More Related Content Similar to การลำเลียงสารอาหารของพืช
Similar to การลำเลียงสารอาหารของพืช (20) More from Anana Anana (14) การลำเลียงสารอาหารของพืช1. การลาเลียงสารอาหารของพืช
(CONDUCTION)
จุดประสงค์การเรียนรู้ เพื่อให้นักเรียนสามารถ
1.สืบค้นข้อมูล อภิปราย และอธิบายเกี่ยวกับ
กระบวนการลาเลียงสารอาหารของพืช
2.สืบค้นข้อมูล และอภิปรายเกี่ยวกับชนิดของ
สารอาหารที่จาเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช
2. การลาเลียงสารอาหารของพืช ประกอบด้วยธาตุต่าง ๆ ที่พืช
สามารถนาไปใช้ในการดารงชีวิต เนื่องจากน้าเป็นตัวทาละลาย
ที่ดี ดังนั้นน้าที่พืชดูดเข้าไปใช้จึงไม่ใช่น้าบริสุทธิ์ เนื่องจากน้าที่
อยู่ในดินย่อมต้องละลายแร่ธาตุต่าง ๆ ปะปนเข้าไปด้วย
การที่แร่ธาตุต่าง ๆ จะผ่านเข้าไปในเซลล์ได้ จะต้องผ่านจากผนัง
เซลล์เข้าสู่เยื่อหุ้มเซลล์ ซึ่งมีสมบัติเป็นเยื่อเลือกผ่าน
(Selective permeable membrane) การลาเลียง
แร่ธาตุต่าง ๆ ที่ละลายเป็นไอออน แล้วเข้าสู่เยื่อหุ้มเซลล์ ไม่
สามารถผ่านได้โดยอิสระ การลาเลียงแร่ธาตุจึงมีความซับซ้อน
มากกว่าการลาเลียงน้าที่เกิดโดยวิธี ออสโมซิส(osmosis)
3. การลาเลียงสารอาหารของพืช เกิดโดยวิธีการดังนี้
1. การลาเลียงแบบไม่ใช้พลังงาน(Passive transport)
เป็นการลาเลียงสารอาหารหรือแร่ธาตุ จากบริเวณที่ที่มีความ
เข้มข้นมากกว่าไปยังบริเวณที่ที่มีความเข้มข้นน้อยกว่า โดยไม่
ต้องใช้พลังงาน ซึ่งอาศัยหลักของการแพร่ (Diffusion)
จนกว่าความเข้มข้นของสาร สองบริเวณนี้เท่ากัน
4. 2. การลาเลียงแบบใช้พลังงาน (Active transport) เป็นการ
ลาเลียงสารหรือแร่ธาตุ จากบริเวณที่ทีมีความเข้มข้นน้อยกว่า
หรือเจือจางกว่าไปยังบริเวณที่ที่มีความเข้มข้นมากกว่า โดยเป็น
การลาเลียงที่ต่อต้านกับความเข้มข้นของสาร ดังนั้นวิธีนี้จึงต้อง
อาศัยพลังงานจาก ATP ช่วย ซึ่งเป็นวิธีที่รากและลาต้นจะมี
โอกาสสะสมแร่ธาตุต่าง ๆ ไว้ได้ ทาให้พืชดูดแร่ธาตุจากภายนอก
เข้ามาได้ทั้ง ๆ ที่ความเข้มข้นของแร่ธาตุชนิดนั้นภายในเซลล์มี
มากกว่าภายนอกเซลล์แล้วก็ตาม ทาให้พืชสามารถลาเลียงแร่
ธาตุที่ต้องการได้ เมื่อแร่ธาตุผ่านเข้าสู่รากแล้ว จะถูกลาเลียง
ต่อไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืชทางไซเลมพร้อม ๆ กับการลาเลียงน้า
6. นอกจากนี้พืชที่ปลูกในดินที่มีสภาพโปร่ง รากจะได้รับแก๊ส
ออกซิเจนมาก ดูดน้าและแร่ธาตุได้เพิ่มขึ้น พืชจึงเจริญเติบโตได้ดี
การได้รับแก๊สออกซิเจนของราก มีความสัมพันธ์กับการดูดแร่ธาตุ
ของราก คือ ออกซิเจนที่รากได้รับจากดิน ถูกนาไปใช้ใน
กระบวนการเมแทบอลิซึมของเซลล์ราก ในกรณีที่ออกซิเจนในดิน
น้อย อัตราเมแทบอลิซึมของเซลล์ราก จะน้อยลงด้วย ถ้าพลังงาน
จาก ATP ที่มีความจาเป็นต่อกระบวนการ แอกทีฟทรานสปอร์ต
เกิดขึ้นน้อย การลาเลียงสารโดยกระบวนการนี้จะไม่สามารถดาเนิน
ต่อไปได้ ปริมาณการดูดแร่ธาตุเข้าสู่เซลล์รากจะลดลง
7. เมื่อพืชนาแร่ธาตุต่าง ๆ เข้าไปในลาต้นแล้ว พืชจะนาไปใช้ในการ
เจริญเติบโตและด้านอื่น ๆ ดังนี้
1. เป็นส่วนประกอบของโครงสร้าง(สารอินทรีย์ภายในพืช) ได้แก่
C, H, O, N และ S เช่น การสร้างสารเซลลูโลสโดยใช้ C
ส่วนที่ใช้สร้างโปรตีน คือ N
2. ในกระบวนการเมแทบอลิซึม เช่น การสร้างพลังงานจาก ATP
โดย P การสร้างส่วนประกอบของคลอโรฟิลล์ โดย Mg
3. กระตุ้นการทางานของเอนไซม์ ได้แก่ Cu, Fe, Zn, Mn และ
Cl
4. ควบคุมแรงดันออสโมติก ทาให้เซลล์เต่ง เช่น ในเซลล์คุมของใบ
ต้องการ K
9. ธาตุ หน้าที่ของธาตุ
ไนโตรเจน เป็นองค์ประกอบของคลอโรฟิลล์ โปรตีน เอนไซม์
และวิตามินหลายชนิด ช่วยให้พืชเจริญเติบโตทางด้าน
ใบ ลาต้น หัว ฯลฯ
ฟอสฟอรัส เป็นองค์ประกอบของกรดนิวคลีอิก ฟอสโฟลิพิด ATP
และโคเอนไซม์หลายชนิด ช่วยเร่งการออกดอกและ
สร้างเมล็ด
โพแทสเซียม ไม่เป็นองค์ประกอบของสารใดๆ ในพืชแต่ไปทา
หน้าที่กระตุ้นการทางานของเอนไซม์หลายชนิดที่
เกี่ยวข้องกับการสร้างแป้ง น้าตาล และโปรตีน ควบคุม
การปิดเปิดของปากใบ และเกี่ยวข้องกับกระบวนการ
สร้างโปรตีน
10. ธาตุ หน้าที่ของธาตุ
แคลเซียม เป็นองค์ประกอบของผนังเซลล์ จาเป็นสาหรับ
กระบวนการแบ่งเซลล์ การเพิ่มขนาดของเซลล์และช่วย
กระตุ้นการทางานของเอนไซม์บางชนิด
แมกนีเซียม เป็นองค์ประกอบของคลอโรฟิลล์ กระตุ้นการทางาน
ของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสังเคราะห์ด้วย
แสง การหายใจ การสังเคราะห์โปรตีน
กามะถัน เป็นองค์ประกอบของสารโปรตีนบางชนิด วิตามิน B1
และสารที่ระเหยได้บางชนิดในพืชช่วยเพิ่มปริมาณ
น้ามันในพืช เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์
11. A. ใบส้มที่ขาดไนโตรเจน มีสีเหลืองทาง
ใบ
B. ใบส้มที่ขาดไนโตรเจน แสดงอาการที่
ใบแก่ก่อนใบอ่อน
C. ผลส้มด้านขวาขาดฟอสฟอรัสทาให้
เปลือกหนา และมีช่องว่าง
แกนกลาง
D. ใบส้มที่ขาดโพแทสเซียม มีสีเหลืองที่
ปลายใบ แสดงอาการที่ใบแก่ก่อน
E. ใบส้มที่ขาดแคลเซียม แสดงอาการ
สูญเสียคลอโรฟิลล์ เส้นใบ
ขอบใบเหลืองซีด ใบเล็กลงและหนาขึ้น
F. ใบส้มที่ขาดแมกนีเซียมใบเหลืองซีด
และมีสีเขียวเหลืออยู่เป็นรูปตัวV
12. A. ใบส้มที่ขาดธาตุเหล็ก
แสดงอาการใบสีซีด
B. ใบส้มที่ขาดธาตุสังกะสี มีสีเขียวเป็น
ปื้นเส้นกลางใบและเส้นใบมี
สีเหลืองอ่อน
C. ใบส้มที่ขาดธาตุแมงกานีส
ใบอ่อนมีสีจาง เส้นใบมีสีเขียว
D.ใบส้มที่ขาดธาตุโบรอน แสดงอาการ
ตายปลายยอด ปลายใบจะม้วนลง
E. ใบส้มที่ขาดธาตุทองแดง แสดง
อาการใบใหญ่ผิดปกติ
F. ใบส้มที่ขาดธาตุโมลิบดีนัม แสดง
อาการใบเหลืองเป็นวงใหญ่ระหว่าง
เส้นใบ
15. จากความรู้เรื่องคุณสมบัติต่าง ๆ ของธาตุและประโยชน์ที่มี
ต่อพืช รวมทั้งการเกิดปัญหาการขาดแคลนที่ดินในการเพาะปลูก
คือ การปลูกพืชไฮโดรพอนิกส์ (Hydroponic culture)
เป็นการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน ด้วยการปลูกพืชในสารละลาย
ที่มีแร่ธาตุต่างๆ ที่พืชต้องการ และยังสามารถเติมเฉพาะธาตุแต่ละ
ชนิดที่พืชต้องการในปริมาณที่เหมาะสมได้อีกด้วย
17. สิ่งสาคัญที่ต้องระวังในการปลูกพืชด้วยวิธีนี้คือ pH ของ
สารละลายที่ไม่คงที่ หลังจากแช่รากพืชไว้ในสารละลายนานพอควร
pH ของสารละลายจะเพิ่มจากเดิมที่แรกปลูก pH อยู่ที่ 5
เนื่องจากพืชสามารถดูดสารที่มีประจุลบ เช่น NO3- PO43-
SO42- ได้ดีกว่าสารที่มีประจุบวก ได้แก่ K+ Mg + และ Ca+
จากนั้นพืชจะปล่อย OH- ออกมาแทนที่สารประจุลบที่พืชดูดเข้าไป
สารละลายจึงมีสภาพเป็นเบส เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ pH จึงมีค่าสูงขึ้น
ดังนั้นการปลูกพืชในสารละลายจึงจาเป็นต้องมีวิธีการป้องกันไม่ให้
ค่า pH เปลี่ยนไป หรือถ้าเปลี่ยนไปก็ให้เปลี่ยนได้น้อยมาก ด้วย
การเติมกรด
20. จุลินทรีย์ที่นำมำใช้ในกำรผลิตปุ๋ยชีวภำพ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่
ได้แก่
• จุลินทรีย์ที่ตรึงแก๊สไนโตรเจนในอากาศ ตัวอย่างของ
แบคทีเรีย ได้แก่ ไรโซเบียม (Rhizobium) อะโซโตแบคเตอร์
(Azotobacter) คลอสตริเดียม (Clostridium) เป็นต้น
ส่วนตัวอย่างสาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงิน ได้แก่ แอนาบีนา
(Anabaena) นอสตอก (Nostoc) ออสซิลลาทอเรีย
(Oscillatoria) แคโลทริกซ์ (Calothrix) เป็นต้น
21. จุลินทรียทุกตัวที่กล่าวถึง มีเอนไซม์ไนโตรจีเนส(Nitrogenase)
์
ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่สามารถเปลี่ยนแก๊สไนโตรเจนให้เป็นสารประกอบ
ไนโตรเจน (NH+4 , NO3-)
ซึ่งพืช สามารถนาไปใช้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไรโซเบียม
(Rhizobium) ที่เป็นแบคทีเรียอยู่ในปมรากถั่วนั้นมี
ความสามารถในการตรึงไนโตรเจนจากอากาศได้ดี โดยอยู่ร่วมกับ
รากพืชตระกูลถั่วแบบพึ่งพาการใช้ไรโซเบียม ทาปุ๋ยชีวภาพ ทาได้
โดยการนา แบคทีเรียไรโซเบียม คลุกเมล็ดก่อนปลูก
24. • จุลินทรียที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงฟอสฟอรัสที่อยู่ใน
์
ดินให้เป็นประโยชน์กับพืช เนื่องจากพืชไม่สามารถได้ P อย่าง
พอเพียงทั้ง ๆ ที่ดินบริเวณนั้นไม่ขาด P เพราะฟอสฟอรัสจะถูกตรึง
เอาไว้ในดิน แต่มีราไมโคไรซา (Mycorrhiza) อาศัยอยู่กับราก
พืชโดยอยู่กันแบบพึ่งพา คือ ราจะช่วยย่อยสลายแร่ธาตุที่เป็น
สารประกอบในดินบริเวณใกล้ราก โดยเฉพาะ P ที่ถูกตรึงเอาไว้ใน
ดิน จนพืชไม่สามารถนาไปใช้ได้ จะถูกราไมโคไรซา ปล่อยเอนไซม์
ออกมาย่อยสลายจนพืชนาไปใช้ได้ ส่วนประโยชน์ที่ราจะได้รับจาก
พืช คือ น้าตาล กรดอะมิโน และสารอื่น ๆ จากรากพืช
25. การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในการเพาะปลูกนั้น ทาให้ดินร่วนซุย ราก
พืช จึงชอนไชเข้าไปในดินได้ดี ไม่ทาให้สภาพแวดล้อมของดิน
เสีย เพราะปุ๋ยอินทรีย์ย่อยสลายได้ง่าย จึงไม่มีสารพิษตกค้าง
อยู่ในดิน
ข้อเสีย ของการใช้ปุ๋ยชีวภาพที่เป็นจุลินทรียซึ่งมีชีวิต คือ
์
สภาวะแวดล้อมของดินต้องไม่มีสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง และมี
ปัจจัยอื่น ๆ ที่เอื้อต่อการมีชีวิต จึงจะใช้ปุ๋ยชีวภาพได้ผลดี
การใช้ปุ๋ยเคมีไปนาน ๆ จะทาให้เกิดการสะสมสารเคมี ดิน
จับตัวกันแข็งกว่าปกติ ทาให้อากาศในดินถ่ายเทได้ไม่ดี และ
น้าซึมช้า รากชอนไชได้ยาก พืชจึงเจริญเติบโตไม่ดี