเป็นข้อความภาษาอังกฤษ ในยุคปัจจุบัน
ภาษาคอมพิวเตอร์มีอีกมากมายหลายภาษาให้เลือกใช้งาน มีจุดเด่นด้าน
ประสิทธิภาพคําสั่งแตกตางกันไป ดังนั้นผู้สร้างงานโปรแกรมต้องศึกษาว่า
ภาษาใดมีคําสั่งที่มีประสิทธิภาพควบคุมการทํางานตามต้องการ เพื่อเลือกไป
ใช้สร้างโปรแกรมประยุกต์งานตามที่ได้กําหนดจุดประสงค์ไว้
1. พัฒนาการภาษาคอมพิวเตอร์
 ภาษาคอมพิวเตอร์ได้รับการพัฒนาควบคู่กับการประดิษฐ์เครื่อง
คอมพิวเตอร์ เพื่อใช้เป็นคําสั่ง ควบคุมการทํางาน มีพัฒนาการของการสร้าง
รหัสคําสั่งจนมาเป็นรูปแบบในปัจจุบัน ดังนี้
 ช่วงที่ 1 คอมพิวเตอร์จัดเป็นเครื่องมือคํานวณทางอิเล็กทรอนิกส์ จึง
ทํางานลักษณะวงจรเปิด – ปิด แทนค่าด้วย 0 กับ 1 ผู้สร้างภาษาจึงออกแบบ
รหัสคําสั่งเป็นชุดเลขฐานสอง เรียกว่า ภาษาเครื่อง (Machine Language) ผู้ที่จะ
เขียนรหัสคําสั่งควบคุมระบบได้จึงจํากัดอยู่เฉพาะกลุ่ม และใช้ใน
ห้องปฏิบัติการทดลองดําเนินงาน
 ช่วงที่ 2 จากช่วงแรกที่รหัสคําสั่งเป็นชุดเลขฐานสองมีความยุ่งยากในการ
จําชุดของรหัสคําสั่ง ควบคุมการทํางาน จึงมีผู้พัฒนารหัสคําสั่งเป็นอักษร
ภาษาอังกฤษรวมกับเลขฐานอื่น เช่น เลขฐานสิบหก เพื่อให้เขียนคําสั่งควบคุม
งานง่ายขึ้น ตั้งชื่อภาษาว่า แอสแซมบลีหรือภาษาสัญลักษณ์ (Assembly/
Symbolic Language) พร้อมกันนี้ต้องพัฒนาโปรแกรมแปลภาษาขึ้นมาด้วย
(TranslatorProgram) คือโปรแกรมแอสแซมเบลอร์ (Assembler)ใช้แปลรหัสคําสั่ง
กลับมาเป็นเลขฐานสองเพื่อให้ระบบ สามารถประมวลผลได้
 ช่วงที่ 3 เป็นช่วงที่บริษัทหลายแห่งสร้างภาษาคอมพิวเตอร์หลากหลาย
ภาษา เน้นให้ใช้งานง่ายขึ้น โดยรหัสคําสั่งเป็นข้อความใกล้เคียงกับ
ภาษาอังกฤษที่ใช้ในการสื่อสารกันอยู่แล้ว จัดให้เป็นกลุ่ม ภาษาระดับสูง (High
Level Language) เช่น ภาษาเบสิก ภาษาปาสคาล ภาษาซี ในส่วนของ โปรแกรม
แปลภาษามี 2 ลักษณะ คือ อินเทอรพรีตเทอร์ และคอมไพเลอร์
 ช่วงที่ 4 เน้นเพิ่มประสิทธิภาพภาษาคอมพิวเตอร์ให้นําไปใช้ควบคุมการ
ทํางานระบบ คอมพิวเตอร์ที่ใช้งานรวมกับเทคโนโลยีการสื่อสาร ภาษามี
รูปแบบการเขียนรหัสคําสั่งเป็นงานโปรแกรม เชิงวัตถุ (Object – Oriented
Programming Language : OOP) ติดต่อใช้งานกับผู้ใช้โปรแกรมเชิง กราฟฟิก
(Graphic User Interface : GUI) ลดขั้นตอนการจดจําเพื่อพิมพ์รหัสคําสั่งมาเป็นการ
คลิก เลือกรายการคําสั่ง และป้อนค่าควบคุม เช่น ภาษาวิชวลเบสิก (Visual
BASIC)ภาษาจาว่า (JAVA)
2. ภาษาระดับสูง
 ภาษาคอมพิวเตอร์กลุ่มภาษาระดับสูงได้รับความนิยมใช้งานจนถึง
ปัจจุบัน เพราะเป็นภาษาที่มี รูปแบบการเขียนรหัสคําสั่งสั้น สื่อความหมายตรง
กับการทํางาน ใช้ระยะเวลาสั้นในการเรียนรู้เพื่อเขียน ชุดรหัสคําสั่งควบคุม
การทํางาน ใช้หน่วยความจําระบบน้อย จึงเหมาะกับผู้เริ่มฝึกทักษะการสร้าง
งาน โปรแกรมประยุกต์งานคํานวณในสาขางานต่าง ๆ เช่น ระบบงานคํานวณ
ทางวิศวกรรมโยธา ระบบงาน คํานวณทางวิทยาศาสตร์ ตัวอย่างภาษาระดับสูง
ที่ได้รับความนิยมใช้งาน มีดังนี้
 1) ภาษาเบสิก (BASIC: Beginner’s All-purposeSymbolic InstructionCode) เป็น
ภาษาในระยะเริ่มแรกที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในห้องปฏิบัติการของ
สถาบันการศึกษา เพื่อฝึกทักษะการ เขียนรหัสคําสั่งควบคุมการทํางานของ
คอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก คือ ไมโครคอมพิวเตอร์ ข้อดี คือ รูปแบบที่ใช้งานสั้น มี
จํานวนคําสั่งไม่มาก กฎเกณฑ์การใช้คําสั่งน้อย ใช้ระยะเวลาศึกษาเรียนรู้สั้น
เหมาะสมที่จะใช่ในการเรียนการสอน เพื่อฝึกทักษะการเขียนรหัสควบคุมการ
ทํางานระบบ ข้อจํากัด คือ ประสิทธิภาพของคําสั่งงานมีน้อย เป็นภาษาที่ไม่มี
รูปแบบโครงสร้าง จึงไม่เหมาะสมในการนําไปใช้สร้างโปรแกรมประยุกต์งาน
ในองค์กร
 2) ภาษาโคบอล (COBOL: Common Business OrientedLanguage) เป็นภาษาใน
ยุคแรกที่มีลักษณะโปรแกรมเชิงโครงสร้าง ช่วงต้นของภาษาได้รับการ
ออกแบบรหัสคําสั่งเพื่อ ควบคุมการทํางานคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ประเภท
เมนเฟรม และมินิ ต่อมาจึงปรับรูปแบบคําสั่งให้ใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์ได้
ข้อดี คือ ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการเขียนรหัสคําสั่งควบคุมการทํางาน
ไมโครคอมพิวเตอร์ก่อนที่จะไปเขียนรหัสคําสั่งควบคุมคอมพิวเตอร์ขนาด
ให้ญืในการทํางานจริง ข้อจํากัด คือ โครงสร้างภาษามีส่วนประกอบของ
บรรทัดคําสั่งงานมาก รูปแบบรหัส คําสั่งมีความยาว จดจําคําสั่งได้ยาก ไม่
เหมาะกับผู้เริ่มฝึกทักษะสร้างงานโปรแกรม
 3) ภาษาปาสคาล (PASCAL)เป็นภาษาที่มีรูปแบบเป็นโครงสร้าง ได้รับ
การออกแบบ มาเพื่อใช้เขียนรหัสคําสั่งควบคุมการทํางานไมโครคอมพิวเตอร์
ข้อดี คือ แต่ละส่วนของโครงสร้างกําหนดหน้าที่การเขียนรหัสคําสั่งควบคุม
งาน ชัดเจน คําสั่งสั้น สื่อความหมายดี จึงจดจําได้งาย ประสิทธิภาพคําสั่งงานมี
เลือกใช้งานหลากหลาย รูปแบบ ใช้ระยะเวลาสั้นในการเรียนรู้ เหมาะสมกับ
การนําไปใช้ในหลักสูตรการเรียนการสอน ข้อจํากัด คือ ประสิทธิภาพของ
คําสั่งไม่สามารถใช้ควบคุมการทํางานในลักษณะ ระบบงานแบบฐานข้อมูล
หรือแบบเครือขายได้แต่อาจใช้พื้นฐานความรู้สําหรับภาษาอื่นได้ เช่น ภาษา
เดลไฟ (DELPHI)ที่คําสั่งงานคลายภาษาปาสคาล
 4) ภาษาซี เป็นภาษาที่มีรูปแบบเป็นโครงสร้าง เน้นให้คําสั่งมี
ประสิทธิภาพการคํานวณที่ รวดเร็ว เข้าถึงอุปกรณ์ในระบบรวมกับภาษาแอส
แซมบลีได้ใช้ควบคุมการทํางานไมโครคอมพิวเตอร์
 ข้อดี คือ ภาษาได้รับการพัฒนามาอย่างตอเนื่อง การออกแบบรหัสคําสั่งมี
มาตรฐาน รวมกัน ถึงแม้จะเป็นภาษาซีตางบริษัทก็ใช้งานส่วนคําสั่งพื้นฐาน
รวมกันได้ใช้ระยะเวลาสั้นในการเรียนรู้ จึงเหมาะสมสําหรับนําไปใช้ใน
หลักสูตรการเรียนการสอน และนําไปใช้สร้างงานโปรแกรมระบบขนาด ใหญ่
ได้ข้อจํากัด คือ อยู่ในส่วนของรุนภาษาซีมากกว่า เช่น เทอรโบซีจะไม่
สามารถนําไป สร้างระบบงานฐานข้อมูลได้แต่หากต้องการนําไปสร้างงาน
โปรแกรมแบบฐานข้อมูล ต้องใช้วิชวล ซีพลัสพลัส (Visual C++) เป็นต้น
3. ตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์ (Translator Program)
 การเขียนรหัสคําสั่งควบคุมการทํางานระบบด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ใด ๆ
ก็ตาม ที่มิใช้ภาษาเครื่อง ระบบไม่สามารถประมวลผลได้ทันที เพราะการ
ทํางานของระบบเป็นรหัสเลขฐานสอง คือ 0 กับ 1 ดังนั้นผู้สร้าง
ภาษาคอมพิวเตอร์ ต้องสร้างโปรแกรมสําหรับแปลรหัสคําสั่งให้เป็นรหัส
เลขฐานสองด้วย โปรแกรมแปลรหัสคําสั่งภาษาคอมพิวเตอร์มีการทํางาน 3
ลักษณะ คือ
 1.)โปรแกรมแปลภาษาแบบแอสแซมเบลอร (Assembler)ใช้แปลรหัส
คําสั่งเฉพาะภาษา แอสแซมบลีให้เป็นเลขฐานสอง
 2.)โปรแกรมแปลภาษาแบบคอมไพเลอร์ (Compiler) ลักษณะการแปลคือ แปล
คําสั่งทั้ง โครงสร้างโปรแกรมแล้วจึงแจงข้อผิดพลาดทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข จากนั้น
ต้องประมวลผลให้ หากไม่มี ข้อผิดพลาดจะสร้างแฟ้มโปรแกรมให้อัตโนมัติเพื่อเก็บ
รหัสเครื่องภายหลังเมื่อเรียกใช้โปรแกรมนี้ เครื่อง จะอ่านรหัสจากโปรแกรมที่สร้าง
ไว้นั้น จึงไม่ต้องเริ่มแปลรหัสให้ ข้อดี คือ ทํางานได้รวดเร็ว เพราะไม่ต้องแปลรหัสให้
ทุกครั้ง ข้อจํากัด คือ ต้องเขียนโปรแกรมให้ครบทุกส่วนของโครงสร้าง
ภาษาคอมพิวเตอร์ จึง จะสามารถคอมไพลปละประมวลผลเพื่อแสดงผลได้
 3.)โปรแกรมแปลภาษาแบบอินเทอรพรีตเทอร์ (Interpreter) ลักษณะการแปล คือ
แปลรหัสทีละคําสั่ง เมื่อพบข้อผิดพรากจะหยุดทํางาน แล้วจึงแจงข้อผิดพลาดให้ทราบ
เพื่อแก้ไข จากนั้นประมวลผลให้ จนกว่าจะไม่มีข้อผิดพลาด แต่ไม่มีการสร้างแฟ้ม
โปรแกรมให้เพื่อเก็บรหัสคําสั่ง คือ สั่งให้ประมวลผลรหัสคําสั่งเพื่อดูผลการทํางานได้
ทันทีที่ต้องการ โดยไม่ ข้อดี ต้องเขียนโปรแกรมถึงบรรทัดสุดทาย ข้อจํากัด คือ หาก
โปรแกรมมีบรรทัดคําสั่งจํานวนมากจะประมวลผลชา เพราะต้องเริ่ม แปลรหัสคําสั่ง
ให้ที่บรรทัดคําสั่งแรกทุกครั้งที่สั่งให้ประมวลผล
 4.)การเลือกใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ การสร้างโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ มี
ข้อแนะนําในการนําไปใช้เป็นแนวทางพิจารณา เลือกภาษาคอมพิวเตอร์ ดังนี้
 1. พิจารณาจุดเด่นประสิทธิภาพของคําสั่งงานของแต่ละภาษา เปรียบเทียบกับ
ลักษณะงาน เช่น สร้างโปรแกรมระบบงานคํานวณทางวิศวกรรมศาสตร์ อาจ
เลือกใช้ภาษาซี ภาษา ปาสคาล
 2. พิจารณาลักษณะการประมวลผล เช่น ระบบงานต้องประมวลผลบน
เครือข่ายอาจ เลือกใช้ภาษาวิชวลเบสิก ในรุ่นของโปรแกรมที่มีคําสั่งควบคุมการ
ทํางานได้
 3. พิจารณาคุณสมบัติเครื่องคอมพิวเตอร์และรุนของระบบปฏิบัติการที่ใช้
ควบคุม เพื่อเลือก ภาษาคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้งานรวมกันกับระบบได้
 4. ควรเลือกภาษาที่ทีมงานพัฒนาระบบงานโปรแกรมมีความชํานาญอยู่แล้ว
เพื่อไม่ต้อง เสียเวลาเริ่มต้นศึกษาเรียนรู้ภาษาให้ หรือหากเป็นภาษาให้ ควรเป็นภาษา
ที่มี ลักษณะใกล้เคียงกับความรู้เดิม
 5. ควรเป็นภาษาที่มีลักษณะเป็นโครงสร้าง มีความยืดหยุ่นสูง เอื้ออํานวยความ
สะดวกใน การปรับปรุงพัฒนาระบบงานในอนาคต
 6. หากระบบงานต้องการความปลอดภัยเรื่องการเข้าถึงข้อมูล ต้อง
คัดเลือก ภาษาคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพเรื่องนี้ด้วย
 7. พิจารณางบประมาณ ใช้จัดหาคอมพิวเตอร์ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องมาใช้
งาน เพื่อป้องกัน ปัญหาทางกฎหมายและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะไม่ก่อปัญหา
เมื่อขยายพัฒนาระบบงานเพิ่ม มากขึ้นในอนาคต
 8. เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่ได้รับความนิยมใช้งานทั่วไปเพื่อศึกษา
รวบรวมข้อมูล และ ป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต และมีความ
เชื่อมั่นว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญให้ คําปรึกษาหากเกิดปัญหาขึ้น
4.การพัฒนาระบบงานทางคอมพิวเตอร์
 การพัฒนาระบบงานทางคอมพิวเตอร์ การพัฒนาระบบงาน (System
Development) เป็นกระบวนการพัฒนาระบบงานเดิม ให้เป็น ระบบการทํางานแบบให้
มีจุดประสงค์ให้ระบบการทํางานมีประสิทธิภาพมากขึ้น สําหรับการพัฒนา ระบบงาน
ทางคอมพิวเตอร์นอกจากจัดหาอุปกรณ์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อนํามาใช้งานแล้ว
ยังต้อง จัดหาโปรแกรมประยุกต์งานมาใช้ในการดําเนินงานอีกด้วย ขั้นตอนการสร้าง
โปรแกรมประยุกต์งาน อาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ในที่นี้มีแนวทาง
ดําเนินงานดังนี้
 1) ขั้นกําหนดขอบเขตปัญหา
 2) ขั้นวางแผนและการออกแบบ
 3) ขั้นดําเนินการเขียน คําสั่งงาน
 4) ขั้นทดสอบและแก้ไขโปรแกรม
 5) ขั้นจัดทําคู่มือระบบ
 6) ขั้นการติดตั้ง
 7) ขั้น การบํารุงรักษา
1. ขั้นกําหนดขอบเขตปัญหา (Problem Definition)
 เริ่มต้นด้วยการศึกษาวิเคราะห์ระบบงานเดิม เพื่อพัฒนาระบบงานให้ อาจ
วิเคราะห์งานจาก ผลลัพธ์ เช่น รูปแบบรายงาน เพื่อวิเคราะห์ส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น สมการที่ใช้คํานวณ การนําเข้า ข้อมูลที่ใช้ประมวลผล กรณีเป็นระบบงานใหญ่
ความซับซ้อนของงาน
 ย่อมมากขึ้น อาจเริ่มจากสภาพปัญหา โดย รวบรวมข้อมูลปัญหาและ ความต้องการ
ต่าง ๆ จากผู้เกี่ยวข้อง เช่น ผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อสรุป และศึกษา ความเป็นไปได้
ในการพัฒนาระบบงานให้ การกําหนดความต้องการ (Requirements Specification) เป็น
ความต้องการ ประสิทธิภาพการทํางานจากระบบงานให้ รวบรวมข้อมูลความต้องการ
โดยใช้เครื่องมือทางสถิติ เช่น แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ การสังเกต เพื่อหาข้อสรุป
รวมกันที่ชัดเจนระหว่างผู้พัฒนาระบบและผู้ใช้ ระบบ การกําหนดความต้องการนั้นมี
แนวทางในการดําเนินงาน ดังนี้
 1) ประสานงานรวบรวมข้อมูลจากผู้ที่เกี่ยวของกับระบบ เพื่อประมวลความ
ต้องการทั้งหมด
 2) จัดทําข้อสรุปความต้องการ บันทึกลงเอกสาร และลงนามทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
เพื่อป้องกัน ข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในขั้นตอนรับมอบระบบงาน
 3) การให้คําจํากัดความตาง ๆ ในเอกสาร ต้องมีความชัดเจน ไม่กํากวม
การศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) ศึกษาสิ่งที่เกี่ยวของกับระบบงานที่เป็น
ปัจจัย เอื้อต่อการทํางาน หรืออุปสรรคในการทํางานมีแนวศึกษา ดังนี้
 1) ศึกษาความเป็นไปได้ด้านเทคนิค (Technical Feasibility) เช่น ศึกษาระบบ
คอมพิวเตอร์ที่มีอยู่เดิมต้องปรับปรุง (Upgrade) ประสิทธิภาพเครื่องอย่างไรบาง
 2) ศึกษาความเป็นไปได้เชิงเศรษฐศาสตร์ (Economical Feasibility) เช่น ต้นทุน
ค่าใช้จ่าย ในการดําเนินงานระบบงานให้ หรือด้านงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร
รวบรวมโดย นางพวงพรรณ สุพิพัฒนโมลี ตําแหน่ง ครูชํานาญการ โรงเรียนชัยภูมิ
ภักดีชุมพล
 3) ศึกษาความเป็นไปได้ด้านการปฏิบัติงาน (Operational Feasibility) เช่น ทักษะ
เดิมของ ผู้ใช้ระบบงานให้ การยอมรับระบบให้ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการ
ทํางาน
2. ขั้นวางแผนและการออกแบบ (Planning & Design)
 ขั้นตอนการวางแผนวิเคราะลําดับการทํางานมีหลายวิธีให้เลือกใช้ เช่น วิธี
อัลกอริทึม (Algorithm) วิธีซูโดโคด (Pseudocode Design) วิธีผังงาน (Flowchart) ลําดับ
ขั้นตอนการออกแบบ ระบบ เช่น การออกแบบรูปแบบการแสดงผล (Output Design)
การออกแบบรูปแบบการนําเข้า ข้อมูล (Input Design) มีแนวทางการออกแบบระบบ
ดังนี้
 1) จํานวนและประเภทเนื้อหาของข้อมูล (Content) ต้องมีเพียงพอ ครบถ้วน
สมบูรณ์ นําเสนอเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวของกันและแยกเป็นระบบงานย่อย
 2) รูปแบบ (Form) การนําเสนอข้อมูลต้องอยู่ในรูปแบบที่ผู้ใช้ระบบเข้าใจงาย
เช่น การ นําเสนอข้อมูลสรุปด้วยกราฟดีกว่าการนําเสนอข้อมูลสรุปในรูปแบบตาราง
 3) รูปแบบแสดงผล (Output Format) คํานึงว่าเป็นการแสดงผลรายงานทางจอภาพ
หรือ เครื่องพิมพ์เพราะการกําหนดรูปแบบ และรายละเอียดมีความแตกตางกัน
3. ขั้นดําเนินการเขียนคําสั่งงาน (Coding)
 เป็นขั้นตอนเขียนคําสั่งควบคุมงาน ด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ตามกฎเกณฑ์
ไวยากรณ์ที่กําหนดไว้ต้องลําดับคําสั่งตามขั้นตอนที่วิเคราะห์ว่า สําหรับ
ขั้นตอนการเขียนคําสั่งงานมีแนวทางดําเนินงาน ดังนี้
 1) จัดทีมงานในองค์กรวิเคราะห์และพัฒนาระบบงานเอง มีข้อดี คือ
ปรับแก้ไขโปรแกรมได้ตามต้องการ ได้รับความรวมมือจากคนในองค์กรใน
ระดับดี เพราะเป็นกลุ่มบุคคลในองค์กร เดียวกัน ข้อเสีย คือ หากไม่มี
หน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง เป็นการทํางานเฉพาะกิจ จะ เกิดความเสี่ยงใน
ระบบงาน เช่น งานลาชา หรืองานไม่เสร็จสิ้นตามกําหนด
 2) จัดซื้อโปรแกรมสําเร็จรูป ข้อดี คือ มีโปรแกรมที่นํามาใช้กับงานได้
ทันที งานขององค์กรไม่ หยุดชะงัก และมีบริการอบรมการใช้โปรแกรม ส่วน
ใหญ่โปรแกรมออกแบบมาดี จึงใช้งาน ง่าย ข้อเสีย คือ โปรแกรมสําเร็จรูปมี
ข้อจํากัดในตัวเอง ไม่สามารถตอบสนองความ ต้องการผู้ใช้ระบบได้
ครอบคลุมทุกด้าน และผู้ใช้ไม่สามารถแก้ไขข้อจํากัดตาง ๆ ของ โปรแกรมได้
ด้วยต้นเอง
 3) จัดจ้างบริษัทพัฒนาระบบ ข้อดี คือ พัฒนาระบบงานได้รวดเร็วเพราะมี
ทีมงานที่มีความ ชํานาญงานระบบงานตรงตามความต้องการของผู้ใช้ระบบ
ข้อเสีย คือ ค่าจ้างการพัฒนามี ราค่าสูง เพราะต้องวิเคราะห์ระบบงานให้ และ
รวมราคาการบํารุงรักษาโปรแกรมใน อนาคตไวแล้ว

4. ขั้นทดสอบและแก้ไขโปรแกรม (Testing & Debugging)
 การทดสอบการทํางานของโปรแกรมแบงออกเป็น2 ช่วงคือ ช่วงแรกทดสอบโดย
พัฒนา ระบบงานเองโดยใช้ข้อมูลสมมติ ทดสอบเพื่อหาข้อผิดพลาดจากการใช้ไวยากรณ์คําสั่ง
และวิเคราะห์ เปรียบเทียบผลลัพธ์การทํางานกับจุดประสงค์ของงานหากไม่มีข้อผิดพลาดใด
ๆ จึงสงมอบการทําสอบอีกช่วงคือ ทดสอบโดยผู้ใช้ระบบงานจริง ทั้งนี้ข้อผิดพลาดที่เกิดจาก
การทดสอบ โดยสรุปมี 2 รูปแบบ คือ
 1) ข้อผิดพลาดที่เกิดจากการใช้คําสั่งผิดรูปแบบไวยากรณ์ที่ภาษากําหนดไว้(Syntex
Errors)
 2) ข้อผิดพลาดที่เกิดจากกระบวนการวิเคราะห์งานผิด (Logic Error) กรณีระบบงานขนาด
ใหญ่ การทดสอบระบบงานให้โดยผู้ใช้ระบบอาจต้องฝึกอบรมการใช้โปรแกรมก่อนแล้วจึง
หาข้อสรุปข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น มีแนวทางจัดฝึกอบรมการใช้โปรแกรมดังนี้
 1) ฝึกอบรมโดยวิทยากร ใช้วิธี บรรยาย สาธิต และจําลองข้อมูลนําเข้า เพื่อทดสอบ
ระบบ
 2) เรียนรู้ด้วยต้นเอง ผู้ใช้ระบบศึกษาอ่านจากคู่มือระบบงาน หรือใช้ซีดีรอมเรียนรู้
ด้วยต้นเอง
5. ขั้นจัดทําคู่มือระบบ (Documentation)
 เมื่อโปรแกรมผ่านการทดสอบ ผู้พัฒนาระบบจะต้องรวบรวมเอกสารเพื่อ
จัดทําคู่มือการใช้ ระบบงานให้ คู่มือระบบงานมีความสําคัญมาก เพราะ
เปรียบเสมือนกับพิมพ์เขียวของบานคู่มือระบบ จึงถูกใช้เพื่อศึกษารูปแบบ
ระบบงานเพื่อพัฒนาระบบในอนาคต คู่มือระบบมีหลายรูปแบบ เช่น
 1) คู่มือสําหรับผู้ใช้ระบบ (User Documentation) เป็นส่วนอธิบายขั้นตอน
การทํางานของ ระบบเพื่อให้ผู้ใช้ระบบเรียนรู้การทํางาน เช่น วิธีกรอกข้อมูล
ในส่วนตาง ๆ
 2) คู่มือระบบงาน (System Documentation) จัดทําสําหรับผู้ดูแลระบบ เช่น
ขั้นตอนการ ติดตั้งโปรแกรม การแก้ปัญหาระบบงานขั้นพื้นฐาน
6. ขั้นการติดตั้ง (Implementation)
 เป็นขั้นตอนนําระบบให้ที่ผ่านการทดสอบ และได้รับการยอมรับจากกลุ่ม
ตัวแทนผู้ใช้ระบบว่า สามารถนํามาทดแทนระบบงานเดิม มีแนวทางใช้ระบบงานให้
ดังนี้
 1) ติดตั้งระบบแบบหยุดระบบงานเดิมทั้งหมด และใช้ระบบงานให้ทันที (Direct
Changeover) วิธีนี้สะดวกกับผู้ใช้คือ ทํางานระบบงานเดียว แต่มีความเสี่ยงสูงหาก
ระบบงานให้มีปัญหาจะไม่สามารถใช้ระบบงานระบบใดได้เลย
 2) ติดตั้งระบบแบบคู่ขนาน (Parallel Running) เป็นการทํางาน 2 ระบบในคราว
เดียวกัน เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับระบบงานให้ ยังคงมีระบบงานเดิมสํารอง
ความผิดพลาด ที่ไม่อาจคาดคิด เกิดขึ้นได้แต่เป็นการเพิ่มภาระงานของผู้ใช้ระบบที่
ต้องทํางานทั้ง 2 ระบบ จนกว่าแน่ใจว่าระบบงานให้ สามารถใช้รองรับการทํางานได้
โดยไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ

 3) ติดตั้งระบบแบบทีละเฟส (Phase Changeover) เป็นการติดตั้งระบบ
ย่อยทีละระบบจาก ระบบงานทั้งหมด เพื่อพิจารณาประสิทธิภาพการทํางาน
หากมีข้อผิดพลาดที่เฟสใดจะ ดําเนินการแก้ไขเฉพาะเฟสนั้นก่อน จากนั้นจึง
ขยายจนครบทั้งระบบ
 4) ติดตั้งระบบแบบโครงการนํารอง (Pilot Project) พิจารณาจัดทํา
เฉพาะงานของหน่วยงาน ในองค์กรที่มีความสําคัญและความจําเป็น พิจารณา
ผลงานที่ได้หากไม่มีปัญหาเรื่องใด จึง ขยายระบบงานตอไป
7. ขั้นการบํารุงรักษา (Maintenance)
 เป็นการดูแลระบบงานหลังติดตั้งระบบ ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้
ตลอดเวลา สาเหตุที่ต้อง บํารุงรักษา มีดังนี้
 1) การบํารุงรักษาด้วยการแก้ไขระบบให้ถูกต้อง (Corrective Maintenance) เป็น
ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นหลังจากมีการใช้ข้อมูลจริงในระบบงาน ซี่งตรวจสอบไม่พบใน
ขั้นการ ทดสอบระบบ
 2) การบํารุงรักษาด้วยการปรับปรุงให้ดีขึ้น (Perfective Maintenance) เป็นการปรับ
ระบบงานกรณีผลกระทบอื่น เช่น การปรับปรุงการคํานวณภาษีที่มีการเปลี่ยนแปลง
ไปตาม นโยบายของรัฐ
 3) การบํารุงรักษาด้วยการป้องกัน (Preventive Maintenance) เช่น ป้องกันการเกิด
ความ สูญหายของข้อมูลที่อาจเกิดจากระบบไฟฟ้า การทําระบบสํารองข้อมูล การ
ป้องกันไวรัส คอมพิวเตอร์ (Virus) การบุกรุกข้อมูล (Hacker)
แนวทางการสร้างโปรแกรมประยุกต์งาน
 แนวทางการสร้างโปรแกรมประยุกต์งาน กรณีโปรแกรมประยุกต์งาน
เป็นงานโปรแกรมเพื่อใช้แก้ปัญหางานคํานวณในสายวิชาชีพเฉพาะ สาขา เช่น
งานวิศวกรรมศาสตร์ งานวิทยาศาสตร์ ดังนั้นหากผู้สร้างงานโปรแกรมเป็นผู้
อยู่ในสาย วิชาชีพนั้นยอมสามารถวิเคราะห์ วางแผนลําดับการทํางาน และ
ลําดับคําสั่งควบคุมการทํางานได้ดี ถูกต้องกว่าให้ผู้อื่นจัดทํา ระบบงาน
โปรแกรมมีลักษณะตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ระบบได้มากที่สุด และ
สามารถปรับระบบงานได้ด้วยต้นเอง มีแนวทางดําเนินงานสร้างโปรแกรม
ประยุกต์งาน ดังนี้
1. ขั้นวิเคราะห์ระบบงานเบื้องต้น
 อาจวิเคราะห์จากผลลัพธ์ หรือลักษณะรูปแบบรายงานของระบบงานนั้น เพื่อ
วิเคราะห์ย้อนกลับ ไปถึงที่มาของข้อมูลคือสมการคํานวณ จนถึงข้อมูลที่ต้องปอนเข้า
ระบบเพื่อใช้ในสมการ แนวทางการ วิเคราะห์ระบบงานเบื้องต้นโดยสรุปมีขั้นตอน
ย่อยดังนี้
 1) สิ่งที่ต้องการ
 2) สมการคํานวณ
 3) ข้อมูล นําเข้า
 4) การแสดงผล
 5) กําหนดคุณสมบัติตัวแปร
 6) ลําดับขั้นตอนการทํางาน

2. ขั้นวางแผนลําดับการทํางาน
 มีหลายวิธี เช่น อัลกอริทึม ซูโดโคด ผังงาน ต่างมีจุดประสงค์เพื่อแสดง
ลําดับขั้นตอน กระบวนการแก้ปัญหางานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ ก่อน
ไปสู่ขั้นตอนการเขียนคําสั่งงานและกรณี โปรแกรมมีข้อผิดพลาด สามารถ
ย้อนกลับมาตรวจสอบที่ขั้นตอนนี้ได้
3. ขั้นดําเนินการเขียนโปรแกรม
 เป็นขั้นตอนการเขียนคําสั่งควบคุมตามลําดับการทํางานที่ได้วิเคราะห์ไว้ใน
กระบวนการวางแผน ลําดับการทํางาน ขั้นตอนนี้ต้องใช้คําสั่งให้ถูกต้องตาม
รูปแบบกฎเกณฑ์ไวยากรณ์การใช้งานคําสั่ง ที่แต่ ละภาษาได้กําหนดไว้
4. ขั้นทดสอบและแก้ไขโปรแกรม
 กรณีผู้สร้างระบบงานและผู้ใช้ระบบงานเป็นคนเดียวกันการทดสอบจึงมี
ขั้นตอนเดียวคือ ทดสอบไวยากรณ์คําสั่งงาน และทดสอบโดยใช้ข้อมูลจริงเพื่อ
ตรวจสอบค่าผลลัพธ์ แต่กรณีที่ผู้สร้าง ระบบงานและผู้ใช้ระบบงานมิใช้คน
เดียวกัน การทดสอบระบบจะมี 2 ช่วงคือ ทดสอบโดยใช้ผู้สร้าง ระบบงาน เมื่อ
ไม่มีข้อผิดพลาดใด จึงส่งให้ผู้ใช้ระบบงานเป็นผู้ทดสอบหากมีข้อผิดพลาดใด
จะถูก ส่งกลับไปให้ผู้สร้างระบบงานแก้ไข และตรวจสอบจนกว่าจะถูกต้อง
แล้วจึงสงมอบระบบงาน
5. ขั้นเขียนเอกสารประกอบ
 เมื่อโปรแกรมผ่านการทดสอบให้ผลลัพธ์การทํางานถูกต้อง ต้องจัดทํา
เอกสารประกอบการใช้ โปรแกรมด้วย คู่มือระบบงานที่งายที่สุดคือ รวมรวม
เอกสารที่จัดทําจาก 1 – 4 มารวมเล่ม นอกนั้น อาจมีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีใช้
โปรแกรมระบบงาน เช่น วิธีปอนข้อมูล หรืออาจมีวิธีติดตั้งโปรแกรม
ระบบงาน รวมทั้งคุณสมบัติเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถนําโปรแกรมไปใช้
งาน เป็นต้น
การลําดับขั้นตอนงานด้วยผังงาน
 การลําดับขั้นตอนงานด้วยผังงาน ผังงานเป็นขั้นตอนวางแผนการทํางาน
ของคอมพิวเตอร์อย่างหนึ่ง มีจุดประสงค์เพื่อแสดงลําดับ การควบคุมการ
ทํางาน โดยใช้สัญลักษณที่กําหนดความหมายใช้งานเป็นมาตรฐาน เชื่อมโยง
การทํางาน ด้วยลูกศร ในที่นี้กล่าวถึงการลําดับขั้นตอนการทํางานด้วยผังงาน
ประเภทผังงานโปรแกรม ดังนี้
 1.สัญลักษณ์ของผังงาน ในที่นี้กล่าวถึงเฉพาะสัญลักษณ์ที่ใช้ในการ
เขียนผังงานโปรแกรมเป็นส่วนใหญ่ ดังนี้
2. หลักในการเขียนผังงาน
ข้อแนะนําในการเขียนผังงานเพื่อให้ผู้อานระบบงาน ใช้ศึกษา ตรวจสอบลําดับการ
ทํางานได้งาย ไม่สับสน มีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
 1. ทิศทางการทํางานต้องเรียงลําดับตามขั้นตอนที่ได้วิเคราะห์ไว้
 2. ใช้ชื่อหนวยความจํา เช่น ตัวแปร ให้ตรงกับขั้นตอนที่ได้วิเคราะห์ไว้
 3. ลูกศรกํากับทิศทางใช้หัวลูกศรตรงปลายทางเทานั้น
 4. เส้นทางการทํางานหามมีจุดตัดการทํางาน
 5. ต้องไม่มีลูกศรลอย ๆ โดยไม่มีการตอจุดการทํางานใด ๆ
 6. ใช้สัญลักษณ์ให้ตรงกับความหมายการใช้งาน
 7. หากมีคําอธิบายเพิ่มเติมให้เขียนไว้ด้านขวาของสัญลักษณ์นั้น
3. ประโยชน์ของผังงาน
 การเขียนผังงานโปรแกรมของคอมพิวเตอร์นั้นมีประโยชน ดังนี้
 1. ทําให้องเห็นรูปแบบของงานได้ทั้งหมด โดยใช้เวลาไม่มาก
 2. การเขียนผังงานเป็นสากล สามารถนําไปเขียนคําสั่งได้ทุกภาษา
 3. สามารถตรวจสอบข้อผิดพลาดของโปรแกรมได้อย่างรวดเร็ว
 4. รูปแบบการเขียนผังงาน การเขียนผังงานแสดงลําดับการทํางานของ
ระบบงานไม่มีรูปแบบการเขียนตายตัว เพราะเป็น เรื่องการออกแบบ
ระบบงานของแต่ละบุคคล ในส่วนนี้เป็นการนําเสนอรูปแบบการเขียนผังงาน
โปรแกรม ดังนี้
 1.) การเขียนผังงานแบบเรียงลําดับ แสดงขั้นตอนการทํางานตามลําดับ
โดยไม่มีทางแยกการ ทํางานแต่อย่างใด เช่น
 2. ) การเขียนผังงานแบบมีทางเลือกการทํางาน แสดงขั้นตอนการ
ทํางานที่มีลักษณะกําหนด เงื่อนไขทางตรรกะ ให้ระบบสรุปว่าจริงหรือเท็จ
เพื่อเลือกทิศทางประมวลผลคําสั่งที่ได้กําหนดไว้เช่น รวบรวมโดย นางพวง
พรรณ สุพิพัฒนโมลี ตําแหน่ง ผู้ชํานาญการ โรงเรียนชัยภูมิภักดีชุมพล
 3. ) การเขียนผังงานตรวจสอบเงื่อนไขก่อนวนซํ้าแสดงขั้นตอนการ
ทํางานที่มีลักษณะกําหนด เงื่อนไขทางตรรกะให้ระบบตรวจสอบก่อน เพื่อ
เลือกทิศทางการวนซํ้าหรือออกจากการวน ซํ้าเช่น
 4. ) การเขียนผังงานแบบตรวจสอบเงื่อนไขหลังวนซํ้าแสดงขั้นตอน
การทํางานที่มีลักษณะ ทํางานก่อน 1 รอบ แล้วจึงกําหนดเงื่อนไขทางตรรกะ
ให้ระบบตรวจสอบ เพื่อเลือกทิศ ทางการวนซํ้าหรือออกจากการวนซํ้า
จัดทําโดย
1.นายณรงค์เดช บุญพุ่มพวง เลขที่ 2
2.นายชุติพนธ์ บัวเพชร เลขที่ 8
3.นายปรินทร สุกุลธนาศร เลขที่ 10
4.นางสาวอรปรียา สงวนศักดิ์ เลขที่ 23
5.นางสาวปัทมา พรหมขนะ เลขที่ 30
6.นางสาวอรฤทัย อินทนิล เลขที่ 32
7.นางสาวมนัชญา วสุอนันต์กุล เลขที่ 38
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1
เสนอ
อาจารย์ ทรงศักดิ์ โพธิ์เอี่ยม
รายวิชาการเขียนโปรแกรมเพื่องานอาชีพ (ง30212)
โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ กาญจนบุรี

การสร้างงานโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์

  • 1.
  • 2.
    ความสําคัญของภาษาคอมพิวเตอร์  ภาษาคอมพิวเตอร์ (ComputerLanguage) เป็นสัญลักษณ์ที่ผู้พัฒนาภาษา กําหนดรหัสคําสั่ง ขึ้นมา ใช้ควบคุมการทํางานอุปกรณ์ในระบบคอมพิวเตอร์ พัฒนาการภาษาคอมพิวเตอร์ เริ่มจากรหัส คําสั่งอยู่ในรูปแบบเลขฐานสอง จากนั้นพัฒนารูปแบบเป็นข้อความภาษาอังกฤษ ในยุคปัจจุบัน ภาษาคอมพิวเตอร์มีอีกมากมายหลายภาษาให้เลือกใช้งาน มีจุดเด่นด้าน ประสิทธิภาพคําสั่งแตกตางกันไป ดังนั้นผู้สร้างงานโปรแกรมต้องศึกษาว่า ภาษาใดมีคําสั่งที่มีประสิทธิภาพควบคุมการทํางานตามต้องการ เพื่อเลือกไป ใช้สร้างโปรแกรมประยุกต์งานตามที่ได้กําหนดจุดประสงค์ไว้
  • 3.
    1. พัฒนาการภาษาคอมพิวเตอร์  ภาษาคอมพิวเตอร์ได้รับการพัฒนาควบคู่กับการประดิษฐ์เครื่อง คอมพิวเตอร์เพื่อใช้เป็นคําสั่ง ควบคุมการทํางาน มีพัฒนาการของการสร้าง รหัสคําสั่งจนมาเป็นรูปแบบในปัจจุบัน ดังนี้  ช่วงที่ 1 คอมพิวเตอร์จัดเป็นเครื่องมือคํานวณทางอิเล็กทรอนิกส์ จึง ทํางานลักษณะวงจรเปิด – ปิด แทนค่าด้วย 0 กับ 1 ผู้สร้างภาษาจึงออกแบบ รหัสคําสั่งเป็นชุดเลขฐานสอง เรียกว่า ภาษาเครื่อง (Machine Language) ผู้ที่จะ เขียนรหัสคําสั่งควบคุมระบบได้จึงจํากัดอยู่เฉพาะกลุ่ม และใช้ใน ห้องปฏิบัติการทดลองดําเนินงาน
  • 4.
     ช่วงที่ 2จากช่วงแรกที่รหัสคําสั่งเป็นชุดเลขฐานสองมีความยุ่งยากในการ จําชุดของรหัสคําสั่ง ควบคุมการทํางาน จึงมีผู้พัฒนารหัสคําสั่งเป็นอักษร ภาษาอังกฤษรวมกับเลขฐานอื่น เช่น เลขฐานสิบหก เพื่อให้เขียนคําสั่งควบคุม งานง่ายขึ้น ตั้งชื่อภาษาว่า แอสแซมบลีหรือภาษาสัญลักษณ์ (Assembly/ Symbolic Language) พร้อมกันนี้ต้องพัฒนาโปรแกรมแปลภาษาขึ้นมาด้วย (TranslatorProgram) คือโปรแกรมแอสแซมเบลอร์ (Assembler)ใช้แปลรหัสคําสั่ง กลับมาเป็นเลขฐานสองเพื่อให้ระบบ สามารถประมวลผลได้  ช่วงที่ 3 เป็นช่วงที่บริษัทหลายแห่งสร้างภาษาคอมพิวเตอร์หลากหลาย ภาษา เน้นให้ใช้งานง่ายขึ้น โดยรหัสคําสั่งเป็นข้อความใกล้เคียงกับ ภาษาอังกฤษที่ใช้ในการสื่อสารกันอยู่แล้ว จัดให้เป็นกลุ่ม ภาษาระดับสูง (High Level Language) เช่น ภาษาเบสิก ภาษาปาสคาล ภาษาซี ในส่วนของ โปรแกรม แปลภาษามี 2 ลักษณะ คือ อินเทอรพรีตเทอร์ และคอมไพเลอร์
  • 5.
     ช่วงที่ 4เน้นเพิ่มประสิทธิภาพภาษาคอมพิวเตอร์ให้นําไปใช้ควบคุมการ ทํางานระบบ คอมพิวเตอร์ที่ใช้งานรวมกับเทคโนโลยีการสื่อสาร ภาษามี รูปแบบการเขียนรหัสคําสั่งเป็นงานโปรแกรม เชิงวัตถุ (Object – Oriented Programming Language : OOP) ติดต่อใช้งานกับผู้ใช้โปรแกรมเชิง กราฟฟิก (Graphic User Interface : GUI) ลดขั้นตอนการจดจําเพื่อพิมพ์รหัสคําสั่งมาเป็นการ คลิก เลือกรายการคําสั่ง และป้อนค่าควบคุม เช่น ภาษาวิชวลเบสิก (Visual BASIC)ภาษาจาว่า (JAVA)
  • 6.
    2. ภาษาระดับสูง  ภาษาคอมพิวเตอร์กลุ่มภาษาระดับสูงได้รับความนิยมใช้งานจนถึง ปัจจุบันเพราะเป็นภาษาที่มี รูปแบบการเขียนรหัสคําสั่งสั้น สื่อความหมายตรง กับการทํางาน ใช้ระยะเวลาสั้นในการเรียนรู้เพื่อเขียน ชุดรหัสคําสั่งควบคุม การทํางาน ใช้หน่วยความจําระบบน้อย จึงเหมาะกับผู้เริ่มฝึกทักษะการสร้าง งาน โปรแกรมประยุกต์งานคํานวณในสาขางานต่าง ๆ เช่น ระบบงานคํานวณ ทางวิศวกรรมโยธา ระบบงาน คํานวณทางวิทยาศาสตร์ ตัวอย่างภาษาระดับสูง ที่ได้รับความนิยมใช้งาน มีดังนี้
  • 7.
     1) ภาษาเบสิก(BASIC: Beginner’s All-purposeSymbolic InstructionCode) เป็น ภาษาในระยะเริ่มแรกที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในห้องปฏิบัติการของ สถาบันการศึกษา เพื่อฝึกทักษะการ เขียนรหัสคําสั่งควบคุมการทํางานของ คอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก คือ ไมโครคอมพิวเตอร์ ข้อดี คือ รูปแบบที่ใช้งานสั้น มี จํานวนคําสั่งไม่มาก กฎเกณฑ์การใช้คําสั่งน้อย ใช้ระยะเวลาศึกษาเรียนรู้สั้น เหมาะสมที่จะใช่ในการเรียนการสอน เพื่อฝึกทักษะการเขียนรหัสควบคุมการ ทํางานระบบ ข้อจํากัด คือ ประสิทธิภาพของคําสั่งงานมีน้อย เป็นภาษาที่ไม่มี รูปแบบโครงสร้าง จึงไม่เหมาะสมในการนําไปใช้สร้างโปรแกรมประยุกต์งาน ในองค์กร
  • 8.
     2) ภาษาโคบอล(COBOL: Common Business OrientedLanguage) เป็นภาษาใน ยุคแรกที่มีลักษณะโปรแกรมเชิงโครงสร้าง ช่วงต้นของภาษาได้รับการ ออกแบบรหัสคําสั่งเพื่อ ควบคุมการทํางานคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ประเภท เมนเฟรม และมินิ ต่อมาจึงปรับรูปแบบคําสั่งให้ใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์ได้ ข้อดี คือ ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการเขียนรหัสคําสั่งควบคุมการทํางาน ไมโครคอมพิวเตอร์ก่อนที่จะไปเขียนรหัสคําสั่งควบคุมคอมพิวเตอร์ขนาด ให้ญืในการทํางานจริง ข้อจํากัด คือ โครงสร้างภาษามีส่วนประกอบของ บรรทัดคําสั่งงานมาก รูปแบบรหัส คําสั่งมีความยาว จดจําคําสั่งได้ยาก ไม่ เหมาะกับผู้เริ่มฝึกทักษะสร้างงานโปรแกรม
  • 9.
     3) ภาษาปาสคาล(PASCAL)เป็นภาษาที่มีรูปแบบเป็นโครงสร้าง ได้รับ การออกแบบ มาเพื่อใช้เขียนรหัสคําสั่งควบคุมการทํางานไมโครคอมพิวเตอร์ ข้อดี คือ แต่ละส่วนของโครงสร้างกําหนดหน้าที่การเขียนรหัสคําสั่งควบคุม งาน ชัดเจน คําสั่งสั้น สื่อความหมายดี จึงจดจําได้งาย ประสิทธิภาพคําสั่งงานมี เลือกใช้งานหลากหลาย รูปแบบ ใช้ระยะเวลาสั้นในการเรียนรู้ เหมาะสมกับ การนําไปใช้ในหลักสูตรการเรียนการสอน ข้อจํากัด คือ ประสิทธิภาพของ คําสั่งไม่สามารถใช้ควบคุมการทํางานในลักษณะ ระบบงานแบบฐานข้อมูล หรือแบบเครือขายได้แต่อาจใช้พื้นฐานความรู้สําหรับภาษาอื่นได้ เช่น ภาษา เดลไฟ (DELPHI)ที่คําสั่งงานคลายภาษาปาสคาล
  • 10.
     4) ภาษาซีเป็นภาษาที่มีรูปแบบเป็นโครงสร้าง เน้นให้คําสั่งมี ประสิทธิภาพการคํานวณที่ รวดเร็ว เข้าถึงอุปกรณ์ในระบบรวมกับภาษาแอส แซมบลีได้ใช้ควบคุมการทํางานไมโครคอมพิวเตอร์  ข้อดี คือ ภาษาได้รับการพัฒนามาอย่างตอเนื่อง การออกแบบรหัสคําสั่งมี มาตรฐาน รวมกัน ถึงแม้จะเป็นภาษาซีตางบริษัทก็ใช้งานส่วนคําสั่งพื้นฐาน รวมกันได้ใช้ระยะเวลาสั้นในการเรียนรู้ จึงเหมาะสมสําหรับนําไปใช้ใน หลักสูตรการเรียนการสอน และนําไปใช้สร้างงานโปรแกรมระบบขนาด ใหญ่ ได้ข้อจํากัด คือ อยู่ในส่วนของรุนภาษาซีมากกว่า เช่น เทอรโบซีจะไม่ สามารถนําไป สร้างระบบงานฐานข้อมูลได้แต่หากต้องการนําไปสร้างงาน โปรแกรมแบบฐานข้อมูล ต้องใช้วิชวล ซีพลัสพลัส (Visual C++) เป็นต้น
  • 11.
    3. ตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์ (TranslatorProgram)  การเขียนรหัสคําสั่งควบคุมการทํางานระบบด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ใด ๆ ก็ตาม ที่มิใช้ภาษาเครื่อง ระบบไม่สามารถประมวลผลได้ทันที เพราะการ ทํางานของระบบเป็นรหัสเลขฐานสอง คือ 0 กับ 1 ดังนั้นผู้สร้าง ภาษาคอมพิวเตอร์ ต้องสร้างโปรแกรมสําหรับแปลรหัสคําสั่งให้เป็นรหัส เลขฐานสองด้วย โปรแกรมแปลรหัสคําสั่งภาษาคอมพิวเตอร์มีการทํางาน 3 ลักษณะ คือ  1.)โปรแกรมแปลภาษาแบบแอสแซมเบลอร (Assembler)ใช้แปลรหัส คําสั่งเฉพาะภาษา แอสแซมบลีให้เป็นเลขฐานสอง
  • 12.
     2.)โปรแกรมแปลภาษาแบบคอมไพเลอร์ (Compiler)ลักษณะการแปลคือ แปล คําสั่งทั้ง โครงสร้างโปรแกรมแล้วจึงแจงข้อผิดพลาดทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข จากนั้น ต้องประมวลผลให้ หากไม่มี ข้อผิดพลาดจะสร้างแฟ้มโปรแกรมให้อัตโนมัติเพื่อเก็บ รหัสเครื่องภายหลังเมื่อเรียกใช้โปรแกรมนี้ เครื่อง จะอ่านรหัสจากโปรแกรมที่สร้าง ไว้นั้น จึงไม่ต้องเริ่มแปลรหัสให้ ข้อดี คือ ทํางานได้รวดเร็ว เพราะไม่ต้องแปลรหัสให้ ทุกครั้ง ข้อจํากัด คือ ต้องเขียนโปรแกรมให้ครบทุกส่วนของโครงสร้าง ภาษาคอมพิวเตอร์ จึง จะสามารถคอมไพลปละประมวลผลเพื่อแสดงผลได้  3.)โปรแกรมแปลภาษาแบบอินเทอรพรีตเทอร์ (Interpreter) ลักษณะการแปล คือ แปลรหัสทีละคําสั่ง เมื่อพบข้อผิดพรากจะหยุดทํางาน แล้วจึงแจงข้อผิดพลาดให้ทราบ เพื่อแก้ไข จากนั้นประมวลผลให้ จนกว่าจะไม่มีข้อผิดพลาด แต่ไม่มีการสร้างแฟ้ม โปรแกรมให้เพื่อเก็บรหัสคําสั่ง คือ สั่งให้ประมวลผลรหัสคําสั่งเพื่อดูผลการทํางานได้ ทันทีที่ต้องการ โดยไม่ ข้อดี ต้องเขียนโปรแกรมถึงบรรทัดสุดทาย ข้อจํากัด คือ หาก โปรแกรมมีบรรทัดคําสั่งจํานวนมากจะประมวลผลชา เพราะต้องเริ่ม แปลรหัสคําสั่ง ให้ที่บรรทัดคําสั่งแรกทุกครั้งที่สั่งให้ประมวลผล
  • 13.
     4.)การเลือกใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ การสร้างโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์มี ข้อแนะนําในการนําไปใช้เป็นแนวทางพิจารณา เลือกภาษาคอมพิวเตอร์ ดังนี้  1. พิจารณาจุดเด่นประสิทธิภาพของคําสั่งงานของแต่ละภาษา เปรียบเทียบกับ ลักษณะงาน เช่น สร้างโปรแกรมระบบงานคํานวณทางวิศวกรรมศาสตร์ อาจ เลือกใช้ภาษาซี ภาษา ปาสคาล  2. พิจารณาลักษณะการประมวลผล เช่น ระบบงานต้องประมวลผลบน เครือข่ายอาจ เลือกใช้ภาษาวิชวลเบสิก ในรุ่นของโปรแกรมที่มีคําสั่งควบคุมการ ทํางานได้  3. พิจารณาคุณสมบัติเครื่องคอมพิวเตอร์และรุนของระบบปฏิบัติการที่ใช้ ควบคุม เพื่อเลือก ภาษาคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้งานรวมกันกับระบบได้  4. ควรเลือกภาษาที่ทีมงานพัฒนาระบบงานโปรแกรมมีความชํานาญอยู่แล้ว เพื่อไม่ต้อง เสียเวลาเริ่มต้นศึกษาเรียนรู้ภาษาให้ หรือหากเป็นภาษาให้ ควรเป็นภาษา ที่มี ลักษณะใกล้เคียงกับความรู้เดิม  5. ควรเป็นภาษาที่มีลักษณะเป็นโครงสร้าง มีความยืดหยุ่นสูง เอื้ออํานวยความ สะดวกใน การปรับปรุงพัฒนาระบบงานในอนาคต
  • 14.
     6. หากระบบงานต้องการความปลอดภัยเรื่องการเข้าถึงข้อมูลต้อง คัดเลือก ภาษาคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพเรื่องนี้ด้วย  7. พิจารณางบประมาณ ใช้จัดหาคอมพิวเตอร์ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องมาใช้ งาน เพื่อป้องกัน ปัญหาทางกฎหมายและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะไม่ก่อปัญหา เมื่อขยายพัฒนาระบบงานเพิ่ม มากขึ้นในอนาคต  8. เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่ได้รับความนิยมใช้งานทั่วไปเพื่อศึกษา รวบรวมข้อมูล และ ป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต และมีความ เชื่อมั่นว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญให้ คําปรึกษาหากเกิดปัญหาขึ้น
  • 15.
    4.การพัฒนาระบบงานทางคอมพิวเตอร์  การพัฒนาระบบงานทางคอมพิวเตอร์ การพัฒนาระบบงาน(System Development) เป็นกระบวนการพัฒนาระบบงานเดิม ให้เป็น ระบบการทํางานแบบให้ มีจุดประสงค์ให้ระบบการทํางานมีประสิทธิภาพมากขึ้น สําหรับการพัฒนา ระบบงาน ทางคอมพิวเตอร์นอกจากจัดหาอุปกรณ์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อนํามาใช้งานแล้ว ยังต้อง จัดหาโปรแกรมประยุกต์งานมาใช้ในการดําเนินงานอีกด้วย ขั้นตอนการสร้าง โปรแกรมประยุกต์งาน อาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ในที่นี้มีแนวทาง ดําเนินงานดังนี้  1) ขั้นกําหนดขอบเขตปัญหา  2) ขั้นวางแผนและการออกแบบ  3) ขั้นดําเนินการเขียน คําสั่งงาน  4) ขั้นทดสอบและแก้ไขโปรแกรม  5) ขั้นจัดทําคู่มือระบบ  6) ขั้นการติดตั้ง  7) ขั้น การบํารุงรักษา
  • 16.
    1. ขั้นกําหนดขอบเขตปัญหา (ProblemDefinition)  เริ่มต้นด้วยการศึกษาวิเคราะห์ระบบงานเดิม เพื่อพัฒนาระบบงานให้ อาจ วิเคราะห์งานจาก ผลลัพธ์ เช่น รูปแบบรายงาน เพื่อวิเคราะห์ส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น สมการที่ใช้คํานวณ การนําเข้า ข้อมูลที่ใช้ประมวลผล กรณีเป็นระบบงานใหญ่ ความซับซ้อนของงาน  ย่อมมากขึ้น อาจเริ่มจากสภาพปัญหา โดย รวบรวมข้อมูลปัญหาและ ความต้องการ ต่าง ๆ จากผู้เกี่ยวข้อง เช่น ผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อสรุป และศึกษา ความเป็นไปได้ ในการพัฒนาระบบงานให้ การกําหนดความต้องการ (Requirements Specification) เป็น ความต้องการ ประสิทธิภาพการทํางานจากระบบงานให้ รวบรวมข้อมูลความต้องการ โดยใช้เครื่องมือทางสถิติ เช่น แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ การสังเกต เพื่อหาข้อสรุป รวมกันที่ชัดเจนระหว่างผู้พัฒนาระบบและผู้ใช้ ระบบ การกําหนดความต้องการนั้นมี แนวทางในการดําเนินงาน ดังนี้
  • 17.
     1) ประสานงานรวบรวมข้อมูลจากผู้ที่เกี่ยวของกับระบบเพื่อประมวลความ ต้องการทั้งหมด  2) จัดทําข้อสรุปความต้องการ บันทึกลงเอกสาร และลงนามทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกัน ข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในขั้นตอนรับมอบระบบงาน  3) การให้คําจํากัดความตาง ๆ ในเอกสาร ต้องมีความชัดเจน ไม่กํากวม การศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) ศึกษาสิ่งที่เกี่ยวของกับระบบงานที่เป็น ปัจจัย เอื้อต่อการทํางาน หรืออุปสรรคในการทํางานมีแนวศึกษา ดังนี้  1) ศึกษาความเป็นไปได้ด้านเทคนิค (Technical Feasibility) เช่น ศึกษาระบบ คอมพิวเตอร์ที่มีอยู่เดิมต้องปรับปรุง (Upgrade) ประสิทธิภาพเครื่องอย่างไรบาง  2) ศึกษาความเป็นไปได้เชิงเศรษฐศาสตร์ (Economical Feasibility) เช่น ต้นทุน ค่าใช้จ่าย ในการดําเนินงานระบบงานให้ หรือด้านงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร รวบรวมโดย นางพวงพรรณ สุพิพัฒนโมลี ตําแหน่ง ครูชํานาญการ โรงเรียนชัยภูมิ ภักดีชุมพล  3) ศึกษาความเป็นไปได้ด้านการปฏิบัติงาน (Operational Feasibility) เช่น ทักษะ เดิมของ ผู้ใช้ระบบงานให้ การยอมรับระบบให้ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการ ทํางาน
  • 18.
    2. ขั้นวางแผนและการออกแบบ (Planning& Design)  ขั้นตอนการวางแผนวิเคราะลําดับการทํางานมีหลายวิธีให้เลือกใช้ เช่น วิธี อัลกอริทึม (Algorithm) วิธีซูโดโคด (Pseudocode Design) วิธีผังงาน (Flowchart) ลําดับ ขั้นตอนการออกแบบ ระบบ เช่น การออกแบบรูปแบบการแสดงผล (Output Design) การออกแบบรูปแบบการนําเข้า ข้อมูล (Input Design) มีแนวทางการออกแบบระบบ ดังนี้  1) จํานวนและประเภทเนื้อหาของข้อมูล (Content) ต้องมีเพียงพอ ครบถ้วน สมบูรณ์ นําเสนอเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวของกันและแยกเป็นระบบงานย่อย  2) รูปแบบ (Form) การนําเสนอข้อมูลต้องอยู่ในรูปแบบที่ผู้ใช้ระบบเข้าใจงาย เช่น การ นําเสนอข้อมูลสรุปด้วยกราฟดีกว่าการนําเสนอข้อมูลสรุปในรูปแบบตาราง  3) รูปแบบแสดงผล (Output Format) คํานึงว่าเป็นการแสดงผลรายงานทางจอภาพ หรือ เครื่องพิมพ์เพราะการกําหนดรูปแบบ และรายละเอียดมีความแตกตางกัน
  • 19.
    3. ขั้นดําเนินการเขียนคําสั่งงาน (Coding) เป็นขั้นตอนเขียนคําสั่งควบคุมงาน ด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ตามกฎเกณฑ์ ไวยากรณ์ที่กําหนดไว้ต้องลําดับคําสั่งตามขั้นตอนที่วิเคราะห์ว่า สําหรับ ขั้นตอนการเขียนคําสั่งงานมีแนวทางดําเนินงาน ดังนี้  1) จัดทีมงานในองค์กรวิเคราะห์และพัฒนาระบบงานเอง มีข้อดี คือ ปรับแก้ไขโปรแกรมได้ตามต้องการ ได้รับความรวมมือจากคนในองค์กรใน ระดับดี เพราะเป็นกลุ่มบุคคลในองค์กร เดียวกัน ข้อเสีย คือ หากไม่มี หน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง เป็นการทํางานเฉพาะกิจ จะ เกิดความเสี่ยงใน ระบบงาน เช่น งานลาชา หรืองานไม่เสร็จสิ้นตามกําหนด
  • 20.
     2) จัดซื้อโปรแกรมสําเร็จรูปข้อดี คือ มีโปรแกรมที่นํามาใช้กับงานได้ ทันที งานขององค์กรไม่ หยุดชะงัก และมีบริการอบรมการใช้โปรแกรม ส่วน ใหญ่โปรแกรมออกแบบมาดี จึงใช้งาน ง่าย ข้อเสีย คือ โปรแกรมสําเร็จรูปมี ข้อจํากัดในตัวเอง ไม่สามารถตอบสนองความ ต้องการผู้ใช้ระบบได้ ครอบคลุมทุกด้าน และผู้ใช้ไม่สามารถแก้ไขข้อจํากัดตาง ๆ ของ โปรแกรมได้ ด้วยต้นเอง  3) จัดจ้างบริษัทพัฒนาระบบ ข้อดี คือ พัฒนาระบบงานได้รวดเร็วเพราะมี ทีมงานที่มีความ ชํานาญงานระบบงานตรงตามความต้องการของผู้ใช้ระบบ ข้อเสีย คือ ค่าจ้างการพัฒนามี ราค่าสูง เพราะต้องวิเคราะห์ระบบงานให้ และ รวมราคาการบํารุงรักษาโปรแกรมใน อนาคตไวแล้ว 
  • 21.
    4. ขั้นทดสอบและแก้ไขโปรแกรม (Testing& Debugging)  การทดสอบการทํางานของโปรแกรมแบงออกเป็น2 ช่วงคือ ช่วงแรกทดสอบโดย พัฒนา ระบบงานเองโดยใช้ข้อมูลสมมติ ทดสอบเพื่อหาข้อผิดพลาดจากการใช้ไวยากรณ์คําสั่ง และวิเคราะห์ เปรียบเทียบผลลัพธ์การทํางานกับจุดประสงค์ของงานหากไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ จึงสงมอบการทําสอบอีกช่วงคือ ทดสอบโดยผู้ใช้ระบบงานจริง ทั้งนี้ข้อผิดพลาดที่เกิดจาก การทดสอบ โดยสรุปมี 2 รูปแบบ คือ  1) ข้อผิดพลาดที่เกิดจากการใช้คําสั่งผิดรูปแบบไวยากรณ์ที่ภาษากําหนดไว้(Syntex Errors)  2) ข้อผิดพลาดที่เกิดจากกระบวนการวิเคราะห์งานผิด (Logic Error) กรณีระบบงานขนาด ใหญ่ การทดสอบระบบงานให้โดยผู้ใช้ระบบอาจต้องฝึกอบรมการใช้โปรแกรมก่อนแล้วจึง หาข้อสรุปข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น มีแนวทางจัดฝึกอบรมการใช้โปรแกรมดังนี้  1) ฝึกอบรมโดยวิทยากร ใช้วิธี บรรยาย สาธิต และจําลองข้อมูลนําเข้า เพื่อทดสอบ ระบบ  2) เรียนรู้ด้วยต้นเอง ผู้ใช้ระบบศึกษาอ่านจากคู่มือระบบงาน หรือใช้ซีดีรอมเรียนรู้ ด้วยต้นเอง
  • 22.
    5. ขั้นจัดทําคู่มือระบบ (Documentation) เมื่อโปรแกรมผ่านการทดสอบ ผู้พัฒนาระบบจะต้องรวบรวมเอกสารเพื่อ จัดทําคู่มือการใช้ ระบบงานให้ คู่มือระบบงานมีความสําคัญมาก เพราะ เปรียบเสมือนกับพิมพ์เขียวของบานคู่มือระบบ จึงถูกใช้เพื่อศึกษารูปแบบ ระบบงานเพื่อพัฒนาระบบในอนาคต คู่มือระบบมีหลายรูปแบบ เช่น  1) คู่มือสําหรับผู้ใช้ระบบ (User Documentation) เป็นส่วนอธิบายขั้นตอน การทํางานของ ระบบเพื่อให้ผู้ใช้ระบบเรียนรู้การทํางาน เช่น วิธีกรอกข้อมูล ในส่วนตาง ๆ  2) คู่มือระบบงาน (System Documentation) จัดทําสําหรับผู้ดูแลระบบ เช่น ขั้นตอนการ ติดตั้งโปรแกรม การแก้ปัญหาระบบงานขั้นพื้นฐาน
  • 23.
    6. ขั้นการติดตั้ง (Implementation) เป็นขั้นตอนนําระบบให้ที่ผ่านการทดสอบ และได้รับการยอมรับจากกลุ่ม ตัวแทนผู้ใช้ระบบว่า สามารถนํามาทดแทนระบบงานเดิม มีแนวทางใช้ระบบงานให้ ดังนี้  1) ติดตั้งระบบแบบหยุดระบบงานเดิมทั้งหมด และใช้ระบบงานให้ทันที (Direct Changeover) วิธีนี้สะดวกกับผู้ใช้คือ ทํางานระบบงานเดียว แต่มีความเสี่ยงสูงหาก ระบบงานให้มีปัญหาจะไม่สามารถใช้ระบบงานระบบใดได้เลย  2) ติดตั้งระบบแบบคู่ขนาน (Parallel Running) เป็นการทํางาน 2 ระบบในคราว เดียวกัน เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับระบบงานให้ ยังคงมีระบบงานเดิมสํารอง ความผิดพลาด ที่ไม่อาจคาดคิด เกิดขึ้นได้แต่เป็นการเพิ่มภาระงานของผู้ใช้ระบบที่ ต้องทํางานทั้ง 2 ระบบ จนกว่าแน่ใจว่าระบบงานให้ สามารถใช้รองรับการทํางานได้ โดยไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ 
  • 24.
     3) ติดตั้งระบบแบบทีละเฟส(Phase Changeover) เป็นการติดตั้งระบบ ย่อยทีละระบบจาก ระบบงานทั้งหมด เพื่อพิจารณาประสิทธิภาพการทํางาน หากมีข้อผิดพลาดที่เฟสใดจะ ดําเนินการแก้ไขเฉพาะเฟสนั้นก่อน จากนั้นจึง ขยายจนครบทั้งระบบ  4) ติดตั้งระบบแบบโครงการนํารอง (Pilot Project) พิจารณาจัดทํา เฉพาะงานของหน่วยงาน ในองค์กรที่มีความสําคัญและความจําเป็น พิจารณา ผลงานที่ได้หากไม่มีปัญหาเรื่องใด จึง ขยายระบบงานตอไป
  • 25.
    7. ขั้นการบํารุงรักษา (Maintenance) เป็นการดูแลระบบงานหลังติดตั้งระบบ ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้ ตลอดเวลา สาเหตุที่ต้อง บํารุงรักษา มีดังนี้  1) การบํารุงรักษาด้วยการแก้ไขระบบให้ถูกต้อง (Corrective Maintenance) เป็น ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นหลังจากมีการใช้ข้อมูลจริงในระบบงาน ซี่งตรวจสอบไม่พบใน ขั้นการ ทดสอบระบบ  2) การบํารุงรักษาด้วยการปรับปรุงให้ดีขึ้น (Perfective Maintenance) เป็นการปรับ ระบบงานกรณีผลกระทบอื่น เช่น การปรับปรุงการคํานวณภาษีที่มีการเปลี่ยนแปลง ไปตาม นโยบายของรัฐ  3) การบํารุงรักษาด้วยการป้องกัน (Preventive Maintenance) เช่น ป้องกันการเกิด ความ สูญหายของข้อมูลที่อาจเกิดจากระบบไฟฟ้า การทําระบบสํารองข้อมูล การ ป้องกันไวรัส คอมพิวเตอร์ (Virus) การบุกรุกข้อมูล (Hacker)
  • 26.
    แนวทางการสร้างโปรแกรมประยุกต์งาน  แนวทางการสร้างโปรแกรมประยุกต์งาน กรณีโปรแกรมประยุกต์งาน เป็นงานโปรแกรมเพื่อใช้แก้ปัญหางานคํานวณในสายวิชาชีพเฉพาะสาขา เช่น งานวิศวกรรมศาสตร์ งานวิทยาศาสตร์ ดังนั้นหากผู้สร้างงานโปรแกรมเป็นผู้ อยู่ในสาย วิชาชีพนั้นยอมสามารถวิเคราะห์ วางแผนลําดับการทํางาน และ ลําดับคําสั่งควบคุมการทํางานได้ดี ถูกต้องกว่าให้ผู้อื่นจัดทํา ระบบงาน โปรแกรมมีลักษณะตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ระบบได้มากที่สุด และ สามารถปรับระบบงานได้ด้วยต้นเอง มีแนวทางดําเนินงานสร้างโปรแกรม ประยุกต์งาน ดังนี้
  • 27.
    1. ขั้นวิเคราะห์ระบบงานเบื้องต้น  อาจวิเคราะห์จากผลลัพธ์หรือลักษณะรูปแบบรายงานของระบบงานนั้น เพื่อ วิเคราะห์ย้อนกลับ ไปถึงที่มาของข้อมูลคือสมการคํานวณ จนถึงข้อมูลที่ต้องปอนเข้า ระบบเพื่อใช้ในสมการ แนวทางการ วิเคราะห์ระบบงานเบื้องต้นโดยสรุปมีขั้นตอน ย่อยดังนี้  1) สิ่งที่ต้องการ  2) สมการคํานวณ  3) ข้อมูล นําเข้า  4) การแสดงผล  5) กําหนดคุณสมบัติตัวแปร  6) ลําดับขั้นตอนการทํางาน 
  • 28.
    2. ขั้นวางแผนลําดับการทํางาน  มีหลายวิธีเช่น อัลกอริทึม ซูโดโคด ผังงาน ต่างมีจุดประสงค์เพื่อแสดง ลําดับขั้นตอน กระบวนการแก้ปัญหางานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ ก่อน ไปสู่ขั้นตอนการเขียนคําสั่งงานและกรณี โปรแกรมมีข้อผิดพลาด สามารถ ย้อนกลับมาตรวจสอบที่ขั้นตอนนี้ได้
  • 29.
    3. ขั้นดําเนินการเขียนโปรแกรม  เป็นขั้นตอนการเขียนคําสั่งควบคุมตามลําดับการทํางานที่ได้วิเคราะห์ไว้ใน กระบวนการวางแผนลําดับการทํางาน ขั้นตอนนี้ต้องใช้คําสั่งให้ถูกต้องตาม รูปแบบกฎเกณฑ์ไวยากรณ์การใช้งานคําสั่ง ที่แต่ ละภาษาได้กําหนดไว้
  • 30.
    4. ขั้นทดสอบและแก้ไขโปรแกรม  กรณีผู้สร้างระบบงานและผู้ใช้ระบบงานเป็นคนเดียวกันการทดสอบจึงมี ขั้นตอนเดียวคือทดสอบไวยากรณ์คําสั่งงาน และทดสอบโดยใช้ข้อมูลจริงเพื่อ ตรวจสอบค่าผลลัพธ์ แต่กรณีที่ผู้สร้าง ระบบงานและผู้ใช้ระบบงานมิใช้คน เดียวกัน การทดสอบระบบจะมี 2 ช่วงคือ ทดสอบโดยใช้ผู้สร้าง ระบบงาน เมื่อ ไม่มีข้อผิดพลาดใด จึงส่งให้ผู้ใช้ระบบงานเป็นผู้ทดสอบหากมีข้อผิดพลาดใด จะถูก ส่งกลับไปให้ผู้สร้างระบบงานแก้ไข และตรวจสอบจนกว่าจะถูกต้อง แล้วจึงสงมอบระบบงาน
  • 31.
    5. ขั้นเขียนเอกสารประกอบ  เมื่อโปรแกรมผ่านการทดสอบให้ผลลัพธ์การทํางานถูกต้องต้องจัดทํา เอกสารประกอบการใช้ โปรแกรมด้วย คู่มือระบบงานที่งายที่สุดคือ รวมรวม เอกสารที่จัดทําจาก 1 – 4 มารวมเล่ม นอกนั้น อาจมีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีใช้ โปรแกรมระบบงาน เช่น วิธีปอนข้อมูล หรืออาจมีวิธีติดตั้งโปรแกรม ระบบงาน รวมทั้งคุณสมบัติเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถนําโปรแกรมไปใช้ งาน เป็นต้น
  • 32.
    การลําดับขั้นตอนงานด้วยผังงาน  การลําดับขั้นตอนงานด้วยผังงาน ผังงานเป็นขั้นตอนวางแผนการทํางาน ของคอมพิวเตอร์อย่างหนึ่งมีจุดประสงค์เพื่อแสดงลําดับ การควบคุมการ ทํางาน โดยใช้สัญลักษณที่กําหนดความหมายใช้งานเป็นมาตรฐาน เชื่อมโยง การทํางาน ด้วยลูกศร ในที่นี้กล่าวถึงการลําดับขั้นตอนการทํางานด้วยผังงาน ประเภทผังงานโปรแกรม ดังนี้  1.สัญลักษณ์ของผังงาน ในที่นี้กล่าวถึงเฉพาะสัญลักษณ์ที่ใช้ในการ เขียนผังงานโปรแกรมเป็นส่วนใหญ่ ดังนี้
  • 34.
    2. หลักในการเขียนผังงาน ข้อแนะนําในการเขียนผังงานเพื่อให้ผู้อานระบบงาน ใช้ศึกษาตรวจสอบลําดับการ ทํางานได้งาย ไม่สับสน มีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้  1. ทิศทางการทํางานต้องเรียงลําดับตามขั้นตอนที่ได้วิเคราะห์ไว้  2. ใช้ชื่อหนวยความจํา เช่น ตัวแปร ให้ตรงกับขั้นตอนที่ได้วิเคราะห์ไว้  3. ลูกศรกํากับทิศทางใช้หัวลูกศรตรงปลายทางเทานั้น  4. เส้นทางการทํางานหามมีจุดตัดการทํางาน  5. ต้องไม่มีลูกศรลอย ๆ โดยไม่มีการตอจุดการทํางานใด ๆ  6. ใช้สัญลักษณ์ให้ตรงกับความหมายการใช้งาน  7. หากมีคําอธิบายเพิ่มเติมให้เขียนไว้ด้านขวาของสัญลักษณ์นั้น
  • 35.
    3. ประโยชน์ของผังงาน  การเขียนผังงานโปรแกรมของคอมพิวเตอร์นั้นมีประโยชนดังนี้  1. ทําให้องเห็นรูปแบบของงานได้ทั้งหมด โดยใช้เวลาไม่มาก  2. การเขียนผังงานเป็นสากล สามารถนําไปเขียนคําสั่งได้ทุกภาษา  3. สามารถตรวจสอบข้อผิดพลาดของโปรแกรมได้อย่างรวดเร็ว  4. รูปแบบการเขียนผังงาน การเขียนผังงานแสดงลําดับการทํางานของ ระบบงานไม่มีรูปแบบการเขียนตายตัว เพราะเป็น เรื่องการออกแบบ ระบบงานของแต่ละบุคคล ในส่วนนี้เป็นการนําเสนอรูปแบบการเขียนผังงาน โปรแกรม ดังนี้
  • 36.
     1.) การเขียนผังงานแบบเรียงลําดับแสดงขั้นตอนการทํางานตามลําดับ โดยไม่มีทางแยกการ ทํางานแต่อย่างใด เช่น  2. ) การเขียนผังงานแบบมีทางเลือกการทํางาน แสดงขั้นตอนการ ทํางานที่มีลักษณะกําหนด เงื่อนไขทางตรรกะ ให้ระบบสรุปว่าจริงหรือเท็จ เพื่อเลือกทิศทางประมวลผลคําสั่งที่ได้กําหนดไว้เช่น รวบรวมโดย นางพวง พรรณ สุพิพัฒนโมลี ตําแหน่ง ผู้ชํานาญการ โรงเรียนชัยภูมิภักดีชุมพล  3. ) การเขียนผังงานตรวจสอบเงื่อนไขก่อนวนซํ้าแสดงขั้นตอนการ ทํางานที่มีลักษณะกําหนด เงื่อนไขทางตรรกะให้ระบบตรวจสอบก่อน เพื่อ เลือกทิศทางการวนซํ้าหรือออกจากการวน ซํ้าเช่น  4. ) การเขียนผังงานแบบตรวจสอบเงื่อนไขหลังวนซํ้าแสดงขั้นตอน การทํางานที่มีลักษณะ ทํางานก่อน 1 รอบ แล้วจึงกําหนดเงื่อนไขทางตรรกะ ให้ระบบตรวจสอบ เพื่อเลือกทิศ ทางการวนซํ้าหรือออกจากการวนซํ้า
  • 37.
    จัดทําโดย 1.นายณรงค์เดช บุญพุ่มพวง เลขที่2 2.นายชุติพนธ์ บัวเพชร เลขที่ 8 3.นายปรินทร สุกุลธนาศร เลขที่ 10 4.นางสาวอรปรียา สงวนศักดิ์ เลขที่ 23 5.นางสาวปัทมา พรหมขนะ เลขที่ 30 6.นางสาวอรฤทัย อินทนิล เลขที่ 32 7.นางสาวมนัชญา วสุอนันต์กุล เลขที่ 38 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 เสนอ อาจารย์ ทรงศักดิ์ โพธิ์เอี่ยม รายวิชาการเขียนโปรแกรมเพื่องานอาชีพ (ง30212) โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ กาญจนบุรี