More Related Content
Similar to การดูเวลาของคนสมัยก่อน (20)
การดูเวลาของคนสมัยก่อน
- 3. หนึ่งในความสาคัญของมนุษย์คือการวิจัย เพราะเป็นรากเหง้าของความคิดจินตนาการพัฒนา
สิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ที่นาพาวิถีชีวิตก้าวไปสู่ความเจริญทางวิทยาการต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดความมั่นคงทั้งทาง
เศรษฐกิจและทางสังคม
การวิจัยเกิดมาจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทั้งที่เป็นวัตถุธรรมและนามธรรมชวนให้ผู้สนใจใฝ่รู้
ค้นคว้าที่มาที่ไปของสิ่งนั้น
การวิจัยยังนาวิถีมนุษย์ให้รู้จักค้นหาในสิ่งที่ต้องการรู้ด้วยความสงสัยในสิ่งแปลกใหม่ จึงก่อเกิดผลที่
ตามมาดังที่เราเห็นได้ไม่ว่าจะเป็น เครื่องบิน รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ ยารักษาโรค ปุ๋ยเคมีชีวภาพ
และเรื่องอื่น ๆ มีมายมากที่ได้มาจากการวิจัย
การวิจัยนามาซึ่งความเจริญก้าวหน้า ยิ่งมีการวิจัยค้นคว้ามาก ความเจริญก้าวหน้ายิ่งมากขึ้น สาหรับ
การวิจัยทางสังคมศาสตร์อาจก่อให้เกิดแก่บุคคลอย่างน้อย 3 ประการด้วยกัน คือ
ความสาคัญของการวิจัย
- 5. ในการดูเวลาของคนสมัยก่อน เป็นการดูด้วยการใช้สิ่งธรรมชาติ คือ พระจันทร์และพระอาทิตย์
และใช้ดวงดาวบนท้องฟ้ าเป็นเครื่องกาหนด วันเดือนปี สมัยก่อนไม่มีนาฬิกาดู แต่คน
เหล่านั้นก็แหงนหน้าดูฟ้ า และก็บอกว่าช่วงเวลานี้กี่โมง โดยปรากฏว่าคนสมัยก่อนอาศัยการดู
วันและเวลาคือการมองท้องฟ้ า เพราะเหตุนี้คนสมัยก่อนอาจจะอาศัยการสังเกต การจดจา
ตาแหน่งดวงอาทิตย์ นี่ถือว่าเป็นภูมิปัญญา ความฉลาดในการกาหนดนับวันเวลาตามแบบ
ชาวบ้านโบราณโดยแท้ แต่อย่างไงก็ตามการดูเวลาของคนสมัยก่อนอาจจะไม่แม้นยาเหมือน
สมัยปัจจุบัน เพราะเทคโนโลยี ที่ทาให้โลกเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและกาลเวลา
สมมุติฐานของการวิจัย
- 6. การกาหนดวันเวลานั้น ไม่ใช่ว่าจะเพิ่งมีในสมัยนี้ แม้แต่สมัยก่อนๆ หรือสมัยโบราณ ก็มีการกาหนดนับวัน
เวลา แต่ในยุคต้นๆ นั้น คนโบราณใช้สิ่งที่สังเกตได้ง่าย รู้เห็นกันทุกคน ดูกันทุกวันคืน นั่นก็คือใช้ดวง
อาทิตย์และดวงจันทร์เป็นเครื่องกาหนดนับวันเวลา.
ก็ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น เนื่องจากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์เป็นสิ่งที่สังเกตได้ง่าย รู้ดูเห็นกันทุกวัน คน
โบราณจึงเฝ้าสังเกตการปรากฏขึ้น และการลับไปของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวต่างๆ เป็นเครื่อง
กาหนดนับวันเวลา ในช่วงแรก ๆ อาจจะกาหนดนับแบบกว้างๆ ก่อน เช่น กาหนดหนึ่งวัน มีสามช่วง
ช่วงเวลาแรกก่อนพระอาทิตย์จะตรงศีรษะ ช่วงที่สองขณะพระอาทิตย์อยู่ตรงศีรษะ ช่วงที่สามพระอาทิตย์อยู่
เลยศีรษะไป
- 7. "คนยุคโบราณใช้ดวงดาวบนท้องฟ้ าเป็นเครื่องกาหนดนับวันเดือนปี" อาจารย์สิทธิชัย จันทรศิลปิน หัวหน้า
ฝ่ายท้องฟ้ าจาลองกรุงเทพฯ เริ่มต้นย้อนอดีตการกาเนิดปฏิทินโลก และเล่าต่อว่า เดิมทีมนุษย์ดารงชีวิตตาม
สัญชาตญาณ แต่เมื่อเกิดภัยธรรมชาติที่รบกวนวิถีชีวิตปกติ ทาให้มนุษย์เริ่มสังเกตสิ่งรอบตัว รวมทั้งท้องฟ้ า
และดวงดาว กระทั่งพบว่าบางครั้งภัยธรรมชาติมาพร้อมกับดาวบางดวงบนฟ้ า จึงเริ่มสนใจสิ่งที่อยู่บนฟ้ า และ
นามาเทียบเคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา ซึ่งมีทั้งที่ตรงและไม่ตรง แต่สิ่งที่ตรงตามการคาดคะเนก็
ถูกจดจาต่อเนื่องเรื่อยมา จนกระทั่งรู้การครบรอบของสิ่งที่อยู่บนฟ้ า เช่น การครบรอบของดวงจันทร์ข้างขึ้น
ข้างแรม
- 8. ต่อมาในยุคเมโสโปเตเมีย เมื่อประมาณ 5,000 ปีที่แล้ว คนในสมัยนั้นเริ่มใช้ดวงจันทร์เป็นเครื่องกาหนดนับ
ช่วงระยะเวลาที่ปัจจุบันเราเรียกว่า "เดือน" ซึ่งง่ายกว่าการสังเกตดวงอาทิตย์ ที่สามารถนับได้เหมือนกัน แต่
บอกช่วงเวลายาวนานเป็นรอบปี โดยมีชาวบาบิโลเนียเป็นชนชาติแรกที่กาหนดนับวันโดยวัดระยะเชิงมุมของ
ดวงอาทิตย์ ซึ่งในแต่ละวันดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่ไปประมาณ 1 องศา และครบรอบ 360 องศา ในระเวลา 1
ปี
เมื่อ 4,000 ปีก่อน ชาวอียิปต์โบราณใช้ปฏิทินจันทรคติสังเกตดาว "ซิริอุส" (Sirius) ที่สว่างสุดบน
ฟ้ าในเวลากลางคืนเป็นเครื่องบอกเวลา เช่น หากเมื่อใดเห็นดาวซิริอุสอยู่บนท้องฟ้ าด้านทิศตะวันออกก่อน
พระอาทิตย์ขึ้น แสดงว่าแม่น้าไนล์จะเริ่มเอ่อล้น และเป็นเวลาเริ่มต้นฤดูกาลเพาะปลูก แต่หากช่วงไหนไม่เป็น
ดาวซิริอุสบนฟ้ าในยามค่าคืน แสดงว่าช่วงนั้นคือฤดูร้อน
- 9. กระทั่งพบว่า ทุกๆ 4 ปี ดาวซิริอุสจะปรากฏในตาแหน่งเดิมช้าไป 1 วัน ทาให้รู้ว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์
ครบ 1 รอบ เป็นเวลา 365 วัน และอีก 1/4 วัน และนามาปรับใช้กันปฏิทินจันทรคต
ส่วนปฏิทินของชาวมายาได้ชื่อว่าเป็นปฏิทินที่มีความละเอียดสูงมากกว่าอารยธรรมอื่นๆ เพราะใช้ทั้ง
ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวฤกษ์ และดาวศุกร์ เป็นเครื่องกาหนดเวลา และปฏิทินของชาวมายายังมีหลาย
รูปแบบ ใช้ประโยชน์แตกต่างกันไป เช่น ปฏิทินสาหรับการประกอบพิธีกรรม, ปฏิทินการปกครอง และ
ปฏิทินทางศาสนา แต่หลักๆ ใช้ปฏิทินที่มีลักษณะเป็นวงกลมหลายๆ วงซ้อนกัน มีหลายละเอียดสูง และมี
การแบ่งช่วงเวลาเป็นยุคสมัยต่างๆ รวมแล้วเป็นระยะเวลา 5126 ปี
อาจารย์สิทธิชัย บอกว่าปฏิทินที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มีที่มาจากปฏิทินของชาวโรมันเมื่อประมาณ 800 ปี
ก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเป็นปฏิทินแบบสุริยคติ โดยชาวโรมันประยุกต์มาจากปฏิทินของอารยธรรมอื่นอีกที
หนึ่ง กษัตริย์โรมันในยุคแรกกาหนดให้ปฏิทินมี 10 เดือน สันนิษฐานว่าอิงตามเลขฐาน 10 โดยให้เดือน
มี.ค. (March) เป็น เดือน 1 ทั้งนี้ เพราะชาวโรมันให้ความเคารพ "มาร์ส" (Mars) เทพเจ้าแห่ง
สงครามมากเป็นพิเศษ และในแต่ละเดือนจะมี 30 หรือ 31 วัน สลับกันไป ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับปฏิทิน
จันทรคติ เรื่อยไปจนถึงเดือนสุดท้ายคือเดือน ธ.ค. (December) รวมแล้วมีทั้งหมด 364วัน