More Related Content
Similar to Computer network
Similar to Computer network (20)
More from Nittaya Intarat
More from Nittaya Intarat (20)
Computer network
- 1. 21-Aug-12
Computer Network พืนฐานระบบเครือข่าย
อนุธดา
ิ
By…. IS CMRU
ในระบบเครือข่ายจะเห็ นคําว่า โหนด (Node) เป็ นส่วนใหญ่
ซึงหมายถึง อุปกรณ์แบบใดก็ได ้ทีเชือมต่อเข ้ากับระบบเครือข่ายที โหนดบนระบบเครือข่ายสามารถทํางานได ้หลายหน ้าที
มีหมายเลขทีอยูบนระบบเครือข่าย (Address) ละสามารถรับ-ส่ง
่ คอมพิวเตอร์ททําหน ้าทีเป็ นโหนดสามารถรับข ้อมูล เก็บข ้อมูลนันไว ้
ี
ข ้อมูลผ่านทางระบบเครือข่ายได ้ ดังนันตังแต่โทรศัพท์เครืองหนึง และส่งข ้อมูลนันออกไปทางสายสือสาร โหนดอาจทําหน ้าทีเป็ น
เครืองเทอร์มนอล ฟรอนท์เอนด์ โปรเซลเซอร์ คอนเซ็นเทรเตอร์
ิ คอนเซ็นเตอร์ คือรับข ้อมูลเข ้าจากเทอร์มนอลความเร็วตํา(รับ-ส่ง
ิ
ไปจนถึงเครืองเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ก็สามารถทําหน ้าทีเป็ นโหนด ข ้อมูลด ้วยความเร็วตํา) หลายตัวเพือนํ าข ้อมูลทังหมดมารวมกันเป็ น
ได ้ บล็อกขนาดใหญ่ แล ้วจึงส่งบล็อกออกทางสายสือสารด ้วยความเร็ว
สูงเช่น มัลติเพล็กเซอร์ (Multiplexer) สามารถนํามาใช ้เชือมต่อ
คอมพิวเตอร์หลายเครืองเข ้าด ้วยกันผ่านระบบเครือข่ายได ้
ระบบเครือข่ายจําเป็ นจะต ้องเชือมต่อโหนดทังหมดเข ้า อาจมีโหนดอืนแทรกอยู่ตรงกลางก็ได ้ส่วนวงจรสือสาร
ด ้วยกันจึงจะสามารถทํางานได ้ การเชือมต่อหรือวงจรเชือมต่อที (Circuit) คือเส ้นทางทีสมบูรณ์ทเชือมต่อผู ้ส่งข ้อมูลเขากับผู ้รับ
ี ้
ติดตังระหว่างโหนดสองโหนดทีอยูตดกันโดยไม่มโหนดใดๆคันอยู่
่ ิ ี ข ้อมูลซึงเรียกว่าเป็ นการเชือมต่อแบบผู ้ส่งถึงผู ้รับ (End to End)
ตรงกลาง เรียกว่าเส ้นเชือมหรือลิงค์ (Link) และคําว่า เส ้นทาง วงจรสือสารอาจเป็ นเส ้นทางทีต ้องผ่านเสนเชือมทีใชสือต่างชนิด
้ ้
้
กัน หรืออาจต ้องผ่านเสนทางทีมีผู ้ให ้บริการต่างออกไป
(path) คือเส ้นเชือมกลุมหนึงซึงเรียงตามลําดับทีถูกต ้องเพือ
่
เชือมต่อโหนดสองโหนดใดๆเข ้าด ้วยกันโดย
1
- 2. 21-Aug-12
จุดประสงค์ของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มีดังนี
4. เพือช่วยให ้สามารถประมวลผลแบบกระจายได ้ ซึงการประมวลผล
แบบนีจะช่วยให ้มีการกระจายการทํางานจากคอมพิวเตอร์เครืองใหญ่
1. เพือใช ้ทรัพยากร เช่น ฐานข ้อมูล ตัวประมวลผล ตลอดจน ่
ไปสูคอมพิวเตอร์เครืองเล็กๆ โดยจะทําการประมวลผล ณ แหล่งกําเนิด
ฮาร์ดดิสก์และเครืองพิมพ์รวมกัน
่
ข ้อมูล หรือแหล่งทีต ้องการผลข ้อมูล หรืออาจจะส่งข ้อมูลไป
ประมวลผลทีคอมพิวเตอร์ทเหมาะสมกับงานนันๆก็ได ้
ี
2. เพือให ้มีการติดต่อแลกเปลียนข ้อมูลกันได ้ระหว่างผู ้ใช ้หรือ
ระหว่างตัวประมวล
5. เพือให ้สามารถควบคุมและจัดสรรทรัพยากรจากส่วนกลาง(สําหรับ
่
ในระบบการทํางานแบบกระจาย) ไปสูแต่ละระบบย่อยทีอยูห่างไกลกัน
่
3. เพือเพิมความเชือถือได ้ (Reliability) ของระบบประมวลผล
โดยมีการสํารอง (Backup) ระบบ ตลอดจนความซําซ ้อนของ
6. เพือช่วยให ้อุปกรณ์ มีความแตกต่างกัน สามารถใช ้งานร่วนกัน
ระบบ เช่นการมีคอมพิวเตอร์หรือฐานข ้อมูลอยูในทีต่างๆ และมี
่ (Compatibility) ได ้
การเชือมโยงระบบคอมพิวเตอร์เหล่านันเข ้าด ้วยกัน
่
เทคนิคการสงข ้อมูลบน
ระบบเครือข่าย
สุดารัตน์
ื
การเชอมต่อเครือข่ายแบบจุดต่อจุด
วิธทง่ายทีสุดในการเชือมต่อโดยตรงระหว่าง
ี ี (point- to-point link)
โหนด คือการเชือมต่อแบบจุดต่อจุด (point-to- • รูปแบบการเชือมต่อเครือข่ายแบบจุดต่อจุด (point- to-
point link) นอกจากจะเป็ นวิธทง่ายแล ้วยั งทํา
ี ี
pointlink)
ให ้ผู อนไม่ ส ามารถขั ดขวางการสือสารระหว่า ง
้ ื
โหนดคูนันได ้
่ เป็ นการเชือมต่อแบบพืนฐาน โดยต่อจากอุป กรณ์รับ หรือส่ง
2 ชุด ใช ้สายสือสารเพียงสายเดียวมีความยาวของสายไม่ จํา กัด
เชือมต่อสายสือสารไว ้ตลอดเวลา ซึงสายส่งอาจจะเป็ นชนิดสาย
ส่งทางเดีย ว (Simplex) สายส่งกึงทางคู่ (Half-duplex) หรือ
สายส่งทางคูแบบสมบู รณ์ (Full-duplex) ก็ไ ด ้ และสามารถส่ง
่
สัญญาณข ้อมูลได ้ทังแบบซิงโครนัสหรือแบบอซิงโครนัส
2
- 3. 21-Aug-12
ี
ลักษณะการเชือมต่อระหว่างเครืองคอมพิว เตอร์พ ีซแต่
ละเครืองมีเพียงสายเพียง 1 สายต่อเชือมโยงกันในการทํา งาน
ื
การเชอมต่อเครือข่ายแบบจุดต่อจุด
หรือ ในเครืองทีทํ า หน า ทีเป็ นเครืองปลายทาง 1 เครือง
้ (point- to-point link)
เชือมต่อกับเครืองเมนเฟรมโดยใช ้สาย 1 เส ้น หรือในอีกกรณี
หนึงเครืองคอมพิวเตอร์ 2 เครืองสือสารกันโดยใช ้การส่งข ้อมู ล การเชือมต่อเครือข่ายแบบจุดต่อจุดมีคุณสมบ ัติ 3 ประการ
ผ่านคลืนไมโครเวฟ ดังรูป
• 1. เนืองจากเป็ นการเชือมต่อกันแบบโดยตรงระหว่างคอมพิวเตอร์ส อง
เครือง แบนด์วดธ์บนสายสือสารทีใช ้งานระหว่างกันจะสามารถใช ้งาน
ิ
ได ้อย่างเต็มที โดยไม่มีโหนดอืน ๆ เข ้ามาแชร์การใช ้งาน
• 2. มีความยืดหยุนในส่วนของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ท ีใช ้สือสารกั น รวมถึง
่
รูปแบบของแพ็ กเก็ตข ้อมูล
• 3. มี ค วามปลอดภั ย และความเป็ นส่ ว นตั ว ในข ้อมู ล ที สื อสารกั น
เนืองจากช่องทางการสือสารทีใช ้สือสารกั น ไม่ มี ก ารแชร์เพื อใช ้งาน
ร่วมกับโหนดอืน ๆ
ื
การเชอมต่อเครือข่ายแบบจุดต่อจุด
(point- to-point link)
ข ้อเสีย ของการเชือมแบบจุ ด ต่อจุด คือ จะส่งผกระทบต่ อ
ค่า ใช ้จ่า ยทีเพิมขึน เมื อมีอัต ราการเพิ มจํา วนคอมพิว เตอร์บ น
เครือข่า ย โดยหากมีก ารเพิมจํา นวนคอมพิว เตอร์เพิ มอีกหนึ ง ศุภลักษณ์
เครืองบน Location 1 จะต ้องเพิมสายจากเดิม ทีมีอยู่ 10 เส ้น
เป็ น 15 เส ้น
ระบบเครือข่ายแบบสวิทช์
(Switched Network)
• แบ่งตามวิธการสับสายออกเป็ น 4 แบบคือ
ี
1.แบบวงจรสวิทช์
ระบบเครือข่ายแบบสวิทช ์ 2.แบบเมสเซจสวิทช์
(Switched Network) 3.แบบแพ็กเกตสวิทช์
4.แบบเซลล์สวิทช์
3
- 4. 21-Aug-12
์
วงจรสวิทช(Circuit Switched) ์
วงจรสวิทช(Circuit Switched) ต่อ
"การสวิตช์วงจร" (Circuit Switching) เป็ น Circuit Switching คือ วิธการต่อสัญญาณ
ี
การเชือมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทอาศัย หลัก
ี จากผู ท ีเริมต ้น ผ่ านชุม สาย ผ่ า นสายไฟจริง ๆ
้
พืนฐานทางด ้านการสวิตชิงของระบบโทรศัพท์ จนกร ะทั ง ถึง ที หมา ย และสั ญ ญา ณจ ะอยู่
การเชือมโยงคอมพิวเตอร์ให ้เชือต่อกันในวงจร จนกระทั งมีก ารยกเลิก การใช ้งาน หลั กการที
ระหว่างจุดไปจุ ด จุดอ่อนของการสวิตช์วงจรที สํ า คั ญ ของการสวิท ช์ว งจร คือ จะต อ งมี ก าร
้
เชือมระหว่างสองจุด ทําให ้ใช ้ข ้อมู ลข่าวสารใน จัดตังเชือมต่อก่อนทีจะมีการส่งข ้อมูลจริง
เครือข่าย ไม่เต็ม ประสิทธิภาพ และมีข ้อยุ่ งยาก
หากต ้องการสือสารกันเป็ นจํานวนมาก
การจั ด ตังการเชือมต่อนีอาจจะใช ้เวลามาก ้
เมื อมี ก ารจั ด สร า งเ ส น ทางเรี ย บร อ ยแล ว
้ ้ ้
บางครัง อาจจะถึง 10 วินาที ขึนอยู่กับระยะทาง เวลาทีเสีย ไปจะเป็ นเพีย งแค่เ วลาทีสั ญ ญาณ
ยิงเป็ นการเรีย ก (call) แบบทางไกล เช่น การ ผ่านสายเท่านัน ซึงโดยปกติจะมีค่าประมาณ 3
เรียกข ้ามประเทศก็ อาจจะนานกว่า เวลาทีใช ้นี msec ต่อระยะทาง 1000 km และหลังจากมี
การจั ด ตังทางเดิน สัญญาณ แล ้วจะไม่ ม ีปัญหา
เป็ นการค ้นหาเส ้นทางทีสัญญาณจะใช ้ติดต่อจะ ของความหนาแน่น ของการใช ้ตามมา นั นคือ
เห็ น ว่ า ก่อ นทีจะมีก ารส่ง สั ญ ญาณ ออกไปได ้ หลั ง จ ากต่ อ กั น ได แ ล ว จ ะไม่ มี ท า งจ ะได ย ิ น
้ ้ ้
คํา สั งร อ งขอ request จะต ้องถูก ส่ง ออกจาก
้ สัญญาณไม่วาง ถึงแม ้ว่าก่อนหน ้าทีจะต่อสําเร็ จ
่
ตังแต่ผู เ ริมต ้นจนกระทังถึง ทีหมาย และรอให ้
้ อาจจะได ้ยินบ ้างเพราะชุม สายถูกใช ้งานจนเต็ม
ปลายทาง ตอบรับกลับมายังทีเริมต ้น ในขณะนัน
ซึงแบ่งขันตอนการทํ างานออกเป็ น 3
ขันตอนดังนี
ในระบบเครือข่า ยทีใช ้วิธ ีการส่งข ้อมู ล แบบ ขั น ต อ น 1 คื อ ก า ร จั ด ตั ง ว ง จ ร สื อ ส า ร
วงจรสวิทช์ (Circuit-Switching Network) (Establishing Circuit) ซึงเป็ นการเชือมต่อแบบผู ้
จะกํ า หนดวงจรสือสารระหว่ า งโหนดสอง ส่ง-ถึง-ผู ้รับ (End-to-End Connection)
โหนดขึนมาเป็ นการเฉพาะ ซึงอาจจะมีโ หนด ขันตอนที 2 คือ ขันตอนทีเกิดการแลกเปลียน
จํานวนหนึงอยู่ตรงกลางก็ตาม ข ้อมูล (Data Transfer) ถ ้าเป็ นระบบเครือ ข่า ย
การสือสารระหว่างสองโหนดนีจะเกิดขึนได ้ก็ ้
โทรศัพท์ หมายถึงช่วงทีผู ้ใชกําลังสนทนากัน
ต่อ เมื อวงจรสือสารจะต ้องถู ก จั ด ให ้เรีย บร อ ย
้ ขันตอนสุดท ้าย คือ การขอยกเลิกวงจรสือสาร
ตลอดเส ้นทาง (Circuit Disconnect) เกิดขึนเมือผู ้ใช ้ต ้องการ
ยกเลิกการสือสารระหว่างกัน
4
- 5. 21-Aug-12
แสดงผูใช ้ X ติดต่อผูใช ้ Y ในเครือข่าย
้ ้
วงจรสวิทช ์
วิสดา
ุ
เทคนิคการส่งข ้อมูลแบบเมสเซจสวิทช์
การสงข้อมูลแบบเมสเซจสวิทช ์
่ (Message-Switching Network) ได ้รับการ
(Message-Switching พัฒนาขึนมาใช ้งานแทนแบบวงจรสวิทช์เพือเพิม
Network) ประสิทธิภาพการใช ้งาน
วิธการคือมุ่งเน ้นไปทีการนําส่งตัวข่าวสารไป
ี
ยังผู ้รับ ข ้อมูลจะถูกส่งออกไปโดยไม่ต ้องมีการ การนําวิธการเก็บและการส่งติดต่อข ้อมูล
ี
จัดเตรียมวงจรสือสารไว ้ล่วงหน ้า มาใช ้ นันจําเป็ นจะต ้องให ้ทุกโหนดทีเกียวข ้อง
ดังนันข ้อมูลจึงอาจถูกส่งออกไปแม ้ว่าผู ้รับ เป็ นเครืองคอมพิวเตอร์ทงหมด
ั
อาจยังไม่พร ้อมทีจะรับข ้อมูลก็ตาม ข ้อมูลก็จะไม่
สูญหายไปไหนเนืองจากโหนดทีมีข ้อมูลนันจะต ้อง
เก็บข ้อมูลไว ้จนกว่าผู ้รับจะพร ้อม จึงจะส่งไปให ้
กระบวนการนีจึงเรียกว่า การเก็บและการส่งผ่าน
ข้อมูล (Store and Forward )
5
- 6. 21-Aug-12
ค ้นหาโหนดต่อในลําดับทีเหมาะสม
(Intermediate Node) ซึงจะต ้องอยู่ในเส ้นทางที
จะไปยังโหนดผู ้รับ (Receiver Node)
โหนดจะรับข ้อมูล (Message) เข ้ามาจากระบบ
ข ้อมูลแต่ละชุดต ้องบันทึกหมายเลขทีอยู่บน
เครือข่าย จัดการเก็บข ้อมูลนันไว ้ในหน่วยความจํา เครือข่าย (Address) ของโหนด ผู ้รับไว ้ด ้วย
ชัวคราว โหนดทีรับข ้อมูลจะใช ้หมายเลขในการค ้นหา
โหนดทีจะส่งข ้อมูลนันต่อไป
ข ้อดีคอ เป็ นแบบวงจรทีมีประสิทธิภาพในการ
ื
ใช ้งานสูง เพราะแบ่งการใช ้งานสายส่งได ้เต็มที
ต ัวอย่างการส่งข้อมูลแบบเมสเซจ
ตลอดเวลา
สวิทช ์ ได้แก่ ระบบอีเมล์
ข ้อเสียคือ วงจรไม่มการเชือมต่อตลอดเวลา
ี
จึงไม่สามารถให ้บริการแบบทีต ้องการการโต ้ตอบ
ทันทีทันใดได ้(Interactive Mode)
และ มีคาหน่วงเวลาสูง เนืองจากข ้อมูลทีส่งไป
่
ระหว่างทางนัน จะถูกจัดเก็บไว ้ชัวคราว ซึงอุปกรณ์
ในการจัดเก็บนันมีการประมวลผลช ้า
แพกเกตสวิตชง ิ
ณั ฎฐนันท์ ( packet switching )
6
- 7. 21-Aug-12
แพกเกตสวิตชิง (packet switching )ใช ้ในการติดต่อสือสาร • การส่งข ้อมูลแบบแพ็ กเกตสวิทช์(Packet-Switching Network)
ผ่านระบบเครือข่ายดิจตอลความเร็วสูง แพกเกตสวิตชิง เป็ นเทคนิค
ิ นํ าข ้อดีของ วิธการส่งข ้อมูลแบบเมสเซจสวิทช์(Message-
ี
้
ในการหาเสนทางให ้กับแต่ละ แพกเกตทีมีจดหมายปลายทาง
ุ SwitchingNetwork) และแบบวงจรสวิทช์(Circuit-Switching
ต่างกัน ปลายทาง คือ DTE( Data Terminal Equipment ) Network) มารวมกัน
อุปกรณ์ทช่วยถ่ายทอดข่าวสารคือ DCE ( Data Communication
ี • พยายามลดข ้อเสียลงไป แบบแพ็ กเกตสวิทช์(Packet-
Equipment ) SwitchingNetwork) แบ่งข ้อมูลออกเป็ นชุดเหมือนกับแบบเมส
การส่งข ้อมูลผ่านเครือข่ายแพ็ กเก็จสวิตชิงนัน ขนาดของของ เซจสวิทช์(MessageSwitching Network) แต่มความยาวไม่
ี
ข ้อมูลถูกจํากัดขนาด จึงต ้องแบ่งบล็อกข ้อมูลออกเป็ นแพ็ กเก็จ เท่ากัน
(Packet) ทังนีเพือให ้มีขนาดเล็กลง และให ้สถานี สวิตช์สามารถ • แบบเมสเซจสวิทช์(Message-Switching Network) ข ้อมูลแต่
เก็บกักข ้อมูลไว ้ในหน่วยความจํา (Buffer) ชัวคราวได ้โดยไม่ต ้อง ละชุดมีความยาวไม่เท่ากัน ซึงอาจมีความยาวหลายพันไบต์ก็ได ้
ใช ้ดิสก์สํารอง
• แพ็ กเกตสวิทช์(Packet-Switching Network) แบ่งข ้อมูล
ออกเป็ นส่วนเล็ก ๆ ทีมีขนาดเท่ากันทังหมด เรียกว่า แพ็ กเกต
(Packet)
• ขนาดของแพ็ กเกต (Packet) ในระบบต่างชนิดกันอาจยาวไม่
เท่ากันก็ได ้ขนาดทีนิยมใช ้โดยทัวไปคือ 128, 256, 512 และ
1,024 บิต
• แพ็ กเกตในระบบเดียวกันจะต ้องมีขนาดเท่ากันเสมอ ความ
แตกต่างนีช่วยให ้ระบบแพ็ กเกตสวิทช์(Packet-Switching
Network) มีประสิทธิภาพในการทํางานสูงกว่า
แสดงข่าวสารถูกแบ่งออกเป็ นหลายส่วนบนระบบเครือข่ายแบบแพ็กเกตสวิทช์
• ในปั จจุบันระบบเครือข่ายแบบสวิทชิงจึงนิยมใช ้การส่งข ้อมูล
แบบนี
• การส่งข ้อมูลโดยวิธนมีเทคนิคพิเศษอย่างหนึงเรียกว่า
ี ี
Pipelining ซึงจะรับประกันการจัดส่งแพ็ กเกต (Packet) ไปยัง
เป้ าหมายให ้ในทันทีทสายสือสารว่าง
ี
แสดงเทคนิค Pipelining
7
- 8. 21-Aug-12
เทคโนโลยีของ Packet Switching ประโยชน์ของ Packet Switching
• รับส่งข ้อมูลได ้ด ้วยความเร็วสูง และใช ้เวลาในการส่งน ้อยเหมาะ
• Time Domain Multiplexing ระบบ TDM เป็ นการมัลติเพล็กซ์ท ี สําหรับการเชือมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์หรือเครือข่าย LAN
แต่ละช่องสัญญาณมีแบนด์วดธ์แบบคงที (Fixed Bandwidth)
ิ หลายๆ เครือข่ายเข ้าดวยกันเช่น WAN
้
ซีงจะใช ้ งานไดดีมากสําหรับการรับส่งทีต ้องการอัตราบิตที
้
ต่อเนือง (Continous Bit Rate : CBR) เช่น traditional voice • มีความผิดพลาดในการรับส่งข ้อมูลน ้อยมากๆ
and video แต่ถ ้าจะใช ้งานกับข ้อมูลของระบบคอมพิวเตอร์ ที • สามารถลดคอมพิวเตอร์ให ้มีขนาดเล็กลง และสามารถกระจาย
มีทราฟฟิ กเป็ นแบบ bursty traffic (ทราฟฟิ กทีมีขนาดไม่คงที ศูนย์กลาง ประมวลผลได ้
คืออาจจะมีการเปลียนแปลงขนาดอย่างฉับพลัน) • สามารถรองรับการเชือมต่อกับเครือข่ายทีองค์กรใช ้งาน เช่น
ICP/IP
• ควบคุมค่าใช ้จ่ายได ้คงทีแน่นอน
• รับประกันความรวดเร็วในการส่งข ้อมูล (Committed
Information Rate – CIR)
แบบเซลล์สวิทช์ (Cell Switching)
ระบบเครือข่ายแบบเซลล์สวิทช์ มีหลักการทํางานคล ้ายกันกับแบบแพ็กเกต
สวิทช์ แต่แบ่งข ้อมูลออกเป็ นชุดๆ ในรู ปแพ็กเกตทีมีความยาวเท่ากัน คือ 57 ไบท์
้
ประกอบด ้วย ข ้อมูลจริง 53 ไบท์ และข ้อมูลควบคุม 4ไบท์ และนํามาใชกับระบบเครือข่าย
ใหม่ทชือว่า Asynchronous Transfer Mode : (ATM) เพือช่วยเพิมประสิทธิภาพในการ
ี
สือสารมากขึน
วันเพ็ญ
Asynchronous Transfer
Mode (ATM)
การออกแบบใหเซลข ้อมูลมีขนาดสันก็เพือความเหมาะสมทีจะประยุกต์ใชงาน
้ ้
้
ต่าง ๆ ได ้อย่างกว ้างขวางขึนคือ ใชรั บส่งข ้อมูล เสียง ภาพหรือข ้อมูลต่าง ๆ ทีต ้องการ
้
ATM เป็ นระบบสือสารข ้อมูล ทีใชรู ปแบบการสือสารเป็ นแบบ แพ็กเก็จ เหมือน ส่งผ่านกันและกันด ้วยความเร็วสูง
เช่นในเครือข่าย X.25 (เป็ นเครือข่ายสาธารณะ สําหรับการส่ งข ้อมูลดิจตอลทางไกล)
ิ
หรือระบบ LANอืน ๆ เช่น อีเทอร์เน็ตโทเกินริง แต่การสือสารเป็ นแบบอะซิงโครนัส ้
การรับส่งสัญญาณ ATM จึงใชช่องสือสารทีมีความเร็วต่าง ๆ ได ้ซึงผิดกับ LAN
้ ิ
กล่าวคือ ตัวรับและตัวส่งใชสัญญาณนาฬกาแยกจากกันไม่เ กียวข ้องกัน ้ ้
เช่นอีเทอร์เน็ต ใชความเร็ว 10 Mbps แต่ ATM ใชกับ ความเร็วได ้ตังแต่ 64 Kbps,
45Mbps, 155 Mbps, 622 Mbps หรือ สูงกว่าก็ได ้
สิงที ATM แตกต่างจากระบบ แพ็กเก็จสวิตชิงอืน ๆ คือ ATM ส่งข ้อมูลด ้วย
ขนาดของแพ็กเก็จทีทุกแพ็กเก็จมีจํานวนข ้อมูลเท่ากันเสมอ แพ็กเก็จของ ATM มีขนาด
53 ไบต์ โดยให ้ 5 ไบต์แรกเป็ นส่วนหัว ทีจะบอกรายละเอียดของแอดเดรสและมี
ส่วนข ้อมูลข่าวสารอีก 48ไบต์ตามมา เราเรียกแพ็กเก็จของ ATM ว่า " เซล "
8
- 9. 21-Aug-12
รูปที 1 เปรียบเทียบเครือข่าย ATM ก ับระบบอีเทอร์เน็ ต
เครือข่าย ATM เป็ นเครือข่ายทีประยุกต์ได ้หลายรูปแบบ ทังแบบ LAN หรือ
WAN ใชกับ ตัวกลางได ้ทังแบบลวดทองแดงหรือเส ้นใยแสง แต่โ ครงสร ้างการเชือมโยง
้
ข ้อมูลระหว่างโหนดเป็ นแบบสวิตซ์ทเรียกว่า ATM Switch การส่งผ่านข ้อมูลแต่ละเซลจึง
ี
ขึนกับแอดเดรสทีกําหนด
รูปที 2 เครือข่าย ATM แบบ WAN
จากโครงสร ้างการผ่านข ้อมูลแบบสวิตซ์ด ้วยเซลข ้อมูลขนาดเล็กของ ATM จึง
ทําใหเหมาะกั บเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบ WAN ด ้วย โดยเฉพาะอย่า งยิงกั บงานที
้
้ ้
ต ้องการใชความเร็วข ้อมูลสูง เครือข่าย WAN ก็เป็ นอีกรูปแบบหนึงทีสามารถใชเทคนิค
ของ ATM ได ้เช่นกันรูป
นางสาววันเพ็ญ อํารุงพนาลัย
52122352 สท 52 ศ4.1 เมสิยา
9
- 10. 21-Aug-12
ระบบเครือข่ายแบบกระจายข่าว
(Broadcast Network)
ระบบเครือข่ายแบบกระจายข่าว
• จัดการในการส่งข ้อมูลเป็ นลักษณะเดียวกันกับการส่ง
(Broadcast Network) สัญญาณคลืนวิทยุและคลืนโทรทัศน์
• ใช ้คลืนสัญญาณเป็ นพาหะในการส่งข ้อมูลออกทางอากาศ
แทนทีจะส่งออกทางสายสัญญาณ เรียกว่า ระบบเครือข่าย
สัญญาณวิทยุ (Packet Radio Network)
หรือ สือประเภทไร ้สาย (Wireless)
ระบบเครือข่ายแบบกระจายข่าว เครือข่าย Broadcast แบ่งออกเป็ น 2 จําพวก
(Broadcast Network)
1. เครือข่ายสาธารณะ (Public Network)
- อุปกรณ์ในระบบเครือข่ายสัญญาณวิทยุจําเป็ นต ้องใช ้โมเด็ม
เป็ นเครือข่ายการสือสารข ้อมูลสาธารณะแบบง่ายและสะดวกทีสุด
ชนิดพิเศษสําหรับการรับส่งข ้อมูลผ่านสัญญาณวิทยุ
การรับส่งข่าวสารข ้อมูลจะผ่านทางเครือข่ายโทรศัพท์สาธารณะของ
• โพรโทคอลทีใช ้ก็เป็ นการนํ า องค์การโทรศั พท์แห่ง ประเทศไทย (หรื อเครือข่า ยการโทรศั พ ท์
โพรโทคอล X.25 มาดัดแปลงเป็ น AX.25 ทําให ้สามารถส่ง สาธารณะในท ้องถินนั นๆ) โดยจะให ้บริการในท ้องถินทางไกล
ข ้อมูลได ้ทีความเร็ว ตังแต่ 1,200 bps ไปจนถึง 19,200 bps
เครือข่าย Broadcast ระบบเครือข่ายส ัญญาณวิทยุ
มีอยู ่ 2 แบบคือ แบบรวมศูนย์ และแบบกระจาย
2. เครือข่ายส่วนบุคคล (Private Network)
1. ระบบเครือข่ายส ัญญาณวิทยุแบบรวมศูนย์ (Centralized Packet
เป็ นระบบเครือข่ายทีจัดตังขึนไว ้สําหรับหน่วยงานหรือองค์กรทีเป็ นเจ ้าของ Radio Network)
และมีการใช ้ทรัพยากรร่วมกัน ซึงทรัพยากรและการสือสารต่างๆ ทีมีอยูใน ่
เครือข่ายจะมีไว ้เฉพาะบุคคลใน องค์กรเท่านั นทีมีส ิทธิเข ้ามาใช ้ • มีอปกรณ์การรับและส่งสัญญาณว ิทยุอยูทเครืองคอมพิวเตอร์ทศูนย์กลาง
ุ ่ ี ี
• โหนดทังหมดในระบบจะติดต่อกับศูนย์กลางเท่านั น อุปกรณ์รับ-ส่ง
่
สัญญาณจะต ้องมีชองสัญญาณ 2ช่อง คือ สําหรับการส่งข ้อมูล 1ช่อง และ
สําหรับการรับข ้อมูลอีก 1 ช่อง
• การทํางานของระบบนีจึงคล ้ายกับการทํางานในระบบสายสัญญาณแบบ
เชือมต่อหลายจุด (Multipoint Line) ซึงมีสถานีหลักเพียงสถานีเดียวและ
มีสถานีรองหลายแห่ง
10
- 11. 21-Aug-12
ระบบเครือข่ายส ัญญาณวิทยุ ต ัวอย่าง
2. ระบบเครือข่ายสัญญาณวิทยุแบบกระจาย (Decentralized Packet Radio การสือสารระบบนี ได ้แก่ เครือข่ายว ิทยุสมัครเล่น
Network)
• ใช ้ช่องสัญญาณว ิทยุเพียงช่องเดียวสําหรับการส่งและการรับข ้อมูล
• การทํางานในระบบนีคล ้ายกับการทํางานในระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณ
ทัวไป
• โพรโทคอล AX.25 ซึงอยูในชันสือสารเชือมต่อข ้อมูล(data link network)
่
ได ้รับการพัฒนาขึนมาสําหรับระบบเครือข่ายชนิดนี
6.3 การค ้นหาเส ้นทางเดินข ้อมูล
มณฑิรา
เส้นทางเดินข้อมูล (Path or Route) บนระบ
เครือข่ายถูกกําหนดขึนมาโดยประเภทของระบบ
เครือข่ายและซอฟต์แวร์ทนํ ามาใช ้ควบคุม
ี ส่วนใหญ่แล ้วข ้อมูลเส ้นทางจะถูกเก็บไว ้ใน
ตารางเส้นทาง (Routing Table) ซึงจะบันทึก
ข ้อมูลเกียวกับทีอยูของโหนดและเส ้นทางทีจะไปยัง
่
ต ้องมีโปรแกรมทีทําหน ้าทีในการค้นหาเส้นทางเดิน โหนดนัน ๆ
ข้อมูล (Routing) โดยเฉพาะ
การค ้นหาเส ้นทางเดินข ้อมูลเกิดขึนได ้ 2 ลักษณะ Routing Table เป็ นตารางข ้อมูลของเส ้นทางการ
คือ ส่งผ่านข ้อมูลเพือใช ้พิจารณาการส่งผ่านข ้อมูลซึงในการ
1.การค ้นหาโหนดศูนย์กลาง ได ้มาของ Routing table มีอยูด ้วยกัน 2 วิธ ี คือ Static
่
Route และDynamic Route
2.การค ้นหาทีตัวโหนดเอง
11
- 12. 21-Aug-12
เช่น เส ้นทางเลือกในกรณีทเส ้นทางหลักใช ้ไม่ได ้
ี การค้นหาเส้นทางจากโหนดศูนย์กลาง
และความเร็วในการส่งข ้อมูลของเส ้นทางนันเชือมต่อ (Centralized Routing)
ระหว่างโหนดต่างๆ
จะกําหนดให ้โหนด ซึงทําหน ้าทีในการเลือก
เส ้นทางเดินข ้อมูลให ้กับโหนดอืนในระบบเครือข่าย
โหนดนีจะทําหน ้าทีเป็ นผู ้จัดการบริหารเครือข่าย
การค ้นหาเส ้นทาง ซึงจะต ้องเก็บตารางเส ้นทางเดิน
ข ้อมูลและจัดการปรับปรุงข ้อมูลข่าวสารทังหมดที
เกิดขึนตลอดเวลา
แสดงการค้ นหาเส้ นทางบนระบบเครือข่ าย
ข้อด้อยทีสําค ัญของการทํางานแบบศูนย์กลางคือ
ถ ้าตําแหน่ง (สถานทีทีตังทีใช ้งานจริง) ของโหนด
โหนดอืนทีเหลือจะต ้องรายงานข่าวเกียวกับ ศูนย์กลางไม่อยูตรงกลางระบบแล ้ว ข ้อมูลเกียวกับ
่
สถานะการทํางานของตนเอง เช่น ปริมาณข ้อมูลที เส ้นทางและสถานะการทํางานของโหนดทีอยูอกฟาก ่ ี
รับเข ้ามา ปริมาณข ้อมูลทีส่งออกไปและกระบวนการ
ต่าง ๆ ทีเกิดขึนให ้แก่โหนดศูนย์กลางเป็ นระยะ หนึงจะต ้องใช ้เวลาพอสมควรกว่าทีจะเดินทางมาถึง
โหนดศูนย์กลาง
ระยะเวลาทีช ้าเกินไปนีอาจทําให ้ข ้อมูลในตาราง
ดังนัน… เส ้นทางไม่สอดคล ้องกับความเป็ นจริงทีเกิดขึนอยูใน
่
โหนดศูนย์กลางจึงเป็ นทีรวบรวมข ้อมูลสถานะการ ขณะนัน
ทํางานทังหมดทีเกิดขึนบนระบบเครือข่าย จึงทราบว่า
ส่วนใดในระบบเครือข่ายทีมีการใช ้งานมากหรือน ้อย และอีกปัญหา คือ ถ ้าโหนดศูนย์กลางเกิดหยุด
เพียงใด
ทํางาน โหนดอืนในระบบจะไม่สามารถค ้นหาเส ้นทางได ้
พิชามญชุ์
12
- 13. 21-Aug-12
้
การค้นหาเสนทางทีต ัวโหนดเอง (Distributed Routing)
กําหนดให ้แต่ละโหนดจัดการเก็บ ตารางเส ้นทางไว ้ โดยแต่ละโหนดมี
้
การค้นหาเสนทางทีต ัวโหนดเอง หน ้าทีส่งข ้อมูลสถานะการทํางาน (เช่น เดีย วกับแบบศูน ย์กลาง) ไปยั ง โหนด
ข ้างเคีย งของตนเองทุ กโหนด ข อมู ล ในตารางเส ้นทางจึง เป็ นเพีย งข ้อมู ล
้
สถานะการทํางานย่อย และเนืองจากจํานวนโหนดข ้างเคียงจะมีอยูไม่มากนักทํา่
(Distributed Routing) ให ้แต่ละโหนดสามารถปรับปรุง ข ้อมู ล ให ้มี ค วามทั น สมั ย อยู่ต ลอดเวลา การที
โหนดหนึงหยุดทํา งานก็จะไม่มีผลต่อการค ้นหาเส ้นทางของโหนดอืน ในระบบนี
แม ้ว่าจะมีปริมาณข ้อมูลเพิมขึน (เพือแจ ้งสถานะการทํางาน) แต่ประสิทธิภาพที
สูงขึน ก็ถอการเลือกเส ้นทางของ Interior Routing Protocol นั นจะมีการเลือก
ื
เส ้นทางอยูสองกรณีด ้วยกัน ซึงล ้วนแล ้วแต่มี ค วามสํ า คั ญ ต่อการทํ า งานต่า งๆ
่
แทบทังสิน
นางสาวพิช ามญชุ ์ แซ่ เติน
รห ัส 52122347
ประเภทของ Distributed Routing ข้อดีและข้อเสีย ของ Static Routing Protocol
Static Routing Protocol ข้อดีของการทํา Static routing
- การเลือกเส ้นทางแบบ Static เป็ นวิธการเลือกเส ้นทางทีราบเรียบและง่ายต่อความ
ี 1. มีความปลอดภัยในข ้อมูลสงกว่า เนืองจากเป็ นการระบุเส ้นทางแบบตายตัว
่ ู
เข ้าใจ รวมทังยังสามารถจัดตังค่าการทํางานบน router ได ้โดยง่าย โดยเฉพาะกับ ทําให ้ router ไม่ต ้องไปหาเส ้นทางอืน ที อาจจะก่อให ้เก ิดความเสียงต่าง ๆ ได ้
เครือข่ายทีมีขนาดเล็ก ซึงทําให ้การทํางานบนเครือข่ายโดยรวมมีประสิทธิภาพสูง 2. router ไม่ต ้องใช ้ประสิทธิภาพการทํางานของ CPU ทีสูงมากนั ก เพราะไม่
มากกว่าการใช ้ Dynamic routing protocol ต ้องตัดสินใจเลือกเส ้นทางของ packet
3. ทําให ้ประสิทธิภาพของ network โดยรวมดีมาก เพราะ router แต่ละตัว ่
- Routing Protocol ประเภทนีจะมันจะทําการหาเส ้นทางตามทีเรากําหนดและไม่มี ไม่ตอ ้งประมวลผลการเลือกหาเส ้นทาง
การเรียนรู ้เส ้นทาง ทีเป็ นแบบออโตเมติคนั ก ซึงจะเป็ นผลเสียต่อระบบมาก
ข้อเสีย ของ Static routing
1. เมือมีการเพิม router เข ้าไป จะต ้องมา config ทุก ๆ router ใหม่ ทําให ้
เก ิดความล่าช ้า หรือ เสียเวลามาก
2. จะต ้องมีความเข ้าใจระบบเครือข่ายโดนรวม และเข ้าใจถึงการเชือมต่อของ
router ทุกตัวบนทุก ๆ interface
ประเภทของ Distributed Routing
Dynamic Routing Protocol ข้อดีและข้อเสีย ของ Dynamic routing
- Routing Protocol ประเภทนีจะมันจะทําการหาเส ้นทางตามทีเรากําหนด
และช่วยจัดการอํานวยความสะดวกเกียวกับการสร ้าง Routing Table โดยมั นมีหน ้าที ข้อดีของการทํา Dynamic routing
หลักอยู่ 2 อย่างด ้วยกันคือ หาเส ้นทางทีดีทสุดในการส่งข ้อมูลไปยังปลายทาง และ
ี 1. เหมาะกับ Network ขนาดใหญ่ๆ
กระจาย Routing Information ไปยังเครืองอืนๆ ในเครือข่าย 2.ไม่ต ้องมีความเข ้าใจของระบบ Network ทังหมด
- การเลือกเส ้นทางแบบ Dynamic ค ้นหา remote network, จัดการ up-to- 3. ไม่ต ้องมา Config ใหม่เมือมีการเพิม อุปกรณ์เข ้าไปใน Network
date ข ้อมูลของเส ้นทาง, เลือกเส ้นทางทีดีทสุดทีไปยัง destination network,
ี
สามารถหาเส ้นทางใหม่แทนทีเส ้นทางทีใช ้ไม่ได ้แล ้วDynamic Routing Protocol ข้อเสีย ของ Dynamic routing
Operation 1.เปลือง CPU ของอุปกรณ์ ซึงอาจทําให ้ประสิทธิภาพของ network
1. Router รับและส่งข ้อมูลของเส ้นทางผ่าน interface ของมั น โดยรวมไม่ดนัก
ี
2. Router มีการ share ข ้อมูลของเส ้นทางและmessage กับrouter อืน ทีใช ้ 2. อาจโดนดักอ่านข ้อมูลได ้
routing protocol เดียวกัน
3. Router แลกเปลียน ข ้อมูลของเส ้นทางในการเรียนรู ้เกียวกับ remote networks
4. เมือ router รับรู ้ว่ามีการเปลียนแปลง topology แล ้ว routing protocol สามารถ
ทีจะกระจายข่าวไปยัง router อืนได ้
13
- 14. 21-Aug-12
้
วิธการค้นหาเสนทางเดินข้อมูล
ี
• เส ้นทางเดินข ้อมูลจากโหนดหนึงไปยังอีกโหนดหนึง อาจเปน ็
้
เสนทางเด ิมเสมอ หรืออาจเปลยนแปลง ยนแปลงไปตามสถานะของ
ี
ระบบเครือข่ายในขณะทีส่งข ้อมูล
• ถ ้าใช้เส้นทางเดิมทุกครังทีส่งข ้อมูลไปยังโหนดเดิม แสดงว่า
ใช้
เปรมฤทัย ระบบเครือข่ายใช้วธการค้นหาเส้นทางแบบสถิตย์ (Static
ิ ี
Routing)
• อย่างไรก็ตามถ ้าส่วนหนึงของเส ้นทางทีกําหนดไวใน ตารางไม่
้
สามารถใช ้การได ้ ก็จะทําให ้ไม่สามารถส่งข ้อมูลได ้
ี ้
วิธการค้นหาเสนทางเดินข้อมูล (ต่อ) ้
วิธการค้นหาเสนทางเดินข้อมูล (ต่อ)
ี
ี ้
วิธการค ้นหาเสนทาง (Route) ทีข ้อมูลเดินทางจากผู ้ส่ง ้
วิธการค ้นหาเสนทางเดินข ้อมูล แบ่งออกเป็ นสองวิธคอ
ี ี ื
ข ้อมูลไปยังผู ้รับข ้อมูลเป็ นหน ้าทีหลักของโปรแกรมในชันสือสาร - การค ้นหาเส ้นทางแบบสถิต (Static Routing)
นี เส ้นทางดังกล่าว มีความหมายเหมือนกับการคนหาเสนทาง้ ้
- การค ้นหาเส ้นทางแบบพลวัต (Adaptive or Dynamic
จากจุดหนึงไปยังอีกจุดหนึง เช่น จากกรุงเทพฯ ไปยังหนองคาย Routing)
ซึงอาจหมายถึงการใช ้ถนนเพียงเส ้นเดียวก็สามารถ ไปถึง
จุดหมายได ้ หรืออาจต ้องใช ้ถนนหลายเสนกว่าทีจะไปถึง
้
จุดหมายได ้ ปั ญหาทีอาจเกิดขึนได ้นันมากมาย เช่น ถนนเดิมที
เคยใช ้เดินทางอาจถูกนํ าท่วมหรือเกิดอุบัตเหตุทําให ้ไม่สามารถ
ิ
ใช ้เส ้นทางนีได ้ ก็จําเป็ นจะต ้องหาเส ้นทางอืนทีสามารถเดินทาง
ไปยังจุดหมายได ้เหมือนเดิม
้
วิธการค้นหาเสนทางเดินข้อมูล (ต่อ)
ี
้
การค้นหาเสนทางแบบสถิต (Static Routing)
้
จะทําการค ้นหาเสนทางส่งข ้อมูลไปยัง เป้ าหมายและบันทึกไว ้
เป็ นการถาวร การส่งข ้อมูลไปยังเป้ าหมายเดิมก็จะใช ้ข ้อมูลนี
เหมือนกันทุกครัง แต่ถ ้าเส ้นทางทีเคยใช ้ถูกปิ ดกันก็จะไม่
สามารถส่งข ้อมูลไปยังเป้ าหมายได ้เลย วิธนทําให ้การคนหา
ี ี ้
เส ้นทางง่ายไม่ซบซ ้อน แต่ก็ไม่มความคล่องตัว คือจะทํางาน
ั ี นัทธีวรรณ
เหมือนรถโดยสารประจําทางทีจะต ้องใช ้ เส ้นทางเดิมเสมอ
แม ้ว่าการจราจรในเส ้นทางนันจะหนาแน่นหรือติดขัดมากก็ตาม
หนทางแก ้ปั ญหาทางหนึงคือ การจัดทําตารางเส ้นทางข ้อมูล
เรียกว่า Dynamic Routing Table ทีมีการตรวจสอบสภาพความ
เป็ นจริงทีเกิดขึนในขณะนันอยู่เสมอ
14
- 15. 21-Aug-12
ี ้ ้
วิธการคนหาเสนทางเดินแบบพลวัต
• วิธค ้นหาเส ้นทางแบบพลวัต (Adaptive or
ี
การค ้นหาเส ้นทางเดินข ้อมูลบน Dynamic Routing) หมายถึง การส่งข ้อมูลทีไม่
ระบบเครือข่าย จําเป็ นต ้องส่งไปยังเส ้นทางเดิมเสมอ หรือ มี
เส ้นทางเผือเลือกในการส่งข ้อมูล
ในปั จจุ บั น ระบบเครือ ข่ า ยเกือ บทั งหมด
เ ลื อ ก ใ ช ้ว ิ ธ ี ค ้น ห า เ ส ้น ท า ง แ บ บ พ ล ว ั ต
(Adaptive or Dynamic Routing) ซึงจะเลือก เลื
• วิธนีจะค ้นหาเส ้นทางไปยั งเป้ าหมายทุกครั งที
ี ้
เส น ทางเมือมีผู ้ต อ งการส่ง ข้อ มู ล เกิด ขึน
้
ต ้องการส่งข ้อมูล ดังนั นจึง ไม่ ม ีปัญหาใด ๆ ถ ้า ก่อ นเท่ า น น จึง สามารถกํ า หนดเงือนไขที
ั
เส ้นทางทีเคยใช ้ถูกปิ ดกันระบบทีใช ้วิธการนีจะ ี ต ้องการให ้สอดคล ้องกับผู ้ใช ้ในขณะนันได ้
้
ทํ า ก า ร ค น ห า เ ส น ท า ง อื น ท ด แท น ใ น ทั น ที
้
้
อย่ า งไร ก็ ต า ม วิธ ี ก า ร นี ซั บ ซ อ นม า กจ ะต อ ง
้ เช่น ต ้องการใช ้เส ้นทางทีสันทีสุด เสีย
เสียเวลาในการค ้นหาข ้อมูลทุกครังทีจะส่งข ้อมูล ค่าใช ้จ่ายน ้อยทีสุด หรือเส ้นทางทีเร็วทีสุด
การค ้นหาการทางเดิน
ข ้อมูลอาจเปรียบเหมือน ข้อดี วิธีการพลวัต คือ นําข้อมูลทีเกิดขึนในขณะนันมาใช้ซึงเป็ น
ข้
ลักษณะของระบบเครื อข่ายทัวไป คือมีการเปลียนแปลงเกิดขึน
การใช ้ถนน ตลอดเวลา
ดังนันจึงสามารถหลีกเลียงเส้ นทางทีใช้ การไม่ ได้ และสามารถค้นหา
เส้ นทางทีดีทสุดได้ เสมอ
ี
ข้ อเสีย คือ จะต้ องเสียเวลาในการค้ นหาเส้ นทางก่ อนการส่ งข้อมูลทุก
ครังแม้ ว่าจะส่ งข้อมูลไปยังโหนดเดิม
งแม้
15
- 16. 21-Aug-12
จบการนําเสนอ นวพร
• การค ้นหาเส ้นทางการกระจายข่าว (Broadcast
Routing) ใช ้วิธส่งข่าวไปยังโหนดทุกโหนดในระบบ
ส่
ี
เครือข่าย
• ตัวอย่างเช่น โพรโทคอล CSMA/CD ทีใช ้ในระบบ
เครือข่ายเฉพาะบริเวณ
้
การค้นหาเสนทางการกระจายข่าว • ข ้อมูลจะถูกส่งออกไปในสายสือสารทีเชือมต่อโหนด
(Broadcast Routing) ทังหมดเข ้าด ้วยกัน ดังนันทุกโหนดจึงได ้รับข ้อมูลชุดนี
เหมือนกัน แต่จะมีโหนดทีเป็ นผู ้รับทีแท ้จริงเท่านันทีจะ
นํ าข ้อมูลนีไปใช ้
• วิธการส่งข่าวแบบกระจายอีกแบบหนึงเรียกว่า วิธฟ
ี ี
ลัดดิง (Flooding) ข ้อมูลจะถูกส่งไปยังโหนดข ้างเคียง
ทุกโหนดพร ้อมกัน
นนธิยา
แสดงการส่ งข้ อมูลกระจายข่ าวแบบฟลัดดิง
16
- 17. 21-Aug-12
ระบบเครือข่ายสาธารณะ เครือข่ายสาธารณะ
(Public Network)
• เครือข่ายสาธารณะ (PDNs) หรือทีบางครัง
เรียกว่า เครือข่ายมูลค่าเพิม (Value Assed)
เป็ นระบบเครือข่ายระยะไกล (WAN) ซึงองค์กร
ทีได ้รับสัมปทานทําการจัดตังขึน เพือให ้บุคคล
ทัวไปหรือองค์กรอืน ๆ ทีไม่ต ้องการวาง
เครือข่ายเองสามารถแบ่งกันเช่าใช ้งานได ้ โดย
การจัดตังอาจทําการวางโครงข่ายช่องทางการ
สือสารเอง หรือเช่าใช ้ช่องทางการสือสาร
สาธารณะก็ได ้
• ระบบเครือข่ายสาธารณะ จะนิยมใช ้ในการ • ระบบเครือข่ายสาธารณะ เป็ นระบบทีอยู่ในความ
เชือมต่อระบบเครือข่ายแบบ WAN กันมาก ดูแลของผู ้ให ้บริการสาธารณะ (Common
เนืองจากมีคาใช ้จ่ายตํากว่าการจัดตังเครือข่าย
่ Carrier ) และประชาชนทัวไปสามารถเข ้าใช ้
ส่วนตัว สามารถใช ้งานได ้ทันทีโดยไม่ต ้อง บริการได ้ เช่น ระบบเครือข่ายโทรศัพท์มองค์กรี
เสียเวลาในการจัดตังเครือข่ายใหม่ รวมทังมี การโทรศัพท์เป็ นผู ้ดูแล หรือผู ้ให ้บริการไอเอสพี
บริการให ้เลือกอย่างหลาย ๆ ซึงแตกต่างกันไป (Internet Service Provider ; ISP)
ทังในส่วนของราคา ความเร็ว ขอบเขตพืนที
บริการ และความเหมาะสมกับงานแบบต่าง ๆ
ระบบเครือข่ายสาธารณะ
• เครือข่ายสาธารณะ (Public Network) 1. ข้อดี คือมีขอบเขตทีกว ้างขวาง ซึงสร ้างระบบ
เครือข่ายโทรศัพท์สาธารณะ (Public Switched เครือข่ายส่วนตัวอาจไม่สามารถทําได ้ หรือต ้อง
Telephone Network , PSTN) เป็ นเครือข่าย ใช ้เงินลงทุนสูงมาก เช่น การวางเครือข่าย
การสือสารข ้อมูลสาธารณะแบบง่ายและสะดวก สือสารไปยังต่างประเทศสามารถใช ้บริการสาย
ทีสุดการรับส่งข่าวสารข ้อมูลจะผ่านทาง
เครือข่ายโทรศัพท์ สาธารณะของ สือสารเช่าจากองค์กรโทรศัพท์ได ้ในราคาทีถูก
องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (หรือ กว่าการวางสายสือสารเอง นอกจากนีระบบ
เครือข่ายการโทรศัพท์สาธารณะในท ้องถิน เครือข่ายสาธารณะยังใช ้สายสือสารได ้คุ ้มค่า
นันๆ) โดยจะให ้บริการใน มากกว่าสายสือสารส่วนบุคคลมาก
ท ้องถินทางไกล
17