More Related Content
Similar to กฎหมายมรดก (8)
กฎหมายมรดก
- 4. มรดก หรือ กองมรดก ของผู้ตาย หมายถึง ทรัพย์สินของผู้ตายรวมถึงสิทธิ
หน้าที่ และความรับผิดต่างๆ ของผู้ตายที่มีอยู่ขณะตาย เว้นแต่ทรัพย์สิน สิทธิหน้าที่
และความรับผิดนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวโดยแท้ของผู้ตายเช่น บ้าน ที่ดิน รถยนต์ เงิน
ฝาก สิทธิของผู้ซื้อที่จะได้รับทรัพย์สินที่ซื้อ หน้าที่ของผู้กู้ที่จะต้องชาระหนี้เงินกู้
ให้แก่ผู้ให้กู้ ความรับผิดของผู้ทาละเมิดที่จะต้องชดใช้ค่าสินไหม ทดแทนให้แก่ผู้
ถูกทาละเมิด เป็นต้น
ส่วนทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดที่มีลักษณะ เป็นการเฉพาะตัว
โดยแท้ของผู้ตาย ย่อมไม่เป็นมรดกเช่น สิทธิอาศัย สิทธิเก็บกิน สิทธิของผู้เช่าตาม
สัญญาเช่าทรัพย์ หน้าที่ของลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน และหน้าที่ที่ต้องทาเอง
เฉพาะตัว เช่น ดาเป็นนักร้องชื่อดัง แดงจึงจ้างดาให้ร้องเพลงในงานวันเกิดของตน
ก่อนถึงงานวันเกิดของแดงปรากฏว่าดาได้ถึงแก่ความตายเสียก่อน
2.ความหมายของ
มรดก
- 5. ดังนี้ แดง จะไปบังคับทายาทซึ่งอาจเป็นบุตรของดาให้ร้องเพลงแทนบิดาไม่ได้
เพราะถือว่าการร้องเพลงเป็นการเฉพาะตัวของดาเองที่จะต้องใช้ความสามารถในการร้อง
ของตน ซึ่งจะให้คนอื่นมาทาหน้าที่แทนไม่ได้
ทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดซึ่งเกิดขึ้นภายหลังเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย
ย่อมไม่เป็นมรดกเช่น ดอกผลของทรัพย์สินที่เกิดขึ้นหลังจากเจ้ามรดกถึงแก่ความตายไป
แล้ว บาเหน็จตกทอด หรือเงินบริษัทปรันชีวิตจ่ายให้แก่ทายาทเมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความ
ตายเป็นต้น
อย่างไรก็ดีทายาทไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตนได้รับมาเช่น ดา ซึ่งเป็น
เจ้ามรดกมีเงินอยู่ขณะถึงแก่ความตาย1 ล้านบาท แต่มีหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินอยู่2 ล้าน
บาท ดังนี้ ทายาทจะต้องรับมรดกไปทั้งเงินจานวน1 ล้านบาท และหน้าที่ในการชาระหนี้
ตามสัญญากู้ยืมเงิน 2ล้านบาทแต่ทายาทมีหน้าที่ชาระหนี้ไม่เกินไปกว่าทรัพย์มรดกที่ตน
ได้รับ คือ ชาระหนี้เงินกู้เพียง1 ล้านบาท ส่วนอีก 1ล้านบาททายาทไม่จาเป็นต้องชาระก็
ได้
2.ความหมายของ
มรดก
- 7. เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย มรดกจะตกทอดไปยังทายาทที่มีชีวิตอยู่ ขณะที่
เจ้ามรดกตาย หากทายาทตายก่อนหรือพร้อมกับเจ้ามรดก ทายาทคนดังกล่าวไม่มี
สิทธิรับมรดกซึ่งทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดก แบ่งออกเป็น2 ประเภทได้แก่
(1)ทายาทโดยธรรม
(2) ผู้รับพินัยกรรม
4.1ทายาทโดยธรรม
ทายาทโดยธรรม หมายถึง ทายาทที่มีสิทธิในการรับมรดกตามกฎหมาย อัน
ได้แก่ (1) ญาติ และ (2)คู่สมรสของผู้ตาย ทั้งนี้ บุคคลธรรมดาเท่านั้นที่จะเป็น
ทายาทโดยธรรมได้ นิติบุคคลไม่อาจเป็นทายาทโดยธรรมได้ซึ่งต่างจากผู้รับ
พินัยกรรมที่อาจเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้
4.ผู้มีสิทธิได้รับ
มรดก
- 10. ลาดับที่ 3 พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับ
เจ้ามรดกที่มีสิทธิได้รับมรดกนั้นให้ถือตามความเป็นจริง ไม่ได้ถือตามกฎหมาย
ลาดับที่ 4 พี่น้องร่วมแต่บิดาหรือร่วมแต่มารดา พี่น้องร่วมแต่บิดาหรือร่วม
แต่มารดาเดียวกันกับเจ้ามรดกที่มีสิทธิได้รับมรดกนั้นให้ถือตามความเป็นจริง
เช่นเดียวกับทายาทลาดับที่ 3
ลาดับที่ 5 ปู่ ย่า ตา ยาย ซึ่งปู่ ย่า ตา ยาย ที่จะมีสิทธิรับมรดกจะต้องเป็นปู่ ย่า
ตา ยาย ที่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของมรดกเท่านั้น
4.ผู้มีสิทธิได้รับ
มรดก
- 11. ในการพิจารณาว่าทายาทโดยธรรมประเภท ญาติจะได้รับมรดกเพียงใดนั้น
ย่อมเป็นไปตามหลัก ญาติสนิทตัดญาติห่าง กล่าวคือ หากญาติลาดับก่อนยังมีชีวิต
อยู่ญาติลาดับก่อนย่อมมีสิทธิได้รับมรดก ทาให้ญาติลาดับหลังไม่มีสิทธิได้รับ
มรดกเลย อย่างไรก็ตาม หลักญาติสนิทตัดญาติห่าง มีข้อยกเว้นว่า ในกรณีที่ทายาท
ลาดับที่ 1 และลาดับที่ 2 ยังมีชีวิตอยู่ทั้งคู่ทายาททั้งสองลาดับมีสิทธิได้รับมรดกใน
สัดส่วนที่เท่ากัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งทายาทลาดับที่ 1 ไม่ตัดทายาทลาดับที่ 2
ทั้งนี้ หากทายาทโดยธรรมในลาดับเดียวกันมีหลายคน ทายาทเหล่านั้นก็จะได้รับ
มรดกในสัดส่วนที่เท่ากัน
4.ผู้มีสิทธิได้รับ
มรดก
ตัวอย่าง เช่น
- 14. หรือในกรณีที่ผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายเป็นทายาทโดยธรรมประเภทญาติ
ในลาดับที่ 2 หรือลาดับที่ 3 คือ บิดามารดา หรือพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันคู่
สมรสที่มีชีวิตอยู่มีสิทธิได้รับมรดกกึ่งหนึ่งของมรดกทั้งหมด หรือในกรณีที่ผู้มี
สิทธิรับมรดกของผู้ตายเป็นทายาทโดยธรรมประเภทญาติในลาดับที่ 4 หรือลาดับ
ที่ 5 หรือลาดับที่ 6 คือ พี่น้องร่วมแต่บิดาหรือร่วมแต่มารดา หรือปู่ ย่า ตา ยาย หรือ
ลุง ป้า น้า อา คู่สมรสที่มีชีวิตอยู่มีสิทธิได้รับมรดกสองในสามส่วนของมรดก
ทั้งหมด หรือในกรณีที่เจ้ามรดกไม่มีทายาทโดยธรรมประเภทญาติที่มีสิทธิรับ
มรดกเลย คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่มีสิทธิได้รับมรดกทั้งหมด
4.ผู้มีสิทธิได้รับ
มรดก
- 15. 4.2 ผู้รับพินัยกรรม
ผู้รับพินัยกรรม หมายถึง บุคคลซึ่งผู้ตายทาพินัยกรรมยกทรัพย์สิน
อันเป็นทรัพย์มรดกให้ผู้รับพินัยกรรมนั้นอาจเป็นญาติพี่น้องของผู้ตายหรือ
บุคคลภายนอกก็ได้ และอาจเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ เช่น ดาทา
พินัยกรรมยกทรัพย์ทั้งหมดของตนให้แก่แดงเพื่อนของตน ต่อมาดาถึงแก่ความตาย
แดงจึงได้รับมรดกทั้งหมดของดาในฐานะผู้รับพินัยกรรม
4.ผู้มีสิทธิได้รับ
มรดก
- 17. ตัวอย่าง ก่อนบวชเป็นพระภิกษุ “แดง” มีที่ดินแปลงหนึ่งจานวน 10 ไร่
และมีเงินฝากในธนาคาร 1 ล้านบาท เมื่อ “แดง” บวชเป็นพระภิกษุแล้ว พระภิกษุ
“แดง” ได้ซื้อที่ดินอีกแปลงหนึ่งจานวน 20 ไร่ และได้รับปัจจัยจากญาติโยมเป็น
เงินจานวน 2 ล้านบาท หากต่อมาพระภิกษุ “แดง” ถึงแก่มรณภาพโดยไม่ได้ทา
พินัยกรรมไว้ ดังนี้ ที่ดินแปลงที่มีเนื้อที่ 10 ไร่ และเงินฝากในธนาคารจานวน 10
ล้านบาท ย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมของพระภิกษุ “แดง” เพราะ
เป็นทรัพย์สินที่พระภิกษุ “แดง” มีอยู่ก่อนบวช ส่วนที่ดินแปลงที่มีเนื้อที่ 20 ไร่
และเงินปัจจัยจานวน 20 ล้านบาท ย่อมตกเป็นสมบัติของวัดที่พระภิกษุ “แดง” มี
ภูมิลาเนา เพราะเป็นทรัพย์สินที่พระภิกษุ “แดง” ได้มาในระหว่างที่บวชเป็น
พระภิกษุอยู่
5. การรับมรดกของ
พระภิกษุ
- 20. 7.1 ความหมายของพินัยกรรม
พินัยกรรม หมายถึง นิติกรรมซึ่งบุคคลได้แสดงเจตนาฝ่ายเดียวกาหนดการ
เผื่อตายในเรื่องทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ ตลอดจนความรับผิดชอบของตนเมื่อตน
ได้ตายไปแล้ว โดยพินัยกรรมต้องทาตามแบบที่กฎหมายกาหนดเท่านั้นและ
พินัยกรรมจะมีผลเมื่อผู้ทาพินัยกรรมตาย
7.พินัยกรรม
เช่น ตาล ทาพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดของตนให้แก่ ที บิดาของตน
และยกศพของตนให้กับโรงพยาบาลศิริราชเพื่อประโยชน์ในการศึกษา พินัยกรรมที่
ตาลทาขึ้นจะมีผลเมื่อ ตาลตาย กรณีที่เจ้าที่มรดกทาพินัยกรรมไว้หลายฉบับและมี
ข้อความขัดแย้งกัน ให้ถือตามพินัยกรรมฉบับหลังสุด
- 21. 7.2 ผู้ทาพินัยกรรม
(1.)ฉผู้ทาพินัยกรรมจะต้องมีอายุอย่างน้อย 15 ปีบริบูรณ์ หากพินัยกรรม
กระทาโดยบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบ 15 ปีบริบูรณ์ พินัยกรรมนั้นจะเป็นโมฆะ
(2.)คนไร้ความสามารถจะทาพินัยกรรมไม่ได้ พินัยกรรมที่ทาขึ้นโดยคนไร้
ความสามารถย่อมตกเป็นโมฆะ
(3.)พินัยกรรมที่ทาขึ้นโดยคนวิกลจริตจะตกเป็นโมฆะก็ต่อเมื่อพิสูจน์ได้ว่าผู้
นั้นทาพินัยกรรมในขณะที่จริตวิกล หากผู้นั้นทาพินัยกรรมในขณะที่ไม่ได้จริต
วิกล พินัยกรรม นั้นมีผลสมบูรณ์
7.พินัยกรรม
อนึ่ง มีข้อสังเกตว่า “คนเสมือนไร้ความสามารถ”
สามารถทาพินัยกรรมได้โดยไม่ต้องได้รับความ
ยินยอมจากผู้พิทักษ์ พินัยกรรมที่คนเสมือนไร้
ความสามารถทาย่อมมีผลสมบูรณ์
- 22. 7.3 บุคคลที่ไม่สามารถเป็นผู้รับพินัยกรรมได้
บุคคลที่ไม่สามารถเป็นผู้รับพินัยกรรมได้มี 4 ประเภท คือ
(1) ผู้เขียนพินัยกรรมและคู่สมรสของผู้เขียนพินัยกรรม
(2) พยานในพินัยกรรมและคู่สมรสของพยานในพินัยกรรม
(3) พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้จดแจ้งข้อความแห่งพินัยกรรมแบบทาด้วยวาจาและคู่
สมรสของพนักงานเจ้าหน้าที่นั้นและ
(4) ในกรณีที่ผู้เยาว์ทาพินัยกรรม ผู้ปกครองของผู้เยาว์ รวมไปถึงคู่สมรส บุพการี
หรือผู้สืบสันดาน หรือพี่น้องของผู้ปกครองจะเป็นผู้รับพินัยกรรมไม่ได้ เว้นแต่
ผู้ปกครองได้ทาแถลงการณ์ปกครองแล้ว
7.พินัยกรรม
- 26. 7.5.3 พินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง
พินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองมีหลักเกณฑ์ 4 ประการ
(1) ผู้ทาพินัยกรรมต้องไปแจ้งข้อความที่ตนประสงค์จะให้ใส่ไว้ในพินัยกรรมของ
ตนแก่นายอาเภอหรือผู้อานวยการเขตต่อหน้าพยานอย่างน้อย 2 คน
(2) นายอาเภอหรือผู้อานวยการเขตต้องจดข้อความที่ผู้ทาพินัยกรรมแจ้งให้ทราบ
และอ่านข้อความนั่นให้ผู้ทาพินัยกรรมและพยานฟัง
(3) ผู้ทาพินัยกรรมและพยานลงลายมือชื่อในพินัยกรรม
(4) นายอาเภอหรือผู้อานวยการเขตลงลายมือชื่อและลง วัน เดือน ปี พร้อมกับจดลง
ในพินัยกรรม ว่าพินัยกรรมถูกต้องและประทับตราตาแหน่ง
7.พินัยกรรม
- 27. 7.5.4พินัยกรรมแบบเอกสารลับ
พินัยกรรมแบบเอกสารลับมีหลักเกณฑ์ 4 ประการ คือ
(1) ผู้ทาพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อในพินัยกรรม
(2) ผู้ทาพินัยกรรมต้องปิดผนึกพินัยกรรมนั้นและลงลายมือชื่อบนรอยปิดผนึกนั้น
(3) ผู้ทาพินัยกรรมต้องนาพินัยกรรมที่ปิดผนึกนั้นไปแสดงต่อนายอาเภอหรือ
ผู้อานวยการเขต และพยานอย่างน้อย 2 คน และให้ถ้อยคาต่อบุคคลทั้งหมดว่าเป็น
พินัยกรรมของตนเอง
(4) นายอาเภอหรือพนักงานเขตจดถ้อยคาของผู้ทาพินัยกรรมและลงวัน เดือน ปี ที่
ทาพินัยกรรมไว้บนซองและประทับตรา ให้นายอาเภอพยานลงลายมือชื่อบนซอง
7.พินัยกรรม
- 28. 7.5.5 พินัยกรรมแบบทาด้วยวาจา
พินัยกรรมแบบทาด้วยวาจามีหลักเกณฑ์ 4 ประการ
(1) ต้องมีพฤติการณ์พิเศษซึ่งผู้ทาพินัยกรรมไม่สามารถจะทาพินัยกรรมไม่สามารถ
จะพิมพ์ตามแบบอื่นได้ เช่น ผู้ทาพินัยกรรมอยู่ในอันตรายใกล้ตาย หรืออยู่ใน
สงคราม
(2) ผู้ทาพินัยกรรมต้องแสดงเจตนาทาพินัยกรรมต่อพยานอย่างน้อย 2 คน
(3) พยานทั้งสองคนต้องไปแสดงตนต่อนายอาเภอหรือผู้อานวยการเขตโดยไม่
ชักช้าและแจ้งข้อความที่ผู้ทาพินัยกรรมได้สั่งไว้ด้วยวาจา แจ้งวัน เดือน ปี สถานที่
ที่ทาพินัยกรรมและพฤติการณ์พิเศษนั่นต่อนายอาเภอหรือผู้อานวยการเขตด้วย
(4) นายอาเภอหรือผู้อานวยการเขตต้องจดข้อความที่พยานนามาแจ้ง และพยาน 2
คนนั้นต้องลงลายมือชื่อไว้
7.พินัยกรรม
- 31. 1. เมื่อแป้ งถึงแก่ความตายโดยไม่มีทายาทโดยธรรม หรือผู้รับพินัยกรรม มรดกของ
บุคคลนั้นตกแก่ใคร
ก. นายตาลซึ่งเป็น คู่รักกันตอนสมัครเรียน
ข. ตกเป็นของพี่น้องร่วมสาบาน
ค. ตกเป็นของแผ่นดิน
ง. บริจาคเงินทั้งหมดให้ผู้ประสบภัยในประเทศ
- 33. 2. เทียนชัยเป็นนักเต้นชื่อดัง อ.โยจึงจ้างเทียนชัยให้เต้นในงานวันเกิดของตน ก่อนถึงงาน
วันเกิดของอ.โยปรากฏว่าเทียนชัยได้ถึงแก่ความตายเสียก่อน อ.โย จะไปบังคับ เปเป้ ซึ่ง
เป็นทายาทหรือเป็นบุตรของเทียนชัยให้เต้นแทนได้หรือไม่
ก. ได้เพราะถือว่า เปเป้ เป็นบุตรโดยชอบธรรม
ข. ได้เพราะ เทียนชัย ได้ตกลงกับ อ.โย เอาไว้ก่อนตายจึงสามารถที่จะเรียกร้องให้ เปเป้
ซึ่งเป็นบุตรของ เทียนชัย มาเต้นแทนได้
ค. ไม่ได้เพราะถือว่าการเต้นเป็นการเฉพาะตัวของ เทียนชัย เองที่จะต้องใช้
ความสามารถในการเต้นของตน ซึ่งจะให้คนอื่นมาทาหน้าที่แทนไม่ได้
ง. ไม่ได้เพราะ อ.โย ได้ตกลงกับ เทียนชัย ผู้เป็นบิดา ซึ่งเปเป้ไม่ได้ทราบเรื่องการเต้น
- 34. ค. ไม่ได้ เพราะถือว่าการเต้นเป็นการเฉพาะตัวของ เทียนชัย เองที่จะต้องใช้
ความสามารถในการเต้นของตน ซึ่งจะให้คนอื่นมาทาหน้าที่แทนไม่ได้
อธิบาย : ส่วนทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดที่มีลักษณะ เป็นการ
เฉพาะตัวโดยแท้ของผู้ตาย ย่อมไม่เป็นมรดกเช่น สิทธิอาศัย สิทธิเก็บกิน สิทธิของ
ผู้เช่าตามสัญญาเช่าทรัพย์ หน้าที่ของลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน และหน้าที่ที่
ต้องทาเองเฉพาะตัว
- 35. 3. ปวินเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายดีม โดยปวินได้รับรองว่าดีมเป็นบุตรของ
ตนโดยพฤตินัยแล้ว หากต่อมาดีมถึงแก่ความตาย ปวินย่อมไม่มีสิทธิรับมรดกของดีม
แต่หากปวินถึงแก่ความตาย ดีมย่อมมีสิทธิได้รับมรดกของปวิน จากข้อความ ถามว่า
เพราะเหตุใด ปวินจึงไม่มีสิทธิในมรดกของนายดีม แต่เมื่อนายปวินตายนายดีมย่อมมี
สิทธิได้รับมรดก
ก. นายดีมไม่ได้ทาพินัยกรรมให้กับนายปวิน แต่เมื่อนายปวินตายนายดีมย่อมมีสิทธิ
ได้รับมรดกในฐานะทายาทลาดับที่ 1
ข. นายปวินเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของดีม แต่เมื่อนายปวินตายนายดีมย่อมมี
สิทธิได้รับมรดกเพราะปวินได้รับรองว่านายดีมเป็นบุตรของตนโดยพฤตินัยแล้ว
ค. นายดีมไม่ได้ทาพินัยกรรมให้กับนายปวิน แต่เมื่อนายปวินตาย นายดีมย่อมมีสิทธิ
ได้รับมรดก เพราะปวินได้รับรองว่าดีมเป็นบุตรของตนโดยพฤตินัยแล้ว
ง. นายดีมไม่ได้ทาพินัยกรรมให้กับนายปวิน นายปวินได้ทาพินัยกรรมให้แก่นายดีม
บุตรชายโดยชอบธรรม
- 37. 4. ตาลซึ่งเป็นเจ้าของมรดกตาย โดยภรรยาและบิดามารดาของตาลถึงแก่ความตายแล้ว
และในขณะตายนั้นตาลมีเงินเป็นเงิน 12 ล้านบาท ตาลมีบุตร 2 คน ดังนั้น บุตรทั้ง 2 ที่
เป็นทายาลาดับที่ 1 จะได้รับเงิน ในสัดส่วนเท่าใด และทายาทลาดับถัดลงไป มีอยู่ 2
คน จะมีสิทธิได้รับเงินของนายตาลหรือไม่
ก. จะได้รับในสัดส่วน 3 ส่วน 1 โดยผู้เป็นพี่ จะได้รับ 3 ส่วน เป็นเงิน 9 ล้านบาท
น้องจะได้รับ 3 ล้านบาท ทายาทลาดับถัดลงไปจะไม่มีสิทธิได้รับเงิน
ข. จะได้รับในสัดส่วนที่เท่ากัน เป็นเงิน คนละ 6 ล้านบาท ทายาทลาดับถัดลงไปจะไม่
มีสิทธิได้รับเงิน
ค. จะได้รับในสัดส่วนที่เท่ากันทั้ง บุตร 2 คนและทายาทลาดับถัดไป 2 คน จะได้รับ
คนละ 3 ล้านบาท
ง. จะได้รับในสัดส่วน 3 ส่วน 1 ฝ่ายบุตรลาดับที่ 1 จะได้รับเงิน 9 ล้านบาท แบ่งคนละ
4.5 ล้านบาท ส่วนทายาทลาดับถัดไป จะได้รับ 1 ส่วนคือ 3 ล้านบาทแบ่งแล้วจะได้รับ
เงินคนละ 1.5 ล้านบาท
- 39. 5. นางกิ๊ฟหม้ายสามีตาย มีบุตรหนึ่งคนชื่อนายที ต่อมานางกิ๊ฟได้มาอยู่กินกับนายบอย ทุ่งหลวง ฉัน
สามีภรรยา เกิดบุตรหนึ่งคนชื่อเด็กชายตั๊ก นายบอย ทุ่งหลวง ผู้เป็นบิดายินยอมให้เด็กชายตั๊กใช้
นามสกุลและอุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาตลอดมาอย่างเปิดเผย จนกระทั่งนายตั๊กโตขึ้นมา มีงาน
ทาและมีภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายชื่อนางแหม่ม ต่อมานางกิ๊ฟตาย นายบอย ทุ่งหลวง จึงไป
บวชเป็นพระภิกษุ และต่อมานายตั๊กตาย มีมรดก 300,000 บาท จงแบ่งมรดกของนายตั๊ก
ก. ตกเป็นของ นายบอย ทุ่งหลวง เป็นเงินทั้งหมด 300,000 บาท
ข. ตกเป็นของนางแหม่มซึ่งเป็นคู่สมรส และตกเป็นของบอย ทุ่งหลวง โดยแบ่ง 2 ส่วนใน 3 ให้
แหม่มซึ่งเป็นคู่สมรส ได้200,000 บาทบอย ทุ่งหลวงได้100,000 บาท
ค. ตกเป็นของนายทีซึ่งเป็นพี่ชายร่วมสายเลือดทางมารดา และตกเป็นของบอย ทุ่งหลวง โดย
แบ่ง 2 ส่วน ได้เงินเท่ากัน 200,000 บาท
ง. ตกเป็นของนายทีซึ่งเป็นพี่ชายร่วมสายเลือด และตกเป็นของนางแหม่ม โดยแบ่ง 2 ส่วนใน 3
ให้แหม่มซึ่งเป็นคู่สมรส 200,000 บาท นายทีพี่ชายได้100,000 บาท
- 40. ง. ตกเป็นของนายทีซึ่งเป็นพี่ชายร่วมสายเลือด และตกเป็นของนางแหม่มด้วย แบ่ง2 ส่วนใน 3
ให้แหม่มซึ่งเป็นคู่สมรส 200,000 บาท นายทีพี่ชายได้ 100,000 บาท
อธิบาย : นายตั๊กเป็นบุตรนอกกฎหมายที่นายบอยทุ่งหลวงบิดาได้รับรองแล้ว นาย
ตั๊กจึงเป็นผู้สืบสันดานของนายบอย ทุ่งหลวง แต่นายตั๊กไม่ใช่บุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย
ของนายบอย ทุ่งหลวง และนายบอยทุ่งหลวงไม่ใช่บิดาโดยธรรมของนายตั๊กเพราะ
ทายาทโดยธรรมลาดับที่ 2 บิดามารดา หมายถึงบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น
ดังนั้นนายบอย ทุ่งหลวงไม่ใช่บิดาโดยธรรมของนายตั๊ก
นายตั๊กมีภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายคือนางแหม่มและมีพี่ร่วมมารดาคือนายที มรดกของ
นายตั๊ก 300,000 บาท ตกแก่นางแหม่มคู่สมรส 2 ส่วนใน 3 คือ 200,000 บาท และนายที
พี่ชายร่วมมารดา100,000 บาท