More Related Content
Similar to งานนำเสนอวิจัย(แฟ้มงาน) (20)
งานนำเสนอวิจัย(แฟ้มงาน)
- 2. วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้ทราบถึงปัญหาการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2. เพื่อทราบพฤติกรรมความไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
- 3. ขอบเขตของการวิจัย 1.ขอบเขตด้านเนื้อหา การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาปัญหาและพฤติกรรมการไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1-4 สาขาวิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2553 จำนวน 367 คน 2.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่มแบบระดับชั้นจากประชากรที่เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1- 4 สาขาวิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2553 ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 240 คน
- 4. 3. ตัวแปร ตัวแปรที่ศึกษามีดังนี้ 3.1 ตัวแปรอิสระ คือ ข้อมูลทั่วไปของนักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2553ได้แก่ 3.1.1 เพศ 3.1.2 อายุ 3.1.3 การศึกษา 3.1.4 ระดับชั้นปีการศึกษา 3.2 ตัวแปรตาม คือ ปัญหาและพฤติกรรมการไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษา สาขาวิชาพลศึกษา ชั้นปีที่ 1- 4 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2553 4. ระยะเวลาการดำเนินงาน ในการศึกษาในครั้งนี้ ใช้เวลาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553
- 5. ประโยชน์ของการวิจัย 1. ได้ทราบถึงปัญหาและพฤติกรรมการเข้าชั้นเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษา สาขาวิชาพลศึกษา ชั้นปีที่ 1- 4 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2. เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาที่เกิดจากการเรียนวิชาพลศึกษาของนักศึกษาชั้นปีที่ 1- 4 สาขาวิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 3.นักศึกษามีคุณธรรมจริยธรรมในเรื่องการตรงต่อเวลามากขึ้นและนำไปปรับใช้กับรายวิชาอื่นได้ 4. ผลการวิจัยจะเป็นข้อมูลพื้นฐานให้มหาวิทยาลัยอื่น ๆ นำไปพัฒนา ปรับปรุง และส่งเสริมการเรียนวิชาพลศึกษา ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- 6. นิยามศัพท์เฉพาะ 1.ปัญหา หมายถึง สิ่งที่เป็นอุปสรรคหรือสิ่งที่กีดขวางความสะดวกและประสิทธิภาพของการไม่ตรงต่อเวลา 2 .พฤติกรรม หมายถึง กิริยาของสิ่งมีชีวิตที่แสดงออกมาเพื่อตอบสนอง ต่อสิ่งเร้า อันเป็นไปอย่างเหมาะสมเพื่อการอยู่รอดของชีวิตให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป 3. สาขาวิชาพลศึกษา หมายถึง นักศึกษาที่กำลังเรียนชั้นปีที่ 1- 4 สาขาวิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553
- 7. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตและกลุ่มตัวอย่าง ดังนี้ 1. ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1-4 สาขาวิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2553 จำนวน 367 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่มแบบระดับชั้นจากประชากรที่เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 - 4 สาขาวิชา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2553 ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 240 คน
- 9. ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับปัญหาและพฤติกรรมการไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษา ชั้นปีที่ 1-4 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ลักษณะของแบบสอบถามเป็นข้อคำถามที่มีรูปแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5ระดับ ซึ่งมีความหมาย ดังนี้ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุดตามลำดับ (ประสิทธิ์ สุวรรณรักษ์. 2542 : 196) กำหนดน้ำหนักคะแนนดังนี้ 5 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด 4 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก 3 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง 2 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับน้อย 1 หมายถึง มีความคิดเห็นศึกษาอยู่ในระดับน้อยที่สุด
- 10. 2. ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือ ผู้วิจัยดำเนินการสร้างแบบสอบถามโดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1. ศึกษาค้นคว้าเอกสาร ตำรา บทความ วารสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหาและพฤติกรรมการไม่ตรงต่อเวลา และวิชาพลศึกษา แล้วนำมาเป็นแนวคิดในการสร้างเครื่องมือ 2. ศึกษาวิธีสร้างแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า เพื่อนำมาเป็นแนวทางการสร้างแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ 3. ดำเนินการร่างแบบสอบถามและนำร่างแบบสอบถามเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) ความเที่ยงตรงทางด้านโครงสร้าง (Construct Validity) ความครอบคลุมของข้อคำถาม และความชัดเจนของภาษาที่ใช้ 4. นำแบบสอบถามที่ผ่านการทดลองใช้แล้วไปเก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม
- 11. การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการแจกและจัดเก็บรวบรวมแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง ด้วยตนเอง จำนวนแบบสอบถามทั้งหมด 240 ฉบับ และได้รับคืนเป็นแบบสอบถามที่สมบูรณ์เพียงพอที่จะทำวิจัยได้โดยได้รับแบบสอบถามคืนทั้งหมด 240 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 100.00 การทำวิจัยครั้งนี้ ได้ดำเนินการส่งแบบสอบถามเพื่อศึกษา และทำการเก็บรวบรวมข้อมูลตามขั้นตอน ดังนี้ 1. ขอความร่วมมือจากนักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษา ชั้นปีที่ 1 – 4 2. นำแบบสอบถามให้กลุ่มตัวอย่างด้วยตนเอง แล้วเก็บรวบรวมแบบสอบถามคืนทั้งหมด 3. นำแบบสอบถามที่ได้รับคืนมาตรวจสอบความสมบูรณ์ ถูกต้อง แล้วนำแบบสอบถามไปดำเนินการวิเคราะห์ต่อไป
- 12. การวิเคราะห์ข้อมูล เมื่อดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลเรียบร้อย การจัดทำข้อมูลผู้วิจัยได้ดำเนินการ ดังนี้ ตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถามแต่ละฉบับ กรอกรหัสแบบสอบถาม ประมวลผลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ การวิเคราะห์ข้อมูล ดำเนินการดังนี้ 1. การศึกษาข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม วิเคราะห์ด้วยการแจกแจงความถี่(Frequency) หาค่าร้อยละ (Percentage) เสนอข้อมูลเป็นตารางแสดงจำนวนและค่าร้อยละ 2. การศึกษาเกี่ยวกับปัญหาและพฤติกรรมการไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษา สาขาวิชา พลศึกษา ชั้นปีที่ 1-5 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ วิเคราะห์ด้วยการหาค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) เสนอข้อมูลเป็นตารางประกอบความเรียง
- 13. 3.เกณฑ์การตัดสินผลการวิเคราะห์ข้อมูลของค่าเฉลี่ย ( x ) และความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) แบ่งออกเป็น 5 ระดับคือ (บุญชม ศรีสะอาด. 2543 : 163) 4.51 - 5.00 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด 3.51 - 4.50 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก 2.51 - 3.50 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง 1.51 - 2.50 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับน้อย 1.00 - 1.50 หมายถึง มีมีความคิดเห็นอยู่ในระดับน้อยที่สุด
- 14. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ = ในการศึกษาวิจัยเรื่องปัญหาและพฤติกรรมการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษา ชั้นปีที่ 1-4 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ สถิติที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย 1.สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิจัย = เมื่อ แทน คะแนนเฉลี่ย แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนน แทน จำนวนคน
- 15. 1.2 ร้อยละ (Percentasge) ใช้สูตร (บุญชม ศรีสะอาด. 2545 : 106) ผลรวมของคะแนน X 100 คะแนนเต็ม X จำนวนนักเรียน 1.3 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) (บุญชม ศรีสะอาด. 2545 : 106) S.D. = เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนนในแต่ละคน แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนนในแต่ละคนยกกำลังสอง แทน จำนวนคนทั้งหมด คะแนนร้อยละ =
- 16. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาปัญหาและพฤติกรรม การเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามหัวข้อดังนี้ 1. ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม 2. ผลการวิเคราะห์เกี่ยวกับปัญหาการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 3. ผลการวิเคราะห์เกี่ยวกับสาเหตุการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 4. ข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นเพิ่มเติม ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ปรากฏผลตามตารางที่ 4.1 ถึงตารางที่ 4.4 และแผนภูมิที่ 4.1 ถึงแผนภูมิที่ 4.4 ดังนี้
- 18. แผนภูมิที่ 4.1 แสดงค่าความถี่และร้อยละของข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม จำแนกตามเพศ จากตารางที่ 4.1 และแผนภูมิที่ 4.1 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย จำนวน 193 คน คิดเป็นร้อยละ 80.40 รองลงมาเป็นเพศหญิง จำนวน 47 คน คิดเป็นร้อยละ 19.60
- 20. แผนภูมิที่ 4.2 แสดงค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จำแนกตามช่วงอายุ จากตารางที่ 4.2 และแผนภูมิที่ 4.2 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 18 – 20 ปี จำนวน 165 คน คิดเป็นร้อยละ 68.80 รองลงมาอยู่ในช่วงอายุ 21 – 34 ปี จำนวน 73 คน คิดเป็นร้อยละ 30.40 ส่วนอายุผู้ตอบแบบสอบถามที่มีจำนวนน้อยที่สุดคือ อายุ 25 ปีขึ้นไป จำนวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 0.80
- 22. แผนภูมิที่ 4.3 แสดงค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จำแนกตามระดับการศึกษา จากตารางที่ 4.3 และแผนภูมิที่ 4.3 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา ชั้นปีที่ 1 จำนวน 100 คน คิดเป็นร้อยละ 41.70 รองลงมาเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 จำนวน 70 คน คิดเป็นร้อยละ 29.20 และลำดับถัดมาเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 จำนวน 44 คน คิดเป็นร้อยละ 18.30 ส่วนชั้นปีที่มีจำนวนนักศึกษาตอบแบบสอบถามน้อยที่สุด คือ ชั้นปีที่ 4 จำนวน 26 คน คิดเป็น ร้อยละ 10.80
- 23. ตารางที่ 4.4 แสดงค่าความถี่และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามจำแนกตามพฤติกรรมการเข้าเรียน
- 24. แผนภูมิที่ 4.4 แสดงค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามจำแนกตามพฤติกรรมการเข้าเรียน จากตารางที่ 4.4 และแผนภูมิที่ 4.4 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการเข้าเรียนสาย 1 – 2 ครั้งต่อภาคเรียน จำนวน 132 คน คิดเป็นร้อยละ 55.00 รองลงมามีพฤติกรรมไม่เคยเข้าเรียนสายเลย จำนวน 48 คน คิดเป็นร้อยละ 20.00 ลำดับถัดมานักศึกษามีพฤติกรรมการเข้าเรียนสาย 3 – 4 ครั้งต่อภาคเรียน จำนวน 44 คนคิดเป็นร้อยละ 18.30 ส่วนพฤติกรรมนักศึกษาที่เคยเข้าเรียนสายมากกว่า 5 ครั้ง ต่อภาคเรียนมีจำนวนน้อยที่สุด จำนวน 16 คน คิดเป็นร้อยละ 6.70
- 25. ตารางที่ 4.5 แสดงค่าความถี่และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีพฤติกรรมไม่เคยเข้าเรียนสายเลย
- 26. แผนภูมิที่ 4.5 แสดงค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีพฤติกรรมไม่เคยเข้าเรียนสายเลย จากตารางที่ 4.5 และแผนภูมิที่ 4.5 พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ไม่เคยเข้าเรียนสายเลยเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 จำนวน 40 คน คิดเป็นร้อยละ 83.3 รองลงมานักศึกษาชั้นปีที่ 2 และนักศึกษาชั้นปีที่ 3 จำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 6.25 และลำดับสุดท้ายคือนักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 4.2
- 27. ตารางที่ 4.6 แสดงค่าความถี่และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีพฤติกรรมเคยเข้าเรียนสาย 1 – 2 ครั้งต่อภาคเรียน
- 28. แผนภูมิที่ 4.6 แสดงค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีพฤติกรรมเคยเข้าเรียนสาย 1 – 2 ครั้งต่อ ภาคเรียน จากตารางที่ 4.6 และแผนภูมิที่ 4.6 พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามที่มีพฤติกรรมเคยเข้าเรียนสาย 1 – 2 ครั้งต่อภาคเรียน ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 จำนวน 48 คน คิดเป็นร้อยละ 36.4 รองลงมานักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวน 46 คน คิดเป็นร้อยละ 34.8 ลำดับถัดมานักศึกษาชั้นปีที่ 2 จำนวน 33 คน คิดเป็นร้อยละ 25 และลำดับสุดท้ายคือนักศึกษาชั้นปีที่ 1 จำนวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 3.8
- 29. ตารางที่ 4.7 แสดงค่าความถี่และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีพฤติกรรมเคยเข้าเรียนสาย 3 – 4 ต่อภาคเรียน
- 30. แผนภูมิที่ 4.7 แสดงค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีพฤติกรรมเคยเข้าเรียนสาย 3 – 4 ครั้งต่อภาคเรียน จากตารางที่ 4.7 และแผนภูมิที่ 4.7 พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เคยเข้าเรียนสาย 3 – 4 ครั้งต่อภาคเรียน เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 และนักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวน 14 คน คิดเป็น ร้อยละ 31.8 รองลงมานักศึกษาชั้นปีที่ 2 จำนวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 27.3 และลำดับสุดท้ายคือนักศึกษาชั้นปีที่ 1 จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 9.1
- 31. ตารางที่ 4.8 แสดงค่าความถี่และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีพฤติกรรมเคยเข้าเรียนสายมากกว่า 5 ครั้ง ต่อภาคเรียน
- 32. แผนภูมิที่ 4.8 แสดงค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีพฤติกรรมเคยเข้าเรียนสายมากกว่า 5 ครั้ง ต่อภาคเรียน จากตารางที่ 4.8 และแผนภูมิที่ 4.8 พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เคยเข้าเรียนสายมากกว่า 5 ครั้ง ต่อภาคเรียน เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 37.5 รองลงมานักศึกษาชั้นปีที่ 2 และนักศึกษาชั้นปีที่ 3 จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 25 และลำดับสุดท้ายคือนักศึกษาชั้นปีที่ 1 จำนวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 12.5
- 33. ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์เกี่ยวกับปัญหาการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปรากฏผลตามตารางที่ 4.5 ดังนี้ ตารางที่ 4.9แสดงค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เกี่ยวกับปัญหาการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
- 34. จากตารางที่ 4.9 พบว่า ปัญหาการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ โดยภาพรวมอยู่มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.53 (S.D = 0.69) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ข้อที่นักศึกษามีปัญหาการเข้าเรียนไม่ตรงเวลามากที่สุด คือ เนื้อหาในรายวิชาที่เรียนมีความยุ่งยากไม่น่าสนใจ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.09 (S.D = 0.69) รองลงมา คือ เรียนไม่ทันเพื่อน และไม่เข้าใจในเนื้อหาวิชา มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.81 (S.D = 1.02) ส่วนข้อที่มีปัญหาน้อยที่สุด คือ มีพฤติกรรมการมาเรียนสายเป็นนิสัย มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.18 (S.D = 1.02) ตอนที่ 3 ผลการวิเคราะห์เกี่ยวกับสาเหตุของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปรากฏผลตามตารางที่ 4.6 ดังนี้
- 35. ตารางที่ 4.10 แสดงความถี่ เกี่ยวกับสาเหตุของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
- 36. จากตารางที่ 4.10 พบว่า สาเหตุของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ เรียงตามลำดับได้ดังนี้ นอนตื่นสาย มีจำนวนความถี่เท่ากับ 128 รองลงมา คือ ยานพาหนะเกิดการขัดข้องขณะเดินทางมาเรียน มีจำนวนความถี่เท่ากับ 104 ลำดับถัดมา คือ ทำงานที่อาจารย์สั่งไม่เสร็จ มีจำนวนความถี่เท่ากับ 78 ส่วนข้อที่มีจำนวนความถี่น้อยที่สุด คือ มีนัดโดยลืมดูเวลาเรียน มีจำนวนความถี่เท่ากับ 16
- 37. ตารางที่ 4.11 แสดงค่าความถี่และค่าร้อยละของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุนอนตื่นสาย
- 38. แผนภูมิที่ 4.11 แสดงค่าร้อยละของของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุนอนตื่นสาย จากตารางที่ 4.11 และแผนภูมิที่ 4.11 พบว่าสาเหตุของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุการนอนตื่นสาย เรียงตามลำดับได้ดังนี้ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 จำนวนความถี่เท่ากับ 45 คิดเป็นร้อยละ 35.2 รองลงมา คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวนความถี่เท่ากับ 42 ลำดับถัดมา คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 จำนวนความถี่เท่ากับ 32 คน คิดเป็นร้อยละ 25 และลำดับสุดท้าย คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 จำนวนความถี่เท่ากับ 7 คิดเป็นร้อยละ 7
- 39. ตารางที่ 4.12 แสดงค่าความถี่และค่าร้อยละของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุยานพาหนะเกิดการขัดข้องขณะเดินทางมาเรียน
- 40. แผนภูมิที่ 4.12 แสดงค่าร้อยละของของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุยานพาหนะเกิดการขัดข้องขณะเดินทางมาเรียน จากตารางที่ 4.12 และแผนภูมิที่ 4.12 พบว่าสาเหตุของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุยานพาหนะเกิดการขัดข้องขณะเดินทางมาเรียน เรียงตามลำดับได้ดังนี้ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวนความถี่เท่ากับ 42 คิดเป็นร้อย 40.38 รองลงมา คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 จำนวนความถี่เท่ากับ 40 คิดเป็นร้อยละ 38.46 ลำดับถัดมา คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 จำนวนความถี่เท่ากับ 20 คิดเป็นร้อยละ 19.23 และลำดับสุดท้าย คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 จำนวนความถี่เท่ากับ 2 คิดเป็นร้อยละ 1.93
- 41. ตารางที่ 4.13 แสดงค่าความถี่และค่าร้อยละของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุทำงานที่อาจารย์สั่งไม่เสร็จ
- 42. แผนภูมิที่ 4.13 แสดงค่าร้อยละของของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุทำงานที่อาจารย์สั่งไม่เสร็จ จากตารางที่ 4.13 และแผนภูมิที่ 4.13 พบว่าสาเหตุของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุทำงานที่อาจารย์สั่งไม่เสร็จ เรียงตามลำดับได้ดังนี้ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวนความถี่เท่ากับ 33 คิดเป็นร้อยละ 42.30 รองลงมา คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 จำนวนความถี่เท่ากับ 29 คิดเป็นร้อยละ 37.16 ลำดับถัดมา คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 จำนวนความถี่เท่ากับ 14 คิดเป็นร้อยละ 17.94 และลำดับสุดท้าย คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 จำนวนความถี่เท่ากับ 2 คิดเป็นร้อยละ 2.6
- 43. ตารางที่ 4.14 แสดงค่าความถี่และค่าร้อยละของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุจำเวลาเรียนในรายวิชาไม่ได้
- 44. แผนภูมิที่ 4.14 แสดงค่าร้อยละของของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุจำเวลาเรียนในรายวิชาไม่ได้ จากตารางที่ 4.14 และแผนภูมิที่ 4.14 พบว่าสาเหตุของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุจำเวลาเรียนในรายวิชาไม่ได้ เรียงตามลำดับได้ดังนี้ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวนความถี่เท่ากับ 20 คิดเป็นร้อยละ 40 รองลงมา คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 จำนวนความถี่เท่ากับ 15 คิดเป็นร้อยละ 30 ลำดับถัดมา คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 จำนวนความถี่เท่ากับ 14 คิดเป็นร้อยละ 28 และลำดับสุดท้าย คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 จำนวนความถี่เท่ากับ 1 คิดเป็นร้อยละ 2
- 45. ตารางที่ 4.15 แสดงค่าความถี่และค่าร้อยละของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุไม่ได้เผื่อเวลารับประทานอาหาร
- 46. แผนภูมิที่ 4.15 แสดงค่าร้อยละของของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุไม่ได้เผื่อเวลารับประทานอาหาร จากตารางที่ 4.15 และแผนภูมิที่ 4.15 พบว่าสาเหตุของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุไม่ได้เผื่อเวลารับประทานอาหาร เรียงตามลำดับได้ดังนี้ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวนความถี่เท่ากับ 20 คิดเป็นร้อยละ 40 รองลงมา คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 จำนวนความถี่เท่ากับ 15 คิดเป็นร้อยละ 30 ลำดับถัดมา คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 จำนวนความถี่เท่ากับ 14 คิดเป็นร้อยละ 28 และลำดับสุดท้าย คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 จำนวนความถี่เท่ากับ 1 คิดเป็นร้อยละ 2
- 47. ตารางที่ 4.16 แสดงค่าความถี่และค่าร้อยละของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุจำตารางเรียนผิด
- 48. แผนภูมิที่ 4.16 แสดงค่าร้อยละของของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุจำตารางเรียนผิด จากตารางที่ 4.16 และแผนภูมิที่ 4.16 พบว่าสาเหตุของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุจำตารางเรียนผิด เรียงตามลำดับได้ดังนี้ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวนความถี่เท่ากับ 18 คิดเป็นร้อยละ 40 รองลงมา คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 จำนวนความถี่เท่ากับ 15 คิดเป็นร้อยละ 33.33 ลำดับถัดมา คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 จำนวนความถี่เท่ากับ 10 คิดเป็นร้อยละ 22.23 และลำดับสุดท้าย คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 จำนวนความถี่เท่ากับ 2 คิดเป็นร้อยละ 4.44
- 49. ตารางที่ 4.17 แสดงค่าความถี่และค่าร้อยละของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุต้องไปรับเพื่อน (แฟน) มาเรียนด้วยแต่เพื่อนยังแต่งกายไม่เสร็จ
- 50. แผนภูมิที่ 4.17 แสดงค่าร้อยละของของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุต้องไปรับเพื่อน (แฟน) มาเรียนด้วย แต่เพื่อนยังแต่งกายไม่เสร็จ จากตารางที่ 4.17 และแผนภูมิที่ 4.17 พบว่าสาเหตุของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุต้องไปรับเพื่อน (แฟน) มาเรียนด้วยแต่เพื่อนยังแต่งกายไม่เสร็จ เรียงตามลำดับได้ดังนี้ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวนความถี่เท่ากับ 16 คิดเป็นร้อยละ 42.10 รองลงมา คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 จำนวนความถี่เท่ากับ 13 คิดเป็นร้อยละ 34.22 ลำดับถัดมา คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 จำนวนความถี่เท่ากับ 8 คิดเป็น ร้อยละ 21.05 และลำดับสุดท้าย คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 จำนวนความถี่เท่ากับ 1 คิดเป็นร้อยละ 2.63
- 51. ตารางที่ 4.18 แสดงค่าความถี่และค่าร้อยละของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุชุดเครื่องแต่งกายไม่พร้อม
- 52. แผนภูมิที่ 4.18 แสดงค่าร้อยละของของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุชุดเครื่องแต่งกายไม่พร้อม จากตารางที่ 4.18 และแผนภูมิที่ 4.18 พบว่าสาเหตุของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุชุดเครื่องแต่งกายไม่พร้อม เรียงตามลำดับได้ดังนี้ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวนความถี่เท่ากับ 14 คิดเป็นร้อยละ 41.18 รองลงมา คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 จำนวนความถี่เท่ากับ 12 คิดเป็นร้อยละ 35.5 ตามลำดับ
- 53. ตารางที่ 4.19 แสดงค่าความถี่และค่าร้อยละของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุอุปกรณ์การเรียนไม่พร้อม
- 54. แผนภูมิที่ 4.19 แสดงค่าร้อยละของของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุอุปกรณ์การเรียนไม่พร้อม จากตารางที่ 4.19 และแผนภูมิที่ 4.19 พบว่าสาเหตุของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุอุปกรณ์การเรียนไม่พร้อม เรียงตามลำดับได้ดังนี้ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวนความถี่เท่ากับ 14 คิดเป็นร้อยละ 48.27 รองลงมา คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 จำนวนความถี่เท่ากับ 9 คิดเป็นร้อยละ 31.03 ลำดับถัดมา คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 จำนวนความถี่เท่ากับ 6 คิดเป็นร้อยละ 20.7 ตามลำดับ
- 55. ตารางที่ 4.20 แสดงค่าความถี่และค่าร้อยละของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุมีนัดโดยลืมดูเวลาเรียน
- 56. แผนภูมิที่ 4.20 แสดงค่าร้อยละของของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุมีนัดโดยลืมดูเวลาเรียน จากตารางที่ 4.20 และแผนภูมิที่ 4.20 พบว่าสาเหตุของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จากสาเหตุมีนัดโดยลืมดูเวลาเรียน เรียงตามลำดับได้ดังนี้ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 และนักศึกษาชั้นปีที่ 3 จำนวนความถี่เท่ากับ 6 คิดเป็นร้อยละ 37.5 รองลงมา คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 จำนวนความถี่เท่ากับ 25 และลำดับสุดท้าย คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 จำนวนความถี่เท่ากับ 0 คิดเป็นร้อยละ 0
- 57. ตอนที่ 4 ข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นเพิ่มเติมจากการรวบรวมข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นอื่น ๆ เพิ่มเติม สามารถสรุปได้ดังนี้ 1. อาจารย์ให้งานเยอะ ปัญหาคือทำไม่ทัน และเสียค่าใช้จ่ายมาก 2. การเที่ยวกลางคืนดึกเกินไปมีผลทำให้ตื่นสาย และไม่อยากไปเรียน 3. เนื้อหาในบางรายวิชายากเกินไป 4. เนื้อหาในบางรายวิชาน่าเบื่อหน่าย ไม่น่าสนใจ 5. อาจารย์บางท่านสอนไม่เข้าใจ อยากให้ปรับเปลี่ยนวิธีสอนที่อธิบายให้เข้าใจกว่านี้ 6. อยากให้มีสื่อการสอนที่หลากหลาย และจำนวนเพียงพอกับนักศึกษา
- 58. สรุปอภิปรายผลและข้อเสนอแนะ สรุปผลการวิจัย จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาปัญหาและพฤติกรรมการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษา ชั้นปีที่ 1-4 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ สรุปผลการวิจัย ได้ดังนี้ 1. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย จำนวน 193 คน คิดเป็นร้อยละ 80.40 รองลงมาเป็นเพศหญิง จำนวน 47 คน คิดเป็นร้อยละ 19.60 ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 18 – 20ปี จำนวน 165 คน คิดเป็นร้อยละ 68.80 รองลงมาอยู่ในช่วงอายุ 21 – 34 ปี จำนวน 73 คน คิดเป็นร้อยละ 30.40 ส่วนอายุผู้ตอบแบบสอบถามที่มีจำนวนน้อยที่สุดคือ อายุ 25 ปีขึ้นไป จำนวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 0.80 ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา ชั้นปีที่ 1 จำนวน 100 คน คิดเป็นร้อยละ 41.70 รองลงมาเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 จำนวน 70 คน คิดเป็นร้อยละ 29.20
- 59. และลำดับถัดมาเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 จำนวน 44 คน คิดเป็นร้อยละ 18.30 ส่วนชั้นปีที่มีจำนวนนักศึกษาตอบแบบสอบถามน้อยที่สุด คือ ชั้นปีที่ 4 จำนวน 26 คน คิดเป็น ร้อยละ 10.80 และนักศึกษาส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการเข้าเรียนสาย 1 – 2 ครั้งต่อภาคเรียน จำนวน 132 คน คิดเป็นร้อยละ 55.00 รองลงมามีพฤติกรรมไม่เคยเข้าเรียนสายเลย จำนวน 48 คน คิดเป็นร้อยละ 20.00 ลำดับถัดมานักศึกษามีพฤติกรรมการเข้าเรียนสาย 3 – 4 ครั้งต่อภาคเรียน จำนวน 44 คนคิดเป็นร้อยละ 18.30 ส่วนพฤติกรรมนักศึกษาที่เคยเข้าเรียนสายมากกว่า 5 ครั้ง ต่อภาคเรียนมีจำนวนน้อยที่สุด จำนวน 16 คน คิดเป็นร้อยละ 6.70
- 60. 2. ผลการวิเคราะห์เกี่ยวกับการศึกษาปัญหาและพฤติกรรมการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษา ชั้นปีที่ 1-4 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ พบว่า โดยภาพรวมนักศึกษามีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.53 (S.D = 0.69) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ข้อที่นักศึกษามีปัญหาการเข้าเรียนไม่ตรงเวลามากที่สุด คือ เนื้อหาในรายวิชาที่เรียนมีความยุ่งยากไม่น่าสนใจ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.09 (S.D = 0.69) รองลงมา คือ เรียนไม่ทันเพื่อน และไม่เข้าใจในเนื้อหาวิชา มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.81 (S.D = 1.02) ส่วนข้อที่มีปัญหาน้อยที่สุด คือ มีพฤติกรรมการมาเรียนสายเป็นนิสัย มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.18 (S.D = 1.02) และสาเหตุของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ เรียงตามลำดับได้ดังนี้ นอนตื่นสาย มีจำนวนความถี่เท่ากับ 128 รองลงมา คือ ยานพาหนะเกิดการขัดข้องขณะเดินทางมาเรียน มีจำนวนความถี่เท่ากับ 104 ลำดับถัดมา คือ ทำงานที่อาจารย์สั่งไม่เสร็จ มีจำนวนความถี่เท่ากับ 78 ส่วนข้อที่มีจำนวนความถี่น้อยที่สุด คือ มีนัดโดยลืมดูเวลาเรียน มีจำนวนความถี่เท่ากับ 16
- 61. อภิปรายผล จากผลการวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาปัญหาและพฤติกรรมการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษา ชั้นปีที่ 1-4 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ผลการศึกษาประเด็นที่นำมาอภิปรายผล ดังนี้ จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลการศึกษาปัญหาและพฤติกรรมการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษา ชั้นปีที่ 1-4 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ โดยภาพรวมนักศึกษามีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ข้อที่นักศึกษามีปัญหาการเข้าเรียนไม่ตรงเวลามากที่สุด คือ เนื้อหาในรายวิชาที่เรียนมีความยุ่งยากไม่น่าสนใจ รองลงมา คือ เรียนไม่ทันเพื่อน และไม่เข้าใจในเนื้อหาวิชา ส่วนข้อที่มีปัญหาน้อยที่สุด คือ มีพฤติกรรมการมาเรียนสายเป็นนิสัย และสาเหตุของการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขา พลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ เรียงตามลำดับได้ดังนี้ นอนตื่นสาย รองลงมา คือ ยานพาหนะเกิดการขัดข้องขณะเดินทางมาเรียน ลำดับถัดมา คือ ทำงานที่อาจารย์สั่งไม่เสร็จ ส่วนข้อที่มีจำนวนความถี่น้อยที่สุด คือ มีนัดโดยลืมดูเวลาเรียน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปัญหาและสาเหตุการเข้าเรียนของนักศึกษานั้น มีปัจจัยหลาย ๆ ด้านประกอบกัน
- 62. ทั้งที่เป็นพฤติกรรมส่วนตัวของนักศึกษาเอง และเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนของคณาจารย์ในมหาวิทยาลัย และองค์ประกอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน ซึ่งผลการวิจัยครั้งนี้สอดคล้องกับผลการศึกษาของ ประมวล อรรถพงษ์ (2548 : 90-93) ได้ศึกษาการพัฒนาดำเนินงานเสริมสร้างการมีวินัยของนักเรียนโรงเรียนโคกศรีเมือง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ สภาพปัญหาที่พบ คือ ปัญหานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายมีพฤติกรรมขาดความมีวินัยด้านการตรงต่อเวลา 3 ด้านคือ การมาโรงเรียน การเข้าเรียน การเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทางโรงเรียนจัดขึ้นไม่ตรงต่อเวลาและประพฤติผิดวินัยด้านการแต่งกาย คิดเป็นร้อยละ 15.92 ซึ่งประกอบด้วย การปล่อยเสื้อลอยชายไว้ผมยาว ใส่รองเท้าผิดระเบียบ ซึ่งถือเป็นปัญหาอย่างมาก ผู้ศึกษาได้จัดให้กลุ่มผู้ร่วมศึกษาค้นคว้าและครูในโรงเรียนไปศึกษาดูงาน การจัดกิจกรรมเสริมสร้างความมีวินัยของนักเรียนโรงเรียนไทรงามพิทยาคม แล้วนำมาประชุมระดมสมองเพื่อกำหนดกิจกรรมการพัฒนาเสริมสร้างความมีวินัยของนักเรียน ได้จัดกิจรรมที่เหมาะสม 3 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมโฮมรูม กิจกรรมสวยด้วยมือเรากิจกรรมเชิดชูคนดีศรีสถาบัน และการนำกลยุทธ์นิเทศติดตามมาใช้ในการติดตามผลการจัดกิจกรรมซึ่งผลการพัฒนาทำให้นักเรียนมีวินัยด้านการตรงต่อเวลา และวินัยด้านการแต่งกายดีขึ้น
- 63. ส่งผลต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับผลการวิจัยของ คัทรียา ประกอบผล (2551 : บทคัดย่อ) การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาปัญหาการเข้าชั้นเรียนที่ไม่ตรงเวลาของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชานาฏศิลป์ไทย คณะศิลปนาฏดุริยางค์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ประจำภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2551 ซึ่งจากการศึกษาวิจัยพบว่าประเด็นปัญหาที่สำคัญคือการเข้าชั้นเรียนที่ไม่ตรงเวลา ทำให้เกิดปัญหาในการฝึกปฏิบัติวิชาทักษะนาฏศิลป์ ผู้วิจัยจึงดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยการกำหนดข้อตกลงในการเข้าชั้นเรียนที่ตรงเวลา เพื่อเป็นการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ในเรื่องการตรงต่อเวลาให้กับนักศึกษาและทำให้นักศึกษาได้เห็นถึงประโยชน์ของการเป็นผู้ตรงต่อเวลาต่อไป สอดคล้องกับผลการศึกษาของ กฤษดา อุดมธนธีระ (2549 : 80-82) ได้ศึกษาการพัฒนาการดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างวินัยนักศึกษาด้านการตรงต่อเวลา ในการเข้าร่วมกิจกรรมหน้าเสาธง และการร่วมกิจกรรมเข้าชั้นเรียนในแต่ละรายวิชา ของนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคยโสธร อำเภอเมือง จังหวัดยโสธรโดยใช้กลยุทธ์การประชุมเชิงปฏิบัติการ การปลูกฝังความรับผิดชอบการมีวินัยในขณะที่ทำการสอนและการนิเทศภายใน ทำให้นักศึกษากลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
- 65. โดยใช้กระบวนการวิจัยปฏิบัติการ 2 วงรอบ โดยใช้กลยุทธ์การประชุมสัมมนา จัดกิจกรรมสอดแทรกความมีวินัยในตนเอง และการนิเทศการสอน ผลการพัฒนาพบว่า นักเรียนได้รับการพัฒนาส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ทำให้นักเรียนมีความตรงต่อเวลาดีขึ้น และยังสอดคล้องกับผลการวิจัยของสิริวดี พรหมน้อย (2550 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยการแก้ไขปัญหาการเข้าชั้นเรียนไม่ตรงเวลาของนักศึกษาชีววิทยาประยุกต์ ชั้นปีที่ 3 โดยใช้วิธีการกำหนดข้อตกลงเบื้องต้น สำหรับนักศึกษาที่เรียนวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ ผลการวิจัยพบว่าพบว่า ภายหลังจากที่นักศึกษาได้รับทราบข้อตกลงเบื้องต้น นักศึกษาทุกคน (ร้อยละ 100) สามารถพัฒนาตนเองเข้าชั้นเรียนได้ตรงเวลาตั้งแต่สัปดาห์ที่ 9 เป็นต้นไป
- 66. ข้อเสนอแนะของการวิจัย 1.ผลการศึกษาในครั้งนี้ ได้ชี้ให้เห็นว่านักศึกษาส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องการมาเรียนไม่ตรงเวลาอาจเกิดจากปัญหาส่วนตัวและการบริหารเวลาไม่ถูกต้อง 2. ควรนำข้อมูลที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้ ไปใช้ในการปรับปรุงส่งเสริมและพัฒนาพฤติกรรมการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขาวิชาพลศึกษา ชั้นปีที่ 1-4 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยในครั้งต่อไป 1. ควรมีการศึกษาปัญหาและพฤติกรรมการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขาวิชาอื่น ๆ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2. ควรมีการเปรียบเทียบปัญหาและพฤติกรรมการเข้าเรียนไม่ตรงต่อเวลาของนักศึกษาสาขาวิชาอื่น ๆ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์