คือการศึกษาประวัติความเป็นมาของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จากการที่ได้ บันทึกเก็บไว้ หรือประสบการณ์จากผู้มีอาวุโส  ( อังกฤษ :  History ) ประวัติศาสตร์
อารฺ .  จี .  คอลลิงวูด ( R. G. Collingwood)   อธิบายว่า ประวัติศาสตร์คือวิธีการวิจัยหรือการไต่สวน  โดยมีจุดมุ่งหมาย จะศึกษาเกี่ยวกับ  ...  พฤติการณ์ของมนุษยชาติที่เกิดขึ้นในอดีต  ( history is a kind of research or inquiry ... action  of human beings that have   been done in the past.) ประวัติศาสตร์
อี . เอช คาร์  ( E. H. Carr)   อธิบายว่าประวัติศาสตร์นั้น ก็คือ กระบวนการอันต่อเนื่องของการปฏิสัมพันธ์ระหว่าง นักประวัติศาสตร์กับข้อมูลของเขา ประวัติศาสตร์คือบทสนทนา อันไม่มีที่สิ้นสุดระหว่างปัจจุบันกับอดีต  ( What is   history?, is that it is a continuous process of interaction between the present   and the past.) ประวัติศาสตร์
ศ . ดร . ธงชัย วินิจจะกุล  นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสหรัฐอเมริกาอธิบายถึง คำว่าประวัติศาสตร์และเตือนผู้ศึกษา / อ่านประวัติศาสตร์ไว้ น่าสนใจ ดังนี้  " การเข้าใจอดีตนั้นคือประวัติศาสตร์  ...  เราต้องเข้าใจว่าความรู้เกี่ยวกับอดีตนั้นสร้างใหม่ได้เรื่อยๆ  เพราะทัศนะมุมมองของสมัยที่เขียนประวัติศาสตร์นั้น เปลี่ยนอยู่เสมอ  ..." ประวัติศาสตร์
เกิดจากการสมาสคำศัพท์ภาษาบาลี  " ประวัติ " ( ปวตฺติ )  ซึ่งหมายถึง เรื่องราวความเป็นไป  และคำศัพท์ภาษาสันสกฤต  " ศาสตร์ " ( ศาสฺตฺร )  ซึ่งแปลว่า ความรู้ สำหรับศัพท์   " ประวัติศาสตร์ " ประวัติศาสตร์
สำหรับศัพท์   " ประวัติศาสตร์ "  ในภาษาไทยถูกบัญญัติขึ้น   โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  เพื่อเทียบเคียงกับคำว่า  " History"  และเพื่อให้มีความหมายครอบคลุมมากกว่าคำว่า   " พงศาวดาร " ( Chronicle)  ที่ใช้กันมาแต่เดิม ประวัติศาสตร์
คือกระบวนการศึกษาประวัติศาสตร์ เพื่อให้ได้ความรู้และ คำตอบที่เชื่อว่าสะท้อนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอดีตได้ถูกต้องมากที่สุด  ซึ่งไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าข้อเท็จจริงที่ถูกต้องคืออะไร    ดังนั้น จึงต้องมีกระบวนการศึกษา และการใช้เหตุผลใน การตรวจสอบความถูกต้องของหลักฐาน   และนำไปใช้อย่างถูกต้อง  ทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่สะท้อนข้อเท็จจริง ที่แตกต่างจากนิทาน นิยาย หรือเรื่องบอกเล่าที่เลื่อนลอย ประวัติศาสตร์
การศึกษาประวัติศาสตร์เริ่มจากการตั้งคำถามพื้นฐานหลัก คือ What  :  เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในอดีต When  :  เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ Where :  เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่ไหน Why  :  ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น Who  :   มีใครบ้างที่เกี่ยวข้อง  ? How   :  เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรด้ 6W1H
ประโยชน์ของการศึกษาประวัติศาสตร์ 1  จะช่วยให้มนุษย์เกิดสำนึกในการค้นคว้า    และสืบค้นข้อมูลที่ เชื่อมโยงอดีตและปัจจุบัน อันสร้างความภูมิใจและกระตุ้น ความรู้สึกนิยมในชาติหรือเผ่าพันธุ์    2  ตระหนักถึงคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษ สั่งสมไว้
3  ช่วยให้เกิดการเรียนรู้จากอดีต    เพื่อเป็นบทเรียนสำหรับ ปัจจุบัน องค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาทำให้เข้าใจถึงปัญหา     สาเหตุของปัญหา และผลกระทบจากปัญหา 4   ก่อให้เกิดองค์ความรู้ที่หลากหลาย ซึ่งสามารถนำความรู้ เหล่านั้นไปกำหนดยุทธศาสตร์ในการดำเนินนโยบาย    ให้เป็นประโยชน์ต่อทั้งปัจจุบันและอนาคต , ประโยชน์ของการศึกษาประวัติศาสตร์
5.  การศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้ผู้ศึกษาสั่งสมประสบการณ์ และทักษะในการวิเคราะห์ ไต่สวน และแก้ปัญหา ซึ่งสามารถ นำไปประยุกต์ใช้กับการศึกษาศาสตร์แขนงอื่นๆ คุณสมบัตินี้ นับเป็นองค์ประกอบสำคัญของการพัฒนาคุณภาพประชากร ในสังคมที่เจริญก้าวหน้าและมีพัฒนาการสูง   ประโยชน์ของการศึกษาประวัติศาสตร์
แบบฝึกหัด  ใบงานที่  2.1 เรื่อง  บันทึกประวัติศาสตร์ ให้นักเรียนสืบค้นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ด้วย  6  W1H
1.  พุทธศักราช เริ่มนับตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันปรินิพพาน คือ  ปีมะเส็ง เป็นศักราช  0 2 .  คริสต์ศักราช   เริ่มนับตั้งแต่พระเยซู คริสต์ประสูติ ศักราชและการเทียบศักราช
เมกกะ เยรูซาเล็ม เมดินะ
เริ่มที่ท่านนบีมูฮัมหมัด กระทำฮิจเราะห์  ตรงกับ ค . ศ .  622 หรือ พ . ศ . 1165   เป็นศักราชที่พระเจ้ากนิษกะได้ตั้งขึ้นเมื่อ พ . ศ .  622 4 .   มหาศักราช   3.  ฮิจเราะห์ศักราช
เมกกะ เมดินะ
จัดตั้งขึ้นโดยสังฆราชมนุโสรหัน พ . ศ . 1181  เริ่มตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสถาปนากรุงเทพมหานคร เมื่อ พ . ศ . 2325  5.  รัตนโกสินทร์ศก 6.  จุลศักราช
ในระบบการเรียกศกตามเลขท้ายปีจุลศักราช นิยมเรียก ด้วยศัพท์บาลี ดังนี้ ปีจุลศักราชที่ลงท้ายเลข  1  เรียก  " เอกศก " ปีจุลศักราชที่ลงท้ายเลข  2  เรียก  " โทศก " ปีจุลศักราชที่ลงท้ายเลข  3  เรียก  " ตรีศก " ปีจุลศักราชที่ลงท้ายเลข  4  เรียก  " จัตวาศก " ปีจุลศักราชที่ลงท้ายเลข  5  เรียก  " เบญจศก "
ปีจุลศักราชที่ลงท้ายเลข  0  เรียก  " สัมฤทธิศก " ปีจุลศักราชที่ลงท้ายเลข  6  เรียก  " ฉศก " ปีจุลศักราชที่ลงท้ายเลข  7  เรียก  " สัปตศก " ปีจุลศักราชที่ลงท้ายเลข  8  เรียก  " อัฐศก " ปีจุลศักราชที่ลงท้ายเลข  9  เรียก  " นพศก "
และนิยมระบุนักษัตร นักษัตรเป็นชื่อบอกรอบเวลา  12  ปี  แต่ละปีมีสัญลักษณ์เป็นรูปสัตว์  คือ  1  ชวด หนู
2  ฉลู  วัว 3  ขาล เสือ
5  มะโรง 4.  เถาะ กระต่าย งูใหญ่
6  มะเส็ง 7  มะเมีย ม้า งูเล็ก
8  มะแม แพะ 9  วอก ลิง
ไก่ 10  ระกา สุนัข 11  จอ
12  กุน หมู
การเปรียบเทียบศักราช ม . ศ . + 621  =  พ . ศ .  พ . ศ . - 621  =  ม . ศ จ . ศ . +  11 81 =  พ . ศ .  พ . ศ . - 1181 =  จ . ศ ร . ศ . + 2324 =  พ . ศ .  พ . ศ . - 2324 =  ร . ศ ค . ศ . + 543  =  พ . ศ .  พ . ศ . - 543  =  ค . ศ ฮ . ศ . + 621  =  ค . ศ .  ค . ศ . - 621  =  ฮ . ศ . ฮ . ศ . + 1164  =  พ . ศ  พ . ศ .- 1164 =  ฮ . ศ
การแบ่งช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ไทย 1.  สมัยก่อนประวัติศาสตร์ 1.1  แบ่งตามเครื่องมือเครื่องใช้ -  ยุคหิน -  ยุคโลหะ
2.1   สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย  หินเก่า 3.  อาชีพ 2. ลักษณะเครื่องมือเครื่องใช้ 1. ระยะเวลา เหล็ก สำริด หินใหม่ หินกลาง ยุคสมัย
2.1   สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย  ( ต่อ )  สำริด 5.  แหล่งพบในประเทศไทย 4. ที่อยู่อาศัย เหล็ก หินใหม่ หินกลาง หินเก่า ยุคสมัย
2 .  แบ่งตามราชธานีหรือราชธานี  5 .  แบ่งตามลักษณะการปกครอง 1 .  แบ่งตามอาณาจักร 2.  สมัยประวัติศาสตร์ 3 .  แบ่งตามราชวงศ์ 4 .  แบ่งตามรัชกาล 6 .  แบ่งตามการบริหารประเทศ
แบบฝึกหัด  ให้สืบค้นยุคสมัยประวัติศาสตร์ของไทยมาแล้ว จัดทำผังมโนทัศน์  แบบ   Branching diagrams  ตกแต่งให้สวยงาม  และนำเสนอหน้าชั้น ใบงานที่  2.2
ตัวอย่าง  แบบ   Branching diagrams
 
 
 
 
สวัสดีจ้า

การนับเวลาทางประวัติศาสตร์.1

  • 1.
    คือการศึกษาประวัติความเป็นมาของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จากการที่ได้ บันทึกเก็บไว้หรือประสบการณ์จากผู้มีอาวุโส ( อังกฤษ : History ) ประวัติศาสตร์
  • 2.
    อารฺ . จี . คอลลิงวูด ( R. G. Collingwood) อธิบายว่า ประวัติศาสตร์คือวิธีการวิจัยหรือการไต่สวน โดยมีจุดมุ่งหมาย จะศึกษาเกี่ยวกับ ... พฤติการณ์ของมนุษยชาติที่เกิดขึ้นในอดีต ( history is a kind of research or inquiry ... action of human beings that have been done in the past.) ประวัติศาสตร์
  • 3.
    อี . เอชคาร์ ( E. H. Carr) อธิบายว่าประวัติศาสตร์นั้น ก็คือ กระบวนการอันต่อเนื่องของการปฏิสัมพันธ์ระหว่าง นักประวัติศาสตร์กับข้อมูลของเขา ประวัติศาสตร์คือบทสนทนา อันไม่มีที่สิ้นสุดระหว่างปัจจุบันกับอดีต ( What is history?, is that it is a continuous process of interaction between the present and the past.) ประวัติศาสตร์
  • 4.
    ศ . ดร. ธงชัย วินิจจะกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสหรัฐอเมริกาอธิบายถึง คำว่าประวัติศาสตร์และเตือนผู้ศึกษา / อ่านประวัติศาสตร์ไว้ น่าสนใจ ดังนี้ " การเข้าใจอดีตนั้นคือประวัติศาสตร์ ... เราต้องเข้าใจว่าความรู้เกี่ยวกับอดีตนั้นสร้างใหม่ได้เรื่อยๆ เพราะทัศนะมุมมองของสมัยที่เขียนประวัติศาสตร์นั้น เปลี่ยนอยู่เสมอ ..." ประวัติศาสตร์
  • 5.
    เกิดจากการสมาสคำศัพท์ภาษาบาลี "ประวัติ " ( ปวตฺติ ) ซึ่งหมายถึง เรื่องราวความเป็นไป และคำศัพท์ภาษาสันสกฤต " ศาสตร์ " ( ศาสฺตฺร ) ซึ่งแปลว่า ความรู้ สำหรับศัพท์ " ประวัติศาสตร์ " ประวัติศาสตร์
  • 6.
    สำหรับศัพท์ " ประวัติศาสตร์ " ในภาษาไทยถูกบัญญัติขึ้น   โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเทียบเคียงกับคำว่า " History" และเพื่อให้มีความหมายครอบคลุมมากกว่าคำว่า " พงศาวดาร " ( Chronicle) ที่ใช้กันมาแต่เดิม ประวัติศาสตร์
  • 7.
    คือกระบวนการศึกษาประวัติศาสตร์ เพื่อให้ได้ความรู้และ คำตอบที่เชื่อว่าสะท้อนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอดีตได้ถูกต้องมากที่สุด ซึ่งไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าข้อเท็จจริงที่ถูกต้องคืออะไร   ดังนั้น จึงต้องมีกระบวนการศึกษา และการใช้เหตุผลใน การตรวจสอบความถูกต้องของหลักฐาน   และนำไปใช้อย่างถูกต้อง ทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่สะท้อนข้อเท็จจริง ที่แตกต่างจากนิทาน นิยาย หรือเรื่องบอกเล่าที่เลื่อนลอย ประวัติศาสตร์
  • 8.
    การศึกษาประวัติศาสตร์เริ่มจากการตั้งคำถามพื้นฐานหลัก คือ What : เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในอดีต When : เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ Where : เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่ไหน Why : ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น Who : มีใครบ้างที่เกี่ยวข้อง ? How : เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรด้ 6W1H
  • 9.
    ประโยชน์ของการศึกษาประวัติศาสตร์ 1 จะช่วยให้มนุษย์เกิดสำนึกในการค้นคว้า   และสืบค้นข้อมูลที่ เชื่อมโยงอดีตและปัจจุบัน อันสร้างความภูมิใจและกระตุ้น ความรู้สึกนิยมในชาติหรือเผ่าพันธุ์   2 ตระหนักถึงคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษ สั่งสมไว้
  • 10.
    3 ช่วยให้เกิดการเรียนรู้จากอดีต  เพื่อเป็นบทเรียนสำหรับ ปัจจุบัน องค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาทำให้เข้าใจถึงปัญหา    สาเหตุของปัญหา และผลกระทบจากปัญหา 4 ก่อให้เกิดองค์ความรู้ที่หลากหลาย ซึ่งสามารถนำความรู้ เหล่านั้นไปกำหนดยุทธศาสตร์ในการดำเนินนโยบาย   ให้เป็นประโยชน์ต่อทั้งปัจจุบันและอนาคต , ประโยชน์ของการศึกษาประวัติศาสตร์
  • 11.
    5. การศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้ผู้ศึกษาสั่งสมประสบการณ์และทักษะในการวิเคราะห์ ไต่สวน และแก้ปัญหา ซึ่งสามารถ นำไปประยุกต์ใช้กับการศึกษาศาสตร์แขนงอื่นๆ คุณสมบัตินี้ นับเป็นองค์ประกอบสำคัญของการพัฒนาคุณภาพประชากร ในสังคมที่เจริญก้าวหน้าและมีพัฒนาการสูง   ประโยชน์ของการศึกษาประวัติศาสตร์
  • 12.
    แบบฝึกหัด ใบงานที่ 2.1 เรื่อง บันทึกประวัติศาสตร์ ให้นักเรียนสืบค้นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ด้วย 6 W1H
  • 13.
    1. พุทธศักราชเริ่มนับตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันปรินิพพาน คือ ปีมะเส็ง เป็นศักราช 0 2 . คริสต์ศักราช เริ่มนับตั้งแต่พระเยซู คริสต์ประสูติ ศักราชและการเทียบศักราช
  • 14.
  • 15.
    เริ่มที่ท่านนบีมูฮัมหมัด กระทำฮิจเราะห์ ตรงกับ ค . ศ . 622 หรือ พ . ศ . 1165 เป็นศักราชที่พระเจ้ากนิษกะได้ตั้งขึ้นเมื่อ พ . ศ . 622 4 . มหาศักราช 3. ฮิจเราะห์ศักราช
  • 16.
  • 17.
    จัดตั้งขึ้นโดยสังฆราชมนุโสรหัน พ .ศ . 1181 เริ่มตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสถาปนากรุงเทพมหานคร เมื่อ พ . ศ . 2325 5. รัตนโกสินทร์ศก 6. จุลศักราช
  • 18.
    ในระบบการเรียกศกตามเลขท้ายปีจุลศักราช นิยมเรียก ด้วยศัพท์บาลีดังนี้ ปีจุลศักราชที่ลงท้ายเลข 1 เรียก " เอกศก " ปีจุลศักราชที่ลงท้ายเลข 2 เรียก " โทศก " ปีจุลศักราชที่ลงท้ายเลข 3 เรียก " ตรีศก " ปีจุลศักราชที่ลงท้ายเลข 4 เรียก " จัตวาศก " ปีจุลศักราชที่ลงท้ายเลข 5 เรียก " เบญจศก "
  • 19.
    ปีจุลศักราชที่ลงท้ายเลข 0 เรียก " สัมฤทธิศก " ปีจุลศักราชที่ลงท้ายเลข 6 เรียก " ฉศก " ปีจุลศักราชที่ลงท้ายเลข 7 เรียก " สัปตศก " ปีจุลศักราชที่ลงท้ายเลข 8 เรียก " อัฐศก " ปีจุลศักราชที่ลงท้ายเลข 9 เรียก " นพศก "
  • 20.
    และนิยมระบุนักษัตร นักษัตรเป็นชื่อบอกรอบเวลา 12 ปี แต่ละปีมีสัญลักษณ์เป็นรูปสัตว์ คือ 1 ชวด หนู
  • 21.
    2 ฉลู วัว 3 ขาล เสือ
  • 22.
    5 มะโรง4. เถาะ กระต่าย งูใหญ่
  • 23.
    6 มะเส็ง7 มะเมีย ม้า งูเล็ก
  • 24.
    8 มะแมแพะ 9 วอก ลิง
  • 25.
    ไก่ 10 ระกา สุนัข 11 จอ
  • 26.
    12 กุนหมู
  • 27.
    การเปรียบเทียบศักราช ม .ศ . + 621 = พ . ศ . พ . ศ . - 621 = ม . ศ จ . ศ . + 11 81 = พ . ศ . พ . ศ . - 1181 = จ . ศ ร . ศ . + 2324 = พ . ศ . พ . ศ . - 2324 = ร . ศ ค . ศ . + 543 = พ . ศ . พ . ศ . - 543 = ค . ศ ฮ . ศ . + 621 = ค . ศ . ค . ศ . - 621 = ฮ . ศ . ฮ . ศ . + 1164 = พ . ศ พ . ศ .- 1164 = ฮ . ศ
  • 28.
    การแบ่งช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ไทย 1. สมัยก่อนประวัติศาสตร์ 1.1 แบ่งตามเครื่องมือเครื่องใช้ - ยุคหิน - ยุคโลหะ
  • 29.
    2.1 สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย หินเก่า 3. อาชีพ 2. ลักษณะเครื่องมือเครื่องใช้ 1. ระยะเวลา เหล็ก สำริด หินใหม่ หินกลาง ยุคสมัย
  • 30.
    2.1 สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย ( ต่อ ) สำริด 5. แหล่งพบในประเทศไทย 4. ที่อยู่อาศัย เหล็ก หินใหม่ หินกลาง หินเก่า ยุคสมัย
  • 31.
    2 . แบ่งตามราชธานีหรือราชธานี 5 . แบ่งตามลักษณะการปกครอง 1 . แบ่งตามอาณาจักร 2. สมัยประวัติศาสตร์ 3 . แบ่งตามราชวงศ์ 4 . แบ่งตามรัชกาล 6 . แบ่งตามการบริหารประเทศ
  • 32.
    แบบฝึกหัด ให้สืบค้นยุคสมัยประวัติศาสตร์ของไทยมาแล้วจัดทำผังมโนทัศน์ แบบ Branching diagrams ตกแต่งให้สวยงาม และนำเสนอหน้าชั้น ใบงานที่ 2.2
  • 33.
  • 34.
  • 35.
  • 36.
  • 37.
  • 38.