More Related Content
Similar to โครงงานวิทยาศาสตร์
Similar to โครงงานวิทยาศาสตร์ (20)
More from วิศิษฏ์ ชูทอง (7)
โครงงานวิทยาศาสตร์
- 2. บทคัดย่อ
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่ อง การทาปุ๋ ยหมักชีวภาพ สู ตรฮอร์ โมน จากเศษพืชผักทางการเกษตร จัดทาขึ้นเพื่อศึกษาการทาปุ๋ ยหมัก
ชีวภาพจากวัสดุที่เหลือจากเศษพืชผักทางการเกษตร คือ พวกผักสดต่างๆ โดยเอาพวกผักสด หรื อเศษผักนั้นๆ ประมาณ 3 กิโลกรัม
โดยสับให้เป็ นชิ้นเล็กๆ แล้วทาการผสมกับ EM 3 ช้อนโต๊ะ รวมทั้งกากน้ าตาล อีก 1 กิโลกรัม คลุกเคล้าส่ วนผสมทั้งหมดในถังที่
เตรี ยมไว้ให้เข้ากัน แล้วเติมน้ าลงไป ปิ ดฝาให้สนิท ทิ้งไว้ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ ผลปรากฏว่า น้ าหมักชีวภาพที่ได้จากการหมัก มีราสี
ขาวเกิดขึ้นมากมาย มีกลิ่นของการหมัก และนาน้ าหมักหรื อปุ๋ ยหมักชีวภาพนี้ไปใช้ลดพืชผัก แทนการใช้ปุ๋ยเคมี และปุ๋ ยหมักชีวภาพนี้
ยังเป็ นประโยชน์แก่เด็กนักเรี ยน ชุมชน เกษตรกรและผูที่สนใจที่จะทาปุ๋ ยขึ้นมาใช้เอง ทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีซ่ ึ งมีราคาสู ง ดินเสื่ อม
้
คุณภาพและยังส่ งผลต่อปั ญหาสิ่ งแวดล้อมตามมา
คณะผูจดทำ
้ั
- 3. กิตติกรรมประกาศ
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่ อง การทาปุ๋ ยหมักชีวภาพ สู ตรฮอร์โมนพืช ที่ทาจากเศษพืชผักทางการเกษตร เพื่อนามาทดลองถึง
ประสิ ทธิภาพของปุ๋ ยหมักชีวภาพที่มีผลต่อการเจริ ญเติบโตของพืชและคุณภาพของผลผลิตที่ได้ โดยจะนาไปเปรี ยบเทียบกับแปลงพืชผัก
ที่มีการใช้ปุ๋ยเคมี โดยได้รับการสนับสนุนจาก นายผัน แก้วรักษ์ นางผิน แก้วรักษ์ และ อาจารย์ฉตรชัย พลเพชร ที่ได้ให้คาปรึ กษาใน
ั
การจัดทาโครงงานและได้รับความอนุเคราะห์จากชาวบ้านทุ่งหนักยอที่ได้ให้ขอเสนอแนะ และแนะนาเอกสารตาราต่างๆ ที่ใช้ใน
้
การศึกษาค้นคว้า
คณะผูจดทา ขอกราบขอบพระคุณทุกท่านดังที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้นไว้เป็ นอย่างสู ง
้ั
คณะผูจดทา
้ั
- 4. คานา
โครงงานวิทยาศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 เรื่ อง การทาปุ๋ ยหมักชีวภาพ สู ตรฮอร์ โมนพืช โดยโครงงานเรื่ องนี้ได้ทาการศึกษา
การทาปุ๋ ยหมักชีวภาพจากเศษพืชผักทางการเกษตร เพราะเป็ นพืชที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นและชุมชนหรื อบางครั้งก็เหลือจากการประกอบ
อาหารภายในครัวเรื อน และเป็ นการนาพืชผักที่เหลือใช้เหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ นอกจากพืชผักแล้วยังนาเอาจุลินทรี ย ์ EM และ
กากน้ าตาล มาช่วยเร่ งการย่อยสลาย เพื่อให้เป็ นปุ๋ ยชีวภาพเพื่อทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีที่มีราคาสู ง ลดปัญหาดินเสื่ อมคุณภาพ ลดปัญหา
สิ่ งแวดล้อม ปั ญหาต่อสุ ขภาพเกษตรกรและลดการนาเข้าจากต่างประเทศด้วย
คณะผูจดทาหวังเป็ นอย่างยิงว่าโครงงานเรื่ องนี้คงจะเป็ นประโยชน์ต่อเกษตรกร ตลอดจนผูที่สนใจที่จะทาปุ๋ ยขึ้นใช้เองโดยไม่ตองใช้
้ั
้
้
่
ปุ๋ ยเคมีเลย และหากโครงงานเรื่ องนี้มีขอผิดพลาดประการใดผูจดทาต้องขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ดวย
้
้ั
้
คณะผูจดทา
้ั
- 5. บทที่ 1
บทนา
ทีมำและควำมสำคัญ
่
เรื่ องราวของปุ๋ ยหมักชีวภาพหรื อน้ าสกัดชีวภาพเกิดขึ้นเมื่อประมาณ กลางปี พ.ศ. 2540 เกิดขึ้นในขณะที่ประเทศไทยประสบภาวะ
วิกฤติทางเศรษฐกิจทาให้ประชาชนคนไทยต้องเดือนร้อนไปทุกหย่อมหญ้า จนต้องไปพึ่งพาเจ้าพ่อ ไอเอ็มเอฟ จนทุกวันนี้ แต่ประเทศไทยก็
่
ไม่ได้โชคร้ายเสี ยทีเดียว ท่ามกลางความโชคร้ายกได้เกิดความโชคดีข้ ึนมา โชคดีที่วานั้น คือคนไทยได้รู้วธีการทาปุ๋ ยชีวภาพใช้เอง เรื่ องราว
ิ
ความเป็ นมาของปุ๋ ยหมักชีวภาพหรื อน้ าสกัดชีวภาพเริ่ มต้นขึ้นเมื่อเดือน กรกฎาคม 2540 โดยอาจารย์ภรณ์ ภูมิพนนา ได้เชิญ มร.ฮาน คิว โซ
ั
นายกสมาคมเกษตรแห่งประเทศเกาหลี มาบรรยายเกี่ยวกับเทคนิควิธีการทาเกษตรธรรมชาติให้ปลอดภัยจากสารพิษโดยใช้จุลินทรี ย ์
น้ าหมักชีวภาพ เริ่ มแรกที่แพร่ หลายเข้ามาในประเทศไทยนั้น ได้ถูกนามาใช้ประโยชน์ในการเกษตรอินทรี ยเ์ พื่อทดแทนสารเคมีใน
ปุ๋ ย ยากาจัดศัตรู พืช ฮอร์โมนบารุ งพืช ฯลฯ รวมถึงการจัดการย่อยสลายสิ่ งปฏิกล ลดความเน่าเสี ย กลิ่นเหม็น ในระบบบาบัดน้ าเสี ย
ู
การกาจัดขยะอินทรี ย ์ เป็ นต้น ต่อมาได้เริ่ มถูกดัดแปลงเป็ นผลิตภัณฑ์ทาความสะอาดในครัวเรื อน ได้แก่ น้ ายาถูบาน น้ ายาขัดส้วม
้
น้ ายาซักผ้า น้ ายาล้างจาน และน้ ายาล้างผักผลไม้ แต่ในยุคแรก ๆ ได้มีชื่อเรี ยกต่าง ๆ ตามกลุ่มองค์กรที่ส่งเริ มการใช้ประโยชน์ เช่น
น้ าจุลินทรี ย ์ หรื อน้ าหมักเปรี้ ยว หรื อน้ าสกัดชีวภาพ ฯลฯ
- 6. ปั จจุบนมีการนาปุ๋ ยเคมีมาใช้ในการเกษตรเป็ นอย่างมาก ซึ่งทาให้ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ทาลายดินให้เสื่ อมโทรม ทาให้ได้พืชผลทางการ
ั
เกษตรที่นอยลงและด้อยคุณภาพ จึงมีการรณรงค์ส่งเสริ มให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยน้ าหมักชีวภาพให้มากขึ้น น้ าหมักชีวภาพ เป็ นอีกทางเลือกที่เกษตรกร
้
สามารถนามาใช้เป็ นปุ๋ ย และป้ องกันกาจัดศัตรู พืช แทนปุ๋ ยเคมีและสารเคมีกาจัดศัตรู พืชได้ ซึ่ งปั จจุบนเกษตรกรมีการหันมาใช้น้ าสกัดชีวภาพมาก
ั
ขึ้น
ศูนย์เทคโนโลยีที่เหมาะสมโดยท่านอาจารย์นิกร สุ ขปรุ ง ได้คิดค้นและพัฒนาน้ าหมักชีวภาพสู ตร ศทม.ขึ้น เพื่อนามาเผยแพร่ แก่ชุมชนและ
นามาใช้ในการทาการเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็ นการประหยัดค่าใช้จ่ายและลดการใช้ปุ๋ยเคมีราคาแพง
- 8. สมมติฐานของโครงงาน
ปุ๋ ยหมักชีวภาพที่ได้มีการคิดกระบวนการทาแบบชาวบ้านโดยวัสดุจากธรรมชาติน้ น จะส่ งผลต่อการเจริ ญเติบโตของพืชได้ดี และให้
ั
คุณภาพของผลผลิตที่ดี ไม่ต่างจากปุ๋ ยที่ทาจากสารเคมี
ตัวแปรทีเ่ กียวข้ อง
่
ตัวแปรต้น
ปุ๋ ยหมักชีวภาพ และ ปุ๋ ยเคมี
ตัวแปรตาม
อัตราการเจริ ญเติบโตของพืชและคุณภาพของผลผลิตที่ได้
ตัวแปรควบคุม ปริ มาณของจุลินทรี ยที่มีผลต่อการเจริ ญเติบโตของพืช
์
ขอบเขตของกำรศึกษำ
่
เพื่อทาการศึกษาถึงประสิ ทธิ ภาพของปุ๋ ยหมักชีวภาพที่มีผลต่อการเจริ ญเติบโตของพืช และคุณภาพของผลผลิตที่ได้วามีคุณภาพ
แตกต่างกันอย่างไรเพื่อนามาเปรี ยบเทียบกับการใช้ปุ๋ยเคมี
ประโยชน์ ทได้ รับ
ี่
1. ทราบถึงวิธีการทาปุ๋ ยหมักชีวภาพจากวัสดุที่เหลือจากเศษพืชผักทางการเกษตร
2. ทราบถึงการทาปุ๋ ยหมักชีวภาพและการนาปุ๋ ยหมักชีวภาพไปใช้แทนปุ๋ ยเคมีที่มีราคาสู งได้
3. ช่วยลดมลภาวะของสิ่ งแวดล้อมลง เนื่องจากจุลินทรี ย ์ EM และกากน้ าตาลสามารถย่อยสลายส่ วนประกอบทางชีวเคมีของพืชให้
กลายเป็ นธาตุอาหารนาไปใช้ในการเจริ ญเติบโต
4. เป็ นการรักษาคุณภาพของดินและเป็ นการเพิ่มจุลินทรี ยในดินให้มากขึ้น
์
- 9. บทที่ 2
่
เอกสารที่เกียวข้อง
นำหมักชีวภำพ หรือ นำสกัดชีวภำพ หรือ ปุ๋ ยนำจุลนทรีย์ ตามแต่จะเรี ยก เป็ นสารละลายเข้มข้นที่ได้จากการหมักเศษพืช
้
้
้ ิ
ั
หรื อสัตว์กบสารที่ให้ความหวาน จนถูกย่อยสลายโดยจุลินทรี ยซ่ ึ งเมื่อผ่านกระบวนการแล้วจะได้สารละลายเข้มข้นสี น้ าตาล
์
ประกอบไปด้วยจุลินทรี ย ์ และสารอินทรี ยหลายชนิด เดิมทีน้ นจุดประสงค์ของการคิดค้น "นำหมักชีวภำพ" ขึ้นมา เพื่อใช้
์
ั
้
ประโยชน์ทางการเกษตรโดยเฉพาะ แต่ช่วงหลังก็มีการนาน้ าหมักชีวภาพ มาประยุกต์ใช้ประโยชน์ในด้านอื่นเช่นกัน คือ
ด้ ำนกำรเกษตร น้ าหมักชีวภาพ มีธาตุอาหารสาคัญ ทั้งไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม แคลเซียม กามะถัน ฯลฯ จึง
สามารถนาไปเป็ นปุ๋ ย เร่ งอัตราการเจริ ญเติบโตของพืช เพิ่มคุณภาพของผลผลิตให้ดีข้ ึน และยังสามารถใช้ไล่แมลงศัตรู พืชได้ดวย
้
ด้ ำนปศุสัตว์ สามารถช่วยกาจัดกลิ่นเหม็น น้ าเสี ยจากฟาร์มสัตว์ได้ ช่วยป้ องกันโรคระบาดต่าง ๆ ในสัตว์แทนการให้ยา
ปฏิชีวนะ ทาให้สัตว์แข็งแรง มีความต้านทานโรค ช่วยกาจัดแมลงวัน ฯลฯ
ด้ ำนกำรประมง ช่วยควบคุมคุณภาพน้ าในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ า ช่วยแก้ปัญหาโรคพยาธิในน้ า ช่วยรักษาโรคแผลต่าง ๆ ในปลา
ั
กบ จระเข้ได้ ช่วยลดปริ มาณขี้เลนในบ่อ ช่วยให้เลนไม่เน่าเหม็น สามารถนาไปผสมเป็ นปุ๋ ยหมักใช้กบพืชต่าง ๆ ได้ดี
- 10. ด้ ำนสิ่ งแวดล้อม น้ าหมักชีวภาพ สามารถช่วยบาบัดน้ าเสี ยจากการเกษตร ปศุสัตว์ การประมง โรงงานอุตสาหกรรม ชุมชน และสถาน
ประกอบการทัวไป แถมยังช่วยกาจัดกลิ่นเหม็นจากกองขยะ การเลี้ยงสัตว์ โรงงานอุตสาหกรรม และชุมชนต่าง ๆ นอกจากนี้ยงช่วยปรับสภาพอากาศที่
ั
่
เสี ยให้สดชื่น และมีสภาพดีข้ ึน
ประโยชน์ ในครัวเรือน เราสามารถนาน้ าหมักชีวภาพ มาใช้ในการซักล้างทาความสะอาด แทนสบู่ ผงซักฟอก แชมพู น้ ายาล้างจาน รวมทั้งใช้
ดับกลิ่นในห้องน้ า โถส้วม ท่อระบายน้ า ฯลฯ ได้ดวย
้
กำรใช้ ปยนำหมักชีวภำพอย่ ำงมีประสิ ทธิภำพ
ุ๋ ้
่
1. ปุ๋ ยน้ าหมักชีวภาพมีค่า ความเข้มข้นของสารละลายสู ง ( ค่า EC เกิน 4 Ds/m) และเป็ น กรดจัด มีค่าความเป็ นกรดเป็ นด่างอยูระหว่าง
ั
3.6 – 4.5 ก่อนนาไปใช้กบพืชต้องปรับสภาพความเป็ นกรดเป็ นด่างให้เป็ นกลาง โดยเติมหินฟอสเฟต ปูนไดโลไมล์ ปูนขาว กระดูกป่ น อย่างใด
อย่างหนึ่ง อัตรา 5 - 10 กิโลกรัม/ ปุ๋ ยน้ าหมักชีวภาพ 100 ลิตร แล้วผสมปุ๋ ยน้ าหมักชีวภาพ อัตรา 30 - 50 CC/ น้ า 20 ลิตร
ั
2. ปุ๋ ยน้ าหมักชีวภาพ จะเป็ นประโยชน์สูงสุ ด ต้องใช้เวลาในการหมัก จนแน่ใจว่าจุลินทรี ยยอยสลายอินทรี ยสมบูรณ์แล้ว จึงนาไปใช้กบพืชได้
์่
์
3. ปุ๋ ยน้ าหมักชีวภาพแต่ละสู ตรมี ธาตุอาหารเกือบทุกชนิด แต่มีในปริ มาณต่า จึงควรใส่ ปุ๋ยอินทรี ย ์ ได้แก่ ปุ๋ ยคอก ปุ๋ ยหมักแห้งชีวภาพ ปุ๋ ยพืชสด
หรื อปุ๋ ยเคมีเสริ ม
่ ั
4. ปุ๋ ยน้ าหมักชีวภาพแต่ละสู ตรมี ฮอร์โมนพืช ในระดับที่แตกต่างกันขึ้นอยูกบวัตถุดิบที่นามาใช้ทา ปุ๋ ยน้ าหมักชีวภาพ
มีฮอร์ โมนในกลุ่ม อ๊อกซิน ได้แก่
อินโดลอะซิติกแอซิล (LAA) มีผลในการเร่ งการเจริ ญเติบโตของยอด กระตุนการเกิดรากของกิ่งปั กชา
้
ฮอร์โมนจิบเบอร์ เรลลิน (GA3) ช่วยทาลายการฟักตัวของเมล็ด กระตุนการเจริ ญเติบโตของต้น ส่ งเสริ มการออกดอก และทาให้ช่อดอกยืดยาวขึ้น
้
และฮอร์โมน กลุ่มไซโตโคนิน ได้แก่
เซติน (Zeatin) และไคเนติน (Kinetin) มีผลกระตุนการเกิดตา ช่วยเคลื่อนย้ายอาหารในต้นพืช และช่วยให้พืชผักมีความสดนานขึ้น
้
- 11. ข้ อควรระวังในกำรใช้ นำหมักชีวภำพ
้
1.หากใช้น้ าหมักชีวภาพกับพืช ต้องใช้ปริ มาณเจือจาง เพราะหากความเข้มข้นสู งเกินไป อาจทาให้พืชชะงักการเจริ ญเติบโต และตายได้
2.ระหว่างหมัก จะเกิดก๊าซต่าง ๆ ในภาชนะ ดังนั้นต้องหมันเปิ ดฝาออก เพื่อระบายแก๊ส แล้วปิ ดฝากลับให้สนิททันที
่
3.หากใช้น้ าประปาในการหมัก ต้องต้มให้สุก เพื่อไล่คลอรี นออกไปก่อน เพราะคลอรี นอาจเป็ นอันตรายต่อจุลินทรี ยที่ใช้ในการหมัก
์
4.พืชบางชนิด เช่น เปลือกส้ม ไม่เหมาะในการทาน้ าหมักชีวภาพ เพราะน้ ามันที่เคลือบผิวเปลือกส้มเป็ นพิษต่อจุลินทรี ย ์
อีเอ็ม (EM) คืออะไร
EM ย่อมาจาก Effective Microorganisms หมายถึง กลุ่มจุลินทรี ยที่มีประสิ ทธิภาพ ซึ่ง ศ.ดร.เทรู โอะ ฮิงะ นักวิทยาศาสตร์ ผูเ้ ชี่ยวชาญ
์
สาขาพืชสวน มหาวิทยาลัยริ วกิว เมืองโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ได้ศึกษาแนวคิดเรื่ อง " ดินมีชีวต" ของท่านโมกิจิ โอกะดะ (พ.ศ.2425-2498) บิดาเกษตร
ิ
ธรรมชาติของโลกจากนั้น ดร.ฮิงะ เริ่ มค้นคว้าทดลองตั้งแต่ปี พ.ศ 2510 และค้นพบ EM เมื่อ พ.ศ. 2526 ท่านอุทิศทุ่มเททาการวิจยผลว่ากลุ่มจุลินทรี ยน้ ี
ั
์
ใช้ได้ผลจริ ง หลังจากนั้นศาสนาจารย์วาคุกามิ ได้นามาเผยแพร่ ในประเทศไทย โดยท่านเป็ นประธานมูลนิธิบาเพ็ญสาธารณประโยชน์ดวยกิจกรรมทาง
้
่
ศาสนา หรื อ คิวเซ (คิวเซ แปลว่า ช่วยเหลือโลก) ปั จจุบน ตั้งอยูที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี
ั
จำกกำรค้ นคว้ ำพบควำมจริงเกียวกับจุลนทรีย์ว่ำมี 3 กลุ่ม คือ
่
ิ
1. กลุ่มสร้างสรรค์ เป็ นกลุ่มจุลินทรี ยที่มีคุณภาพ มีประมาณ 10 %
์
2. กลุ่มทาลาย เป็ นกลุ่มจุลินทรี ยที่เป็ นโทษ ทาให้เกิดโรค มีประมาณ 10 %
์
3. กลุ่มเป็ นกลาง มีประมาณ 80 % จุลินทรี ยกลุ่มนี้หากกลุ่มใด มีจานวนมากกว่ากลุ่มนี้จะสนับสนุนหรื อร่ วมด้วย
์
- 12. ดังนั้น การเพิมจุลินทรี ยที่มีคุณภาพลงในดิน ก็เพื่อให้กลุ่มสร้างสรรค์มีจานวนมากกว่า ซึ่ งจุลินทรี ยเ์ หล่านี้จะช่วยปรับปรุ งโครงสร้างของดินให้
์
่
กลับมีพลังขึ้นมาอีกหลังจากที่ถูกทาลายด้วยสารเคมีจนดินตายไป
จุลนทรีย์มี 2 ประเภท
ิ
1. ประเภทต้ องกำรอำกำศ (Aerobic Bacteria)
2. ประเภทไม่ ต้องกำรอำกำศ (Anaerobic Bacteria)
่
จุลินทรี ยท้ ง 2 กลุ่มนี้ ต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และสามารถอยูร่วมกันได้
์ ั
จากการค้นคว้าดังกล่าว ได้มีการนาเอาจุลินทรี ยที่ได้รับการคัดและเลือกสรรอย่างดีจากธรรมชาติ ที่มีประโยชน์ต่อพืช สัตว์ และสิ่ งแวดล้อม
์
มารวมกัน 5 กลุ่ม (Families) 10 จีนส (Genues) 80 ชนิด (Spicies) ได้แก่
ั
กลุ่มที่ 1 เป็ นกลุ่มจุลินทรี ยพวกเชื้อราที่มีเส้นใย (Filamentous fungi) ทาหน้าที่เป็ นตัวเร่ งการย่อยสลาย สามารถทางานได้
์
ดีในสภาพที่มีออกซิ เจน มีคุณสมบัติตานทานความร้อนได้ดี ปกติใช้เป็ นหัวเชื้อผลิตเหล้า ผลิตปุ๋ ยหมัก ฯลฯ
้
กลุ่มที่ 2 เป็ นกลุ่มจุลินทรี ยพวกสังเคราะห์แสง (Photosynthetic microorganisms) ทาหน้าที่สังเคราะห์สารอินทรี ย ์
์
ให้แก่ดิน เช่น ไนโตรเจน (N2) กรดอะมิโน (Amino acids) น้ าตาล (Sugar) วิตามิน (Vitamins) ออร์ โมน (Hormones)
และอื่นๆ เพื่อสร้างความสมบูรณ์ให้แก่ดิน
กลุ่มที่ 3 เป็ นกลุ่มจุลินทรี ยที่ใช้ในการหมัก (Zynogumic or Fermented microorganisms) ทาหน้าที่เป็ นตัวกระตุนให้ดินต้านทานโรค
์
้
(Diseases resistant) ฯลฯ เข้าสู่ วงจรการย่อยสลายได้ดี ช่วยลดการ พังทลายของดิน ป้ องกันโรคและแมลงศัตรู พืชบางชนิด ของพืชและสัตว์ สามารถ
บาบัดมลพิษในน้ าเสี ยที่เกิดจากสิ่ งแวดล้อมเป็ นพิษต่างๆ ได้
- 13. กลุ่มที่ 4 เป็ นกลุ่มจุลินทรี ยพวกตรึ งไนโตรเจน (Nitrogen fixing microorganisms) มีท้ งพวกที่เป็ นสาหร่ าย (Algae)
์
ั
และพวกแบคทีเรี ย (Bacteria) ทาหน้าที่ตรึ งก๊าซไนโตรเจนจากอากาศเพื่อให้ดินผลิตสารที่เป็ นประโยชน์ต่อการเจริ ญเติบโต เช่น
โปรตีน (Protein) กรดอินทรี ย ์ (Organic acids) กรดไขมัน (Fatty acids) แป้ ง (Starch or Carbohydrates) ฮอร์โมน
(Hormones) วิตามิน (Vitamins) ฯลฯ
กลุ่มที่ 5 เป็ นกลุ่มจุลินทรี ยพวกสร้างกรดแลคติก (Lactic acids) มีประสิ ทธิ ภาพในการต่อต้านเชื้อรา และแบคทีเรี ยที่เป็ นโทษ
์
ส่ วนใหญ่เป็ นจุลินทรี ยที่ไม่ตองการอากาศหายใจ ทาหน้าที่เปลี่ยนสภาพดินเน่าเปื่ อย หรื อดินก่อโรคให้เป็ นดินที่ตานทานโรค ช่วยลด
์
้
้
จานวนจุลินทรี ยที่เป็ นสาเหตุของโรคพืชที่มีจานวนนับแสน หรื อให้หมดไป นอกจากนี้ยงช่วยย่อยสลายเปลือกเมล็ดพันธุ์พืช ช่วยให้
์
ั
เมล็ดงอกได้ดีและแข็งแรงกว่าปกติอีกด้วย
ลักษณะทัวไปของ EM
่
EM เป็ นจุลินทรี ย ์ กลุ่มสร้างสรรค์ เป็ นกลุ่มที่มีประโยชน์ หรื อ เรี ยกว่ากลุ่มธรรมะ ดังนั้น เวลาจะใช้ EM ต้องคานึงถึงอยูเ่ สมอว่า
EMเป็ น สิ่ งมีชีวต EM มีลกษณะดังนี้
ั
ิ
่
ต้องการที่อยู่ ที่เหมาะสม ไม่ร้อนเกินไป หรื อเย็นเกินไป อยูในอุณหภูมิปกติ
ต้องการอาหารจากธรรมชาติ เช่น น้ าตาล ราข้าว โปรตีน และสารประกอบอื่นๆ ที่ไม่เป็ นอันตรายต่อสิ่ งมีชีวต
ิ
เป็ นจุลินทรี ยจากธรรมชาติ ไม่สามารถใช้ร่วมกับสารเคมีและ ยาฆ่าเชื้อต่างๆ ได้
์
เป็ นตัวเอื้อประโยชน์แก่พืช สัตว์ และสิ่ งมีชีวตทั้งมวล
ิ
EM จะทางานในที่มืดได้ดี ดังนั้นควรใช้ช่วงเย็นของวัน เป็ นตัวทาลายความสกปรกทั้งหลาย
- 14. กำรดูแลเก็บรักษำ
หัวเชื้อ EM สามารถเก็บได้นานประมาณ 1 ปี โดยปิ ดฝา ให้สนิท อย่าทิ้ง EM ไว้กลางแดด และ อย่าเก็บไว้ในตูเ้ ย็น เก็บรักษา
ไว้ในอุณหภูมิปกติ ทุกครั้งที่แบ่งไปใช้ตองรี บปิ ดฝาให้สนิท เพื่อไม่ให้เชื้อโรค หรื อจุลินทรี ยในอากาศที่เป็ นโทษ เข้าไปปะปน การนา
้
์
EM ไปขยายต่อ ควรใช้ภาชนะที่สะอาด และใช้ให้หมดในระยะเวลาที่เหมาะสม
ข้ อสั งเกตพิเศษ
หาก EM เปลี่ยนเป็ นสี ดา มีกลิ่นเหม็นเน่า ถือว่า EM ตาย ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อีก ให้นา EM ที่เสี ยผสมน้ ารดกาจัดหญ้า
่
และวัชชพืชที่ไม่ตองการได้ กรณี เก็บไว้นานๆ จะมีฝ้าขาวเหนือผิวน้ า แสดงว่า EM พักตัว เมื่อเขย่าภาชนะ ฝ้ าสี ขาวจะสลายตัว กลับไปอยูในน้ า
้
เหมือนเดิมนาไปใช้ได้ เมื่อนาไปขยายเชื้อในน้ าและกากน้ าตาล จะมีกลิ่นหอมและ เป็ นฟองขาวๆ ภายใน 2-3 วัน ถ้าไม่มีฟอง น้ านิ่งสนิทแสดงว่า
การหมักขยายเชื้อยังไม่ได้ผล
- 15. ประโยชน์ ของจุลนทรีย์ในด้ ำนกำรเกษตร
ิ
1. ช่วยปรับสภาพความเป็ นกรด – ด่างในดินและน้ า
2. ช่วยแก้ปัญหาจากแมลงศัตรู พืชและโรคระบาดต่างๆ
3. ช่วยปรับสภาพดินให้ร่วนซุ ย อุมน้ าและอากาศได้ดี
้
4. ช่วยย่อยสลายอินทรี ยวัตถุ เพื่อให้เป็ นปุ๋ ย (อาหาร) พืชดูดซึ มไปเป็ นอาหารได้ดี ไม่ตองใช้พลังงานมากเหมือนการให้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ หรื อ
้
ปุ๋ ยเคมี
5. ช่วยสร้างฮอร์ โมนพืช พืชให้ผลผลิตสู งและคุณภาพดีข้ ึน
6. ช่วยให้ผลผลิตคงทน สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน มีประโยชน์ต่อการขนส่ งไกลๆ เช่น ส่ งออกต่างประเทศ
7. ช่วยกาจัดกลิ่นเหม็นจากฟาร์ มปศุสัตว์ ไก่และสุ กร ได้ภายใน 24 ชม.
8. ช่วยกาจัดน้ าเสี ยจากฟาร์ มได้ภายใน 1 – 2 สัปดาห์
9. ช่วยกาจัดแมลงวัน โดยการตัดวงจรชีวตของหนอนแมลงวันไม่ให้เข้าดักแด้เกิดเป็ นตัวแมลงวัน
ิ
10. ช่วยเสริ มสุ ขภาพสัตว์เลี้ยง ทาให้สัตว์แข็งแรงมีความต้านทานโรคสู ง ให้ผลผลิตสู งอัตราการตายต่า
- 16. บทที่ 3
วิธีการทดลอง
วัสดุอปกรณ์
ุ
1. ภาชนะหมัก ควรเป็ นภาชนะชนิดทึบแสงและมีฝาปิ ดสนิท ก่อนใช้ควรล้างให้สะอาดและถ้าตากแดดก่อนใช้ก็ยงดี ไม่ควรใช้
ิ่
ภาชนะที่เป็ นโลหะเนื่องจากเมื่อใช้ไปนาน ๆ จะถูกกัดจนทะลุได้
2. ไม้พาย ควรเตรี ยมไว้ โดยล้างให้สะอาดพร้อมตากแดดก่อนใช้
่
3. น้ าตาลธรรมชาติ เช่น น้ าตาลอ้อย, น้ าตาลมะพร้าว, น้ าตาลโตนดที่ไม่ผานการฟอกสี หรื อเจือปนด้วยน้ ายากันเสี ย หรื อใช้
กากน้ าตาล จานวน 1 กิโลกรัม
4. เศษซากพืชสด อาทิ พืชอวบน้ าอวบน้ า ผัก ผลไม้ท้ งแก่และอ่อน รวมทั้งเปลือกผลไม้ ฯลฯ 3 กิโลกรัม
ั
5. EM จุลินทรี ยที่ใช้ในการย่อยสลายพืช 3 ช้อนโต๊ะ
์
โดยทัวไปส่ วนผสมของการผลิตน้ าหมักชีวภาพ ถ้าใช้สูตรที่เป็ นเป็ นเศษซากพืช จะใช้ส่วนผสมระหว่างเศษซากพืชสดกับกากน้ าตาล
่
อัตราส่ วน 3: 1
- 17. วิธีทำกำรทดลอง
ใช้พืชที่มีลกษณะสด ใหม่ สมบูรณ์ อวบน้ า โตเร็ ว ไม่มีโรค (เน่า) ทุกส่ วนๆ ละไม่มากนัก จากพืชหลายๆ ชนิด ทั้งพืชที่กินได้และวัชพืชนามาสับ
ั
ให้เป็ นชิ้นเล็กๆ หรื อบดละเอียดให้ได้ปริ มาณ 3 กิโลกรัม แล้วบรรจุเศษพืชที่ได้ลงในภาชนะ และเติมกากน้ าตาลลงไป 1 ลิตร แล้วใส่ EM ลงไป คน
่
หรื อเขย่าให้เข้ากันให้เศษพืชจมอยูในกากน้ าตาลตลอดเวลา ปิ ดฝาภาชนะ เก็บไว้ในที่มืด อุณหภูมิหองนาน 7 วัน สามารถนาไปใช้ได้
้
การปฏิบติระหว่างการหมัก เขย่าภาชนะที่หมักพร้อมกับเปิ ดฝา วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น เมื่อครบ 7 วัน ให้ดมกลิ่น ถ้าหอมหวานแสดงว่า "ดี"
ั
สามารถนาไปได้ ถ้าบูดเปรี้ ยวแสดงว่า "ไม่ดี" ให้แก้ไขด้วยการเติมกากน้ าตาล หรื อของที่ใส่ ครั้งแรกแล้วหมักต่ออีก 3 วัน ถ้ามีกลิ่นหอมหวานก็
แสดงว่า "ดี" ถ้ามีกลิ่นบูดเปรี้ ยวอีกให้เติมน้ าตาลอีกแล้วหมักต่อไปจนกว่าจะมีกลิ่นหอมหวาน เมื่อได้น้ าหมักที่ดีแล้วให้เก็บไว้ในที่มืดภายใต้
อุณหภูมิหองเก็บได้นาน 6 เดือน - 1 ปี ระหว่างเก็บหากมีกลิ่นบูดเปรี้ ยวให้เติมกากน้ าตาลลงไป
้
- 18. อัตรำและวิธีกำรใช้ นำหมักชีวภำพ
้
ั
1)พืชผักสวนครัว พืชไร่ ไม้ผลยืนต้น ให้ทางใบ อัตราส่ วน 15-20 ซี .ซี ./น้ า 20 ลิตร ทุกๆ 5-7 วัน ควบคู่กบให้ทางราก 30-50 ซี .ซี ./น้ า
20 ลิตร ทุกๆ 15-20 วัน
2)เตรี ยมดินแปลกปลูก หรื อหลุมปลูกไม้ผล อัตราส่ วน 30-50 ซี .ซี ./น้ า 20 ลิตร ผสมกับปุ๋ ยคอกหรื อปุ๋ ยหมัก
3)ใช้แทนสารเร่ งปุ๋ ยหมัก อัตราส่ วน 75-100 ซี .ซี ./น้ า 20 ลิตร พรมลงบนวัสดุทาปุ๋ ยหมัก
4) กาจัดน้ าเสี ยโดย อัตราส่ วน 75-100 ซี .ซี ./น้ า 20 ลิตร ราดให้ทวบริ เวณน้ าเสี ยหรื อในคอกปศุสัตว์
ั่
5) เพิ่มเปอร์ เซ็นต์ความงอกของเมล็ดพันธุ์ อัตราส่ วน 15 - 20 ซี .ซี ./น้ า 20 ลิตร แช่เมล็ดพันธุ์พอท่วมก่อนเพราะเป็ นเวลา 12 ชัวโมง
่
การต่อเชื้อน้ าหมักชีวภาพ ใช้หวเชื้อน้ าหมักชีวภาพ 1 ส่ วน กากน้ าตาล 1 ส่ วน น้ าสะอาด 10 ส่ วน ผสมให้เข้ากันดี ปิ ดฝาภาชนะเก็บไว้ในที่
ั
มืด ภายใต้อุณหภูมิหอง นาน 3 วัน ตรวจสอบกลิ่นตามครั้งแรก
้
่
เคล็ดลับ เรื่ องน้ าหมักชีวภาพ หลังการหมัก 3 วันแรก เปิ ดฝาออกดูถามีแก๊สพุงออกมาแสดงว่า มีส่วนผสมดีพยายามเปิ ดฝาระบายแก๊สบ่อยๆ
้
ถ้าไม่เปิ ดภาชนะที่หมักอาจระเบิดได้ กรณี ถาไม่มีกากน้ าตาลสามารถใช้น้ าตาลทรายแดงได้ โดยเพิ่มปริ มาณน้ าตาลแดงเป็ น 1 ส่ วน: เศษพืช 1 ส่ วน
้
การใช้น้ าหมักชีวภาพทางราก ควรใช้ควบคู่ไปกับปุ๋ ยคอกหรื อปุ๋ ยหมักเสมอ โดยการใส่ ปุ๋ยคอกปุ๋ ยหมัก 6 เดือน/ครั้ง
สู ตรนี้เหมาะสาหรับพืชกินใบ ตัวอย่างพืชสด ได้แก่ ผักบุง กวางตุง ผักขม ผักเสี้ ยน หน่อไม้ฝรั่ง ยอดชะอม ยอดกระถิน ยอดมันเทศยอดมะม่วง
้
้
ยอดมะยม ผักตาลึงและผล เถาขี้กาและผล เงาะป่ าและผล ใบยอและผล ฯลฯ
- 19. บทที่ 4
ผลการทดลอง
ั
่
จากการทดลองการทาน้ าหมักชีวภาพ สู ตรฮอร์ โมน เพื่อนามาใช้กบแปลงการเกษตรเพื่อศึกษาดูวาอัตราการเจริ ญเติบโตของพืช และคุณภาพ
ของผลผลิตเป็ นอย่างไร เมื่อนาไปเปรี ยบเทียบกับแปลงการเกษตรที่ใช้ปุ๋ยเคมี ว่ามีความเหมือน หรื อมีความแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด ดังจะแสดง
ในตาราง
ชนิดของปุ๋ ย
ผลจำกกำรเปรียบเทียบ
อัตรำกำรเจริญเติบโต
คุณภำพของผลผลิต
ปุ๋ ยหมักชีวภาพ
มีการเจริ ญเติบโตของพืชดี แต่จะน้อยน้อย ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพดี
กว่าปุ๋ ยเคมี ไม่มมากนัก
ปุ๋ ยเคมี
มีการเจริ ญเติบโตของพืชดีมาก
ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพดี
จากตารางการเปรี ยบเทียบอัตราการเจริ ญเติบโตของพืช และคุณภาพของผลผลิตที่ได้น้ น คือ อัตราการเจริ ญเติบโตของพืชที่มีการใช้ปุ๋ยเคมีจะ
ั
มีการเจริ ญเติบโตที่เร็ วกว่าพืชที่มีการใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ส่ วนคุณภาพที่ได้จากผลผลิตนั้นแปลงพืชทั้ง 2 แปลงให้คุณภาพ
ของผลผลิตที่ไม่ได้ต่างกันเลย พืชมีความสวยงามทั้ง 2 แปลงเท่ากัน
- 20. บทที่ 5
สรุปผลการทดลอง
่
จากการทาการทดลองข้างต้นนั้นจะเห็นได้วาคุณภาพของปุ๋ ยหมักชีวภาพและปุ๋ ยเคมี ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากมาย อัตราการเจริ ญเติบ
เติบโตและคุณภาพของผลผลิตที่ได้ก็ใกล้เคียงกัน แต่การที่เรานั้นใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพแทนการใช้ปุ๋ยเคมีน้ นจะทาให้เราประหยัดในการซื้ อปุ๋ ยเคมีที่มี
ั
่ ั
ราคาค่อนข้างสู ง และยังเป็ นการดารงชีวตแบบพอเพียงตามพระราชดาริ ของพระเจ้าอยูหวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช หรื อพ่อหลวงของเราด้วย เป็ น
ิ
การบูรณาการโดยนาเศษพืช หรื อเศษอาหารที่ไม่ใช้แล้ว มาดัดแปลงจากขยะให้เป็ นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าขึ้นมาได้โดยวิถีชาวบ้านนั้นเอง และการใช้ปุ๋ย
หมักชีวภาพนี้ก็จะไม่ก่อผลเสี ยแก่สภาพแวดล้อมต่างๆ อาทิเช่น การเสื่ อมสภาพของดิน แม่น้ ามีสารเคมีตกค้างทาให้เกิดมลภาวะทางน้ า และที่สาคัญ
คือ ไม่มีสารพิษตกค้างที่เกิดจากการใช้ปุ๋ยเคมีในพืชผัก หรื อผลผลิตที่ได้จากการใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ
ปัจจุบนได้มีการเรี ยกชื่อน้ าหมักชีวภาพที่แตกต่างกันออกไป เช่น น้ าหมักชีวภาพ ปุ๋ ยน้ าจุลินทรี ย ์ เป็ นต้น และผูคิดค้นวิธีการทาน้ าหมัก
ั
้
่ ั
ชีวภาพขึ้นมาขณะนี้ไม่ต่ากว่า 100 สู ตร โดยท่านอาจารย์นิกร สุ ขปรุ ง ด้วย ซึ่ งขึ้นอยูกบวัตถุดิบที่มีในท้องถิ่นและราคาถูก โดยผูสนใจสามารถ
้
ั
ทดลองทา และเรี ยนรู ้นาไปใช้กบพืชผลของตนเอง ก็จะได้พบความมหัศจรรย์ของเจ้าน้ าหมักชีวภาพตัวนี้ ว่าสามารถดลบันดาลให้พืชผลของตนเอง
่
เจริ ญเติบโตงอกงามขึ้นอย่างรวดเร็ ว ในระยะเวลามิชามินาน ศัตรู พืชที่เคยเข้ามารบกวนพืชผลต่าง ๆ หลังจากปลูกไม่วาจะเป็ นโรคแมลง
้
ค่อย ๆ ลดน้อยถอยลงไปเป็ นลาดับ หลังจากที่ได้ใช้น้ าหมักชีวภาพนี้แล้ว จึงแสดงให้เห็นว่าน้ าหมักชีวภาพมีความสาคัญ และความจาเป็ นต่อ
การทาเกษตรอินทรี ยอย่างแท้จริ ง นอกจากนี้ยงช่วยในการการจัดการย่อยสลายสิ่ งปฏิกล ลดความเน่าเสี ย กลิ่นเหม็น ในระบบบาบัดน้ าเสี ย การ
์
ั
ู
กาจัดขยะอินทรี ย ์ และถูกดัดแปลงเป็ นผลิตภัณฑ์ทาความสะอาดในครัวเรื อน ได้แก่ น้ ายาถูบาน น้ ายาขัดส้วม น้ ายาซักผ้า น้ ายาล้างจาน และ
้
น้ ายาล้างผักผลไม้ เป็ นต้น