More Related Content
Similar to โครงงานสติ (20)
โครงงานสติ
- 2. แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง 33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6
ปีการศึกษา 2557
ชื่อโครงงาน สติ
ชื่อผู้ทาโครงงาน
1.นายพงศ์พิทักษ์ ปวงคาไหล เลขที่ 7 ชั้น ม.6 ห้อง 5
2.นายพงศ์ปณต วชิรวงศ์วรัณ เลขที่ 42 ชั้น ม.6 ห้อง 5
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2557
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 7. หลักการและทฤษฎี
สติคืออะไร
สติ คือ ความระลึกนึกได้ถึงความผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี เป็นสิ่งกระตุ้น
เตือนให้คิดพูดทาในสิ่งที่ถูกต้อง ทาให้ไม่ลืมตัว ไม่เผลอตัว ใช้ปัญญา
พิจารณา ใคร่ครวญสิ่งต่างๆ ได้
ธรรมชาติของจิตมีการนึกคิดตลอดเวลา การนึกคิดนี้ถ้าไม่มีสติ
กากับ ก็จะกลายเป็นความคิดฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ต่างๆ ใช้ประโยชน์
อะไรไม่ได้แต่ถ้ามีสติกากับแล้ว จะทาให้ไม่เผลอ ควบคุมความนึกคิดได้
ไม่ปล่อยใจให้เลื่อนลอยไป ไม่ปล่อยอารมณ์ให้เป็นไปตามสิ่งที่มากระทบ
- 14. คาอุปมาสติ
สติเสมือนเสาหลัก ปักแน่นในอารมณ์ คือ คนที่มีสติเมื่อจะ
ไตร่ตรองคิดในเรื่องใด ใจก็ปักแน่นคิดไตร่ตรองในเรื่องนั้นอย่างละเอียดถี่
ถ้วน ไม่คิด ฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น คิดไตร่ตรองจนเข้าใจแจ่มแจ้ง ทะลุปรุโปร่ง
ท่านจึงเปรียบสติเสมือนเสาหลัก
สติเสมือนนายประตู คือ สติจะทาหน้าที่เสมือนนายประตู คอยเฝ้าดู
สิ่งต่างๆ ที่จะผ่านเข้ามา กระทบใจ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ตลอดจนเฝ้าดูถึง
อารมณ์ที่ใจคิด ถ้าสิ่งใดเกิดขึ้น สติก็จะใคร่ครวญทันที ว่าควรปล่อยให้ผ่าน
ไปหรือไม่ หรือควรหยุดไว้ก่อน ปรับปรุงแก้ไข ให้ดีเสียก่อน
- 16. ประโยชน์ของสติ
1.ควบคุมรักษาสภาพจิตให้อยู่ในภาวะที่เราต้องการ โดยการตรวจตรา
ความคิด เลือกรับสิ่งที่ต้องการกันสิ่งที่ไม่ต้องการออกไป ตรึงกระแสความคิดให้
เข้าที่ ทาให้จิตเป็นสมาธิได้ง่าย เช่น จะดูหนังสือก็สนใจคิดติดตามไปตลอด ไม่
ฟุ้งซ่าน ไม่คิดเรื่องอื่น จะทาสมาธิใจก็จรดนิ่ง สงบตั้งมั่น ละเอียดอ่อนไป
ตามลาดับ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วอกแวก เพราะฉะนั้น เมื่อใดมีสติ เมื่อนั้นมีสมาธิ
เมื่อใดมีสมาธิ เมื่อนั้นมีสติ เสมือน ความร้อนกับแสงสว่างที่มักจะไปคู่กัน
2.ทาให้ร่างกายและจิตใจอยู่ในสภาพเป็นตัวของตัวเอง ไม่เป็นทาสของ
อารมณ์ต่างๆ เช่น ความโกรธเคือง ความลุ่มหลงมัวเมา จึงมีความโปร่งเบา ผ่อน
คลาย เป็นสุขโดยสภาพของมันเอง พร้อมที่จะเผชิญความเป็นไปต่างๆ และ
จัดการกับสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้องเหมาะสม
- 18. หลักการฝึกสติ
1.กาหนด คือ การเจริญสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่คิดถึงอดีตหรือใฝ่ฝัน
ถึงอนาคต เปรียบเสมือนบุรุษผู้ถือหม้อน้ามันเดินมา มีบุรุษคนหนึ่งถือดาบ
เดินตามไปข้างหลัง โดยบอกว่าถ้าทาน้ามันจะตัดศีรษะให้ขาด บุรุษนั้นก็
ต้องคอยระมัดระวังไม่ให้น้ามันไหล มีสติจดจ่อไม่วอกแวก ฉะนั้น
- 23. เป็นผู้ทาสัมปชัญญะ (ความเป็นผู้รู้พร้อม) ในการก้าวไปข้างหน้า และถอย
กลับมาข้างหลัง ย่อมเป็นผู้ทาสัมปชัญญะ ในการแลไปข้างหน้า แลเหลียวไปข้างซ้ายข้าง
ขวา ย่อมเป็นผู้ทาสัมปชัญญะ ในการคู้อวัยวะเข้า เหยียดอวัยวะออก ย่อมเป็นผู้ทา
สัมปชัญญะในการทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร ย่อมเป็นผู้ทาสัมปชัญญะ ในการกิน ดื่ม
เคี้ยว และลิ้ม ย่อมเป็นผู้ทาสัมปชัญญะในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ย่อมเป็นผู้ทา
สัมปชัญญะ ในการเดิน ยืน นั่ง หลับ ตื่น พูด และความเป็นผู้นิ่งอยู่”2)
สติที่เราฝึกในชีวิตประจาวันจะทาให้เราอยู่กับความคิดที่เป็นปัจจุบัน ไม่ตกอยู่
ในภาพของอดีตหรืออนาคตตลอดเวลา เพราะว่าโดยปกติเมื่อมนุษย์รับอารมณ์ที่มา
กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจแล้ว ก็มักจะใส่ใจต่อทุกสิ่งที่มากระทบ และ
ตอบสนองด้วยอานาจของกิเลสที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจ และส่งผล ให้เกิดเป็นความทุกข์
มีความทะยานอยาก เร่าร้อน วิตกกังวลเป็นต้น
- 25. การเจริญสติ
การเจริญสติ คือ การกาหนดอิริยาบถให้ทันในปัจจุบัน และการ
รับรู้ความรู้สึกตามทวารต่างๆ อย่างสม่าเสมอตลอดเวลาให้มากที่สุด
ความรู้สึกของคนมีทางรู้อยู่ ๖ ทางคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้กาหนดรู้ไป
ตามจริงที่ใจรู้ พร้อมกับกิริยาเคลื่อนไหวอื่นๆ ทาอะไรก็ให้มีสติกาหนดรู้ให้
ทันปัจจุบันให้มากที่สุด
- 26. อิริยาบถใหญ่ คือ การยืน เดิน นั่ง นอน อิริยาบถย่อย คือ การ
เคลื่อนไหวกายทุกกิริยาท เช่น การรับประทาน ดื่ม เคี้ยว กลืน เหลียว ก้ม
เงย หยิบ ยก ตลอดจนการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ควรพยายามกาหนดให้ได้
มากทุกคน ไม่มีใครกาหนดได้ทุกกิริยา ย่อมมีการพลั้งเผลอก็ให้กาหนดตาม
ความเป็นจริง "เผลอหนอ"
- 27. การเดินจงกรม
การเดินจงกรม คือ การเดินเป็นเส้นตรงระยะไม่เกิน ๓ เมตร
กลับไปกลับมา ขณะที่เดินนั้น จะต้องมีสติกาหนดอิริยาบถให้ทันปัจจุบัน
อยู่ตลอดเวลา การกาหนดอิริยาบถให้ทันปัจจุบัน คือการพูดค่อยๆ หรือนึก
ในใจตามกิริยาอาการที่กาลังกระทาอยู่โดยพูด หรือนึกพร้อมกับกิริยา
อาการที่กระทาอยู่ (ไม่พูดก่อนหรือหลังการกระทา) และกาหนดใจให้มั่น
อยู่กับสิ่งที่กาลังกระทาตามสั่งนั้นเป็นช่วงๆ เรียกว่า ขณิกะสมาธิ
- 33. การเดินท่าที่ ๑
องค์ภาวนา คือ ขวา.....ย่าง.....หนอ, ซ้าย.....ย่าง.....หนอ
อธิบาย : พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "ขวา" พร้อมกับทากิริยายกเฉพาะส้นเท้าขวาขึ้น
ช้าๆ ประมาณ ๒ นิ้ว จากพื้น ปลายเท้ายังคงแตะพื้น
พูดค่อยๆ กรือนึกในใจว่า "ย่าง" พร้อมกับทากิริยายกปลายเท้าขึ้นช้าๆ พร้อมกับทา
กิริยายกปลายเท้าขึ้นช้าๆ พร้อมกับก้าวเท้าไปข้างหน้า ให้ส้นเท้าขวาเลยนิ้วเท้าซ้ายไปประมาณ
๒ นิ้ว หยุดนิดหนึ่ง จึงกล่าวว่า "หนอ"
พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "หนอ" พร้อมกับทากิริยาจรดปลายเท้าขวาลงก่อน ตามด้วย
ส้นเท้าขวาลงแนบพื้น
เมื่อจะก้าวเท้าซ้ายไป ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับเท้าขวา หลังจากเดินไปได้ประมาณ ๓-๔
เมตร จะต้องหยุด แล้วหันหลังกลับเพื่อเดินย้อนกลับทางเก่า โดยปฏิบัติตามวิธีการเดินก้าว
สุดท้ายเมื่อสุดทาง ตลอดเวลามีสติมั่นอยู่กับเท้า ที่เคลื่อนเป็นจังหวะตามปากสั่ง
- 34. ก้าวสุดท้ายเมื่อสุดทาง
เมื่อเดินไปได้ประมาณ ๓-๔ เมตร เท้าจะอยู่ในท่าเท้าซ้ายอยู่หน้าเท้าขวา หรือเท้าขวา
อยู่หน้าเท้าซ้าย ก็ตาม จะต้องเอาเท้าที่อยู่ข้างหลังไปเคียงกับเท้าที่อยู่ข้างหน้าองค์ภาวนา คือ "ซ้าย
.....หยุด.....หนอ" หรือ "ขวา.....หยุด.....หนอ" สมมุติว่า ขณะนั้นเท้าขวาอยู่ข้างหน้าเท้าซ้าย
จะต้องยกเท้าซ้ายไปเคียงกับเท้าขวาโดยใช้องค์ภาวนาว่า "ซ้าย.....หยุด.....หนอ"
อธิบาย : พุดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "ซ้าย" พร้อมกับทากิริยายกเฉพาะส้นเท้าซ้ายขึ้น
ช้าๆ ประมาณ ๒ นิ้ว จากพื้น ปลายเท้า ยังคงแนบพื้นอยู่
พูดค่อยๆ หรือนึกในใจ ว่า "หยุด" พร้อมกับทากิริยาก้าวเท้าซ้ายไปเคียงเท้าขวา แต่ยัง
ไม่ลงถูกพื้น หยุดนิดหนึ่ง
พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "หนอ" พร้อมกับทากิริยาจรดปลายเท้าเท้าซ้ายลงตามด้วย
ส้นเท้าแนบพื้น
- 35. ท่ากลับตัว
กาหนดความรู้สึก "อยาก.....กลับ.....หนอ" (๓ ครั้ง) ที่ในใจค่อยๆ หมุนตัวกลับ โดยไปทางองค์
ภาวนา คือ "กลับ.....หนอ" (๘ ครั้ง)
อธิบาย : พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "กลับ" พร้อมกับกิริยายกปลายเท้าขวาขึ้นส้นเท้ากดพื้นไว้พร้อม
กับหมุนปลายเท้าไปทางขวา ประมาณ ๑ นิ้ว หรือ ๒๐ องศาเศษๆ
พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "หนอ" พร้อมกับทากิริยาวางปลายเท้าขวาลงแนบพื้น
พูดค่อยๆ หรือนึกในใจ ว่า "กลับ"พร้อมกับทากิริยายกเท้าซ้ายขึ้นทั้งเท้าพร้อมกับเคลื่อนเท้าซ้ายไป
เคียงกับเท้าขวาให้สูงเลยตาตุ่มขวาเล็กน้อย แต่ยังไม่วางลงถูกพื้น
พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "หนอ" พร้อมกับทากิริยาวางเท้าซ้ายลงแนบพื้น
การกระทานี้นับเป็น ๑ ครั้ง ให้ผู้ปฏิบัติออกเสียงนับว่า "หนึ่ง" หลังคาว่า "หนอ" ในการกลับตัวสู่
ทิศทางเดิมนั้นจะต้องทาการกลับตัวดังกล่าว รวม ๘ ครั้งช้าๆ เมื่อหน้าหันสู่ทิศทางเดิมแล้วให้กาหนดว่า "ยืน.....
หนอ" ( ๓ ครั้ง) แล้วกาหนดว่า "อยาก.....เดิน.....หนอ" (๓ ครั้ง) แล้วจึงเดินต่อตามท่าเดินที่ต้องการ
- 36. การเดินท่าที่ ๒
องค์ภาวนา คือ "ยก.....หนอ, เหยียบ.....หนอ"
อธิบาย : พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า"ยก" พร้อมกับทากิริยายกเท้าขวา
ขึ้นทั้งเท้า พ้นพื้นประมาณ ๓ นิ้ว เรียบร้อยแล้วหยุดนิดหนึ่งจึงกล่าวคาว่า "หนอ"
เมื่อสิ้นเสียง "หนอ" ให้ก้าวเท้าขวานั้นต่อไปข้างหน้า เรียบร้อยแล้วค้างไว้นิด
หนึ่ง
พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "เหยียบ" พร้อมกับทากิริยาจรดปลายเท้าขวา
ลงตาม ด้วยส้นเท้าลงแนบพื้น เรียบร้อยแล้วหยุดนิดหนึ่งจึงกล่าวคาว่า "หนอ"
เมื่อจะก้าวเท้าซ้ายไปให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับเท้าขวา
- 37. ก้าวสุดท้ายเมื่อสุดทาง องค์ภาวนา คือ "ยก.....หนอ, หยุด.....
หนอ"
อธิบาย : พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "ยก" พร้อมกับทากิริยา ยกเท้าที่
อยู่ข้างหลังขึ้นทั้งเท้าเรียบร้อยแล้วจึงกล่าวคาว่า "หนอ" เมื่อสิ้นเสียง "หนอ"
ให้ก้าวเท้านั้นไปเคียงกับเท้าที่อยู่ข้างหน้าเรียบร้อยแล้วค้างไว้นิดหนึ่ง
พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "หยุด" พร้อมกับทากิริยาจรดปลายเท้า
นั้นลง ตามด้วยส้นเท้าลงแนบพื้น เรียบร้อยแล้วหยุดนิดหนึ่งจึงกล่าวคาว่า
"หนอ"
- 38. การเดินท่าที่ ๓
องค์ภาวนา คือ "ยก.....หนอ, ย่าง.....หนอ, เหยียบ.....หนอ"
อธิบาย : พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า"ยก" พร้อมกับทากิริยา ยกเท้าขวาขึ้น
ทั้งเท้าพ้นพื้นประมาณ ๓ นิ้ว เรียบร้อยแล้วค้างไว้นิดหนึ่งจึงกล่าวคาว่า "หนอ"
พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "ย่าง" พร้อมกับทากิริยา ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า
พอสมควร เรียบร้อยแล้วค้างไว้นิดหนึ่งจึงกล่าวคาว่า "หนอ" (ในกรณีที่เป็นก้าว
สุดท้ายให้ก้าวเท้าที่อยู่ข้างหลังไปเคียงกับเท้าที่อยู่ข้างหน้า)
พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "เหยียบ"พร้อมกับทากิริยาจรดปลายเท้าขวาลง
ตามด้วยส้นเท้าลงแนบพื้น เรียบร้อยแล้วหยุดนิดหนึ่งจึงกล่าวคาว่า "หนอ" (ใน
กรณีที่เป็นก้าวสุดท้ายให้นึกในใจว่า "หยุด" แทนคาว่า "เหยียบ") เมื่อจะก้าวเท้าซ้าย
ไปให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับเท้าขวา
ก้าวสุดท้ายเมื่อสุดทาง องค์ภาวนา คือ "ยก.....หนอ, ย่าง.....หนอ, หยุด.....
หนอ"
- 39. การเดินท่าที่ ๔
องค์ภาวนา คือ "ยกส้น.....หนอ, ยก.....หนอ, ย่าง.....หนอ,
เหยียบ.....หนอ"
อธิบาย : พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "ยกส้น" พร้อมกับทากิริยายกเฉพาะส้นเท้า
ขวาขึ้น ปลายเท้ายังคงแตะพื้น เรียบร้อยแล้วค้างไว้นิดหนึ่งจึงกล่าวคาว่า "หนอ"
พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "ยก" พร้อมกับทากิริยา ยกปลายเท้าขวาตามส้นเท้าขึ้นมาจาก
พื้นประมาณ ๔ นิ้ว เรียบร้อยแล้วค้างไว้นิดหนึ่งจึงกล่าว คาว่า "หนอ"
พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "ย่าง" พร้อมกับทากิริยาเหมือนกับการย่างในการเดินท่าที่ ๓
(ในกรณีที่เป็นก้าวสุดท้ายให้ก้าวเท้าที่อยู่ข้างหลังไปเคียงกับเท้าที่อยู่ข้างหน้า)
พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "เหยียบ" พร้อมกับทากิริยาเหมือนกับการเหยียบในการเดินท่า
ที่ ๓ (ในกรณีที่เป็นก้าวสุดท้าย ให้นึกในใจว่า "หยุด" แทนคาว่า "เหยียบ")
เมื่อจะก้าวเท้าซ้ายไปให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับเท้าขวา
ก้าวสุดท้ายเมื่อสุดทาง องค์ภาวนา คือ "ยกส้น.....หนอ, ยก.....หนอ, ย่าง.....
หนอ, ลง.....หนอ, ถูก.....หนอ"
- 40. การเดินท่าที่ ๕
องค์ภาวนา คือ "ยกส้น.....หนอ, ยก.....หนอ, ย่าง.....หนอ,
ลง.....หนอ, ถูก.....หนอ"
อธิบาย : พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "ยกส้น" พร้อมกับทากิริยา เหมือนกับการ "ยกส้น" ในการเดินท่าที่
๔
พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "ยก" พร้อมกับทากิริยา เหมือนกับการ "ยก" ในการเดินท่าที่ ๔
พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "ย่าง" พร้อมกับทากิริยา เหมือนกับการ "ย่าง" ในการเดินท่าที่ ๔
พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "ลง" พร้อมกับทากิริยา ลดเท้าขวาลงพร้อมกันทั้งเท้าประมาณ ๒ นิ้ว
เรียบร้อยแล้วค้างไว้นิดหนึ่งจึงกล่าวคาว่า "หนอ"
พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "ถูก" พร้อมกับทากิริยาจรดปลายเท้าขวาลง ตามด้วยส้นเท้าลงวางแนบพื้น
เรียบร้อยแล้วหยุดนิดหนึ่งจึงกล่าวคาว่า "หนอ" (ในการที่เป็นก้าวสุดท้ายให้นึกในใจว่า "ถูก.....หนอ" เช่นกัน)
เมื่อจะก้าวเท้าซ้ายไปให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับเท้าขวา
ก้าวสุดท้ายเมื่อสุดทาง องค์ภาวนา คือ "ยกส้น.....หนอ, ยก.....หนอ, ย่าง.....หนอ, ลง.....หนอ, ถูก.....
หนอ"
- 41. การเดินท่าที่ ๖
องค์ภาวนา คือ "ยกส้น.....หนอ, ยก.....หนอ, ย่าง.....หนอ,
ลง.....หนอ, ถูก.....หนอ, กด.....หนอ"
• อธิบาย : พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "ยกส้น" พร้อมกับทากิริยาเหมือนกับการ "ยกส้น" ในการเดินท่าที่ ๕
พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "ยก" พร้อมกับทากิริยาเหมือนกับการ "ยก" ในการเดินท่าที่ ๕
พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "ย่าง" พร้อมกับทากิริยาเหมือนกับการ "ย่าง" ในการเดินท่าที่ ๕
พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "ลง" พร้อมกับการกิริยาเหมือนกับการ "ลง" ในการเดินท่าที่ ๕
พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "ถูก" พร้อมกับทากิริยาจรดเฉพาะปลายเท้าลงพื้น เรียบร้อยแล้วค้างไว้นิดหนึ่ง จึงกล่าว
คาว่า "หนอ"
พูดค่อยๆ หรือนึกในใจว่า "กด" พร้อมกับทากิริยา กดส้นเท้าขวาลงแนบพื้นเรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวคาว่า "หนอ" (ใน
กรณีที่เป็นก้าวสุดท้ายให้นึกในใจว่า "ถูก.....หนอ, กด.....หนอ" เช่นกัน) เมื่อจะก้าวเท้าซ้ายไปให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับ
เท้าขวา
ก้าวสุดท้ายเมื่อสุดทาง องค์ภาวนา คือ "ยกส้น.....หนอ, ยก.....หนอ, ย่าง.....หนอ, ลง.....หนอ, ถูก.....หนอ
, กด.....หนอ"
- 42. การเดินท่าที่ ๗
องค์ภาวนาและท่าการเดินเหมือนกับการเดินท่าที่ ๖ ทุก
ประการ
แต่ให้ เติมคาว่า "คิดหนอ" หรือ "ไม่คิดหนอ" ลงข้างหลังคาว่า "หนอ" ทุกครั้ง โดยกาหนดรู้ด้วย
ตัวเองว่า ขณะนั้นตนกาลังคิดเรื่องอื่นหรือเปล่าหากคิดก็กาหนด "คิดหนอ" หากไม่ได้คิดก็กาหนดว่า "ไม่คิด
หนอ" เช่น
"ยกส้น.....หนอ" , "ไม่คิดหนอ" (ถ้าไม่คิด)
"ยก.....หนอ" , "คิดหนอ" (ถ้าคิด)
"ย่าง.....หนอ" , "ไม่คิดหนอ" (ถ้าไม่คิด)
"ลง.....หนอ" , "ไม่คิดหนอ" (ถ้าไม่คิด)
"ถูก.....หนอ" , "คิดหนอ" (ถ้าคิด)
"กด.....หนอ" , "ไม่คิดหนอ" (ถ้าไม่คิด)
ดังกล่าวแล้วว่า การเดินจงกรม คือการเดินเป็นเส้นตรงเที่ยวละไม่เกิน ๓ เมตร ไปกลับตามท่า
ต่างๆ โดยจะเลือกเดิน ท่าหนึ่งท่าใดก็ได้เป็นเวลาประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง
- 48. 2.ควรนั่งทาสมาธิในท่าขัดสมาธิ นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือ
ขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้ขวาจรดนิ้วหัวแม่มือซ้าย วางไว้บนตัก หลังตรง ศีรษะ
ตรง ไม่ควรนั่งพิง เพราะจะทาให้ง่วงได้ง่าย กรณีเป็นคนป่วย หรือคนที่ไม่
สามารถนั่งท่าขัดสมาธิได้ก็สามารถนั่งบนเก้าอี้แทนได้จากนั้นทอดตาลง
ต่า อย่าเกร็ง เพราะจะทาให้ร่างกายปวดเมื่อย แล้วค่อย ๆ หลับตาลง
- 50. 4.เมื่อเริ่มฝึกสมาธิใหม่ ๆ ควรใช้เวลาแต่น้อยก่อน เช่น 5-15 นาที
จากนั้นเมื่อฝึกบ่อย ๆ แล้วจึงค่อยเพิ่มระยะเวลาขึ้นไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ร่างกาย
และจิตใจค่อย ๆ ปรับตัวตาม หากรู้สึกปวดขา หรือเป็นเหน็บ ให้พยายาม
อดทนให้มากที่สุด หากทนไม่ไหวจึงค่อยขยับ แต่ควรขยับให้น้อยที่สุด
เพราะการขยับแต่ละครั้งจะทาให้จิตใจกวัดแกว่ง ทาให้สมาธิเคลื่อนได้แต่
ถ้าหากอดทนจนอาการปวด หรือเป็นเหน็บเกิดขึ้นเต็มที่แล้ว อาการเหล่านั้น
จะหายไปเอง แล้วจะเกิดความรู้สึกเบาสบายขึ้นมาแทนที่
- 52. 6.หากเกิดอะไรขึ้นอย่าตกใจ และอย่ากลัว เพราะทั้งหมดเป็นอาการ
ของจิตที่เกิดขึ้น ให้ตั้งสติเอาไว้ในมั่นคง ทาจิตใจให้ปกติ หากเห็นภาพที่น่า
กลัวให้สวดแผ่เมตตาให้สิ่งเหล่านั้น หรือนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรายึดไว้เป็นที่
พึ่งทางใจ ถ้าภาพเหล่านั้นไม่หายไป ให้ตั้งสติเอาไว้หายใจยาว ๆ แล้วถอน
สมาธิออกมา เมื่อจิตใจมั่นคงเป็นปกติแล้ว จึงค่อยทาสมาธิใหม่อีกครั้ง โดย
ควรสวดมนต์ไหว้พระ อธิษฐานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองการปฏิบัติของ
เราด้วย
- 54. ประโยชน์จากการฝึกสมาธิ
1.ส่งผลให้จิตใจผู้ทาสมาธิผ่องใส สะอาด บริสุทธิ์ สงบ จึงช่วยให้
หลับสบายคลายกังวล ไม่ฝันร้าย
2.ช่วยพัฒนาให้มีบุคลิกภาพดีขึ้น กระปรี้กระเปร่า สง่าผ่าเผย มี
ความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น รู้สึกควบคุมอารมณ์ จิตใจได้ดีขึ้น เหมาะสม
กับกาละเทศะ
3.ผู้ฝึกสมาธิบ่อย ๆ จะมีความจาดีขึ้น มีการพินิจพิจารณาในเรื่อง
ต่าง ๆ รอบคอบมากขึ้น ทาให้เกิดปัญญาในการทาสิ่งใด ๆ ส่งผลให้
ประสิทธิภาพในการเล่าเรียน และการทางานดีขึ้น