More Related Content
Similar to ไตรภูมิพระร่วง
Similar to ไตรภูมิพระร่วง (12)
ไตรภูมิพระร่วง
- 6. *มหานรก มี 8 ขุม
---มีกาแพงเหล็กแดงลุกเป็นไฟอยู่เสมอล้อมเป็นสี่เหลี่ยม
พื้นบนและพื้นล่างก็เป็นเหล็กแดงที่ลุกเป็นไฟ กาแพงทั้ง 4 ด้าน ยาวด้านละ
1,000 โยชน์ หนา 9 โยชน์ มีประตูเข้า 4 ประตู
ส่วนพื้นบนและพื้นล่างมีความหนา 9 โยชน์ มหานรกทั้ง 8 มีดังนี้
- 7. ---1.มหาอเวจีนรก หรือ นรกที่ทุกข์ทรมานมิเคยหยุดพัก
---เป็นนรกขุมที่ลึกที่สุด มีความทุกข์มากที่สุดในจักรวาล
ไตรภูมิผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ในชาติก่อนนั้นได้ทาใน อนันตริยกรรม หรือบาปหนัก
5 ประการคือ ฆ่าบิดา, ฆ่ามารดา, ฆ่าพระอรหันต์,
ทาให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต, ยุยงให้สงฆ์แตกแยกกัน ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่
จะถูกตรึงศีรษะ แขน ในอิริยาบถที่เป็นในขณะทาบาป (นั่ง ยืน นอน ฯลฯ)
มีหลาวเหล็กแทงทะลุลาตัว มีไฟนรกคลอกตลอดเวลา แต่จะไม่เสียชีวิต
ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ต้องอาศัยอยู่จนกว่าจะครบวาระ 1 กัลป์
---2.มหาตาปนรก หรือ นรกที่มีแต่ความเร่าร้อนเหลือประมาณ
---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ชาติก่อนได้ฆ่าชีวิตสัตว์และคนเป็นหมู่มากโดยไม่รู้สึกผิด
ผู้อยู่อาศัยจะถูกทาให้ตกจากภูเขาสูงลงมาที่พื้นที่เต็มไปด้วยเหล็กแหลมยาว
- 9. ---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ชาติก่อนได้ปล้นขโมยของจากผู้ที่อยู่สูง เช่น สมณะ ครู
บุพการี ฯลฯ ผู้ที่อาศัยจะต้องยืนบนบัวเหล็ก ที่กลีบคม มีไฟนรกแผดเผา
มียมบาลใช้กระบองกระหน่าตีร่าง แต่จะไม่เสียชีวิต
ต้องอาศัยอยู่เช่นนี้ไปจนกว่าจะครบวาระ 7,000 ปี โดยที่ 1 วัน 1
คืนในมหาโรรุวนรก เทียบเท่า 2,305 ล้านปีมนุษย์
---5.โรรุวนรก หรือ นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้
---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ชาติก่อนเคยเผาสัตว์ทั้งเป็นบ่อยๆ หรือเป็นข้าราชการทุจริต
ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่จะถูกไฟนรกคลอกในบัวเหล็กในอิริยาบถนอนคว่า
การอาศัยที่นี่ 1 วาระ จะต้องอาศัยอยู่นาน 4,000 ปีนรก โดยที่ 1 วัน 1
คืนในโรรุวนรก เทียบเท่า 576 ล้านปีมนุษย์
---6.สังฆาฏนรก หรือ นรกบดขยี้สัตว์
- 10. ---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ชาติก่อนได้กระทาทารุณสัตว์ เมื่ออาศัยอยู่ที่นี่
ยมบาลจะผูกล่ามผู้อาศัยหลายๆ คนเข้าด้วยกัน
และใช้ค้อนเหล็กยักษ์ทุบร่างกายจนแหลกไป และ
"ลมกรรม"ก็จะพัดให้ฟื้นชีวิตมารับโทษใหม่ วนเวีบยเช่นนี้จนกว่าจะครบวาระ
2,000 ปีนรก โดยที่ 1 วัน 1 คืนในสังฆาฏนรก เทียบเท่า 145 ล้านปีมนุษย์
---7.กาฬสุตตนรก หรือ นรกที่ลงโทษด้วยด้ายดา
---ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่จะถูกยมบาลฟาดด้วยด้ายนรก
ซึ่งมีขนาดและความแข็งเท่าเหล็กเส้นโตๆ เส้นหนึ่ง
แล้วใช้เลื่อยนรกเลื่อยให้ขาดเป็นท่อนๆ
ผู้ที่หนีจะถูกเหล็กนรกปลิวออกมาตัดร่างกาย แล้วลมกรรม
ก็จะพัดโชยให้ฟื้นคืนอีกครั้ง จนกว่าจะครบวาระ 1,000 ปีนรก โดย 1 วัน 1
คืนในกาฬสุตตนรก เทียบเท่า 36 ล้านปีมนุษย์ ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่
ชาติปางก่อนได้ทรมาณสัตว์เล่นๆ ทาร้ายบุพการี อาจารย์ สมณะ
หรือผู้มีพระคุณ
---8.สัญชีวนรก หรือ นรกที่ไม่มีวันตาย
---ผู้ที่อาศัยจะถูกยมบาลจับนอนบนแผ่นเหล็กร้อนแดง
และถูกยมบาลฟันร่างขาดเป็นท่อนๆ เฉีอนเนื้อหนังจนเหลือแต่กระดูก
แล้วลมกรรมก็จะพัดมาให้ฟื้นมารับโทษต่อจนกว่าจะครบวาระ 500 ปีนรก
โดยที่ 1 วัน 1 คืนในสัญชีวนรก เทียบเท่า 9 ล้านปีมนุษย์
*นรกบ่าว
- 11. ---จะล้อมรอบมหานรก 4 ด้าน ด้านละ 4 ขุม รวมแล้ว มหานรก 1 ขุม
จะมีนรกบ่าวล้อมรอบอยู่ 16 ขุม รวมจานวนนรกบ่าวทั้งหมดจึงได้ 128 ขุม
เป็นโลกของผู้ที่ทาบาป (หรือ เหลือเศษบาป) อยู่น้อย
น้อยเกินกว่าที่จะไปเกิดในมหานรก แต่มากเกินกว่าที่จะเกิดในภูมิที่สูงกว่า
เป็นขุมที่มีความทุกข์ทรมานน้อยกว่ามหานรก
แต่ก็ยังห่างไกลความสุขอยู่อย่างยิ่งยวด
*ยมโลกนรก
---จะล้อมรอบมหานรก 4 ด้าน ด้านละ 10 ขุม รวมแล้ว มหานรก 1 ขุม
จะมียมโลกนรกล้อมรอบ 40 ขุม รวมจานวนยมโลกนรกทั้งหมดได้ 320 ขุม
เป็นโลกของผู้ที่มีเศษบาปเหลือน้อยเกินกว่าที่จะไปเกิดในนรกบ่าว
แต่ก็มากเกินกว่าที่จะไปเกิดในภูมิที่สูงกว่านี้ การลงโทษเบากว่านรกบ่าว
แต่ก็ยังห่างไกลความสุขอย่างยิ่งยวดเช่นกัน
*ยมบาล
- 13. ---เปรตเป็นผีเลวชนิดหนึ่ง ในไตรภูมิบรรยายรูปร่างของเปรตไว้ว่า
เปรตบางชนิดมีตัวใหญ่ ปากเท่ารูเข็ม
เปรตบางชนิดก็ตัวผอมไม่มีเนื้อหนังมังสา ตาลึกกลวง และร้องไห้ตลอดเวลา
แต่ก็มีเปรตบางชนิดที่ตัวงามเป็นทอง แต่ปากเป็นหมูและเหม็นมาก
มนุษย์ที่ทาบาปกับบุพการี เช่น ด่าทอบุพการีและทุบตีบุพการีจะเกิดเป็นเปรต
สรุปรวมๆ แล้ว ก็คือเมื่อตอนเป็นคนแล้วทาบาปอย่างใด
เมื่อตายไปก็จะเป็นเปรต ตามที่ทาบาปไว้เปรตนั้น มีโอกาสดีกว่าสัตว์นรก
เนื่องจากสามารถออกมาขอบุญกุศลจากการทาบุญของมนุษย์ได้
ารางแสดงอายุของสัตว์นรกเปรียบเทียบก ับอายุมนุษย์
มหานรก อายุ(ปี นรก) 1 ว ัน 1 คืนนรก / ล้านปี มนุษย์ ล้านปี มนุษย์
ขุมที่ 1 สัญชีวมหานรก 500 9 1,620,000
ขุมที่ 2 กาฬสุตตมหานรก 1,000 36 12,960,000
ขุมที่ 3 สังฆาฏมหานรก 2,000 144 103,680,000
ขุมที่ 4 โรรุวมหานรก 4,000 576 829,440,000
ขุมที่ 5 มหาโรมหานรก 8,000 2,304 6,635,520,000
ขุมที่ 6 ตาปนมหานรก 1600 9,216 53,084,160,000
ขุมที่ 7 มหาตาปนมหานรก มีอายุประมาณครึ่งอันตรกัป
ขุมที่ 8 อเวจีมหานรก มีอายุประมาณ 1 อันตรกัป
กรณีศึกษาเรื่องมหานรก ในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
การทัณฑ์ทรมานในนรกขุมที่ 1 เรื่องคนฆ่าหมู (วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ.
2545)
- 18. ---เกิดเป็นตัวขึ้นเองและโตทันที (อุปปาติกะ)
---สัตว์เดรัจฉานนั้นมีความเป็นอยู่ 3 ประการ คือ รู้สืบพันธุ์ รู้กิน รู้ตาย
เรียกเป็นศัพท์ว่า กามสัญญา อาหารสัญญา และมรณสัญญา
ส่วนคนนั้นเพิ่มอีกสัญญาหนึ่งคือ ธธมสัญญา คือรู้จักการทามาหากิน
รู้บาปบุญ หรือตรงกับคาว่า วัฒนธรรมนั้นเอง
*สัตว์ที่กล่าวในแดนเดรัจฉานหลักๆ ก็มีดังนี้
---ราชสีห์ เป็นสัตว์จาพวกเดียวกับสิงโต ไม่มีตัวตนจริงอยู่ในโลกนี้
แต่เป็นสัตว์ที่อยู่ในวรรณคดีเท่านั้น
---ช้างแก้ว อาศัยอยู่ที่ถ้าทองว่ากันว่า
พระพุทธเจ้าเคยเสวยพระชาติเคยไปเกิดเป็นช้างนี้อยู่หนึ่งชาติ
---ปลา ในแดนเดรัจฉานนี้ ปลาที่อาศัยอยู่ที่นี้จะมีขนาดใหญ่มาก
ตัวที่เล็กสุดก็ยังยาวถึง 75 โยชน์ ตัวที่ใหญ่ก็ยาวถึง 5,000 โยชน์
ปลาที่รู้จักกันดีคือ "พญาปลาอานนท์" ซึ่งหนุนชมพูทวีปอยู่
---ครุฑ อาศัยอยู่ที่ตามฝั่งสระใหญ่ชื่อ "สิมพลีสระ"
ที่ตีนเขาพระสุเมรุหรือสระต้นงิ้ว กว้างได้ 500 โยชน์
พระยาครุฑที่เป็นหัวหน้าตัวโต 50 โยชน์ ปีกยาวอีก 50 โยชน์ ปากยาว 9
- 19. โยชน์ ตีนทั้งสองยาว 12 โยชน์ ครุฑกินนาคเป็นอาหาร
และเป็นพาหนะของพระนารายณ์
---นาค หรืองูมีหงอนและมีตีน นาคมีสองชนิด คือ "ถลชะ "
หรือนาคที่เกิดบนบก และ "ชลชะ" หรือนาคที่เกิดในน้า
นาคถลชะจะเนรมิตตนเป็นคนหรือเทวดานางฟ้าได้แต่บนบก
นาคชลชะจะเนรมิตตนเป็นคนหรือเทวดานางฟ้าได้แต่ในน้าเท่านั้น
เรื่องนาคเป็นที่รู้จักกันดีในประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
คือเป็นบรรพบุรุษของชนชาติต่างๆ เช่น เขมร ลาว มอญ
---หงส์ อาศัยอยู่ที่ถ้าทองบนเขาคิชฌกูฏหรือเขายอดนกแร้ง
หงส์เป็นพาหนะของพระพรหม
*มนุสสาภูมิ
---กล่าวถึงฝูงสัตว์อันเกิดในมนุสสาภูมิ มีกาเนิดดังนี้
ตั้งแต่เริ่มต้นปฏิสนธิในครรภ์มารดาก็เริ่มก่อตัวเป็นกัลละ
---กัลละมีรูปร่างโปร่งเหลว เหมือนน้าหรือเหมือนเมือกตม
เป็นคาที่ใช้เฉพาะสิ่งที่ห่อหุ้มก่อกาเนิดเป็นคนเท่านั้น
กัลละที่ก่อเป็นตัวเด็กขึ้นมานี้ตามวิทยาศาสตร์กล่าวเรียกว่า 'cell'
เมื่อเวลาผ่านไปก็เกิดกลายเป็นตัวเด็กขึ้นนั่ง
กลางท้องแม่และเอาหลังมาชนท้องแม่
มีสายสะดือเป็นตัวส่งอาหารที่แม่กินเข้าไปให้แก่เด็ก
เด็กที่นั่งอยู่กลางท้องแม่นั้น จะนั่งอยู่เวลาประมาณ 8-10 เดือน
แล้วจึงคลอดจากท้องแม่
- 20. *บุตรที่เกิดมาในไตรภูมิแบ่งได้เป็น 3 สิ่ง คือ
---อภิชาตบุตร เป็นคนเฉลียวฉลาดมีรูปงามหรือมั่งมียศยิ่งกว่าพ่อแม่
---อนุชาตบุตร มีเพียงพ่อแม่
---อวชาติบุตร ด้อยกว่าพ่อแม่
*คนทั้งหลายก็แบ่งเป็น 4 ชนิด คือ
---ผู้ที่ทาบาปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และบาปนั้นตามทัน ต้องถูกตัดตีน
สิ้นมือและทุกข์โศกเวทนานักหนา พวกนี้เรียกว่า "คนนรก"
---ผู้หาบุญจะกระทาบ่มิได้
และเมื่อแต่ก่อนและเกิดมาเป็นคนเข็ญใจยากจนนักหนา อดอยากไม่มีกิน
รูปโฉมก็ขี้เหร่ พวกนี้เรียกว่า "คนเปรต"
---คนที่ไม่รู้จักบาปและบุญ ไม่มีความเมตตากรุณา ไม่มีความยาเกรงผู้ใหญ่
ไม่รู้จักปฏิบัติพ่อแม่ครูอาจารย์ ไม่รักพี่รักน้อง กระทาบาปอยู่ร่าไป
พวกนี้ท่านเรียกว่า "คนเดรัจฉาน"---คนที่รู้จักบาปและบุญ
รู้กลัวรู้ละอายแก่บาป รู้รักพี่รักน้อง รู้กรุณาคนยากจนเข็ญใจ
และรู้จักยาเกรงพ่อแม่ผู้เฒ่าผู้แก่ครูอาจารย์ และรู้จักคุณแก้ว 3 ประการ คือ
พระรัตนตรัย พวกนี้ท่านเรียกว่า "มนุษย์"
- 21. ---ในไตรภูมิพระร่วงกล่าวว่า มนุสสาภูมิประกอบด้วย 4 ทวีป ดังนี้
*ชมพูทวีป
---ตั้งอยู่ในมหาสมุทรทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุ มีสัณฐานเป็นรูปไข่
ดุจดังดุมเกวียน คนมีรูปหน้ากลมดุจดังดุมเกวียน อายุของคนในชมพูทวีปนั้น
หากเป็นผู้ที่เป็นคนดีมีศีลธรรมอายุก็จะยืน
หากมีลักษณะตรงกันข้ามก็จะอายุสั้น เป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า
(ซึ่งก็คือโลกที่เราๆ ท่านๆ อาศัยอยู่)
*บุรพวิเทหทวีป
---ตั้งอยู่ในมหาสมุทรทางทิศตะวันออกของเขาพระสุเมรุ
เป็นแผ่นดินกว้างได้ 7,000 โยชน์ มีสัณฐานเป็นรูปแว่นที่กลม
มีเกาะล้อมรอบเป็นบริวาร 400 เกาะ มีแม่น้าเล็กใหญ่ มีเมืองใหญ่เมืองน้อย
คนในทวีปนี้หน้ากลมดังเดือนเพ็ญ มีรูปกะโหลกสั้น ทุกคนไม่เบียดเบียนกัน
ไม่ทาชั่ว เมื่อตายแล้วจึงขึ้นสวรรค์แน่นอน ทาให้คนในทวีปนี้ไม่กลัวตาย
และผู้ที่อาศัยในทวีปนี้ มีอายุ 100 ปีเท่ากันทุกคน
*อมรโคยานทวีป
---ตั้งอยู่ในมหาสมุทรทางทิศตะวันตกของเขาพระสุเมรุ เป็นแผ่นดินกว้างได้
9,000 โยชน์ มีสัณฐานเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งดวง
- 22. มีเกาะเล็กเกาะน้อยเป็นบริวารอยู่โดยรอบ
คนในทวีปนี้มีรูปหน้าดังพระจันทร์ครึ่งดวง ทุกคนไม่เบียดเบียนกัน ไม่ทาชั่ว
เมื่อตายแล้วจึงขึ้นสวรรค์แน่นอน ทาให้คนในทวีปนี้ไม่กลัวตาย
และผู้ที่อาศัยในทวีปนี้ มีอายุ 400 ปีเท่ากันทุกคน
*อุตตรกุรุทวีป
---ตั้งอยู่ในมหาสมุทรทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ เป็นแผ่นดินกว้างได้
8,000 โยชน์ มีสัณฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีภูเขาทองล้อมรอบ
มีเกาะล้อมรอบเป็นบริวาร 500 เกาะ คนในทวีปนี้หน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม
มีรูปร่างสมประกอบ ไม่สูงไม่ต่าดูงดงาม
---กล่าวกันว่า คนที่อยู่ทวีปนี้เป็นคนรักษาศีล จึงทาให้แผ่นดินราบเรียบ
ต้นไม้ต่างก็ออกดอกงดงาม
ส่งกลิ่นหอมขจรขจายไปทั่วและเป็นแผ่นดินที่ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน
ในแผ่นดินอุตตรกุรุทวีปนี้ มีต้นกัลปพฤกษ์ ต้นหนึ่ง สูง 100 โยชน์ กว้าง
100 โยชน์ ผู้ใดปรารถนาจะได้แก้วแหวนเงินทองหรือสิ่งใดๆ
ก็ให้ไปยืนนึกอยู่ใต้ต้นกัลปพฤกษ์นี้
---ผู้หญิงชาวอุตตรกุรุทวีปนั้น มีความงดงามมาก
ส่วนผู้ชายก็เช่นกันมีความงามดังเช่นหนุ่มอายุ 20 ปี กันทุกคน
ทุกคนไม่เบียดเบียนกัน ไม่ทาชั่ว เมื่อตายแล้วจึงขึ้นสวรรค์แน่นอน
ทาให้คนในทวีปนี้ไม่กลัวตาย และผู้ที่อาศัยในทวีปนี้ มีอายุ 1,000
ปีเท่ากันทุกคน
*พระยาจักรพรรดิราช
- 23. ---พระยาจักรพรรดิราช เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่าพระราชาทั้งปวง
คือเป็นพระราชาผู้มีจักรหรือล้อแห่งรถเลื่อนแล่นไปได้รอบโลก
โดยปราศจากการขัดขวางหรือปราบปรามทั่วโลก
พระยาจักรพรรดิราชนั้นเมื่อชาติก่อนเป็ นคนแต่ทาบุญไว้มาก
เมื่อตายไปจึงไปเกิดในสวรรค์
---ในบางครั้งก็มาเกิดเป็นพระยาที่มีอานาจยิ่งใหญ่ได้รับพระนามว่า
พระยาจักรพรรดิราช เป็นพระยาที่ทรงคุณธรรมทุกประการ
เป็นเจ้านายคนทั้งหลายพระองค์ทรงตั้งอยู่ในทศพิศราชธรรม
พระยาจักรพรรดิราชมีแก้ว 7 ประการเกิดคู่บารมีมาด้วย ได้แก่
---1.จักรแก้ว คือแก้วอย่างที่หนึ่ง
จักรแก้วหรือจักรรัตน์จมอยู่ใต้ท้องทะเลลึกได้ 84,000โยชน์
เมื่อเกิดจักรพรรดิราชขึ้นในโลก
จักรแก้วซึ่งเป็นคู่บุญบารมีและจมอยู่ในมหาสมุทร ก็จะผุดขึ้นมาจากท้องทะเล
พุ่งขึ้นไปในอากาศ เกิดเป็นแสงส่องอันงดงาม มาน้อมนบ
เมื่อพระยาผู้ครองเมืองนั้น ทราบว่าพระองค์จะได้เป็นพระยาจักรพรรดิราช
ปราบทั่วจักรวาลเพราะมีจักรแก้วมาสู่พระองค์
พระยาจักรพรรดิราชก็จะเสด็จปราบทวีปทั้งสี่
แล้วประทานโอวาทให้ชาวทวีปเหล่านั้นประพฤติและตั้งอยู่ในคุณงามความดีแ
ล้ว จึงเสด็จกลับพระนคร
---2.ช้างแก้ว (หัสดีรัตน์) คือแก้วอย่างที่สอง ซึ่งเป็นช้างที่มีความงดงาม
ตัวเป็นสีขาว ตีนและงวงสีแดง เหาะได้รวดเร็ว
---3.ม้าแก้ว (อัศวรัตน์) คือแก้วอย่างที่สาม เป็นม้าที่มีขนงามดังสีเมฆหมอก
กีบเท้าและหน้าผากแดงดั่งน้าครั่ง เหาะได้รวดเร็วเช่นเดียวกับช้างแก้ว
- 24. ---4.ดวงแก้ว (มณีรัตน์) คือแก้วอย่างที่สี่ เป็นแก้วที่มีขนาดยาวได้ 4 ศอก
ใหญ่เท่าดุมเกวียนใหญ่ สองหัวแก้วมีดอกบัวทอง
เมื่อมีความมืดแก้วนี้จะส่องสว่างให้เห็นทุกหนแห่ง ดังเช่นเวลากลางวัน
แก้วนี้จะอยู่กับพระยาจักรพรรดิราชจนตราบเท่าเสด็จสวรรคาลัย
จึงจะคืนไปอยู่ยอดเขาพิปูลบรรพตตามเดิม
---5.นางแก้ว (อิตถีรัตน์) คือแก้วอย่างที่ห้า เป็นหญิงที่จะมาเป็น
มเหสีคู่บารมี ของพระยาจักรพรรดิราช
นางแก้วนี้จะต้องเป็นหญิงที่ได้ทาบุญมาแต่ชาติก่อน
และมาเกิดในแผ่นดินของพระยาจักรพรรดิราช ในตระกูลกษัตริย์
นางแก้วนี้จะเป็นหญิงที่มีลักษณะงดงามไปทุกส่วน
จะทาหน้าที่เป็นภรรยาที่ดีของพระยาจักรพรรดิราช
---6.ขุนคลังแก้ว คือแก้วอย่างที่หก เกิดขึ้นเพื่อบุญแห่งพระยาจักรพรรดิราช
และจะเป็นมหาเศรษฐี
ขุนคลังแก้วจะสามารถกระทาได้ทุกอย่างที่พระยาจักรพรรดิราชต้องการ
เพราะขุนคลังแก้ว มีหูทิพย์ ตาทิพย์ ดังเทวดาในสวรรค์
หากว่าพระยาจักรพรรดิราชต้องการทรัพย์สินสิ่งใด
ขุนคลังก็จะสามารถนามาถวายได้
---7.ขุนพลแก้ว คือแก้วประการสุดท้าย ของพระยาจักรพรรดิราช
หรือโอรสของพระยาจักรพรรดิราช มีรูปโฉมอันงดงาม กล้าหาญ เฉลียวฉลาด
สามารถบริหารกิจการบ้านเมืองได้ทุกประการ บางตาราก็ว่าเป็นขุนพลแก้ว
*จาตุมหาราชิกาภูมิ
- 25. ---สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกภูมิ เป็นสวรรค์ชั้นแรก สูงจากพื้นโลกได้ 46,000
โยชน์ เป็นดินแดนของผู้มีจิตใจสูงส่ง แต่ยังเกี่ยวข้องในกามคุณ
---จาตุมหาราชิกภูมิ แปลว่า "แดนแห่ง 4 มหาราช"
สวรรค์ชั้นนี้ตั้งอยู่เหนือเทือกเขายุคนธร
อันเป็นเทือกเขาแรกที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ
*บนเทือกเขายุคนธรทั้ง 4 ทิศ มีเมืองใหญ่ 4 เมือง
---1.เมืองที่อยู่ทางทิศตะวันออก ของเขาพระสุเมรุมี "ท้าวธตรฐ"
เป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือ "คนธรรพ์" (เป็นอมนุษย์จาพวกหนึ่ง
ครึ่งเทวดาครึ่งมนุษย์ เป็นนักดนตรีและชอบผู้หญิง)
---2.เมืองที่อยู่ทางทิศตะวันตก ของเขาพระสุเมรุมี "ท้าววิรูปักษ์"
เป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือ "นาค"
---3.เมืองที่อยู่ทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุมี "ท้าววิรุฬหก" เป็นเจ้าเมือง
เป็นใหญ่เหนือ "พวกกุมภัณฑ์" (เป็นยักษ์จาพวกหนึ่ง
มีท้องใหญ่และมีอัณฑะเหมือนหม้อ)
---4.เมืองที่อยู่ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุมี "ท้าวไพศรพ" เป็นเจ้าเมือง
เป็นใหญ่เหนือ "พวกยักษ์" ท้าวมหาราชทั้ง 4 นี้เรียกรวมๆ ว่า
"จตุโลกบาล" ทั้ง 4 คือ ผู้ดูแลรักษาโลกทั้ง 4 ทิศ
- 26. *ดาวดึงส์
---เป็นสวรรค์ชั้นที่ 2 มีเทวดาผู้เป็นใหญ่ในชั้นนี้คือ ท้าวสักกะเทวราช
หรือที่เรียกกันว่า "พระอินทร์"
*ยามาภูมิ
---สวรรค์ชั้นยามา เป็นสวรรค์ชั้นที่ 3 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 84,000
โยชน์ มี "พระยาสยามเทวราช" ครองอยู่
สวรรค์ชั้นนี้สูงกว่าวิถีการโคจรของพระอาทิตย์
แต่ก็ไม่มืดเนื่องจากรัศมีแก้วและรัศมีตัวเทวดาส่องสว่างอยู่เสมอ
*ดุสิตาภูมิ
---สวรรค์ชั้นดุสิต เป็นสวรรค์ชั้นที่ 4 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นยามา 168,000
โยชน์ มี "พระยาสันดุสิตเทวราช"
พระโพธิสัตว์ซึ่งจะเสด็จลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
มีพระศรีอาริย์โพธิสัตว์ซึ่งจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า
*นิมมานรดีภูมิ
---สวรรค์ชั้นนิมมานรดี เป็นสวรรค์ชั้นที่ 5 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดุสิต
336,000 โยชน์
- 27. *ปรนิมิตวสวัตติภูมิ
---สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี เป็นสวรรค์ชั้นที่ 6
อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดี 672,000 โยชน์ มี "พระยาปรนิมมิตวสวัตตี"
ปกครองผู้เป็นเทวดา และมีพระยามารปกครองเหล่ามาร
เจ้าทั้งสองจะไม่เคยพบเจอกันเลยแม้จะอยู่สวรรค์ชั้นเดียวกัน
*รูปภูมิ 16
---อยู่เหนือสวรรค์ชั้นสูงสุด
---1.พรหมปาริสัชชาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จปฐมฌาณขั้น ต้น
---2.พรหมปุโรหิตาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จปฐมฌาณขั้นกลาง
---3.มหาพรหมาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จปฐมฌาณขั้นสูง
---4.ปริตตาภาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จทุติยฌาณขั้นต้น
---5.อัปปมาณาภาภูมิ ดินแดนของผู้สาเร็จทุติยฌาณขั้นกลาง
- 30. ---วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับไตรภูมิ เช่น ไตรภูมิโลกวินิจฉัย
เรื่องเล่าจากไตรภูมิ สมุดภาพไตรภูมิ ฯลฯ
*ไตรภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วง
---ไตรภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วง เป็นวรรณกรรมชิ้นเอกสมัยกรุงสุโขทัย
นับเป็นวรรณคดีเรื่องแรก ของไทยเป็นพระราชนิพนธ์
ในสมเด็จพระศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราชหรือพระมหาธรรมราชาลิไ
ทย เป็นวรรณคดีไทย ที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย
กรุงศรีอยุธยามาจนถึงปัจจุบัน เพราะได้รวบรวมเอาคติ ความเชื่อ
ทุกแง่ทุกมุมของทุกชนชั้น หลายเผ่าพันธุ์มาร้อยเรียงเป็นเรื่องราว
ให้ผู้อ่านผู้ฟังยาเกรงในการกระทาบาปทุจริต และเกิดความปิติยินดี
ในการทาบุญทากุศล อาจหาญมุ่งมั่นในการกระทาคุณงามความดี
---พระมหาธรรมราชาลิไทย มีพระปรีชา รอบรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก
อรรถกถาฎีกา อนุฏีกา และปกรณ์พิเศษต่าง ๆ
พระองค์ยังเชี่ยวชาญในวิชาโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ และไสยศาสตร์
จนถึงขั้นทรงบัญญัติคัมภีร์ศาสตราคม
เป็นปฐมธรรมเนียมสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
---ในปี พ.ศ.๑๘๘๘ พระยาลิไทย อุปราชผู้ครองนครศรีสัชนาลัย
ได้ทรงนิพนธ์ไตรภูมิกถาขึ้น มีสาระสาคัญ คือ ทรงพรรณาถึงเรื่องการเกิด
การตาย ของสัตว์ทั้งหลาย ว่าการเวียนว่าย ตาย เกิด อยู่ในภูมิทั้งสามคือ
กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ
- 31. ---ด้วยอานาจของบุญและบาปที่ตน ได้กระทาแล้ว
กามภูมิเป็นที่ตั้งแห่งความใคร่ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ อบายภูมิ
และสุคติภูมิ
---อบายภูมิ ยังแบ่งออกเป็น 4 ภูมิ ได้แก่ นรกภูมิ, ติรัจฉานภูมิ, เปรตภูมิ,
และอสูรกายภูมิ
---นรกภูมิ เป็นที่ตั้งของสัตว์ที่ทาบาป ต้องไปรับทัณฑ์ทรมานนานาประการ
แบ่งออกเป็นขุมใหญ่ ๆ ได้
---8 ขุมด้วยกัน คือ
---1.สัญชีพนรก มีอายุ ๕๐๐ ปี นรก (๑ วันเท่ากับ ๙ ล้านปีของมนุษย์)
---2.กาฬสุตตนรก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปีนรก (๑ วันเท่ากับ ๓๖ ล้านปีของมนุษย์)
---3.สังฆาฏนรก มีอายุ ๒,๐๐๐ ปีนรก (๑ วันเท่ากับ ๑๔๕
ล้านปีของมนุษย์)
---4.โรรุวะนรก มีอายุ ๔,๐๐๐ ปีนรก (๑ วันเท่ากับ ๕๗๖
ล้านปีของมนุษย์)
- 32. ---5.มหาโรรุวะนรก มีอายุ ๘,๐๐๐ ปีนรก (๑ วันเท่ากับ ๒,๓๐๔
ล้านปีของมนุษย์)
---6.ตาปนรก มีอายุ ๑๖,๐๐๐ ปีนรก (๑ วันเท่ากัย ๙,๒๓๖
ล้านปีของมนุษย์)
---7.มหาตาปนรก มีอายุยาวนานนับไม่ถ้วน---8.อวีจีนรก หรือ อเวจีนรก
มีอายุนับได้กัลป์ หนึ่ง
---ในแต่ละนรก ยังมีนรกบริวาร เช่น นรกขุมที่ชื่อ โลหสิมพลี
เป็นนรกบริวารของสัญชีพนรก ผู้ที่เป็นชู้กับสามีหรือภริยาผู้อื่น
จามาตกนรกขุมนี้ จะถูกนายนิรบาลไล่ต้อนให้ขึ้นต้นงิ้ว ที่สูงต้นละหนึ่งโยชน์
มีหนามเป็นเหล็กร้อนจนเป็นสีแดง มีเปลวไฟลุกโชนยาว ๑๖ นิ้ว
ชายหญิงที่เป็นชู้กันต้องปีนขึ้นลง โดยมีนายนิรบาลเอาหอกแหลมทิ่มแทง
ให้ขึ้นลงวนเวียนอยู่เช่นนี้นับร้อยปีนรก
---สาหรับ ผู้ที่ทาบาป แต่ไม่หนักพอที่จะตกนรก
ก็ไปเกิดในที่อันหาความเจริญมิได้ อื่น ๆ เช่น เกิดเป็นเปรต อสูรกาย
สัตว์เดรัจฉาน
พวกที่พ้นโทษจากนรกแล้วยังมีเศษบาปติดอยู่ก็ไปเกิดเป็ นเดรัจฉานบ้าง
เป็นเปรตบ้าง เป็นอสูรกายบ้าง เป็นมนุษย์ที่ทุพพลภาพพิกลพิการ
ตามความหนักเบาของบาปที่ตนได้ทาไว้
---สุคติภูมิ เป็นส่วนของกามาพจรภูมิ หรือ กามสุคติภูมิ แบ่งออกเป็น 7 ชั้น
คือ
- 34. ---รูปภูมิ หรือรูปาวจรภูมิ ได้แก่ รูปพรหม 16 ชั้น
เริ่มตั้งแต่พรหมปริสัชชาภูมิ ที่อยู่สูงกว่าสวรรค์ชั้นหก คือ ปรนิมมิตวสวัตดี
มากจนนับระยะทางไม่ได้ ระยะทางดังกล่าวอุปมาไว้ว่า
สมมติมีหินก้อนใหญ่เท่าโลหะปราสาทในลังกาทวีป
หินก้อนนี้ทิ้งลงมาจากชั้นพรหมปริสัชชาภูมิ หินก้อนนั้นใช้เวลาถึง 4 เดือน
จึงจะตกลงถึงพื้น
---จากพรหมปริสัชชาภูมิขึ้นไปถึงชั้นที่ 11 ชื่อชั้นอสัญญีภูมิ
เป็นรูปพรหมที่มีรูป แปลกออกไปจากพรหมชั้นอื่น ๆ คือ พรหมชั้นอื่น ๆ
มีรูป มีความรู้สึก เคลื่อนไหวได้ แต่พรหมชั้นอสัญญีมีรูปที่ ไม่ไหวติง
ไร้อริยาบท โบราณเรียกว่า พรหมลูกฟักครั้นหมดอายุ
ฌานเสื่อมแล้วก็ไปเกิดตามกรรมต่อไป
---รูปพรหมที่สูงขึ้นไปจากอสัญญี พรหมอีก 5ชั้นเรียกว่า ชั้นสุทธาวาส
หมายถึงที่อยู่ของผู้บริสุทธิ ผู้ที่จะไปเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาสคือ
ผู้ที่สาเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระอนาคามี
คือเป็นผู้ที่ไม่กลับมาสู่โลกนี้ต่อไป
ทุกท่านจะสาเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วนิพพานในชั้นสุทธาวาสนี้
---อรูปภูมิ หรืออรูปาพาจรภูมิ มี 4 ชั้น เป็นพรหมที่ไม่มีรูปปรากฏ
ผู้ที่ไปเกิดในภูมินี้คือผู้ที่บาเพ็ญเพียรจนได้บรรลุฌานโลกีย์ชั้นสูงสุด เรียกว่า
อรูปฌาน ซึ่งมีอยู่ 4 ระดับ ได้แก่ผู้ที่บรรลุอากาสานัญจายตนะฌาน
(ยึดหน่วงเอาอากาศเป็นอารมณ์) จะไปเกิดในอากาสานัญจายตะภูมิ
ผู้ที่บรรลุวิญญาณัญจายตนะฌาน (ยึดหน่วงเอาวิญญาณเป็นอารมณ์)
จะไปเกิดในวิญญาณัญจายตะภูมิ
---ผู้ที่บรรลุ อากิญจัญญายตนะฌาน (ยึดหน่วงเอาความไม่มีเป็นอารมณ์)
จะไปเกิดในอากิญจัญญาตนะภูมิ และผู้ที่บรรลุเนวสัญญานสสัญญายตนะฌาน
(ยึดหน่วงเอาฌานที่สามให้ละเอียดลงจนเป็นผู้มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีญาก็มิใช่)
- 35. จะไปเกิดในแนวสัญญานาสัญญายตนะภูมิ พรหมเหล่านี้
เมื่อเสื่อมจากฌานก็จะกลับมาเกิดในรูปพรหมภูมิ หรือภูมิอื่น ๆ ได้เช่นกัน
*การกาเนิดของสัตว์ การเกิดของสัตว์ในสามภูมิมีอยู่ 4 อย่างด้วยกันคือ
---1.ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ เช่น
มนุษย์และสัตว์เดรัจฉานบางชนิดที่เลี้ยงลูกด้วยนม
---2.อัณฑชะ เกิดในไข่ ได้แก่ สัตว์เดรัจฉานบางชนิด เช่น นก
สัตว์เลื้อยคลานบางชนิด ปลา เป็นต้น
---3.สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล ได้แก่
สัตว์ชั้นต่าบางชนิดที่ใช้การแบ่งตัวออกไป เช่น ไฮดรา อมิบา เป็นต้น
---4.โอปาติกะ เกิดขึ้นเอง เมื่อเกิดแล้วก็จะสมบูรณ์เต็มที่
เมื่อตายไปจะไม่มีซาก ได้แก่ เปรต อสูรกาย เทวดา และพรหม เป็นต้น
*การตายของสัตว์ การตายมีสาเหตุ 4 ประการด้วยกันคือ
---1.อายุขยะ เป็นการตายเพราะสิ้นอายุ
---2.กรรมขยะ เป็นการตายเพราะสิ้นกรรม
- 36. ---3.อุภยขยะ เป็นการตายเพราะสิ้นทั้ง อายุ และสิ้นทั้งกรรม
---4.อุปัจเฉทกรรมขยะ เป็นการตายเพราะอุบัติเหตุ
---นอกจากนั้น แล้วมีการกล่าวถึงสิ่งต่าง ๆ ในโลกและในจักรวาล
มีภูเขาพระสุเมรุราช เป็นแกนกลาง แวดล้อมด้วยกาแพงน้าสีทันดรสมุทร
และภูเขาสัตตบรรพต อันประกอบด้วย ภูเขายุคนธร, อินิมธร, กรวิก,
สุทัศนะ, เนมินธร, วินันตกะ, และอัสสกัณณะ
---กล่าวถึง พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวนพเคราะห์
และดารากรทั้งหลายในจักรวาล เป็นเครื่องบ่งบอกให้รู้วันเวลา ฤดูกาล
และเหตุการณ์ต่าง ๆ กล่าวถึงทวีปทั้ง 4 ที่ตั้งอยู่รอบภูเขาพระเมรุมาศ
ชมพูทวีปอยู่ทางทิศใต้กว้าง ๑๐,๐๐๐ โยชน์ มีปริมณฑล ๓๐๐,๐๐๐ โยชน์
มีแผ่นดินเล็กล้อมรอบได้ ๕๐๐ มีแผ่นดินเล็กอยู่กลางทวีปใหญ่ 4 ผืน เรียกว่า
สุวรรณทวีป กว้างได้ ๑,๐๐๐ โยชน์ มีประมณฑล ๓๐,๐๐๐ โยชน์
เป็นเมืองที่อยู่ของพญาครุฑ
---การกาหนดอายุของสัตว์และโลกทั้ง 3 ภูมิ มี กัลป์ , มหากัลป์ , การวินาศ,
การอุบัติ, การสร้างโลก สร้างแผ่นดิน ตามคติของพราหมณ์
*ท้ายสุดของภูมิกถา