SlideShare a Scribd company logo
1 of 37
ไตรภูมิพระร่วง
http://www.watkaokrailas.com/index.php?mo=3&art=41907538
---ไตรภูมิพระร่วง เป็นพระราชนิพนธ์ของ พระมหาธรรมราชาลิไท
ซึ่งแต่งขึ้นเมื่อ วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่า เดือน ๔ ปีระกา ตรงกับวันพฤหัสบดีที่
4 มีนาคม พ.ศ. 1864 (ปีเก่า) จ.ศ.683 ม.ศ.1243 เป็นปีครองราชย์ที่ 6
โดยมีพระประสงค์ ที่จะเทศนาโปรดพระมารดาและเพื่อจาเริญพระอภิธรรม
---ไตรภูมิพระร่วงเป็นหลักฐานชิ้นหนึ่ง
ที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถอย่างลึกซึ้ง
ในด้านพุทธศาสนาของพระมหาธรรมราชาลิไท ที่ทรงรวบรวมข้อความต่างๆ
ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา นับแต่พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา
และปกรณ์พิเศษต่างๆ
มาเรียบเรียงขึ้นเป็นวรรณคดีโลกศาสตร์เล่มแรกที่แต่งเป็นภาษาไทย
เท่าทีมีหลักฐานอยู่ในปัจจุบันนี้ ทั้งนี้ อ.สินชัย กระบวนแสง
ได้วิเคราะห์เหตุผลการแต่งไตรภูมิพระร่วงของพระมหาธรรมราชาลิไท
ว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองด้วย
---เนื่องจากไตรภูมิ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ นรก-สวรรค์
สอนให้คนรู้จักการทาความดี เพื่อจะได้ขึ้นสวรรค์
หากแต่ใครทาชั่วประพฤติตนผิดศีลก็จะต้องตกนรก กล่าวคือ
ประชากรในสมัยที่พระมหาธรรมราชา ลิไท
ปกครองนั้นเริ่มมีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
ทาให้การปกครองบ้านเมืองให้สงบสุขปราศจากโจรผู้ร้ายเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น
การดูแลของรัฐก็ไม่อาจดูแลได้ทั่วถึง
---พระมหาธรรมราชาลิไท
จึงได้คิดนิพนธ์วรรณกรรมทางศาสนาเรื่องไตรภูมิพระร่วง
ขึ้นมาเพื่อที่ต้องการสอนให้ประชาชนของพระองค์ทาความดี
เพื่อจะได้ขึ้นสวรรค์มีชีวิตที่สุขสบาย และหากทาความชั่วก็จะต้องตกนรก
ด้วยเหตุนี้วรรณกรรม เรื่องไตรภูมิ
จึงเป็นสิ่งที่ใช้ควบคุมทางสังคมได้เป็นอย่างดียิ่ง
เพราะสามารถเข้าถึงจิตใจทุกคนได้โดยมิต้องมีออกกฎบังคับกันแต่อย่างไร
*เนื้อหา
---ไตรภูมิพระร่วง เป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนาที่กล่าวถึงภูมิ (แดน) ทั้ง
31 คือ กามภูมิ11, รูปภูมิ16 และอรูปภูมิ4 ซึ่งมีเนื้อหาพรรณนาถึงที่อยู่
ที่ตั้ง และการเกิดของมนุษย์ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และเทวดา
(กดลิงค์-บน)
---ที่ตั้งเหล่านี้มี เขาพระสุเมรุ เป็นหลัก เขาพระสุเมรุนั้น
ตั้งอยู่ท่ามกลางจักรวาล มีทิวเขาและทะเลล้อม ทิวเขามีชื่อต่างๆ ดังนี้
---1.ยุคนธร
---2.อิสินธร
---3.กรวิก
---4.สุทัศน์
---5.เนมินธร
---6.วินันตก
---7.อัศกรรณ
---ซึ่งเป็นเขารอบนอกสุด ทิวเขาเหล่านี้รวม เรียกว่า เขาสัตตบริภัณฑ์
ส่วนทะเลที่รายล้อมอยู่ 7 ชั้น เรียกว่า มหานทีสีทันดร
ถัดจากทิวเขาอัศกรรณออกมาเป็ นมหาสมุทรอยู่ทั่วทุกด้าน
แล้วจะมีภูเขาเหล็กกั้นทะเลนี้ไว้รอบเรียกว่า ขอบจักรวาล
พ้นไปนอกนั้นเป็นนอกขอบจักรวาล
*ภูมิทั้ง 31 เรียงลาดับจากทุกข์ไปสุขได้ดังนี้
---กามภูมิ 11 นรกภูมิ
---นรกภูมิ เป็นภูมิต่าที่สุด ประกอบด้วย มหานรก 8 ขุม, นรกบ่าว 128 ขุม
และยมโลกนรก 320 ขุม
*มหานรก มี 8 ขุม
---มีกาแพงเหล็กแดงลุกเป็นไฟอยู่เสมอล้อมเป็นสี่เหลี่ยม
พื้นบนและพื้นล่างก็เป็นเหล็กแดงที่ลุกเป็นไฟ กาแพงทั้ง 4 ด้าน ยาวด้านละ
1,000 โยชน์ หนา 9 โยชน์ มีประตูเข้า 4 ประตู
ส่วนพื้นบนและพื้นล่างมีความหนา 9 โยชน์ มหานรกทั้ง 8 มีดังนี้
---1.มหาอเวจีนรก หรือ นรกที่ทุกข์ทรมานมิเคยหยุดพัก
---เป็นนรกขุมที่ลึกที่สุด มีความทุกข์มากที่สุดในจักรวาล
ไตรภูมิผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ในชาติก่อนนั้นได้ทาใน อนันตริยกรรม หรือบาปหนัก
5 ประการคือ ฆ่าบิดา, ฆ่ามารดา, ฆ่าพระอรหันต์,
ทาให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต, ยุยงให้สงฆ์แตกแยกกัน ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่
จะถูกตรึงศีรษะ แขน ในอิริยาบถที่เป็นในขณะทาบาป (นั่ง ยืน นอน ฯลฯ)
มีหลาวเหล็กแทงทะลุลาตัว มีไฟนรกคลอกตลอดเวลา แต่จะไม่เสียชีวิต
ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ต้องอาศัยอยู่จนกว่าจะครบวาระ 1 กัลป์
---2.มหาตาปนรก หรือ นรกที่มีแต่ความเร่าร้อนเหลือประมาณ
---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ชาติก่อนได้ฆ่าชีวิตสัตว์และคนเป็นหมู่มากโดยไม่รู้สึกผิด
ผู้อยู่อาศัยจะถูกทาให้ตกจากภูเขาสูงลงมาที่พื้นที่เต็มไปด้วยเหล็กแหลมยาว
ถูกเหล็กเสียบทะลุลาตัว มีไฟนรกคลอกตลอดเวลา แต่ก็จะไม่เสียชีวิต
ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ต้องอาศัยไปจนกวลาจะครบวาระ ครึ่งกัลป์
---3.ตาปนรก หรือ นรกแห่งความเร่าร้อน
---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่จะถูกไล่ให้ขึ้นไปที่ปลายหลาว ที่มีไฟนรกลุกโชน
ผู้อยู่อาศัยจะถูกไฟคลอกจนพองสุก และจะกลายเป็นอาหารของสุนัขนรก
หลังจากนั้น จะมี "ลมกรรม" พัดมาให้ร่างกายฟื้ นขึ้นมา
และก็ถูกไล่ขึ้นไปที่ปลายหลาว ถูกไปนรกคลอก
วนเวียนเช่นนี้จนกว่าจะครบวาระ 16,000 ปี โดยที่ 1 วัน 1 คืนในตาปนรก
เทียบเท่า 9,216 ล้านปีมนุษย์
---4.มหาโรรุวนรก หรือ นรกที่เต็มไปด้วยเสียงครวญคราง
---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ชาติก่อนได้ปล้นขโมยของจากผู้ที่อยู่สูง เช่น สมณะ ครู
บุพการี ฯลฯ ผู้ที่อาศัยจะต้องยืนบนบัวเหล็ก ที่กลีบคม มีไฟนรกแผดเผา
มียมบาลใช้กระบองกระหน่าตีร่าง แต่จะไม่เสียชีวิต
ต้องอาศัยอยู่เช่นนี้ไปจนกว่าจะครบวาระ 7,000 ปี โดยที่ 1 วัน 1
คืนในมหาโรรุวนรก เทียบเท่า 2,305 ล้านปีมนุษย์
---5.โรรุวนรก หรือ นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้
---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ชาติก่อนเคยเผาสัตว์ทั้งเป็นบ่อยๆ หรือเป็นข้าราชการทุจริต
ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่จะถูกไฟนรกคลอกในบัวเหล็กในอิริยาบถนอนคว่า
การอาศัยที่นี่ 1 วาระ จะต้องอาศัยอยู่นาน 4,000 ปีนรก โดยที่ 1 วัน 1
คืนในโรรุวนรก เทียบเท่า 576 ล้านปีมนุษย์
---6.สังฆาฏนรก หรือ นรกบดขยี้สัตว์
---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ชาติก่อนได้กระทาทารุณสัตว์ เมื่ออาศัยอยู่ที่นี่
ยมบาลจะผูกล่ามผู้อาศัยหลายๆ คนเข้าด้วยกัน
และใช้ค้อนเหล็กยักษ์ทุบร่างกายจนแหลกไป และ
"ลมกรรม"ก็จะพัดให้ฟื้นชีวิตมารับโทษใหม่ วนเวีบยเช่นนี้จนกว่าจะครบวาระ
2,000 ปีนรก โดยที่ 1 วัน 1 คืนในสังฆาฏนรก เทียบเท่า 145 ล้านปีมนุษย์
---7.กาฬสุตตนรก หรือ นรกที่ลงโทษด้วยด้ายดา
---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่จะถูกยมบาลฟาดด้วยด้ายนรก
ซึ่งมีขนาดและความแข็งเท่าเหล็กเส้นโตๆ เส้นหนึ่ง
แล้วใช้เลื่อยนรกเลื่อยให้ขาดเป็นท่อนๆ
ผู้ที่หนีจะถูกเหล็กนรกปลิวออกมาตัดร่างกาย แล้วลมกรรม
ก็จะพัดโชยให้ฟื้นคืนอีกครั้ง จนกว่าจะครบวาระ 1,000 ปีนรก โดย 1 วัน 1
คืนในกาฬสุตตนรก เทียบเท่า 36 ล้านปีมนุษย์ ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่
ชาติปางก่อนได้ทรมาณสัตว์เล่นๆ ทาร้ายบุพการี อาจารย์ สมณะ
หรือผู้มีพระคุณ
---8.สัญชีวนรก หรือ นรกที่ไม่มีวันตาย
---ผู้ที่อาศัยจะถูกยมบาลจับนอนบนแผ่นเหล็กร้อนแดง
และถูกยมบาลฟันร่างขาดเป็นท่อนๆ เฉีอนเนื้อหนังจนเหลือแต่กระดูก
แล้วลมกรรมก็จะพัดมาให้ฟื้นมารับโทษต่อจนกว่าจะครบวาระ 500 ปีนรก
โดยที่ 1 วัน 1 คืนในสัญชีวนรก เทียบเท่า 9 ล้านปีมนุษย์
*นรกบ่าว
---จะล้อมรอบมหานรก 4 ด้าน ด้านละ 4 ขุม รวมแล้ว มหานรก 1 ขุม
จะมีนรกบ่าวล้อมรอบอยู่ 16 ขุม รวมจานวนนรกบ่าวทั้งหมดจึงได้ 128 ขุม
เป็นโลกของผู้ที่ทาบาป (หรือ เหลือเศษบาป) อยู่น้อย
น้อยเกินกว่าที่จะไปเกิดในมหานรก แต่มากเกินกว่าที่จะเกิดในภูมิที่สูงกว่า
เป็นขุมที่มีความทุกข์ทรมานน้อยกว่ามหานรก
แต่ก็ยังห่างไกลความสุขอยู่อย่างยิ่งยวด
*ยมโลกนรก
---จะล้อมรอบมหานรก 4 ด้าน ด้านละ 10 ขุม รวมแล้ว มหานรก 1 ขุม
จะมียมโลกนรกล้อมรอบ 40 ขุม รวมจานวนยมโลกนรกทั้งหมดได้ 320 ขุม
เป็นโลกของผู้ที่มีเศษบาปเหลือน้อยเกินกว่าที่จะไปเกิดในนรกบ่าว
แต่ก็มากเกินกว่าที่จะไปเกิดในภูมิที่สูงกว่านี้ การลงโทษเบากว่านรกบ่าว
แต่ก็ยังห่างไกลความสุขอย่างยิ่งยวดเช่นกัน
*ยมบาล
---หรือ นายนิรยบาล หรือผู้ดูแลนรกเฝ้าประตูนรกไว้
มีพระยายมราชเป็นผู้ทรงธรรมเที่ยงตรงเป็นใหญ่เหนือยมบาลทั้งหลาย
หน้าที่ของพระยายมราช คือสอบสวนบุญบาปของมนุษย์ที่ตายไป
หากทาบุญก็จะได้ขึ้นสวรรค์ทาบาปก็จะตกนรก
*เปรตวิสัยภูมิ
---เปรตเป็นผีเลวชนิดหนึ่ง ในไตรภูมิบรรยายรูปร่างของเปรตไว้ว่า
เปรตบางชนิดมีตัวใหญ่ ปากเท่ารูเข็ม
เปรตบางชนิดก็ตัวผอมไม่มีเนื้อหนังมังสา ตาลึกกลวง และร้องไห้ตลอดเวลา
แต่ก็มีเปรตบางชนิดที่ตัวงามเป็นทอง แต่ปากเป็นหมูและเหม็นมาก
มนุษย์ที่ทาบาปกับบุพการี เช่น ด่าทอบุพการีและทุบตีบุพการีจะเกิดเป็นเปรต
สรุปรวมๆ แล้ว ก็คือเมื่อตอนเป็นคนแล้วทาบาปอย่างใด
เมื่อตายไปก็จะเป็นเปรต ตามที่ทาบาปไว้เปรตนั้น มีโอกาสดีกว่าสัตว์นรก
เนื่องจากสามารถออกมาขอบุญกุศลจากการทาบุญของมนุษย์ได้
ารางแสดงอายุของสัตว์นรกเปรียบเทียบก ับอายุมนุษย์
มหานรก อายุ(ปี นรก) 1 ว ัน 1 คืนนรก / ล้านปี มนุษย์ ล้านปี มนุษย์
ขุมที่ 1 สัญชีวมหานรก 500 9 1,620,000
ขุมที่ 2 กาฬสุตตมหานรก 1,000 36 12,960,000
ขุมที่ 3 สังฆาฏมหานรก 2,000 144 103,680,000
ขุมที่ 4 โรรุวมหานรก 4,000 576 829,440,000
ขุมที่ 5 มหาโรมหานรก 8,000 2,304 6,635,520,000
ขุมที่ 6 ตาปนมหานรก 1600 9,216 53,084,160,000
ขุมที่ 7 มหาตาปนมหานรก มีอายุประมาณครึ่งอันตรกัป
ขุมที่ 8 อเวจีมหานรก มีอายุประมาณ 1 อันตรกัป
กรณีศึกษาเรื่องมหานรก ในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
การทัณฑ์ทรมานในนรกขุมที่ 1 เรื่องคนฆ่าหมู (วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ.
2545)
*หมายเหตุ...
---มีจาพวกเดียวที่จะได้รับส่วนบุญที่คนยังมีชีวิตอยู่อุทิศไปให้ เรียกว่า
ชีวิตูปรัตตเปรต เปรตจาพวกนี้ได้รับทุกข์ร้อนลาบากมาก
เพราะในเปรตโลกนั้นไม่มีการทานาค้าขาย แม้แต่ขอทานก็ไม่มี
เสวยผลกรรมของตนๆ ที่ทาไว้ เมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่นี้เท่านั้น
ฉะนั้นเปรตจาพวกนี้แหละมนุษย์คนที่ยังเป็นอยู่ทาบุญอุทิศไปให้จึงจะได้รับ
เปรตนอกนั้นแล้วไม่ได้รับเลย
*อสุรกายภูมิ
---อสูร แปลตรงตัวว่า ผู้ไม่ใช่สุระ หรือไม่ใช่พวกเทวดา
ที่มีพระอินทร์เป็นหัวหน้า เดิมพวกอสูรมีเมืองอยู่บนเขาพระสุเมรุ
หรือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นั่นเอง
ภายหลังพวกเทวดาคิดอุบายมอมเหล้าพวกอสูร เมาจนไม่ได้สติ
แล้วพวกเทวดาก็ช่วยกัน ถีบอสูรให้ตกเขาพระสุเมรุดิ่งจมลงใต้ดิน
เมื่ออสูรสร่างเมา ได้สติแล้วก็สานึกตัวได้ว่า เป็นเพราะกินเหล้ามากจนเมามาย
จึงต้องเสียบ้านเมืองให้กับพวกเทวดาจึงเลิกกินเหล้าแล้วไปสร้างเมืองใหม่ใต้บ
าดาลเรียกว่า "อสูรภพ"
---พวกอสูรกาย มีบ้านเมืองเป็นของตนเอง เรียกว่า อสูรภพ อยู่ลึกใต้ดินไป
84,000 โยชน์ เป็นบ้านเมืองงดงามมากเต็มไปด้วยแผ่นทองคา
คือบ้านเมืองของอสูรนี้ จะมีเหมือนสวรรค์ของเทวดา เช่น
กลางสวรรค์มีต้นปาริชาติ กลางเมืองอสูรก็มีต้นแคฝอย
เมืองอสูรมีเมืองใหญ่อยู่ 4 เมือง โดยมีพระยาอสูรปกครองอยู่ทุกเมือง
ในบรรดาอสูรมีอยู่ตนหนึ่งมีอานาจมากชื่อว่า "ราหู"
---อสูรราหู มีหน้าตา หัวหูที่ใหญ่โตมากกว่าเหล่าเทวดาทั้งหลายในสวรรค์
ราหูมีความเกลียดชัง พระอาทิตย์และพระจันทร์ มาก
ในวันพระจันทร์เต็มดวงหรือวันเดือนงามและวันเดือนดับ
ราหูจะขึ้นไปนั่งอยู่บนเขายุคนธร อันเป็นทิวเขาทิวแรกที่ล้อมเขาพระสุเมรุ
ซึ่งเป็นที่อยู่ของเทวดา
---ราหูจะคอยให้พระอาทิตย์หรือพระจันทร์ผ่านมา
เพื่อที่จะคอยอ้าปากอันกว้างใหญ่อมเอาพระจันทร์หรือพระอาทิตย์หายลับไป
บางครั้งก็เอานิ้วมือบังไว้บ้าง เอาไว้ใต้คางบ้าง เหตุการณ์เหล่านี้เรียกกันว่า
สุริยคราสและจันทรคราส
---เรื่องราวที่เป็นเหตุ ทาให้ราหู มีความเกลียดชังพระอาทิตย์และพระจันทร์
ก็คือ มีการกวนเกษียรสมุทรของเหล่าบรรดาเทวดาและอสูรเพื่อทาน้าอมฤต
เมื่อกวนสาเร็จแล้ว เทวดาก็ไม่ยอมให้เหล่าอสูรกิน
แต่ราหูปลอมเป็นเทวดาเข้าไปกินน้าอมฤตกับเทวดาด้วย
พระอาทิตย์และพระจันทร์เห็นจึงไปฟ้ องพระวิษณุว่า
ราหูปลอมตัวเป็นเทวดามากินน้าอมฤต
พระวิษณุทรงขว้างจักรแก้วไปตัดตัวราหูออกเป็นสองท่อน แต่ราหูไม่ตาย
เพราะได้กินน้าอมฤตไปแล้ว ครึ่งตัวท่อนบนจึงเป็นราหูอยู่
แต่ครึ่งตัวท่อนล่างกลายเป็นอสูรอีกตัวหนึ่งชื่อ "เกตุ"
*ติรัจฉานภูมิ
---ติรัจฉานติภูมิ หรือเดรัจฉานติภูมิ คือแดนของเดียรฉาน
แปลว่าตามขวางหรือตามเส้นนอนตรงกันข้ามกับคนซึ่งไปตัวตรง
ดังนั้นสัตว์เดรัจฉานก็หมายถึงสัตว์ที่ไปไหนมาไหนต้องคว่าอก
---ในหนังสือไตรภูมิ ตอนนี้เริ่มต้นกล่าวถึง
สัตว์อันเกิดมาในแดนเดรัจฉานว่า
---มีเกิดจากไข่ (อัณฑชะ)
---จากมีรกอันห่อหุ้ม (ชลาพุชะ)
---จากใบไม้และเหงื่อไคล (สังเสทชะ)
---เกิดเป็นตัวขึ้นเองและโตทันที (อุปปาติกะ)
---สัตว์เดรัจฉานนั้นมีความเป็นอยู่ 3 ประการ คือ รู้สืบพันธุ์ รู้กิน รู้ตาย
เรียกเป็นศัพท์ว่า กามสัญญา อาหารสัญญา และมรณสัญญา
ส่วนคนนั้นเพิ่มอีกสัญญาหนึ่งคือ ธธมสัญญา คือรู้จักการทามาหากิน
รู้บาปบุญ หรือตรงกับคาว่า วัฒนธรรมนั้นเอง
*สัตว์ที่กล่าวในแดนเดรัจฉานหลักๆ ก็มีดังนี้
---ราชสีห์ เป็นสัตว์จาพวกเดียวกับสิงโต ไม่มีตัวตนจริงอยู่ในโลกนี้
แต่เป็นสัตว์ที่อยู่ในวรรณคดีเท่านั้น
---ช้างแก้ว อาศัยอยู่ที่ถ้าทองว่ากันว่า
พระพุทธเจ้าเคยเสวยพระชาติเคยไปเกิดเป็นช้างนี้อยู่หนึ่งชาติ
---ปลา ในแดนเดรัจฉานนี้ ปลาที่อาศัยอยู่ที่นี้จะมีขนาดใหญ่มาก
ตัวที่เล็กสุดก็ยังยาวถึง 75 โยชน์ ตัวที่ใหญ่ก็ยาวถึง 5,000 โยชน์
ปลาที่รู้จักกันดีคือ "พญาปลาอานนท์" ซึ่งหนุนชมพูทวีปอยู่
---ครุฑ อาศัยอยู่ที่ตามฝั่งสระใหญ่ชื่อ "สิมพลีสระ"
ที่ตีนเขาพระสุเมรุหรือสระต้นงิ้ว กว้างได้ 500 โยชน์
พระยาครุฑที่เป็นหัวหน้าตัวโต 50 โยชน์ ปีกยาวอีก 50 โยชน์ ปากยาว 9
โยชน์ ตีนทั้งสองยาว 12 โยชน์ ครุฑกินนาคเป็นอาหาร
และเป็นพาหนะของพระนารายณ์
---นาค หรืองูมีหงอนและมีตีน นาคมีสองชนิด คือ "ถลชะ "
หรือนาคที่เกิดบนบก และ "ชลชะ" หรือนาคที่เกิดในน้า
นาคถลชะจะเนรมิตตนเป็นคนหรือเทวดานางฟ้าได้แต่บนบก
นาคชลชะจะเนรมิตตนเป็นคนหรือเทวดานางฟ้าได้แต่ในน้าเท่านั้น
เรื่องนาคเป็นที่รู้จักกันดีในประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
คือเป็นบรรพบุรุษของชนชาติต่างๆ เช่น เขมร ลาว มอญ
---หงส์ อาศัยอยู่ที่ถ้าทองบนเขาคิชฌกูฏหรือเขายอดนกแร้ง
หงส์เป็นพาหนะของพระพรหม
*มนุสสาภูมิ
---กล่าวถึงฝูงสัตว์อันเกิดในมนุสสาภูมิ มีกาเนิดดังนี้
ตั้งแต่เริ่มต้นปฏิสนธิในครรภ์มารดาก็เริ่มก่อตัวเป็นกัลละ
---กัลละมีรูปร่างโปร่งเหลว เหมือนน้าหรือเหมือนเมือกตม
เป็นคาที่ใช้เฉพาะสิ่งที่ห่อหุ้มก่อกาเนิดเป็นคนเท่านั้น
กัลละที่ก่อเป็นตัวเด็กขึ้นมานี้ตามวิทยาศาสตร์กล่าวเรียกว่า 'cell'
เมื่อเวลาผ่านไปก็เกิดกลายเป็นตัวเด็กขึ้นนั่ง
กลางท้องแม่และเอาหลังมาชนท้องแม่
มีสายสะดือเป็นตัวส่งอาหารที่แม่กินเข้าไปให้แก่เด็ก
เด็กที่นั่งอยู่กลางท้องแม่นั้น จะนั่งอยู่เวลาประมาณ 8-10 เดือน
แล้วจึงคลอดจากท้องแม่
*บุตรที่เกิดมาในไตรภูมิแบ่งได้เป็น 3 สิ่ง คือ
---อภิชาตบุตร เป็นคนเฉลียวฉลาดมีรูปงามหรือมั่งมียศยิ่งกว่าพ่อแม่
---อนุชาตบุตร มีเพียงพ่อแม่
---อวชาติบุตร ด้อยกว่าพ่อแม่
*คนทั้งหลายก็แบ่งเป็น 4 ชนิด คือ
---ผู้ที่ทาบาปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และบาปนั้นตามทัน ต้องถูกตัดตีน
สิ้นมือและทุกข์โศกเวทนานักหนา พวกนี้เรียกว่า "คนนรก"
---ผู้หาบุญจะกระทาบ่มิได้
และเมื่อแต่ก่อนและเกิดมาเป็นคนเข็ญใจยากจนนักหนา อดอยากไม่มีกิน
รูปโฉมก็ขี้เหร่ พวกนี้เรียกว่า "คนเปรต"
---คนที่ไม่รู้จักบาปและบุญ ไม่มีความเมตตากรุณา ไม่มีความยาเกรงผู้ใหญ่
ไม่รู้จักปฏิบัติพ่อแม่ครูอาจารย์ ไม่รักพี่รักน้อง กระทาบาปอยู่ร่าไป
พวกนี้ท่านเรียกว่า "คนเดรัจฉาน"---คนที่รู้จักบาปและบุญ
รู้กลัวรู้ละอายแก่บาป รู้รักพี่รักน้อง รู้กรุณาคนยากจนเข็ญใจ
และรู้จักยาเกรงพ่อแม่ผู้เฒ่าผู้แก่ครูอาจารย์ และรู้จักคุณแก้ว 3 ประการ คือ
พระรัตนตรัย พวกนี้ท่านเรียกว่า "มนุษย์"
---ในไตรภูมิพระร่วงกล่าวว่า มนุสสาภูมิประกอบด้วย 4 ทวีป ดังนี้
*ชมพูทวีป
---ตั้งอยู่ในมหาสมุทรทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุ มีสัณฐานเป็นรูปไข่
ดุจดังดุมเกวียน คนมีรูปหน้ากลมดุจดังดุมเกวียน อายุของคนในชมพูทวีปนั้น
หากเป็นผู้ที่เป็นคนดีมีศีลธรรมอายุก็จะยืน
หากมีลักษณะตรงกันข้ามก็จะอายุสั้น เป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า
(ซึ่งก็คือโลกที่เราๆ ท่านๆ อาศัยอยู่)
*บุรพวิเทหทวีป
---ตั้งอยู่ในมหาสมุทรทางทิศตะวันออกของเขาพระสุเมรุ
เป็นแผ่นดินกว้างได้ 7,000 โยชน์ มีสัณฐานเป็นรูปแว่นที่กลม
มีเกาะล้อมรอบเป็นบริวาร 400 เกาะ มีแม่น้าเล็กใหญ่ มีเมืองใหญ่เมืองน้อย
คนในทวีปนี้หน้ากลมดังเดือนเพ็ญ มีรูปกะโหลกสั้น ทุกคนไม่เบียดเบียนกัน
ไม่ทาชั่ว เมื่อตายแล้วจึงขึ้นสวรรค์แน่นอน ทาให้คนในทวีปนี้ไม่กลัวตาย
และผู้ที่อาศัยในทวีปนี้ มีอายุ 100 ปีเท่ากันทุกคน
*อมรโคยานทวีป
---ตั้งอยู่ในมหาสมุทรทางทิศตะวันตกของเขาพระสุเมรุ เป็นแผ่นดินกว้างได้
9,000 โยชน์ มีสัณฐานเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งดวง
มีเกาะเล็กเกาะน้อยเป็นบริวารอยู่โดยรอบ
คนในทวีปนี้มีรูปหน้าดังพระจันทร์ครึ่งดวง ทุกคนไม่เบียดเบียนกัน ไม่ทาชั่ว
เมื่อตายแล้วจึงขึ้นสวรรค์แน่นอน ทาให้คนในทวีปนี้ไม่กลัวตาย
และผู้ที่อาศัยในทวีปนี้ มีอายุ 400 ปีเท่ากันทุกคน
*อุตตรกุรุทวีป
---ตั้งอยู่ในมหาสมุทรทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ เป็นแผ่นดินกว้างได้
8,000 โยชน์ มีสัณฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีภูเขาทองล้อมรอบ
มีเกาะล้อมรอบเป็นบริวาร 500 เกาะ คนในทวีปนี้หน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม
มีรูปร่างสมประกอบ ไม่สูงไม่ต่าดูงดงาม
---กล่าวกันว่า คนที่อยู่ทวีปนี้เป็นคนรักษาศีล จึงทาให้แผ่นดินราบเรียบ
ต้นไม้ต่างก็ออกดอกงดงาม
ส่งกลิ่นหอมขจรขจายไปทั่วและเป็นแผ่นดินที่ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน
ในแผ่นดินอุตตรกุรุทวีปนี้ มีต้นกัลปพฤกษ์ ต้นหนึ่ง สูง 100 โยชน์ กว้าง
100 โยชน์ ผู้ใดปรารถนาจะได้แก้วแหวนเงินทองหรือสิ่งใดๆ
ก็ให้ไปยืนนึกอยู่ใต้ต้นกัลปพฤกษ์นี้
---ผู้หญิงชาวอุตตรกุรุทวีปนั้น มีความงดงามมาก
ส่วนผู้ชายก็เช่นกันมีความงามดังเช่นหนุ่มอายุ 20 ปี กันทุกคน
ทุกคนไม่เบียดเบียนกัน ไม่ทาชั่ว เมื่อตายแล้วจึงขึ้นสวรรค์แน่นอน
ทาให้คนในทวีปนี้ไม่กลัวตาย และผู้ที่อาศัยในทวีปนี้ มีอายุ 1,000
ปีเท่ากันทุกคน
*พระยาจักรพรรดิราช
---พระยาจักรพรรดิราช เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่าพระราชาทั้งปวง
คือเป็นพระราชาผู้มีจักรหรือล้อแห่งรถเลื่อนแล่นไปได้รอบโลก
โดยปราศจากการขัดขวางหรือปราบปรามทั่วโลก
พระยาจักรพรรดิราชนั้นเมื่อชาติก่อนเป็ นคนแต่ทาบุญไว้มาก
เมื่อตายไปจึงไปเกิดในสวรรค์
---ในบางครั้งก็มาเกิดเป็นพระยาที่มีอานาจยิ่งใหญ่ได้รับพระนามว่า
พระยาจักรพรรดิราช เป็นพระยาที่ทรงคุณธรรมทุกประการ
เป็นเจ้านายคนทั้งหลายพระองค์ทรงตั้งอยู่ในทศพิศราชธรรม
พระยาจักรพรรดิราชมีแก้ว 7 ประการเกิดคู่บารมีมาด้วย ได้แก่
---1.จักรแก้ว คือแก้วอย่างที่หนึ่ง
จักรแก้วหรือจักรรัตน์จมอยู่ใต้ท้องทะเลลึกได้ 84,000โยชน์
เมื่อเกิดจักรพรรดิราชขึ้นในโลก
จักรแก้วซึ่งเป็นคู่บุญบารมีและจมอยู่ในมหาสมุทร ก็จะผุดขึ้นมาจากท้องทะเล
พุ่งขึ้นไปในอากาศ เกิดเป็นแสงส่องอันงดงาม มาน้อมนบ
เมื่อพระยาผู้ครองเมืองนั้น ทราบว่าพระองค์จะได้เป็นพระยาจักรพรรดิราช
ปราบทั่วจักรวาลเพราะมีจักรแก้วมาสู่พระองค์
พระยาจักรพรรดิราชก็จะเสด็จปราบทวีปทั้งสี่
แล้วประทานโอวาทให้ชาวทวีปเหล่านั้นประพฤติและตั้งอยู่ในคุณงามความดีแ
ล้ว จึงเสด็จกลับพระนคร
---2.ช้างแก้ว (หัสดีรัตน์) คือแก้วอย่างที่สอง ซึ่งเป็นช้างที่มีความงดงาม
ตัวเป็นสีขาว ตีนและงวงสีแดง เหาะได้รวดเร็ว
---3.ม้าแก้ว (อัศวรัตน์) คือแก้วอย่างที่สาม เป็นม้าที่มีขนงามดังสีเมฆหมอก
กีบเท้าและหน้าผากแดงดั่งน้าครั่ง เหาะได้รวดเร็วเช่นเดียวกับช้างแก้ว
---4.ดวงแก้ว (มณีรัตน์) คือแก้วอย่างที่สี่ เป็นแก้วที่มีขนาดยาวได้ 4 ศอก
ใหญ่เท่าดุมเกวียนใหญ่ สองหัวแก้วมีดอกบัวทอง
เมื่อมีความมืดแก้วนี้จะส่องสว่างให้เห็นทุกหนแห่ง ดังเช่นเวลากลางวัน
แก้วนี้จะอยู่กับพระยาจักรพรรดิราชจนตราบเท่าเสด็จสวรรคาลัย
จึงจะคืนไปอยู่ยอดเขาพิปูลบรรพตตามเดิม
---5.นางแก้ว (อิตถีรัตน์) คือแก้วอย่างที่ห้า เป็นหญิงที่จะมาเป็น
มเหสีคู่บารมี ของพระยาจักรพรรดิราช
นางแก้วนี้จะต้องเป็นหญิงที่ได้ทาบุญมาแต่ชาติก่อน
และมาเกิดในแผ่นดินของพระยาจักรพรรดิราช ในตระกูลกษัตริย์
นางแก้วนี้จะเป็นหญิงที่มีลักษณะงดงามไปทุกส่วน
จะทาหน้าที่เป็นภรรยาที่ดีของพระยาจักรพรรดิราช
---6.ขุนคลังแก้ว คือแก้วอย่างที่หก เกิดขึ้นเพื่อบุญแห่งพระยาจักรพรรดิราช
และจะเป็นมหาเศรษฐี
ขุนคลังแก้วจะสามารถกระทาได้ทุกอย่างที่พระยาจักรพรรดิราชต้องการ
เพราะขุนคลังแก้ว มีหูทิพย์ ตาทิพย์ ดังเทวดาในสวรรค์
หากว่าพระยาจักรพรรดิราชต้องการทรัพย์สินสิ่งใด
ขุนคลังก็จะสามารถนามาถวายได้
---7.ขุนพลแก้ว คือแก้วประการสุดท้าย ของพระยาจักรพรรดิราช
หรือโอรสของพระยาจักรพรรดิราช มีรูปโฉมอันงดงาม กล้าหาญ เฉลียวฉลาด
สามารถบริหารกิจการบ้านเมืองได้ทุกประการ บางตาราก็ว่าเป็นขุนพลแก้ว
*จาตุมหาราชิกาภูมิ
---สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกภูมิ เป็นสวรรค์ชั้นแรก สูงจากพื้นโลกได้ 46,000
โยชน์ เป็นดินแดนของผู้มีจิตใจสูงส่ง แต่ยังเกี่ยวข้องในกามคุณ
---จาตุมหาราชิกภูมิ แปลว่า "แดนแห่ง 4 มหาราช"
สวรรค์ชั้นนี้ตั้งอยู่เหนือเทือกเขายุคนธร
อันเป็นเทือกเขาแรกที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ
*บนเทือกเขายุคนธรทั้ง 4 ทิศ มีเมืองใหญ่ 4 เมือง
---1.เมืองที่อยู่ทางทิศตะวันออก ของเขาพระสุเมรุมี "ท้าวธตรฐ"
เป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือ "คนธรรพ์" (เป็นอมนุษย์จาพวกหนึ่ง
ครึ่งเทวดาครึ่งมนุษย์ เป็นนักดนตรีและชอบผู้หญิง)
---2.เมืองที่อยู่ทางทิศตะวันตก ของเขาพระสุเมรุมี "ท้าววิรูปักษ์"
เป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือ "นาค"
---3.เมืองที่อยู่ทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุมี "ท้าววิรุฬหก" เป็นเจ้าเมือง
เป็นใหญ่เหนือ "พวกกุมภัณฑ์" (เป็นยักษ์จาพวกหนึ่ง
มีท้องใหญ่และมีอัณฑะเหมือนหม้อ)
---4.เมืองที่อยู่ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุมี "ท้าวไพศรพ" เป็นเจ้าเมือง
เป็นใหญ่เหนือ "พวกยักษ์" ท้าวมหาราชทั้ง 4 นี้เรียกรวมๆ ว่า
"จตุโลกบาล" ทั้ง 4 คือ ผู้ดูแลรักษาโลกทั้ง 4 ทิศ
*ดาวดึงส์
---เป็นสวรรค์ชั้นที่ 2 มีเทวดาผู้เป็นใหญ่ในชั้นนี้คือ ท้าวสักกะเทวราช
หรือที่เรียกกันว่า "พระอินทร์"
*ยามาภูมิ
---สวรรค์ชั้นยามา เป็นสวรรค์ชั้นที่ 3 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 84,000
โยชน์ มี "พระยาสยามเทวราช" ครองอยู่
สวรรค์ชั้นนี้สูงกว่าวิถีการโคจรของพระอาทิตย์
แต่ก็ไม่มืดเนื่องจากรัศมีแก้วและรัศมีตัวเทวดาส่องสว่างอยู่เสมอ
*ดุสิตาภูมิ
---สวรรค์ชั้นดุสิต เป็นสวรรค์ชั้นที่ 4 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นยามา 168,000
โยชน์ มี "พระยาสันดุสิตเทวราช"
พระโพธิสัตว์ซึ่งจะเสด็จลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
มีพระศรีอาริย์โพธิสัตว์ซึ่งจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า
*นิมมานรดีภูมิ
---สวรรค์ชั้นนิมมานรดี เป็นสวรรค์ชั้นที่ 5 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดุสิต
336,000 โยชน์
*ปรนิมิตวสวัตติภูมิ
---สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี เป็นสวรรค์ชั้นที่ 6
อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดี 672,000 โยชน์ มี "พระยาปรนิมมิตวสวัตตี"
ปกครองผู้เป็นเทวดา และมีพระยามารปกครองเหล่ามาร
เจ้าทั้งสองจะไม่เคยพบเจอกันเลยแม้จะอยู่สวรรค์ชั้นเดียวกัน
*รูปภูมิ 16
---อยู่เหนือสวรรค์ชั้นสูงสุด
---1.พรหมปาริสัชชาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จปฐมฌาณขั้น ต้น
---2.พรหมปุโรหิตาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จปฐมฌาณขั้นกลาง
---3.มหาพรหมาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จปฐมฌาณขั้นสูง
---4.ปริตตาภาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จทุติยฌาณขั้นต้น
---5.อัปปมาณาภาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จทุติยฌาณขั้นกลาง
---6.อาภัสสราภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จทุติยฌาณขั้นสูง
---7.ปริตตสุภาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จตติยฌาณขั้นต้น
---8.อัปปมาณสุภาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จตติยฌาณขั้นกลาง
---9.สุภกิณหาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จตติยฌาณขั้นสูง
---10.เวหัปปผลาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จจตุตฌาณ มีผลไพบูลย์
พ้นจากการทาลาย ของน้า ลม ไฟ
---11.อสัญญีสัตตาภูมิ ดินแดนของพรหมไร้นาม มีร่างกายสง่างาม
---12.อวิหาภูมิ ดินแดนของพระอรหันต์ขั้นอนาคามี
เคยเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
---13.อตัปปาภูมิ ดินแดนของพรหมผู้ไม่เดือดร้อนทั้งกาย วาจา ใจ
เพราะสามารถระงับนิวรณ์ได้
---14.สุทัสสาภูมิ แดนของผู้เห็นสภาวธรรมแจ้งชัด
---15.สุทัสสีภูมิ แดนของพรหมผู้เห็นธรรมแจ่มแจ้ง
---16.อกนิฎฐาภูมิ แดนของพรหมที่มีคุณสมบัติมากพอจะนิพพานได้
*อรูปภูมิ 4
---แดนของพรหมที่มีแต่จิต ด้วยไม่พอใจที่รูปกายเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์
นานัปการ
---อากาสานัญจายตน ภูมิแดนของพรหมที่มีแต่จิต เข้าถึง
ภาวะมีอากาศไม่มีที่สุด
---วิญญาณัญจายตน ภูมิแดนของผู้ที่เข้าถึง ภาวะวิญญาณไม่มีที่สุด
---อากิญจัญญายตน ภูมิแดนของผู้ที่เข้าถึง ภาวะไม่มีอะไร
---เนวสัญญานาสัญญายตน ภูมิแดนของผู้ที่เข้าถึง ภาวะไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่
มีสัญญาก็ไม่ใช่
*วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
---วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับไตรภูมิ เช่น ไตรภูมิโลกวินิจฉัย
เรื่องเล่าจากไตรภูมิ สมุดภาพไตรภูมิ ฯลฯ
*ไตรภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วง
---ไตรภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วง เป็นวรรณกรรมชิ้นเอกสมัยกรุงสุโขทัย
นับเป็นวรรณคดีเรื่องแรก ของไทยเป็นพระราชนิพนธ์
ในสมเด็จพระศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราชหรือพระมหาธรรมราชาลิไ
ทย เป็นวรรณคดีไทย ที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย
กรุงศรีอยุธยามาจนถึงปัจจุบัน เพราะได้รวบรวมเอาคติ ความเชื่อ
ทุกแง่ทุกมุมของทุกชนชั้น หลายเผ่าพันธุ์มาร้อยเรียงเป็นเรื่องราว
ให้ผู้อ่านผู้ฟังยาเกรงในการกระทาบาปทุจริต และเกิดความปิติยินดี
ในการทาบุญทากุศล อาจหาญมุ่งมั่นในการกระทาคุณงามความดี
---พระมหาธรรมราชาลิไทย มีพระปรีชา รอบรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก
อรรถกถาฎีกา อนุฏีกา และปกรณ์พิเศษต่าง ๆ
พระองค์ยังเชี่ยวชาญในวิชาโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ และไสยศาสตร์
จนถึงขั้นทรงบัญญัติคัมภีร์ศาสตราคม
เป็นปฐมธรรมเนียมสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
---ในปี พ.ศ.๑๘๘๘ พระยาลิไทย อุปราชผู้ครองนครศรีสัชนาลัย
ได้ทรงนิพนธ์ไตรภูมิกถาขึ้น มีสาระสาคัญ คือ ทรงพรรณาถึงเรื่องการเกิด
การตาย ของสัตว์ทั้งหลาย ว่าการเวียนว่าย ตาย เกิด อยู่ในภูมิทั้งสามคือ
กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ
---ด้วยอานาจของบุญและบาปที่ตน ได้กระทาแล้ว
กามภูมิเป็นที่ตั้งแห่งความใคร่ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ อบายภูมิ
และสุคติภูมิ
---อบายภูมิ ยังแบ่งออกเป็น 4 ภูมิ ได้แก่ นรกภูมิ, ติรัจฉานภูมิ, เปรตภูมิ,
และอสูรกายภูมิ
---นรกภูมิ เป็นที่ตั้งของสัตว์ที่ทาบาป ต้องไปรับทัณฑ์ทรมานนานาประการ
แบ่งออกเป็นขุมใหญ่ ๆ ได้
---8 ขุมด้วยกัน คือ
---1.สัญชีพนรก มีอายุ ๕๐๐ ปี นรก (๑ วันเท่ากับ ๙ ล้านปีของมนุษย์)
---2.กาฬสุตตนรก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปีนรก (๑ วันเท่ากับ ๓๖ ล้านปีของมนุษย์)
---3.สังฆาฏนรก มีอายุ ๒,๐๐๐ ปีนรก (๑ วันเท่ากับ ๑๔๕
ล้านปีของมนุษย์)
---4.โรรุวะนรก มีอายุ ๔,๐๐๐ ปีนรก (๑ วันเท่ากับ ๕๗๖
ล้านปีของมนุษย์)
---5.มหาโรรุวะนรก มีอายุ ๘,๐๐๐ ปีนรก (๑ วันเท่ากับ ๒,๓๐๔
ล้านปีของมนุษย์)
---6.ตาปนรก มีอายุ ๑๖,๐๐๐ ปีนรก (๑ วันเท่ากัย ๙,๒๓๖
ล้านปีของมนุษย์)
---7.มหาตาปนรก มีอายุยาวนานนับไม่ถ้วน---8.อวีจีนรก หรือ อเวจีนรก
มีอายุนับได้กัลป์ หนึ่ง
---ในแต่ละนรก ยังมีนรกบริวาร เช่น นรกขุมที่ชื่อ โลหสิมพลี
เป็นนรกบริวารของสัญชีพนรก ผู้ที่เป็นชู้กับสามีหรือภริยาผู้อื่น
จามาตกนรกขุมนี้ จะถูกนายนิรบาลไล่ต้อนให้ขึ้นต้นงิ้ว ที่สูงต้นละหนึ่งโยชน์
มีหนามเป็นเหล็กร้อนจนเป็นสีแดง มีเปลวไฟลุกโชนยาว ๑๖ นิ้ว
ชายหญิงที่เป็นชู้กันต้องปีนขึ้นลง โดยมีนายนิรบาลเอาหอกแหลมทิ่มแทง
ให้ขึ้นลงวนเวียนอยู่เช่นนี้นับร้อยปีนรก
---สาหรับ ผู้ที่ทาบาป แต่ไม่หนักพอที่จะตกนรก
ก็ไปเกิดในที่อันหาความเจริญมิได้ อื่น ๆ เช่น เกิดเป็นเปรต อสูรกาย
สัตว์เดรัจฉาน
พวกที่พ้นโทษจากนรกแล้วยังมีเศษบาปติดอยู่ก็ไปเกิดเป็ นเดรัจฉานบ้าง
เป็นเปรตบ้าง เป็นอสูรกายบ้าง เป็นมนุษย์ที่ทุพพลภาพพิกลพิการ
ตามความหนักเบาของบาปที่ตนได้ทาไว้
---สุคติภูมิ เป็นส่วนของกามาพจรภูมิ หรือ กามสุคติภูมิ แบ่งออกเป็น 7 ชั้น
คือ
---1.มนุษย์ภูมิ
---2.สวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกาภูมิ
---3.สวรรค์ชั้นตาวติงสาภูมิ (ดาวดึงส์ - ไตรตรึงษ์)
---4.สวรรค์ชั้นยามาภูมิ
---5.สวรรค์ชั้นตุสิตาภูมิ (ดุสิต)
---6.สวรรค์ชั้นนิมมานรดีภูมิ
---7.สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีภูมิ
---กามาพจร ภูมิทั้ง 7ชั้น เป็นที่ตั้งอันเต็มไปด้วยกาม
เป็นที่ท่องเที่ยวของสัตว์ที่ลุ่มหลงอยู่ใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
อันเป็นอารมณ์อันพึงปรารถนา เมื่อรวมกับอบายภูมิอีก 4 ชั้นเรียกว่า กามภูมิ
11 ชั้น
---รูปภูมิ หรือรูปาวจรภูมิ ได้แก่ รูปพรหม 16 ชั้น
เริ่มตั้งแต่พรหมปริสัชชาภูมิ ที่อยู่สูงกว่าสวรรค์ชั้นหก คือ ปรนิมมิตวสวัตดี
มากจนนับระยะทางไม่ได้ ระยะทางดังกล่าวอุปมาไว้ว่า
สมมติมีหินก้อนใหญ่เท่าโลหะปราสาทในลังกาทวีป
หินก้อนนี้ทิ้งลงมาจากชั้นพรหมปริสัชชาภูมิ หินก้อนนั้นใช้เวลาถึง 4 เดือน
จึงจะตกลงถึงพื้น
---จากพรหมปริสัชชาภูมิขึ้นไปถึงชั้นที่ 11 ชื่อชั้นอสัญญีภูมิ
เป็นรูปพรหมที่มีรูป แปลกออกไปจากพรหมชั้นอื่น ๆ คือ พรหมชั้นอื่น ๆ
มีรูป มีความรู้สึก เคลื่อนไหวได้ แต่พรหมชั้นอสัญญีมีรูปที่ ไม่ไหวติง
ไร้อริยาบท โบราณเรียกว่า พรหมลูกฟักครั้นหมดอายุ
ฌานเสื่อมแล้วก็ไปเกิดตามกรรมต่อไป
---รูปพรหมที่สูงขึ้นไปจากอสัญญี พรหมอีก 5ชั้นเรียกว่า ชั้นสุทธาวาส
หมายถึงที่อยู่ของผู้บริสุทธิ ผู้ที่จะไปเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาสคือ
ผู้ที่สาเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระอนาคามี
คือเป็นผู้ที่ไม่กลับมาสู่โลกนี้ต่อไป
ทุกท่านจะสาเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วนิพพานในชั้นสุทธาวาสนี้
---อรูปภูมิ หรืออรูปาพาจรภูมิ มี 4 ชั้น เป็นพรหมที่ไม่มีรูปปรากฏ
ผู้ที่ไปเกิดในภูมินี้คือผู้ที่บาเพ็ญเพียรจนได้บรรลุฌานโลกีย์ชั้นสูงสุด เรียกว่า
อรูปฌาน ซึ่งมีอยู่ 4 ระดับ ได้แก่ผู้ที่บรรลุอากาสานัญจายตนะฌาน
(ยึดหน่วงเอาอากาศเป็นอารมณ์) จะไปเกิดในอากาสานัญจายตะภูมิ
ผู้ที่บรรลุวิญญาณัญจายตนะฌาน (ยึดหน่วงเอาวิญญาณเป็นอารมณ์)
จะไปเกิดในวิญญาณัญจายตะภูมิ
---ผู้ที่บรรลุ อากิญจัญญายตนะฌาน (ยึดหน่วงเอาความไม่มีเป็นอารมณ์)
จะไปเกิดในอากิญจัญญาตนะภูมิ และผู้ที่บรรลุเนวสัญญานสสัญญายตนะฌาน
(ยึดหน่วงเอาฌานที่สามให้ละเอียดลงจนเป็นผู้มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีญาก็มิใช่)
จะไปเกิดในแนวสัญญานาสัญญายตนะภูมิ พรหมเหล่านี้
เมื่อเสื่อมจากฌานก็จะกลับมาเกิดในรูปพรหมภูมิ หรือภูมิอื่น ๆ ได้เช่นกัน
*การกาเนิดของสัตว์ การเกิดของสัตว์ในสามภูมิมีอยู่ 4 อย่างด้วยกันคือ
---1.ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ เช่น
มนุษย์และสัตว์เดรัจฉานบางชนิดที่เลี้ยงลูกด้วยนม
---2.อัณฑชะ เกิดในไข่ ได้แก่ สัตว์เดรัจฉานบางชนิด เช่น นก
สัตว์เลื้อยคลานบางชนิด ปลา เป็นต้น
---3.สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล ได้แก่
สัตว์ชั้นต่าบางชนิดที่ใช้การแบ่งตัวออกไป เช่น ไฮดรา อมิบา เป็นต้น
---4.โอปาติกะ เกิดขึ้นเอง เมื่อเกิดแล้วก็จะสมบูรณ์เต็มที่
เมื่อตายไปจะไม่มีซาก ได้แก่ เปรต อสูรกาย เทวดา และพรหม เป็นต้น
*การตายของสัตว์ การตายมีสาเหตุ 4 ประการด้วยกันคือ
---1.อายุขยะ เป็นการตายเพราะสิ้นอายุ
---2.กรรมขยะ เป็นการตายเพราะสิ้นกรรม
---3.อุภยขยะ เป็นการตายเพราะสิ้นทั้ง อายุ และสิ้นทั้งกรรม
---4.อุปัจเฉทกรรมขยะ เป็นการตายเพราะอุบัติเหตุ
---นอกจากนั้น แล้วมีการกล่าวถึงสิ่งต่าง ๆ ในโลกและในจักรวาล
มีภูเขาพระสุเมรุราช เป็นแกนกลาง แวดล้อมด้วยกาแพงน้าสีทันดรสมุทร
และภูเขาสัตตบรรพต อันประกอบด้วย ภูเขายุคนธร, อินิมธร, กรวิก,
สุทัศนะ, เนมินธร, วินันตกะ, และอัสสกัณณะ
---กล่าวถึง พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวนพเคราะห์
และดารากรทั้งหลายในจักรวาล เป็นเครื่องบ่งบอกให้รู้วันเวลา ฤดูกาล
และเหตุการณ์ต่าง ๆ กล่าวถึงทวีปทั้ง 4 ที่ตั้งอยู่รอบภูเขาพระเมรุมาศ
ชมพูทวีปอยู่ทางทิศใต้กว้าง ๑๐,๐๐๐ โยชน์ มีปริมณฑล ๓๐๐,๐๐๐ โยชน์
มีแผ่นดินเล็กล้อมรอบได้ ๕๐๐ มีแผ่นดินเล็กอยู่กลางทวีปใหญ่ 4 ผืน เรียกว่า
สุวรรณทวีป กว้างได้ ๑,๐๐๐ โยชน์ มีประมณฑล ๓๐,๐๐๐ โยชน์
เป็นเมืองที่อยู่ของพญาครุฑ
---การกาหนดอายุของสัตว์และโลกทั้ง 3 ภูมิ มี กัลป์ , มหากัลป์ , การวินาศ,
การอุบัติ, การสร้างโลก สร้างแผ่นดิน ตามคติของพราหมณ์
*ท้ายสุดของภูมิกถา
---เป็นนิพพานคถา ว่าด้วยนิพพานสมบัติของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย
วิธีปฏิบัติเพื่อบรรลุพระนิพพาน อันเป็นวิธีตามแนวทางของพระพุทธศาสนา.
.......................................................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
อ้างอิง
1. นิยะดา เหล่าสุนทร, ไตรภูมิพระร่วง การศึกษาที่มา. กรุงเทพ :
สานักพิมพ์แม่คาผาง, 2543 หน้า 11
เสฐียรโกเศศ, เล่าเรื่องไตรภูมิ. (กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์คลังวิทยา, 2518)
http://www.openbase.in.th/files/1_165.doc
รวบรวมโดย...แสงธรรม
(แก้ไขแล้ว ป.)
ปรับปรุงครั้งที่ 5 วันที่ 29 กันยายน 2556

More Related Content

What's hot

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑๓นิทานพื้นบ้าน
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑๓นิทานพื้นบ้านแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑๓นิทานพื้นบ้าน
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑๓นิทานพื้นบ้านน้ำอ้อย อ้อยอ้อย
 
สังสารวัฏ กับการเวียนว่ายตายเกิด
สังสารวัฏ กับการเวียนว่ายตายเกิดสังสารวัฏ กับการเวียนว่ายตายเกิด
สังสารวัฏ กับการเวียนว่ายตายเกิดHappy Sara
 
1 10+อธิบายบาลีไวยากรณ์+อาขยาต
1 10+อธิบายบาลีไวยากรณ์+อาขยาต1 10+อธิบายบาลีไวยากรณ์+อาขยาต
1 10+อธิบายบาลีไวยากรณ์+อาขยาตTongsamut vorasan
 
2.2 อารยธรรมอินเดีย
2.2 อารยธรรมอินเดีย2.2 อารยธรรมอินเดีย
2.2 อารยธรรมอินเดียJitjaree Lertwilaiwittaya
 
ภูมิปัญญาไทยสมัยกรุงธนบุรี1+585+55t2his p05 f05-4page
ภูมิปัญญาไทยสมัยกรุงธนบุรี1+585+55t2his p05 f05-4pageภูมิปัญญาไทยสมัยกรุงธนบุรี1+585+55t2his p05 f05-4page
ภูมิปัญญาไทยสมัยกรุงธนบุรี1+585+55t2his p05 f05-4pagePrachoom Rangkasikorn
 
274เกมทายภาพ (สุภาษิตไทย)
274เกมทายภาพ (สุภาษิตไทย)274เกมทายภาพ (สุภาษิตไทย)
274เกมทายภาพ (สุภาษิตไทย)niralai
 
การเข้ามาและพัฒนาการพุทธศาสนาในประเทศไทย
การเข้ามาและพัฒนาการพุทธศาสนาในประเทศไทยการเข้ามาและพัฒนาการพุทธศาสนาในประเทศไทย
การเข้ามาและพัฒนาการพุทธศาสนาในประเทศไทยPadvee Academy
 
ติวศาสนา55
ติวศาสนา55ติวศาสนา55
ติวศาสนา55Kwandjit Boonmak
 
แบบเสนอขอรับรางวัล หนึ่งแสนครูดี
แบบเสนอขอรับรางวัล หนึ่งแสนครูดีแบบเสนอขอรับรางวัล หนึ่งแสนครูดี
แบบเสนอขอรับรางวัล หนึ่งแสนครูดีเทวัญ ภูพานทอง
 
พุทธศาสนานิกายมหายาน
พุทธศาสนานิกายมหายานพุทธศาสนานิกายมหายาน
พุทธศาสนานิกายมหายานChainarong Maharak
 
ใบความรู้ สังคม ป.1-3 ภาคเรียนที่ 2+443+dltvsocp3+T2 p1 3-sheet
ใบความรู้  สังคม ป.1-3 ภาคเรียนที่ 2+443+dltvsocp3+T2 p1 3-sheetใบความรู้  สังคม ป.1-3 ภาคเรียนที่ 2+443+dltvsocp3+T2 p1 3-sheet
ใบความรู้ สังคม ป.1-3 ภาคเรียนที่ 2+443+dltvsocp3+T2 p1 3-sheetPrachoom Rangkasikorn
 
แบบประเมิน ความพึงพอใจ
แบบประเมิน ความพึงพอใจแบบประเมิน ความพึงพอใจ
แบบประเมิน ความพึงพอใจPawit Chamruang
 
งานนำเสนอ อารยธรรมจีน
งานนำเสนอ อารยธรรมจีนงานนำเสนอ อารยธรรมจีน
งานนำเสนอ อารยธรรมจีนSRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
 
ไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิพระร่วงไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิพระร่วงพัน พัน
 
โตฎก ฉันท์ 12
โตฎก ฉันท์ 12โตฎก ฉันท์ 12
โตฎก ฉันท์ 12MilkOrapun
 
นิราศภูเขาทองม.๑
นิราศภูเขาทองม.๑นิราศภูเขาทองม.๑
นิราศภูเขาทองม.๑Kornnicha Wonglai
 

What's hot (20)

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑๓นิทานพื้นบ้าน
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑๓นิทานพื้นบ้านแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑๓นิทานพื้นบ้าน
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑๓นิทานพื้นบ้าน
 
สังสารวัฏ กับการเวียนว่ายตายเกิด
สังสารวัฏ กับการเวียนว่ายตายเกิดสังสารวัฏ กับการเวียนว่ายตายเกิด
สังสารวัฏ กับการเวียนว่ายตายเกิด
 
1 10+อธิบายบาลีไวยากรณ์+อาขยาต
1 10+อธิบายบาลีไวยากรณ์+อาขยาต1 10+อธิบายบาลีไวยากรณ์+อาขยาต
1 10+อธิบายบาลีไวยากรณ์+อาขยาต
 
พระไตรปิฎก
พระไตรปิฎกพระไตรปิฎก
พระไตรปิฎก
 
2.2 อารยธรรมอินเดีย
2.2 อารยธรรมอินเดีย2.2 อารยธรรมอินเดีย
2.2 อารยธรรมอินเดีย
 
ภูมิปัญญาไทยสมัยกรุงธนบุรี1+585+55t2his p05 f05-4page
ภูมิปัญญาไทยสมัยกรุงธนบุรี1+585+55t2his p05 f05-4pageภูมิปัญญาไทยสมัยกรุงธนบุรี1+585+55t2his p05 f05-4page
ภูมิปัญญาไทยสมัยกรุงธนบุรี1+585+55t2his p05 f05-4page
 
274เกมทายภาพ (สุภาษิตไทย)
274เกมทายภาพ (สุภาษิตไทย)274เกมทายภาพ (สุภาษิตไทย)
274เกมทายภาพ (สุภาษิตไทย)
 
ใบความรู้ไตรภูมิพระร่วง
ใบความรู้ไตรภูมิพระร่วงใบความรู้ไตรภูมิพระร่วง
ใบความรู้ไตรภูมิพระร่วง
 
การเข้ามาและพัฒนาการพุทธศาสนาในประเทศไทย
การเข้ามาและพัฒนาการพุทธศาสนาในประเทศไทยการเข้ามาและพัฒนาการพุทธศาสนาในประเทศไทย
การเข้ามาและพัฒนาการพุทธศาสนาในประเทศไทย
 
ใบความรู้เรื่อง คำราชาศัพท์
ใบความรู้เรื่อง คำราชาศัพท์ใบความรู้เรื่อง คำราชาศัพท์
ใบความรู้เรื่อง คำราชาศัพท์
 
ติวศาสนา55
ติวศาสนา55ติวศาสนา55
ติวศาสนา55
 
แบบเสนอขอรับรางวัล หนึ่งแสนครูดี
แบบเสนอขอรับรางวัล หนึ่งแสนครูดีแบบเสนอขอรับรางวัล หนึ่งแสนครูดี
แบบเสนอขอรับรางวัล หนึ่งแสนครูดี
 
พุทธศาสนานิกายมหายาน
พุทธศาสนานิกายมหายานพุทธศาสนานิกายมหายาน
พุทธศาสนานิกายมหายาน
 
ใบความรู้ สังคม ป.1-3 ภาคเรียนที่ 2+443+dltvsocp3+T2 p1 3-sheet
ใบความรู้  สังคม ป.1-3 ภาคเรียนที่ 2+443+dltvsocp3+T2 p1 3-sheetใบความรู้  สังคม ป.1-3 ภาคเรียนที่ 2+443+dltvsocp3+T2 p1 3-sheet
ใบความรู้ สังคม ป.1-3 ภาคเรียนที่ 2+443+dltvsocp3+T2 p1 3-sheet
 
คำอุทาน
คำอุทานคำอุทาน
คำอุทาน
 
แบบประเมิน ความพึงพอใจ
แบบประเมิน ความพึงพอใจแบบประเมิน ความพึงพอใจ
แบบประเมิน ความพึงพอใจ
 
งานนำเสนอ อารยธรรมจีน
งานนำเสนอ อารยธรรมจีนงานนำเสนอ อารยธรรมจีน
งานนำเสนอ อารยธรรมจีน
 
ไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิพระร่วงไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิพระร่วง
 
โตฎก ฉันท์ 12
โตฎก ฉันท์ 12โตฎก ฉันท์ 12
โตฎก ฉันท์ 12
 
นิราศภูเขาทองม.๑
นิราศภูเขาทองม.๑นิราศภูเขาทองม.๑
นิราศภูเขาทองม.๑
 

Viewers also liked

วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยล้านนา
วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยล้านนาวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยล้านนา
วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยล้านนาพระอภิชัช ธมฺมโชโต
 
งานภาษาไทย (อนุสรา)
งานภาษาไทย (อนุสรา)งานภาษาไทย (อนุสรา)
งานภาษาไทย (อนุสรา)Chutima Tongnork
 
วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย
วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัยวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย
วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัยพระอภิชัช ธมฺมโชโต
 
มังคลัตถทีปนีแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
มังคลัตถทีปนีแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัยมังคลัตถทีปนีแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
มังคลัตถทีปนีแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัยTongsamut vorasan
 
แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.6
แบบทดสอบ  ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.6แบบทดสอบ  ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.6
แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.6teerachon
 

Viewers also liked (7)

ไตรภูมิพระร่วงสมบูรณ์
ไตรภูมิพระร่วงสมบูรณ์ไตรภูมิพระร่วงสมบูรณ์
ไตรภูมิพระร่วงสมบูรณ์
 
ใบความรู้ไตรภูมิพระร่วง
ใบความรู้ไตรภูมิพระร่วงใบความรู้ไตรภูมิพระร่วง
ใบความรู้ไตรภูมิพระร่วง
 
วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยล้านนา
วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยล้านนาวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยล้านนา
วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยล้านนา
 
งานภาษาไทย (อนุสรา)
งานภาษาไทย (อนุสรา)งานภาษาไทย (อนุสรา)
งานภาษาไทย (อนุสรา)
 
วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย
วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัยวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย
วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย
 
มังคลัตถทีปนีแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
มังคลัตถทีปนีแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัยมังคลัตถทีปนีแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
มังคลัตถทีปนีแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
 
แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.6
แบบทดสอบ  ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.6แบบทดสอบ  ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.6
แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.6
 

Similar to ไตรภูมิพระร่วง

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวSRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
 
Conceptของสุโขทัย
ConceptของสุโขทัยConceptของสุโขทัย
Conceptของสุโขทัยsangworn
 
ประวัติองค์พระปฐมเจดีย์
ประวัติองค์พระปฐมเจดีย์ประวัติองค์พระปฐมเจดีย์
ประวัติองค์พระปฐมเจดีย์A'mp Minoz
 
รัฐโบราณในดินแดนไทย : ตามพรลิงค์
รัฐโบราณในดินแดนไทย : ตามพรลิงค์รัฐโบราณในดินแดนไทย : ตามพรลิงค์
รัฐโบราณในดินแดนไทย : ตามพรลิงค์kulrisa777_999
 
ศิลปะศรีลังกา
ศิลปะศรีลังกาศิลปะศรีลังกา
ศิลปะศรีลังกาnanpun54
 
ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์sangworn
 

Similar to ไตรภูมิพระร่วง (12)

Mesopotamia
MesopotamiaMesopotamia
Mesopotamia
 
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
 
Conceptของสุโขทัย
ConceptของสุโขทัยConceptของสุโขทัย
Conceptของสุโขทัย
 
Bangkok
BangkokBangkok
Bangkok
 
Bangkok
BangkokBangkok
Bangkok
 
Bangkok
BangkokBangkok
Bangkok
 
Bangkok
BangkokBangkok
Bangkok
 
ประวัติองค์พระปฐมเจดีย์
ประวัติองค์พระปฐมเจดีย์ประวัติองค์พระปฐมเจดีย์
ประวัติองค์พระปฐมเจดีย์
 
รัฐโบราณในดินแดนไทย : ตามพรลิงค์
รัฐโบราณในดินแดนไทย : ตามพรลิงค์รัฐโบราณในดินแดนไทย : ตามพรลิงค์
รัฐโบราณในดินแดนไทย : ตามพรลิงค์
 
ศิลปะศรีลังกา
ศิลปะศรีลังกาศิลปะศรีลังกา
ศิลปะศรีลังกา
 
ลังกากถา โดย ปิยเมธี
ลังกากถา โดย ปิยเมธีลังกากถา โดย ปิยเมธี
ลังกากถา โดย ปิยเมธี
 
ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์
 

ไตรภูมิพระร่วง

  • 1. ไตรภูมิพระร่วง http://www.watkaokrailas.com/index.php?mo=3&art=41907538 ---ไตรภูมิพระร่วง เป็นพระราชนิพนธ์ของ พระมหาธรรมราชาลิไท ซึ่งแต่งขึ้นเมื่อ วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่า เดือน ๔ ปีระกา ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 1864 (ปีเก่า) จ.ศ.683 ม.ศ.1243 เป็นปีครองราชย์ที่ 6 โดยมีพระประสงค์ ที่จะเทศนาโปรดพระมารดาและเพื่อจาเริญพระอภิธรรม
  • 2. ---ไตรภูมิพระร่วงเป็นหลักฐานชิ้นหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถอย่างลึกซึ้ง ในด้านพุทธศาสนาของพระมหาธรรมราชาลิไท ที่ทรงรวบรวมข้อความต่างๆ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา นับแต่พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และปกรณ์พิเศษต่างๆ มาเรียบเรียงขึ้นเป็นวรรณคดีโลกศาสตร์เล่มแรกที่แต่งเป็นภาษาไทย เท่าทีมีหลักฐานอยู่ในปัจจุบันนี้ ทั้งนี้ อ.สินชัย กระบวนแสง ได้วิเคราะห์เหตุผลการแต่งไตรภูมิพระร่วงของพระมหาธรรมราชาลิไท ว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองด้วย
  • 3. ---เนื่องจากไตรภูมิ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ นรก-สวรรค์ สอนให้คนรู้จักการทาความดี เพื่อจะได้ขึ้นสวรรค์ หากแต่ใครทาชั่วประพฤติตนผิดศีลก็จะต้องตกนรก กล่าวคือ ประชากรในสมัยที่พระมหาธรรมราชา ลิไท ปกครองนั้นเริ่มมีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทาให้การปกครองบ้านเมืองให้สงบสุขปราศจากโจรผู้ร้ายเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น การดูแลของรัฐก็ไม่อาจดูแลได้ทั่วถึง ---พระมหาธรรมราชาลิไท จึงได้คิดนิพนธ์วรรณกรรมทางศาสนาเรื่องไตรภูมิพระร่วง
  • 4. ขึ้นมาเพื่อที่ต้องการสอนให้ประชาชนของพระองค์ทาความดี เพื่อจะได้ขึ้นสวรรค์มีชีวิตที่สุขสบาย และหากทาความชั่วก็จะต้องตกนรก ด้วยเหตุนี้วรรณกรรม เรื่องไตรภูมิ จึงเป็นสิ่งที่ใช้ควบคุมทางสังคมได้เป็นอย่างดียิ่ง เพราะสามารถเข้าถึงจิตใจทุกคนได้โดยมิต้องมีออกกฎบังคับกันแต่อย่างไร *เนื้อหา ---ไตรภูมิพระร่วง เป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนาที่กล่าวถึงภูมิ (แดน) ทั้ง 31 คือ กามภูมิ11, รูปภูมิ16 และอรูปภูมิ4 ซึ่งมีเนื้อหาพรรณนาถึงที่อยู่ ที่ตั้ง และการเกิดของมนุษย์ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และเทวดา (กดลิงค์-บน) ---ที่ตั้งเหล่านี้มี เขาพระสุเมรุ เป็นหลัก เขาพระสุเมรุนั้น ตั้งอยู่ท่ามกลางจักรวาล มีทิวเขาและทะเลล้อม ทิวเขามีชื่อต่างๆ ดังนี้ ---1.ยุคนธร ---2.อิสินธร ---3.กรวิก
  • 5. ---4.สุทัศน์ ---5.เนมินธร ---6.วินันตก ---7.อัศกรรณ ---ซึ่งเป็นเขารอบนอกสุด ทิวเขาเหล่านี้รวม เรียกว่า เขาสัตตบริภัณฑ์ ส่วนทะเลที่รายล้อมอยู่ 7 ชั้น เรียกว่า มหานทีสีทันดร ถัดจากทิวเขาอัศกรรณออกมาเป็ นมหาสมุทรอยู่ทั่วทุกด้าน แล้วจะมีภูเขาเหล็กกั้นทะเลนี้ไว้รอบเรียกว่า ขอบจักรวาล พ้นไปนอกนั้นเป็นนอกขอบจักรวาล *ภูมิทั้ง 31 เรียงลาดับจากทุกข์ไปสุขได้ดังนี้ ---กามภูมิ 11 นรกภูมิ ---นรกภูมิ เป็นภูมิต่าที่สุด ประกอบด้วย มหานรก 8 ขุม, นรกบ่าว 128 ขุม และยมโลกนรก 320 ขุม
  • 6. *มหานรก มี 8 ขุม ---มีกาแพงเหล็กแดงลุกเป็นไฟอยู่เสมอล้อมเป็นสี่เหลี่ยม พื้นบนและพื้นล่างก็เป็นเหล็กแดงที่ลุกเป็นไฟ กาแพงทั้ง 4 ด้าน ยาวด้านละ 1,000 โยชน์ หนา 9 โยชน์ มีประตูเข้า 4 ประตู ส่วนพื้นบนและพื้นล่างมีความหนา 9 โยชน์ มหานรกทั้ง 8 มีดังนี้
  • 7. ---1.มหาอเวจีนรก หรือ นรกที่ทุกข์ทรมานมิเคยหยุดพัก ---เป็นนรกขุมที่ลึกที่สุด มีความทุกข์มากที่สุดในจักรวาล ไตรภูมิผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ในชาติก่อนนั้นได้ทาใน อนันตริยกรรม หรือบาปหนัก 5 ประการคือ ฆ่าบิดา, ฆ่ามารดา, ฆ่าพระอรหันต์, ทาให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต, ยุยงให้สงฆ์แตกแยกกัน ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ จะถูกตรึงศีรษะ แขน ในอิริยาบถที่เป็นในขณะทาบาป (นั่ง ยืน นอน ฯลฯ) มีหลาวเหล็กแทงทะลุลาตัว มีไฟนรกคลอกตลอดเวลา แต่จะไม่เสียชีวิต ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ต้องอาศัยอยู่จนกว่าจะครบวาระ 1 กัลป์ ---2.มหาตาปนรก หรือ นรกที่มีแต่ความเร่าร้อนเหลือประมาณ ---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ชาติก่อนได้ฆ่าชีวิตสัตว์และคนเป็นหมู่มากโดยไม่รู้สึกผิด ผู้อยู่อาศัยจะถูกทาให้ตกจากภูเขาสูงลงมาที่พื้นที่เต็มไปด้วยเหล็กแหลมยาว
  • 8. ถูกเหล็กเสียบทะลุลาตัว มีไฟนรกคลอกตลอดเวลา แต่ก็จะไม่เสียชีวิต ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ต้องอาศัยไปจนกวลาจะครบวาระ ครึ่งกัลป์ ---3.ตาปนรก หรือ นรกแห่งความเร่าร้อน ---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่จะถูกไล่ให้ขึ้นไปที่ปลายหลาว ที่มีไฟนรกลุกโชน ผู้อยู่อาศัยจะถูกไฟคลอกจนพองสุก และจะกลายเป็นอาหารของสุนัขนรก หลังจากนั้น จะมี "ลมกรรม" พัดมาให้ร่างกายฟื้ นขึ้นมา และก็ถูกไล่ขึ้นไปที่ปลายหลาว ถูกไปนรกคลอก วนเวียนเช่นนี้จนกว่าจะครบวาระ 16,000 ปี โดยที่ 1 วัน 1 คืนในตาปนรก เทียบเท่า 9,216 ล้านปีมนุษย์ ---4.มหาโรรุวนรก หรือ นรกที่เต็มไปด้วยเสียงครวญคราง
  • 9. ---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ชาติก่อนได้ปล้นขโมยของจากผู้ที่อยู่สูง เช่น สมณะ ครู บุพการี ฯลฯ ผู้ที่อาศัยจะต้องยืนบนบัวเหล็ก ที่กลีบคม มีไฟนรกแผดเผา มียมบาลใช้กระบองกระหน่าตีร่าง แต่จะไม่เสียชีวิต ต้องอาศัยอยู่เช่นนี้ไปจนกว่าจะครบวาระ 7,000 ปี โดยที่ 1 วัน 1 คืนในมหาโรรุวนรก เทียบเท่า 2,305 ล้านปีมนุษย์ ---5.โรรุวนรก หรือ นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ ---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ชาติก่อนเคยเผาสัตว์ทั้งเป็นบ่อยๆ หรือเป็นข้าราชการทุจริต ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่จะถูกไฟนรกคลอกในบัวเหล็กในอิริยาบถนอนคว่า การอาศัยที่นี่ 1 วาระ จะต้องอาศัยอยู่นาน 4,000 ปีนรก โดยที่ 1 วัน 1 คืนในโรรุวนรก เทียบเท่า 576 ล้านปีมนุษย์ ---6.สังฆาฏนรก หรือ นรกบดขยี้สัตว์
  • 10. ---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ชาติก่อนได้กระทาทารุณสัตว์ เมื่ออาศัยอยู่ที่นี่ ยมบาลจะผูกล่ามผู้อาศัยหลายๆ คนเข้าด้วยกัน และใช้ค้อนเหล็กยักษ์ทุบร่างกายจนแหลกไป และ "ลมกรรม"ก็จะพัดให้ฟื้นชีวิตมารับโทษใหม่ วนเวีบยเช่นนี้จนกว่าจะครบวาระ 2,000 ปีนรก โดยที่ 1 วัน 1 คืนในสังฆาฏนรก เทียบเท่า 145 ล้านปีมนุษย์ ---7.กาฬสุตตนรก หรือ นรกที่ลงโทษด้วยด้ายดา ---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่จะถูกยมบาลฟาดด้วยด้ายนรก ซึ่งมีขนาดและความแข็งเท่าเหล็กเส้นโตๆ เส้นหนึ่ง แล้วใช้เลื่อยนรกเลื่อยให้ขาดเป็นท่อนๆ ผู้ที่หนีจะถูกเหล็กนรกปลิวออกมาตัดร่างกาย แล้วลมกรรม ก็จะพัดโชยให้ฟื้นคืนอีกครั้ง จนกว่าจะครบวาระ 1,000 ปีนรก โดย 1 วัน 1 คืนในกาฬสุตตนรก เทียบเท่า 36 ล้านปีมนุษย์ ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ชาติปางก่อนได้ทรมาณสัตว์เล่นๆ ทาร้ายบุพการี อาจารย์ สมณะ หรือผู้มีพระคุณ ---8.สัญชีวนรก หรือ นรกที่ไม่มีวันตาย ---ผู้ที่อาศัยจะถูกยมบาลจับนอนบนแผ่นเหล็กร้อนแดง และถูกยมบาลฟันร่างขาดเป็นท่อนๆ เฉีอนเนื้อหนังจนเหลือแต่กระดูก แล้วลมกรรมก็จะพัดมาให้ฟื้นมารับโทษต่อจนกว่าจะครบวาระ 500 ปีนรก โดยที่ 1 วัน 1 คืนในสัญชีวนรก เทียบเท่า 9 ล้านปีมนุษย์ *นรกบ่าว
  • 11. ---จะล้อมรอบมหานรก 4 ด้าน ด้านละ 4 ขุม รวมแล้ว มหานรก 1 ขุม จะมีนรกบ่าวล้อมรอบอยู่ 16 ขุม รวมจานวนนรกบ่าวทั้งหมดจึงได้ 128 ขุม เป็นโลกของผู้ที่ทาบาป (หรือ เหลือเศษบาป) อยู่น้อย น้อยเกินกว่าที่จะไปเกิดในมหานรก แต่มากเกินกว่าที่จะเกิดในภูมิที่สูงกว่า เป็นขุมที่มีความทุกข์ทรมานน้อยกว่ามหานรก แต่ก็ยังห่างไกลความสุขอยู่อย่างยิ่งยวด *ยมโลกนรก ---จะล้อมรอบมหานรก 4 ด้าน ด้านละ 10 ขุม รวมแล้ว มหานรก 1 ขุม จะมียมโลกนรกล้อมรอบ 40 ขุม รวมจานวนยมโลกนรกทั้งหมดได้ 320 ขุม เป็นโลกของผู้ที่มีเศษบาปเหลือน้อยเกินกว่าที่จะไปเกิดในนรกบ่าว แต่ก็มากเกินกว่าที่จะไปเกิดในภูมิที่สูงกว่านี้ การลงโทษเบากว่านรกบ่าว แต่ก็ยังห่างไกลความสุขอย่างยิ่งยวดเช่นกัน *ยมบาล
  • 12. ---หรือ นายนิรยบาล หรือผู้ดูแลนรกเฝ้าประตูนรกไว้ มีพระยายมราชเป็นผู้ทรงธรรมเที่ยงตรงเป็นใหญ่เหนือยมบาลทั้งหลาย หน้าที่ของพระยายมราช คือสอบสวนบุญบาปของมนุษย์ที่ตายไป หากทาบุญก็จะได้ขึ้นสวรรค์ทาบาปก็จะตกนรก *เปรตวิสัยภูมิ
  • 13. ---เปรตเป็นผีเลวชนิดหนึ่ง ในไตรภูมิบรรยายรูปร่างของเปรตไว้ว่า เปรตบางชนิดมีตัวใหญ่ ปากเท่ารูเข็ม เปรตบางชนิดก็ตัวผอมไม่มีเนื้อหนังมังสา ตาลึกกลวง และร้องไห้ตลอดเวลา แต่ก็มีเปรตบางชนิดที่ตัวงามเป็นทอง แต่ปากเป็นหมูและเหม็นมาก มนุษย์ที่ทาบาปกับบุพการี เช่น ด่าทอบุพการีและทุบตีบุพการีจะเกิดเป็นเปรต สรุปรวมๆ แล้ว ก็คือเมื่อตอนเป็นคนแล้วทาบาปอย่างใด เมื่อตายไปก็จะเป็นเปรต ตามที่ทาบาปไว้เปรตนั้น มีโอกาสดีกว่าสัตว์นรก เนื่องจากสามารถออกมาขอบุญกุศลจากการทาบุญของมนุษย์ได้ ารางแสดงอายุของสัตว์นรกเปรียบเทียบก ับอายุมนุษย์ มหานรก อายุ(ปี นรก) 1 ว ัน 1 คืนนรก / ล้านปี มนุษย์ ล้านปี มนุษย์ ขุมที่ 1 สัญชีวมหานรก 500 9 1,620,000 ขุมที่ 2 กาฬสุตตมหานรก 1,000 36 12,960,000 ขุมที่ 3 สังฆาฏมหานรก 2,000 144 103,680,000 ขุมที่ 4 โรรุวมหานรก 4,000 576 829,440,000 ขุมที่ 5 มหาโรมหานรก 8,000 2,304 6,635,520,000 ขุมที่ 6 ตาปนมหานรก 1600 9,216 53,084,160,000 ขุมที่ 7 มหาตาปนมหานรก มีอายุประมาณครึ่งอันตรกัป ขุมที่ 8 อเวจีมหานรก มีอายุประมาณ 1 อันตรกัป กรณีศึกษาเรื่องมหานรก ในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา การทัณฑ์ทรมานในนรกขุมที่ 1 เรื่องคนฆ่าหมู (วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2545)
  • 14. *หมายเหตุ... ---มีจาพวกเดียวที่จะได้รับส่วนบุญที่คนยังมีชีวิตอยู่อุทิศไปให้ เรียกว่า ชีวิตูปรัตตเปรต เปรตจาพวกนี้ได้รับทุกข์ร้อนลาบากมาก เพราะในเปรตโลกนั้นไม่มีการทานาค้าขาย แม้แต่ขอทานก็ไม่มี เสวยผลกรรมของตนๆ ที่ทาไว้ เมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่นี้เท่านั้น ฉะนั้นเปรตจาพวกนี้แหละมนุษย์คนที่ยังเป็นอยู่ทาบุญอุทิศไปให้จึงจะได้รับ เปรตนอกนั้นแล้วไม่ได้รับเลย *อสุรกายภูมิ ---อสูร แปลตรงตัวว่า ผู้ไม่ใช่สุระ หรือไม่ใช่พวกเทวดา ที่มีพระอินทร์เป็นหัวหน้า เดิมพวกอสูรมีเมืองอยู่บนเขาพระสุเมรุ หรือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นั่นเอง ภายหลังพวกเทวดาคิดอุบายมอมเหล้าพวกอสูร เมาจนไม่ได้สติ แล้วพวกเทวดาก็ช่วยกัน ถีบอสูรให้ตกเขาพระสุเมรุดิ่งจมลงใต้ดิน
  • 15. เมื่ออสูรสร่างเมา ได้สติแล้วก็สานึกตัวได้ว่า เป็นเพราะกินเหล้ามากจนเมามาย จึงต้องเสียบ้านเมืองให้กับพวกเทวดาจึงเลิกกินเหล้าแล้วไปสร้างเมืองใหม่ใต้บ าดาลเรียกว่า "อสูรภพ" ---พวกอสูรกาย มีบ้านเมืองเป็นของตนเอง เรียกว่า อสูรภพ อยู่ลึกใต้ดินไป 84,000 โยชน์ เป็นบ้านเมืองงดงามมากเต็มไปด้วยแผ่นทองคา คือบ้านเมืองของอสูรนี้ จะมีเหมือนสวรรค์ของเทวดา เช่น กลางสวรรค์มีต้นปาริชาติ กลางเมืองอสูรก็มีต้นแคฝอย เมืองอสูรมีเมืองใหญ่อยู่ 4 เมือง โดยมีพระยาอสูรปกครองอยู่ทุกเมือง ในบรรดาอสูรมีอยู่ตนหนึ่งมีอานาจมากชื่อว่า "ราหู" ---อสูรราหู มีหน้าตา หัวหูที่ใหญ่โตมากกว่าเหล่าเทวดาทั้งหลายในสวรรค์ ราหูมีความเกลียดชัง พระอาทิตย์และพระจันทร์ มาก ในวันพระจันทร์เต็มดวงหรือวันเดือนงามและวันเดือนดับ ราหูจะขึ้นไปนั่งอยู่บนเขายุคนธร อันเป็นทิวเขาทิวแรกที่ล้อมเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นที่อยู่ของเทวดา
  • 16. ---ราหูจะคอยให้พระอาทิตย์หรือพระจันทร์ผ่านมา เพื่อที่จะคอยอ้าปากอันกว้างใหญ่อมเอาพระจันทร์หรือพระอาทิตย์หายลับไป บางครั้งก็เอานิ้วมือบังไว้บ้าง เอาไว้ใต้คางบ้าง เหตุการณ์เหล่านี้เรียกกันว่า สุริยคราสและจันทรคราส ---เรื่องราวที่เป็นเหตุ ทาให้ราหู มีความเกลียดชังพระอาทิตย์และพระจันทร์ ก็คือ มีการกวนเกษียรสมุทรของเหล่าบรรดาเทวดาและอสูรเพื่อทาน้าอมฤต เมื่อกวนสาเร็จแล้ว เทวดาก็ไม่ยอมให้เหล่าอสูรกิน แต่ราหูปลอมเป็นเทวดาเข้าไปกินน้าอมฤตกับเทวดาด้วย พระอาทิตย์และพระจันทร์เห็นจึงไปฟ้ องพระวิษณุว่า ราหูปลอมตัวเป็นเทวดามากินน้าอมฤต พระวิษณุทรงขว้างจักรแก้วไปตัดตัวราหูออกเป็นสองท่อน แต่ราหูไม่ตาย เพราะได้กินน้าอมฤตไปแล้ว ครึ่งตัวท่อนบนจึงเป็นราหูอยู่ แต่ครึ่งตัวท่อนล่างกลายเป็นอสูรอีกตัวหนึ่งชื่อ "เกตุ" *ติรัจฉานภูมิ
  • 17. ---ติรัจฉานติภูมิ หรือเดรัจฉานติภูมิ คือแดนของเดียรฉาน แปลว่าตามขวางหรือตามเส้นนอนตรงกันข้ามกับคนซึ่งไปตัวตรง ดังนั้นสัตว์เดรัจฉานก็หมายถึงสัตว์ที่ไปไหนมาไหนต้องคว่าอก ---ในหนังสือไตรภูมิ ตอนนี้เริ่มต้นกล่าวถึง สัตว์อันเกิดมาในแดนเดรัจฉานว่า ---มีเกิดจากไข่ (อัณฑชะ) ---จากมีรกอันห่อหุ้ม (ชลาพุชะ) ---จากใบไม้และเหงื่อไคล (สังเสทชะ)
  • 18. ---เกิดเป็นตัวขึ้นเองและโตทันที (อุปปาติกะ) ---สัตว์เดรัจฉานนั้นมีความเป็นอยู่ 3 ประการ คือ รู้สืบพันธุ์ รู้กิน รู้ตาย เรียกเป็นศัพท์ว่า กามสัญญา อาหารสัญญา และมรณสัญญา ส่วนคนนั้นเพิ่มอีกสัญญาหนึ่งคือ ธธมสัญญา คือรู้จักการทามาหากิน รู้บาปบุญ หรือตรงกับคาว่า วัฒนธรรมนั้นเอง *สัตว์ที่กล่าวในแดนเดรัจฉานหลักๆ ก็มีดังนี้ ---ราชสีห์ เป็นสัตว์จาพวกเดียวกับสิงโต ไม่มีตัวตนจริงอยู่ในโลกนี้ แต่เป็นสัตว์ที่อยู่ในวรรณคดีเท่านั้น ---ช้างแก้ว อาศัยอยู่ที่ถ้าทองว่ากันว่า พระพุทธเจ้าเคยเสวยพระชาติเคยไปเกิดเป็นช้างนี้อยู่หนึ่งชาติ ---ปลา ในแดนเดรัจฉานนี้ ปลาที่อาศัยอยู่ที่นี้จะมีขนาดใหญ่มาก ตัวที่เล็กสุดก็ยังยาวถึง 75 โยชน์ ตัวที่ใหญ่ก็ยาวถึง 5,000 โยชน์ ปลาที่รู้จักกันดีคือ "พญาปลาอานนท์" ซึ่งหนุนชมพูทวีปอยู่ ---ครุฑ อาศัยอยู่ที่ตามฝั่งสระใหญ่ชื่อ "สิมพลีสระ" ที่ตีนเขาพระสุเมรุหรือสระต้นงิ้ว กว้างได้ 500 โยชน์ พระยาครุฑที่เป็นหัวหน้าตัวโต 50 โยชน์ ปีกยาวอีก 50 โยชน์ ปากยาว 9
  • 19. โยชน์ ตีนทั้งสองยาว 12 โยชน์ ครุฑกินนาคเป็นอาหาร และเป็นพาหนะของพระนารายณ์ ---นาค หรืองูมีหงอนและมีตีน นาคมีสองชนิด คือ "ถลชะ " หรือนาคที่เกิดบนบก และ "ชลชะ" หรือนาคที่เกิดในน้า นาคถลชะจะเนรมิตตนเป็นคนหรือเทวดานางฟ้าได้แต่บนบก นาคชลชะจะเนรมิตตนเป็นคนหรือเทวดานางฟ้าได้แต่ในน้าเท่านั้น เรื่องนาคเป็นที่รู้จักกันดีในประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือเป็นบรรพบุรุษของชนชาติต่างๆ เช่น เขมร ลาว มอญ ---หงส์ อาศัยอยู่ที่ถ้าทองบนเขาคิชฌกูฏหรือเขายอดนกแร้ง หงส์เป็นพาหนะของพระพรหม *มนุสสาภูมิ ---กล่าวถึงฝูงสัตว์อันเกิดในมนุสสาภูมิ มีกาเนิดดังนี้ ตั้งแต่เริ่มต้นปฏิสนธิในครรภ์มารดาก็เริ่มก่อตัวเป็นกัลละ ---กัลละมีรูปร่างโปร่งเหลว เหมือนน้าหรือเหมือนเมือกตม เป็นคาที่ใช้เฉพาะสิ่งที่ห่อหุ้มก่อกาเนิดเป็นคนเท่านั้น กัลละที่ก่อเป็นตัวเด็กขึ้นมานี้ตามวิทยาศาสตร์กล่าวเรียกว่า 'cell' เมื่อเวลาผ่านไปก็เกิดกลายเป็นตัวเด็กขึ้นนั่ง กลางท้องแม่และเอาหลังมาชนท้องแม่ มีสายสะดือเป็นตัวส่งอาหารที่แม่กินเข้าไปให้แก่เด็ก เด็กที่นั่งอยู่กลางท้องแม่นั้น จะนั่งอยู่เวลาประมาณ 8-10 เดือน แล้วจึงคลอดจากท้องแม่
  • 20. *บุตรที่เกิดมาในไตรภูมิแบ่งได้เป็น 3 สิ่ง คือ ---อภิชาตบุตร เป็นคนเฉลียวฉลาดมีรูปงามหรือมั่งมียศยิ่งกว่าพ่อแม่ ---อนุชาตบุตร มีเพียงพ่อแม่ ---อวชาติบุตร ด้อยกว่าพ่อแม่ *คนทั้งหลายก็แบ่งเป็น 4 ชนิด คือ ---ผู้ที่ทาบาปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และบาปนั้นตามทัน ต้องถูกตัดตีน สิ้นมือและทุกข์โศกเวทนานักหนา พวกนี้เรียกว่า "คนนรก" ---ผู้หาบุญจะกระทาบ่มิได้ และเมื่อแต่ก่อนและเกิดมาเป็นคนเข็ญใจยากจนนักหนา อดอยากไม่มีกิน รูปโฉมก็ขี้เหร่ พวกนี้เรียกว่า "คนเปรต" ---คนที่ไม่รู้จักบาปและบุญ ไม่มีความเมตตากรุณา ไม่มีความยาเกรงผู้ใหญ่ ไม่รู้จักปฏิบัติพ่อแม่ครูอาจารย์ ไม่รักพี่รักน้อง กระทาบาปอยู่ร่าไป พวกนี้ท่านเรียกว่า "คนเดรัจฉาน"---คนที่รู้จักบาปและบุญ รู้กลัวรู้ละอายแก่บาป รู้รักพี่รักน้อง รู้กรุณาคนยากจนเข็ญใจ และรู้จักยาเกรงพ่อแม่ผู้เฒ่าผู้แก่ครูอาจารย์ และรู้จักคุณแก้ว 3 ประการ คือ พระรัตนตรัย พวกนี้ท่านเรียกว่า "มนุษย์"
  • 21. ---ในไตรภูมิพระร่วงกล่าวว่า มนุสสาภูมิประกอบด้วย 4 ทวีป ดังนี้ *ชมพูทวีป ---ตั้งอยู่ในมหาสมุทรทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุ มีสัณฐานเป็นรูปไข่ ดุจดังดุมเกวียน คนมีรูปหน้ากลมดุจดังดุมเกวียน อายุของคนในชมพูทวีปนั้น หากเป็นผู้ที่เป็นคนดีมีศีลธรรมอายุก็จะยืน หากมีลักษณะตรงกันข้ามก็จะอายุสั้น เป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า (ซึ่งก็คือโลกที่เราๆ ท่านๆ อาศัยอยู่) *บุรพวิเทหทวีป ---ตั้งอยู่ในมหาสมุทรทางทิศตะวันออกของเขาพระสุเมรุ เป็นแผ่นดินกว้างได้ 7,000 โยชน์ มีสัณฐานเป็นรูปแว่นที่กลม มีเกาะล้อมรอบเป็นบริวาร 400 เกาะ มีแม่น้าเล็กใหญ่ มีเมืองใหญ่เมืองน้อย คนในทวีปนี้หน้ากลมดังเดือนเพ็ญ มีรูปกะโหลกสั้น ทุกคนไม่เบียดเบียนกัน ไม่ทาชั่ว เมื่อตายแล้วจึงขึ้นสวรรค์แน่นอน ทาให้คนในทวีปนี้ไม่กลัวตาย และผู้ที่อาศัยในทวีปนี้ มีอายุ 100 ปีเท่ากันทุกคน *อมรโคยานทวีป ---ตั้งอยู่ในมหาสมุทรทางทิศตะวันตกของเขาพระสุเมรุ เป็นแผ่นดินกว้างได้ 9,000 โยชน์ มีสัณฐานเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งดวง
  • 22. มีเกาะเล็กเกาะน้อยเป็นบริวารอยู่โดยรอบ คนในทวีปนี้มีรูปหน้าดังพระจันทร์ครึ่งดวง ทุกคนไม่เบียดเบียนกัน ไม่ทาชั่ว เมื่อตายแล้วจึงขึ้นสวรรค์แน่นอน ทาให้คนในทวีปนี้ไม่กลัวตาย และผู้ที่อาศัยในทวีปนี้ มีอายุ 400 ปีเท่ากันทุกคน *อุตตรกุรุทวีป ---ตั้งอยู่ในมหาสมุทรทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ เป็นแผ่นดินกว้างได้ 8,000 โยชน์ มีสัณฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีภูเขาทองล้อมรอบ มีเกาะล้อมรอบเป็นบริวาร 500 เกาะ คนในทวีปนี้หน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีรูปร่างสมประกอบ ไม่สูงไม่ต่าดูงดงาม ---กล่าวกันว่า คนที่อยู่ทวีปนี้เป็นคนรักษาศีล จึงทาให้แผ่นดินราบเรียบ ต้นไม้ต่างก็ออกดอกงดงาม ส่งกลิ่นหอมขจรขจายไปทั่วและเป็นแผ่นดินที่ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน ในแผ่นดินอุตตรกุรุทวีปนี้ มีต้นกัลปพฤกษ์ ต้นหนึ่ง สูง 100 โยชน์ กว้าง 100 โยชน์ ผู้ใดปรารถนาจะได้แก้วแหวนเงินทองหรือสิ่งใดๆ ก็ให้ไปยืนนึกอยู่ใต้ต้นกัลปพฤกษ์นี้ ---ผู้หญิงชาวอุตตรกุรุทวีปนั้น มีความงดงามมาก ส่วนผู้ชายก็เช่นกันมีความงามดังเช่นหนุ่มอายุ 20 ปี กันทุกคน ทุกคนไม่เบียดเบียนกัน ไม่ทาชั่ว เมื่อตายแล้วจึงขึ้นสวรรค์แน่นอน ทาให้คนในทวีปนี้ไม่กลัวตาย และผู้ที่อาศัยในทวีปนี้ มีอายุ 1,000 ปีเท่ากันทุกคน *พระยาจักรพรรดิราช
  • 23. ---พระยาจักรพรรดิราช เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่าพระราชาทั้งปวง คือเป็นพระราชาผู้มีจักรหรือล้อแห่งรถเลื่อนแล่นไปได้รอบโลก โดยปราศจากการขัดขวางหรือปราบปรามทั่วโลก พระยาจักรพรรดิราชนั้นเมื่อชาติก่อนเป็ นคนแต่ทาบุญไว้มาก เมื่อตายไปจึงไปเกิดในสวรรค์ ---ในบางครั้งก็มาเกิดเป็นพระยาที่มีอานาจยิ่งใหญ่ได้รับพระนามว่า พระยาจักรพรรดิราช เป็นพระยาที่ทรงคุณธรรมทุกประการ เป็นเจ้านายคนทั้งหลายพระองค์ทรงตั้งอยู่ในทศพิศราชธรรม พระยาจักรพรรดิราชมีแก้ว 7 ประการเกิดคู่บารมีมาด้วย ได้แก่ ---1.จักรแก้ว คือแก้วอย่างที่หนึ่ง จักรแก้วหรือจักรรัตน์จมอยู่ใต้ท้องทะเลลึกได้ 84,000โยชน์ เมื่อเกิดจักรพรรดิราชขึ้นในโลก จักรแก้วซึ่งเป็นคู่บุญบารมีและจมอยู่ในมหาสมุทร ก็จะผุดขึ้นมาจากท้องทะเล พุ่งขึ้นไปในอากาศ เกิดเป็นแสงส่องอันงดงาม มาน้อมนบ เมื่อพระยาผู้ครองเมืองนั้น ทราบว่าพระองค์จะได้เป็นพระยาจักรพรรดิราช ปราบทั่วจักรวาลเพราะมีจักรแก้วมาสู่พระองค์ พระยาจักรพรรดิราชก็จะเสด็จปราบทวีปทั้งสี่ แล้วประทานโอวาทให้ชาวทวีปเหล่านั้นประพฤติและตั้งอยู่ในคุณงามความดีแ ล้ว จึงเสด็จกลับพระนคร ---2.ช้างแก้ว (หัสดีรัตน์) คือแก้วอย่างที่สอง ซึ่งเป็นช้างที่มีความงดงาม ตัวเป็นสีขาว ตีนและงวงสีแดง เหาะได้รวดเร็ว ---3.ม้าแก้ว (อัศวรัตน์) คือแก้วอย่างที่สาม เป็นม้าที่มีขนงามดังสีเมฆหมอก กีบเท้าและหน้าผากแดงดั่งน้าครั่ง เหาะได้รวดเร็วเช่นเดียวกับช้างแก้ว
  • 24. ---4.ดวงแก้ว (มณีรัตน์) คือแก้วอย่างที่สี่ เป็นแก้วที่มีขนาดยาวได้ 4 ศอก ใหญ่เท่าดุมเกวียนใหญ่ สองหัวแก้วมีดอกบัวทอง เมื่อมีความมืดแก้วนี้จะส่องสว่างให้เห็นทุกหนแห่ง ดังเช่นเวลากลางวัน แก้วนี้จะอยู่กับพระยาจักรพรรดิราชจนตราบเท่าเสด็จสวรรคาลัย จึงจะคืนไปอยู่ยอดเขาพิปูลบรรพตตามเดิม ---5.นางแก้ว (อิตถีรัตน์) คือแก้วอย่างที่ห้า เป็นหญิงที่จะมาเป็น มเหสีคู่บารมี ของพระยาจักรพรรดิราช นางแก้วนี้จะต้องเป็นหญิงที่ได้ทาบุญมาแต่ชาติก่อน และมาเกิดในแผ่นดินของพระยาจักรพรรดิราช ในตระกูลกษัตริย์ นางแก้วนี้จะเป็นหญิงที่มีลักษณะงดงามไปทุกส่วน จะทาหน้าที่เป็นภรรยาที่ดีของพระยาจักรพรรดิราช ---6.ขุนคลังแก้ว คือแก้วอย่างที่หก เกิดขึ้นเพื่อบุญแห่งพระยาจักรพรรดิราช และจะเป็นมหาเศรษฐี ขุนคลังแก้วจะสามารถกระทาได้ทุกอย่างที่พระยาจักรพรรดิราชต้องการ เพราะขุนคลังแก้ว มีหูทิพย์ ตาทิพย์ ดังเทวดาในสวรรค์ หากว่าพระยาจักรพรรดิราชต้องการทรัพย์สินสิ่งใด ขุนคลังก็จะสามารถนามาถวายได้ ---7.ขุนพลแก้ว คือแก้วประการสุดท้าย ของพระยาจักรพรรดิราช หรือโอรสของพระยาจักรพรรดิราช มีรูปโฉมอันงดงาม กล้าหาญ เฉลียวฉลาด สามารถบริหารกิจการบ้านเมืองได้ทุกประการ บางตาราก็ว่าเป็นขุนพลแก้ว *จาตุมหาราชิกาภูมิ
  • 25. ---สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกภูมิ เป็นสวรรค์ชั้นแรก สูงจากพื้นโลกได้ 46,000 โยชน์ เป็นดินแดนของผู้มีจิตใจสูงส่ง แต่ยังเกี่ยวข้องในกามคุณ ---จาตุมหาราชิกภูมิ แปลว่า "แดนแห่ง 4 มหาราช" สวรรค์ชั้นนี้ตั้งอยู่เหนือเทือกเขายุคนธร อันเป็นเทือกเขาแรกที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ *บนเทือกเขายุคนธรทั้ง 4 ทิศ มีเมืองใหญ่ 4 เมือง ---1.เมืองที่อยู่ทางทิศตะวันออก ของเขาพระสุเมรุมี "ท้าวธตรฐ" เป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือ "คนธรรพ์" (เป็นอมนุษย์จาพวกหนึ่ง ครึ่งเทวดาครึ่งมนุษย์ เป็นนักดนตรีและชอบผู้หญิง) ---2.เมืองที่อยู่ทางทิศตะวันตก ของเขาพระสุเมรุมี "ท้าววิรูปักษ์" เป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือ "นาค" ---3.เมืองที่อยู่ทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุมี "ท้าววิรุฬหก" เป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือ "พวกกุมภัณฑ์" (เป็นยักษ์จาพวกหนึ่ง มีท้องใหญ่และมีอัณฑะเหมือนหม้อ) ---4.เมืองที่อยู่ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุมี "ท้าวไพศรพ" เป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือ "พวกยักษ์" ท้าวมหาราชทั้ง 4 นี้เรียกรวมๆ ว่า "จตุโลกบาล" ทั้ง 4 คือ ผู้ดูแลรักษาโลกทั้ง 4 ทิศ
  • 26. *ดาวดึงส์ ---เป็นสวรรค์ชั้นที่ 2 มีเทวดาผู้เป็นใหญ่ในชั้นนี้คือ ท้าวสักกะเทวราช หรือที่เรียกกันว่า "พระอินทร์" *ยามาภูมิ ---สวรรค์ชั้นยามา เป็นสวรรค์ชั้นที่ 3 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 84,000 โยชน์ มี "พระยาสยามเทวราช" ครองอยู่ สวรรค์ชั้นนี้สูงกว่าวิถีการโคจรของพระอาทิตย์ แต่ก็ไม่มืดเนื่องจากรัศมีแก้วและรัศมีตัวเทวดาส่องสว่างอยู่เสมอ *ดุสิตาภูมิ ---สวรรค์ชั้นดุสิต เป็นสวรรค์ชั้นที่ 4 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นยามา 168,000 โยชน์ มี "พระยาสันดุสิตเทวราช" พระโพธิสัตว์ซึ่งจะเสด็จลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า มีพระศรีอาริย์โพธิสัตว์ซึ่งจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า *นิมมานรดีภูมิ ---สวรรค์ชั้นนิมมานรดี เป็นสวรรค์ชั้นที่ 5 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดุสิต 336,000 โยชน์
  • 27. *ปรนิมิตวสวัตติภูมิ ---สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี เป็นสวรรค์ชั้นที่ 6 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดี 672,000 โยชน์ มี "พระยาปรนิมมิตวสวัตตี" ปกครองผู้เป็นเทวดา และมีพระยามารปกครองเหล่ามาร เจ้าทั้งสองจะไม่เคยพบเจอกันเลยแม้จะอยู่สวรรค์ชั้นเดียวกัน *รูปภูมิ 16 ---อยู่เหนือสวรรค์ชั้นสูงสุด ---1.พรหมปาริสัชชาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จปฐมฌาณขั้น ต้น ---2.พรหมปุโรหิตาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จปฐมฌาณขั้นกลาง ---3.มหาพรหมาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จปฐมฌาณขั้นสูง ---4.ปริตตาภาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จทุติยฌาณขั้นต้น ---5.อัปปมาณาภาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จทุติยฌาณขั้นกลาง
  • 28. ---6.อาภัสสราภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จทุติยฌาณขั้นสูง ---7.ปริตตสุภาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จตติยฌาณขั้นต้น ---8.อัปปมาณสุภาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จตติยฌาณขั้นกลาง ---9.สุภกิณหาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จตติยฌาณขั้นสูง ---10.เวหัปปผลาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จจตุตฌาณ มีผลไพบูลย์ พ้นจากการทาลาย ของน้า ลม ไฟ ---11.อสัญญีสัตตาภูมิ ดินแดนของพรหมไร้นาม มีร่างกายสง่างาม ---12.อวิหาภูมิ ดินแดนของพระอรหันต์ขั้นอนาคามี เคยเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ---13.อตัปปาภูมิ ดินแดนของพรหมผู้ไม่เดือดร้อนทั้งกาย วาจา ใจ เพราะสามารถระงับนิวรณ์ได้
  • 29. ---14.สุทัสสาภูมิ แดนของผู้เห็นสภาวธรรมแจ้งชัด ---15.สุทัสสีภูมิ แดนของพรหมผู้เห็นธรรมแจ่มแจ้ง ---16.อกนิฎฐาภูมิ แดนของพรหมที่มีคุณสมบัติมากพอจะนิพพานได้ *อรูปภูมิ 4 ---แดนของพรหมที่มีแต่จิต ด้วยไม่พอใจที่รูปกายเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ นานัปการ ---อากาสานัญจายตน ภูมิแดนของพรหมที่มีแต่จิต เข้าถึง ภาวะมีอากาศไม่มีที่สุด ---วิญญาณัญจายตน ภูมิแดนของผู้ที่เข้าถึง ภาวะวิญญาณไม่มีที่สุด ---อากิญจัญญายตน ภูมิแดนของผู้ที่เข้าถึง ภาวะไม่มีอะไร ---เนวสัญญานาสัญญายตน ภูมิแดนของผู้ที่เข้าถึง ภาวะไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ มีสัญญาก็ไม่ใช่ *วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
  • 30. ---วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับไตรภูมิ เช่น ไตรภูมิโลกวินิจฉัย เรื่องเล่าจากไตรภูมิ สมุดภาพไตรภูมิ ฯลฯ *ไตรภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วง ---ไตรภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วง เป็นวรรณกรรมชิ้นเอกสมัยกรุงสุโขทัย นับเป็นวรรณคดีเรื่องแรก ของไทยเป็นพระราชนิพนธ์ ในสมเด็จพระศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราชหรือพระมหาธรรมราชาลิไ ทย เป็นวรรณคดีไทย ที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยามาจนถึงปัจจุบัน เพราะได้รวบรวมเอาคติ ความเชื่อ ทุกแง่ทุกมุมของทุกชนชั้น หลายเผ่าพันธุ์มาร้อยเรียงเป็นเรื่องราว ให้ผู้อ่านผู้ฟังยาเกรงในการกระทาบาปทุจริต และเกิดความปิติยินดี ในการทาบุญทากุศล อาจหาญมุ่งมั่นในการกระทาคุณงามความดี ---พระมหาธรรมราชาลิไทย มีพระปรีชา รอบรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก อรรถกถาฎีกา อนุฏีกา และปกรณ์พิเศษต่าง ๆ พระองค์ยังเชี่ยวชาญในวิชาโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ และไสยศาสตร์ จนถึงขั้นทรงบัญญัติคัมภีร์ศาสตราคม เป็นปฐมธรรมเนียมสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ---ในปี พ.ศ.๑๘๘๘ พระยาลิไทย อุปราชผู้ครองนครศรีสัชนาลัย ได้ทรงนิพนธ์ไตรภูมิกถาขึ้น มีสาระสาคัญ คือ ทรงพรรณาถึงเรื่องการเกิด การตาย ของสัตว์ทั้งหลาย ว่าการเวียนว่าย ตาย เกิด อยู่ในภูมิทั้งสามคือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ
  • 31. ---ด้วยอานาจของบุญและบาปที่ตน ได้กระทาแล้ว กามภูมิเป็นที่ตั้งแห่งความใคร่ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ อบายภูมิ และสุคติภูมิ ---อบายภูมิ ยังแบ่งออกเป็น 4 ภูมิ ได้แก่ นรกภูมิ, ติรัจฉานภูมิ, เปรตภูมิ, และอสูรกายภูมิ ---นรกภูมิ เป็นที่ตั้งของสัตว์ที่ทาบาป ต้องไปรับทัณฑ์ทรมานนานาประการ แบ่งออกเป็นขุมใหญ่ ๆ ได้ ---8 ขุมด้วยกัน คือ ---1.สัญชีพนรก มีอายุ ๕๐๐ ปี นรก (๑ วันเท่ากับ ๙ ล้านปีของมนุษย์) ---2.กาฬสุตตนรก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปีนรก (๑ วันเท่ากับ ๓๖ ล้านปีของมนุษย์) ---3.สังฆาฏนรก มีอายุ ๒,๐๐๐ ปีนรก (๑ วันเท่ากับ ๑๔๕ ล้านปีของมนุษย์) ---4.โรรุวะนรก มีอายุ ๔,๐๐๐ ปีนรก (๑ วันเท่ากับ ๕๗๖ ล้านปีของมนุษย์)
  • 32. ---5.มหาโรรุวะนรก มีอายุ ๘,๐๐๐ ปีนรก (๑ วันเท่ากับ ๒,๓๐๔ ล้านปีของมนุษย์) ---6.ตาปนรก มีอายุ ๑๖,๐๐๐ ปีนรก (๑ วันเท่ากัย ๙,๒๓๖ ล้านปีของมนุษย์) ---7.มหาตาปนรก มีอายุยาวนานนับไม่ถ้วน---8.อวีจีนรก หรือ อเวจีนรก มีอายุนับได้กัลป์ หนึ่ง ---ในแต่ละนรก ยังมีนรกบริวาร เช่น นรกขุมที่ชื่อ โลหสิมพลี เป็นนรกบริวารของสัญชีพนรก ผู้ที่เป็นชู้กับสามีหรือภริยาผู้อื่น จามาตกนรกขุมนี้ จะถูกนายนิรบาลไล่ต้อนให้ขึ้นต้นงิ้ว ที่สูงต้นละหนึ่งโยชน์ มีหนามเป็นเหล็กร้อนจนเป็นสีแดง มีเปลวไฟลุกโชนยาว ๑๖ นิ้ว ชายหญิงที่เป็นชู้กันต้องปีนขึ้นลง โดยมีนายนิรบาลเอาหอกแหลมทิ่มแทง ให้ขึ้นลงวนเวียนอยู่เช่นนี้นับร้อยปีนรก ---สาหรับ ผู้ที่ทาบาป แต่ไม่หนักพอที่จะตกนรก ก็ไปเกิดในที่อันหาความเจริญมิได้ อื่น ๆ เช่น เกิดเป็นเปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน พวกที่พ้นโทษจากนรกแล้วยังมีเศษบาปติดอยู่ก็ไปเกิดเป็ นเดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสูรกายบ้าง เป็นมนุษย์ที่ทุพพลภาพพิกลพิการ ตามความหนักเบาของบาปที่ตนได้ทาไว้ ---สุคติภูมิ เป็นส่วนของกามาพจรภูมิ หรือ กามสุคติภูมิ แบ่งออกเป็น 7 ชั้น คือ
  • 33. ---1.มนุษย์ภูมิ ---2.สวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกาภูมิ ---3.สวรรค์ชั้นตาวติงสาภูมิ (ดาวดึงส์ - ไตรตรึงษ์) ---4.สวรรค์ชั้นยามาภูมิ ---5.สวรรค์ชั้นตุสิตาภูมิ (ดุสิต) ---6.สวรรค์ชั้นนิมมานรดีภูมิ ---7.สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีภูมิ ---กามาพจร ภูมิทั้ง 7ชั้น เป็นที่ตั้งอันเต็มไปด้วยกาม เป็นที่ท่องเที่ยวของสัตว์ที่ลุ่มหลงอยู่ใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นอารมณ์อันพึงปรารถนา เมื่อรวมกับอบายภูมิอีก 4 ชั้นเรียกว่า กามภูมิ 11 ชั้น
  • 34. ---รูปภูมิ หรือรูปาวจรภูมิ ได้แก่ รูปพรหม 16 ชั้น เริ่มตั้งแต่พรหมปริสัชชาภูมิ ที่อยู่สูงกว่าสวรรค์ชั้นหก คือ ปรนิมมิตวสวัตดี มากจนนับระยะทางไม่ได้ ระยะทางดังกล่าวอุปมาไว้ว่า สมมติมีหินก้อนใหญ่เท่าโลหะปราสาทในลังกาทวีป หินก้อนนี้ทิ้งลงมาจากชั้นพรหมปริสัชชาภูมิ หินก้อนนั้นใช้เวลาถึง 4 เดือน จึงจะตกลงถึงพื้น ---จากพรหมปริสัชชาภูมิขึ้นไปถึงชั้นที่ 11 ชื่อชั้นอสัญญีภูมิ เป็นรูปพรหมที่มีรูป แปลกออกไปจากพรหมชั้นอื่น ๆ คือ พรหมชั้นอื่น ๆ มีรูป มีความรู้สึก เคลื่อนไหวได้ แต่พรหมชั้นอสัญญีมีรูปที่ ไม่ไหวติง ไร้อริยาบท โบราณเรียกว่า พรหมลูกฟักครั้นหมดอายุ ฌานเสื่อมแล้วก็ไปเกิดตามกรรมต่อไป ---รูปพรหมที่สูงขึ้นไปจากอสัญญี พรหมอีก 5ชั้นเรียกว่า ชั้นสุทธาวาส หมายถึงที่อยู่ของผู้บริสุทธิ ผู้ที่จะไปเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาสคือ ผู้ที่สาเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระอนาคามี คือเป็นผู้ที่ไม่กลับมาสู่โลกนี้ต่อไป ทุกท่านจะสาเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วนิพพานในชั้นสุทธาวาสนี้ ---อรูปภูมิ หรืออรูปาพาจรภูมิ มี 4 ชั้น เป็นพรหมที่ไม่มีรูปปรากฏ ผู้ที่ไปเกิดในภูมินี้คือผู้ที่บาเพ็ญเพียรจนได้บรรลุฌานโลกีย์ชั้นสูงสุด เรียกว่า อรูปฌาน ซึ่งมีอยู่ 4 ระดับ ได้แก่ผู้ที่บรรลุอากาสานัญจายตนะฌาน (ยึดหน่วงเอาอากาศเป็นอารมณ์) จะไปเกิดในอากาสานัญจายตะภูมิ ผู้ที่บรรลุวิญญาณัญจายตนะฌาน (ยึดหน่วงเอาวิญญาณเป็นอารมณ์) จะไปเกิดในวิญญาณัญจายตะภูมิ ---ผู้ที่บรรลุ อากิญจัญญายตนะฌาน (ยึดหน่วงเอาความไม่มีเป็นอารมณ์) จะไปเกิดในอากิญจัญญาตนะภูมิ และผู้ที่บรรลุเนวสัญญานสสัญญายตนะฌาน (ยึดหน่วงเอาฌานที่สามให้ละเอียดลงจนเป็นผู้มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีญาก็มิใช่)
  • 35. จะไปเกิดในแนวสัญญานาสัญญายตนะภูมิ พรหมเหล่านี้ เมื่อเสื่อมจากฌานก็จะกลับมาเกิดในรูปพรหมภูมิ หรือภูมิอื่น ๆ ได้เช่นกัน *การกาเนิดของสัตว์ การเกิดของสัตว์ในสามภูมิมีอยู่ 4 อย่างด้วยกันคือ ---1.ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ เช่น มนุษย์และสัตว์เดรัจฉานบางชนิดที่เลี้ยงลูกด้วยนม ---2.อัณฑชะ เกิดในไข่ ได้แก่ สัตว์เดรัจฉานบางชนิด เช่น นก สัตว์เลื้อยคลานบางชนิด ปลา เป็นต้น ---3.สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล ได้แก่ สัตว์ชั้นต่าบางชนิดที่ใช้การแบ่งตัวออกไป เช่น ไฮดรา อมิบา เป็นต้น ---4.โอปาติกะ เกิดขึ้นเอง เมื่อเกิดแล้วก็จะสมบูรณ์เต็มที่ เมื่อตายไปจะไม่มีซาก ได้แก่ เปรต อสูรกาย เทวดา และพรหม เป็นต้น *การตายของสัตว์ การตายมีสาเหตุ 4 ประการด้วยกันคือ ---1.อายุขยะ เป็นการตายเพราะสิ้นอายุ ---2.กรรมขยะ เป็นการตายเพราะสิ้นกรรม
  • 36. ---3.อุภยขยะ เป็นการตายเพราะสิ้นทั้ง อายุ และสิ้นทั้งกรรม ---4.อุปัจเฉทกรรมขยะ เป็นการตายเพราะอุบัติเหตุ ---นอกจากนั้น แล้วมีการกล่าวถึงสิ่งต่าง ๆ ในโลกและในจักรวาล มีภูเขาพระสุเมรุราช เป็นแกนกลาง แวดล้อมด้วยกาแพงน้าสีทันดรสมุทร และภูเขาสัตตบรรพต อันประกอบด้วย ภูเขายุคนธร, อินิมธร, กรวิก, สุทัศนะ, เนมินธร, วินันตกะ, และอัสสกัณณะ ---กล่าวถึง พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวนพเคราะห์ และดารากรทั้งหลายในจักรวาล เป็นเครื่องบ่งบอกให้รู้วันเวลา ฤดูกาล และเหตุการณ์ต่าง ๆ กล่าวถึงทวีปทั้ง 4 ที่ตั้งอยู่รอบภูเขาพระเมรุมาศ ชมพูทวีปอยู่ทางทิศใต้กว้าง ๑๐,๐๐๐ โยชน์ มีปริมณฑล ๓๐๐,๐๐๐ โยชน์ มีแผ่นดินเล็กล้อมรอบได้ ๕๐๐ มีแผ่นดินเล็กอยู่กลางทวีปใหญ่ 4 ผืน เรียกว่า สุวรรณทวีป กว้างได้ ๑,๐๐๐ โยชน์ มีประมณฑล ๓๐,๐๐๐ โยชน์ เป็นเมืองที่อยู่ของพญาครุฑ ---การกาหนดอายุของสัตว์และโลกทั้ง 3 ภูมิ มี กัลป์ , มหากัลป์ , การวินาศ, การอุบัติ, การสร้างโลก สร้างแผ่นดิน ตามคติของพราหมณ์ *ท้ายสุดของภูมิกถา
  • 37. ---เป็นนิพพานคถา ว่าด้วยนิพพานสมบัติของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย วิธีปฏิบัติเพื่อบรรลุพระนิพพาน อันเป็นวิธีตามแนวทางของพระพุทธศาสนา. ....................................................................... ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล อ้างอิง 1. นิยะดา เหล่าสุนทร, ไตรภูมิพระร่วง การศึกษาที่มา. กรุงเทพ : สานักพิมพ์แม่คาผาง, 2543 หน้า 11 เสฐียรโกเศศ, เล่าเรื่องไตรภูมิ. (กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์คลังวิทยา, 2518) http://www.openbase.in.th/files/1_165.doc รวบรวมโดย...แสงธรรม (แก้ไขแล้ว ป.) ปรับปรุงครั้งที่ 5 วันที่ 29 กันยายน 2556