More Related Content
Similar to หลักการพัฒนาแสวงหาความรู้ของมนุษย์ (17)
More from DuangdenSandee (20)
หลักการพัฒนาแสวงหาความรู้ของมนุษย์
- 3. 1.ยุคโบราณ
มนุษย์ในสมัยโบราณนั้น มีวิธีการหาความรู ้หลายวิธี ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
1.โดยความบังเอิญ (BYCHANCE)ซึ่งเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นจากความไม่ตั้งใจ เช่น การค้นพบไฟ หรือประโยชน์จากการใช้ไฟที่
เกิดขึ้นจากฟ้าผ่า การค้นพบความแตกต่างระหว่างกลุ่ม ซึ่งผลที่ได้รับกลับทาให้มนุษย์ได้ความรู้ในอีกเรื่องหนึ่ง เช่น การค้นพบไฟทาให้ ร่างกายอบอุ่น
ขึ้น ไฟสามารถใช้เป็นพลังงานความร้อนที่ทาให้ของสุก เป็นต้น
2.โดยขนบธรรมเนียมประเพณี (BYTRADITION)ซึ่งเป็นความรู้ที่ได้รับจากการสืบทอดปฏิบัติต่อกันมาจนเป็น
ประเพณี เช่นการแต่งกาย การทาความเคารพ การเขียนสีบนใบหน้า การบันทึกเรื่องราวต่างๆบนผนังเพื่อเล่าเรื่องราว
3.โดยผู้มีอานาจ (BYAUTHORITY)เพราะผู้มีอานาจถือได้ว่าเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับจากคนในสังคม เมื่อมีคนมีปัญหาหรือ
อยากรู้สิ่งต่างๆก็จะไปสอบถาม เมื่อได้รับคาตอบก็จะเชื่อตามนั้น เช่น พระ หมอผี หมอดู เป็นต้น
4.โดยประสบการณ์เฉพาะตน (BY PERSONALEXPERIENCE)ประสบการณ์ต่างๆ ของแต่ละคนช่วยให้บุคคลมีความรู้
และมีวิธีการแก้ปัญหาต่างๆ เป็นแนวทาง เช่น การทาทาในเดือนที่เคยปลูกได้ผลมากที่สุด เป็นต้น
5.โดยการลองผิดลองถูก (BY TRIALANDERROR)เป็นความรู้ที่ได้รับจากการลองทาดู ถ้าวิธีไหนดีก็จะจดจาไว้ ถ้าวิธี
ไหนไม่ดีก็จะทิ้งไป
6.โดยผู้เชี่ยวชาญ (BYEXPERT)เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะกรณี เช่น อยากรู้เรื่องการก่อกองไฟ ก็ไปเรียนรู้
จากผู้ เชี่ยวชาญในการก่อไฟว่าทาได้อย่างไร หรืออยากเรียนรู้เรื่องการทาอาวุธก็ไปเรียนรู้จากพราน เป็นต้น
ซึ่งวิธีการทั้ง6อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นจะเป็นวิธีการที่ไม่มีระเบียบแบบแผน
พัฒนาการการแสวงหาความรู้ของมนุษย์ (ต่อ)
- 4. 2. ยุค อริสโตเติล ARISTOTLE)
อริสโตเติล(ARISTOTLE)ผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาของวิชาตรรกศาสตร์ เป็นผู้ค้นคิดวิธีการเสาะแสวงหาความรู้โดยอาศัยหลักของเหตุผล
ซึ่งเรียกว่าSYLLOGISTICREASONINGหรือวิธีอนุมาน(DEDUCTIVEREASONING)ซึ่งเป็นการคิดหาเหตุผลโดยการนาเอาสิ่งที่เป็นจริงตาม
ธรรมชาติมาอ้างองค์ประกอบหรือขั้นตอนของการหาความรู้โดยวิธีนี้มี3ประการคือ
1.เหตุใหญ่(MAJORPREMISE)เป็นข้อตกลงที่กาหนดขึ้น
2.เหตุย่อย(MINORPREMISE)เป็นเหตุเฉพาะกรณีที่ต้องการทราบความจริง
3.ข้อสรุป (CONCLUSION)เป็นการลงสรุปจากการพิจารณาความสัมพันธ์ของข้อเท็จจริงใหญ่และข้อเท็จจริงย่อยแบบของการหาเหตุผล
(SYLLOGISM)ของอริสโตเติลมี4 แบบดังนี้
3.1การหาเหตุผลเฉพาะกลุ่ม(CATEGORICLESYLLOGISM)เป็นวิธีการหาเหตุผลที่สามารถลงสรุปในตัวเอง
3.2การหาเหตุผลตามสมมติฐาน(HYPOTHETICALSYLLOGISM)เป็นวิธีการหาเหตุผลที่กาหนดสถานการณ์ขึ้น มักจะมีคาว่า“ถ้า
...(อย่างนั้น อย่างนี้)...แล้วอะไรจะเกิดขึ้น...”(IF…THEN…) การหาเหตุผลชนิดนี้ผลสรุปจะเป็นจริงหรือไม่แล้วแต่สภาพการณ์ เพียงแต่เป็นเหตุผลที่
ถูกต้องตามหลักตรรกศาสตร์เท่านั้น
3.3การหาเหตุผลที่มีทางเลือกให้(ALTERNATIVESYLLOGISM)เป็นวิธีการหาเหตุผลที่กาหนดสถานการณ์ที่เป็นทางเลือกไม่อย่างใดก็
พัฒนาการการแสวงหาความรู้ของมนุษย์ (ต่อ)
- 5. 3. ยุคฟรานซิสเบคอน
จากการที่เบคอนได้วิพากษ์วิจารณ์วิธีการหาเหตุผลของอริสโตเติล ว่ามีข้อบกพร่อง ดังกล่าวแล้ว จึงเป็นเหตุให้เบคอนได้เสนอ
วิธีการหาความรู้ความจริงขึ้น ซึ่งเรียกว่า วิธีอุปมาน (INDUCTIVE REASONING) เป็น วิธีที่อาศัยการเก็บรวบรวมข้อมูลก่อนแล้ว
จึงทาการวิเคราะห์ข้อมูล (เหตุย่อย) เพื่อดูความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลเหล่านั้นใน อันที่จะนามาสรุปเป็นเหตุหรือ ผลหรือตั้งเป็น
ทฤษฎี (เหตุใหญ่) ดังนั้นองค์ประกอบหรือขั้นตอนในการอุปมานจึงอาจแบ่งได้ เป็น 3 ขั้นคือ
1. เก็บรวบรวมข้อมูลหรือข้อเท็จจริงที่เป็นรายละเอียดย่อย ๆ ก่อน
2. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อดูความสัมพันธ์ระหว่างข้อเท็จจริงย่อยเหล่านั้น
3. สรุปผล
การแสวงหาความรู ้โดยวิธีอุปมานของฟรานซิส เบคอน มี3 แบบ ขอแยกกล่าวดังนี้
3.1การอุปมานอย่างสมบูรณ์ (PERFECT INDUCTION) เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลทุก ๆ หน่วยในหมู่ประชากร เพื่อดู
รายละเอียดของหน่วยย่อยทั้งหมดแล้วจึงวิเคราะห์ข้อมูล แปลผล และสรุป โดยวิธีการนี้จะทาให้ได้ความรู้ความจริงที่ เชื่อถือ
ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ในทางปฏิบัติอาจทาไม่ได้เพราะเป็นการสิ้นเปลืองเวลา แรงงานและค่าใช้จ่ายสูง อีกทั้งประชากร
บางอย่างเราไม่สามารถตรวจสอบให้ครบถ้วนทุกหน่วยได้ เช่น เชื้อโรค อากาศ น้า เป็นต้น ตัวอย่าง ในการศึกษาความ
ต้องการด้านการจัดกิจกรรมของนิสิตชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จานวน 250 คน โดยใช้แบบสอบถาม ถาม
พัฒนาการการแสวงหาความรู้ของมนุษย์ (ต่อ)
- 6. 3. ยุคฟรานซิสเบคอน(ต่อ)
3.2การอุปมานที่ไม่สมบูรณ์ (IMPERFECT INDUCTION) การอุปมานแบบนี้จะเลือกตรวจสอบวิเคราะห์ข้อมูลกับ
กลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัว แทนของมวลประชากร แล้วจึงสรุป หรืออุปมานว่าประชากรทั้งหมดมีลักษณะเช่นไร วิธีการนี้ขึ้นอยู่
กับการสุ่มกลุ่มตัวอย่างเป็นอย่างมาก แต่ก็สะดวกในการปฏิบัติเพราะประหยัดแรงงาน เวลา และค่าใช้จ่าย ตัวอย่าง ใน
การศึกษาความต้องการด้านการจัดกิจกรรมของนิสิตชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จ านวน 250 คน โดยใช้
แบบสอบถาม ขั้นแรกจะต้องสุ่มนิสิตชั้นปีที่ 1 มาเป็นกลุ่มตัวอย่างก่อน แล้วให้กลุ่มตัวอย่างนี้ตอบ แบบสอบถาม รวบรวม
ข้อมูลเพื่อน ามาวิเคราะห์ และสรุปผลได้ว่า นิสิตชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มีความ ต้องการจัดกิจกรรมในด้าน
ใดบ้าง
3.3แบบอุปมานแบบเบคอเนียน (BACONIAN INDUCTION) เป็นการอุปมานที่ไม่สมบุรณ์วิธีหนึ่ง ซึ่งเบคอนเสนอ
ว่า ในการตรวจสอบข้อมูลนั้น ควรแจงนับหรือศึกษารายละเอียดของข้อมูลเป็น 3 กรณี คือ
1. พิจารณาส่วนที่มีลักษณะเหมือนกัน (POSITIVE INSTANCES)
2. พิจารณาส่วนที่มีลักษณะแตกต่างกัน (NEGATIVE INSTANCES)
3. พิจารณาส่วนที่มีความแปรเปลี่ยนไป (ALTERNATIVE INSTANCES)
ผลจากการศึกษารายละเอียดของข้อมูลเป็น 3 กรณีดังกล่าวนี้จะทาให้สรุปเป็นความรู้ใหม่ได้ วิธีการศึกษาหา ความรู้ความจริง
พัฒนาการการแสวงหาความรู้ของมนุษย์ (ต่อ)
- 7. 4.ยุคปัจจุบัน
ยุคปัจจุบันในคริสต์ศตวรรษที่ 19ชาร์ลส์ ดาร์วิน (CHARLESDARWIN)ได้เสนอวิธีการค้นหาความรู้ความจริง โดยเอาวิธีการของอริสโตเติล
และฟรานซิลเบคอนมารวมกันเรียกวิธีนี้ว่าวิธีการอนุมานและอุปมาน(DEDUCTIVE-INDUCTIVE METHOD)ซึ่งต่อมาได้มีผู้ดัดแปลงแก้ไขให้ชื่อ
ใหม่ว่า REFLECTIVETHINKING เพราะกระบวนการคิดแบบนี้เป็นการคิดกลับไปกลับมาหรือคิดอย่างใคร่ครวญรอบคอบผู้ที่คิดวิธีการนี้คือจอห์นดุย
(JOHN DEWEY)เขาได้เขียนไว้ใน หนังสือ“HOW WETHINK”เมื่อปีค.ศ.1910แบ่งขั้นการคิดไว้ 5 ขั้นคือ
1.ขั้นปรากฏความยุ่งยากเป็นปัญหาขึ้น(A FELTDIFFICULTY) หรือขั้นปัญหานั่นเอง
2.ขั้นจ ากัดขอบเขตและนิยามความยุ่งยาก(LOCATIONAND DEFINITIONOF THEDIFFICULTY) เป็นขั้นที่พยายามท าให้ปัญหากระจ่างขึ้น
ซึ่งอาจได้จากการสังเกตการเก็บรวบรวมข้อเท็จจริง
3.ขั้นเสนอแนะการแก้ปัญหาหรือสมมติฐาน(SUGGESTEDSOLUTIONSOFTHEPROBLEMHYPOTHESES)ขั้นนี้ได้ จากการค้นคว้าข้อเท็จจริง
แล้วใช้ปัญญาของตนเดาคาตอบของปัญหาที่เกิดขึ้นจึงเรียกกันว่าขั้นตั้งสมมติฐาน
4.ขั้นอนุมานเหตุผลของสมมติฐานที่ตั้งขึ้น(DEDUCTIVELYREASONINGOUTTHECONSEQUENCESOFTHE SUGGESTEDSOLUTION)
ขั้นนี้เป็นขั้นรวบรวมข้อมูลนั่นเอง
5.ขั้นทดสอบสมมติฐาน(TESTINGTHE HYPOTHESESBY ACTION) ขั้นนี้เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจะทดสอบดูว่าสมมติฐานที่ตั้งขึ้นมานั้น
เชื่อถือได้หรือไม่ ขั้นตอนการคิดแบบนี้ต่อมาเรียกว่าวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (SCIENTIFIC METHOD)นั่นเอง
- 8. 4.ยุคปัจจุบัน (ต่อ)
วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (SCIENTIFIC METHOD)กล่าวคือเริ่มต้นด้วยปัญหาก่อนแล้วจึงใช้การอนุมานเพื่อจะเดาคาตอบของปัญหาหรือเป็นการ
ตั้งสมมติฐานขึ้นต่อมาก็มีการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อทดสอบสมมติฐานและใช้หลักของการอุปมานสรุปผลออกมาวิธีการทางวิทยาศาสตร์จึงมีวิธีการคิด
เป็น5 ขั้นดังนี้
5.1ขั้นปัญหา(PROBLEM)
5.2ขั้นตั้งสมมติฐาน(HYPOTHESES)
5.3ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล(GATHERING DATA)
5.4ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล(ANALYSIS)
5.5 ขั้นสรุป (CONCLUSION) วิธีการวิจัยนั้นยึดถือและปฏิบัติตามลาดับขั้นของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นหลักผลทีได้จากการวิจัยจึงเป็นความ
จริงหรือความรู้ที่เชื่อถือได้
ที่มา : เอกสารประกอบคาบสอนเรื่อง"ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวิจัย"โดยรองศาสตราจารย์นิภาศรีไพโรจน์
HTTP://WWW.WATPON.COM/ELEARNING/RES12.HTM