More Related Content
Similar to บทที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสารสนเทศ (20)
More from chushi1991 (13)
บทที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสารสนเทศ
- 1. บทที่ ١ ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสารสนเทศ
ในปัจจุบันการแข่งขันทางธุรกิจต้องอาศัยข้อมูลเป็นหลัก จึง
มีการนำาเทคโนโลยีมาช่วยจัดการข้อมูลอย่างมาก การใช้ข้อมูลใน
การตัดสินใจลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ ข้อมูลเป็นหัวใจของการ
ดำาเนินงานเป็นแหล่งความรูที่ใช้ประกอบการตัดสินใจ บริษัทหรือ
้
องค์การจึงดำาเนินการอย่างจริงจังให้ได้มาซึ่งข้อมูล และปกป้อง
ดูแลข้อมูลของตนเป็นอย่างดี เพราะข้อมูลเป็นสิ่งมีค่ามีราคา การ
โจรกรรมข้อมูลโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ จึงเป็นปัญหาสำาคัญที่
เกิดขึ้น ดังที่ปรากฏเป็นข่าวทั้งในประเทศและต่างประเทศ
รูปที่ 2.1 กระดานอิเล็กทรอนิกส์แสดงราคาหลักทรัพย์
ข้อมูล (Data)
หมายถึง ข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่ง
ต่างๆ เช่น คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ฯลฯ ข้อมูลจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยว
กับเหตุการณ์ของสิ่งต่าง ๆ ทีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการรวบรวม
่
ข้อมูลอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ดังจะเห็นจากกระบวนการการ
เลือกตั้งที่ผ่านมา หลายพรรคการเมืองมีการเทคโนโลยีรวบรวม
ข้อมูล หาวิธีการที่จะให้ได้ข้อมูลอย่างรวดเร็ว และเมื่อสถานการณ์
หรือเหตุการณ์บางอย่างผันแปรขึ้น การเตรียมการหรือการแก้
สถานการณ์จะดำาเนินการได้อย่างทันท่วงที
กรรมวิธีการรวบรวมข้อมูล เป็นจุดเริ่มต้น
ของการดำาเนินงาน การรวบรวมข้อมูลที่ดีจะได้ข้อมูลรวดเร็ว ถูก
ต้องแม่นยำา ครบถ้วน ดังนั้นผู้ดำาเนินการจะต้องให้ความสำาคัญที่
จุดนี้โดยเฉพาะความรวดเร็ว ความรวดเร็วของการเก็บข้อมูลจึง
ผูกพันกับเทคโนโลยีซงมีหลายวิธี เช่น การใช้ไปรษณีย์
ึ่
อิเล็กทรอนิกส์ การเชื่อมต่อกับระบบปลายทางเพื่อรับข้อมูล การ
- 2. ใช้โทรสาร การใช้ระบบอ่านข้อมูลอัตโนมัติ เช่น เครื่องกราดตรวจ
(scaner) อ่านข้อมูลที่เป็นรหัสแท่ง (barcode)
จากที่กล่าวมาแล้วว่า ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงหรือ
เหตุการณ์เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ เช่น คน สถานที่ สิ่งของต่างๆ
ซึ่งมีการเก็บรวบรวมเอาไว้ และสามารถเรียกเอามาใช้
ประโยชน์ได้ในภายหลัง ข้อมูลจึงจำาเป็นต้องเป็นข้อมูลที่ดีมี
ความถูกต้องแม่นยำาสำาหรับ สารสนเทศ หมาย
ถึง สิ่งที่ได้จากการนำาข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้มาประมวลผล
เพื่อนำามาใช้ประโยชน์ตามจุดประสงค์ สารสนเทศ จึงหมาย
ถึง ข้อมูลที่ผ่านการเลือกสรรให้เหมาะสมกับการใช้งานให้
ทันเวลา และอยูในรูปที่ใช้ได้ สารสนเทศที่ดีต้องมาจาก
่
ข้อมูลที่ดี การจัดเก็บข้อมูลและสารสนเทศจะต้องมีการ
ควบคุมดูแลเป็นอย่างดี เช่น อาจจะมีการกำาหนดให้ผู้ใดบ้าง
เป็นผู้มีสิทธิ์ใช้ข้อมูลได้ ข้อมูลที่เป็นความลับจะต้องมีระบบ
ขั้นตอนการควบคุม กำาหนดสิทธิ์ในการแก้ไขหรือการกระทำา
กับข้อมูลว่าจะกระทำาได้โดยใครบ้าง นอกจากนี้ข้อมูลที่เก็บ
ไว้แล้วต้องไม่เกิดการสูญหายหรือถูกทำาลายโดยไม่ได้ตั้งใจ
การจัดเก็บข้อมูลที่ดี จะต้องมีการกำาหนดรูปแบบ
ของข้อมูลให้มลักษณะง่ายต่อการจัดเก็บ และมีรูปแบบ
ี
เดียวกัน ข้อมูลแต่ละชุดควรมีความหมายและมีความเป็น
อิสระในตัวเอง นอกจากนี้ไม่ควรมีการเก็บข้อมูลซำ้าซ้อน
เพราะจะเป็นการสิ้นเปลืองเนื้อที่เก็บข้อมูล
รูปที่ 2.2 แสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลและสารสนเทศ
ตัวอย่างข้อมูลและสารสนเทศ
- 3. รูปที่ 2.3 ตัวอย่างระเบียนประวัติของนักเรียน
ข้อความบนระเบียนประวัติของนักเรียนจากรูปที่ 2.3 ทำาให้
ทราบว่า เพชร แข็งขัน เป็นนักเรียนชาย เกิดวันที่ 12 เดือน
มกราคม ปีพทธศักราช 2525 ดังนั้นข้อความ เพชร แข็งขัน ขาย
ุ
และ 12 ม.ค. 2525 ทีอยู่บนระเบียนประวัตินักเรียนจึงเป็นข้อมูล
่
ถ้ามีการนำาข้อมูลเกี่ยวกับปีเกิดของนักเรียนทั้งโรงเรียนจาก
ระเบียนประวัติไปแจกแจงตามปีเกิด ตามรูปที่ 2.4
รูปที่ 2.4 การแจกแจงข้อมูลปีเกิดของนักเรียนทังโรงเรียน
้
จำานวนนักเรียนที่ได้จากการแจกแจงข้อมูลตามปีเกิดจะเป็น
สารสนเทศที่เกิดจากการนำาข้อมูลไปทำาการประมวลผล
ในบางครั้งผลสรุปจากการประมวลผลข้อมูลแบบหนึ่ง อาจ
นำาไปใช้เป็นข้อมูลในการประมวลผลอีกแบบหนึงก็ได้ เช่น ในการ
่
หาระดับคะแนนเฉลี่ยวิชาต่าง ๆ ของนักเรียนจะต้องเริ่มจากการหา
ระดับคะแนนของแต่ละวิชาของนักเรียน จากข้อมูลคะแนนของ
นักเรียนแล้วหาระดับคะแนนเฉลียของนักเรียน จากข้อมูลข้อมูลที่
่
เป็นระดับคะแนนระดับวิชาซึ่งเป็นสารสนเทศจากการหาระดับ
คะแนน
- 4. คุณสมบัติของข้อมูล
การจัดเก็บข้อมูลจำาเป็นต้องมีความพยายามและ
ตั้งใจดำาเนินการ หรือกล่าวได้วาการได้มาซึ่งข้อมูลที่จะนำามาใช้
่
ประโยชน์ องค์การจำาเป็นต้องลงทุน ทังในด้านตัวข้อมูล
้
เครื่องจักร และอุปกรณ์ ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรขึ้นมารองรับ
ระบบ เพื่อให้ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการระบบข้อมูลจึง
ต้องคำานึงถึงปัญหาเหล่านี้ และพยายามมองปัญหาแบบที่เป็นจริง
สามารถดำาเนินการได้ ให้ประสิทธิผลคุ้มค่ากับการลงทุน ดังนั้น
การดำาเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งสารสนเทศที่ดี ข้อมูลจะต้องมี
คุณสมบัติขั้นพื้นฐาน ดังนี้
1) ความถูกต้อง หากมีการเก็บรวบรวมข้อมูลแล้วข้อมูลเหล่านั้น
เชื่อถือไม่ได้จะทำาให้เกิดผลเสียอย่างมาก ผู้ใช้จะไม่กล้าอ้างอิง
หรือนำาเอาไปใช้ประโยชน์ ซึ่งเป็นเหตุให้การตัดสินใจของผู้
บริหารขาดความแม่นยำา และอาจมีโอกาสผิดพลาดได้ โครงสร้าง
ข้อมูลที่ออกแบบต้องคำานึงถึงกรรมวิธีการดำาเนินงานเพื่อให้ได้
ความถูกต้องแม่นยำามากที่สุด โดยปกติความผิดพลาดของ
สารสนเทศส่วนใหญ่ มาจากข้อมูลที่ไม่มีความถูกต้องซึ่งอาจมี
สาเหตุมาจาก คนหรือเครื่องจักร การออกแบบระบบจึงต้องคำานึง
ถึงในเรื่องนี้
2) ความรวดเร็วและเป็นปัจจุบน การได้มาของข้อมูลจำาเป็น
ั
ต้องให้ทันต่อความต้องการของผู้ใช้ มีการตอบสนองต่อผู้ใช้ได้
เร็ว ตีความหมายสารสนเทศได้ทันต่อเหตุการณ์หรือความต้องการ
มีการออกแบบระบบการเรียกค้น และรายงานตามความต้องการ
ของผู้ใช้
3) ความสมบูรณ์ ความสมบูรณ์ของสารสนเทศขึ้นกับการ
รวบรวมข้อมูลและวิธีการทางปฏิบัติด้วย ในการดำาเนินการจัดทำา
สารสนเทศต้องสำารวจและสอบถามความต้องการใช้ข้อมูลเพื่อให้
ได้ข้อมูลที่มีความสมบูรณ์ในระดับหนึ่งที่เหมาะสม
4) ความชัดเจนและกะทัดรัด การจัดเก็บข้อมูลจำานวนมากจะ
ต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลมากจึงจำาเป็นต้องออกแบบ
โครงสร้างข้อมูลให้กะทัดรัดสื่อความหมายได้ มีการใช้รหัสหรือ
ย่นย่อข้อมูลให้เหมาะสมเพื่อที่จะจัดเก็บเข้าไว้ในระบบ
คอมพิวเตอร์
5) ความสอดคล้อง ความต้องการเป็นเรื่องที่สำาคัญ ดังนั้นจึง
ต้องมีการสำารวจเพื่อหาความต้องการของหน่วยงานและองค์การ
ดูสภาพการใช้ข้อมูล ความลึกหรือความกว้างของขอบเขตของ
- 5. ข้อมูลที่สอดคล้องกับความต้องการ
ความสำาคัญของข้อมูล
ข้อมูลมีความสำาคัญเพราะหากขาดข้อมูล จะกระทำาการบาง
สิ่งอาจทำาไม่ได้หรือเกิดการผิดพลาดเสียหายได้ เช่น ผู้รับเหมา
สร้างบ้านแต่ไม่มีข้อมูลความต้องการของผู้ว่าจ้างในการสร้างบ้าน
ก็ไม่สามารถสร้างบ้านได้ หรือ การส่งเนื้อสัตว์ไปขายในบริเวณที่
ประชาชนเป็นคนมังสวิรัติไม่กินเนื้อสัตว์ อาจเขียนแผนภาพแสดง
ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลกับการตัดสินใจกระทำาการสิ่งต่าง ๆ
ดังนี้
เสาะหา
ข
ข้
ข อมูล
บันทึก
ข
ข้
ข อมูล
มีข้อมูลสำาหรับ ไม่เพียง
ต
ตั
ต ดสินใจ พ
พอ
พ
เพียง
พ
พอ
พ
ต
ตัดสินใจ
ต
ประเภทของข้อมูล
การแบ่งประเภทของข้อมูลแบ่งได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับ
เกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งซึ่งอาจแตกต่างกันไปขึ้นกับจุดประสงค์หรือ
ความต้องการในการใช้ข้อมูล ในทีนี้จะแสดงการแบ่งประเภทของ
่
ข้อมูลเพื่อเป็นตัวอย่าง ดังเช่น
1. ประเภทของข้อมูลเมื่อจำาแนกตามรูปลักษณะของข้อมูล
2. ประเภทของข้อมูลเมื่อจำาแนกตามลักษณะแหล่งเกิด
ข้อมูล
3. ประเภทของข้อมูลเมื่อจำาแนกตามแหล่งทีมาของข้อมูล
่
ประเภทของข้อมูลเมื่อจำาแนกตามรูปลักษณะของข้อมูล
1. ข้อมูลตัวเลข คือ ข้อมูลที่ใช้แทนจำานวน เช่น ราคานำ้ามัน
ปริมาณนำ้าในเขื่อน อุณหภูมิ
- 6. 2. ข้อมูลอักขระ คือ ข้อมูลที่เป็นตัวอักษร ตัวเลข และ
สัญลักษณ์ ต่าง ๆ เช่น ที่อยู่ ประกอบ ด้วยตัวเลข คือ เลขที่บ้าน
และอาจมีเครื่องหมายประกอบ เช่น / และตัวอักษร คือ ชื่อถนน
ตำาบล ฯลฯ
3.ข้อมูลภาพ คือ ข้อมูลภาพถ่าย หรือ ภาพวาด ภาพลายเส้น
เช่น ภาพคน แบบก่อสร้างอาคาร ลายนิ้วมือภาพวาดทิวทัศน์
ฯลฯ
4.ข้อมูลเสียง ได้แก่เสียงต่าง ๆ ที่บันทึกไว้ เช่น เสียงคน เสียง
ดนตรี ฯลฯ
ประเภทของข้อมูลเมื่อจำาแนกตามลักษณะแหล่งเกิดข้อมูล
1.ข้อมูลสิ่งแวดล้อม ได้แก่ข้อมูลของสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมและ
ในโลก ทำาให้ทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เช่น ราคานำ้ามัน สภาพ
ภูมิอากาศ การประท้วงของประชาชนในประเทศต่าง ๆ ฯลฯ
2.ข้อมูลหน่วยงาน คือ ข้อมูลทีแสดงความเป็นไปหรือสภาพใน
่
หน่วยงาน เช่น ประวัติพนักงาน รายงานต่าง ๆ เกี่ยวกับหน่วยงาน
ฯลฯ
3.ข้อมูลส่วนตัว คือ ข้อมูลส่วนตัวของบุคคลต่าง ๆ เช่น นำ้า
หนักตัว ส่วนสูง วันเดือนปีเกิด กลุ่มเลือด
4.ข้อมูลวิทยาศาสตร์ คือ ข้อมูลเกี่ยวกับทางวิทยาศาสตร์ อาจ
เป็นข้อมูลที่พิสูจน์แล้ว หรือกฎเกณฑ์และทฤษฎีต่าง ๆ เช่น
ความเร็วของแสง หรือข้อมูลที่ได้จากการวัดหรือการสังเกตต่าง ๆ
เช่น ปริมาณธาตุต่าง ๆในดิน ณ ที่ดินแห่งหนึ่ง ลักษณะทาง
พันธุกรรมของพืชที่ได้จากการผสมขึ้นมาใหม่ ฯลฯ
5.ข้อมูลข่าวและเอกสาร ได้แก่ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับเอกสารที่มี
ผู้จัดพิมพ์ขึ้น ข้อมูลประเภทนี้มีมากในห้องสมุดต่าง ๆ เช่น ชื่อผู้
แต่ง ชื่อหนังสือ เนื้อหาสาระในหนังสือ
ประเภทของข้อมูลเมื่อจำาแนกตามแหล่งที่มาของข้อมูล อาจ
แบ่งประเภทของข้อมูลเป็น 2 ประเภท คือ ข้อมูลปฐมภูมิ กับ
ข้อมูลทุติยภูมิ
ข้อมูลปฐมภูมิ คือ ข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมหรือ
บันทึกจากแหล่งข้อมูลโดยตรง อาจได้จากการสอบถาม การ
สัมภาษณ์ การสำารวจ การจดบันทึก ตลอดจนได้มาจากเครื่องมือ
- 7. วัดต่าง ๆ ข้อมูลปฐมภูมิจึงเป็นข้อมูลพื้นฐานที่ได้มาจากจุดกำาเนิด
ของข้อมูล
ข้อมูลทุติยภูมิ หมายถึงข้อมูลที่มีผู้อื่นรวบรวมไว้แล้วบาง
ครั้งอาจมีการประมวลผลเป็นสารสนเทศไปแล้ว ผู้ใช้ข้อมูลไม่ได้
ไปสำารวจเอง ตัวอย่างเช่นข้อมูลสถิติต่าง ๆ ที่มีผทำาไว้อาจเป็น
ู้
หน่วยราชการ หรือหน่วยงานอื่น ๆ
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)
เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับข่าวสารข้อมูลและการสื่อสาร นับ
ตั้งแต่การสร้าง การนำามาวิเคราะห์หรือประมวลผล การรับและส่ง
ข้อมูล การจัดเก็บและการนำาไปใช้งานใหม่ เทคโนโลยีเหล่านี้มัก
จะหมายถึง คอมพิวเตอร์ ซึ่งประกอบด้วยส่วนอุปกรณ์
(hardware) ส่วนคำาสั่ง (software) และส่วนข้อมูล (data) และ
- 8. ระบบการสื่อสารต่าง ๆ ไม่วาจะเป็นโทรศัพท์ ระบบสื่อสารข้อมูล
่
ดาวเทียมหรือเครื่องมือสื่อสารใด ๆ ทั้งมีสายและไร้สาย (ความ
หมายตามที่ให้ไว้ในแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการ
สื่อสารของประเทศไทย พ.ศ. 2545-2549) เทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่อสารมีความจำาเป็นต่อชีวิตประจำาวันทุกวันนี้
อย่างยิ่ง จึงตั้งหน่วยงานขึ้นรองรับและบริการ เกิดเป็นกระทรวง
ใหม่ชื่อ "กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร-Ministry
of Information and Communication Technology" หรือ
กระทรวงไอซีท-ICT ี
เทคโนโลยีสารสนเทศ (information technology) , ไอที
(IT) หรือ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (information
and communications technology) , ไอซีที (ICT) หมายถึง
เทคโนโลยีสำาหรับการประมวลผลสารสนเทศ ซึงครอบคลุมถึงการ
่
รับ-ส่ง, แปลง, จัดเก็บ, ประมวลผล, และค้นคืนสารสนเทศ
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หมายถึง เทคโนโลยี
ที่เกี่ยวข้องกับข่าวสารข้อมูลและการสื่อสาร นับตั้งแต่การสร้าง
การนำามาวิเคราะห์หรือประมวลผล การรับและส่งข้อมูล การจัดเก็บ
และการนำาไปใช้งานใหม่ เทคโนโลยีเหล่านี้มักจะหมายถึง
คอมพิวเตอร์ซึ่งประกอบด้วยส่วนอุปกรณ์ (hardware) ส่วนคำาสั่ง
(software) และส่วนข้อมูล (data) และระบบการสื่อสารต่าง ๆ ไม่
ว่าจะเป็นโทรศัพท์ ระบบสื่อสารข้อมูล ดาวเทียมหรือเครื่องมือ
สื่อสารใด ๆ ทังมีสายและไร้สาย (ครูนายูลา : 2008)
้
จากความหมายข้างต้น สรุปได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสื่อสาร หมายถึง ข้อมูลทีได้ถูกผ่านกระบวนการต่างๆกลั่น
่
กรองมาเป็นข้อมูลสารสนเทศ ซึ่งเป็นทั้งเทคโนโลยีและการ
สื่อสาร อาจเรียกได้วาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารนับ
่
ตั้งแต่การสร้าง การนำามาวิเคราะห์หรือประมวลผล การรับและส่ง
ข้อมูล การจัดเก็บและการนำาไปใช้งานใหม่
ความสำาคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
- 9. มี 5 ประการ ได้แก่
ประการแรก การสื่อสารถือเป็นสิ่งจำาเป็นในการดำาเนิน
กิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ สิ่งสำาคัญที่มี ส่วนในการพัฒนากิจกรรม
ต่าง ๆ ของมนุษย์ประกอบด้วย Communications media, การสื่อ
สารโทรคมนาคม (Telecoms), และเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)
ประการที่สอง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์หลักที่มากไปกว่าโทรศัพท์และ
คอมพิวเตอร์ เช่น แฟกซ์, อินเทอร์เน็ต, อีเมล์ ทำาให้สารสนเทศ
เผยแพร่หรือ
กระจายออกไปในที่ต่าง ๆ ได้สะดวก
ประการที่สาม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีผล
ให้การใช้งานด้านต่าง ๆ มีราคาถูกลง
ประการที่สี่ เครือข่ายสื่อสาร (Communication networks)
ได้รับประโยชน์จากเครือข่ายภายนอก เนื่องจากจำานวนการใช้
เครือข่าย จำานวนผู้เชื่อมต่อ และจำานวนผู้ที่มีศักยภาพในการเข้า
เชื่อมต่อกับเครือข่ายนับวันจะเพิ่มสูงขึ้น
ประการที่ห้า เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทำาให้
ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ และต้นทุนการใช้ ICT มีราคาถูกลงมาก
วิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
- 10. มนุษย์มีการใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีต่างๆเพื่อการสื่อสาร
มาเป็นเวลานานนับพันปี จากภาพที่ 1 จะเห็นว่า ในระยะแรกนั้น
มนุษย์ใช้เทคโนโลยีที่ประดิษฐ์ขึ้นจากธรรมชาติ เช่น แผ่นปาปีรัส
การตีกลอง การเป่าเขาสัตว์ จนกระทั่งมีการประดิษฐ์หนังสือพิมพ์
ขึ้นประมาณ 59 ปีก่อนคริสตกาล การสื่อสารด้วยเทคโนโลยี
อิเล็กทรอนิกส์เริ่มต้นขึ้นเมื่อมีการส่งสัญญาณโทรเลขในปี ค.ศ.
1838 และการเกิดขึ้นของวิทยุกระจายเสียงใน ค.ศ. 1848 ใน
ขณะเดียวกันนักประดิษฐ์ส่วนหนึ่งก็กำาลังพัฒนาเทคโนโลยี
คอมพิวเตอร์ขึ้นมา แต่ยังไม่สามารถนำามาใช้งานได้ทั่วไป สื่อ
โทรทัศน์เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1927 และช่วงทศวรรษที่ 1960s (ระห
ว่าง ค.ศ. 1960 – 1969) คอมพิวเตอร์ก็ถูกนำามาใช้แพร่หลายมาก
ขึ้น และมีการเชื่อมต่อเป็นเครือข่ายในเวลาต่อมา เทคโนโลยีที่
เรียกกันว่าเป็นสื่อสมัยใหม่อย่างอินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นในปี ค.ศ.
1983 และกลายเป็นเทคโนโลยีที่ปฏิวัติโลกการสื่อสารเลยทีเดียว
ในส่วนของเทคโนโลยีโทรศัพท์ไร้สายนั้น ยุคแรกของ
โทรศัพท์ไร้สายอยู่ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980s (ระหว่าง ค.ศ.
1980 – 1989) เทคโนโลยีโทรศัพท์มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
พร้อมศักยภาพที่สูงขึ้น ก้าวไปสู่โทรศัพท์ยุคที่ 2 และ 3 และ 4
ซึ่งทำาให้คนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้รวดเร็วทันใจ ด้วย
เทคโนโลยีทมีคุณสมบัติในการเคลื่อนที่ได้ (mobility) ตลอด
ี่
เวลา สามารถรับส่งข้อมูลได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษร
ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ภาพยนตร์ หรือรับฟังรายการวิทยุและรับ
ชมรายการโทรทัศน์ได้จากโทรศัพท์ที่อยู่ในมือเราเท่านั้น
- 11. ภาพที่ 1: วิวัฒนาการของเทคโนโลยีการสื่อสาร
การจัดการข้อมูลด้วยระบบการจัดการฐานข้อมูล
การจัดเก็บข้อมูลทีมีปริมาณมากๆ ในระบบคอมพิวเตอร์โดย
่
การเก็บไว้ในแฟ้มข้อมูลแต่ละแฟ้ม อาจเกิดปัญหาข้อมูลซำ้าซ้อน
กัน เมื่อมีการแก้ไขข้อมูลที่มีอยู่หลายแฟ้มข้อมูล จนทำาให้ข้อมูลมี
ความขัดแย้งกันเอง จึงได้มีการเปลี่ยนการจัดเก็บข้อมูลให้อยูใน ่
รูปของฐานข้อมูลแทนเพื่อความสะดวกในการบันทึกข้อมูล แก้ไข
ข้อมูล และค้นหาข้อมูล 1. ความ
หมายของฐานข้อมูลและระบบการจัดการฐานข้อมูล
“ ฐานข้อมูล ” (database) หมายถึง การ
จัดรวบรวมข้อนิเทศหรือข้อมูลของเรื่องต่างๆ ไว้ในรูปแบบที่จะ
เรียกมาใช้ได้ทันทีเมื่อต้องการ ในการเรียกนั้น อาจเรียกเพียงส่วน
ใดส่วนหนึ่งมาใช้ประโยชน์เป็นครั้งเป็นคราวก็ได้ ฐานข้อมูลที่ดี
ควรจะได้รบการปรับให้ทันสมัยอยู่เสมอ
ั นอกจากนี้ กิตติ
ภักดีวัฒนะกุล (2547, หน้า 226) ยังได้สรุปความหมายของฐาน
ข้อมูล ว่าคือ กลุ่มของแฟ้มข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันและถูกนำามา
รวมกัน เช่น ฐานข้อมูลในบริษัทแห่งหนึ่งอาจประกอบไปด้วยแฟ้ม
ข้อมูลหลายแฟ้มข้อมูล ซึ่งแต่ละแฟ้มต่างก็มีความสัมพันธ์กัน
ได้แก่ แฟ้มข้อมูลพนักงาน แฟ้มข้อมูลแผนกในบริษัท แฟ้มข้อมูล
ขายสินค้า และแฟ้มข้อมูลสินค้า เป็นต้น สรุปได้วา “ฐาน
่
ข้อมูล” คือ การรวบรวมข้อมูลที่เราต้องการจะจัดเก็บ ซึ่งต้องมี
ความสัมพันธ์กันหรือเป็นเรื่องเดียวกันไว้ด้วยกัน เพื่อสะดวกในใช้
งาน “ระบบการจัดการฐานข้อมูล” (Data Base
Management System: DBMS) หมายถึง ซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้น
เพื่อรวบรวมข้อมูลให้เป็นระบบ เพื่อจะได้นำาไปเก็บรักษา เรียกใช้
หรือนำามาปรับปรุงให้ทันสมัยได้ง่าย ทังนี้จำาเป็นต้องคำานึงถึงการ
้
รักษาความปลอดภัยของข้อมูลเป็นเรื่องสำาคัญด้วย สรุปความ
หมายของระบบการจัดการฐานข้อมูล ว่าคือ โปรแกรมที่ใช้เป็น
เครื่องมือในการจัดการฐานข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยหน้าที่ต่างๆ ใน
การจัดการกับข้อมูล รวมทั้งภาษาที่ใช้ทำางานกับข้อมูล โดยมักจะ
ใช้ภาษา SQL ในการโต้ตอบระหว่างกันกับผู้ใช้ เพื่อให้สามารถ
กำาหนดการสร้าง การเรียกดู การบำารุงรักษาฐานข้อมูล รวมทังการ ้
- 12. จัดการควบคุมการเข้าถึงฐานข้อมูล ซึ่งถือเป็นการป้องกันความ
ปลอดภัยในฐานข้อมูล เพื่อป้องกันมิให้ผู้ที่ไม่มีสทธิการใช้งานเข้า
ิ
มาละเมิดข้อมูลในฐานข้อมูลที่เป็นศูนย์กลางได้ นอกจากนี้ DBMS
ยังมีหน้าทีในการรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยของข้อมูล
่
การสำารองข้อมูล และการเรียกคืนข้อมูลในกรณีที่ข้อมูลเกิดความ
เสียหาย
2. ประวัติความเป็นมาของระบบการจัดการฐานข้อมูล
การจัดการฐานข้อมูลเริ่มต้นจากการที่องค์การบริหารการบิน
และอวกาศสหรัฐอเมริกา หรือนาซาได้ว่าจ้างบริษทไอบีเอ็ม
ั
(IBM) ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้ออกแบบระบบเก็บรวบรวมข้อมูล
ที่ได้จากการสำารวจดวงจันทร์ในโครงการอะพอลโล (โครงการอะ
พอลโลเป็นโครงการสำารวจอวกาศอย่างจริงจัง และมีการส่งมนุษย์
ขึ้นบนดวงจันทร์ได้สำาเร็จด้วยยานอะพอลโล 11) ได้พัฒนาระบบ
การดูแลข้อมูลเรียกว่า ระบบ GUAM ( Generalized Upgrade
Access Method) ซึ่งถือเป็นต้นกำาเนิดของระบบการจัดการฐาน
ข้อมูล ต่อมาบริษท ไอบีเอ็ม ได้พัฒนาระบบการจัดการฐานข้อมูล
ั
ขึ้นมาใหม่เพื่อให้ใช้งานกับธุรกิจทั่วๆ ไปได้ เรียกว่า DL/I (Data
Language/I ) จนในที่สุดก็ได้กลายมาเป็นระบบ IMS
( Information Management System) ในช่วงปี พ.ศ. 2525 มี
การนำาระบบฐานข้อมูลเข้ามาใช้กับคอมพิวเตอร์อย่างเต็มที่ ได้มี
การคิดค้นและผลิตซอฟต์แวร์เกี่ยวกับฐานข้อมูลออกมามากมาย
การเจริญเติบโตของการจัดการฐานข้อมูลรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว
พร้อมกับระบบคอมพิวเตอร์และมีการพัฒนามาจนถึงทุกวันนี้
ปัจจุบันได้มีการนำาคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเก็บข้อมูล โดย
ใช้โปรแกรมสำาเร็จรูปทั่วไปโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องเขียนโปรแกรมเอง
เพียงแต่เรียนรู้คำาสั่งการเรียกใช้ข้อมูลหรือการจัดการข้อมูล เช่น
การป้อนข้อมูล การบันทึกข้อมูล การแก้ไขและเปลี่ยนแปลงข้อมูล
เป็นต้น ในอดีตยุคที่มีไมโครคอมพิวเตอร์เกิดขึ้นแรกๆ โปรแกรม
สำาเร็จรูปทางด้านการจัดการฐานข้อมูลที่นิยมใช้กันอย่างแพร่
- 13. หลาย คือ Personal Filling System) ต่อมาได้มีโปรแกรมฐาน
ข้อมูลเพิ่มขึ้นหลายโปรแกรม เช่น Datastar DB Master และ
dBASE II เป็นต้นโดยเฉพาะโปรแกรม dBASE II ได้รบความนิยม
ั
มาก จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2528 ผู้ผลิตได้สร้าง dBASE III Plus
ออกมาซึ่งสามารถจัดการฐานข้อมูลแบบสัมพันธ์ (relational)
เชื่อมโยงแฟ้มข้อมูลต่างๆ เข้าด้วยกัน ค้นหา และนำามาสร้างเป็น
รายงานตามความต้องการได้สะดวก รวดเร็ว ต่อมาได้มีการสร้าง
โปรแกรมสำาเร็จรูปเกี่ยวกับฐานข้อมูลออกมา เช่น FoxBASE,
FoxPro, Microsoft Access และ Oracle เป็นต้น
3. องค์ประกอบของระบบการจัดการฐานข้อมูล
ระบบการจัดการฐานข้อมูลประกอบด้วยส่วนสำาคัญหลักๆ 5
ส่วน คือ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ข้อมูล กระบวนการทำางาน และ
บุคลากร ดังรายละเอียดต่อไปนี้
3.1 ฮาร์ดแวร์ (hardware) หมายถึง คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์
ต่างๆ เพื่อเก็บข้อมูลและประมวลผลข้อมูล ซึ่งอาจประกอบด้วย
เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่หนึ่งเครื่องขึ้นไป หน่วยเก็บข้อมูลสำารอง
หน่วยนำาเข้าข้อมูล และหน่วยแสดงผลข้อมูล นอกจากนียังต้องมี
้
อุปกรณ์การสื่อสารเพื่อเชื่อมโยงอุปกรณ์ทางคอมพิวเตอร์หลายๆ
เครื่องให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ เป็นต้น โดยเครื่อง
คอมพิวเตอร์ที่จะใช้เป็นอุปกรณ์สำาหรับประมวลผลข้อมูลในฐาน
ข้อมูลนั้น สามารถเป็นได้ตั้งแต่เครื่องเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มินิ
คอมพิวเตอร์ หรือไมโครคอมพิวเตอร์ ซึงถ้าเป็นเครื่องเมนเฟรม
่
คอมพิวเตอร์หรือมินิคอมพิวเตอร์ จะสามารถใช้ต่อกับเทอร์มินัล
หลายเครื่อง เพื่อให้ผู้ใช้งานฐานข้อมูลหลายคน สามารถดึงข้อมูล
หรือปรับปรุงข้อมูลภายในฐานข้อมูลเดียวกันพร้อมกันได้ ซึ่งเป็น
ลักษณะของการทำางานแบบมัลติยูสเซอร์ (multi user) ส่วนการ
- 14. ประมวลผลฐานข้อมูลในเครื่องระดับไมโครคอมพิวเตอร์ สามารถ
ทำาการประมวลผลได้ 2 แบบ แบบแรกเป็นการประมวลผลฐาน
ข้อมูลในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว โดยมีผู้ใช้
งานได้เพียงคนเดียวเท่านั้น (single user) ที่สามารถดึงข้อมูล
หรือปรับปรุงข้อมูลภายในฐานข้อมูลได้ สำาหรับแบบที่สองจะ
เป็นการนำาไมโครคอมพิวเตอร์หลายตัวมาเชื่อมต่อกันในลักษณะ
ของเครือข่ายระยะใกล้ (Local Area Network : LAN) ซึ่งเป็นรูป
แบบของระบบเครือข่ายแบบลูกข่าย / แม่ข่าย (client / server
network) โดยจะมีการเก็บฐานข้อมูลอยู่ที่เครื่องแม่ข่าย (server)
การประมวลผลต่างๆ จะกระทำาที่เครื่องแม่ข่าย สำาหรับเครื่องลูก
ข่าย (client) จะมีหน้าที่ดึงข้อมูลหรือส่งข้อมูลเข้ามาปรับปรุงใน
เครื่องแม่ข่าย หรือคอยรับผลลัพธ์จากการประมวลผลของเครื่อง
แม่ขาย ดังนั้นการประมวลผลแบบนี้จงเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้
่ ึ
งานหลายคนสามารถใช้งานฐานข้อมูลร่วมกันได้ ระบบฐานข้อมูล
ที่มประสิทธิภาพดีต้องอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพ
ี
สูง คือสามารถเก็บข้อมูลได้จำานวนมากและประมวลผลได้อย่าง
รวดเร็ว เพื่อรองรับการทำางานจากผู้ใช้หลายคน ที่อาจมีการอ่าน
ข้อมูลหรือปรับปรุงข้อมูลพร้อมกันในเวลาเดียวกันได้
3.2 ซอฟต์แวร์ (software) หมายถึง โปรแกรมที่ใช้ในระบบ
การจัดการฐานข้อมูล ซึ่งมีการพัฒนาเพื่อใช้งานได้กับเครื่อง
ไมโครคอมพิวเตอร์จนถึงเครื่องเมนเฟรม ซึ่งโปรแกรมแต่ละตัวจะ
มีคุณสมบัติการทำางานทีแตกต่างกัน ดังนั้นในการพิจารณาเลือก
่
ใช้โปรแกรม จะต้องพิจารณาจากคุณสมบัติของโปรแกรมแต่ละตัว
ว่ามีความสามารถทำางานในสิ่งที่เราต้องการได้หรือไม่ อีกทั้งเรื่อง
ราคาก็เป็นเรื่องสำาคัญ เนื่องจากราคาของโปรแกรมแต่ละตัวจะไม่
เท่ากัน โปรแกรมที่มีความสามารถสูงก็จะมีราคาแพงมากขึ้น
นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาว่าสามารถใช้ร่วมกับฮาร์ดแวร์ และ
ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการที่เรามีอยู่ได้หรือไม่ ซึ่งโปรแกรมที่ใช้
ในการจัดการฐานข้อมูล ได้แก่ Microsoft Access, Oracle,
Informix, dBase, FoxPro, และ Paradox เป็นต้น