SlideShare a Scribd company logo
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/Front Cover : Why not the best?
20%
จิตสานึกเป็น
สติผู้ขี่จักรยาน
จิตนอกสานึก
เป็นทักษะ
ขี่จักรยาน
Draft 2.0คนที่ประสบความสาเร็จเป็นคนจานวนน้อยที่มี
ปัญญาที่ลึกซึ้งจึงก้าวข้ามกับดักต่างๆ
และมุ่งมั่นทาเฉพาะสิ่งที่
เป็นองค์ประกอบ
ของความสาเร็จ
My Good Will.
จุดมุ่งหมายที่เขียน
หนังสือเล่มนี้ เพื่อ
ช่วยผู้อ่านสามารถ
ห ล บ ห ลี ก กั บ ดัก
ระหว่างทางเดินของ
ชีวิตและแนะนาวิธีคิด
ข อ ง ผู้ ที่ ป ร ะ ส บ
ความสาเร็จซึ่งต่าง
จากคนส่วนใหญ่ให้
ผู้อ่านใช้เป็นแนวทาง
สู่ความสาเร็จ
จิตนอกสานึกเป็นเภสัชกรประจาตัวผู้สั่งจ่ายยาผ่านผู้ช่วย
คือระบบต่อมไร้ท่อ
20%
Concious
จิตสานึกเป็น
สติผู้ขับรถยนต์
80%
Unconcious
จิตนอกสานึก
เป็นทักษะการขับรถ
จิต
จิตเป็นเครื่องจักรแห่งกรรม
Universe
สมอง
เป็นที่เก็บข้อมูล
Endocrine Glands
ระบบต่อมไร้ท่อ
กาย
จิตนอกสานึกในฐานะเภสัชกรประจาตัวจะสั่ง
จ่ายยาผ่านระบบต่อมไร้ท่อภายในกายเพื่อไป
ควบคุมการทางานของระบบต่างๆในกาย
โดยต่อมไร้ท่อทาหน้าที่ขับฮอร์โมนเข้าสู่
กระแสโรหิตตามที่จิตนอกสานึกสั่ง
ให้ควบคุมการทางานต่างๆของร่างกาย
จิตนอกสานึก
*ผู้ดึงดูด
สิ่งที่เชื่อเท่านั้น
*ผู้ช่วย
ในนาทีวิกฤติ
สมองเป็นเพียงเครื่องมือของใจ
จาเป็นจะต้องเตรียมจิตปัจจุบัน
เพื่อให้จิตนอกสานึก ผุดขึ้นเป็นจิต
สุดท้าย
แม้ว่า YOU ARE WHAT YOU THINK
แต่ผู้ประสบความสาเร็จนั้นคิดแบบใช้ใจนาไม่ได้ใช้เหตุผลนา
จึงมีใจที่คิดบวกสามารถควบคุมการทางานของระบบต่อมไร้
ท่อให้ทาหน้าที่ขับฮอร์โมนที่ดีเข้าสู่กระแสโรหิตทาให้กายมี
ประสิทธิภาพสูงสุด
เมื่อตกใจสุดขีดจิตนอกสานึกจะ
เข้ามาทางานแทนจิตสานึก ทาให้
เราสามารถทาได้ในสิ่งที่ในภาวะ
ปกติเราทาไม่ได้ เช่น ขับรถยนต์
หรือแบกตู้เย็นได้
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/Cover Front-2 : Why not the best?
--- To be ----Transform--------------------- As is ---------------------
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/Content:Why not the best?
Draft 2.0
บางคนคิดว่าถ้าเกิดทันยุคที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชน
ชีพอยู่คงจะบรรลุธรรมเพราะได้ฟังธรรมจากพระองค์
ความจริงพระพุทธเจ้าที่เป็นรูปนั้น เดิมเป็นเพียงเจ้าชาย
สิตถัตถะ ต่อเมื่อได้รับสิ่งที่เป็น“นามคือความรู้สัจธรรม”
จึงบรรลุธรรมสาเร็จเป็นพระพุทธเจ้า
เพราะนามที่เป็ น “ความรู้ ”มีพลังอานาจ
เปลี่ยนแปลง ในสมัยพุทธกาลพระพุทธองค์เป็นผู้สอนทา
ให้เกิดผู้บรรลุ “สัจธรรม”ตาม ได้เป็นพระอริยบุคคล ใน
ปัจจุบันบางคนเสียดายว่าเกิดไม่ทันสมัยพุทธกาล
ในความเป็นจริงสิ่งที่เป็น“นามคือความสัจรู้ธรรม”
นั้นมีมาก่อนมีพระพุทธเจ้าและยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบันที่
มีสื่อ Digital เช่น CD เสียงหลวงพ่อชา สอนความรู้
ธรรมที่เมื่อฟังแล้วรู้สึกเหมือนหลวงพ่อชา อยู่ใกล้ๆ ทั้งๆที่
หลวงพ่อท่านมรณภาพไปนานแล้ว เรื่อง การถ่ายทอด
“ความรู้สัจธรรม” Knowledge Management
ซึ่งเป็นนามธรรมสู่จิตบุคคลทาให้จิตเป็นธรรมนั้น เทียบ
กับเรื่องการลง Windows 10 แทน Windows เก่าซึ่ง
ทาได้โดยง่ายภายใต้ข้อจากัดที่ว่าเครื่องตอมพิวเตอร์
ต้องมีคุณสมบัติเหมาะสม คนที่จะพัฒนาจิตให้เป็นธรรม
ก็ต้องมีคุณสมบัติเหมาะสมเช่นกันP.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#0.01
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#0.02
หลวงพ่อชา ยกตัวอย่างต้นไม้ว่าประกอบด้วย 3
ส่วนรวมกันคือ กิ่งใบ ลาต้น และโคน แต่ความสาคัญ
อยู่ที่โคน เพราะ กิ่งใบ และลาต้น ต้องอาศัยโคนใน
การหาอาหาร ทานองเดียวกันคนเราประกอบด้วย
กาย และจิต แต่ส่วนสาคัญนั้นอยู่ที่จิต เพราะจิตเป็น
ผู้ควบคุมระบบต่อมไร้ท่อซึ่งควบคุมความเป็นไป
ต่างๆของกายเรา ประกอบกับทั้งกิเลสและธรรม ต่าง
เกิดขึ้นที่ใจ ดังนั้นการฝึกใจจึงมีความสาคญที่สุด
หลวงพ่อชา ท่านมีวิธีสอนต่างจากหลวงพ่อ องค์
อื่นๆที่สอนโดยถ่ายทอดวิธีที่ท่านเองปฏิบัติแล้วได้ผล
และให้ลูกศิษย์ทาตาม แต่หลวงพ่อชาท่านสอนเน้น
แบบโค้ชนักกีฬา(Coaching)คือแก้ข้อบกพร่องให้
เป็นรายบุคคล โดยชี้ถูกชี้ผิด อะไรให้ทา อะไร ห้ามทา
ซึ่งภาษาปัจจุบันเรียกว่าภาษา Digital คือมีแค่ 0 กับ
1 เท่านั้น ด้วยวิธีดิจิตอลจึงทาให้ท่านสามารถสอนลูก
ศิษย์ชาวต่างประเทศจานวนมากโดยท่านไม่รู้
ภาษาต่างประเทศเลย ซึ่งท่านบอกว่าไม่จาเป็นต้องรู้
ภาษาควายก็สอนให้ควายไถนาได้
คนฉลาดอย่างผมได้เรียนรู้ จาก
ความผิดที่ติดกับดักต่างๆ
คนฉลาดกว่ าอย่างคุณไม่
จาเป็นต้องติดกับดักเองเพราะคุณสามารถ
เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของผม
คนฉลาดที่สุดเรียนรู้ จาก
ความสาเร็จของผู้ อื่น เหตุที่ผู้ ประสบ
ความสาเร็จในชีวิตเป็ นคนจานวนน้อยที่
ทางานมุ่งเน้นเฉพาะงานสาคัญแบบทาน้อยได้
มาก (Less is More) และคิดสร้าง
นวัตกรรมที่ชื่นชอบรวมทั้งมีโอกาสแข่งขัน
(Disruptive Technology) ซึ่ง
แตกต่างไปจากคนจานวนมากที่แค่ปรับปรุง
วิธีการทางานให้ มีประสิทธิภาพสูงสุด
(Optimization)โลกที่แท้จริง
คือปัจจุบันขณะที่ไร้กาลเวลาแบบเดียวกับหลุมดา P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#0.03
20%
Concious
จิตสานึกเป็น
สติผู้ขับรถยนต์
80%
Unconcious
จิตนอกสานึก
เป็นทักษะการขับรถ
จิต
กาย
จิตเป็นเครื่องจักรแห่งกรรม
สมอง
เป็นรถยนต์ -เป็นที่เก็บข้อมูล
Universe
หลวงพ่อชาสอนว่า
ธรรมะไม่ใช่เรื่องเทว
บุตรเทวดาที่ไหน เป็น
เรื่องที่เราทาอยู่ใน
ปั จ จุ บั น นี้แ ห ล ะ
เพราะธรรมเป็นความ
จริงแท้ที่พระพุทธเจ้า
ทรงค้นพบได้เห็นโลก
ที่แท้จริง ซึ่งต่างจาก
ความจริงสมมติของ
โลกมายาที่คนทั่วไป
รู้จัก
หลวงพ่อชา เปรียบ
จิตนอกสานึกซึ่งมี
หน้าที่คิดไปเรื่อย มี
พฤติกรรมซนว่ า
เหมือนลิง แต่ถ้าเรา
รู้จักลิง พอเห็นลิงก็
ไม่ราคาญ เราทุก
คนต่างเลี้ยงลิงไว้
ค น ล ะ ตั ว อ ย่ า
ราคาญลิงนะ
หลวงพ่อชาสอนว่า คนเรานั้น ต้อง
ประกอบด้วยกายและจิตรวมกันเป็น
มรดกที่พ่อแม่ทุกคนให้มาเท่าเทียม
กัน แต่ส่วนสาคัญนั้นอยู่ที่จิต เพราะ
“ธรรม”ทุกสิ่งมีใจถึงก่อนจึงเกิดการ
กระทาประกอบกับทุกอย่างที่เข้ามาสู่
ชีวิตผ่านตา หู จมูก ลิ้น กายนั้นเอา
มารวมให้ใจทางานคนเดียว(จิตเป็น-
เพราะความบังเอิญไม่มีอยู่จริง : เราทุกคนล้วนมีความพิเศษที่คนอื่นๆไม่มีเพราะแต่ละบทเรียนที่หล่อหลอมขึ้นมาเป็นเอกลักษณ์ของตัวเราซึ่งส่วนใหญ่เป็นอิทธิพล
ของสิ่งล้อมรอบตัวเราตั้งแต่เริ่มเป็นทารกจนโตขึ้นเป็นหนุ่มสาวนั้นได้ช่วยแกะสลักสิ่งที่เป็นตัวเรารวมทั้งได้ขุดเอาสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราออกไป สังเกตว่าหัวเราจะโตขึ้น
กว่าตอนเป็นทารกประมาณ 2 เท่า ซึ่งสมองเป็นที่เก็บข้อมูลของจิตโดยส่วนสมองที่ขยายขึ้นนั้นได้เก็บข้อมูลต่างๆจนเป็นตัวเราในปัจจุบัน เพื่อจะทาอาชีพที่เราทา
แล้วรู้สึกดี ตัวเราแต่ละคนนั้นล้วนเกิดมาเพื่อเป็นอะไรบางอย่างที่เรารู้สึกดี ที่ทาแล้วเกิดอารมณ์ด้านบวก P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#0.1
ผู้รับผลกรรม-ผู้จาทุกสิ่ง-ผู้คิดและสั่งการ-ผู้รู้พฤติกรรม-
กาย,ใจ) ท่าน เปรียบร่างกายคนเหมือนรถยนต์ ซึ่งมีตาเป็น
ไฟหน้ารถยนต์ คนขับรถยนต์เป็นผู้รู้เรื่องว่าไฟรถส่องไป
มองเห็นทางต่างๆเกิดประโยชน์ แต่ตัวรถยนต์ไม่รู้เรื่อง ขับ
ไปชนต้นไม้มันก็ชน ทั้งนั้นแหละ
20%
Concious
จิตสานึกเป็น
สติผู้ขับรถยนต์
80%
Unconcious
จิตนอกสานึก
เป็นทักษะการขับรถ
-จิต
กาย
จิตเป็นเครื่องจักรแห่งกรรม
-สมอง
เป็นรถยนต์ -เป็นที่เก็บข้อมูล
Universe
เจ้าชายสิทธัตถะเรียนรู้ธรรมต่างๆ
จากหลายอาจารย์จนพัฒนาการ
ถึงระดับที่อาจารย์ไม่มีอะไรจะ
สอนแล้วและอาจารย์แนะนาให้
ศึกษาต่อด้ วยพระองค์เอง
พระองค์อดอาหารแบบสุด โต่ง
เพราะต้องการบรรลุธรรม แต่เมื่อ
ทราบแน่ว่าผิดทางเพราะไม่มี
ความก้าวหน้า และเมื่อได้ยินเรื่อง
สายพินตึงเกินไปก็จะขาด หย่อน
เกินไปก็ดีดไม่ไพเราะ ต้องไม่ตึง
ไม่หย่อนคือจุดพอดีจึงจะดีดแล้ว
เพราะ และเมื่อนางสุชาดา ถวาย
ข้าว มทุปายาตจึงกลับมาฉัน
อาหาร และเดินทางสายกลางจน
บรรลุ “ธรรม” แล้วจึงไปสอนผู้ที่มี
อุปนิสัยที่สามารถฝึกหัดได้
หลวงพ่อชาสอนว่า
1.อย่าเพิ่งเชื่อสิ่งที่จิตคิด
สมมติปรุงแต่งจากความทรง
จาและความคาดหวัง ให้เชื่อ
ปัจจุบันธรรมคือความจริงที่
รู้สึกในปัจจุบันขณะ
2.ไม่มีทางลัดเพราะเป็นกฎ
แห่งกรรมของแต่ละบุคคล
3.คาถาคือ “ไม่แน่”
พระพุทธเจ้าสอนเรื่อง ทุกสิ่ง
เป็น“อนิจจัง” เป็นของไม่
แน่นอนถ้ามองระดับอะตอม
จะเห็นว่าทุกสิ่งมีองค์
ประกอบ 30% เป็นส่วนที่
กาลังเปลี่ยนแปลง อีก70%
เป็นความว่างที่เชื่อมโยงถึง
กันหมดทั้งจักรวาล
4.ในส่วนของจิตต้องสอน
ตัวเองให้คิดให้ถูกเพราะเป็น
เรื่องต้องฝืนสิ่งที่ผิดเพื่อที่จะ
ได้ คิด พูด ทา อย่างเป็น
“ธรรม”
หลวงพ่อชา ตอบคาถามเรื่องการที่คน
จะบรรลุธรรมว่าขึ้นอยู่กับปัจจัย (Key
Success Factor)ซึ่งบางทีคนฉลาด
น้อยก็สามารถบรรลุธรรมก่อนคน
ฉลาดกว่าได้ เหตุเพราได้อยู่ใกล้ชิดกับ
อาจารย์ผู้รู้ช่วยแนะนาให้ผ่านกับดัก
ต่างๆไปได้ กรณีที่อาจารย์มั่นแนะนา
อาจารย์เสาร์ซึ่งติดกับดักเป้ าหมายที่
ต้องการจะบรรลุธรรมอย่างมาก
คิดเป็น ถึงก่อน : หลวงพ่อชา สอนว่าความเป็นจริงนั้นถูกอยู่แล้ว แต่เรายังคิดไม่ถูก จึงต้องมานั่งภาวะนาเพื่อพิจารณาเรื่องต่างๆให้คิดให้ถูก เหมือนปลาอยู่ใน
น้าไม่เห็นน้าก็ได้ คนเราก็เหมือนกันเพราะสมมติบังวิมุติอยู่ คือเราเคยชินกับความคิดคือความทรงจา (อดีต) รวมกับความคาดหวัง(อนาคต)ชึ่งล้วนเป็นเรื่อง
สมมติที่ปรุงแต่งจนเกิดเป็นอารมณ์ที่เป็นเพียงอาการของจิต สาเหตุเพราะ 1.เราไม่เชื่อพระพุทธเจ้า เราไปเชื่อ “ความคิด”ของจิตที่ยังไม่ได้ฝึกที่ส่งเสียงอยู่ใน
หัวเราที่หยิบเอารูปแบบข้อมูลในอดีตที่สมองเก็บไว้ ว่าเป็นความจริง ทาให้เราไม่เห็นความจริงในปัจจุบัน ประกอบกับ 2.จิตเรานั้นยังสกปรกเป็นจิตที่ถูก
ครอบงาด้วยความคิดปรุงแต่งซึ่งไม่ใช่ “จิตเดิม”ที่สงบสว่าง ทาให้มีภาระที่จะต้องทาให้จิตสะอาด เพื่อให้เราสามาถมองเห็น “ตัวตนแท้”ของเรา ซึ่งมีความ
เชื่อมโยงกับธรรมชาติ แล้วเราจะได้แกะสลักสิ่งที่เราอยากจะเป็นพร้อมกับขุดสิ่งที่เป็นอุปสรรคและสิ่งที่ไม่ใชตัวเราออกไป เพราะความจริงเป็นของแต่ละบุคคล
เกิดจากเรามีส่วนร่วมแกะสลักสิ่งที่เป็นตัวเรารวมทั้งขุดเอาสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราออกไป P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#0.2
อาจารย์มั่นแนะให้อาจารย์เสาร์วางความอยาก
บรรลุ ซึ่งเป็นอุปสรรค ให้เพียงทาความเพียร ส่วน
การบรรลุจะเกิดขึ้นเอง คงจะคล้ายกรณีนักกีฬา
ถ้าต้องการชนะอย่างมากจะกดดันตัวเองทาให้จิต
ไม่ค่อยอยู่กับปัจจุบันจึงพลาดได้ง่าย
20%
Concious
จิตสานึกเป็น
สติผู้ขับรถยนต์
80%
Unconcious
จิตนอกสานึก
เป็นทักษะการขับรถ
จิต
จิตเป็นเครื่องจักรแห่งกรรม
Universe
สมอง
เป็นที่เก็บข้อมูล
Endocrine Glands
ระบบต่อมไร้ท่อ
กาย
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#0.3
จิตปัจจุบันคุ้นเคยกับบางเรื่อง เพราะแม้สมองถูทาลายไปแล้วจึงจารายละเอียดไม่ได้
แต่ความรู้สึกต่อเรื่องต่างๆซึงเป็นนาม ยังคงอยู่กับใจปัจจุบันซึ่งเป็นนามที่ไร้กาลเวลา
จิตนอกสานึกเป็นเภสัชกรประจาตัวผู้สั่งจ่ายยาผ่านผู้ช่วยคือระบบต่อมไร้ท่อ
จิตนอกสานึก
*ผู้ดึงดูดสิ่งที่เชื่อเท่านั้น
*ผู้ช่วยในนาทีวิกฤติ
จาเป็นจะต้องเตรียมจิตปัจจุบัน
เพื่อให้จิตนอกสานึก ผุดขึ้นเป็นจิต
สุดท้าย
จิตนอกสานึกในฐานะเภสัชกรประจาตัวจะสั่ง
จ่ายยาผ่านระบบต่อมไร้ท่อภายในกายเพื่อไป
ควบคุมการทางานของระบบต่างๆในกาย
โดยต่อมไร้ท่อทาหน้าที่ขับฮอร์โมนเข้าสู่
กระแสโรหิตตามที่จิตนอกสานึกสั่ง
ให้ควบคุมการทางานต่างๆของร่างกาย
คนเราประกอบด้วยกายและจิต โดยกาย
ประกอบด้วยอวัยวะภายนอกและอวัยวะภายใน
ในอวัยวะภายในกายคนเรา นอกจากมีสมองซึ่ง
เป็นเครื่องมือที่ใจใช้เก็บข้อมูลแล้ว ยังมีต่อมไร้
ท่อซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใจใช้ให้ขับฮอร์โมนเข้าสู่
กระแสโรหิต คล้ายกับการฉีดยาในรูปแบบของ
ฮอร์โมนเข้าสู่กระแสโรหิตเพื่อฮอร์โมนมีอิทธิพล
อย่างมากในการควบคุมการทางานต่างๆของ
ร่างกาย เช่น ควบคุมการย่อยอาหาร ควบคุมการ
ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ฯลฯ ใน
บางครั้งต่อมไร้ท่อหลั่งสารสุข บางครั้งหลังสาร
ทุกข์ แล้วแต่จิตนอกสานึกทางานอย่างไร อันเป็น
ผลจากสิ่งที่จิตสานึกเลือกให้จิตนอกสานึกปฏิบัติ
อย่างไร เช่น ในเวลาที่เราคิดบวก ในเวลาที่เรา
คิดลบ รวมทั้งในนาทีวิกฤต
จิตนอกสานึกทางานไม่เคยหยุด เช่น การเปิดรับข้อมูลตลอดเวลาและรับได้ไม่มีขีดจากัด
ทั้งรูปแบบและขนาด สามารถวิเคราะห์ข้อมูลรวมทั้งสังเคราะห์ข้อมูลโดยเราไม่รู้ตัว
เพราะจะส่งเฉพาะคาตอบให้จิตสานึก “คิดออก”(ซึ่งเราจะต้องรีบจดไว้ก่อนที่จะลืม)
หรือส่ง Trend ให้จิตสานึก “เกิดลางสังหรณ์”ซึ่งอาจเกิดขึ้นจริงหรือไม่จริงก็ได้
เมื่อตกใจสุดขีดจิตนอกสานึกจะเข้ามา
ทางานแทนจิตสานึก ทาให้เราสามารถ
ทาได้ในสิ่งที่ในภาวะปกติเราทาไม่ได้
เช่น ขับรถยนต์หรือแบกตู้เย็นได้
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#0.4
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#1.0
มนุษย์สังคมทุกคนล้วนดาเนินชีวิต
เพื่อความอยู่รอดโดยถูกโซ่ตรวนแห่งเวลา
และภาระหน้าที่พันธนาการไว้
เราทุกคนล้วนติดกับดักความคิดซึ่ง
เกิดจาก “จุดบอด”คือความทรงจาใน
อดีตที่เป็น EGO เช่น ลักษณะสังคม
วัฒนธรรมเชื่อผู้ใหญ่และอื่นๆทาให้ไม่
สนใจพัฒนาตัวเองด้วยตัวเอง จึงขาด
ความมั่นใจในตัวเองจนไม่เป็นตัวของ
ตัวเอง ประกอบกับทุกคนล้วนมีความ
คาดหวังที่จะต้องมีชีวิตรอดในอนาคต
ด้วยสองสิ่งดังกล่าวได้จากัดเราไว้ให้
ต้องรับรู้และแสวงหาสรรพสิ่งซึ่งมีตนเอง
เป็นศูนย์กลางและเต็มไปด้วยความ
ต้องการสนองตอบด้านความสุข
ความสาเร็จ ความพึงพอใจ และความ
คาดหวังจากบุคคลอื่นๆ
เพราะความบังเอิญไม่มีอยู่จริง ตัวเราเกิดมาก็เพื่อจะเป็น “อะไรบางอย่าง”ที่เราอยากฝากไว้ให้รุ่นหลังๆสามารถนาไปต่อยอดใช้ได้เลย
โดยระหว่างที่ทา“อะไรบางอย่าง”ตัวเราจะรู้สึกดี คือเกิดอารมณ์ปิติกับความก้าวหน้าในการประกอบนวัตกรรม และการมุ่งมั่นทางานพิเศษ
นี้ให้เสร็จก่อนที่จะหมดลมหายใจ
“ธรรม”นั้นเป็น “ความจริง”ซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว พระพุทธเจ้าเพียงเป็นผู้ค้นพบ
การที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ “ธรรม” นั้นเป็นความจริงที่รู้ได้เฉพาะตัวเพราะความ
จริงเกิดจากการมีส่วนร่วมซึ่งพระองค์ได้ปฏิบัติสะสมความรู้ที่ลึกซึ้งไว้ที่สมอง
จนถึงพร้อมนาสู่การบรรลุ “ธรรม” เปลี่ยนจากคนธรรมดาเป็น “พุทธะ”
ประมาณว่ารู้แจ้งโลกคือรู้ว่าองค์ประกอบของความจริงต่างๆประกอบด้วย
อะไรบ้างแต่ไม่สามารถนาเอา“ธรรม”ไปให้ใครโดยตรงได้ เพราะเป็นธรรมที่ผู้รู้
จะต้องรู้สึกเอง คือมีส่วนร่วมเอง เช่น การมองคนทั่วไปมีผู้ชาย ผู้หญิงเราก็รู้จัก
แต่ความรู้สึกก็ไม่เหมือนมองพ่อหรือแม่เรา การบรรลุ “ธรรม”ก็เช่นกัน พระ
พุทธองค์จึงเพียงให้แนวทาง ไปปฏิบัติเอาเอง เพื่อรู้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องเชื่อใคร
แม้แต่องค์พระพุทธเจ้าเอง แต่ให้เชื่อเพราะรู้สึกด้วยตัวเอง ดังนั้นในการหา
ความหมายของชีวิตจึงไม่มีสูตรสาเร็จเดียว กล่องมหาสมบัติมีอยู่มากมายเราทุก
คนล้วนถือกุญแจคนละดอกซึ่งสามารถไขได้เฉพาะกล่องมหาสมบัติที่เป็นของ
เราเท่านั้นเพราะความหมายของชีวิตนั้นจะแตกแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#1.1
หลวงพ่อชาสอนว่า คนเรานั้น ต้องประกอบด้วยกายและจิตรวมกัน
แต่ส่วนสาคัญอยู่ที่จิต เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาสู่ชีวิตผ่านตา หู
จมูก ลิ้น กายนั้นเอามารวมให้ใจทางานคนเดียว แต่จิตเราไม่สะอาด
เป็นจิตสกปรกไม่ใช่จิตเดิม จาเป็นจะต้องฝึกจิตเพื่อหัดสิ่งที่เรา
ต้องการจะเป็น ขุดสิ่งที่เราไม่ต้องการจะเป็นออก รวมทั้งกาจัดสิ่งที่
เป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้เราก้าวหน้าในการประกอบนวัตกรรมที่เรา
มุ่งมั่นทาเพื่อฝากไว้เป็นผลงานพิเศษให้คนรุ่นหลังได้ระลึกถึง
หลวงพ่อชาสอนว่า เรื่องการดูแลกายใจว่า การปรับสมดุลกายเพื่อให้
ทางานได้เต็มประสิทธิภาพนั้น ให้กินน้อย นอนน้อย เพราะถ้ากินเกิน
พอดีจะอึดอัด การนอนเกินก็จะมึนหัว จาเป็นจะต้องหาจุดกินและ
นอนแต่พอดีซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน และในเรื่องการตื่นนอนนั้นเมื่อ
รู้สึกตัวให้ลุกขึ้นเลย เพราะเป็นการให้จิตสานึกเริ่มทางานอย่างเต็มที่
ถ้าไม่ลุกขึ้นมา แต่นอนต่อจะทาให้เรานอนเกิน
ความจริงสมมติของ “ตัวตนปรุงแต่ง”เกิดจากการมีส่วนร่วมของจิตนอกสานึกที่หยิบเอาข้อมูลรูปแบบ(FORM)ในอดีตซึ่ง
เก็บไว้ในสมองโดยเลือกเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรากาลังพิจารณา เพื่อเป็นข้อมูลนาเข้ามาวิเคราะห์พร้อมปรุงแต่งเป็น
ตัวตนสมมติเพื่อให้ความหมายพร้อมคาแนะนาในการตอบสนองต่อสิ่งที่เรากาลังพิจารณา ด้วยรูปแบบที่เก็บในสมองแต่
ละคนนั้นแตกต่างกันจึงทาให้แต่ละคนให้ความหมายแก่สิ่งเดียวกันที่กาลังพิจารณาแตกต่างกันไป เช่น คาว่า “ไข่” คนใต้
จะเข้าใจว่าเป็นส่วนนั้นของผู้ชาย แต่คนอื่นๆไม่เข้าใจอย่างนั้น เพราะเป็นการนารูปแบบที่แต่ละคนมีแตกต่างกันเข้าไปมี
ส่วนร่วมกาหนดเป็นความจริงของสิ่งต่างๆ ความจริงเดี่ยวๆนั้นไม่มี ซึ่งข้อมูลรูปแบบซึ่งเก็บไว้ที่สมองนี้มีพัฒนาการโดย
ขยายขึ้นได้ดีในช่วงเวลาจากตอนเป็นเด็กถึงตอนเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นช่วงเวลาที่สมองพัฒนาได้ดีนั้นจึงสาคัญอย่างยิ่ง
ความจริงสมมติของมนุษย์สังคม
จิตนอกสานึกแบ่งเป็น 3 ส่วน
1.ส่วนของจิตที่พัฒนาผ่านมาตามธรรมชาติตั้ง
แต่ดึกดาบรรมาจนถึงรุ่นพ่อแม่โดยการถอดรหัสและ
ขึ้นรูปในช่วงที่อยู่ในท้องแม่ 9 เดือนส่งผ่านจิตและ
DNA มาถึงรุ่นลูก
2. ส่วนของจิตเราเริ่มช่วงเป็นทารกสะสม EGO..0123
จนเป็นหนุ่มสาวหัวขยายขึ้นเป็น 2 เท่า โดยเป็นการ
เก็บรูปแบบ(FORM)ทั้งที่เป็นเชิงบวก(วิชชา) และหรือ
เชิงลบ(อวิชชา)เอาไว้ ที่สมองซึ่งเป็นข้อมูลอดีต
3. ส่วนของจิตที่ถูกสอนโดยจิตสานึกทั้งที่เป็นเชิง
บวก(วิชชา) และหรือเชิงลบ(อวิชชา)ที่จิตนอก
สานึกเก็บเอาไว้ที่สมอง
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#1.2
ตา หู จมูก ลิ้น กาย
Open to nature
Vibration
Open to Universe
(Law of Attraction:กฎการดึงดูด)
EGO-3
20% Concious
EGO-3: ประสบการณ์แต่ละสังคมเป็น
กรอบกีดกั้นความคิด ความรู้สึกบางอย่าง
EGO-2: ตรรกะวิธีคิดของคนในวัฒนธรรมต่างๆ
รวมถึงเรื่อง พ่อแม่รังแกฉัน และแผลในใจ
EGO-1: แต่ละภาษาอธิบายได้เพียงความจริงสมมุติ
และให้ความเข้าใจที่ละเอียดอ่อนไม่พอและแตกต่างกัน
จิตนอกสานึก
เครื่องจักรแห่งกรรม
ที่ทางานตลอดเวลาประมวล
ข้อมูลทุกสิ่งที่เก็บไว้อย่างไม่
จากัดได้ในพริบตา
จิตสานึกเครื่องตีความ
และกรองข้อมูลสร้าง
เป็นหนึ่งความคิดEGO-0: เป็นผลมาจากการถ่ายทอด
ของพ่อแม่กาหนดมาให้ลูก
80%
Unconcious
คิด
ดี
ทาดี
EGO : มโนภาพ : ความจริงสมมุติที่จิตสานึกสร้างขึ้น
โดยรับรูปแบบจากจิตนอกสานึกมาประกอบ
ความจริงเกิดจากการมีส่วนร่วม
ความจริงเดี่ยวๆนั้นไม่มี
ความจริงสมมติของมนุษย์สังคม ตัวเรานั้น ต้องประกอบด้วยกายและจิตรวมกัน
*เพราะกับดักความคิดเป็นกับดักเวลาทาให้ใจเราติดอยู่ในโลกสมมติคือย้อนไปอยู่กับข้อมูลอดีตและเลยไปที่ข้อมูลอนาคตแทนที่จะอยู่
กับโลกที่แท้จริงของข้อมูลที่เป็นจริงในปัจจุบัน หลวงพ่อชาสอนว่า เพราะสมมติบังวิมุติคือบังโลกที่แท้จริงไว้ เช่นเดียวกับปลาที่อยู่ในน้า
แต่มองไม่เห็นน้าก็ได้ คนที่ถูกครอบงาด้วยความคิดจึงมองไม่เห็นวิมุติคือความจริงเพราะสมมติบังความจริงอยู่ เหมือนหลังมือบังหน้า
มืออยู่ถ้าเราหงายมือขึ้น หลังมือก็หายไปเห็นแต่หน้ามือ ซึ่งจริงๆแล้วหลังมือไม่ได้หายไปไหน คือมันอยู่ข้างล่างเท่านั้น
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#1.3
 มนุษย์สังคมทุกคนได้สร้าง “ตัวตนปรุงแต่ง”เอาไว้เป็นโลกของตนซ้อนดาวเคราะห์โลกที่ตนเองดารงอยู่ และตัดขาดตนเองออกไป
จากระบบเดียวกันกับโลก เหตุเพราะมนุษย์สังคมทุกคนล้วนดาเนินชีวิตเพื่อความอยู่รอดโดยถูกโซ่ตรวนแห่งเวลาและภาระหน้าที่
พันธนาการไว้ เราทุกคนล้วนติดกับดักความคิดซึ่งเกิดจากความทรงจาในอดีตที่เป็น EGO0123 และความคาดหวังที่จะต้องมีชีวิต
รอดในอนาคตจากัดไว้ให้ต้องรับรู้และแสวงหาสรรพสิ่งซึ่งมีตนเองเป็นศูนย์กลางและเต็มไปด้วยความต้องการสนองตอบด้าน
ความสุข ความสาเร็จ ความพึงพอใจ และความคาดหวังจากบุคคลอื่นๆ มากกว่าการแสวงหา “ตัวตนแท้”หรือความรู้แจ้งจากสัจ
ธรรมที่เป็นความจริงแท้ของตนเองกับทุกสรรพสิ่งบนโลกและจักรวาลอันเต็มไปด้วย กระบวนการเกิดใหม่ กระบวนการเปลี่ยนแปลง
และกระบวนการดารงอยู่
 มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะใส่ใจรับฟังความคิดความต้องการของตน และมีความคิดกลัวจึงสนใจความอยู่รอดของตนมากกว่าสังคมหรือ
ความซาบซึ้งใจในความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากกว่าหลักปรัชญาหรือความเชื่อในทางศาสนาเพราะมักจะคิดว่าเป็น
เรื่องของจินตนาการ ไม่อาจหาข้อสรุปที่ชัดเจนทางวิทยาศาสตร์ได้ รวมถึงมักจะไม่สนใจความสัมพันธ์ของตนเองกับจักรวาลซึ่งเป็น
ศาสตร์ด้านอภิปรัชญาหรือเมตาฟิสิกส์ที่เป็นสัจธรรมเหนือมิติของวิทยาศาสตร์โลก
 ในความเป็นจริงทุกคนกาลังท่องไปกับโลกใบใหญ่อยู่ในสนามพลังงานจักรวาล ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณทุกคนต่างถูกเชื่อมโยงไว้
กับโลกและจักรวาลอย่างแยกกันไม่ได้
 เพราะความจริงเกิดจากการมีส่วนร่วม ความจริงเดี่ยวๆนั้นไม่มี ความจริงของมนุษย์สังคมก็เช่นกัน เพราะทุกสรรพสิ่งล้วนเป็น
พลังงานและเป็นพลวัตรที่ติดต่อกันด้วยความว่างที่ทาให้ทุกสิ่งเชื่อมโยงถึงกันหมด คล้ายกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน การ
ติดต่อกันด้วยความว่างทาให้เกิดรูปแบบ (Form) แบบต่างๆ นาสู่การเป็นสิ่งต่างๆ ที่มีองค์ประกอบของความจริงแบบต่างๆ
*เกณฑ์วัดระดับจิตใจว่าเรารู้เท่าทันจิตใจตัวเองจนตื่นขึ้นเห็นโลกที่แท้จริงเพียงใดนั้นไม่ใช่วัดว่าเรานั่งหลับตาได้นานหรือเห็นอะไร แต่วัดที่วิธีที่เราจัดการกับ
สถานการณ์ความกลัวเมื่อเกิดผิดพลาดหรือต้องเจอกับคนหรือสถานการณ์ที่ยากจะรับมือ เช่น งานในความรับผิดชอบกาลังจะตก PA เนื่องจากผู้รับจ้างส่งงาน
ไม่ตรงตาม TOR วิธีที่เราจัดการกับสถานการณ์ความกลัว เมื่อเกิดผิดพลาดขึ้นกับว่าเรา “อยู่ใน”หรือ “อยู่นอก”กับดักความคิด
*ถ้าเราติดอยู่ในกับดักความคิดเราจะกลัวเพราะไม่อยากให้ตัวตนสมมติตก PA และคาดหวังจะคงความสัมพันธ์ที่ดีตลอดมากับผู้รับจ้างไว้ กับดักความคิดนี้
อาจเรียกชื่อว่า "กับดัก PA"โดยมันจะแนะนาให้เราทาเช่นเดียวกับเวลาที่มีการตรวจ 5ส คือ ซุกซ่อนข้อบกพร่องทุกอย่างรวมทั้งทาผักชีโรยหน้าเพื่อผ่านการตรวจ
หรือพางานผ่าน PA เพื่อจบปัญหาที่จะตามมาถ้าตก PA
*ในกรณีที่เราออกจากกับดักความคิดได้แล้วใจเราจะมีอิสระไม่ถูกครอบงาด้วยความคิดและเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงจะตก PA หลวงพ่อชา บอกว่าเป็น
เวลาที่ใจเรายิ่งจะรวมพลังมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อวิเคราะห์ความอยากผ่าน PA ของเราให้เกิดปัญญาคิดออก เช่น ว่า Key Success Factors มี 3 ขั้นตอน
ตามลาดับ ดังนี้
-1-ยอมรับความจริงว่าการทางานจะต้องมีธรรมาภิาลที่ต้องปฏิบัติตามรายละเอียดในสัญญาจ้างโดยไม่ยอมให้เรื่องความคุ้นเคยกันหรือเรื่องอื่นๆมาบิดเบือนทา
ให้งานไม่เป็นไปตาม TOR และเมื่อเกิดกรณีการส่งมอบไม่ทันกาหนดก็แค่"ยอมรับ"ปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับตาม TOR เพราะถ้าไม่ปรับอาจนอนไม่หลับ
เพราะกลัวถูกตรวจสอบย้อนหลัง
-2-ถ้าไม่ทาข้อ -1- ก็ต้อง"แก้ไข"โดยควบคุมให้ผู้รับจ้างปฏิบัติตามเงื่อนไขใน TOR ให้ครบถ้วนในทุกๆขั้นตอนเพื่อให้กรรมการตรวจรับสามารถตรวจรับงานได้
โดยไม่ปรับเพราะถือว่าผู้รับจ้างส่งงานทันแต่ผู้รับงานขอปรับปรุงงานให้เป็นตาม TOR ทาให้ส่งไม่ทันซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันที่งานช้า
-3-ถ้าไม่ทาข้อ -2-คือเสี่ยงเกินไปที่จะแก้ปัญหาแบบนั้น เราควรดึงตัวเองออกจากงานที่เราไม่ชอบเพราะถ้าเราไม่ออกจากจุดนั้นจะเกิดสภาวะแย้งขึ้นในจิตใจที่
เราต้องอยู่กับโลกที่แท้จริงคือความจริงในปัจจุบันที่เรายอมรับไม่ได้ แก้ไขปัญหาก็ไม่ได้ ถ้าเราไม่ออกจากสภาวะนั้นใจเราก็จะจมอยู่ในกองทุกข์ที่จะสร้างพลังลบ
ให้กับเรา เราอาจนอนไม่หลับเพราะจิตใจเกิดภาวะแย้งที่มองปัจจุบันว่าเป็นสิ่งไม่ดีนาสู่การสะสมความเครียดก่อให้เกิดโรคภัยต่างๆ เพราะจิตใจขาดความสมดุล
จนสร้างคลื่นรบกวนจิตนอกสานึกซึ่งดูแล 90 % ของการดาเนินชีวิตของเราทาให้จิตนอกสานึกทางานไม่เต็มประสิทธิภาพไปจนถึงทางานผิดพลาดได้ ดังนั้น การ
ออกจากปัญหา เช่น การย้ายงาน การย้ายไปหน่วยงานอื่น รวมทั้งการออกจากงานแบบ Early Retirement จึงเป็นทางออกจากกองทุกข์
*ไม่ใช่ทุกคนที่จะออกจากกับดักของเวลาจนเกิดปัญญาเห็นโลกที่แท้จริงได้หลวงพ่อชาบอกว่า คนที่จะทาได้นั้นต้องสะสม Key Success Factors มี 3 ขั้นตอน
ตามลาดับคือมี ศีลที่สมบูรณ์ แล้วจึงมี สมาธิที่ถึงพร้อม จึงจะเกิดปัญญาเห็นและยอมรับความจริง เป็นการสะสมตามลาดับ คล้ายกรณีเอาไม้ไผ่หรือไม้ลา
ปอสองซี่มาถูกันซึ่งต้องถูให้ต่อเนื่องและนานจนความร้อนสะสมขึ้นถึงจุดติดไฟจึงจะเกิดเป็นไฟขึ้นมา คือมีไฟอยู่ในไม้สองซี่แต่ไม่ใช่ทุกคนทาได้ เช่น คนทาผิดศีล
ไปขโมยของเขายังไงก็ต้องคิดกลัวในอนาคตว่าจะถูกจับจึงไม่สามารถมีสมาธิที่จะมีชีวิตจริงคือเห็นปัจจุบันที่ไร้กาลเวลาซึ่งสามารถพาเราไปไกลกว่าขอบเขตอัน
จากัดของกับดักความคิด ครับ P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#1.4
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#1.5
เราทุกคนได้รับเวลาทางกายโดยเท่าเทียม
กันทุกคน จะต่างกันก็ที่การพัฒนาศักยภาพ
จิตใจให้เป็น “ธรรม”ให้จิตไม่ส่งออกนอกกาย
ไปอยู่กับสังคมสิ่งแวดล้อม ทาให้จิตมีสมาธิ
ตั้งมั่นอยู่ในบ้านคืออยู่ในกายตัวเองและ
สามารถบริหารการใช้พลังดวงจิตของแต่ละ
คนได้ดีต่างกันตามขีดความเป็นตัวของตัวเอง
เพราะความจริงแท้ของสรรพสิ่งเกิดจากการ
มีส่วนร่วมของสิ่งต่างๆ ความจริงเดี่ยวๆนั้นจึง
ไม่มี ในเมื่อทุกคนเกิดมา ก็ไม่ได้เอาอะไรมา
ด้วย และตอนไปก็ไม่ได้เอาอะไร เป็นแต่เพียง
“นาม”ที่จาก “รูป”กายไป ถ้าเข้าใจโลก
เข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง เราจะมีความรัก
ให้กับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว เพราะได้
ตระหนักแล้วว่าตัวเองและสรรพสิ่งรอบกาย
ล้วนเป็ นส่วนหนึ่งของจักรวาลซึ่งต้องมี
ความสัมพันธ์กันประหนึ่งเป็ นบุคคลใน
ครอบครัวเดียวกัน
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#2.0
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#2.1
20%
Concious
จิตสานึกเป็น
สติผู้ขับรถยนต์
80%
Unconcious
จิตนอกสานึก
เป็นทักษะการขับรถ
จิต
กาย
จิตเป็นเครื่องจักรแห่งกรรม
สมอง
เป็นรถยนต์ -เป็นที่เก็บข้อมูล
Universe
แม้ว่าเวลาทางกายจะยืดหยุ่นได้ตามทฤษฏีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์
จิตที่ฝึกดีแล้วเป็นจิตสงบอยู่ในบ้าน มีพลังการตอบสนองที่ฉับไวต่อ Sensor รอบกายเพราะมีสมาธิแรงกล้าไม่เสียพลังเรื่องความคิดรวมทั้งไม่ถูกความคิด
รบกวนจึงเห็นปัจจุบันอย่างชัดเจนว่ามีธรรมชาติรอบตัวอะไรเกิดขึ้นบ้าง จึงตอบสนองได้ฉับไวเพราะได้ฝึกจิตในเรื่องต่างๆด้วยความมั่นใจจนเกิดทักษะ
กลายเป็นส่วนหนึ่งของจิตนอกสานึกซึ่งตอบสนองได้เร็วมีผลให้สามารถดาเนินการเรื่องต่างๆได้โดยเร็ว
จิตที่ฝึกดีแล้วนาความสงบสุขมาให้เพราะจิตใจมีลักษณะเข้มแข็ง มีความเชื่อในตัวเอง มีความมานะพยายามอย่างไม่ลดละเพื่อกระทาการที่ได้ตริตรอง
รอบคอบและตกลงใจแน่แล้วให้สาเร็จไป มีความสามารถที่จะบังคับตนเอง มีความไม่ประหม่าหวาดเสียวต่อหน้าบุคคลไม่ว่าประเภทใด มีอานาจที่จะบังคับ
ความคิด ความยินยอม และความวินิจฉัยของคนอื่น มีกาลังหัวใจและความมั่นคงสาหรับต่อสู้ความยากลาบากต่างๆซึ่งเป็นเรื่องของการบริหารจิตนอกสานึกให้
มีประสิทธผลสูงสุด(อยู่ใน Slide 6)
เวลาทางจิต
จิตที่ไม่สงบเพราะห่วงตัวตน
สมมติจะไม่รอดในอนาคต ทา
ให้เวลาทางจิตเคลื่อนตามจุด
มุ่งเน้น (Focus) ของความคิด
เมื่อแก่นกลางแห่งความ
คาดหวัง (อนาคต) กลายมา
เป็นแก่นกลางแห่งความใส่ใจ
(ปัจจุบัน) ก่อนจะกลายเป็น
แก่นกลางแห่งความทรงจา
(อดีต) ทาให้เวลาทางจิตไหล
ไปเรื่อยๆ
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#2.2
You are what you think.
แต่เราทุกคนก็ได้รับเวลาทางกายโดยเท่าเทียมกันทุกคน จะต่างกันที่การบริหารและการใช้พลังดวงจิตของแต่ละคน
หลวงพ่อชาสอนว่าการที่เราเกิดนั้นคือรับ
อาสามาตาย เป็นเวลาทางจิตที่ทุกคนกลัว
เพราะเมื่อเกิดมาแล้วมันไหลไปหาความ
ตายเสมอ แม้ว่าทุกคนตระหนักดีถึงเรื่องนี้
แต่เพราะยังไม่มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งพอจะเห็น
อนิจจัง เราจึงยังคงยึดเอาตัวตนสมมติว่า
เป็นของตน ทาให้เกิดภาวะแย้งในจิตใจคือ
กังวลและกลัวความจริงคืออนิจจังจะถึง
ตัวตนที่ยึดไว้ จึงทาให้เราส่งใจไปอนาคต
ตลอดเพื่อทราบข้อมูลและหาทางรอดของ
ชีวิตในอนาคต (Will to live)
เครื่องกาจัดกิเลส
ศีล-อย่างหยาบ
สมาธิ-อย่างกลาง
ปญญา-อย่างละเอียด
หลวงพ่อชาสอนว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสิ่งเดียวกัน เหมือนกัน
กับมะม่วง จากเมล็ดมะม่วงปลูกเป็นต้นมะม่วง เกิดมีผลมะม่วง
ดิบ สุดท้ายได้เป็นมะม่วงสุกจากมะม่วงผลเดิมนั่นแหละ
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#2.3
*ธรรมชาติลึกลับของจิตนั้นเพราะสมมติบังวิมุติอยู่
ธรรมชาติลึกลับของแสงก็เช่นกันคือเราไม่เคยเห็นแสง
เพราะเราเห็นเพียงวัตถุที่แสงตกกระทบ ถ้าไม่มีวัตถุเราก็
เห็นแต่ความมืด เหมือนเวลาที่เรามองไปบนท้องฟ้ าใน
เวลากลางคืน เราเห็นความมืด ดวงจันทร์และดวงดาวทั้งๆ
ที่จริงๆแล้วมีแสงเต็มท้องฟ้ า แต่เราเห็นเฉพาะวัตถุที่แสง
ตกกระทบ คือดวงจันทร์และดวงดาว
*การที่เรามองเห็นวัตถุที่แสงตกกระทบนั้น จิตนอกสานึก
ของเราได้ดึงเอาข้อมูลที่เราเคยเห็นและเก็บไว้ขึ้นมามีส่วน
ร่วมตีความว่าวัตถุที่เราเห็นนั้นคือดวงจันทร์ หมายความ
ว่าในการมองสิ่งต่างๆจิตนอกสานึกของเราได้ดึงเอาข้อมูล
ที่เราเคยเห็นและเก็บไว้ขึ้นมามีส่วนร่วมตีความความจริง
เสมอ แสดงว่าคนเรานั้นมีตาในหรือมีดวงตาแห่งจิตที่
ทางานอยู่ตลอดเวลา
*ตาในของเรานั้น สามารถมองเห็นได้แม้ดวงตาจริงๆยัง
มองไม่เห็นวัตถุ เช่น คนคุยกันเรื่องต่างๆ มีการอธิบาย
เพื่อให้เห็นภาพโดยใช้ตาในของแต่ละคน เรื่องนี้หลวงพ่อ
ชา ท่านเล่าเรื่องคนทาปากกาหาย จับดูที่กระเป๋ าเสื้อไม่
เห็น ตกใจ ไม่สบายใจ ต่อมานึกขึ้นมาได้ว่าตอนไปล้าง
หน้าได้ย้ายปากกาจากกระเป๋ าหน้ามาไว้ที่กระเป๋ าหลัง ยัง
ไม่ทันเห็นปากกาเลยแต่ดีใจแล้ว คือเห็นด้วยตาในแล้ว
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#2.4
พระ “ธรรม”ของพระพุทธเจ้าเป็นสัจธรรม
ความจริงแท้ที่ไม่ต้องสมมติเป็นคุณค่าแก่น
แท้ของชีวิต“มนุษย์สากล” มาจากศูนย์กลาง
ของชีวิตคือ ดวงจิตผู้รู้ที่อยู่ภายในตัวเรา เป็น
สิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตทุกส่วน
พระพุทธองค์ตรัสรู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
ล้วนเป็นธรรมชาติแห่งความเป็นธรรมดาไม่มี
ความแตกต่างกันระหว่างเม็ดทรายกับ
จักรวาล เพราะทั้งสองสิ่งต่างเกี่ยวข้องกับ
การเกิดดับของธาตุจานวนอนันต์ที่มีเป็น
ธรรมดาอยู่ “เช่นนั้นเอง”พระพุทธเจ้าท่าน
สอนความจริงว่าไม่มีตัวตนคือเป็น “อนัตตา”
ไม่มีใครเป็นเจ้าของเพราะเป็นของกลางของ
โลกแต่เราไม่เชื่อพระองค์
ถ้าเราเห็นอนิจจังคือได้พบพระพุทธเจ้า
เพราะจะพ้นจากความจริงสมมติ
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#3.0
หลวงพ่อชาสอนว่าเห็นอนิจจังคือเห็นพระพุทธเจ้า
คือเห็นทุกสิ่งเป็นอนิจจังเป็นของไม่แน่นอน ทาให้
เราถอนความยึดมั่นออกจากสิ่งต่างๆ ทาให้
อย่างเช่นมีแก้วใบหนึ่งยังไม่แตก เมื่อหยิบขึ้นมาดู
ท่านบอกว่าแก้วใบนี้มันแตก เมื่อถึงวันที่แก้วแตก
จริงเราก็สบายเพราะฉันเห็นมันแตกตั้งแต่ก่อนแตก
แล้ว เพราะมีดวงตาเห็นธรรมตามกฎไตรลักษณ์คือ
เห็นว่าสรรพสิ่งเป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ขังและเป็น
อนัตตา เมื่อเราเห็นอนิจจังชัด เราก็จะไม่ยึดมั่น
เพราะมีแต่ของไม่แน่นอน ในทางกลับกันเราจะยึด
มั่นว่าอนิจจังคือความไม่แน่นอนนั้นว่าถูกต้องแล้ว
เพราะทุกสิ่งมันจะต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา
ดังนั้น เห็นอนิจจังคือได้พบพระพุทธเจ้า เพราะจะ
พ้นจากความจริงสมมติ
หลวงพ่อชาบอกว่าอนิจจังนั้นดีแล้วถูกต้องแล้ว
เพราะอนิจจังทาให้คนเราจากเด็กต่อมาโตเป็นผู้ใหญ่
จากมะม่วงดิบทาให้เป็นมะม่วงสุก ถ้าไม่มีอนิจจังเรา
ก็จะไม่ได้กินมะม่วงสุกนะ หรือเราก็จะยังเป็นเด็ก
นอนอยู่ในกระด้ง เท่านั้นแหละ
หลวงพ่อชาท่านสอนให้คิด พูด ธรรม อย่างเป็น
“ธรรม” คืออย่างที่ไม่ทาเหตุให้ทุกข์เกิด เพราะ
คนเรานั้นประกอบด้วยกายและจิตคือประกอบด้วย
รูปและนาม ถ้ามีเฉพาะกายไร้จิตอันนั้นคือคนตาย
ไม่สามารถทาอะไรได้
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#3.1
(Time Change every things, Changing is Buddha)
* พระพุทธองค์ตรัสรู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นธรรมชาติ
แห่งความเป็นธรรมดาไม่มีความแตกต่างกันระหว่างเม็ด
ทรายกับจักรวาล เพราะทั้งสองสิ่งต่างเกี่ยวข้องกับการเกิด
ดับของธาตุจานวนอนันต์ที่มีเป็นธรรมดาอยู่ “เช่นนั้นเอง”
* พระพุทธเจ้าท่านสอนความจริงว่าไม่มีตัวตนคือเป็น
“อนัตตา” ไม่มีใครเป็นเจ้าของเพราะเป็นของกลางของโลก
แต่เราไม่เชื่อพระองค์ เรามายึดร่างกายนี้ว่าเป็นตัวตน เป็น
เราเป็นเขา พอร่างกายจะเปลี่ยนแปลงก็ไม่อยากให้มัน
เปลี่ยน ความเป็นจริงหลักธรรมะท่านสอนให้พวกเรา
มองเห็นอนัตตาคือเห็นตัวตนนี้ว่าไม่เป็นตัวไม่เป็นตน มัน
เป็นของว่างเพราะถ้าขยายให้เห็นในระดับอนุภาค อะตอม
จะเห็นว่า 30% เป็นส่วนของธาตุคู่ซึ่งมีคุณสมบัติต่างกันที่
กาลังเคลื่อนไหวดึงดูดเพื่อรักษาพันธะคู่นั้นและอีก 70%
เป็ นความว่างที่เชื่อมโยงกับความว่างของสิ่งอื่นๆซึ่ง
เชื่อมโยงถึงกันหมดคล้ายกับระบบอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมทั้ง
โลกเข้าหากันเกิดปฏิสัมพันธ์เป็นพลวัตรทาให้ทุกสิ่งเกิดการ
เปลี่ยนแปลงเป็น “อนิจจัง” ตลอดเวลา
จิตนอกสานึก
ไม่เคยหลับ
การเกิดดับ
ของธาตุจานวน
อนันต์ที่มีเป็นธรรมดาอยู่ “เช่นนั้นเอง”
ความจริงของมนุษย์สากล
พระ “ธรรม”ของพระพุทธเจ้าเป็น
ความจริงแท้ที่ไม่ต้องสมมติเป็ น
คุณค่าแก่นแท้ของชีวิต“มนุษย์
สากล” มาจากศูนย์กลางของชีวิต
คือ ดวงจิตผู้รู้ที่อยู่ภายในตัวเรา เป็น
สิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตทุกส่วน
ความว่างคือรูปแบบ และ รูปแบบก็คือความว่าง หลวงพ่อชาท่านให้คาถาว่า “ไม่แน่”
เข่น จาก รูปแบบ CO2 ไม่เป็นพิษ เปลี่ยนเป็น CO ซึ่งเป็นพิษ
(Time Change every things, Changing is Buddha)
ความจริงของมนุษย์สากล
เห็นอนิจจังคือได้พบพระพุทธเจ้า
เพราะจะพ้นจากความจริงสมมติ
20%
Concious
จิตสานึกเป็น
สติผู้ขับรถยนต์
80%
Unconcious
จิตนอกสานึก
เป็นทักษะการขับรถ
จิต
กาย
จิตเป็นเครื่องจักรแห่งกรรม
สมอง
เป็นรถยนต์ -เป็นที่เก็บข้อมูล
Universe
คนทั่วไปมองว่า ข้าว ปลา เป็นอาหาร แต่
มุมมองของมนุษย์สากลนั้นต่างออกไป
หลวงพ่อชาพิจารณาเห็นว่า ลม คือ
อาหารที่สาคัญที่สุด เพราะไม่ว่ากาลังทา
อะไรเราก็ต้องกินลมอยู่ตลอดเวลา ถ้า
ขาดลมหายใจ ไม่นานคนก็ตาย
ถ้าพิจารณากายเฉพาะส่วนของสมองซึ่ง
ต้องกินลมเช่นกัน ถ้าขาดลมไม่นานแม้
คนจะยังไม่ตาย แต่สมองบางส่วนถูก
ทาลาย มีผลให้จิตทางานไม่สมบูรณ์
เพราะข้อมูลที่รับมาจากสมองไม่สมบูรณ์
และเมื่อจิตทิ้งกายทิ้งสมองไปสู่บ้านใหม่
จึงทาให้ จิตในร่างใหม่จาเรื่องเก่าไม่ได้
ถ้าพิจารณากายทุกส่วนก็ล้วนกินลม
ด้วยกันทั้งนั้น สังเกตุคนเราจะกินลมมาก
ที่สุดในช่วงที่เรานอนเพราะไม่ต้องใช้พลัง
คิดอะไร ดังนั้นจะเรียกการนอนว่าเป็น
การชาร์ตแบตให้เต็มก็ได้
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#3.2
(Time Change every things, Changing is Buddha)
มุมมองของมนุษย์สากล
อาหารที่พิเศษสุดสาหรับร่างกายคือลม
พวกเซ็นมองว่า “ความว่าง”คือ “รูปแบบ” และรูปแบบก็คือความว่าง หลวงพ่อชาท่านสอนให้แยกกายทาอย่าง
มนุษย์สังคมที่ใช้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆได้เหมือนคนทั่วไป แต่ใจท่านคิดเป็น “ธรรม”แบบมนุษย์สากล เช่น แก้วใบ
หนึ่งยังไม่แตก หยิบขึ้นมาท่านบอกว่า “แก้วใบนี้มันแตกแล้ว” ต่อมาแก้วแตก สบายไม่เสียใจ เพราะท่านเห็นว่ามัน
แตกก่อนแตกแล้วคือท่านเห็นรูปแบบว่าคือความว่าง คือท่านลึกไปเห็นถึงสภาวะของสารที่ประกอบกันเป็นแก้วว่า
ประกอบด้วยความว่างรวมกับสิ่งที่กาลังเปลี่ยนแปลงเป็นอนัตตาของแก้วจนไม่เกิดอัตาว่ามีแก้วของฉัน
แก้วใบนี้แตกแล้ว
ในสมัยพุทธกาล ที่พระพุทธเจ้าประกาศสิ่งที่พระองค์รู้แจ้ง
ทาให้ “เกิด” มีผู้บรรลุตาม ได้เป็นผู้ตื่นจาก “โลกมายา” สู่“โลกที่
แท้จริง”, สามารถก้าวข้ามจาก “มนุษย์สังคม” สู่การเป็น“มนุษย์
สากล”ที่พ้นจากวัฏสงสาร การรู้แจ้งของพระพุทธเจ้าคือการที่
พระองค์ผ่านการปฏิบัติต่างๆจนตระหนักรู้ถึง “มายา” ที่ถูก
สร้างจากตัวตนที่ถูกฝึกจนเคยชินหรือ “อัตตา” (EGO: มโนภาพ
: ความจริงสมมุติที่จิตสานึกสร้างขึ้นจากรูปแบบที่จิตนอก
สานึกส่งมาให้) พระองค์หยั่งรู้ถึงใครที่พระองค์ถูกสอนว่าควร
จะเป็น ใครที่พระองค์ถูกฝึกและวางเงื่อนไขไว้จนเคยชินว่า
ควรจะเป็นซึ่งไร้แก่นสาร ไร้หลักการ พึ่งไม่ได้ พระองค์หยั่งรู้ว่า
ตัวตนที่ถูกฝึกขึ้นมาจนเคยชินนี้เป็นสิ่งหลอกลวงกีดกั้น
พระองค์จากความจริง จาก“โลกที่แท้จริง” ที่เป็น “คุณค่าแก่น
ของชีวิต” ของพระองค์เองและชีวิตโดยทั่วไป เพราะ“คุณค่า
แก่นของชีวิต” ทุกคน มาจากศูนย์กลางของชีวิต เป็นสิ่งที่
เกี่ยวข้องกับชีวิตทุกส่วนของเรา แตกต่างจาก “คุณค่าที่ถูก
สอน” หรือปลูกฝังมาซึ่งจะอาศัยอยู่ในความคิดของเราและอยู่
ได้แค่ในความคิดเท่านั้น ในขณะที่“คุณค่าแก่นของชีวิต” คือ
สิ่งที่เรารู้ด้วยตนเอง ว่าเป็นจริง เป็นสิ่งที่เราปฏิบัติจนรู้แล้วว่า
เป็นจริง เป็น “ธรรม” โดยไม่เหลือความสงสัยใดๆ แต่คุณ
ค่าที่ถูกสอนคือเป็นเพียงสิ่งที่เราถูกสอนมาว่าเป็นสิ่งที่เป็นจริง
คนเราติดสมมติเพราะวิธีปกติของการศึกษาสังคมใน
แต่ละปัจจัย เช่นนักเศรษฐศาสตร์จะคุ้นชินในระดับ
ปริญญาตรีว่ากาหนดให้ปัจจัยอื่นๆอยู่คงที่ แต่เมื่อ
เรียนสูงขึ้นไปก็จะปล่อยให้ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงได้เพื่อ
จะได้ข้อมูลที่นาไปใช้ได้กับโลกที่แท้จริง
เช่นเดียวกันกับมนุษย์สากลที่มองเห็นโลกที่แท้จริง
โดยไม่ต้องสมมติให้สิ่งอื่นๆที่ไม่ได้นาเข้ามาพิจารณา
ให้อยู่คงที่ ประมาณว่าดวงตาเห็น “ธรรม” เช่น
มองคนเห็นเป็นสภาวะธรรมของธาตุจานวนอนันต์ที่
กาลังเกิดดับไม่รู้สึกว่าเป็นผู้ชายผู้หญิง หลวงพ่อชา
ท่านให้โยมดูไม้ท่อนหนึ่งและบอกว่า ถ้าโยมต้องการ
ไม้ที่ยาวกว่านี้ ไม้ท่อนนี้มันก็สั้น แต่ถ้าโยมต้องการ
ไม้ที่สั้นกว่านี้ ไม้ท่อนนี้ก็ยาว ในความเป็นจริงไม้
ท่อนนี้ ก็เท่านี้ ไม่สั้น ไม่ยาว หมายความว่าท่านใช้
จิตเดิมมองเห็นปัจจุบันธรรมโดยไม่ไปคุยกับ
ความคิดที่พ่วงมาด้วยความคาดหวังของ “ตัวตน”
สมมติ เพราะเห็นอนัตตาเมื่อเกิดอารมณ์ขึ้นมาก็
หาตัวตนกระทบไม่ได้
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#3.3
(Time Change every things, Changing is Buddha)
จิตนอกสานึก
ไม่เคยหลับ
เห็นอนิจจังคือได้พบพระพุทธเจ้า
เพราะจะพ้นจากความจริงสมมติ
การเกิดดับ
ของธาตุจานวน
อนันต์ที่มีเป็นธรรมดาอยู่ “เช่นนั้นเอง”
ปัจจุบันธรรมคือการมีสติเห็นปัจจุบัน
ชัดเจนด้วยตาปัญญา คือตาปกติก็
ยังคงเห็นรูปคนชายหญิงปกติ แต่ตา
ปัญญาเห็นเป็นสภาวะธรรมเหมือนนึก
ออกว่าลืมของไว้ที่ไหน แม้ยังไม่เห็นด้วย
ตาแต่ก็โล่งใจแล้ว เพราะเห็นด้วยตาใน
จิตนอกสานึกนั้นไม่เคยหลับและมีสติปัญญาเก่งกว่าคนที่เก่ง
ที่สุดในโลกนี้ เพราะสามารถบริหารจัดการร่างกายทุกส่วน
ของเราโดยสามารถถ่ายทอดสติปัญญาให้ทุกๆเซลล์ใน
ร่างกายคนเรานั้นมีสติปัญญาและความเฉลียวฉลาดอยู่ใน
ตัวเอง ทาให้เซลล์ทุกๆเซลล์รู้ดีว่าทาอย่างไรถึงจะมีชีวิตรอด
และสุขภาพดี และต่างทาหน้าที่เพื่อเป้าหมายการมีสุขภาพดี
โดยมีจิตนอกสานึกคอยควบคุมการทาหน้าที่ของทุกเซลล์ใน
ร่างกายคนเราตลอดเวลา ไม่เคยหยุด จิตนอกสานึก มีพลัง
สั่นสะเทือนสามารถดึงดูด ความคิดเหมือนกันทั้งด้านบวก
และลบ นาสู่พลังดึงดูด เหตุการณ์ ตามที่เราคิดและเชื่อ
(Time Change every things, Changing is Buddha)
จิตนอกสานึก
ไม่เคยหลับ
เห็นอนิจจังคือได้พบพระพุทธเจ้า
เพราะจะพ้นจากความจริงสมมติ
การเกิดดับ
ของธาตุจานวน
อนันต์ที่มีเป็นธรรมดาอยู่ “เช่นนั้นเอง”
ปัจจุบันธรรมคือชีวิตจริงของ“ที่นี่และเดี๋ยวนี้”ส่วนความคิดเป็น
เพียงมโนสมมติที่ปรุงแต่งจากข้อมูลความทรงจาในอดีตและความ
คาดหวังในอนาคตรวมกัน หลวงพ่อชาบอกว่า สมมติบังวิมุติคือบัง
ความจริงของมนุษย์สากล โยมเคยเห็นแต่น้าไหล กับ น้านิ่ง น้าไหล
นิ่งโยมคิดไม่ถึง เพราะโลกที่แท้จริงกายตัวเราแม้นั่งอยู่นิ่งๆ แต่จริงๆ
แล้วเรากาลังเคลื่อนไปกับจักรวาล....
ความจริงของมนุษย์สากล
หลวงพ่อชาท่านให้คาถาว่า “ไม่แน่”
หลวงพ่อชา สอนให้ คิด พูด ทา อย่างเป็น “ธรรม” เพื่อจะไม่ละเมิด “ธรรม”ซึ่งเป็น“คุณค่าแก่นแท้ของชีวิต”
คือไม่ละเมิดสิ่งที่เราปฏิบัติจนรู้แล้วว่าเป็นจริง เป็น “ธรรม” เมื่อไม่เหลือความสงสัยใดๆแล้ว จึงจะเป็น
“การเกิดที่แท้จริง”ในทางพุทธศาสนา
หลวงพ่อชาท่านถามโยม เพื่อชี้ให้เห็นว่าเมื่อไม่มีหาง
จึงไม่เป็นทุกข์เพราะเจ็บหาง แต่ปมของปัญหาจริงๆ
ไม่ใช่หางแต่อยู่ที่การมี “อัตตา”คือตัวตนที่เป็น
เจ้าของหาง เพราะเรายังไม่เข้าใจ “ธรรม” ของ
พระพุทธเจ้าท่านสอนความจริงว่าไม่มีตัวตนคือเป็น
“อนัตตา” แต่เราไม่เชื่อพระองค์ เรามายึดร่างกาย
นี้ว่าเป็นตัวตน เป็นเราเป็นเขา พอร่างกายจะ
เปลี่ยนแปลงก็ไม่อยากให้มันเปลี่ยน ความเป็นจริง
หลักธรรมะท่านสอนให้พวกเรามองเห็นอนัตตาคือ
เห็นตัวตนนี้ว่าไม่เป็นตัวไม่เป็นตน มันเป็นของว่าง
เป็นความว่างที่เชื่องโยงกับความว่างของสิ่งอื่นๆซึ่ง
เชื่อมโยงถึงกันหมดคล้ายกับระบบอินเตอร์เน็ตที่
เชื่อมทั้งโลกเข้าหากันเกิดปฏิสัมพันธ์เป็นพลวัตรทา
ให้ทุกสิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจัง ตลอดเวลา
หลวงพ่อชา : โยมเคยปวดหัวไหม ?
โยม : เคยเจ้าค่ะ
หลวงพ่อชา : โยมเคยเจ็บฟันไหม ?
โยม : เคยเจ้าค่ะ
หลวงพ่อชา : โยมเคยเจ็บหางไหม ?
โยม : ????? ก็หางมันไม่มีนี่เจ้าค่ะ
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#3.4
*เกณฑ์ที่ใช้ตัดสินว่าเราละเมิดคุณค่าแก่นของชีวิต
เรา คือการที่เรามีความรู้สึกอะไรบางอย่างผุดขึ้นมา
ที่ผิวในใจ และต่อจากนั้นเราก็จะคิดถึงมันอยู่เรื่อยๆ
เพราะมันคือ “มโนธรรม” คือสติความรู้สึกผิดชอบชั่ว
ดี ที่กาลังพูดกับตัวเรา
การเปรียบเทียบเกิดจากการคุยกับความคิดซึ่งจะปรุงแต่งความทรงจารวมกับความ
คาดหวัง เช่น ดูไม้ท่อนนี้ ถ้าเราคาดหวังจะได้ไม้ที่สั้น ไม้นี้ก็ยาว แต่ถ้าเราคาดหวัง
จะได้ไม้ที่ยาว ไม้นี้ก็สั้น หลวงพ่อชาท่านไม่คุยกับความคิด เพราะจิตเดิมนั้นเรียบ
ง่าย เช่น ดูไม้ท่อนนี้ ก็เท่านี้ ไม่สั้น ไม่ยาว เพราะทั้งสั้นและยาวล้วนมีประโยชน์
ยกตัวอย่าง คนที่เป็นนายก มีทั้งคนสูง และคนเตี้ย คือเป็นเรื่องของการเลือกรับรู้
ให้มีความสุขหรือทุกข์ ซึ่งคนเราเป็นทุกข์เพราะรับรู้ไม่ตรงกับที่เป็น เช่น คนรวย
คนจนก็มีความสุขได้ อย่างเวลาเจ็บป่วยเราจะไม่สนใจเรื่องอยากรวยเลยเรา
อยากจะได้เพียงแค่หายป่วยเท่านั้นแหละ ความจริงเงินเป็นเพียงตัวแลกความสุข
ประเภทความพอใจซึ่งเป็นความสุขเพียงชั่วคราว การมีจานวนเงินมากหรือน้อยก็
หาความสุขแบบคนที่มีความสุขเพราะเป็นคนที่มีความหมายซึ่งเป็นความสุขแบบ
ยืนยาวได้ สิ่งสาคัญที่สุดในเรื่องเงินคือวิธีการได้เงินมานั้นต้องเป็นวิธีที่มีความสุข...
และมีเงินแล้วต้องไม่ลืมแลกความสุข
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#3.5
(Time Change every things, Changing is Buddha)
เพราะจิตเดิมนั้นเรียบง่าย
โลกที่แท้จริง
การเลือก
รับรู้
ให้มีความสุข
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#3.6
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#3.7
จิตนอกสานึกเป็นสัมผัสที่หกของมนุษย์ที่ทางาน
ตามความเชื่อ เป็นขุม”พลังงาน”มหาศาลที่ทางาน
ตลอดเวลาด้วยความเร็วมากยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์ จึง
สามารถควบคุม 90 % ของการดาเนินชีวิตเรา จิต
นอกสานึกจะเชื่อและทาตามที่จิตสานึกเชื่อจริงๆ
เพราะคนเราล้วนมีความหวาดกลัว ความเชื่อ ความ
คิดเห็นของตนเอง แต่จะเป็นกฎเกณฑ์ที่มีพลังเฉพาะ
สิ่งที่จิตนอกสานึกเชื่อเท่านั้น โดยจิตนอกสานึกจะไม่รู้
ว่าเป็นด้านบวกหรือด้านลบ ขอเพียงเชื่อก็จะทาตาม
ดังนั้นเราต้องใช้จิตสานึกให้ข้อเสนอแนะจิตนอก
สานึกเฉพาะสิ่งที่ดีงามที่จะหนุนเนื่องให้เราสาเร็จและ
เป็นด้านบวกเท่านั้นเพื่อสร้างความสาเร็จที่ยั่งยืน
ในโลกยุคดิจิตอลเช่นปั จจุบัน สรรพสิ่ง
เปลี่ยนแปลงเร็วมากทาให้กรอบความคิดของเราต้อง
เปลี่ยนแปลงให้ทันกาลเพราะต้นทุนที่แท้จริงของเรา
คือ “ความคิด”เช่นเดียวกันกับต้นทุนของประเทศ
เหตุเพราะต้นทุนด้านอื่น เช่น การเพราะปลูกที่
ผลผลิตเพิ่ม 3 เท่าแต่ทาให้เกิดรายได้เท่าเดิม ในขณะ
ที่ความคิด ยิ่งแผ่ขยายออกไป ยิ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#4.0
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59
Why not the best? draft 2.0-29-9-59

More Related Content

What's hot

2014-01-22 พุทธศาสนา 3.0 กับ CEO ทางธรรม v2
2014-01-22 พุทธศาสนา 3.0 กับ CEO ทางธรรม v22014-01-22 พุทธศาสนา 3.0 กับ CEO ทางธรรม v2
2014-01-22 พุทธศาสนา 3.0 กับ CEO ทางธรรม v2
Taweedham Dhamtawee
 
Luangpoo suwat
Luangpoo suwatLuangpoo suwat
Luangpoo suwat
MI
 
คำสอนหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
คำสอนหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนคำสอนหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
คำสอนหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
MI
 
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนาเป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
ppompuy pantham
 
การบูรณาการหลักการทางพระพุทธศาสนาในการทำงานจิตอาสา
การบูรณาการหลักการทางพระพุทธศาสนาในการทำงานจิตอาสาการบูรณาการหลักการทางพระพุทธศาสนาในการทำงานจิตอาสา
การบูรณาการหลักการทางพระพุทธศาสนาในการทำงานจิตอาสา
Padvee Academy
 
คำสอนหลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
คำสอนหลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโกคำสอนหลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
คำสอนหลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
MI
 
พระพุทธศาสนากับสังคมสงเคราะห์ ตอน พระพยอม พ่อพระของผู้ยากจน
พระพุทธศาสนากับสังคมสงเคราะห์ ตอน พระพยอม พ่อพระของผู้ยากจน พระพุทธศาสนากับสังคมสงเคราะห์ ตอน พระพยอม พ่อพระของผู้ยากจน
พระพุทธศาสนากับสังคมสงเคราะห์ ตอน พระพยอม พ่อพระของผู้ยากจน
Padvee Academy
 
Luangpoo lar
Luangpoo larLuangpoo lar
Luangpoo lar
MI
 
ธรรมะเสวนา หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ธรรมะเสวนา หลวงปู่เทสก์ เทสรังสีธรรมะเสวนา หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ธรรมะเสวนา หลวงปู่เทสก์ เทสรังสีTaweedham Dhamtawee
 
คำปฎิญาณพิธีจุดเทียนอุดมการณ์
คำปฎิญาณพิธีจุดเทียนอุดมการณ์คำปฎิญาณพิธีจุดเทียนอุดมการณ์
คำปฎิญาณพิธีจุดเทียนอุดมการณ์
niralai
 
จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒
จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒
จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒dentyomaraj
 
จิตที่พ้นจากทุกข์
จิตที่พ้นจากทุกข์จิตที่พ้นจากทุกข์
จิตที่พ้นจากทุกข์duangdee tung
 
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนาเป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
ศศิพร แซ่เฮ้ง
 
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนาเป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
ศศิพร แซ่เฮ้ง
 
คำนำทำ 3 ภาวนา
คำนำทำ 3 ภาวนาคำนำทำ 3 ภาวนา
คำนำทำ 3 ภาวนา
Songsarid Ruecha
 
กลอนครูและคำคม
กลอนครูและคำคมกลอนครูและคำคม
กลอนครูและคำคม
niralai
 
Script พม.ดร.สมชาย ฐฺานวฑฺโฒ blc dhamma
Script พม.ดร.สมชาย ฐฺานวฑฺโฒ blc dhammaScript พม.ดร.สมชาย ฐฺานวฑฺโฒ blc dhamma
Script พม.ดร.สมชาย ฐฺานวฑฺโฒ blc dhammablcdhamma
 
ครูมิใช่ช่างปั้นอันวิจิตร
ครูมิใช่ช่างปั้นอันวิจิตรครูมิใช่ช่างปั้นอันวิจิตร
ครูมิใช่ช่างปั้นอันวิจิตร
niralai
 
การบริหารจิตและเจริญปัญญา
การบริหารจิตและเจริญปัญญาการบริหารจิตและเจริญปัญญา
การบริหารจิตและเจริญปัญญาพัน พัน
 

What's hot (20)

2014-01-22 พุทธศาสนา 3.0 กับ CEO ทางธรรม v2
2014-01-22 พุทธศาสนา 3.0 กับ CEO ทางธรรม v22014-01-22 พุทธศาสนา 3.0 กับ CEO ทางธรรม v2
2014-01-22 พุทธศาสนา 3.0 กับ CEO ทางธรรม v2
 
Luangpoo suwat
Luangpoo suwatLuangpoo suwat
Luangpoo suwat
 
คำสอนหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
คำสอนหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนคำสอนหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
คำสอนหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
 
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนาเป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
 
การบูรณาการหลักการทางพระพุทธศาสนาในการทำงานจิตอาสา
การบูรณาการหลักการทางพระพุทธศาสนาในการทำงานจิตอาสาการบูรณาการหลักการทางพระพุทธศาสนาในการทำงานจิตอาสา
การบูรณาการหลักการทางพระพุทธศาสนาในการทำงานจิตอาสา
 
คำสอนหลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
คำสอนหลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโกคำสอนหลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
คำสอนหลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
 
พระพุทธศาสนากับสังคมสงเคราะห์ ตอน พระพยอม พ่อพระของผู้ยากจน
พระพุทธศาสนากับสังคมสงเคราะห์ ตอน พระพยอม พ่อพระของผู้ยากจน พระพุทธศาสนากับสังคมสงเคราะห์ ตอน พระพยอม พ่อพระของผู้ยากจน
พระพุทธศาสนากับสังคมสงเคราะห์ ตอน พระพยอม พ่อพระของผู้ยากจน
 
Luangpoo lar
Luangpoo larLuangpoo lar
Luangpoo lar
 
ธรรมะเสวนา หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ธรรมะเสวนา หลวงปู่เทสก์ เทสรังสีธรรมะเสวนา หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ธรรมะเสวนา หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
 
คำปฎิญาณพิธีจุดเทียนอุดมการณ์
คำปฎิญาณพิธีจุดเทียนอุดมการณ์คำปฎิญาณพิธีจุดเทียนอุดมการณ์
คำปฎิญาณพิธีจุดเทียนอุดมการณ์
 
จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒
จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒
จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒
 
มงคลชีวิต
มงคลชีวิตมงคลชีวิต
มงคลชีวิต
 
จิตที่พ้นจากทุกข์
จิตที่พ้นจากทุกข์จิตที่พ้นจากทุกข์
จิตที่พ้นจากทุกข์
 
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนาเป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
 
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนาเป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
เป้าหมายของชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
 
คำนำทำ 3 ภาวนา
คำนำทำ 3 ภาวนาคำนำทำ 3 ภาวนา
คำนำทำ 3 ภาวนา
 
กลอนครูและคำคม
กลอนครูและคำคมกลอนครูและคำคม
กลอนครูและคำคม
 
Script พม.ดร.สมชาย ฐฺานวฑฺโฒ blc dhamma
Script พม.ดร.สมชาย ฐฺานวฑฺโฒ blc dhammaScript พม.ดร.สมชาย ฐฺานวฑฺโฒ blc dhamma
Script พม.ดร.สมชาย ฐฺานวฑฺโฒ blc dhamma
 
ครูมิใช่ช่างปั้นอันวิจิตร
ครูมิใช่ช่างปั้นอันวิจิตรครูมิใช่ช่างปั้นอันวิจิตร
ครูมิใช่ช่างปั้นอันวิจิตร
 
การบริหารจิตและเจริญปัญญา
การบริหารจิตและเจริญปัญญาการบริหารจิตและเจริญปัญญา
การบริหารจิตและเจริญปัญญา
 

Viewers also liked

tracy alan chelette resume
tracy alan chelette resumetracy alan chelette resume
tracy alan chelette resume
Tracy Chelette
 
Project Portfolio
Project PortfolioProject Portfolio
Project Portfolio
Aavarn Surajballi
 
Redes sociales
Redes socialesRedes sociales
Redes sociales
kevin valderrama
 
robotica
roboticarobotica
TW's Resume 072516
TW's Resume 072516TW's Resume 072516
TW's Resume 072516
Tywiana "TW" Smallwood
 
งานคอม ไม่บอก-หมก
งานคอม ไม่บอก-หมกงานคอม ไม่บอก-หมก
งานคอม ไม่บอก-หมก
phatcharaphon srikaew
 
Company Profile-Illumine Energy
Company Profile-Illumine EnergyCompany Profile-Illumine Energy
Company Profile-Illumine Energy
Lukman kassim
 
中国制造网林汇
中国制造网林汇中国制造网林汇
中国制造网林汇
Pete wu
 
Presentación coeficientes Pearson y Spearman
Presentación coeficientes Pearson y Spearman Presentación coeficientes Pearson y Spearman
Presentación coeficientes Pearson y Spearman
carlosb26
 
Exposición de la rosa región este
Exposición de la rosa región esteExposición de la rosa región este
Exposición de la rosa región este
lopezdiego
 
Kommentar zum Immobilienaktienmarkt: Seitwärtsbewegung bei Immobilienaktien
Kommentar zum Immobilienaktienmarkt: Seitwärtsbewegung bei ImmobilienaktienKommentar zum Immobilienaktienmarkt: Seitwärtsbewegung bei Immobilienaktien
Kommentar zum Immobilienaktienmarkt: Seitwärtsbewegung bei Immobilienaktien
Ellwanger & Geiger Privatbankiers
 

Viewers also liked (11)

tracy alan chelette resume
tracy alan chelette resumetracy alan chelette resume
tracy alan chelette resume
 
Project Portfolio
Project PortfolioProject Portfolio
Project Portfolio
 
Redes sociales
Redes socialesRedes sociales
Redes sociales
 
robotica
roboticarobotica
robotica
 
TW's Resume 072516
TW's Resume 072516TW's Resume 072516
TW's Resume 072516
 
งานคอม ไม่บอก-หมก
งานคอม ไม่บอก-หมกงานคอม ไม่บอก-หมก
งานคอม ไม่บอก-หมก
 
Company Profile-Illumine Energy
Company Profile-Illumine EnergyCompany Profile-Illumine Energy
Company Profile-Illumine Energy
 
中国制造网林汇
中国制造网林汇中国制造网林汇
中国制造网林汇
 
Presentación coeficientes Pearson y Spearman
Presentación coeficientes Pearson y Spearman Presentación coeficientes Pearson y Spearman
Presentación coeficientes Pearson y Spearman
 
Exposición de la rosa región este
Exposición de la rosa región esteExposición de la rosa región este
Exposición de la rosa región este
 
Kommentar zum Immobilienaktienmarkt: Seitwärtsbewegung bei Immobilienaktien
Kommentar zum Immobilienaktienmarkt: Seitwärtsbewegung bei ImmobilienaktienKommentar zum Immobilienaktienmarkt: Seitwärtsbewegung bei Immobilienaktien
Kommentar zum Immobilienaktienmarkt: Seitwärtsbewegung bei Immobilienaktien
 

Similar to Why not the best? draft 2.0-29-9-59

พลังจากภายใน
พลังจากภายในพลังจากภายใน
พลังจากภายใน
Pattie Pattie
 
เล่มที่ 5
เล่มที่ 5เล่มที่ 5
เล่มที่ 5disk1412
 
กลุ่มน้องเต่าชิกูเมะ --มนุษยกับการแสวงหาความจริงและความหมายของชีวิต
กลุ่มน้องเต่าชิกูเมะ --มนุษยกับการแสวงหาความจริงและความหมายของชีวิตกลุ่มน้องเต่าชิกูเมะ --มนุษยกับการแสวงหาความจริงและความหมายของชีวิต
กลุ่มน้องเต่าชิกูเมะ --มนุษยกับการแสวงหาความจริงและความหมายของชีวิต
freelance
 
คำนำทำ1
คำนำทำ1คำนำทำ1
คำนำทำ1
Songsarid Ruecha
 
เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์
เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์
เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์Panda Jing
 
ศึกษาเปรียบเทียบหลักจริยศาสตร์ของโสคราตีสกับพุทธปรัชญาเถรวาท
ศึกษาเปรียบเทียบหลักจริยศาสตร์ของโสคราตีสกับพุทธปรัชญาเถรวาทศึกษาเปรียบเทียบหลักจริยศาสตร์ของโสคราตีสกับพุทธปรัชญาเถรวาท
ศึกษาเปรียบเทียบหลักจริยศาสตร์ของโสคราตีสกับพุทธปรัชญาเถรวาทpentanino
 
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสารหลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสารguestf16531
 
ไตรสิกขา
ไตรสิกขาไตรสิกขา
ไตรสิกขา
ศศิพร แซ่เฮ้ง
 
เครียดได้ก็หายได้
เครียดได้ก็หายได้เครียดได้ก็หายได้
เครียดได้ก็หายได้Phairot Odthon
 
สิ่งพิมพ์12
สิ่งพิมพ์12สิ่งพิมพ์12
สิ่งพิมพ์12PaChArIn27
 
Lunch talk - ธรรมะข้างสำรับ
Lunch talk - ธรรมะข้างสำรับLunch talk - ธรรมะข้างสำรับ
Lunch talk - ธรรมะข้างสำรับWatpadhammaratana Pittsburgh
 
วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร
วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจารวิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร
วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร
Padvee Academy
 
Makeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยาก
Makeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยากMakeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยาก
Makeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยากPhairot Odthon
 
คำอริยะถึงในหลวง
คำอริยะถึงในหลวงคำอริยะถึงในหลวง
คำอริยะถึงในหลวงSongsarid Ruecha
 
โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพโพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพTongsamut vorasan
 
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)   โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)   โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพTongsamut vorasan
 
คำนำทำ 2 (ตามดูรู้จิต)
คำนำทำ 2 (ตามดูรู้จิต)คำนำทำ 2 (ตามดูรู้จิต)
คำนำทำ 2 (ตามดูรู้จิต)
Songsarid Ruecha
 
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชนแนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชนTongsamut vorasan
 

Similar to Why not the best? draft 2.0-29-9-59 (20)

Dharma Framework For Geek
Dharma Framework For GeekDharma Framework For Geek
Dharma Framework For Geek
 
พลังจากภายใน
พลังจากภายในพลังจากภายใน
พลังจากภายใน
 
เล่มที่ 5
เล่มที่ 5เล่มที่ 5
เล่มที่ 5
 
กลุ่มน้องเต่าชิกูเมะ --มนุษยกับการแสวงหาความจริงและความหมายของชีวิต
กลุ่มน้องเต่าชิกูเมะ --มนุษยกับการแสวงหาความจริงและความหมายของชีวิตกลุ่มน้องเต่าชิกูเมะ --มนุษยกับการแสวงหาความจริงและความหมายของชีวิต
กลุ่มน้องเต่าชิกูเมะ --มนุษยกับการแสวงหาความจริงและความหมายของชีวิต
 
คำนำทำ1
คำนำทำ1คำนำทำ1
คำนำทำ1
 
เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์
เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์
เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์
 
ศึกษาเปรียบเทียบหลักจริยศาสตร์ของโสคราตีสกับพุทธปรัชญาเถรวาท
ศึกษาเปรียบเทียบหลักจริยศาสตร์ของโสคราตีสกับพุทธปรัชญาเถรวาทศึกษาเปรียบเทียบหลักจริยศาสตร์ของโสคราตีสกับพุทธปรัชญาเถรวาท
ศึกษาเปรียบเทียบหลักจริยศาสตร์ของโสคราตีสกับพุทธปรัชญาเถรวาท
 
Jitpontook
JitpontookJitpontook
Jitpontook
 
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสารหลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
 
ไตรสิกขา
ไตรสิกขาไตรสิกขา
ไตรสิกขา
 
เครียดได้ก็หายได้
เครียดได้ก็หายได้เครียดได้ก็หายได้
เครียดได้ก็หายได้
 
สิ่งพิมพ์12
สิ่งพิมพ์12สิ่งพิมพ์12
สิ่งพิมพ์12
 
Lunch talk - ธรรมะข้างสำรับ
Lunch talk - ธรรมะข้างสำรับLunch talk - ธรรมะข้างสำรับ
Lunch talk - ธรรมะข้างสำรับ
 
วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร
วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจารวิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร
วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร
 
Makeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยาก
Makeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยากMakeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยาก
Makeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยาก
 
คำอริยะถึงในหลวง
คำอริยะถึงในหลวงคำอริยะถึงในหลวง
คำอริยะถึงในหลวง
 
โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพโพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
 
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)   โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)   โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) โพชฌงค์ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ
 
คำนำทำ 2 (ตามดูรู้จิต)
คำนำทำ 2 (ตามดูรู้จิต)คำนำทำ 2 (ตามดูรู้จิต)
คำนำทำ 2 (ตามดูรู้จิต)
 
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชนแนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
แนวคิดเรื่องกรรมและความจริงสูงสุดของศาสนาเชน
 

Why not the best? draft 2.0-29-9-59

  • 1. P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/Front Cover : Why not the best? 20% จิตสานึกเป็น สติผู้ขี่จักรยาน จิตนอกสานึก เป็นทักษะ ขี่จักรยาน Draft 2.0คนที่ประสบความสาเร็จเป็นคนจานวนน้อยที่มี ปัญญาที่ลึกซึ้งจึงก้าวข้ามกับดักต่างๆ และมุ่งมั่นทาเฉพาะสิ่งที่ เป็นองค์ประกอบ ของความสาเร็จ My Good Will. จุดมุ่งหมายที่เขียน หนังสือเล่มนี้ เพื่อ ช่วยผู้อ่านสามารถ ห ล บ ห ลี ก กั บ ดัก ระหว่างทางเดินของ ชีวิตและแนะนาวิธีคิด ข อ ง ผู้ ที่ ป ร ะ ส บ ความสาเร็จซึ่งต่าง จากคนส่วนใหญ่ให้ ผู้อ่านใช้เป็นแนวทาง สู่ความสาเร็จ
  • 2. จิตนอกสานึกเป็นเภสัชกรประจาตัวผู้สั่งจ่ายยาผ่านผู้ช่วย คือระบบต่อมไร้ท่อ 20% Concious จิตสานึกเป็น สติผู้ขับรถยนต์ 80% Unconcious จิตนอกสานึก เป็นทักษะการขับรถ จิต จิตเป็นเครื่องจักรแห่งกรรม Universe สมอง เป็นที่เก็บข้อมูล Endocrine Glands ระบบต่อมไร้ท่อ กาย จิตนอกสานึกในฐานะเภสัชกรประจาตัวจะสั่ง จ่ายยาผ่านระบบต่อมไร้ท่อภายในกายเพื่อไป ควบคุมการทางานของระบบต่างๆในกาย โดยต่อมไร้ท่อทาหน้าที่ขับฮอร์โมนเข้าสู่ กระแสโรหิตตามที่จิตนอกสานึกสั่ง ให้ควบคุมการทางานต่างๆของร่างกาย จิตนอกสานึก *ผู้ดึงดูด สิ่งที่เชื่อเท่านั้น *ผู้ช่วย ในนาทีวิกฤติ สมองเป็นเพียงเครื่องมือของใจ จาเป็นจะต้องเตรียมจิตปัจจุบัน เพื่อให้จิตนอกสานึก ผุดขึ้นเป็นจิต สุดท้าย แม้ว่า YOU ARE WHAT YOU THINK แต่ผู้ประสบความสาเร็จนั้นคิดแบบใช้ใจนาไม่ได้ใช้เหตุผลนา จึงมีใจที่คิดบวกสามารถควบคุมการทางานของระบบต่อมไร้ ท่อให้ทาหน้าที่ขับฮอร์โมนที่ดีเข้าสู่กระแสโรหิตทาให้กายมี ประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อตกใจสุดขีดจิตนอกสานึกจะ เข้ามาทางานแทนจิตสานึก ทาให้ เราสามารถทาได้ในสิ่งที่ในภาวะ ปกติเราทาไม่ได้ เช่น ขับรถยนต์ หรือแบกตู้เย็นได้ P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/Cover Front-2 : Why not the best?
  • 3. --- To be ----Transform--------------------- As is --------------------- P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/Content:Why not the best? Draft 2.0
  • 4. บางคนคิดว่าถ้าเกิดทันยุคที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชน ชีพอยู่คงจะบรรลุธรรมเพราะได้ฟังธรรมจากพระองค์ ความจริงพระพุทธเจ้าที่เป็นรูปนั้น เดิมเป็นเพียงเจ้าชาย สิตถัตถะ ต่อเมื่อได้รับสิ่งที่เป็น“นามคือความรู้สัจธรรม” จึงบรรลุธรรมสาเร็จเป็นพระพุทธเจ้า เพราะนามที่เป็ น “ความรู้ ”มีพลังอานาจ เปลี่ยนแปลง ในสมัยพุทธกาลพระพุทธองค์เป็นผู้สอนทา ให้เกิดผู้บรรลุ “สัจธรรม”ตาม ได้เป็นพระอริยบุคคล ใน ปัจจุบันบางคนเสียดายว่าเกิดไม่ทันสมัยพุทธกาล ในความเป็นจริงสิ่งที่เป็น“นามคือความสัจรู้ธรรม” นั้นมีมาก่อนมีพระพุทธเจ้าและยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบันที่ มีสื่อ Digital เช่น CD เสียงหลวงพ่อชา สอนความรู้ ธรรมที่เมื่อฟังแล้วรู้สึกเหมือนหลวงพ่อชา อยู่ใกล้ๆ ทั้งๆที่ หลวงพ่อท่านมรณภาพไปนานแล้ว เรื่อง การถ่ายทอด “ความรู้สัจธรรม” Knowledge Management ซึ่งเป็นนามธรรมสู่จิตบุคคลทาให้จิตเป็นธรรมนั้น เทียบ กับเรื่องการลง Windows 10 แทน Windows เก่าซึ่ง ทาได้โดยง่ายภายใต้ข้อจากัดที่ว่าเครื่องตอมพิวเตอร์ ต้องมีคุณสมบัติเหมาะสม คนที่จะพัฒนาจิตให้เป็นธรรม ก็ต้องมีคุณสมบัติเหมาะสมเช่นกันP.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#0.01
  • 5. P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#0.02 หลวงพ่อชา ยกตัวอย่างต้นไม้ว่าประกอบด้วย 3 ส่วนรวมกันคือ กิ่งใบ ลาต้น และโคน แต่ความสาคัญ อยู่ที่โคน เพราะ กิ่งใบ และลาต้น ต้องอาศัยโคนใน การหาอาหาร ทานองเดียวกันคนเราประกอบด้วย กาย และจิต แต่ส่วนสาคัญนั้นอยู่ที่จิต เพราะจิตเป็น ผู้ควบคุมระบบต่อมไร้ท่อซึ่งควบคุมความเป็นไป ต่างๆของกายเรา ประกอบกับทั้งกิเลสและธรรม ต่าง เกิดขึ้นที่ใจ ดังนั้นการฝึกใจจึงมีความสาคญที่สุด หลวงพ่อชา ท่านมีวิธีสอนต่างจากหลวงพ่อ องค์ อื่นๆที่สอนโดยถ่ายทอดวิธีที่ท่านเองปฏิบัติแล้วได้ผล และให้ลูกศิษย์ทาตาม แต่หลวงพ่อชาท่านสอนเน้น แบบโค้ชนักกีฬา(Coaching)คือแก้ข้อบกพร่องให้ เป็นรายบุคคล โดยชี้ถูกชี้ผิด อะไรให้ทา อะไร ห้ามทา ซึ่งภาษาปัจจุบันเรียกว่าภาษา Digital คือมีแค่ 0 กับ 1 เท่านั้น ด้วยวิธีดิจิตอลจึงทาให้ท่านสามารถสอนลูก ศิษย์ชาวต่างประเทศจานวนมากโดยท่านไม่รู้ ภาษาต่างประเทศเลย ซึ่งท่านบอกว่าไม่จาเป็นต้องรู้ ภาษาควายก็สอนให้ควายไถนาได้
  • 6. คนฉลาดอย่างผมได้เรียนรู้ จาก ความผิดที่ติดกับดักต่างๆ คนฉลาดกว่ าอย่างคุณไม่ จาเป็นต้องติดกับดักเองเพราะคุณสามารถ เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของผม คนฉลาดที่สุดเรียนรู้ จาก ความสาเร็จของผู้ อื่น เหตุที่ผู้ ประสบ ความสาเร็จในชีวิตเป็ นคนจานวนน้อยที่ ทางานมุ่งเน้นเฉพาะงานสาคัญแบบทาน้อยได้ มาก (Less is More) และคิดสร้าง นวัตกรรมที่ชื่นชอบรวมทั้งมีโอกาสแข่งขัน (Disruptive Technology) ซึ่ง แตกต่างไปจากคนจานวนมากที่แค่ปรับปรุง วิธีการทางานให้ มีประสิทธิภาพสูงสุด (Optimization)โลกที่แท้จริง คือปัจจุบันขณะที่ไร้กาลเวลาแบบเดียวกับหลุมดา P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#0.03
  • 7. 20% Concious จิตสานึกเป็น สติผู้ขับรถยนต์ 80% Unconcious จิตนอกสานึก เป็นทักษะการขับรถ จิต กาย จิตเป็นเครื่องจักรแห่งกรรม สมอง เป็นรถยนต์ -เป็นที่เก็บข้อมูล Universe หลวงพ่อชาสอนว่า ธรรมะไม่ใช่เรื่องเทว บุตรเทวดาที่ไหน เป็น เรื่องที่เราทาอยู่ใน ปั จ จุ บั น นี้แ ห ล ะ เพราะธรรมเป็นความ จริงแท้ที่พระพุทธเจ้า ทรงค้นพบได้เห็นโลก ที่แท้จริง ซึ่งต่างจาก ความจริงสมมติของ โลกมายาที่คนทั่วไป รู้จัก หลวงพ่อชา เปรียบ จิตนอกสานึกซึ่งมี หน้าที่คิดไปเรื่อย มี พฤติกรรมซนว่ า เหมือนลิง แต่ถ้าเรา รู้จักลิง พอเห็นลิงก็ ไม่ราคาญ เราทุก คนต่างเลี้ยงลิงไว้ ค น ล ะ ตั ว อ ย่ า ราคาญลิงนะ หลวงพ่อชาสอนว่า คนเรานั้น ต้อง ประกอบด้วยกายและจิตรวมกันเป็น มรดกที่พ่อแม่ทุกคนให้มาเท่าเทียม กัน แต่ส่วนสาคัญนั้นอยู่ที่จิต เพราะ “ธรรม”ทุกสิ่งมีใจถึงก่อนจึงเกิดการ กระทาประกอบกับทุกอย่างที่เข้ามาสู่ ชีวิตผ่านตา หู จมูก ลิ้น กายนั้นเอา มารวมให้ใจทางานคนเดียว(จิตเป็น- เพราะความบังเอิญไม่มีอยู่จริง : เราทุกคนล้วนมีความพิเศษที่คนอื่นๆไม่มีเพราะแต่ละบทเรียนที่หล่อหลอมขึ้นมาเป็นเอกลักษณ์ของตัวเราซึ่งส่วนใหญ่เป็นอิทธิพล ของสิ่งล้อมรอบตัวเราตั้งแต่เริ่มเป็นทารกจนโตขึ้นเป็นหนุ่มสาวนั้นได้ช่วยแกะสลักสิ่งที่เป็นตัวเรารวมทั้งได้ขุดเอาสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราออกไป สังเกตว่าหัวเราจะโตขึ้น กว่าตอนเป็นทารกประมาณ 2 เท่า ซึ่งสมองเป็นที่เก็บข้อมูลของจิตโดยส่วนสมองที่ขยายขึ้นนั้นได้เก็บข้อมูลต่างๆจนเป็นตัวเราในปัจจุบัน เพื่อจะทาอาชีพที่เราทา แล้วรู้สึกดี ตัวเราแต่ละคนนั้นล้วนเกิดมาเพื่อเป็นอะไรบางอย่างที่เรารู้สึกดี ที่ทาแล้วเกิดอารมณ์ด้านบวก P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#0.1 ผู้รับผลกรรม-ผู้จาทุกสิ่ง-ผู้คิดและสั่งการ-ผู้รู้พฤติกรรม- กาย,ใจ) ท่าน เปรียบร่างกายคนเหมือนรถยนต์ ซึ่งมีตาเป็น ไฟหน้ารถยนต์ คนขับรถยนต์เป็นผู้รู้เรื่องว่าไฟรถส่องไป มองเห็นทางต่างๆเกิดประโยชน์ แต่ตัวรถยนต์ไม่รู้เรื่อง ขับ ไปชนต้นไม้มันก็ชน ทั้งนั้นแหละ
  • 8. 20% Concious จิตสานึกเป็น สติผู้ขับรถยนต์ 80% Unconcious จิตนอกสานึก เป็นทักษะการขับรถ -จิต กาย จิตเป็นเครื่องจักรแห่งกรรม -สมอง เป็นรถยนต์ -เป็นที่เก็บข้อมูล Universe เจ้าชายสิทธัตถะเรียนรู้ธรรมต่างๆ จากหลายอาจารย์จนพัฒนาการ ถึงระดับที่อาจารย์ไม่มีอะไรจะ สอนแล้วและอาจารย์แนะนาให้ ศึกษาต่อด้ วยพระองค์เอง พระองค์อดอาหารแบบสุด โต่ง เพราะต้องการบรรลุธรรม แต่เมื่อ ทราบแน่ว่าผิดทางเพราะไม่มี ความก้าวหน้า และเมื่อได้ยินเรื่อง สายพินตึงเกินไปก็จะขาด หย่อน เกินไปก็ดีดไม่ไพเราะ ต้องไม่ตึง ไม่หย่อนคือจุดพอดีจึงจะดีดแล้ว เพราะ และเมื่อนางสุชาดา ถวาย ข้าว มทุปายาตจึงกลับมาฉัน อาหาร และเดินทางสายกลางจน บรรลุ “ธรรม” แล้วจึงไปสอนผู้ที่มี อุปนิสัยที่สามารถฝึกหัดได้ หลวงพ่อชาสอนว่า 1.อย่าเพิ่งเชื่อสิ่งที่จิตคิด สมมติปรุงแต่งจากความทรง จาและความคาดหวัง ให้เชื่อ ปัจจุบันธรรมคือความจริงที่ รู้สึกในปัจจุบันขณะ 2.ไม่มีทางลัดเพราะเป็นกฎ แห่งกรรมของแต่ละบุคคล 3.คาถาคือ “ไม่แน่” พระพุทธเจ้าสอนเรื่อง ทุกสิ่ง เป็น“อนิจจัง” เป็นของไม่ แน่นอนถ้ามองระดับอะตอม จะเห็นว่าทุกสิ่งมีองค์ ประกอบ 30% เป็นส่วนที่ กาลังเปลี่ยนแปลง อีก70% เป็นความว่างที่เชื่อมโยงถึง กันหมดทั้งจักรวาล 4.ในส่วนของจิตต้องสอน ตัวเองให้คิดให้ถูกเพราะเป็น เรื่องต้องฝืนสิ่งที่ผิดเพื่อที่จะ ได้ คิด พูด ทา อย่างเป็น “ธรรม” หลวงพ่อชา ตอบคาถามเรื่องการที่คน จะบรรลุธรรมว่าขึ้นอยู่กับปัจจัย (Key Success Factor)ซึ่งบางทีคนฉลาด น้อยก็สามารถบรรลุธรรมก่อนคน ฉลาดกว่าได้ เหตุเพราได้อยู่ใกล้ชิดกับ อาจารย์ผู้รู้ช่วยแนะนาให้ผ่านกับดัก ต่างๆไปได้ กรณีที่อาจารย์มั่นแนะนา อาจารย์เสาร์ซึ่งติดกับดักเป้ าหมายที่ ต้องการจะบรรลุธรรมอย่างมาก คิดเป็น ถึงก่อน : หลวงพ่อชา สอนว่าความเป็นจริงนั้นถูกอยู่แล้ว แต่เรายังคิดไม่ถูก จึงต้องมานั่งภาวะนาเพื่อพิจารณาเรื่องต่างๆให้คิดให้ถูก เหมือนปลาอยู่ใน น้าไม่เห็นน้าก็ได้ คนเราก็เหมือนกันเพราะสมมติบังวิมุติอยู่ คือเราเคยชินกับความคิดคือความทรงจา (อดีต) รวมกับความคาดหวัง(อนาคต)ชึ่งล้วนเป็นเรื่อง สมมติที่ปรุงแต่งจนเกิดเป็นอารมณ์ที่เป็นเพียงอาการของจิต สาเหตุเพราะ 1.เราไม่เชื่อพระพุทธเจ้า เราไปเชื่อ “ความคิด”ของจิตที่ยังไม่ได้ฝึกที่ส่งเสียงอยู่ใน หัวเราที่หยิบเอารูปแบบข้อมูลในอดีตที่สมองเก็บไว้ ว่าเป็นความจริง ทาให้เราไม่เห็นความจริงในปัจจุบัน ประกอบกับ 2.จิตเรานั้นยังสกปรกเป็นจิตที่ถูก ครอบงาด้วยความคิดปรุงแต่งซึ่งไม่ใช่ “จิตเดิม”ที่สงบสว่าง ทาให้มีภาระที่จะต้องทาให้จิตสะอาด เพื่อให้เราสามาถมองเห็น “ตัวตนแท้”ของเรา ซึ่งมีความ เชื่อมโยงกับธรรมชาติ แล้วเราจะได้แกะสลักสิ่งที่เราอยากจะเป็นพร้อมกับขุดสิ่งที่เป็นอุปสรรคและสิ่งที่ไม่ใชตัวเราออกไป เพราะความจริงเป็นของแต่ละบุคคล เกิดจากเรามีส่วนร่วมแกะสลักสิ่งที่เป็นตัวเรารวมทั้งขุดเอาสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราออกไป P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#0.2 อาจารย์มั่นแนะให้อาจารย์เสาร์วางความอยาก บรรลุ ซึ่งเป็นอุปสรรค ให้เพียงทาความเพียร ส่วน การบรรลุจะเกิดขึ้นเอง คงจะคล้ายกรณีนักกีฬา ถ้าต้องการชนะอย่างมากจะกดดันตัวเองทาให้จิต ไม่ค่อยอยู่กับปัจจุบันจึงพลาดได้ง่าย
  • 9. 20% Concious จิตสานึกเป็น สติผู้ขับรถยนต์ 80% Unconcious จิตนอกสานึก เป็นทักษะการขับรถ จิต จิตเป็นเครื่องจักรแห่งกรรม Universe สมอง เป็นที่เก็บข้อมูล Endocrine Glands ระบบต่อมไร้ท่อ กาย P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#0.3 จิตปัจจุบันคุ้นเคยกับบางเรื่อง เพราะแม้สมองถูทาลายไปแล้วจึงจารายละเอียดไม่ได้ แต่ความรู้สึกต่อเรื่องต่างๆซึงเป็นนาม ยังคงอยู่กับใจปัจจุบันซึ่งเป็นนามที่ไร้กาลเวลา จิตนอกสานึกเป็นเภสัชกรประจาตัวผู้สั่งจ่ายยาผ่านผู้ช่วยคือระบบต่อมไร้ท่อ จิตนอกสานึก *ผู้ดึงดูดสิ่งที่เชื่อเท่านั้น *ผู้ช่วยในนาทีวิกฤติ จาเป็นจะต้องเตรียมจิตปัจจุบัน เพื่อให้จิตนอกสานึก ผุดขึ้นเป็นจิต สุดท้าย จิตนอกสานึกในฐานะเภสัชกรประจาตัวจะสั่ง จ่ายยาผ่านระบบต่อมไร้ท่อภายในกายเพื่อไป ควบคุมการทางานของระบบต่างๆในกาย โดยต่อมไร้ท่อทาหน้าที่ขับฮอร์โมนเข้าสู่ กระแสโรหิตตามที่จิตนอกสานึกสั่ง ให้ควบคุมการทางานต่างๆของร่างกาย คนเราประกอบด้วยกายและจิต โดยกาย ประกอบด้วยอวัยวะภายนอกและอวัยวะภายใน ในอวัยวะภายในกายคนเรา นอกจากมีสมองซึ่ง เป็นเครื่องมือที่ใจใช้เก็บข้อมูลแล้ว ยังมีต่อมไร้ ท่อซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใจใช้ให้ขับฮอร์โมนเข้าสู่ กระแสโรหิต คล้ายกับการฉีดยาในรูปแบบของ ฮอร์โมนเข้าสู่กระแสโรหิตเพื่อฮอร์โมนมีอิทธิพล อย่างมากในการควบคุมการทางานต่างๆของ ร่างกาย เช่น ควบคุมการย่อยอาหาร ควบคุมการ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ฯลฯ ใน บางครั้งต่อมไร้ท่อหลั่งสารสุข บางครั้งหลังสาร ทุกข์ แล้วแต่จิตนอกสานึกทางานอย่างไร อันเป็น ผลจากสิ่งที่จิตสานึกเลือกให้จิตนอกสานึกปฏิบัติ อย่างไร เช่น ในเวลาที่เราคิดบวก ในเวลาที่เรา คิดลบ รวมทั้งในนาทีวิกฤต จิตนอกสานึกทางานไม่เคยหยุด เช่น การเปิดรับข้อมูลตลอดเวลาและรับได้ไม่มีขีดจากัด ทั้งรูปแบบและขนาด สามารถวิเคราะห์ข้อมูลรวมทั้งสังเคราะห์ข้อมูลโดยเราไม่รู้ตัว เพราะจะส่งเฉพาะคาตอบให้จิตสานึก “คิดออก”(ซึ่งเราจะต้องรีบจดไว้ก่อนที่จะลืม) หรือส่ง Trend ให้จิตสานึก “เกิดลางสังหรณ์”ซึ่งอาจเกิดขึ้นจริงหรือไม่จริงก็ได้ เมื่อตกใจสุดขีดจิตนอกสานึกจะเข้ามา ทางานแทนจิตสานึก ทาให้เราสามารถ ทาได้ในสิ่งที่ในภาวะปกติเราทาไม่ได้ เช่น ขับรถยนต์หรือแบกตู้เย็นได้
  • 11. P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#1.0 มนุษย์สังคมทุกคนล้วนดาเนินชีวิต เพื่อความอยู่รอดโดยถูกโซ่ตรวนแห่งเวลา และภาระหน้าที่พันธนาการไว้ เราทุกคนล้วนติดกับดักความคิดซึ่ง เกิดจาก “จุดบอด”คือความทรงจาใน อดีตที่เป็น EGO เช่น ลักษณะสังคม วัฒนธรรมเชื่อผู้ใหญ่และอื่นๆทาให้ไม่ สนใจพัฒนาตัวเองด้วยตัวเอง จึงขาด ความมั่นใจในตัวเองจนไม่เป็นตัวของ ตัวเอง ประกอบกับทุกคนล้วนมีความ คาดหวังที่จะต้องมีชีวิตรอดในอนาคต ด้วยสองสิ่งดังกล่าวได้จากัดเราไว้ให้ ต้องรับรู้และแสวงหาสรรพสิ่งซึ่งมีตนเอง เป็นศูนย์กลางและเต็มไปด้วยความ ต้องการสนองตอบด้านความสุข ความสาเร็จ ความพึงพอใจ และความ คาดหวังจากบุคคลอื่นๆ
  • 12. เพราะความบังเอิญไม่มีอยู่จริง ตัวเราเกิดมาก็เพื่อจะเป็น “อะไรบางอย่าง”ที่เราอยากฝากไว้ให้รุ่นหลังๆสามารถนาไปต่อยอดใช้ได้เลย โดยระหว่างที่ทา“อะไรบางอย่าง”ตัวเราจะรู้สึกดี คือเกิดอารมณ์ปิติกับความก้าวหน้าในการประกอบนวัตกรรม และการมุ่งมั่นทางานพิเศษ นี้ให้เสร็จก่อนที่จะหมดลมหายใจ “ธรรม”นั้นเป็น “ความจริง”ซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว พระพุทธเจ้าเพียงเป็นผู้ค้นพบ การที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ “ธรรม” นั้นเป็นความจริงที่รู้ได้เฉพาะตัวเพราะความ จริงเกิดจากการมีส่วนร่วมซึ่งพระองค์ได้ปฏิบัติสะสมความรู้ที่ลึกซึ้งไว้ที่สมอง จนถึงพร้อมนาสู่การบรรลุ “ธรรม” เปลี่ยนจากคนธรรมดาเป็น “พุทธะ” ประมาณว่ารู้แจ้งโลกคือรู้ว่าองค์ประกอบของความจริงต่างๆประกอบด้วย อะไรบ้างแต่ไม่สามารถนาเอา“ธรรม”ไปให้ใครโดยตรงได้ เพราะเป็นธรรมที่ผู้รู้ จะต้องรู้สึกเอง คือมีส่วนร่วมเอง เช่น การมองคนทั่วไปมีผู้ชาย ผู้หญิงเราก็รู้จัก แต่ความรู้สึกก็ไม่เหมือนมองพ่อหรือแม่เรา การบรรลุ “ธรรม”ก็เช่นกัน พระ พุทธองค์จึงเพียงให้แนวทาง ไปปฏิบัติเอาเอง เพื่อรู้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องเชื่อใคร แม้แต่องค์พระพุทธเจ้าเอง แต่ให้เชื่อเพราะรู้สึกด้วยตัวเอง ดังนั้นในการหา ความหมายของชีวิตจึงไม่มีสูตรสาเร็จเดียว กล่องมหาสมบัติมีอยู่มากมายเราทุก คนล้วนถือกุญแจคนละดอกซึ่งสามารถไขได้เฉพาะกล่องมหาสมบัติที่เป็นของ เราเท่านั้นเพราะความหมายของชีวิตนั้นจะแตกแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#1.1 หลวงพ่อชาสอนว่า คนเรานั้น ต้องประกอบด้วยกายและจิตรวมกัน แต่ส่วนสาคัญอยู่ที่จิต เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาสู่ชีวิตผ่านตา หู จมูก ลิ้น กายนั้นเอามารวมให้ใจทางานคนเดียว แต่จิตเราไม่สะอาด เป็นจิตสกปรกไม่ใช่จิตเดิม จาเป็นจะต้องฝึกจิตเพื่อหัดสิ่งที่เรา ต้องการจะเป็น ขุดสิ่งที่เราไม่ต้องการจะเป็นออก รวมทั้งกาจัดสิ่งที่ เป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้เราก้าวหน้าในการประกอบนวัตกรรมที่เรา มุ่งมั่นทาเพื่อฝากไว้เป็นผลงานพิเศษให้คนรุ่นหลังได้ระลึกถึง หลวงพ่อชาสอนว่า เรื่องการดูแลกายใจว่า การปรับสมดุลกายเพื่อให้ ทางานได้เต็มประสิทธิภาพนั้น ให้กินน้อย นอนน้อย เพราะถ้ากินเกิน พอดีจะอึดอัด การนอนเกินก็จะมึนหัว จาเป็นจะต้องหาจุดกินและ นอนแต่พอดีซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน และในเรื่องการตื่นนอนนั้นเมื่อ รู้สึกตัวให้ลุกขึ้นเลย เพราะเป็นการให้จิตสานึกเริ่มทางานอย่างเต็มที่ ถ้าไม่ลุกขึ้นมา แต่นอนต่อจะทาให้เรานอนเกิน ความจริงสมมติของ “ตัวตนปรุงแต่ง”เกิดจากการมีส่วนร่วมของจิตนอกสานึกที่หยิบเอาข้อมูลรูปแบบ(FORM)ในอดีตซึ่ง เก็บไว้ในสมองโดยเลือกเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรากาลังพิจารณา เพื่อเป็นข้อมูลนาเข้ามาวิเคราะห์พร้อมปรุงแต่งเป็น ตัวตนสมมติเพื่อให้ความหมายพร้อมคาแนะนาในการตอบสนองต่อสิ่งที่เรากาลังพิจารณา ด้วยรูปแบบที่เก็บในสมองแต่ ละคนนั้นแตกต่างกันจึงทาให้แต่ละคนให้ความหมายแก่สิ่งเดียวกันที่กาลังพิจารณาแตกต่างกันไป เช่น คาว่า “ไข่” คนใต้ จะเข้าใจว่าเป็นส่วนนั้นของผู้ชาย แต่คนอื่นๆไม่เข้าใจอย่างนั้น เพราะเป็นการนารูปแบบที่แต่ละคนมีแตกต่างกันเข้าไปมี ส่วนร่วมกาหนดเป็นความจริงของสิ่งต่างๆ ความจริงเดี่ยวๆนั้นไม่มี ซึ่งข้อมูลรูปแบบซึ่งเก็บไว้ที่สมองนี้มีพัฒนาการโดย ขยายขึ้นได้ดีในช่วงเวลาจากตอนเป็นเด็กถึงตอนเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นช่วงเวลาที่สมองพัฒนาได้ดีนั้นจึงสาคัญอย่างยิ่ง ความจริงสมมติของมนุษย์สังคม
  • 13. จิตนอกสานึกแบ่งเป็น 3 ส่วน 1.ส่วนของจิตที่พัฒนาผ่านมาตามธรรมชาติตั้ง แต่ดึกดาบรรมาจนถึงรุ่นพ่อแม่โดยการถอดรหัสและ ขึ้นรูปในช่วงที่อยู่ในท้องแม่ 9 เดือนส่งผ่านจิตและ DNA มาถึงรุ่นลูก 2. ส่วนของจิตเราเริ่มช่วงเป็นทารกสะสม EGO..0123 จนเป็นหนุ่มสาวหัวขยายขึ้นเป็น 2 เท่า โดยเป็นการ เก็บรูปแบบ(FORM)ทั้งที่เป็นเชิงบวก(วิชชา) และหรือ เชิงลบ(อวิชชา)เอาไว้ ที่สมองซึ่งเป็นข้อมูลอดีต 3. ส่วนของจิตที่ถูกสอนโดยจิตสานึกทั้งที่เป็นเชิง บวก(วิชชา) และหรือเชิงลบ(อวิชชา)ที่จิตนอก สานึกเก็บเอาไว้ที่สมอง P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#1.2 ตา หู จมูก ลิ้น กาย Open to nature Vibration Open to Universe (Law of Attraction:กฎการดึงดูด) EGO-3 20% Concious EGO-3: ประสบการณ์แต่ละสังคมเป็น กรอบกีดกั้นความคิด ความรู้สึกบางอย่าง EGO-2: ตรรกะวิธีคิดของคนในวัฒนธรรมต่างๆ รวมถึงเรื่อง พ่อแม่รังแกฉัน และแผลในใจ EGO-1: แต่ละภาษาอธิบายได้เพียงความจริงสมมุติ และให้ความเข้าใจที่ละเอียดอ่อนไม่พอและแตกต่างกัน จิตนอกสานึก เครื่องจักรแห่งกรรม ที่ทางานตลอดเวลาประมวล ข้อมูลทุกสิ่งที่เก็บไว้อย่างไม่ จากัดได้ในพริบตา จิตสานึกเครื่องตีความ และกรองข้อมูลสร้าง เป็นหนึ่งความคิดEGO-0: เป็นผลมาจากการถ่ายทอด ของพ่อแม่กาหนดมาให้ลูก 80% Unconcious คิด ดี ทาดี EGO : มโนภาพ : ความจริงสมมุติที่จิตสานึกสร้างขึ้น โดยรับรูปแบบจากจิตนอกสานึกมาประกอบ ความจริงเกิดจากการมีส่วนร่วม ความจริงเดี่ยวๆนั้นไม่มี ความจริงสมมติของมนุษย์สังคม ตัวเรานั้น ต้องประกอบด้วยกายและจิตรวมกัน
  • 14. *เพราะกับดักความคิดเป็นกับดักเวลาทาให้ใจเราติดอยู่ในโลกสมมติคือย้อนไปอยู่กับข้อมูลอดีตและเลยไปที่ข้อมูลอนาคตแทนที่จะอยู่ กับโลกที่แท้จริงของข้อมูลที่เป็นจริงในปัจจุบัน หลวงพ่อชาสอนว่า เพราะสมมติบังวิมุติคือบังโลกที่แท้จริงไว้ เช่นเดียวกับปลาที่อยู่ในน้า แต่มองไม่เห็นน้าก็ได้ คนที่ถูกครอบงาด้วยความคิดจึงมองไม่เห็นวิมุติคือความจริงเพราะสมมติบังความจริงอยู่ เหมือนหลังมือบังหน้า มืออยู่ถ้าเราหงายมือขึ้น หลังมือก็หายไปเห็นแต่หน้ามือ ซึ่งจริงๆแล้วหลังมือไม่ได้หายไปไหน คือมันอยู่ข้างล่างเท่านั้น P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#1.3  มนุษย์สังคมทุกคนได้สร้าง “ตัวตนปรุงแต่ง”เอาไว้เป็นโลกของตนซ้อนดาวเคราะห์โลกที่ตนเองดารงอยู่ และตัดขาดตนเองออกไป จากระบบเดียวกันกับโลก เหตุเพราะมนุษย์สังคมทุกคนล้วนดาเนินชีวิตเพื่อความอยู่รอดโดยถูกโซ่ตรวนแห่งเวลาและภาระหน้าที่ พันธนาการไว้ เราทุกคนล้วนติดกับดักความคิดซึ่งเกิดจากความทรงจาในอดีตที่เป็น EGO0123 และความคาดหวังที่จะต้องมีชีวิต รอดในอนาคตจากัดไว้ให้ต้องรับรู้และแสวงหาสรรพสิ่งซึ่งมีตนเองเป็นศูนย์กลางและเต็มไปด้วยความต้องการสนองตอบด้าน ความสุข ความสาเร็จ ความพึงพอใจ และความคาดหวังจากบุคคลอื่นๆ มากกว่าการแสวงหา “ตัวตนแท้”หรือความรู้แจ้งจากสัจ ธรรมที่เป็นความจริงแท้ของตนเองกับทุกสรรพสิ่งบนโลกและจักรวาลอันเต็มไปด้วย กระบวนการเกิดใหม่ กระบวนการเปลี่ยนแปลง และกระบวนการดารงอยู่  มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะใส่ใจรับฟังความคิดความต้องการของตน และมีความคิดกลัวจึงสนใจความอยู่รอดของตนมากกว่าสังคมหรือ ความซาบซึ้งใจในความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากกว่าหลักปรัชญาหรือความเชื่อในทางศาสนาเพราะมักจะคิดว่าเป็น เรื่องของจินตนาการ ไม่อาจหาข้อสรุปที่ชัดเจนทางวิทยาศาสตร์ได้ รวมถึงมักจะไม่สนใจความสัมพันธ์ของตนเองกับจักรวาลซึ่งเป็น ศาสตร์ด้านอภิปรัชญาหรือเมตาฟิสิกส์ที่เป็นสัจธรรมเหนือมิติของวิทยาศาสตร์โลก  ในความเป็นจริงทุกคนกาลังท่องไปกับโลกใบใหญ่อยู่ในสนามพลังงานจักรวาล ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณทุกคนต่างถูกเชื่อมโยงไว้ กับโลกและจักรวาลอย่างแยกกันไม่ได้  เพราะความจริงเกิดจากการมีส่วนร่วม ความจริงเดี่ยวๆนั้นไม่มี ความจริงของมนุษย์สังคมก็เช่นกัน เพราะทุกสรรพสิ่งล้วนเป็น พลังงานและเป็นพลวัตรที่ติดต่อกันด้วยความว่างที่ทาให้ทุกสิ่งเชื่อมโยงถึงกันหมด คล้ายกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน การ ติดต่อกันด้วยความว่างทาให้เกิดรูปแบบ (Form) แบบต่างๆ นาสู่การเป็นสิ่งต่างๆ ที่มีองค์ประกอบของความจริงแบบต่างๆ
  • 15. *เกณฑ์วัดระดับจิตใจว่าเรารู้เท่าทันจิตใจตัวเองจนตื่นขึ้นเห็นโลกที่แท้จริงเพียงใดนั้นไม่ใช่วัดว่าเรานั่งหลับตาได้นานหรือเห็นอะไร แต่วัดที่วิธีที่เราจัดการกับ สถานการณ์ความกลัวเมื่อเกิดผิดพลาดหรือต้องเจอกับคนหรือสถานการณ์ที่ยากจะรับมือ เช่น งานในความรับผิดชอบกาลังจะตก PA เนื่องจากผู้รับจ้างส่งงาน ไม่ตรงตาม TOR วิธีที่เราจัดการกับสถานการณ์ความกลัว เมื่อเกิดผิดพลาดขึ้นกับว่าเรา “อยู่ใน”หรือ “อยู่นอก”กับดักความคิด *ถ้าเราติดอยู่ในกับดักความคิดเราจะกลัวเพราะไม่อยากให้ตัวตนสมมติตก PA และคาดหวังจะคงความสัมพันธ์ที่ดีตลอดมากับผู้รับจ้างไว้ กับดักความคิดนี้ อาจเรียกชื่อว่า "กับดัก PA"โดยมันจะแนะนาให้เราทาเช่นเดียวกับเวลาที่มีการตรวจ 5ส คือ ซุกซ่อนข้อบกพร่องทุกอย่างรวมทั้งทาผักชีโรยหน้าเพื่อผ่านการตรวจ หรือพางานผ่าน PA เพื่อจบปัญหาที่จะตามมาถ้าตก PA *ในกรณีที่เราออกจากกับดักความคิดได้แล้วใจเราจะมีอิสระไม่ถูกครอบงาด้วยความคิดและเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงจะตก PA หลวงพ่อชา บอกว่าเป็น เวลาที่ใจเรายิ่งจะรวมพลังมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อวิเคราะห์ความอยากผ่าน PA ของเราให้เกิดปัญญาคิดออก เช่น ว่า Key Success Factors มี 3 ขั้นตอน ตามลาดับ ดังนี้ -1-ยอมรับความจริงว่าการทางานจะต้องมีธรรมาภิาลที่ต้องปฏิบัติตามรายละเอียดในสัญญาจ้างโดยไม่ยอมให้เรื่องความคุ้นเคยกันหรือเรื่องอื่นๆมาบิดเบือนทา ให้งานไม่เป็นไปตาม TOR และเมื่อเกิดกรณีการส่งมอบไม่ทันกาหนดก็แค่"ยอมรับ"ปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับตาม TOR เพราะถ้าไม่ปรับอาจนอนไม่หลับ เพราะกลัวถูกตรวจสอบย้อนหลัง -2-ถ้าไม่ทาข้อ -1- ก็ต้อง"แก้ไข"โดยควบคุมให้ผู้รับจ้างปฏิบัติตามเงื่อนไขใน TOR ให้ครบถ้วนในทุกๆขั้นตอนเพื่อให้กรรมการตรวจรับสามารถตรวจรับงานได้ โดยไม่ปรับเพราะถือว่าผู้รับจ้างส่งงานทันแต่ผู้รับงานขอปรับปรุงงานให้เป็นตาม TOR ทาให้ส่งไม่ทันซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันที่งานช้า -3-ถ้าไม่ทาข้อ -2-คือเสี่ยงเกินไปที่จะแก้ปัญหาแบบนั้น เราควรดึงตัวเองออกจากงานที่เราไม่ชอบเพราะถ้าเราไม่ออกจากจุดนั้นจะเกิดสภาวะแย้งขึ้นในจิตใจที่ เราต้องอยู่กับโลกที่แท้จริงคือความจริงในปัจจุบันที่เรายอมรับไม่ได้ แก้ไขปัญหาก็ไม่ได้ ถ้าเราไม่ออกจากสภาวะนั้นใจเราก็จะจมอยู่ในกองทุกข์ที่จะสร้างพลังลบ ให้กับเรา เราอาจนอนไม่หลับเพราะจิตใจเกิดภาวะแย้งที่มองปัจจุบันว่าเป็นสิ่งไม่ดีนาสู่การสะสมความเครียดก่อให้เกิดโรคภัยต่างๆ เพราะจิตใจขาดความสมดุล จนสร้างคลื่นรบกวนจิตนอกสานึกซึ่งดูแล 90 % ของการดาเนินชีวิตของเราทาให้จิตนอกสานึกทางานไม่เต็มประสิทธิภาพไปจนถึงทางานผิดพลาดได้ ดังนั้น การ ออกจากปัญหา เช่น การย้ายงาน การย้ายไปหน่วยงานอื่น รวมทั้งการออกจากงานแบบ Early Retirement จึงเป็นทางออกจากกองทุกข์ *ไม่ใช่ทุกคนที่จะออกจากกับดักของเวลาจนเกิดปัญญาเห็นโลกที่แท้จริงได้หลวงพ่อชาบอกว่า คนที่จะทาได้นั้นต้องสะสม Key Success Factors มี 3 ขั้นตอน ตามลาดับคือมี ศีลที่สมบูรณ์ แล้วจึงมี สมาธิที่ถึงพร้อม จึงจะเกิดปัญญาเห็นและยอมรับความจริง เป็นการสะสมตามลาดับ คล้ายกรณีเอาไม้ไผ่หรือไม้ลา ปอสองซี่มาถูกันซึ่งต้องถูให้ต่อเนื่องและนานจนความร้อนสะสมขึ้นถึงจุดติดไฟจึงจะเกิดเป็นไฟขึ้นมา คือมีไฟอยู่ในไม้สองซี่แต่ไม่ใช่ทุกคนทาได้ เช่น คนทาผิดศีล ไปขโมยของเขายังไงก็ต้องคิดกลัวในอนาคตว่าจะถูกจับจึงไม่สามารถมีสมาธิที่จะมีชีวิตจริงคือเห็นปัจจุบันที่ไร้กาลเวลาซึ่งสามารถพาเราไปไกลกว่าขอบเขตอัน จากัดของกับดักความคิด ครับ P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#1.4
  • 17. เราทุกคนได้รับเวลาทางกายโดยเท่าเทียม กันทุกคน จะต่างกันก็ที่การพัฒนาศักยภาพ จิตใจให้เป็น “ธรรม”ให้จิตไม่ส่งออกนอกกาย ไปอยู่กับสังคมสิ่งแวดล้อม ทาให้จิตมีสมาธิ ตั้งมั่นอยู่ในบ้านคืออยู่ในกายตัวเองและ สามารถบริหารการใช้พลังดวงจิตของแต่ละ คนได้ดีต่างกันตามขีดความเป็นตัวของตัวเอง เพราะความจริงแท้ของสรรพสิ่งเกิดจากการ มีส่วนร่วมของสิ่งต่างๆ ความจริงเดี่ยวๆนั้นจึง ไม่มี ในเมื่อทุกคนเกิดมา ก็ไม่ได้เอาอะไรมา ด้วย และตอนไปก็ไม่ได้เอาอะไร เป็นแต่เพียง “นาม”ที่จาก “รูป”กายไป ถ้าเข้าใจโลก เข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง เราจะมีความรัก ให้กับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว เพราะได้ ตระหนักแล้วว่าตัวเองและสรรพสิ่งรอบกาย ล้วนเป็ นส่วนหนึ่งของจักรวาลซึ่งต้องมี ความสัมพันธ์กันประหนึ่งเป็ นบุคคลใน ครอบครัวเดียวกัน P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#2.0
  • 19. 20% Concious จิตสานึกเป็น สติผู้ขับรถยนต์ 80% Unconcious จิตนอกสานึก เป็นทักษะการขับรถ จิต กาย จิตเป็นเครื่องจักรแห่งกรรม สมอง เป็นรถยนต์ -เป็นที่เก็บข้อมูล Universe แม้ว่าเวลาทางกายจะยืดหยุ่นได้ตามทฤษฏีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ จิตที่ฝึกดีแล้วเป็นจิตสงบอยู่ในบ้าน มีพลังการตอบสนองที่ฉับไวต่อ Sensor รอบกายเพราะมีสมาธิแรงกล้าไม่เสียพลังเรื่องความคิดรวมทั้งไม่ถูกความคิด รบกวนจึงเห็นปัจจุบันอย่างชัดเจนว่ามีธรรมชาติรอบตัวอะไรเกิดขึ้นบ้าง จึงตอบสนองได้ฉับไวเพราะได้ฝึกจิตในเรื่องต่างๆด้วยความมั่นใจจนเกิดทักษะ กลายเป็นส่วนหนึ่งของจิตนอกสานึกซึ่งตอบสนองได้เร็วมีผลให้สามารถดาเนินการเรื่องต่างๆได้โดยเร็ว จิตที่ฝึกดีแล้วนาความสงบสุขมาให้เพราะจิตใจมีลักษณะเข้มแข็ง มีความเชื่อในตัวเอง มีความมานะพยายามอย่างไม่ลดละเพื่อกระทาการที่ได้ตริตรอง รอบคอบและตกลงใจแน่แล้วให้สาเร็จไป มีความสามารถที่จะบังคับตนเอง มีความไม่ประหม่าหวาดเสียวต่อหน้าบุคคลไม่ว่าประเภทใด มีอานาจที่จะบังคับ ความคิด ความยินยอม และความวินิจฉัยของคนอื่น มีกาลังหัวใจและความมั่นคงสาหรับต่อสู้ความยากลาบากต่างๆซึ่งเป็นเรื่องของการบริหารจิตนอกสานึกให้ มีประสิทธผลสูงสุด(อยู่ใน Slide 6) เวลาทางจิต จิตที่ไม่สงบเพราะห่วงตัวตน สมมติจะไม่รอดในอนาคต ทา ให้เวลาทางจิตเคลื่อนตามจุด มุ่งเน้น (Focus) ของความคิด เมื่อแก่นกลางแห่งความ คาดหวัง (อนาคต) กลายมา เป็นแก่นกลางแห่งความใส่ใจ (ปัจจุบัน) ก่อนจะกลายเป็น แก่นกลางแห่งความทรงจา (อดีต) ทาให้เวลาทางจิตไหล ไปเรื่อยๆ P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#2.2 You are what you think. แต่เราทุกคนก็ได้รับเวลาทางกายโดยเท่าเทียมกันทุกคน จะต่างกันที่การบริหารและการใช้พลังดวงจิตของแต่ละคน หลวงพ่อชาสอนว่าการที่เราเกิดนั้นคือรับ อาสามาตาย เป็นเวลาทางจิตที่ทุกคนกลัว เพราะเมื่อเกิดมาแล้วมันไหลไปหาความ ตายเสมอ แม้ว่าทุกคนตระหนักดีถึงเรื่องนี้ แต่เพราะยังไม่มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งพอจะเห็น อนิจจัง เราจึงยังคงยึดเอาตัวตนสมมติว่า เป็นของตน ทาให้เกิดภาวะแย้งในจิตใจคือ กังวลและกลัวความจริงคืออนิจจังจะถึง ตัวตนที่ยึดไว้ จึงทาให้เราส่งใจไปอนาคต ตลอดเพื่อทราบข้อมูลและหาทางรอดของ ชีวิตในอนาคต (Will to live) เครื่องกาจัดกิเลส ศีล-อย่างหยาบ สมาธิ-อย่างกลาง ปญญา-อย่างละเอียด หลวงพ่อชาสอนว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสิ่งเดียวกัน เหมือนกัน กับมะม่วง จากเมล็ดมะม่วงปลูกเป็นต้นมะม่วง เกิดมีผลมะม่วง ดิบ สุดท้ายได้เป็นมะม่วงสุกจากมะม่วงผลเดิมนั่นแหละ
  • 20. P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#2.3 *ธรรมชาติลึกลับของจิตนั้นเพราะสมมติบังวิมุติอยู่ ธรรมชาติลึกลับของแสงก็เช่นกันคือเราไม่เคยเห็นแสง เพราะเราเห็นเพียงวัตถุที่แสงตกกระทบ ถ้าไม่มีวัตถุเราก็ เห็นแต่ความมืด เหมือนเวลาที่เรามองไปบนท้องฟ้ าใน เวลากลางคืน เราเห็นความมืด ดวงจันทร์และดวงดาวทั้งๆ ที่จริงๆแล้วมีแสงเต็มท้องฟ้ า แต่เราเห็นเฉพาะวัตถุที่แสง ตกกระทบ คือดวงจันทร์และดวงดาว *การที่เรามองเห็นวัตถุที่แสงตกกระทบนั้น จิตนอกสานึก ของเราได้ดึงเอาข้อมูลที่เราเคยเห็นและเก็บไว้ขึ้นมามีส่วน ร่วมตีความว่าวัตถุที่เราเห็นนั้นคือดวงจันทร์ หมายความ ว่าในการมองสิ่งต่างๆจิตนอกสานึกของเราได้ดึงเอาข้อมูล ที่เราเคยเห็นและเก็บไว้ขึ้นมามีส่วนร่วมตีความความจริง เสมอ แสดงว่าคนเรานั้นมีตาในหรือมีดวงตาแห่งจิตที่ ทางานอยู่ตลอดเวลา *ตาในของเรานั้น สามารถมองเห็นได้แม้ดวงตาจริงๆยัง มองไม่เห็นวัตถุ เช่น คนคุยกันเรื่องต่างๆ มีการอธิบาย เพื่อให้เห็นภาพโดยใช้ตาในของแต่ละคน เรื่องนี้หลวงพ่อ ชา ท่านเล่าเรื่องคนทาปากกาหาย จับดูที่กระเป๋ าเสื้อไม่ เห็น ตกใจ ไม่สบายใจ ต่อมานึกขึ้นมาได้ว่าตอนไปล้าง หน้าได้ย้ายปากกาจากกระเป๋ าหน้ามาไว้ที่กระเป๋ าหลัง ยัง ไม่ทันเห็นปากกาเลยแต่ดีใจแล้ว คือเห็นด้วยตาในแล้ว
  • 22. พระ “ธรรม”ของพระพุทธเจ้าเป็นสัจธรรม ความจริงแท้ที่ไม่ต้องสมมติเป็นคุณค่าแก่น แท้ของชีวิต“มนุษย์สากล” มาจากศูนย์กลาง ของชีวิตคือ ดวงจิตผู้รู้ที่อยู่ภายในตัวเรา เป็น สิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตทุกส่วน พระพุทธองค์ตรัสรู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ล้วนเป็นธรรมชาติแห่งความเป็นธรรมดาไม่มี ความแตกต่างกันระหว่างเม็ดทรายกับ จักรวาล เพราะทั้งสองสิ่งต่างเกี่ยวข้องกับ การเกิดดับของธาตุจานวนอนันต์ที่มีเป็น ธรรมดาอยู่ “เช่นนั้นเอง”พระพุทธเจ้าท่าน สอนความจริงว่าไม่มีตัวตนคือเป็น “อนัตตา” ไม่มีใครเป็นเจ้าของเพราะเป็นของกลางของ โลกแต่เราไม่เชื่อพระองค์ ถ้าเราเห็นอนิจจังคือได้พบพระพุทธเจ้า เพราะจะพ้นจากความจริงสมมติ P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#3.0
  • 23. หลวงพ่อชาสอนว่าเห็นอนิจจังคือเห็นพระพุทธเจ้า คือเห็นทุกสิ่งเป็นอนิจจังเป็นของไม่แน่นอน ทาให้ เราถอนความยึดมั่นออกจากสิ่งต่างๆ ทาให้ อย่างเช่นมีแก้วใบหนึ่งยังไม่แตก เมื่อหยิบขึ้นมาดู ท่านบอกว่าแก้วใบนี้มันแตก เมื่อถึงวันที่แก้วแตก จริงเราก็สบายเพราะฉันเห็นมันแตกตั้งแต่ก่อนแตก แล้ว เพราะมีดวงตาเห็นธรรมตามกฎไตรลักษณ์คือ เห็นว่าสรรพสิ่งเป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ขังและเป็น อนัตตา เมื่อเราเห็นอนิจจังชัด เราก็จะไม่ยึดมั่น เพราะมีแต่ของไม่แน่นอน ในทางกลับกันเราจะยึด มั่นว่าอนิจจังคือความไม่แน่นอนนั้นว่าถูกต้องแล้ว เพราะทุกสิ่งมันจะต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา ดังนั้น เห็นอนิจจังคือได้พบพระพุทธเจ้า เพราะจะ พ้นจากความจริงสมมติ หลวงพ่อชาบอกว่าอนิจจังนั้นดีแล้วถูกต้องแล้ว เพราะอนิจจังทาให้คนเราจากเด็กต่อมาโตเป็นผู้ใหญ่ จากมะม่วงดิบทาให้เป็นมะม่วงสุก ถ้าไม่มีอนิจจังเรา ก็จะไม่ได้กินมะม่วงสุกนะ หรือเราก็จะยังเป็นเด็ก นอนอยู่ในกระด้ง เท่านั้นแหละ หลวงพ่อชาท่านสอนให้คิด พูด ธรรม อย่างเป็น “ธรรม” คืออย่างที่ไม่ทาเหตุให้ทุกข์เกิด เพราะ คนเรานั้นประกอบด้วยกายและจิตคือประกอบด้วย รูปและนาม ถ้ามีเฉพาะกายไร้จิตอันนั้นคือคนตาย ไม่สามารถทาอะไรได้ P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#3.1 (Time Change every things, Changing is Buddha) * พระพุทธองค์ตรัสรู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นธรรมชาติ แห่งความเป็นธรรมดาไม่มีความแตกต่างกันระหว่างเม็ด ทรายกับจักรวาล เพราะทั้งสองสิ่งต่างเกี่ยวข้องกับการเกิด ดับของธาตุจานวนอนันต์ที่มีเป็นธรรมดาอยู่ “เช่นนั้นเอง” * พระพุทธเจ้าท่านสอนความจริงว่าไม่มีตัวตนคือเป็น “อนัตตา” ไม่มีใครเป็นเจ้าของเพราะเป็นของกลางของโลก แต่เราไม่เชื่อพระองค์ เรามายึดร่างกายนี้ว่าเป็นตัวตน เป็น เราเป็นเขา พอร่างกายจะเปลี่ยนแปลงก็ไม่อยากให้มัน เปลี่ยน ความเป็นจริงหลักธรรมะท่านสอนให้พวกเรา มองเห็นอนัตตาคือเห็นตัวตนนี้ว่าไม่เป็นตัวไม่เป็นตน มัน เป็นของว่างเพราะถ้าขยายให้เห็นในระดับอนุภาค อะตอม จะเห็นว่า 30% เป็นส่วนของธาตุคู่ซึ่งมีคุณสมบัติต่างกันที่ กาลังเคลื่อนไหวดึงดูดเพื่อรักษาพันธะคู่นั้นและอีก 70% เป็ นความว่างที่เชื่อมโยงกับความว่างของสิ่งอื่นๆซึ่ง เชื่อมโยงถึงกันหมดคล้ายกับระบบอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมทั้ง โลกเข้าหากันเกิดปฏิสัมพันธ์เป็นพลวัตรทาให้ทุกสิ่งเกิดการ เปลี่ยนแปลงเป็น “อนิจจัง” ตลอดเวลา จิตนอกสานึก ไม่เคยหลับ การเกิดดับ ของธาตุจานวน อนันต์ที่มีเป็นธรรมดาอยู่ “เช่นนั้นเอง” ความจริงของมนุษย์สากล พระ “ธรรม”ของพระพุทธเจ้าเป็น ความจริงแท้ที่ไม่ต้องสมมติเป็ น คุณค่าแก่นแท้ของชีวิต“มนุษย์ สากล” มาจากศูนย์กลางของชีวิต คือ ดวงจิตผู้รู้ที่อยู่ภายในตัวเรา เป็น สิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตทุกส่วน ความว่างคือรูปแบบ และ รูปแบบก็คือความว่าง หลวงพ่อชาท่านให้คาถาว่า “ไม่แน่” เข่น จาก รูปแบบ CO2 ไม่เป็นพิษ เปลี่ยนเป็น CO ซึ่งเป็นพิษ (Time Change every things, Changing is Buddha) ความจริงของมนุษย์สากล เห็นอนิจจังคือได้พบพระพุทธเจ้า เพราะจะพ้นจากความจริงสมมติ
  • 24. 20% Concious จิตสานึกเป็น สติผู้ขับรถยนต์ 80% Unconcious จิตนอกสานึก เป็นทักษะการขับรถ จิต กาย จิตเป็นเครื่องจักรแห่งกรรม สมอง เป็นรถยนต์ -เป็นที่เก็บข้อมูล Universe คนทั่วไปมองว่า ข้าว ปลา เป็นอาหาร แต่ มุมมองของมนุษย์สากลนั้นต่างออกไป หลวงพ่อชาพิจารณาเห็นว่า ลม คือ อาหารที่สาคัญที่สุด เพราะไม่ว่ากาลังทา อะไรเราก็ต้องกินลมอยู่ตลอดเวลา ถ้า ขาดลมหายใจ ไม่นานคนก็ตาย ถ้าพิจารณากายเฉพาะส่วนของสมองซึ่ง ต้องกินลมเช่นกัน ถ้าขาดลมไม่นานแม้ คนจะยังไม่ตาย แต่สมองบางส่วนถูก ทาลาย มีผลให้จิตทางานไม่สมบูรณ์ เพราะข้อมูลที่รับมาจากสมองไม่สมบูรณ์ และเมื่อจิตทิ้งกายทิ้งสมองไปสู่บ้านใหม่ จึงทาให้ จิตในร่างใหม่จาเรื่องเก่าไม่ได้ ถ้าพิจารณากายทุกส่วนก็ล้วนกินลม ด้วยกันทั้งนั้น สังเกตุคนเราจะกินลมมาก ที่สุดในช่วงที่เรานอนเพราะไม่ต้องใช้พลัง คิดอะไร ดังนั้นจะเรียกการนอนว่าเป็น การชาร์ตแบตให้เต็มก็ได้ P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#3.2 (Time Change every things, Changing is Buddha) มุมมองของมนุษย์สากล อาหารที่พิเศษสุดสาหรับร่างกายคือลม พวกเซ็นมองว่า “ความว่าง”คือ “รูปแบบ” และรูปแบบก็คือความว่าง หลวงพ่อชาท่านสอนให้แยกกายทาอย่าง มนุษย์สังคมที่ใช้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆได้เหมือนคนทั่วไป แต่ใจท่านคิดเป็น “ธรรม”แบบมนุษย์สากล เช่น แก้วใบ หนึ่งยังไม่แตก หยิบขึ้นมาท่านบอกว่า “แก้วใบนี้มันแตกแล้ว” ต่อมาแก้วแตก สบายไม่เสียใจ เพราะท่านเห็นว่ามัน แตกก่อนแตกแล้วคือท่านเห็นรูปแบบว่าคือความว่าง คือท่านลึกไปเห็นถึงสภาวะของสารที่ประกอบกันเป็นแก้วว่า ประกอบด้วยความว่างรวมกับสิ่งที่กาลังเปลี่ยนแปลงเป็นอนัตตาของแก้วจนไม่เกิดอัตาว่ามีแก้วของฉัน แก้วใบนี้แตกแล้ว
  • 25. ในสมัยพุทธกาล ที่พระพุทธเจ้าประกาศสิ่งที่พระองค์รู้แจ้ง ทาให้ “เกิด” มีผู้บรรลุตาม ได้เป็นผู้ตื่นจาก “โลกมายา” สู่“โลกที่ แท้จริง”, สามารถก้าวข้ามจาก “มนุษย์สังคม” สู่การเป็น“มนุษย์ สากล”ที่พ้นจากวัฏสงสาร การรู้แจ้งของพระพุทธเจ้าคือการที่ พระองค์ผ่านการปฏิบัติต่างๆจนตระหนักรู้ถึง “มายา” ที่ถูก สร้างจากตัวตนที่ถูกฝึกจนเคยชินหรือ “อัตตา” (EGO: มโนภาพ : ความจริงสมมุติที่จิตสานึกสร้างขึ้นจากรูปแบบที่จิตนอก สานึกส่งมาให้) พระองค์หยั่งรู้ถึงใครที่พระองค์ถูกสอนว่าควร จะเป็น ใครที่พระองค์ถูกฝึกและวางเงื่อนไขไว้จนเคยชินว่า ควรจะเป็นซึ่งไร้แก่นสาร ไร้หลักการ พึ่งไม่ได้ พระองค์หยั่งรู้ว่า ตัวตนที่ถูกฝึกขึ้นมาจนเคยชินนี้เป็นสิ่งหลอกลวงกีดกั้น พระองค์จากความจริง จาก“โลกที่แท้จริง” ที่เป็น “คุณค่าแก่น ของชีวิต” ของพระองค์เองและชีวิตโดยทั่วไป เพราะ“คุณค่า แก่นของชีวิต” ทุกคน มาจากศูนย์กลางของชีวิต เป็นสิ่งที่ เกี่ยวข้องกับชีวิตทุกส่วนของเรา แตกต่างจาก “คุณค่าที่ถูก สอน” หรือปลูกฝังมาซึ่งจะอาศัยอยู่ในความคิดของเราและอยู่ ได้แค่ในความคิดเท่านั้น ในขณะที่“คุณค่าแก่นของชีวิต” คือ สิ่งที่เรารู้ด้วยตนเอง ว่าเป็นจริง เป็นสิ่งที่เราปฏิบัติจนรู้แล้วว่า เป็นจริง เป็น “ธรรม” โดยไม่เหลือความสงสัยใดๆ แต่คุณ ค่าที่ถูกสอนคือเป็นเพียงสิ่งที่เราถูกสอนมาว่าเป็นสิ่งที่เป็นจริง คนเราติดสมมติเพราะวิธีปกติของการศึกษาสังคมใน แต่ละปัจจัย เช่นนักเศรษฐศาสตร์จะคุ้นชินในระดับ ปริญญาตรีว่ากาหนดให้ปัจจัยอื่นๆอยู่คงที่ แต่เมื่อ เรียนสูงขึ้นไปก็จะปล่อยให้ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงได้เพื่อ จะได้ข้อมูลที่นาไปใช้ได้กับโลกที่แท้จริง เช่นเดียวกันกับมนุษย์สากลที่มองเห็นโลกที่แท้จริง โดยไม่ต้องสมมติให้สิ่งอื่นๆที่ไม่ได้นาเข้ามาพิจารณา ให้อยู่คงที่ ประมาณว่าดวงตาเห็น “ธรรม” เช่น มองคนเห็นเป็นสภาวะธรรมของธาตุจานวนอนันต์ที่ กาลังเกิดดับไม่รู้สึกว่าเป็นผู้ชายผู้หญิง หลวงพ่อชา ท่านให้โยมดูไม้ท่อนหนึ่งและบอกว่า ถ้าโยมต้องการ ไม้ที่ยาวกว่านี้ ไม้ท่อนนี้มันก็สั้น แต่ถ้าโยมต้องการ ไม้ที่สั้นกว่านี้ ไม้ท่อนนี้ก็ยาว ในความเป็นจริงไม้ ท่อนนี้ ก็เท่านี้ ไม่สั้น ไม่ยาว หมายความว่าท่านใช้ จิตเดิมมองเห็นปัจจุบันธรรมโดยไม่ไปคุยกับ ความคิดที่พ่วงมาด้วยความคาดหวังของ “ตัวตน” สมมติ เพราะเห็นอนัตตาเมื่อเกิดอารมณ์ขึ้นมาก็ หาตัวตนกระทบไม่ได้ P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#3.3 (Time Change every things, Changing is Buddha) จิตนอกสานึก ไม่เคยหลับ เห็นอนิจจังคือได้พบพระพุทธเจ้า เพราะจะพ้นจากความจริงสมมติ การเกิดดับ ของธาตุจานวน อนันต์ที่มีเป็นธรรมดาอยู่ “เช่นนั้นเอง” ปัจจุบันธรรมคือการมีสติเห็นปัจจุบัน ชัดเจนด้วยตาปัญญา คือตาปกติก็ ยังคงเห็นรูปคนชายหญิงปกติ แต่ตา ปัญญาเห็นเป็นสภาวะธรรมเหมือนนึก ออกว่าลืมของไว้ที่ไหน แม้ยังไม่เห็นด้วย ตาแต่ก็โล่งใจแล้ว เพราะเห็นด้วยตาใน
  • 26. จิตนอกสานึกนั้นไม่เคยหลับและมีสติปัญญาเก่งกว่าคนที่เก่ง ที่สุดในโลกนี้ เพราะสามารถบริหารจัดการร่างกายทุกส่วน ของเราโดยสามารถถ่ายทอดสติปัญญาให้ทุกๆเซลล์ใน ร่างกายคนเรานั้นมีสติปัญญาและความเฉลียวฉลาดอยู่ใน ตัวเอง ทาให้เซลล์ทุกๆเซลล์รู้ดีว่าทาอย่างไรถึงจะมีชีวิตรอด และสุขภาพดี และต่างทาหน้าที่เพื่อเป้าหมายการมีสุขภาพดี โดยมีจิตนอกสานึกคอยควบคุมการทาหน้าที่ของทุกเซลล์ใน ร่างกายคนเราตลอดเวลา ไม่เคยหยุด จิตนอกสานึก มีพลัง สั่นสะเทือนสามารถดึงดูด ความคิดเหมือนกันทั้งด้านบวก และลบ นาสู่พลังดึงดูด เหตุการณ์ ตามที่เราคิดและเชื่อ (Time Change every things, Changing is Buddha) จิตนอกสานึก ไม่เคยหลับ เห็นอนิจจังคือได้พบพระพุทธเจ้า เพราะจะพ้นจากความจริงสมมติ การเกิดดับ ของธาตุจานวน อนันต์ที่มีเป็นธรรมดาอยู่ “เช่นนั้นเอง” ปัจจุบันธรรมคือชีวิตจริงของ“ที่นี่และเดี๋ยวนี้”ส่วนความคิดเป็น เพียงมโนสมมติที่ปรุงแต่งจากข้อมูลความทรงจาในอดีตและความ คาดหวังในอนาคตรวมกัน หลวงพ่อชาบอกว่า สมมติบังวิมุติคือบัง ความจริงของมนุษย์สากล โยมเคยเห็นแต่น้าไหล กับ น้านิ่ง น้าไหล นิ่งโยมคิดไม่ถึง เพราะโลกที่แท้จริงกายตัวเราแม้นั่งอยู่นิ่งๆ แต่จริงๆ แล้วเรากาลังเคลื่อนไปกับจักรวาล.... ความจริงของมนุษย์สากล หลวงพ่อชาท่านให้คาถาว่า “ไม่แน่” หลวงพ่อชา สอนให้ คิด พูด ทา อย่างเป็น “ธรรม” เพื่อจะไม่ละเมิด “ธรรม”ซึ่งเป็น“คุณค่าแก่นแท้ของชีวิต” คือไม่ละเมิดสิ่งที่เราปฏิบัติจนรู้แล้วว่าเป็นจริง เป็น “ธรรม” เมื่อไม่เหลือความสงสัยใดๆแล้ว จึงจะเป็น “การเกิดที่แท้จริง”ในทางพุทธศาสนา หลวงพ่อชาท่านถามโยม เพื่อชี้ให้เห็นว่าเมื่อไม่มีหาง จึงไม่เป็นทุกข์เพราะเจ็บหาง แต่ปมของปัญหาจริงๆ ไม่ใช่หางแต่อยู่ที่การมี “อัตตา”คือตัวตนที่เป็น เจ้าของหาง เพราะเรายังไม่เข้าใจ “ธรรม” ของ พระพุทธเจ้าท่านสอนความจริงว่าไม่มีตัวตนคือเป็น “อนัตตา” แต่เราไม่เชื่อพระองค์ เรามายึดร่างกาย นี้ว่าเป็นตัวตน เป็นเราเป็นเขา พอร่างกายจะ เปลี่ยนแปลงก็ไม่อยากให้มันเปลี่ยน ความเป็นจริง หลักธรรมะท่านสอนให้พวกเรามองเห็นอนัตตาคือ เห็นตัวตนนี้ว่าไม่เป็นตัวไม่เป็นตน มันเป็นของว่าง เป็นความว่างที่เชื่องโยงกับความว่างของสิ่งอื่นๆซึ่ง เชื่อมโยงถึงกันหมดคล้ายกับระบบอินเตอร์เน็ตที่ เชื่อมทั้งโลกเข้าหากันเกิดปฏิสัมพันธ์เป็นพลวัตรทา ให้ทุกสิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจัง ตลอดเวลา หลวงพ่อชา : โยมเคยปวดหัวไหม ? โยม : เคยเจ้าค่ะ หลวงพ่อชา : โยมเคยเจ็บฟันไหม ? โยม : เคยเจ้าค่ะ หลวงพ่อชา : โยมเคยเจ็บหางไหม ? โยม : ????? ก็หางมันไม่มีนี่เจ้าค่ะ P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#3.4 *เกณฑ์ที่ใช้ตัดสินว่าเราละเมิดคุณค่าแก่นของชีวิต เรา คือการที่เรามีความรู้สึกอะไรบางอย่างผุดขึ้นมา ที่ผิวในใจ และต่อจากนั้นเราก็จะคิดถึงมันอยู่เรื่อยๆ เพราะมันคือ “มโนธรรม” คือสติความรู้สึกผิดชอบชั่ว ดี ที่กาลังพูดกับตัวเรา
  • 27. การเปรียบเทียบเกิดจากการคุยกับความคิดซึ่งจะปรุงแต่งความทรงจารวมกับความ คาดหวัง เช่น ดูไม้ท่อนนี้ ถ้าเราคาดหวังจะได้ไม้ที่สั้น ไม้นี้ก็ยาว แต่ถ้าเราคาดหวัง จะได้ไม้ที่ยาว ไม้นี้ก็สั้น หลวงพ่อชาท่านไม่คุยกับความคิด เพราะจิตเดิมนั้นเรียบ ง่าย เช่น ดูไม้ท่อนนี้ ก็เท่านี้ ไม่สั้น ไม่ยาว เพราะทั้งสั้นและยาวล้วนมีประโยชน์ ยกตัวอย่าง คนที่เป็นนายก มีทั้งคนสูง และคนเตี้ย คือเป็นเรื่องของการเลือกรับรู้ ให้มีความสุขหรือทุกข์ ซึ่งคนเราเป็นทุกข์เพราะรับรู้ไม่ตรงกับที่เป็น เช่น คนรวย คนจนก็มีความสุขได้ อย่างเวลาเจ็บป่วยเราจะไม่สนใจเรื่องอยากรวยเลยเรา อยากจะได้เพียงแค่หายป่วยเท่านั้นแหละ ความจริงเงินเป็นเพียงตัวแลกความสุข ประเภทความพอใจซึ่งเป็นความสุขเพียงชั่วคราว การมีจานวนเงินมากหรือน้อยก็ หาความสุขแบบคนที่มีความสุขเพราะเป็นคนที่มีความหมายซึ่งเป็นความสุขแบบ ยืนยาวได้ สิ่งสาคัญที่สุดในเรื่องเงินคือวิธีการได้เงินมานั้นต้องเป็นวิธีที่มีความสุข... และมีเงินแล้วต้องไม่ลืมแลกความสุข P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#3.5 (Time Change every things, Changing is Buddha) เพราะจิตเดิมนั้นเรียบง่าย โลกที่แท้จริง การเลือก รับรู้ ให้มีความสุข
  • 30. จิตนอกสานึกเป็นสัมผัสที่หกของมนุษย์ที่ทางาน ตามความเชื่อ เป็นขุม”พลังงาน”มหาศาลที่ทางาน ตลอดเวลาด้วยความเร็วมากยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์ จึง สามารถควบคุม 90 % ของการดาเนินชีวิตเรา จิต นอกสานึกจะเชื่อและทาตามที่จิตสานึกเชื่อจริงๆ เพราะคนเราล้วนมีความหวาดกลัว ความเชื่อ ความ คิดเห็นของตนเอง แต่จะเป็นกฎเกณฑ์ที่มีพลังเฉพาะ สิ่งที่จิตนอกสานึกเชื่อเท่านั้น โดยจิตนอกสานึกจะไม่รู้ ว่าเป็นด้านบวกหรือด้านลบ ขอเพียงเชื่อก็จะทาตาม ดังนั้นเราต้องใช้จิตสานึกให้ข้อเสนอแนะจิตนอก สานึกเฉพาะสิ่งที่ดีงามที่จะหนุนเนื่องให้เราสาเร็จและ เป็นด้านบวกเท่านั้นเพื่อสร้างความสาเร็จที่ยั่งยืน ในโลกยุคดิจิตอลเช่นปั จจุบัน สรรพสิ่ง เปลี่ยนแปลงเร็วมากทาให้กรอบความคิดของเราต้อง เปลี่ยนแปลงให้ทันกาลเพราะต้นทุนที่แท้จริงของเรา คือ “ความคิด”เช่นเดียวกันกับต้นทุนของประเทศ เหตุเพราะต้นทุนด้านอื่น เช่น การเพราะปลูกที่ ผลผลิตเพิ่ม 3 เท่าแต่ทาให้เกิดรายได้เท่าเดิม ในขณะ ที่ความคิด ยิ่งแผ่ขยายออกไป ยิ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้น P.Boothsamarn.DinSoDome.TH/#4.0