SlideShare a Scribd company logo
ขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์
                กรมวิชาการ (2545) ได้กล่าวถึงวิธีการทางประวัติศาสตร์ ว่ามีลาดับขั้นตอน
ดังนี้
                  1. การกาหนดเป้ าหมายหรื อประเด็นคาถามที่ตองการศึกษา แสวงหาคาตอบ
                                                                   ้
(ศึกษาอะไร ช่วงเวลาไหน สมัยใดและเพราะเหตุใด)
                  2. การค้นหาและรวบรวมหลักฐานประเภทต่างๆ ทั้งที่เป็ นลายลักษณ์อกษรและ       ั
                                                               ่
ไม่เป็ นลายลักษณ์อกษรซึ่ งได้แก่ วัตถุโบราณร่ องรอยถิ่นที่อยูอาศัยหรื อการดาเนิ นชีวิต
                    ั
                  3. การวิเคราะห์หลักฐาน (การตรวจสอบหลักฐาน การประเมินความน่าเชื่ อถือ
การประเมินคุณค่าของหลักฐาน) และการตีความอย่างเป็ นเหตุเป็ นผลมีความเป็ นกลางและปราศจากอคติ
                  4. การสรุ ปข้อเท็จจริ งเพื่อตอบคาถามด้วยการเลือกสรรข้อเท็จจริ งจากหลักฐาน
อย่างเคร่ งครัดโดยไม่ใช่ค่านิ ยมไปตัดสิ นพฤติกรรมของคนในอดีตโดยพยายามเข้าใจความคิดของคนในยุค
                          ่
นั้นหรื อนาตัวเข้าไปอยูในยุคสมัยที่ตนศึกษา
                  5. การนาเสนอเรื่ องที่ศึกษาและอธิ บายได้อย่างสมเหตุสมผล โดยใช้ภาษาที่เข้าใจ
ง่ายมีความต่อเนื่องและน่าสนใจตลอดจนมีการอ้างอิงข้อเท็จจริ งเพื่อให้ได้งานทางประวัติศาสตร์ ที่มีคุณค่า
และมีความหมาย
             ธีระ นุชเปี่ ยม (2551)ได้กล่าวถึงวิธีการทางประวัติศาสตร์ ว่ามีลาดับขั้นตอนดังนี้
                  1. การกาหนดเป้ าหมายในการค้นคว้า เป็ นการตั้งเป้ าหมายเรื่ องที่จะศึกษา
                  2. การรวบรวมข้อมูลหรื อหลักฐาน
                  3. ประเมินคุณค่าสร้างสรรค์ความรู ้จากข้อมูลหรื อหลักฐาน เป็ นทักษะที่ต่อเนื่ องจากการ
รวบรวมข้อมูลเป็ นการให้นกเรี ยนพิจารณาว่าหลักฐานที่นกเรี ยนค้นหารวบรวมมานั้น
                             ั                              ั
เป็ นหลักฐานแบบใดมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด
                  4. ตีความเชื่อมโยงความสัมพันธ์ขอมูลเป็ นการพิจารณาว่าหลักฐานนั้นให้ขอมูล
                                                        ้                                        ้
สารสนเทศอะไรบ้าง
                  5. การวิเคราะห์สังเคราะห์ขอมูล ้
                  ดนัย ไชยโยธา (2534) ได้กล่าวถึงวิธีการทางประวัติศาสตร์ ว่ามีลาดับขั้นตอน
5 ขั้นตอนคือ
                  1. Indentification ขั้นนี้เป็ นขั้นสาคัญมากครู จะสอนเรื่ องอะไรก็นาเรื่ องนั้นมา
พิสูจน์ก่อนโดยใช้ What,Where,When,Why,และHow ประกอบ
                  2. Acquissition of fact ขั้นนี้เป็ นการค้นหาแหล่งที่มาของความจริ งและความรู ้
ต่างๆ โดยครู ตองบอกบรรณานุกรมเกี่ยวกับหนังสื อต่างๆ ที่จะค้นหาหลักฐานข้อมูลทั้งหลักฐานดั้งเดิมและ
                ้
หลักฐานรองต้องแยกแยะว่าอันไหนเป็ นหลักฐานดั้งเดิมอันไหนเป็ นหลักฐานรอง
3. Historical Criticism ขั้นนี้เป็ นการนาหลักฐานข้อมูลต่างๆ ที่หามาได้มาค้นหา
ว่าอันไหนถูกต้องหรื อไม่ถูกต้องอันไหนตรงกับสิ่ งที่เราต้องการการประเมินข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ทาได้
2 แบบคือ External Criticism และInternal Criticism ถ้า External Criticism คือ เมื่อหาหลักฐานมาได้
แล้วก็ประเมินว่าเป็ นหลักฐานจริ งหรื อเปล่า ถ้าInternal Criticism คือเมื่อได้หลักฐานมาแล้วก็เอามาประมวล
ดูธรรมชาติและระยะเวลา ที่เกิดเหตุการณ์น้ นขึ้น ดูโครงสร้างของสังคม หาขนบธรรมเนียมประเพณี
                                             ั
พิจารณาถึงสิ่ งต่างๆ เช่นพวกภาชนะเครื่ องประดับผมที่ใส่ เครื่ องสาอางของผูหญิง ก็จะทาให้ทราบว่าสมัย
                                                                              ้
นั้นมีเครื่ องใช้อะไรบ้าง สรุ ปว่าเมือได้ขอมูลต่างๆ แล้วก็นามาวิเคราะห์อีกทีโดยประเมินจากเหตุการณ์
                                          ้
แวดล้อมและรวบรวมหลักฐานที่จะตัดสิ นเพื่อให้ถูกต้องตรงตามความเป็ นจริ งมากที่สุด
                   4. Synthesis คือ การสังเคราะห์เพื่อนาเอาหลักฐานต่างๆ ที่คนหาได้มาวิจารณ์
                                                                                ้
วิจยและแยกแยะแล้วก็นามารวบรวมพอรวบรวมแล้วก็นามาเขียนใหม่เป็ นการสังเคราะห์ ครู ตองพยายาม
    ั                                                                                            ้
ให้นกเรี ยนมีความสามารถและทักษะในการที่จะลงความเห็ นเกี่ยวกับข้อเท็จจริ งต่างๆ ก่อนจะลงความเห็น
      ั
ต้องเห็นความสาคัญก่อนจึงสรุ ปได้
                   5. Presentation คือการนาเสนอเพื่อให้ได้หลักฐานข้อเท็จจริ งที่ถูกต้องจากการ
สังเคราะห์ แล้วจึ งนามาเสนอในชั้น การสอนชั้นต่างๆ เหล่านี้ ครู ผูสอนต้องมีความสามารถและมีทกษะ
                                                                       ้                             ั
เพราะจะต้องตีความและตัดสิ นว่าอันไหนถูกต้องหรื อไม่อย่างไรเวลาสอนต้องใช้What,Where,When,Why,
และHow ประกอบเสมอ ทั้งครู และนักเรี ยน
                   ลัดดา ศิลาน้อยและอังคณา ตุงคะสมิต (มปป.) กล่าว่า ระเบียบวิธีการ
ทางประวัติศาสตร์มี 7 ขั้นตอน คือ
                   1. การกาหนดปั ญหา
                       การตั้งประเด็นปั ญหาทางประวัติศาสตร์เป็ นการเปลี่ยนแปลงหัวข้อเรื่ อง ซึ่ง
นักประวัติศาสตร์ ได้เลือกสรรแล้วว่าสนใจที่จะศึกษาเป็ นรู ปคาถามเกี่ยวกับ “ใคร อย่างไร ที่ไหน เมื่อไหร่
และทาไม” เพื่อเป็ นแนวทางในการค้นรวบรวมหลักฐาน ซึ่ งมีอยูมากมายและกระจัดกระจายอยูในที่ต่างๆ
                                                                   ่                           ่
เข้าไว้ดวยกัน การกาหนดปั ญหาดังกล่าวเป็ นเพียงการตั้งคาถามต่อตนเอง
        ้
ของนักวิจยทางประวัติศาสตร์
             ั
                   2. การค้นคว้ารวบรวมหลักฐาน
                       หลักฐานทางประวัติศาสตร์ คือสรรพสิ่ งที่นกประวัติศาสตร์ ใช้ในการไต่สวน
                                                                 ั
พฤติกรรมของมนุษย์ในอดีตซึ่ งประกอบด้วยสิ่ งที่มนุษย์สร้างขึ้น อาทิ โบราณวัตถุ โบราณสถาน เอกสาร
พงศาวดาร คาบอกเล่า ฯลฯ และผลิตผลจากธรรมชาติ เช่น โครงกระดูกมนุษย์หรื อสัตว์ กองดินที่ทบถม          ั
ซากปรักหักพังของสิ่ งก่อสร้าง หลักฐานเหล่านี้ เป็ นเครื่ องมือให้นกประวัติศาสตร์ วนิฉย เพื่อแสวงหาความ
                                                                     ั                ิ ั
จริ งในอดีต ดังนั้น จึงต้องรวบรวมหลักฐานในเรื่ องราวที่เกี่ยวข้อง
กับหัวข้อที่จะศึกษามากที่สุด โดยไม่จากัดเฉพาะสาขาของตนเองเท่านั้น แต่ตองรวมถึงวิชาการ
                                                                                  ้
ในแขนงอื่นๆด้วย ตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์ตีความจากนักโบราณคดี นักธรณี วทยา          ิ
3. การวิพากษ์หลักฐาน
                           การวิพากษ์หลักฐาน คือ การพิจารณาตรวจสอบหลักฐานที่ได้รับการคัดเลือก
ไว้ แ ต่ ล ะชิ้ น ว่ า มี ค วามน่ า เชื่ อ ถื อ เพี ย งใด แต่ เ ป็ นเพี ย งการประเมิ น หลั ก ฐานมิ ไ ด้ มุ่ ง ที่ ข ้ อ มู ล
ในหลักฐาน จึ ง เรี ยกได้อีก อย่างหนึ่ งว่าการวิพากษ์ภายนอก (External Criticism) จุ ดมุ่ง หมายก็เพื่ อ
ตรวจสอบว่ า หลัก ฐานนั้ น เป็ นหลัก ฐานแท้จ ริ งหรื อไม่ มี แ หล่ ง ที่ ม าจากไหนและรู ปลัก ษณะเดิ ม
เป็ นอย่างไร ขั้นตอนนี้ เป็ นการสกัดหลักฐานที่ ไม่น่าเชื่ อถื อออกไป ก่ อนที่ จะศึ กษาตามระเบี ยบวิธีทาง
ประวัติศาสตร์ ในขั้นตอนต่อไป
                      4. การวิพากษ์ขอมูล      ้
                          การวิพากษ์ขอมูล คือ การพิจารณาเนื้อหา หรื อความหมายที่แสดงออกใน
                                            ้
หลักฐานเพื่อประเมินว่าน่าเชื่ อถือเพียงใด โดยเน้นถึงความถูกต้องคุณค่า ตลอดจนความหมาย
อันแท้จริ ง ระเบียบวิธีทางประวัติศาสตร์ ในขั้นตอนนี้ถือว่าเป็ นการวิพากษ์ภายใน(Internal Criticism)
เนื่องจากมุ่งที่ขอมูลในตัวหลักฐาน ซึ่ งนับว่ามีความสาคัญยิงต่อการประเมินหลักฐาน
                   ้                                                          ่
ที่เป็ นลายลักษณ์อกษรทั้งนี้เพราะข้อมูลในเอกสารมีท้ งที่คลาดเคลื่อนและมีอคติของผูบนทึกแฝงอยู่ หากนัก
                        ั                                           ั                              ้ ั
ประวัติศาสตร์ละเลยการวิพากษ์ขอมูลผลที่ออกมาอาจจะผิดความเป็ นจริ งได้
                                                 ้
                           การวิพากษ์หลักฐาน และการวิพากษ์ขอมูล มีส่วนที่คล้ายคลึ งกัน และจะต้องพิจารณา
                                                                            ้
ควบคู่กนไปเนื่ องจากในบางครั้งการวิพากษ์หลักฐานต้องพิจารณาเนื้ อหาจากในหลักฐาน ส่ วนการวิพากษ์
           ั
ข้อมูลก็ตองศึ กษาหลักฐานประกอบด้วย วิธีการนี้ รวมเรี ยกว่า วิพากษ์วิธีทางประวัติศาสตร์ ซ่ ึ งถื อว่าเป็ น
             ้
ส่ วนสาคัญของการศึกษาประวัติศาสตร์ ที่จะช่วยลดอคติอนอาจเกิดขึ้นจากผูบนทึกเหตุการณ์หรื อตัวผูศึกษา
                                                                          ั               ้ ั                      ้
เองเพื่ อ ให้ ไ ด้ข ้อ เท็ จ จริ ง ที่ น่ า เชื่ อ ถื อ ด้ว ยการประเมิ น ความส าคัญ วิพ ากษ์วิจ ารณ์ ห ลัก ฐานและข้อ มู ล
เช่นเดียวกับวิธีการค้นคว้าทดลองวิทยาศาสตร์
                      5. การตีความหลักฐาน
                           การตีความหลักฐาน คือ การพิจารณาข้อมูลในหลักฐานว่า ผูสร้างหลักฐานมี  ้
เจตนาแท้ จ ริ งอย่ า งไร โดยดู จ ากลี ล าการเขี ย นของผู ้ บ ั น ทึ ก และรู ปร่ างลั ก ษณะ โดยทั่ ว ไป
ของประดิษฐ์กรรมต่างๆ เช่ น โบราณสถานโบราณวัตถุ เพื่อให้ได้ความหมายที่แท้จริ งซึ่ งอาจ แอบ
แฝงอยูในเจตนาหรื อไม่ก็ตามในการตีความหลักฐาน นักประวัติศาสตร์จึงต้องพยายาม
         ่                                                                                                  จับความหมาย
จากคาสานวนโวหาร ทัศนคติ ความเชื่ อ ฯลฯ ของผูเ้ ขียนและสังคมในยุคสมัยนั้นประกอบด้วย เพื่อที่จะ
ได้ทราบว่าถ้อยความนั้นๆ นอกจากจะหมายความตามตัวอักษรแล้วยังมีความหมายที่แท้จริ งอะไรแฝงอยู่
                      6. การสังเคราะห์และการวิเคราะห์
                           การสังเคราะห์ทางประวัติศาสตร์ คือ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลที่
รวบรวมจากหลักฐานต่างๆ ให้เป็ นเรื่ องราว หรื ออธิ บายความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในอดี ตเพื่อ
ความเข้าใจปรากฏการณ์ ท้ งหมด ซึ่ งจะทาให้ประวัติศาสตร์ มิใช่ เพียงการเรี ยงเหตุ การณ์ ตามลาดับเวลา
                                      ั
เท่านั้นแต่แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ต่างๆ นั้นมีความเกี่ยวพันซึ่ งกันและกัน
นอกจากการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่างๆ จนเกิดเรื่ องราวทางประวัติศาสตร์ แล้วนัก
ประวัติศาสตร์ยงต้องพยายามอธิบายถึงความสัมพันธ์ของข้อมูลในเชิงเหตุผลของเหตุ การณ์อีกด้วย
                      ั
ความสัมพันธ์ในลักษณะนี้คือการที่เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ สองกลุ่มมีความสัมพันธ์โดยกาหนดให้กลุ่ม
หนึ่งเป็ นสาเหตุและอีกกลุ่มหนึ่งเป็ นผล และปรากฏการณ์ต่างๆดังกล่าว ยังมีความเกี่ยวเนื่องกันต่อไป ใน
แง่ที่วาปรากฏการณ์ของกลุ่มที่เป็ นผลนั้นก็อาจถูกจัดว่าเป็ นสาเหตุอีกกรณี หนึ่งได้ ดังนั้นข้อเท็จจริ งในทาง
        ่
ประวัติศาสตร์ จึงมีความผูกพันกันอย่างต่อเนื่ องนับตั้งแต่อดีตจนถึงปั จจุบน                      ั
                 เนื่องจากเหตุผลและผลของปรากฏการณ์ มีความสลับซับซ้อนและหลากหลายจนยากที่จะชี้ ชด                                      ั
ได้แน่นอน นักประวัติศาสตร์ จึงต้องพยายามแยกแยะหาสาเหตุของปรากฏการณ์ดงกล่าวนั้น ซึ่ งเรี ยกวิธีการ       ั
นี้ ว่ า การวิ เ คราะห์ ท างประวัติ ศ าสตร์ โดยแบ่ ง แยกออกเป็ น 2                                                ประเภทใหญ่ ๆ
คื อ สาเหตุ ปั จ จุ บ ัน หรื อ พฤติ ก รรมที่ มี ต่ อ เหตุ ก ารณ์ โ ดยตรงและสาเหตุ ด้ ัง เดิ ม หรื อ ปั จ จัย ระยะยาว
ที่ก่อให้เกิดสถานการณ์น้ นขึ้น   ั
                        7. การเรี ยบเรี ยง
                             การเรี ยบเรี ยงงานทางประวัติศาสตร์ หมายถึง การถ่ายทอดข้อเท็จจริ งที่ผาน                   ่
ขั้นตอนต่างๆ ตามระเบียบวิธีการทางประวัติศาสตร์ ขางต้นให้ผูอื่นได้รับรู ้ ซึ่ งจาเป็ นต้องอาศัยศิลปะและ
                                                                       ้               ้
ทักษะทางด้านภาษาเป็ นสาคัญ การนาเสนออาจกระทาโดยการเรี ยงตามลาดับเวลา
                           การแบ่ ง ตามหั ว เรื่ องหรื ออื่ น ๆ ตามความเหมาะสมทั้ งนี้ จะต้ อ งค านึ งถึ ง
การถ่ายทอดความคิดอย่างต่อเนื่ องและมีเหตุผลซึ่ งจะช่วยให้ผลงานมีคุณค่ายิ่งขึ้น ส่ วนลีลาการเขียนให้มี
ชี วิ ต ชี ว า ไ ม่ แ ห้ ง แ ล้ ง น่ า เ บื่ อ ห น่ า ย นั้ น ก็ ขึ้ นอ ยู่ ก ั บ ทั ก ษ ะ ค ว า ม ส า ม า ร ถ ข อ ง แ ต่ ล ะ บุ ค ค ล
ในการที่จะถ่ายทอดผลงานให้น่าสนใจติดตามแต่ก็ยงต้องอยูบนพื้นฐานข้อเท็จจริ งที่น่าเชื่อถือ
                                                                     ั          ่
                        สมหวัง ชัยตามล (2547) ได้กล่าวถึงวิธีการทางประวัติศาสตร์ ว่ามีลาดับขั้นตอน
ดังนี้
                        1. การตั้งประเด็นปั ญหา เป็ นขั้นตอนที่เปิ ดโอกาสให้ผเู ้ รี ยนได้เผชิญกับ
สถานการณ์ หรื อข้อสงสัยที่จะนาไปสู่ การตั้งประเด็นปั ญหาเพื่อทาการศึกษา
                        2. การสารวจเอกสารและหลักฐาน โดยเน้นการใช้หลักฐานชั้นรอง เช่น
บทความ ตารา หนังสื อ ฯลฯ เพื่อให้ผเู ้ รี ยนได้พจารณาขอบเขตของเรื่ อง หรื อประเด็นที่จะศึกษา และกาหนด
                                                              ิ
เป็ นข้อสมมุติฐานเบื้องต้น
                        3. การตั้งสมมุติฐาน โดยอาศัยพื้นฐานจากแนวคิดและทฤษฎีต่าง ๆ เป็ น
ขั้นตอนที่มีความสาคัญ การตั้งสมมุติฐานที่ชดเจนจะช่วยให้ผเู ้ รี ยนมีแนวทางในการศึกษาได้ตรงประเด็น
                                                            ั
                        4. การรวบรวมและคัดเลือกหลักฐาน เป็ นขั้นตอนที่ผเู ้ รี ยนลงมือศึกษา
ค้นคว้าและรวบรวมเอกสารและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ควรใช้ท้ งหลักฐานขั้นต้น และหลักฐานชั้นรอง
                                                                                          ั
ร่ วมกัน
                        5. การวิเคราะห์และประเมินค่าหลักฐาน เมื่อรวบรวมหลักฐานได้มากพอสมควร
แล้ว ผูเ้ รี ยนจะต้องนาหลักฐานนั้น ๆ มาวิเคราะห์ โดยใช้การวิพากษ์ภายนอก พิจารณาความถู กต้องของ
หลักฐาน เช่ น เขี ย นขึ้ นในสมัย ใด เป็ นของจริ งหรื อไม่ ใครเป็ นผูเ้ ขี ย น มี ความเกี่ ย วข้องกับ เรื่ องราวหรื
เหตุการณ์ น้ น ๆ ในประวัติศาสตร์ หรื อไม่ อย่างไร และการวิพากษ์ภายใน คือ การศึกษาถึ งความน่าเชื่ อถื อ
                  ั
ของเอกสารหรื อหลักฐานในด้านเนื้อหา แยกแยะสิ่ งที่เป็ นข้อเท็จจริ งกับความคิดเห็นออกจากกัน เป็ นต้น
                        6. การตีความหลักฐาน โดยการแปลความหมาย วิพากษ์วจารณ์ แสดงความคิดเห็น
                                                                                    ิ
โดยผูเ้ รี ยนเป็ นผูดาเนินการ ซึ่ งต้องอาศัยการวิเคราะห์เชื่อมโยงข้อมูลในแง่มุมต่าง ๆ ประกอบ
                      ้
                        7. การสังเคราะห์ขอมูล เป็ นขั้นตอนที่ผเู ้ รี ยนพยายามเรี ยบเรี ยงความคิดของตน
                                           ้
                          ่
โดยอาศัยข้อมูลที่ผานการวิเคราะห์ ในขั้นตอนนี้ หากพบข้อค้นพบใหม่ ๆ ผูเ้ รี ยนสามารถย้อนกลับไปศึกษา
หลักฐานเพิมเติมเพื่อนามาใช้ในการสังเคราะห์ ก่อนที่จะเรี ยบเรี ยงเป็ นเอกสาร
                ่
                        8. การสรุ ปและเรี ยบเรี ยงเขียนเป็ นแนวคิดหรื อข้อสรุ ป เป็ นขั้นตอนสุ ดท้าย โดย
                                   ่
ผูเ้ รี ยนจะเรี ยบเรี ยงข้อมูลที่ผานการสังเคราะห์แล้ว เขียน หรื อเรี ยบเรี ยงเป็ นข้อสรุ ป อาจนาเสนอในรู ปแบบ
เอกสาร บทความ ตามความเหมาะสม

More Related Content

What's hot

แบบทดสอบกลางภาคเรียน วิทย์ 6 (ออกตามตัวชี้วัด)
แบบทดสอบกลางภาคเรียน วิทย์ 6 (ออกตามตัวชี้วัด)แบบทดสอบกลางภาคเรียน วิทย์ 6 (ออกตามตัวชี้วัด)
แบบทดสอบกลางภาคเรียน วิทย์ 6 (ออกตามตัวชี้วัด)
dnavaroj
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ ยาดมสมุนไพร PDF
โครงงานคอมพิวเตอร์ ยาดมสมุนไพร PDFโครงงานคอมพิวเตอร์ ยาดมสมุนไพร PDF
โครงงานคอมพิวเตอร์ ยาดมสมุนไพร PDF
Wichitchai Buathong
 
Unit4 ความขัดแย้งและความร่วมมือในคริสต์ศตวรรษที่ 20
Unit4 ความขัดแย้งและความร่วมมือในคริสต์ศตวรรษที่ 20Unit4 ความขัดแย้งและความร่วมมือในคริสต์ศตวรรษที่ 20
Unit4 ความขัดแย้งและความร่วมมือในคริสต์ศตวรรษที่ 20Princess Chulabhorn's College, Chiang Rai Thailand
 
โครงงานเคมีกัญ (1)
โครงงานเคมีกัญ (1)โครงงานเคมีกัญ (1)
โครงงานเคมีกัญ (1)Guntima NaLove
 
แบบรายงานการแสดงทางวิทยาศาสตร์
แบบรายงานการแสดงทางวิทยาศาสตร์แบบรายงานการแสดงทางวิทยาศาสตร์
แบบรายงานการแสดงทางวิทยาศาสตร์สมศรี หอมเนียม
 
แบบทดสอบ สาระที่ 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ
แบบทดสอบ สาระที่ 7    ดาราศาสตร์และอวกาศแบบทดสอบ สาระที่ 7    ดาราศาสตร์และอวกาศ
แบบทดสอบ สาระที่ 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ
dnavaroj
 
โครงงานน้ำหมักชีวภาพ
โครงงานน้ำหมักชีวภาพโครงงานน้ำหมักชีวภาพ
โครงงานน้ำหมักชีวภาพKris Niyomphandh
 
กิตติกรรมประกาศ บทคัดย่อ โครงงานทดลองวิทยาศาสตร์ 58
กิตติกรรมประกาศ บทคัดย่อ โครงงานทดลองวิทยาศาสตร์  58กิตติกรรมประกาศ บทคัดย่อ โครงงานทดลองวิทยาศาสตร์  58
กิตติกรรมประกาศ บทคัดย่อ โครงงานทดลองวิทยาศาสตร์ 58
renusaowiang
 
2ชุดฝึกทักษะกระบวนการคิดตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์
2ชุดฝึกทักษะกระบวนการคิดตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์2ชุดฝึกทักษะกระบวนการคิดตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์
2ชุดฝึกทักษะกระบวนการคิดตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์krupornpana55
 
ข้อสอบ เรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สำหรับ นักเรียน
ข้อสอบ เรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สำหรับ นักเรียนข้อสอบ เรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สำหรับ นักเรียน
ข้อสอบ เรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สำหรับ นักเรียนสำเร็จ นางสีคุณ
 
หน่วย 2 ระบบเศรษฐกิจในโลกปัจจุบัน
หน่วย 2 ระบบเศรษฐกิจในโลกปัจจุบันหน่วย 2 ระบบเศรษฐกิจในโลกปัจจุบัน
หน่วย 2 ระบบเศรษฐกิจในโลกปัจจุบันSRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
 
แบบสอบถามความคิดเห็นสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาเกี่ยวกับ
แบบสอบถามความคิดเห็นสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาเกี่ยวกับแบบสอบถามความคิดเห็นสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาเกี่ยวกับ
แบบสอบถามความคิดเห็นสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาเกี่ยวกับ
บุญรักษา ของฉัน
 
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสAomiko Wipaporn
 
การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน
การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน
การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนkrupornpana55
 
ศาสนาซิกข์
ศาสนาซิกข์ศาสนาซิกข์
ศาสนาซิกข์
Padvee Academy
 
8 3 สังคมและวัฒนธรรมไทย
8 3  สังคมและวัฒนธรรมไทย8 3  สังคมและวัฒนธรรมไทย
8 3 สังคมและวัฒนธรรมไทย
Mint NutniCha
 
แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาประวัติศาสตร์ ม.1 หน่วยที่ 1
แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาประวัติศาสตร์ ม.1 หน่วยที่ 1แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาประวัติศาสตร์ ม.1 หน่วยที่ 1
แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาประวัติศาสตร์ ม.1 หน่วยที่ 1Sokoy_jj
 
แบบประเมินต่างๆ
แบบประเมินต่างๆแบบประเมินต่างๆ
แบบประเมินต่างๆNaphachol Aon
 
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง เรียนรู้ชั้นบรรยากาศ
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง เรียนรู้ชั้นบรรยากาศชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง เรียนรู้ชั้นบรรยากาศ
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง เรียนรู้ชั้นบรรยากาศKhwankamon Changwiriya
 

What's hot (20)

แบบทดสอบกลางภาคเรียน วิทย์ 6 (ออกตามตัวชี้วัด)
แบบทดสอบกลางภาคเรียน วิทย์ 6 (ออกตามตัวชี้วัด)แบบทดสอบกลางภาคเรียน วิทย์ 6 (ออกตามตัวชี้วัด)
แบบทดสอบกลางภาคเรียน วิทย์ 6 (ออกตามตัวชี้วัด)
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ ยาดมสมุนไพร PDF
โครงงานคอมพิวเตอร์ ยาดมสมุนไพร PDFโครงงานคอมพิวเตอร์ ยาดมสมุนไพร PDF
โครงงานคอมพิวเตอร์ ยาดมสมุนไพร PDF
 
Unit4 ความขัดแย้งและความร่วมมือในคริสต์ศตวรรษที่ 20
Unit4 ความขัดแย้งและความร่วมมือในคริสต์ศตวรรษที่ 20Unit4 ความขัดแย้งและความร่วมมือในคริสต์ศตวรรษที่ 20
Unit4 ความขัดแย้งและความร่วมมือในคริสต์ศตวรรษที่ 20
 
โครงงานเคมีกัญ (1)
โครงงานเคมีกัญ (1)โครงงานเคมีกัญ (1)
โครงงานเคมีกัญ (1)
 
แบบรายงานการแสดงทางวิทยาศาสตร์
แบบรายงานการแสดงทางวิทยาศาสตร์แบบรายงานการแสดงทางวิทยาศาสตร์
แบบรายงานการแสดงทางวิทยาศาสตร์
 
แบบทดสอบ สาระที่ 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ
แบบทดสอบ สาระที่ 7    ดาราศาสตร์และอวกาศแบบทดสอบ สาระที่ 7    ดาราศาสตร์และอวกาศ
แบบทดสอบ สาระที่ 7 ดาราศาสตร์และอวกาศ
 
โครงงานน้ำหมักชีวภาพ
โครงงานน้ำหมักชีวภาพโครงงานน้ำหมักชีวภาพ
โครงงานน้ำหมักชีวภาพ
 
กิตติกรรมประกาศ บทคัดย่อ โครงงานทดลองวิทยาศาสตร์ 58
กิตติกรรมประกาศ บทคัดย่อ โครงงานทดลองวิทยาศาสตร์  58กิตติกรรมประกาศ บทคัดย่อ โครงงานทดลองวิทยาศาสตร์  58
กิตติกรรมประกาศ บทคัดย่อ โครงงานทดลองวิทยาศาสตร์ 58
 
2ชุดฝึกทักษะกระบวนการคิดตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์
2ชุดฝึกทักษะกระบวนการคิดตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์2ชุดฝึกทักษะกระบวนการคิดตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์
2ชุดฝึกทักษะกระบวนการคิดตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์
 
ข้อสอบ เรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สำหรับ นักเรียน
ข้อสอบ เรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สำหรับ นักเรียนข้อสอบ เรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สำหรับ นักเรียน
ข้อสอบ เรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สำหรับ นักเรียน
 
หน่วย 2 ระบบเศรษฐกิจในโลกปัจจุบัน
หน่วย 2 ระบบเศรษฐกิจในโลกปัจจุบันหน่วย 2 ระบบเศรษฐกิจในโลกปัจจุบัน
หน่วย 2 ระบบเศรษฐกิจในโลกปัจจุบัน
 
แบบสอบถามความคิดเห็นสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาเกี่ยวกับ
แบบสอบถามความคิดเห็นสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาเกี่ยวกับแบบสอบถามความคิดเห็นสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาเกี่ยวกับ
แบบสอบถามความคิดเห็นสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาเกี่ยวกับ
 
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
 
การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน
การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน
การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน
 
ศาสนาซิกข์
ศาสนาซิกข์ศาสนาซิกข์
ศาสนาซิกข์
 
8 3 สังคมและวัฒนธรรมไทย
8 3  สังคมและวัฒนธรรมไทย8 3  สังคมและวัฒนธรรมไทย
8 3 สังคมและวัฒนธรรมไทย
 
แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาประวัติศาสตร์ ม.1 หน่วยที่ 1
แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาประวัติศาสตร์ ม.1 หน่วยที่ 1แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาประวัติศาสตร์ ม.1 หน่วยที่ 1
แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาประวัติศาสตร์ ม.1 หน่วยที่ 1
 
แบบประเมินต่างๆ
แบบประเมินต่างๆแบบประเมินต่างๆ
แบบประเมินต่างๆ
 
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง เรียนรู้ชั้นบรรยากาศ
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง เรียนรู้ชั้นบรรยากาศชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง เรียนรู้ชั้นบรรยากาศ
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง เรียนรู้ชั้นบรรยากาศ
 
ใบงาน อเมริกาเหนือ
ใบงาน อเมริกาเหนือใบงาน อเมริกาเหนือ
ใบงาน อเมริกาเหนือ
 

Viewers also liked

ผลสอบปรีชาญาณ59
ผลสอบปรีชาญาณ59ผลสอบปรีชาญาณ59
ผลสอบปรีชาญาณ59
ชิตชัย โพธิ์ประภา
 
หัวข้อที่ ๒ หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หัวข้อที่ ๒  หลักฐานทางประวัติศาสตร์หัวข้อที่ ๒  หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หัวข้อที่ ๒ หลักฐานทางประวัติศาสตร์
chakaew4524
 
การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยโดยวิธีการทางประวัติศาสตร์
การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยโดยวิธีการทางประวัติศาสตร์การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยโดยวิธีการทางประวัติศาสตร์
การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยโดยวิธีการทางประวัติศาสตร์
Thanawut Rattanadon
 
บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์ และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์  และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์  และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์ และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์krunumc
 
เอกสารประกอบการเรียประวัติศาสตร์
เอกสารประกอบการเรียประวัติศาสตร์เอกสารประกอบการเรียประวัติศาสตร์
เอกสารประกอบการเรียประวัติศาสตร์
พัน พัน
 
สรุปวิชาประวัติศาสตร์
สรุปวิชาประวัติศาสตร์สรุปวิชาประวัติศาสตร์
สรุปวิชาประวัติศาสตร์
บอสคุง ฉึกฉึก
 

Viewers also liked (10)

ช่วยเหลือ
ช่วยเหลือช่วยเหลือ
ช่วยเหลือ
 
ผลสอบปรีชาญาณ59
ผลสอบปรีชาญาณ59ผลสอบปรีชาญาณ59
ผลสอบปรีชาญาณ59
 
เอกสารประกอบการเรียนเล่ม2
เอกสารประกอบการเรียนเล่ม2เอกสารประกอบการเรียนเล่ม2
เอกสารประกอบการเรียนเล่ม2
 
หัวข้อที่ ๒ หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หัวข้อที่ ๒  หลักฐานทางประวัติศาสตร์หัวข้อที่ ๒  หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หัวข้อที่ ๒ หลักฐานทางประวัติศาสตร์
 
การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยโดยวิธีการทางประวัติศาสตร์
การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยโดยวิธีการทางประวัติศาสตร์การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยโดยวิธีการทางประวัติศาสตร์
การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยโดยวิธีการทางประวัติศาสตร์
 
เอกสารประกอบการเรียนเล่ม1
เอกสารประกอบการเรียนเล่ม1เอกสารประกอบการเรียนเล่ม1
เอกสารประกอบการเรียนเล่ม1
 
บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์ และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์  และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์  และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์ และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
 
เอกสารประกอบการเรียประวัติศาสตร์
เอกสารประกอบการเรียประวัติศาสตร์เอกสารประกอบการเรียประวัติศาสตร์
เอกสารประกอบการเรียประวัติศาสตร์
 
เอกสารประกอบการเรียนเล่ม3
เอกสารประกอบการเรียนเล่ม3เอกสารประกอบการเรียนเล่ม3
เอกสารประกอบการเรียนเล่ม3
 
สรุปวิชาประวัติศาสตร์
สรุปวิชาประวัติศาสตร์สรุปวิชาประวัติศาสตร์
สรุปวิชาประวัติศาสตร์
 

Similar to ขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์

ประวัติ2
ประวัติ2ประวัติ2
ประวัติ2sangworn
 
แบบวิเคราะห์ผลการเรียนรู้Tok1
แบบวิเคราะห์ผลการเรียนรู้Tok1แบบวิเคราะห์ผลการเรียนรู้Tok1
แบบวิเคราะห์ผลการเรียนรู้Tok1Kobwit Piriyawat
 
Intro sciproject
Intro sciprojectIntro sciproject
Intro sciproject
Taweesak Poochai
 
ข้อสอบม.2
ข้อสอบม.2ข้อสอบม.2
ข้อสอบม.2kuraek1530
 
วิธีการทางประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์วิธีการทางประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์
jeeraporn
 
ชุดการเรียนรู้ พัฒนาความคิดสร้างสรรค์เรื่อง ซากดึกดำบรรพ์ โดยครูกอบวิทย์ พิร...
ชุดการเรียนรู้ พัฒนาความคิดสร้างสรรค์เรื่อง ซากดึกดำบรรพ์ โดยครูกอบวิทย์  พิร...ชุดการเรียนรู้ พัฒนาความคิดสร้างสรรค์เรื่อง ซากดึกดำบรรพ์ โดยครูกอบวิทย์  พิร...
ชุดการเรียนรู้ พัฒนาความคิดสร้างสรรค์เรื่อง ซากดึกดำบรรพ์ โดยครูกอบวิทย์ พิร...Kobwit Piriyawat
 
การวิจัยเบื้องต้น
การวิจัยเบื้องต้นการวิจัยเบื้องต้น
การวิจัยเบื้องต้นอรุณศรี
 
ฟิสิกส์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฟิสิกส์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ชิตชัย โพธิ์ประภา
 
กิจกรรมการพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียน 4
กิจกรรมการพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียน 4กิจกรรมการพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียน 4
กิจกรรมการพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียน 4supphawan
 
การพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงาน
การพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงานการพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงาน
การพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงานteacherhistory
 
การจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน
การจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน
การจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวนNongruk Srisukha
 
Chapter4 lecture
Chapter4 lectureChapter4 lecture
Chapter4 lecturesupimon1956
 
บทความวิชาการ
บทความวิชาการบทความวิชาการ
บทความวิชาการ
คุณน้อง แสนเทพ
 
Cแนะแนว
CแนะแนวCแนะแนว
Cแนะแนวyutict
 
การนับเวลาทางประวัติศาสตร์.1
การนับเวลาทางประวัติศาสตร์.1การนับเวลาทางประวัติศาสตร์.1
การนับเวลาทางประวัติศาสตร์.1วรรณา ไชยศรี
 
การนับเวลาทางประวัติศาสตร์.1
การนับเวลาทางประวัติศาสตร์.1การนับเวลาทางประวัติศาสตร์.1
การนับเวลาทางประวัติศาสตร์.1วรรณา ไชยศรี
 

Similar to ขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์ (20)

ประวัติ2
ประวัติ2ประวัติ2
ประวัติ2
 
แบบวิเคราะห์ผลการเรียนรู้Tok1
แบบวิเคราะห์ผลการเรียนรู้Tok1แบบวิเคราะห์ผลการเรียนรู้Tok1
แบบวิเคราะห์ผลการเรียนรู้Tok1
 
03chap1
03chap103chap1
03chap1
 
Intro sciproject
Intro sciprojectIntro sciproject
Intro sciproject
 
หน่วย 2
หน่วย 2หน่วย 2
หน่วย 2
 
ข้อสอบม.2
ข้อสอบม.2ข้อสอบม.2
ข้อสอบม.2
 
วิธีการทางประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์วิธีการทางประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์
 
ชุดการเรียนรู้ พัฒนาความคิดสร้างสรรค์เรื่อง ซากดึกดำบรรพ์ โดยครูกอบวิทย์ พิร...
ชุดการเรียนรู้ พัฒนาความคิดสร้างสรรค์เรื่อง ซากดึกดำบรรพ์ โดยครูกอบวิทย์  พิร...ชุดการเรียนรู้ พัฒนาความคิดสร้างสรรค์เรื่อง ซากดึกดำบรรพ์ โดยครูกอบวิทย์  พิร...
ชุดการเรียนรู้ พัฒนาความคิดสร้างสรรค์เรื่อง ซากดึกดำบรรพ์ โดยครูกอบวิทย์ พิร...
 
การวิจัยเบื้องต้น
การวิจัยเบื้องต้นการวิจัยเบื้องต้น
การวิจัยเบื้องต้น
 
ฟิสิกส์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฟิสิกส์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
 
Workhistrory1
Workhistrory1Workhistrory1
Workhistrory1
 
กิจกรรมการพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียน 4
กิจกรรมการพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียน 4กิจกรรมการพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียน 4
กิจกรรมการพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียน 4
 
History 1
History 1History 1
History 1
 
การพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงาน
การพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงานการพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงาน
การพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงาน
 
การจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน
การจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน
การจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน
 
Chapter4 lecture
Chapter4 lectureChapter4 lecture
Chapter4 lecture
 
บทความวิชาการ
บทความวิชาการบทความวิชาการ
บทความวิชาการ
 
Cแนะแนว
CแนะแนวCแนะแนว
Cแนะแนว
 
การนับเวลาทางประวัติศาสตร์.1
การนับเวลาทางประวัติศาสตร์.1การนับเวลาทางประวัติศาสตร์.1
การนับเวลาทางประวัติศาสตร์.1
 
การนับเวลาทางประวัติศาสตร์.1
การนับเวลาทางประวัติศาสตร์.1การนับเวลาทางประวัติศาสตร์.1
การนับเวลาทางประวัติศาสตร์.1
 

ขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์

  • 1. ขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์ กรมวิชาการ (2545) ได้กล่าวถึงวิธีการทางประวัติศาสตร์ ว่ามีลาดับขั้นตอน ดังนี้ 1. การกาหนดเป้ าหมายหรื อประเด็นคาถามที่ตองการศึกษา แสวงหาคาตอบ ้ (ศึกษาอะไร ช่วงเวลาไหน สมัยใดและเพราะเหตุใด) 2. การค้นหาและรวบรวมหลักฐานประเภทต่างๆ ทั้งที่เป็ นลายลักษณ์อกษรและ ั ่ ไม่เป็ นลายลักษณ์อกษรซึ่ งได้แก่ วัตถุโบราณร่ องรอยถิ่นที่อยูอาศัยหรื อการดาเนิ นชีวิต ั 3. การวิเคราะห์หลักฐาน (การตรวจสอบหลักฐาน การประเมินความน่าเชื่ อถือ การประเมินคุณค่าของหลักฐาน) และการตีความอย่างเป็ นเหตุเป็ นผลมีความเป็ นกลางและปราศจากอคติ 4. การสรุ ปข้อเท็จจริ งเพื่อตอบคาถามด้วยการเลือกสรรข้อเท็จจริ งจากหลักฐาน อย่างเคร่ งครัดโดยไม่ใช่ค่านิ ยมไปตัดสิ นพฤติกรรมของคนในอดีตโดยพยายามเข้าใจความคิดของคนในยุค ่ นั้นหรื อนาตัวเข้าไปอยูในยุคสมัยที่ตนศึกษา 5. การนาเสนอเรื่ องที่ศึกษาและอธิ บายได้อย่างสมเหตุสมผล โดยใช้ภาษาที่เข้าใจ ง่ายมีความต่อเนื่องและน่าสนใจตลอดจนมีการอ้างอิงข้อเท็จจริ งเพื่อให้ได้งานทางประวัติศาสตร์ ที่มีคุณค่า และมีความหมาย ธีระ นุชเปี่ ยม (2551)ได้กล่าวถึงวิธีการทางประวัติศาสตร์ ว่ามีลาดับขั้นตอนดังนี้ 1. การกาหนดเป้ าหมายในการค้นคว้า เป็ นการตั้งเป้ าหมายเรื่ องที่จะศึกษา 2. การรวบรวมข้อมูลหรื อหลักฐาน 3. ประเมินคุณค่าสร้างสรรค์ความรู ้จากข้อมูลหรื อหลักฐาน เป็ นทักษะที่ต่อเนื่ องจากการ รวบรวมข้อมูลเป็ นการให้นกเรี ยนพิจารณาว่าหลักฐานที่นกเรี ยนค้นหารวบรวมมานั้น ั ั เป็ นหลักฐานแบบใดมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด 4. ตีความเชื่อมโยงความสัมพันธ์ขอมูลเป็ นการพิจารณาว่าหลักฐานนั้นให้ขอมูล ้ ้ สารสนเทศอะไรบ้าง 5. การวิเคราะห์สังเคราะห์ขอมูล ้ ดนัย ไชยโยธา (2534) ได้กล่าวถึงวิธีการทางประวัติศาสตร์ ว่ามีลาดับขั้นตอน 5 ขั้นตอนคือ 1. Indentification ขั้นนี้เป็ นขั้นสาคัญมากครู จะสอนเรื่ องอะไรก็นาเรื่ องนั้นมา พิสูจน์ก่อนโดยใช้ What,Where,When,Why,และHow ประกอบ 2. Acquissition of fact ขั้นนี้เป็ นการค้นหาแหล่งที่มาของความจริ งและความรู ้ ต่างๆ โดยครู ตองบอกบรรณานุกรมเกี่ยวกับหนังสื อต่างๆ ที่จะค้นหาหลักฐานข้อมูลทั้งหลักฐานดั้งเดิมและ ้ หลักฐานรองต้องแยกแยะว่าอันไหนเป็ นหลักฐานดั้งเดิมอันไหนเป็ นหลักฐานรอง
  • 2. 3. Historical Criticism ขั้นนี้เป็ นการนาหลักฐานข้อมูลต่างๆ ที่หามาได้มาค้นหา ว่าอันไหนถูกต้องหรื อไม่ถูกต้องอันไหนตรงกับสิ่ งที่เราต้องการการประเมินข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ทาได้ 2 แบบคือ External Criticism และInternal Criticism ถ้า External Criticism คือ เมื่อหาหลักฐานมาได้ แล้วก็ประเมินว่าเป็ นหลักฐานจริ งหรื อเปล่า ถ้าInternal Criticism คือเมื่อได้หลักฐานมาแล้วก็เอามาประมวล ดูธรรมชาติและระยะเวลา ที่เกิดเหตุการณ์น้ นขึ้น ดูโครงสร้างของสังคม หาขนบธรรมเนียมประเพณี ั พิจารณาถึงสิ่ งต่างๆ เช่นพวกภาชนะเครื่ องประดับผมที่ใส่ เครื่ องสาอางของผูหญิง ก็จะทาให้ทราบว่าสมัย ้ นั้นมีเครื่ องใช้อะไรบ้าง สรุ ปว่าเมือได้ขอมูลต่างๆ แล้วก็นามาวิเคราะห์อีกทีโดยประเมินจากเหตุการณ์ ้ แวดล้อมและรวบรวมหลักฐานที่จะตัดสิ นเพื่อให้ถูกต้องตรงตามความเป็ นจริ งมากที่สุด 4. Synthesis คือ การสังเคราะห์เพื่อนาเอาหลักฐานต่างๆ ที่คนหาได้มาวิจารณ์ ้ วิจยและแยกแยะแล้วก็นามารวบรวมพอรวบรวมแล้วก็นามาเขียนใหม่เป็ นการสังเคราะห์ ครู ตองพยายาม ั ้ ให้นกเรี ยนมีความสามารถและทักษะในการที่จะลงความเห็ นเกี่ยวกับข้อเท็จจริ งต่างๆ ก่อนจะลงความเห็น ั ต้องเห็นความสาคัญก่อนจึงสรุ ปได้ 5. Presentation คือการนาเสนอเพื่อให้ได้หลักฐานข้อเท็จจริ งที่ถูกต้องจากการ สังเคราะห์ แล้วจึ งนามาเสนอในชั้น การสอนชั้นต่างๆ เหล่านี้ ครู ผูสอนต้องมีความสามารถและมีทกษะ ้ ั เพราะจะต้องตีความและตัดสิ นว่าอันไหนถูกต้องหรื อไม่อย่างไรเวลาสอนต้องใช้What,Where,When,Why, และHow ประกอบเสมอ ทั้งครู และนักเรี ยน ลัดดา ศิลาน้อยและอังคณา ตุงคะสมิต (มปป.) กล่าว่า ระเบียบวิธีการ ทางประวัติศาสตร์มี 7 ขั้นตอน คือ 1. การกาหนดปั ญหา การตั้งประเด็นปั ญหาทางประวัติศาสตร์เป็ นการเปลี่ยนแปลงหัวข้อเรื่ อง ซึ่ง นักประวัติศาสตร์ ได้เลือกสรรแล้วว่าสนใจที่จะศึกษาเป็ นรู ปคาถามเกี่ยวกับ “ใคร อย่างไร ที่ไหน เมื่อไหร่ และทาไม” เพื่อเป็ นแนวทางในการค้นรวบรวมหลักฐาน ซึ่ งมีอยูมากมายและกระจัดกระจายอยูในที่ต่างๆ ่ ่ เข้าไว้ดวยกัน การกาหนดปั ญหาดังกล่าวเป็ นเพียงการตั้งคาถามต่อตนเอง ้ ของนักวิจยทางประวัติศาสตร์ ั 2. การค้นคว้ารวบรวมหลักฐาน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ คือสรรพสิ่ งที่นกประวัติศาสตร์ ใช้ในการไต่สวน ั พฤติกรรมของมนุษย์ในอดีตซึ่ งประกอบด้วยสิ่ งที่มนุษย์สร้างขึ้น อาทิ โบราณวัตถุ โบราณสถาน เอกสาร พงศาวดาร คาบอกเล่า ฯลฯ และผลิตผลจากธรรมชาติ เช่น โครงกระดูกมนุษย์หรื อสัตว์ กองดินที่ทบถม ั ซากปรักหักพังของสิ่ งก่อสร้าง หลักฐานเหล่านี้ เป็ นเครื่ องมือให้นกประวัติศาสตร์ วนิฉย เพื่อแสวงหาความ ั ิ ั จริ งในอดีต ดังนั้น จึงต้องรวบรวมหลักฐานในเรื่ องราวที่เกี่ยวข้อง กับหัวข้อที่จะศึกษามากที่สุด โดยไม่จากัดเฉพาะสาขาของตนเองเท่านั้น แต่ตองรวมถึงวิชาการ ้ ในแขนงอื่นๆด้วย ตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์ตีความจากนักโบราณคดี นักธรณี วทยา ิ
  • 3. 3. การวิพากษ์หลักฐาน การวิพากษ์หลักฐาน คือ การพิจารณาตรวจสอบหลักฐานที่ได้รับการคัดเลือก ไว้ แ ต่ ล ะชิ้ น ว่ า มี ค วามน่ า เชื่ อ ถื อ เพี ย งใด แต่ เ ป็ นเพี ย งการประเมิ น หลั ก ฐานมิ ไ ด้ มุ่ ง ที่ ข ้ อ มู ล ในหลักฐาน จึ ง เรี ยกได้อีก อย่างหนึ่ งว่าการวิพากษ์ภายนอก (External Criticism) จุ ดมุ่ง หมายก็เพื่ อ ตรวจสอบว่ า หลัก ฐานนั้ น เป็ นหลัก ฐานแท้จ ริ งหรื อไม่ มี แ หล่ ง ที่ ม าจากไหนและรู ปลัก ษณะเดิ ม เป็ นอย่างไร ขั้นตอนนี้ เป็ นการสกัดหลักฐานที่ ไม่น่าเชื่ อถื อออกไป ก่ อนที่ จะศึ กษาตามระเบี ยบวิธีทาง ประวัติศาสตร์ ในขั้นตอนต่อไป 4. การวิพากษ์ขอมูล ้ การวิพากษ์ขอมูล คือ การพิจารณาเนื้อหา หรื อความหมายที่แสดงออกใน ้ หลักฐานเพื่อประเมินว่าน่าเชื่ อถือเพียงใด โดยเน้นถึงความถูกต้องคุณค่า ตลอดจนความหมาย อันแท้จริ ง ระเบียบวิธีทางประวัติศาสตร์ ในขั้นตอนนี้ถือว่าเป็ นการวิพากษ์ภายใน(Internal Criticism) เนื่องจากมุ่งที่ขอมูลในตัวหลักฐาน ซึ่ งนับว่ามีความสาคัญยิงต่อการประเมินหลักฐาน ้ ่ ที่เป็ นลายลักษณ์อกษรทั้งนี้เพราะข้อมูลในเอกสารมีท้ งที่คลาดเคลื่อนและมีอคติของผูบนทึกแฝงอยู่ หากนัก ั ั ้ ั ประวัติศาสตร์ละเลยการวิพากษ์ขอมูลผลที่ออกมาอาจจะผิดความเป็ นจริ งได้ ้ การวิพากษ์หลักฐาน และการวิพากษ์ขอมูล มีส่วนที่คล้ายคลึ งกัน และจะต้องพิจารณา ้ ควบคู่กนไปเนื่ องจากในบางครั้งการวิพากษ์หลักฐานต้องพิจารณาเนื้ อหาจากในหลักฐาน ส่ วนการวิพากษ์ ั ข้อมูลก็ตองศึ กษาหลักฐานประกอบด้วย วิธีการนี้ รวมเรี ยกว่า วิพากษ์วิธีทางประวัติศาสตร์ ซ่ ึ งถื อว่าเป็ น ้ ส่ วนสาคัญของการศึกษาประวัติศาสตร์ ที่จะช่วยลดอคติอนอาจเกิดขึ้นจากผูบนทึกเหตุการณ์หรื อตัวผูศึกษา ั ้ ั ้ เองเพื่ อ ให้ ไ ด้ข ้อ เท็ จ จริ ง ที่ น่ า เชื่ อ ถื อ ด้ว ยการประเมิ น ความส าคัญ วิพ ากษ์วิจ ารณ์ ห ลัก ฐานและข้อ มู ล เช่นเดียวกับวิธีการค้นคว้าทดลองวิทยาศาสตร์ 5. การตีความหลักฐาน การตีความหลักฐาน คือ การพิจารณาข้อมูลในหลักฐานว่า ผูสร้างหลักฐานมี ้ เจตนาแท้ จ ริ งอย่ า งไร โดยดู จ ากลี ล าการเขี ย นของผู ้ บ ั น ทึ ก และรู ปร่ างลั ก ษณะ โดยทั่ ว ไป ของประดิษฐ์กรรมต่างๆ เช่ น โบราณสถานโบราณวัตถุ เพื่อให้ได้ความหมายที่แท้จริ งซึ่ งอาจ แอบ แฝงอยูในเจตนาหรื อไม่ก็ตามในการตีความหลักฐาน นักประวัติศาสตร์จึงต้องพยายาม ่ จับความหมาย จากคาสานวนโวหาร ทัศนคติ ความเชื่ อ ฯลฯ ของผูเ้ ขียนและสังคมในยุคสมัยนั้นประกอบด้วย เพื่อที่จะ ได้ทราบว่าถ้อยความนั้นๆ นอกจากจะหมายความตามตัวอักษรแล้วยังมีความหมายที่แท้จริ งอะไรแฝงอยู่ 6. การสังเคราะห์และการวิเคราะห์ การสังเคราะห์ทางประวัติศาสตร์ คือ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลที่ รวบรวมจากหลักฐานต่างๆ ให้เป็ นเรื่ องราว หรื ออธิ บายความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในอดี ตเพื่อ ความเข้าใจปรากฏการณ์ ท้ งหมด ซึ่ งจะทาให้ประวัติศาสตร์ มิใช่ เพียงการเรี ยงเหตุ การณ์ ตามลาดับเวลา ั เท่านั้นแต่แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ต่างๆ นั้นมีความเกี่ยวพันซึ่ งกันและกัน
  • 4. นอกจากการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่างๆ จนเกิดเรื่ องราวทางประวัติศาสตร์ แล้วนัก ประวัติศาสตร์ยงต้องพยายามอธิบายถึงความสัมพันธ์ของข้อมูลในเชิงเหตุผลของเหตุ การณ์อีกด้วย ั ความสัมพันธ์ในลักษณะนี้คือการที่เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ สองกลุ่มมีความสัมพันธ์โดยกาหนดให้กลุ่ม หนึ่งเป็ นสาเหตุและอีกกลุ่มหนึ่งเป็ นผล และปรากฏการณ์ต่างๆดังกล่าว ยังมีความเกี่ยวเนื่องกันต่อไป ใน แง่ที่วาปรากฏการณ์ของกลุ่มที่เป็ นผลนั้นก็อาจถูกจัดว่าเป็ นสาเหตุอีกกรณี หนึ่งได้ ดังนั้นข้อเท็จจริ งในทาง ่ ประวัติศาสตร์ จึงมีความผูกพันกันอย่างต่อเนื่ องนับตั้งแต่อดีตจนถึงปั จจุบน ั เนื่องจากเหตุผลและผลของปรากฏการณ์ มีความสลับซับซ้อนและหลากหลายจนยากที่จะชี้ ชด ั ได้แน่นอน นักประวัติศาสตร์ จึงต้องพยายามแยกแยะหาสาเหตุของปรากฏการณ์ดงกล่าวนั้น ซึ่ งเรี ยกวิธีการ ั นี้ ว่ า การวิ เ คราะห์ ท างประวัติ ศ าสตร์ โดยแบ่ ง แยกออกเป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คื อ สาเหตุ ปั จ จุ บ ัน หรื อ พฤติ ก รรมที่ มี ต่ อ เหตุ ก ารณ์ โ ดยตรงและสาเหตุ ด้ ัง เดิ ม หรื อ ปั จ จัย ระยะยาว ที่ก่อให้เกิดสถานการณ์น้ นขึ้น ั 7. การเรี ยบเรี ยง การเรี ยบเรี ยงงานทางประวัติศาสตร์ หมายถึง การถ่ายทอดข้อเท็จจริ งที่ผาน ่ ขั้นตอนต่างๆ ตามระเบียบวิธีการทางประวัติศาสตร์ ขางต้นให้ผูอื่นได้รับรู ้ ซึ่ งจาเป็ นต้องอาศัยศิลปะและ ้ ้ ทักษะทางด้านภาษาเป็ นสาคัญ การนาเสนออาจกระทาโดยการเรี ยงตามลาดับเวลา การแบ่ ง ตามหั ว เรื่ องหรื ออื่ น ๆ ตามความเหมาะสมทั้ งนี้ จะต้ อ งค านึ งถึ ง การถ่ายทอดความคิดอย่างต่อเนื่ องและมีเหตุผลซึ่ งจะช่วยให้ผลงานมีคุณค่ายิ่งขึ้น ส่ วนลีลาการเขียนให้มี ชี วิ ต ชี ว า ไ ม่ แ ห้ ง แ ล้ ง น่ า เ บื่ อ ห น่ า ย นั้ น ก็ ขึ้ นอ ยู่ ก ั บ ทั ก ษ ะ ค ว า ม ส า ม า ร ถ ข อ ง แ ต่ ล ะ บุ ค ค ล ในการที่จะถ่ายทอดผลงานให้น่าสนใจติดตามแต่ก็ยงต้องอยูบนพื้นฐานข้อเท็จจริ งที่น่าเชื่อถือ ั ่ สมหวัง ชัยตามล (2547) ได้กล่าวถึงวิธีการทางประวัติศาสตร์ ว่ามีลาดับขั้นตอน ดังนี้ 1. การตั้งประเด็นปั ญหา เป็ นขั้นตอนที่เปิ ดโอกาสให้ผเู ้ รี ยนได้เผชิญกับ สถานการณ์ หรื อข้อสงสัยที่จะนาไปสู่ การตั้งประเด็นปั ญหาเพื่อทาการศึกษา 2. การสารวจเอกสารและหลักฐาน โดยเน้นการใช้หลักฐานชั้นรอง เช่น บทความ ตารา หนังสื อ ฯลฯ เพื่อให้ผเู ้ รี ยนได้พจารณาขอบเขตของเรื่ อง หรื อประเด็นที่จะศึกษา และกาหนด ิ เป็ นข้อสมมุติฐานเบื้องต้น 3. การตั้งสมมุติฐาน โดยอาศัยพื้นฐานจากแนวคิดและทฤษฎีต่าง ๆ เป็ น ขั้นตอนที่มีความสาคัญ การตั้งสมมุติฐานที่ชดเจนจะช่วยให้ผเู ้ รี ยนมีแนวทางในการศึกษาได้ตรงประเด็น ั 4. การรวบรวมและคัดเลือกหลักฐาน เป็ นขั้นตอนที่ผเู ้ รี ยนลงมือศึกษา ค้นคว้าและรวบรวมเอกสารและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ควรใช้ท้ งหลักฐานขั้นต้น และหลักฐานชั้นรอง ั ร่ วมกัน 5. การวิเคราะห์และประเมินค่าหลักฐาน เมื่อรวบรวมหลักฐานได้มากพอสมควร
  • 5. แล้ว ผูเ้ รี ยนจะต้องนาหลักฐานนั้น ๆ มาวิเคราะห์ โดยใช้การวิพากษ์ภายนอก พิจารณาความถู กต้องของ หลักฐาน เช่ น เขี ย นขึ้ นในสมัย ใด เป็ นของจริ งหรื อไม่ ใครเป็ นผูเ้ ขี ย น มี ความเกี่ ย วข้องกับ เรื่ องราวหรื เหตุการณ์ น้ น ๆ ในประวัติศาสตร์ หรื อไม่ อย่างไร และการวิพากษ์ภายใน คือ การศึกษาถึ งความน่าเชื่ อถื อ ั ของเอกสารหรื อหลักฐานในด้านเนื้อหา แยกแยะสิ่ งที่เป็ นข้อเท็จจริ งกับความคิดเห็นออกจากกัน เป็ นต้น 6. การตีความหลักฐาน โดยการแปลความหมาย วิพากษ์วจารณ์ แสดงความคิดเห็น ิ โดยผูเ้ รี ยนเป็ นผูดาเนินการ ซึ่ งต้องอาศัยการวิเคราะห์เชื่อมโยงข้อมูลในแง่มุมต่าง ๆ ประกอบ ้ 7. การสังเคราะห์ขอมูล เป็ นขั้นตอนที่ผเู ้ รี ยนพยายามเรี ยบเรี ยงความคิดของตน ้ ่ โดยอาศัยข้อมูลที่ผานการวิเคราะห์ ในขั้นตอนนี้ หากพบข้อค้นพบใหม่ ๆ ผูเ้ รี ยนสามารถย้อนกลับไปศึกษา หลักฐานเพิมเติมเพื่อนามาใช้ในการสังเคราะห์ ก่อนที่จะเรี ยบเรี ยงเป็ นเอกสาร ่ 8. การสรุ ปและเรี ยบเรี ยงเขียนเป็ นแนวคิดหรื อข้อสรุ ป เป็ นขั้นตอนสุ ดท้าย โดย ่ ผูเ้ รี ยนจะเรี ยบเรี ยงข้อมูลที่ผานการสังเคราะห์แล้ว เขียน หรื อเรี ยบเรี ยงเป็ นข้อสรุ ป อาจนาเสนอในรู ปแบบ เอกสาร บทความ ตามความเหมาะสม