More Related Content
Similar to ยานี ๑๑ แม่ก กา
Similar to ยานี ๑๑ แม่ก กา (20)
ยานี ๑๑ แม่ก กา
- 1. ยานี ๑๑ แม่ก กา
สาธุสะจะขอไหว้ พระศรีไตรสรนา
พ่อแม่แลครูบา เ ทวดาในราศี
ข้าเจ้าเอา ก ข เ ข้ามาต่อ ก กา มี เริ่มด้วยแม่ กา (ไม่มีตัวสะกด)
แก้ไขในเท่านี้ ดีมิดีอย่าตรีชา ตรีชา= ตาหนิ
จะร่าคาต่อไป พอฬ่อใจกุมารา ล่อใจยั่วยุให้เรียน
ธรณีมีราชา เ จ้าพาราสาวะถี เมืองหนึ่งชื่อเมืองสาวะถี
ชื่อพระไชยสุริยา มีสุดามะเหษี ชื่อพระไชยสุริยา มีมเหสี
ชื่อว่าสุมาลี อยู่บูรีไม่มีไภย ชื่อสุมาลี อยูเมืองไม่มีภัย
ข้าเฝ้ าเหล่าเสนา มีกริยาอะฌาสัย ข้าบริวาร นิสัยดี อัชฌาศัย=นิสัยดี
พ่อค้ามาแต่ไกล ได้อาศัยในพารา ทุกคนได้พึ่งพา พารา=เมือง
ไพร่ฟ้ าประชาชี ชาวบูรีก็ปรีดา
ทาไร่เขาไถนา ได้เข้าปลาแลสาลี ได้ข้าวปลาและข้าวสาลี
อยู่มาหมู่ข้าเฝ้ า ก็หาเยาวนารี ต่อมาพวกคนใกล้ชิดก็หาสาวรุ่น (เยาวนารี)
ที่หน้าตาดีดี ทามโหรีที่เคหา
ที่หน้าตาสะสวย มาร้องราทาเพลงตามที่พัก
(เคหา)
ค่าเช้าเฝ้ าสีซอ เ ข้าแต่หอล่อกามา เพลิดเพลินกับสิ่งบันเทิงและความใคร่
หาได้ให้ภริยา โลโภพาให้บ้าใจ เกิดความโลภ
ไม่จาคาพระเจ้า เ หไปเข้าภาษาไสย ไม่อยู่ในคาสอนนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกศาสนา
ถือดีมีข้าไท ฉ้อแต่ไพร่ใส่ขื่อคา
พวกทีมีข้าทาสบริวาร ก็ฉ้อโกงชาวบ้าน
ทาโทษใส่ขื่อคา
คะดีที่มีคู่ คือไก่หมูเจ้าสุภา
เมื่อมีคดี
ตุลาการหรือผู้ตัดสินคดีเห็นแก่สินบน
ใครเอาเข้าปลามา ให้สุภาก็ว่าดี ผู้ที่ให้สินบนก็จะเป็ นผู้ชนะ
ที่แพ้แก้ชนะ ไม่ถือพระประเวณี
ขี้ฉ้อก็ได้ดี ไล่ด่าตีมีอาญา
ที่ซื่อถือพระเจ้า ว่าโง่เง่าเต่าปูปลา คนที่อยู่ในกรอบศาสนากลับคิดว่าเป็ นพวกโง่
ผู้เฒ่าเหล่าเมธา ว่าใบ้บ้าสาระยา เมธา=นักปราชญ์ ก็ถูกหาว่าเป็ นบ้า
ภิกษุสะมะณะ เ ล่าก็ละพระสธรรม พระไม่อยู่ในศีลธรรม
คาถาว่าลานา ไปเร่ร่าทาเฉโก
ไม่จาคาผู้ใหญ่ ศีรษะไม้ใจโยโส บางคนก็หัวแข็งไม่เชื่อฟังคาสั่งสอนของผู้ใหญ่
ที่ดีมีอะโข ข้าขอโมทนาไป แต่ที่ดีก็พอมีอยู่บ้าง
พาราสาวะถี ใครไม่มีปราณีใคร เมืองสาวะถีไม่มีความสงบสุข
ดุดื้อถือแต่ใจ ที่ใครได้ใส่เอาพอ ใครดีใครได้
ผู้ที่มีฝีมือ ทาดุดื้อไม่ซื้อขอ ใครจะเอาของใครก็หยิบเอาไป ขโมยไป
ใล่คว้าผ้าที่คอ อะไรล่อก็เอาไป
ข้าเฝ้ าเหล่าเสนา มิได้ว่าหมู่ข้าไทย
ถือน้าร่าเข้าไป แต่น้าใจไม่นาพา
พวกข้าบริวารถือน้าพระพิพัฒน์
แต่ก็ไม่จริงใจ
- 2. หาได้ใครหาเอา ไพร่ฟ้ าเศร้าเปล่าอุรา ประชาชนโศกเศร้า
ผู้ที่มีอาญา ไล่ตีด่าไม่ปราณี ใครมีโทษถูกทาร้ายขาดความปรานี
ผีป่ ามากระทา มรณะกรรมชาวบูรี จึงเกิดเหตุเภทภัยแก่เมืองนี้
น้าป่ าเข้าธานี ก็ไม่มีที่อาไศรย โดยมีน้าป่ าท่วมเมืองไม่มีที่อยู่อาศรัย
ข้าเฝ้ าเหล่าเสนา หนีไปหาพาราไกล พวกข้าบริวารหนึไปอยู่เมืองอื่น
ชีบาล่าลี้ไป ไม่มีใครในธานี ชีบา= ครูอาจารย์ ก็หนีไป
ฉบัง ๑๖
พระไชยสุริยาภูมี พาพระมเหษี
มาที่ในลาสาเภา
เ ข้าปลาหาไปไม่เบา นารีที่เยาว์ นาสาวรุ่นไปด้วย
ก็เอาไปในเภตรา
เถ้าแก่ชาวแม่แซ่มา เ สนีเสนา เฒ่าแก่=ข้าราชการสตรี
ก็มาในลาสาเภา
ตีม้าฬ่อช่อใบใส่เสา วายุพยุเพลา ม้าล่อ=แผ่นโลหะคล้ายถาด
สาเภาก็ใช้ใบไป สาเภา=เรือสาเภา
เ ภตรามาในน้าไหล ค่าเช้าเปล่าใจ เภตรา=เรือ
ที่ในมหาวารี
พะสุธาอาไศรยไม่มี ราชานารี อาศรัย
อยู่ที่พระแกลแลดู พระแกล=หน้าต่าง
ปลากะโห้โลมาราหู เ หราปลาทู เห-รา=แมงดาชนิดหนึ่ง
มีอยู่ในน้าคล่าไป
ราชาว้าเหว่หฤทัย วายุพาคลาไคล
มาในทะเลเอกา
แลไปไม่ปะพะสุธา เ ปล่าใจนัยนา
โพล้เพล้เวลาราตรี
ราชาว่าแก่เสนี ใครรู้คะดี คดี=เรื่องราว
วารีนี้เท่าใดนา
ข้าเฝ้ าเล่าแก่ราชา ว่าพระมหา
วารีนี้ไซ้ใหญ่โต
ไหลมาแต่ในคอโค แผ่ไปใหญ่โต
มะโหฬาร์ล้าน้าไหล
บาฬีมิได้แก้ไข ข้าพเจ้าเข้าใจ
ผู้ใหญ่ผู้เฒ่าเล่ามา
ว่ามีพระยาสกุณา ใหญ่โตมะโหฬาร์
กายาเท่าเขาคีรี
ชื่อว่าพระยาสัมพาที ใครรู้คะดี
วารีนี้โตเท่าใด
- 3. โยโสโผผาถาไป พอพระสุริไสย
จะใกล้โพล้เพล้เวลา
แลไปไม่ปะพสุธา ย่อท้อรอรา
ชีวาก็จะประลัย
พอปลามาในน้าไหล สกุณาถาไป
อาไศรยที่ศีร์ษะปลา
ฉะแง้แลไปไกลตา จาของ้อปลา
ว่าขอษะมาอะไภย
วารีที่เราจะไป ใกล้หรือว่าไกล
ข้าไหว้จะขอมรคา
ปลาว่าข้าเจ้าเยาวะภา มิได้ไปมา
อาไศรยอยู่ต่อธรณี
สกุณาอาไลยชีวี ลาปลาจรลี
สู่ที่ภูผาอาไศรย
ข้าเฝ้ าเล่าแก่ภูวไนย พระเจ้าเข้าใจ
ฤไทยว้าเหว่เอกา
จาไปในทะเลเวรา พายุไหญ่มา
เ ภตราก็เหเซไป
สมอก็เก่าเสาใบ ทะลุปรุไป
น้าไหลเข้าลาสาเภา
ผีน้าซ้าไต่ใบเสา เ จ้ากาม์ซ้าเอา
สาเภาระยาคว่าไป
ราชาคว้ามืออรไทย เ อาผ้าสะไบ
ต่อไว้ไม่ไกลกายา
เถ้าแก่เชาแม่เสนา น้าเข้าหูตา
จระเข้เหราคร่าไป
ราชานารีร่าไร มีกาม์จาใจ
จาไปพอปะพะสุธา
มีไม้ไทรใหญ่ใบหนา เ ข้าไปไสยา
เ วลาพอค่าราไร
สุรางคนางค์ ๒๘ (แม่กน)
ขึ้นใหม่ใน กน ก กา ว่าปน ระคนกันไป
เ อ็นดูภูธร มานอนในไพร มณฑลต้นไทร แทนไพชยนต์สถาน
ส่วนสุมาลี วันทาสามี เ ทวีอยู่งาน
เ ฝ้ าอยู่ดูแล เ หมือนแต่ก่อนกาล ให้พระภูบาล สาราญวิญญา
พระชวนนวลนอน เ ข็ญใจไม้ขอน เ หมือนหมอนแม่นา
- 4. ภูธรสอนมนต์ ให้บ่นภาวนา เ ย็นค่าร่าว่า กันป่ าไภยพาล
วันนั้นจันทร มีดารากร เ ป็ นบริวาร
เ ห็นสิ้นดินฟ้า ในป่ าท่าธาร มาลีคลี่บาน ใบก้านอรชร
เ ย็นฉ้าน้าฟ้า ชื่นชะผะกา วายุพาขจร
สาระพันจันทน์อิน รื่นกลิ่นเกสร แตนต่อคลอร่อน ว้าว่อนเวียนระวัน
จันทราคลาเคลื่อน กระเวนไพรไก่เถื่อน เตือนเพื่อนขานขัน
ปู่ เจ้าเขาเขิน กู่เกริ่นหากัน สินธุพุลั่น ครื้นครั่นหวั่นไหว
พระฟื้ นตื่นนอน ไกลพระนคร สะท้อนถอนฤไทย
เ ช้าตรู่สุริยน ขึ้นพ้นเมรุไกร มีกาม์จาไป ในป่ าอารัญ
ฉบัง ๑๖ (แม่กง)
ขึ้นกงจงสาคัญ ทั้งกนปนกัน
ราพันมิ่งไม้ในดง
ไกรกร่างยางยูงสูงระหง ตะลิงปลิงปริงประยงค์
คันทรงส่งกลิ่นฝิ่นฝาง
มะม่วงพวงพลองช้องนาง หล่นเกลื่อนเถื่อนทาง
กินพลางเดินพลางหว่างเนิน
เ ห็นกวางย่างเยื้องชาเลืองเดิน เ หมือนอย่างนางเชิญ
พระแสงสาอางข้างเคียง
เ ขาสูงฝูงหงส์ลงเรียง เ ริงร้องซ้องเสียง
สาเนียงน่าฟังวังเวง
กลางไพรไก่ขันบรรเลง ฟังเสียงเพียงเพลง
ซอเจ้งจาเรียงเวียงวัง
ยูงทองร้องกะโต้งโห่งดัง เ พียงฆ้องกลองระฆัง
แตรสังข์กังสดาลขานเสียง
กะลิงกะลางนางนวลนอนเรียง พระยาลอคลอเคียง
แอ่นเอี้ยงอีโก้งโทงเทง
ค้อนทองเสียงร้องป๋องเป๋ง เ พลินฟังวังเวง
อีเก้งเริงร้องลองเชิง
ฝูงละมั่งฝังดินกินเพลิง ค่างแข็งแรงเริง
ยืนเบิ่งบึ้งหน้าตาโพลง
ป่ าสูงยูงยางช้างโขลง อึงคะนึงผึงโผง
โยงกันเล่นน้าคล่าไป
ยานี ๑๑(แม่กก)
- 5. ขึ้นกกตกทุกข์ยาก แสนลาบากจากเวียงไชย
มันเผือกเลือกเผาไฟ กินผลไม้ได้เป็ นแรง
รอนรอนอ่อนอัษดงค์ พระสุ่ริยงเย็นยอแสง
ช่วงดังน้าครั่งแดง แฝงเมฆเขาเงาเมรุธร
ลิงค่างครางโครกครอก ฝูงจิ้งจอกออกเห่าหอน
ชะนีวิเวกวอน นกหกร่อนนอนรังเรียง
ลูกนกยกปีกป้ อง อ้าปากร้องซ้องแซ่เสียง
แม่นกปกปีกเคียง เ ลี้ยงลูกอ่อนป้ อนอาหาร
ภูธรนอนเนินเขา เ คียงคลึงเคล้าเยาวมาลย์
ตกยากจากศฤงฆาร สงสารน้องหมองภักตรา
ยากเย็นเห็นหน้าเจ้า สร่างโศกเศร้าเจ้าพี่อา
อยู่วังดังจันทรา มาหม่นหมองลอองนวล
เ พื่อนทุกข์ศุขโศกเศร้า จะรักเจ้าเฝ้ าสงวน
มิ่งขวัญอย่ารันจวน นวลภักตร์น้องจะหมองศรี
ชวนชื่นกลืนกล้ากลิ่น มิรู้สิ้นกลิ่นมาลี
คลึงเคล้าเย้ายวนยี ที่ทุกข์ร้อนหย่อนเย็นทรวง
ยานี ๑๑ (แม่กด)
ขึ้นกดบทอัศจรรย์ เ สียงครื้นครั่นชั้นเขาหลวง
นกหกตกรังรวง สัตว์ทั้งปวงง่วงงุนโงง
แดนดินถิ่นมนุษย ์์ เ สียงดังดุจพระเพลิงโพลง
ตึกกว้านบ้านเรือนโรง โคลงคลอนเคลื่อนเขยื้อนโยน
บ้านช่องคลองเล็กใหญ่ บ้างตื่นไฟตกใจโจน
ปลุกเพื่อนเตือนตะโกน ลุกโลดโผนโดนกันเอง
พิณพาทย์ระนาดฆ้อง ตะโพนกลองร้องเป็นเพลง
ระฆังดังวังเวง โหง่งหง่างเหง่งเก่งก่างดัง
ขุนนางต่างลุกวิ่ง ท่านผู้หญิงวิ่งยุดหลัง
พัลวันดันตึงตัง พลั้งพลัดตกหกคะเมน
พระสงฆ์ลงจากกุฏิ วิ่งอุตลุตฉุดมือเณร
หลวงชีหนีหลวงเถร ลงโคลนเลนเผ่นผาดโผน
พวกวัดพลัดเข้าบ้าน ล้านต่อล้านซานเซโดน
ต้นไม้ไกวเอนโอน ลิงค่างโจนโผนหกหัน
พวกผีที่ปั้นลูก ติดจมูกลูกตาพลัน
ขิกขิกระริกกัน ปั้นไม่ทันมันเดือดใจ
สององค์ทรงสังวาส โลกธาตุหวาดหวั่นไหว
ตื่นนอนอ่อนอกใจ เดินไม่ได้ให้อาดูร
- 6. ยานี ๑๑ (แม่กบ)
ขึ้นกบจบแม่กด พระดาบสบูชากูณฑ์
ผาสุกรุกขมูล พูนสวัสดิ์สัตถาวร
ระงับหลับเนตรนิ่ง เององค์อิงพิงสิงขร
เหมือนกับหลับสนิทนอน สังวรศีลอภิญญาณ
บาเพ็งเล็งเห็นจบ พื้นพิภพจบจักรวาล
สวรรค์ชั้นวิมาน ท่านเห็นแจ้งแหล่งโลกา
เข้าฌานนานนับเดือน ไม่เขยื้อนเคลื่อนกายา
จาศีลกินวาตา เป็นผาสุกทุกเดือนปี
วันนั้นครั้นเดินไหว เกิดเหตุใหญ่ในปฐพี
เล็งดูรู้คดี กาลกิณีสี่ประการ
ประกอบชอบเป็นผิด กลับจริตผิดโบราณ
สามัญอันธพาล ผลาญคนซื่อถือสัตย์ธรรม์
ลูกศิษย์คิดล้างครู ลูกไม่รู้คุณพ่อมัน
ส่อเสียดเบียดเบียนกัน ลอบฆ่าฟันคือตัณหา
โลภลาภบาปบ่คิด โจทย์ผิดริษยา
อุระพสุธา ป่วนเป็นบ้าฟ้าบดบัง
บรรดาสามัญสัตย์ เกิดวิบัติปัตติปาปัง
ไตรยุคทุกขตะรัง สังวัจฉระอวสาน
ฉบัง ๑๖(แม่กม)
ขึ้นกมสมเด็จจอมอารย์ เ อ็นดูภูบาล
ผู้ผ่านพาราสาวะถี
ซื่อตรงหลงเล่ห์เสนี กลอกกลับอัปรีย์
บูรีจึงล่มจมไป
ประโยชน์จะโปรดภูวไนย นิ่งนั่งตั้งใจ
เ ลื่อมใสสาเร็จเมตตา
เ ปล่งเสียงเพียงพิณอินทรา บอกข้อมรณา
คงมาวันหนึ่งถึงตน
เ บียฬเบียดเสียดส่อฉ้อฉล บาปกาม์นาตน
ไปทนทุกข์นับกัปกัลป์
เ มตตากรุณาสามัญ จะได้ไปสวรรค์
เ ป็ นศุขทุกวันหรรษา
สมบัติสัตว์มนุษย์ครุฑา กลอกกลับอัปรา
เ ทวาสมบัติชัชวาล
- 7. ศุขเกษมเปรมปรดิ์วิมาน อิ่มหนาสาราญ
ศฤงฆารห้อมล้อมพร้อมเพรียง
กระจับปี่สีซอคลอเสียง ขับราจาเรียง
สาเนียงนางฟ้าน่าฟัง
เ ดชะพระกุศลหนหลัง สิ่งใดใจหวัง
ได้ดังมุ่งมาตรปรารถนา
จริงนะประสกสีกา สวดมนต์ภาวนา
เ บื้องน่าจะได้ไปสวรรค์
จบเทศน์เสร็จคาราพัน พระองค์ทรงธรรม์
์ัดันดั้นเมฆาคลาไคล
ฉบัง ๑๖ (แม่เกย)
ขึ้นเกยเลยกล่าวท้าวไทย ฟังธรรมน้าใจ
เ ลื่อมใสศรัทธากล้าหาญ
เ ห็นไภยในขันธสันดาน ตัวห่วงบ่วงมาร
สาราญสาเร็จเมตตา
สององค์ทรงหนังพยัคฆา จัดจีบกลีบชะฎา
รักษาศีลถือฤาษี
เ ช้าค่าทากิจพิธี กองกูณฑ์อัคคี
เ ป็ นที่บูชาถาวร
ปะถะพีเป็นที่บรรจฐรณ์ เ อนองค์ลงนอน
เ หนือขอนเขนยเกยเศียร
ค่าเช้าเอากราดกวาดเตียน เ หนื่อยยากพากเพียร
เ รียนธรรมบาเพ็งเคร่งครัน
สาเร็จเสร็จได้ไปสวรรค์ เ สวยศุขทุกวัน
นานนับกัปกัลป์ พุทธันดร
กุมราการุญสุนทร ไว้หวังสั่งสอน
เ ด็กอ่อนอันเยาว์เล่าเรียน
ก ข ก กา ว่าเวียน หนูน้อยค่อยเพียร
อ่านเขียนผสมกมเกย
ระวังตัวกลัวครูหนูเอ๋ย ไม้เรียวเจียวเหวย
กูเคยเข็ดหลาบขวาบเขวียว
หันหวดปวดแสบแปลบเสียว หยิกซ้าซ้าเขียว
อย่าเที่ยวเล่นหลงจงจา
บอกไว้ให้ทราบบาปกรรม เ รียงเรียบเทียบทา
แนะนาให้เจ้าเอาบุญ
เ ดชะพระมหาการุญ ใครเห็นเป็นคุณ
แบ่งบุญให้เราเจ้าเอยฯ
- 8. โครงงานจัดทาแหล่งเรียนรู้ภาษาไทย โดยนักเรียนโครงการภาษาอังกฤษชั้น ม.1
วรรณคดีเพื่อการวิจักษณ์ : กาพย์พระไชยสุริยา
ความเป็นมา
กาพย์พระไชยสุริยาเป็นแบบเรียนที่สุนทรภู่แต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
จุดประสงค์เพื่อถวายพระอักษรแด่พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและเจ้าฟ้ากุณฑลทิพ
ยวดี
พระอัครชายา คือเจ้าฟ้าชายกลางแล้วเจ้าฟ้าปิ๋วในการศึกษากาพย์พระไชยสุริยา
ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับลักษณะการแต่งคาประพันธ์ประเภทกาพย์ ได้แก่ กาพย์ยานี11 กาพย์ฉบัง16
และ
กาพย์สุรางคนางค์ 28
2 ประวัติผู้แต่ง
สุนทรภู่เกิดในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันจันทร์ เดือน 8ขึ้น 1 ค่า ปีมะเมีย จุลศักราช
1148
ตรงกับวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 บิดาเป็นชาวบ้านกร่า เมืองแกลง มารดาเป็นชาวเมืองไม่ปรากฎ
ต่อมา
บิดามารดาได้หย่าร้างกัน มารดามีสามีใหม่ สุนทรภู่จึงได้ไปอาศัยกับมารดา และ ได้เล่าเรียนในวัด
ศรีสุดาราม
-ปี พ.ศ. 2356 สุนทรภู่ได้เข้ารับราชการในวังหลวง มีหน้าที่เป็นอาลักษณ์ ตาแหน่ง ขุนสุนทรโวหาร
และได้แต่งกลอนถวายเป็นที่พอพระทัยมาก
-ปี พ.ศ. 2367 สุนทรภู่ได้ทาหน้าที่ถวายพระอักษรเจ้าฟ้าอาภรณ์
พระโอรสองค์โตของสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี พระอัครชายาในรัชกาลที่2
-เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์
พระองค์ไม่โปรดสุนทรภู่เพราะเมื่อครั้งพระองค์ดารงพระยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์
สุนทรภู่ทักท้วงบทพระราชนิพนธ์ของพระองค์หน้าพระที่นั่ง ทาให้พระองค์ขัดเคืองพระทัย
สุนทรภู่จึงออกบวชที่วัดราชบูรณะเพื่อหนีราชภัย เมื่อบวชและจาพรรษาที่วัดราชบูรณะ
จึงมีโอกาสถวายพระอักษรเจ้าฟ้าชายกลางและเจ้าฟ้าปิ๋ว
-ต่อมาสุนทรภู่ได้ย้ายจากวัดราชบูรณะไปจาพรรษาที่วัดอรุณราชวราราม
แล้วจึงย้ายไปจาพรรษาที่วัดเทพธิดาราม และวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
ตามคาชักชวนของพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ พระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
-ต่อมาพระองค์เจ้าลักขณานุคุณลาผนวช ไปประทับที่วังท่าพระ
จึงชวนให้สุนทรภู่ไปจาพรรษาที่วัดมหาธาตุด้วย เพื่อสะดวกในการอุปถัมภ์ สุนทรภู่บวชได้ประมาณ 7 ถึง 8
พรรษาจึงสึกออกมา เพื่อติดตามรับใช้พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ
-พ.ศ.2378 พระองค์เจ้าลักขณานุคุณสิ้นพระชนม์ สุนทรภู่ต้องตกยากอีก จึงบวชใหม่อีกครั้งที่วัด
เทพธิดาราม ครั้งนี้ได้รับเมตตาจากเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์
-พ.ศ.2385 สุนทรภู่สึกออกมาเป็นฆราวาส
ต่อมาได้ถวายตัวเป็นอาลักษณ์ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2393
และได้รับแต่งตั้งเป็นพระสุนทรโวหาร ช่วงนี้ สุนทรภู่มีความสุขขึ้นและรับราชกาลได้ 5 ปีก็ถึงแก่กรรมเมื่อ
พ.ศ. 2398 รวมอายุได้70ปี
-กล่าวกันว่าสุนทรภู่ เป็นกวีสี่แผ่นดิน คือเกิดในสมัยรัชกาลที่ 1 รุ่งเรืองในสมัยรัชกาลที่ 2
ตกอับในสมัยรัชกาลที่ 3 และถึงแก่กรรมในสมัยรัชกาลที่ 5
- 9. 3 เรื่องย่อ
มีกษัตริย์พระองค์หนึ่งมีพระนามว่าไชยสุริยา ครองเมืองสาวัตถี มีพระมเหสี ทรงพระนามว่า สุมาลี
ครอบครองบ้านเมือง
ด้วยความผาสุก ต่อมาข้าราชการ เสนาอามาตย์ประพฤติตนไม่ถูกต้องตามทานองคลองธรรม
จึงเกิดเหตุอาเพศ เกิดน้าป่าไหลท่วมเมือง ผีป่าอาละวาด ทาให้ชาวเมืองล้มตายจานวนมาก
พระไชยสุริยากับพระมเหสีจึงลงเรือสาเภาแต่ก็ถูกพายุพัดจนเรือแตก พระไชยสุริยาและมเหสีขึ้นฝั่งได้
พระอินทร์จึงเสด็จมาสั่งสอนธรรมะให้ ทั้งสองพระองค์ปฏิบัติตามธรรมจึงเสด็จไปสู่สวรรค์
4 ลักษณะคาประพันธ์
เรื่องกาพย์พระไชยสุริยานี้แต่งด้วยคาประพันธ์ประเภทกาพย์ ได้แก่ กาพย์ยานี11 กาพย์ฉบัง16
กาพย์สุรางคนางค์ 28
ตัวอย่างคาประพันธ์
กาพย์ยานี11
........ชื่อพระไชยสุริยา.....................มีสุดามเหสี
...ชื่อว่าสุมาลี.....................................อยู่บูรีไม่มีภัย
กาพย์ฉบัง16
.........พระไชยสุริยา........................พาพระมเหสี
.มาที่ในลาสาเภา
กาพย์สุรางคนางค์28
...............วันนั้นจันทร.................มีดารากร................เป็นบริวาร...
.เห็นสิ้นดินฟ้า........ในป่าท่าธาร..........มาลีคลี่บาน............ใบก้านอรชร
5 คาศัพท์
ก ข.........................อักษรไทย ตัวหนังสือไทย
กระจับปี่...................พิณสี่สาย
กระโห้......................ชื่อปลาน้าจืดชนิดหนึ่ง หัวโตเกล็ดใหญ่ ลาตัวด้านหลังสีเทาดา หางและครีบ สีคล้า
กร่าง........................ชื่อต้นไม้ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง เปลือกเรีบยสีเทา ใบกว้างหนา
กะลาง......................ชื่อนกชนิดหนึ่ง ตัวขนาดนกเอี้ยง
กะลิ.........................ชื่อ นกปากงุ้มเป็นขอชนิดหนึ่ง หัวสีเทา ตัวสีเขียว ปากแดง หางยาว
กังสดาล...................ระฆังวงเดือน
กัปกัลป์ ....................กัป หมายถึง ระยะเวลาอันนานเหลือเกิน บางทีใช้คู่กับคาว่ากัลป์ เป็นกัปกัลป์
กามา........................ความใคร่ความใคร่ในทางเมถุน
กาลกิณี.....................เสนียดจัญไร ลักษณะที่อัปมงคล
กุมารา.......................เด็กๆทั้งหลาย
- 13. อะฌาสัย..........................กิรียาดี นิสัยใจคอ
อันธพาล..........................คนเกะกะระราน
อัปรา...............................ใช้เป็นคานาหน้าคาศัพท์ที่มาจากบาลี แปลว่า ไปจาก ปราศจาก
อัปรีย์..............................ระยา จัญไร
อัสดง..............................ตกไป พระอาทิตย์ตก
อาญา...............................อานาจ โทษ
อารย์...............................เจริญ
อารัญ...............................ป่า
อีเก้ง................................ชื่อสัตว์เคี้ยวเอื้องชนิดหนึ่ง
อีโก้ง................................ชื่อนกชนิดหนึ่ง
6 การวิจักษณ์วรรคดีเรื่อง กาพย์พระไชยสุริยา
6.1ลักษณะการแต่ง
ลักษณะการแต่ง แต่งด้วยกาพย์ 3 ขนิด คือ กาพย์ยานี 11 กาพย์ฉบัง 16 และกาพย์สุรางคนางค์ 28
(1)กาพย์ยานี 11 ใช้ในการบรรยาย หรือเล่าเรื่อง เช่น
..........จะร่าค่าต่อไป......................................พอล่อใจกุมารา
ธรณีมีราชา..................................................เจ้าพาราสาวัตถี
..........ชื่อพระไชยสุริยา..................................มีสุดามเหสี
ชื่อว่าสุมาลี....................................................อยู่บูรีไม่มีภัย
คาที่ใช้เป็นคาไทยง่ายๆเหทาะกับวัยที่เพิ่งฝึกหัดอ่านเขียนเป็นเบื้องต้นเริ่มด้วยคาในมาตราแม่ ก กา
(2) กาพย์ฉบัง 16 เป็นกาพย์ที่มีลีลางามสง่ามักใช้ในการบบรรยายเหตุการณ์ที่สาคัญ หรือบรรยายเหตุการณ์ที่รวบรัดรวดเร็ว เช่น
..........เภตรามาในน้าใหล..........................ค่าเช้าเปล่าใจ
ที่ในมหาวารี
.........พสุธาอาศัยไม่มี................................ราชานารี
อยู่ที่พระแกลแลดู
(3) กาพย์สุรางคนางค์28 เป็นกาพย์ที่มีลีลาอ่อนหวาน เศร้า มักใช้ในการพรรณนาอารมณ์ความรู้สึกเช่น
............ขึ้นใหม่ในกน......................กกาว่าปน....................ระคนกันไป
เอ็นดูภูธร......................มานอนในไพร....................มณฑลต้นไทร................แทนไพชยนต์สถาน
- 14. 6.2 จุดประสงค์การแต่ง
-เรื่องกาพย์พระไชยสุริยานี้แต่งขึ้นเพื่อเป็นแบบเรียนใช้สอนเรื่องการสะกดคาและการใช้ถ้อยคาแก่พระโอรสในพระบรมวงศานุวงศ์
โดยเรียงตามลาดับมาตราตัวสะกด คือ แม่ก กา แม่กนแม่กงแม่กก แม่กด แม่กบแม่กมแม่เกย
-ลักษณะเนื้อหาเริ่มสอนจากง่ายไปหายาก มีการทบทวนความรู้เดิมทุกครั้ง ทาให้ น่าสนใจน่าติดตาม แต่ยังไม่จบเรื่อง คือ
ขาดมาตราตัวสะกดแม่เกอวไปอีกหนึ่งมาตรา
.3 การวิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์
(1)การใช้คาง่ายๆบรรยายให้เห็นภาพชัดเจน เช่น
................ข้าเฝ้าเหล่าเสนา...........................มีกิริยาอะฌวสัย
พ่อค้ามาแต่ไกล............................................ได้อาศัยในพารา
...............ไพร่ฟ้าประชาชี.............................ชาวบูรีก็ปรีดา
ทาไร่เขาไถนา..............................................ได้ข้าวปลาแลสาลี
(2)ใช้คาพรรณนาให้สะเทือนอารมณ์เช่น
..............คืนนั้นจันทร.....................มีดารากร.................เป็นบริวาร
เห็นสิ้นดินฟ้า..............ในป่าท่าธาร...................มาลีคลี่บาน................ใบก้านอรชร
.............เย็นฉ่าน้าฟ้า......................ชื่นชะผกา................วายุพาขจร
สารพันจันอิน.............รื่นกลิ่นเกสร................แตนต่อคล้อร่อน...........ว้าว่อนเวียนระวัน
(3)สร้างสรรค์คาประพันธ์ โดยใช้โวหารได้ไพเราะเหมาะสม ดังนี้
-ใช้โวหารนาฏการ คือเห็นกิริยาอาการที่ทาต่อเนื่อง เช่น
..............เห็นกวางย่างเยื้องชาเลืองเดิน....................เหมือนอย่างนางเชิญ
พระแสงสาอางข้างเคียง
..............ฝูงละมั่งฝันดินกินเพลิง..............................ค่างแข็งแรงเริง
ยืนเบิ่งบึ้งหน้าตาโพลง
..............ป่าสูงยูงยางช้างโคลง...................................อึงคะนึงผึงโผง
โยงกันเล่นน้าคล่าไป
-ใช้โวหารสัทพจน์ ได้เห็นภาพและได้ยินเสียง เช่น
- 15. .............กะลิงกะลางนางนวลนอนเรียง...................พระยาลอคลอเคียง
แอ่นเอี้ยงอีโก้งโทงเทง
.............ค้อนทองเสียงร้องป๋ องเป๋ ง..........................เพลินฟังวังเวง
อีเก้งเริงร้องลองเชิง
-ใช้โวหารอุปมา คือ เปรียบเทียบสิ่งหนึ่ง เหมือนกับอีกสิ่งหนึ่ง เช่น
..............กลางไพรไก่ขันบรรเลง.........................ฟังเสียงเพลง
ซอเจ้งจาเรียงเวียงวัง
.............ยูงทองร้องกะโต้งโห่งดัง.......................เพียงฆ้องกลองระฆัง
แตรสังข์กังสดาลขานเสียง
-ใช้โวหารสัญลักษณ์ คือ การบรรยาย หรือ พรรณนาบางเรื่อง ไม่จาเป็นต้องบรรยายชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่ใช้สัญลักษณ์แทนเช่น
..............ขึ้นกดบทอัศจรรย์.....................เสียงครื้นครั่นชั้นเขาหลวง
นกหกตกรังรวง......................................สัตว์ทั้งปวงง่วงงุนโงน
..............แดนดินถิ่นมนุษย์....................เสียงดังดุจพระเพลิงโพลง
ตึกกว้านบ้านเรือนโรง...........................โคลงคลองเคลื่อนเขยื้อนโยง
(4)ใช้คาได้ไพเราะ มีเสียงสัมผัสในวรรคทุกวรรค ทั้งสัมผัสสระและสัมผัสอักษร เช่น
...............ขึ้นกงจงจาสาคัญ........................ทั้งกนปนกัน
ราพันมิ่งไม้ในดง
............ไกรกร่างยางยูงสูงระหง.....................ตะลิงปลิงปริงประยงค์
คันทรงส่งกลิ่นฝิ่นฝาง
............มะม่วงพลวงพลองช้องนาง...........หล่นเกลื่อนเถื่อนทาง
กินพลางเดินพลางหว่างเนิน
สัมผัสอักษร เช่นจง-จา มิ่ง-ไม้ไกร-กร่าง ยาง-ยูง ตะลิงปลิง-ปริงค์-ประยงค์ ฝิ่น-ฝาง พลวง-พลอง
สัมผัสสระเช่น กง-จงจา-สา กน-ปน ไม้-ในกร่าง-ยาง ยูง-สูงลิง-ปริง-ปลิง ยงค์-ทรง-ส่งม่วง-พลวง พลอง-ช้อง เกลื่อน-เถื่อน
พลาง-หว่าง
(5) ใช้ลีลาจังหวะในการอ่านได้สนุกและเกิดอารมณ์ตามเนื้อเรื่อง เช่นกาพย์ยานี11 ใช้จังหวะการอ่าน2/3 3/3
เป็นจังหวะประกอบเสียงหนักเบา และสัมผัสในของแต่ละวรรค
-แสดงอารมณ์ขันของสุนทรภู่เช่น
- 16. ............ขุนนาง/ต่างลุกวิ่ง...................ท่านผู้หญิง /วิ่งยุคหลัง
พัลวัน /ดันตึงตัง.................................พลั้งพลัดตก /หกคะเมน
............พระสงฆ์/ลงจากกุฏิ์...............วิ่งอุดตลุด /ฉุดมือเณร
หลวงชี /หนีหลวงเถร.........................ลงโคลนเลน /เผ่นผาดโผน
-ให้อารมณ์เศร้า เหงา เช่น
...............พระชวนนวลนอน...........เข็ญใจไม้ขอน...............เหมือนหมอนแม่นา
ภูธรสอนมนต์.............ให้บ่นภาวนา...............เย็นค่าร่าว่า..................กันป่าภัยพาล
-ให้อารมณ์แช่มชื่นเบิกบานบ้าง
...........เห็นกวางย่างเยื้องชาเลืองเดิน..........เหมือนอย่างนางเชิญ
พระแสงสาอางข้างเคือง
...........เขาสูงฝูงหงส์ลงเรียง........................เริงร้อยซ้องเสียง
สาเนียงน่าฟังวังเวง
6.4 การวิเคราะห์คุณค่าด้านสังคม
(1) ให้ความรู้แก่ผู้อื่นตามจุดประสงค์ของผู้แต่ง คือ ใช้เป็นสื่อการสอน ใช้ในการสอนมาตราตัวสะกด
(2) ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน เกิดจินตนาการตามเนื้อเรื่อง
(3) ให้เห็นสภาพสังคมไทย เหมือนสภาพคนไทยก่อนเสียกรุง ดังนี้
................อยู่มาหมู่ข้าเฝ้า...........................ก็หาเยาวนารี
ที่หน้าตาดีดี................................................ทามโหรีที่เคหา
................ค่าเช้าเฝ้าสีซอ............................เข้าแต่หอล่อกามา
หาได้ให้ภริยา...........................................โลภาพาให้บ้าใจ
................ไม่จาคาพระเจ้า........................เหไปเข้าภาษาไสย
ถือดีมีข้าไท..............................................ฉ้อแต่ไพรใส่ชื่อคา
และสภาพก่อนกรุงสาวัติถีจะล่มจม ดังนี้
..............คดีที่มีคู่.........................คือไก่หมูเจ้าสุภา
ใครเอาข้าวปลามา......................ให้สุภาก็ว่าดี
.............ที่แพ้แก้ชนะ..................ไม่ถือพระประเวณี
ขี้ฉ้อก็ได้ดี..................................ไล่ด่าตีมีอาญา
.............ที่ซื่อถือพระเจ้า.............ว่างโง่เง่าเต่าปูปลา
ผู้เฒ่าเหล่าเมธา..........................ว่าใบ้บ้าสาระยา
- 17. (4) แสดงความคิด ความเชื่อ และค่านิยมของคนในสังคม เช่น เชื่อเรื่อง ไสยศาสตร์
...............ไม่จาคาพระเจ้า......................เหไปเข้าภาษาไสย
ถือดีมีข้าไท............................................ฉ้อแต่ไพร่ใส่ชื่อคา
แสดงค่านิยมของครอบครัว
.............ส่วนสุมาลี.................วันทาสามี...............เทวีอยู่งาน
เฝ้าอยู่ดูแล.............เหมือนแต่ก่อนกาล.......ให้พระภูบาล...........สาราญวิญญาณ์
(5) ให้ข้อคิด คติธรรม นาไปใช้ในชีวิตดังนี้
-ข้าราชการที่ดีต้องไม่คดโกง
-คนไทยไม่ควรหลงระเริง เพลิดเพลินในกามจนเกินไป
-ผู้นาประเทศต้องควบคุมดูแลข้าราชการ อย่าให้รังแกประชาชน
-ถ้าข้าราชการไม่สุจริต คดโกง ประเทศชาติจะประสบความหายนะต่างๆ
-คนเราทุกคนต้องตาย ไม่มีใครอยู่ค้าฟ้า การอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ทุกคนต้องไม่เบียดเบียนกัน