More Related Content Similar to Chapter 7 technology development trends in the 21st century
Similar to Chapter 7 technology development trends in the 21st century (20) More from Teetut Tresirichod
More from Teetut Tresirichod (20) Chapter 7 technology development trends in the 21st century3. การก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 จะมีเทคโนโลยีอัจฉริยะต่าง ๆ ที่เข้ามามีบทบาท
สาคัญในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ อาทิ เครื่องจักรกลที่คิดได้และสื่อสารเป็น 3D Printing ที่
สามารถเปลี่ยนจินตนาการให้เป็นวัตถุของจริงที่จับต้องได้ หุ่นยนต์จะเข้ามาทางานร่วมกับ
มนุษย์เสมือนเป็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง นอกจากนั้น ยังมีเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ
Information Technology: IT ที่จะเข้ามาเป็นตัวกลางที่ทาให้การสื่อสารระหว่างคนกับ
เครื่องจักร และระหว่างเครื่องจักรด้วยกันเองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เทคโนโลยี
ดังกล่าวนี้เอง ที่จะทาให้รูปแบบการผลิตเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เพื่อประสิทธิภาพการ
ผลิตและเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค
สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง คือ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะพลิกโฉมหน้าการผลิตไป
มากน้อยเพียงใด เทคโนโลยีอัตโนมัติรวมถึงหุ่นยนต์อัจฉริยะจะเข้ามามีบทบาทสาคัญ
อย่างไรกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งนี้
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 3
4. ย้อนอดีตไปราว 230 ปีก่อน โลกของเราเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นเป็นครั้งแรก และมีการ
เปลี่ยนแปลงครั้งที่สอง และสาม มาเรื่อย ๆ จนกระทั้งมาถึงครั้งที่สี่ในปัจจุบัน แต่ละยุคสมัยมีการ
เปลี่ยนแปลงที่สาคัญดังต่อไปนี้
การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1 (Industrial Revolution 1.0) เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1784 คือ
ยุคของการใช้พลังงานจากน้า (Hydro Power) แทนการใช้แรงงานคน หรือสัตว์ หรือพลังงานธรรมชาติ
เป็นยุคที่เริ่มต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งมีการใช้พลังงานไอน้าจากถ่านหินในกลุ่มอุตสาหกรรมทอผ้า
กังหันน้าที่สร้างพลังงานสาหรับใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ หรือการใช้ไอน้าในรถไฟหัวจักรไอน้า เป็นต้น
การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (Industrial Revolution 2.0) เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1870 เป็น
การเปลี่ยนจากการใช้เครื่องจักรไอน้า มาใช้พลังงานไฟฟ้าส่งผลให้สามารถปลดปล่อยพลังการผลิตอย่างที่
ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เปลี่ยนแปลงระบบการผลิตมาเป็นระบบโรงงาน ทาให้เกิดการผลิตสินค้าคราวละ
มาก ๆ และมีคุณภาพที่เทียบเท่างานหัตถกรรม ที่สาคัญคือ สินค้าราคาไม่แพง ทุกคนสามารถบริโภคได้
ทาให้เกิดกระแสบริโภคนิยมไปทั่วโลก
การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3 (Industrial Revolution 3.0) เกิดขึ้นในปีค.ศ. 1969 เป็นยุค
ของการใช้อิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีไอทีในการผลิต มีการปรับปรุงกระบวนการผลิตและระบบบริหาร
จัดการด้านคุณภาพ มีการใช้เครื่องจักรอัตโนมัติหรือหุ่นยนต์ในการผลิต แทนที่แรงงานคน เพิ่ม
ประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 4
5. การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 จะเป็นการบูรณาการโลกของการผลิตเข้ากับการ
เชื่อมต่อทางเครือข่ายในรูปแบบ ‘Internet of Things (IoT)’ ทุกหน่วยของระบบการผลิต ตั้งแต่
วัตถุดิบ เครื่องจักร เครื่องมืออุปกรณ์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์หน่วยต่าง ๆ เหล่านี้จะถูกติดตั้ง
ระบบเครือข่ายเพื่อให้สามารถสื่อสารและแลกเปลี่ยน ข้อมูลซึ่งกันและกันอย่างอิสระ เพื่อการ
จัดการกระบวนการผลิตทั้งหมด
จุดเด่นของอุตสาหกรรม 4.0 คือการที่เครื่องจักรหรือระบบอัตโนมัติสามารถเชื่อมโยง
เป็นส่วนหนึ่งของสังคมเครือข่ายผ่ายอินเตอร์เน็ต จึงสามารถแบ่งปันข้อมูลข่าวสารถึงกันหมด
รวมทั้งสามารถใช้ทรัพยากรบางส่วนร่วมกันได้ เครื่องจักรกลสาหรับอุตสาหกรรม 4.0 จะมี
ความสามารถที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งในด้านการทางานด้วยตนเอง ความยืดหยุ่นและการปรับตัวให้
เข้ากับเงื่อนไขการผลิต มีความสามารถในการตรวจสอบและคาดการณ์ล่วงหน้าได้ นอกจากนี้
เครื่องจักรในอนาคตจะมีโปรแกรมสาหรับตรวจสอบและดูแลสุขภาพของเครื่องจักร เพื่อยืดอายุ
การทางานของเครื่องจักร อันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการวางแผนการผลิตและประเมิน
ประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องจักร กล่าวคือ เครื่องจักรจะมีความเป็นอัจฉริยะมากขึ้นนั่นเอง
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 5
6. Klaus Schwab ผู้ก่อตั้งและประธานสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic
Forum) (2017) ชี้ว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 เริ่มมาตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 2000
ซึ่งเป็นผลมาจากการต่อยอดและการผสานแนวคิดและเทคโนโลยีจากการปฏิวัติ
อุตสาหกรรมครั้งที่ 3 ทั้งยังเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างไปจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ในครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและสร้าง
ผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อทุกภาคส่วนในสังคม ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เป็นผล
มาจากการบูรณาการเทคโนโลยีทั้ง 3 ด้านเข้าด้วยกัน ได้แก่ เทคโนโลยีทางกายภาพ
เทคโนโลยีดิจิทัลและเทคโนโลยีทางการแพทย์และชีวภาพ
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 6
7. ในส่วนการพัฒนาเทคโนโลยีทางกายภาพภายใต้การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 จะเกิด
การพัฒนาคอมพิวเตอร์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขั้นสูง ส่งผลให้เกิดการผสานการทางานระหว่าง
เครื่องจักรกับหุ่นยนต์กลายเป็นเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ที่มีความสามารถใกล้เคียงกับการทางาน
ของมนุษย์ โดยเฉพาะความสามารถในการจัดการปัญหาและการแก้ไขสถานการณ์ ตลอดจนการ
ซ่อมบารุงรักษาโดยอัตโนมัติ หรือเรียกโดยรวมว่าแนวคิดของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์
(Artificial Intelligence)
ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล ผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 จะทาให้
อินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจาวันของมนุษย์ หรือเป็นสิ่งสาคัญที่เชื่อมโยงมนุษย์เข้ากับ
ระบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นไปตามแนวคิดที่เรียกว่า Internet of thing (IOT) เห็นได้จากการพัฒนา
ระบบการทาธุรกรรมทางการเงินหรือการสร้างสกุลเงินดิจิทัล เช่น บล็อกเชน (Blockchain) บิต
คอยน์ (Bitcoin) เป็นต้น ตลอดจนเกิดโครงสร้างเศรษฐกิจตามความต้องการ (on-demand
economy) หรือเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน (sharing economy) ซึ่งหมายถึง โครงสร้างเศรษฐกิจ
รูปแบบใหม่อันเกิดจากความต้องการที่จะสร้างรายได้จากการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการที่มี
มูลค่าเชิงเศรษฐกิจจากทรัพยากรที่ผู้บริโภคมีอยู่ แต่มีในปริมาณมากเกินความต้องการก่อให้เกิด
ความต้องการที่จะสร้างรายได้จากทรัพยากรดังกล่าว จึงเป็นที่มาของกระแสธุรกิจประเภทสตาร์ท
อัพ (Startup) (ภาวนิศร์ ชัววัลลี, 2560)
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 7
9. ด้านแรก เศรษฐกิจเชิงแบ่งปัน หรือ Sharing Economy จะมีความสาคัญมากขึ้น
ในโลกยุคใหม่ที่เกิดจากพลังของเทคโนโลยี จะเกิดแพลตฟอร์มที่ธุรกิจสามารถสร้าง
ประโยชน์ร่วมกันได้ ที่สาคัญ แพลตฟอร์มเหล่านี้จะทาหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่าง
“ผู้ใช้บริการ” กับ “ผู้ให้บริการ” ได้โดยตรงด้วยต้นทุนที่ต่ามาก ไม่ต้องอาศัยธุรกิจตัวกลาง
เหมือนในอดีต ทาให้ธุรกิจตัวกลางต่าง ๆ จะมีบทบาทลดลงมาก แนวคิด Sharing
Economy ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรต่าง ๆ ร่วมกันโดยไม่ต้อง
ลงทุนเป็นเจ้าของเอง ไม่เก็บทรัพยากรที่มีไว้ใช้คนเดียว ทาให้เกิดธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ เช่น
UBER, AirBnB, Alibaba, Facebook
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 9
11. ด้านที่สาม ธุรกิจจะแข่งกันเรื่องความรวดเร็ว หรือ Economy of Speed มาก
ขึ้น ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทาให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป เทคโนโลยีทาให้
กระบวนการตัดสินใจของคนใช้เวลาสั้นลงมาก สามารถรับข้อมูลที่พร้อมสาหรับการ
ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการตัดสินใจซื้อของผ่าน social commerce หรือ e-
commerce หรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ
ด้านที่สี่ อาชีพ รูปแบบการทางาน และตาแหน่งงานในอนาคตจะเปลี่ยนจาก
ปัจจุบันมาก การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีจะเปลี่ยนโฉมตลาดแรงงาน งาน routine หรือ
งานที่ทาซ้า ๆ จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ และเมื่องาน routine ค่อยๆ หมดไปจะ
เหลือแต่งานที่ระบบอัตโนมัติทดแทนยาก โดยแรงงานกลุ่มที่มี soft skill สูง เช่น มีทักษะ
การสื่อสาร การทางานเป็นทีม มีภาวะผู้นา มีทักษะในการแก้ปัญหาได้ดีจะเป็นที่ต้องการ
มากขึ้น ขณะที่เทคโนโลยีและ Big Data ทาให้ความต้องการแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญ
ด้าน ICT การคานวณ และประมวลผลมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 11
12. ด้านที่ห้า โครงสร้างประชากรในหลายประเทศกาลังเปลี่ยนไปสู่ “สังคมผู้สูงอายุ”
โดยเฉพาะกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และรวมถึงประเทศจีนและไทย สาหรับการดาเนิน
ธุรกิจนั้น แรงงานจะหายากขึ้นและค่าจ้างจะปรับสูงขึ้น ยิ่งส่งผลให้การใช้หุ่นยนต์แทน
แรงงานคนเกิดได้เร็วขึ้น
ด้านที่หก กฎเกณฑ์ กติกา หลายเรื่องจะต้องเปลี่ยนแปลงตามบรรทัดฐานของ
โลกยุคใหม่ ภายใต้บริบทโลกใหม่ที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะทาให้เส้นแบ่งพรมแดน
สาคัญลดลง รวมทั้งโซเชียลมีเดียทาให้ข้อมูลข่าวสารในโลกส่งถึงกันรวดเร็วมากขึ้น ใช้เวลา
เพียงเสี้ยววินาที และความคาดหวังของคนในสังคมสูงขึ้นเป็นลาดับ เทคโนโลยียังทาให้เกิด
ความโปร่งใสในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ใหม่ๆ และจะถูกตรวจสอบได้โดยง่าย กฎเกณฑ์
กติกา และมาตรฐานหลายอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลงตามบรรทัดฐานของโลก ไม่ว่าจะเป็น
เรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน หรือ ธรรมาภิบาล
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 12
13. จากที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นได้มีการพัฒนาอย่าง
ต่อเนื่อง ทาให้ประเทศต่าง ๆ จะต้องปรับตัวให้ทันต่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะ
ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลต่อการแข่งขันทางธุรกิจ ในบทนี้จะแสดงให้เห็นถึง
ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ที่ได้เข้ามามีบทบาทและส่งผลกระ
ทบต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) หมายถึงศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ
วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ในการสร้างให้คอมพิวเตอร์หรือเครื่องจักรให้คิดแก้ไขปัญหา
เฉพาะด้าน โดยมีกระบวนการทางานเป็นขั้นตอนอย่างชัดเจน รวมทั้งสามารถตัดสินใจได้อย่างมี
ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการทางานของมนุษย์ (John McCarthy, 2007) อาทิ การทางานด้าน
การคิดคานวณ การใช้เหตุผล การประมวลผลข้อมูล ความสามารถในการเรียนรู้เพื่อดาเนินการ
(machine learning) โดยเฉพาะกลไกในการจดจาข้อมูลภาพและเสียง ความสามารถในการ
เรียนรู้และใช้ความรู้เพื่อจัดการกับสภาพแวดล้อม
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 13
14. ความสามารถที่เห็นได้อย่างชัดเจนของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ คือ การแปรผล
หรือประมวลผลชุดข้อมูลไปสู่ผลลัพธ์ โดยอาศัยการเรียนรู้จากชุดข้อมูลที่มีอยู่เดิมเพื่อหา
รูปแบบและความสัมพันธ์ระหว่างชุดข้อมูลนาไปสู่การแสดงผลลัพธ์อย่างแม่นยา
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จึงถูกนาไปประยุกต์ใช้กับสาขาที่หลากหลาย เห็นได้จากการนา
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ไปประยุกต์ใช้กับภาคการเงินและธนาคารปัญญาประดิษฐ์ถูก
นาไปใช้ประโยชน์ในการเก็บข้อมูลของลูกค้าในฐานข้อมูล และจัดประเภทของกลุ่มลูกค้า
เพื่อประโยชน์สาหรับธนาคารในการออกสินเชื่อหรือบัตรเครดิต หรือในแง่ของ
อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ปัญญาประดิษฐ์ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการดาเนินงาน ด้วย
ความสามารถในการคาดเดาเหตุการณ์หรือพฤติกรรมของลูกค้า จึงทาให้เกิดการ
ประมวลผลข้อมูลในเชิงลึก เช่น ความสามารถในการคาดเดาพฤติกรรมเพื่อวางแผนจัดส่ง
สินค้าล่วงหน้าก่อนที่ลูกค้าจะสั่งซื้อสินค้า การคานวณความผันผวนของปริมาณการจัดส่ง
สินค้า เป็นต้น
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 14
15. ในส่วนของตลาดแรงงาน เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทและอาจเข้า
แทนที่แรงงานมนุษย์ได้ในอนาคต ตามการคาดการณ์ของสถาบัน McKinsey Global Institute
ที่ชี้ว่าจานวนแรงงานร้อยละ 9 – 32 ในประเทศที่พัฒนาแล้วอาจจะถูกแทนที่ด้วยการทางานของ
ปัญญาประดิษฐ์ภายในทศวรรษที่ 2020 เนื่องจากความสามารถของปัญญาประดิษฐ์มีขอบเขต
อย่างกว้างขวางจึงอาจทาให้แรงงานมนุษย์ไม่มีความจาเป็นสาหรับอุตสาหกรรมบางประเภท เช่น
อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมด้านอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น เนื่องจาก
แรงงานในอุตสาหกรรมดังกล่าว มีลักษณะการทางานที่สามารถแบ่งออกเป็นสัดส่วนได้ตาม
หลักการแบ่งงานกันทาและมีกระบวนการทางานที่เป็นไปในรูปแบบเดิม โดยเฉพาะแรงงานใน
สายการผลิต (Production Worker) หรือเสมียนที่จะได้รับผลกระทบจากการนาหุ่นยนต์หรือ
ปัญญาประดิษฐ์เข้ามาใช้ทดแทนแรงงานมนุษย์ อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ไม่เพียงแต่
จะส่งผลกระทบต่อภาคแรงงานในเชิงลบเท่านั้น หากแต่ยังก่อให้เกิดอาชีพและการจ้างงานใน
สาขาใหม่ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะงานประเภทที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบหุ่นยนต์หรือการ
ควบคุมระบบของหุ่นยนต์ นอกจากนี้ กระแสของปัญญาประดิษฐ์ยังสร้างภาวะกดดันให้มนุษย์
จะต้องพัฒนาความสามารถและทักษะ เพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและเพื่อ
ทางานร่วมกับเทคโนโลยีใหม่ได้อย่างราบรื่น
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 15
16. สาหรับประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการนาปัญญาประดิษฐ์มาใช้ร้อยละ 17.1 ของ
องค์การทั้งหมดภายในประเทศ โดยเป็นประเทศที่มีการใช้ปัญญาประดิษฐ์มากที่สุดใน
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากประเทศอินโดนีเซีย (Shu Ling Chan, 2018) ซึ่ง
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ถูกนามาใช้กับธุรกิจค้าปลีกโดยเฉพาะนวัตกรรมในการเพิ่ม
ประสิทธิภาพการผลิตและการตรวจสอบคุณภาพโดยอัตโนมัติ (Automated Quality
Inspections) รวมถึงเทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพการทางานและการจดจาข้อมูล
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 16
17. ด้านประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีการนาปัญญาประดิษฐ์มาใช้เป็นอันดับที่
สามของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีการนาปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในองค์การ
ภายในประเทศร้อยละ 9.9 โดยธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการใช้ปัญญาประดิษฐ์ คือ
การให้บริการทางการเงิน เห็นได้จากการที่ธนาคารแห่งชาติสิงคโปร์ (Money
Authority of Singapore) จัดให้มีระบบเดี่ยวสาหรับอ่านการ์ด (Single unified
terminal) ซึ่งเป็นระบบที่สามารถอ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์หรือบัตรเครดิตได้หลาย
ประเภท โดยใช้เครื่องอ่านชนิดเดียว และการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการทาธุรกรรม
ทางการเงินผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่เพียงใช้หมายเลขโทรศัพท์ นอกจากนี้ หน่วยงานด้าน
การดูแลผังเมือง (Urban Development Authority) หน่วยงานด้านการดูแลที่พัก
อาศัย (Housing & Development Board) และหน่วยงานด้านเทคโนโลยีของสิงค์โปร
ได้ร่วมกันจัดทาแอพพลิเคชั่นสาหรับชาระค่าจอดรถในบริเวณที่จอดรถสาธารณะอีก
ด้วย
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 17
19. แนวโน้มเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ จากบทวิเคราะห์จาก Gartner (CAT cyfence,
2563) จากสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จะเห็นได้ว่ามีการพัฒนา
เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมากมาย และยิ่งสถานการณ์โรคไวรัสระบาด COVID-19 ที่บังคับ
ให้เราต้องเข้าสู่วิถีการใช้ชีวิตในรูปแบบ New normal ซึ่งบางส่วนก็นาเอาเทคโนโลยีมาใช้
ทดแทนไปเลย และด้วยการปรับตัวของมนุษย์ในครั้งนี้ ทาให้ช่วยเสริมให้มีการสร้าง
เทคโนโลยีขึ้นมาเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ ณ ตอนนี้ โดยเทคโนโลยีบางตัวก็จะได้รับ
การสนับสนุนจาก องค์การภาครัฐ เอกชน และธุรกิจต่าง ๆ อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะถูก
นาไปใช้ในปีต่อ ๆ ไป
Gartner บริษัทวิจัยและผู้ให้คาปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นนาของโลก
ได้วิเคราะห์เกี่ยวกับกลยุทธ์การใช้เทคโนโลยีที่จะมีผลจากการเปลี่ยนแปลงของสังคมทั่ว
โลก โดย Gartner วิเคราะห์ว่า จะมี 9 แนวโน้มกลยุทธ์การใช้เทคโนโลยีที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
จริงในปี 2021 ข้างหน้านี้ ซึ่งจะมีดังต่อไปนี้
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 19
20. • Internet of Behavior (IoB)
• Total Experience
• ระบบคลาวด์แบบกระจายคืออนาคตของ Cloud
• Anywhere operations
• Cybersecurity Mesh
• Intelligent composable business
• ปัญญาประดิษฐ์ (AI)
• Hyper automation
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 20
21. ด้วยสถานการณ์ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบหลาย ๆ ด้าน การใช้ Internet of
Behavior (IoB) เข้ามาช่วยก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เนื่องจาก Internet of Behavior (IoB) จะ
เป็นการรวบรวมข้อมูลจากหลาย ๆ แห่งมาผสมผสานเทคโนโลยีหลายแบบเข้าด้วยกัน
จุดประสงค์เพื่อใช้ในการติดตามตาแหน่ง จดจาใบหน้า ตรวจจับพฤติกรรม เช่น ติดตาม
พนักงานให้ปฏิบัติตามกฎบริษัท หรือ เฝ้าระวังด้านสุขภาพของพนักงานในช่วงการแพร่
ระบาดไวรัส ซึ่งการมีเทคโนโลยีแบบนี้ก็มีทั้งข้อดี ข้อเสีย สาหรับข้อเสียข้อใหญ่นั่นก็คือ
อาจจะขัดต่อหลักจริยธรรมได้ เนื่องจากสามารถละเมิดความเป็นส่วนตัวของคนอื่น ไม่แน่
ว่าปี 2021 อาจจะมีการปรับปรุงพัฒนา เพื่อทาให้สามารถนามาใช้งานได้ตามขอบเขตข้อ
กฎหมายที่กาหนดในแต่ละประเทศนั้น ๆ ก็ได้
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 21
22. เป็นการผสมผสานประสบการณ์ทั้งหมดตั้งแต่พนักงาน ผู้บริหาร ลูกค้า เข้า
ด้วยกัน เพื่อให้เกิดผลการเปลี่ยนแปลงทางผลลัพธ์ธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น เพราะในช่วง COVID-
19 ที่ผ่านมา มีผลกระทบที่ทาให้ขาดรายได้ ขาดช่องทางในการขาย ไม่สามารถติดต่อ
ลูกค้าได้โดยตรง สิ่งนี้เองที่จะทาให้องค์การ นามาปรับใช้ในการดาเนินการธุรกิจ ให้
สามารถฟื้นฟูและกลับมายืนต่อได้ โดยอาจจะต้องใช้เทคโนโลยีหรือระบบไอทีใด ๆ เข้ามา
ช่วยนั่นเอง
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 22
25. จากเหตุการณ์ COVID-19 ที่ผ่านมาทาให้หลายองค์การมีการปรับตัว และวาง
รูปแบบการดาเนินงานที่สามารถให้บุคลากรสามารถทางานที่ไหนก็ได้ จากการใช้ IT
infrastructure ที่เริ่มตั้งแต่การวางแผนโครงสร้างด้านไอทีที่มั่นคง เพราะรูปแบบการ
ทางานที่ไหนก็ได้เป็นสิ่งสาคัญมากสาหรับการรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่จะเกิดขึ้น ใน
อนาคต ทาให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้า และผู้ร่วมงานในพื้นที่ที่ห่างไกลได้ง่าย
รูปแบบของการเปลี่ยนแปลงที่ดีคือ ดิจิทัลระยะไกล เช่น ธนาคารที่ให้บริการแบบ
ดิจิทัลโดยจัดการทุกอย่างตั้งแต่การโอนเงินไปจนถึงการเปิดบัญชีแบบดิจิทัล เป็นต้น
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 25
26. คือหลักการที่ว่า อนุญาตให้ใครก็ตามสามารถเข้าถึงทรัพย์สินต่าง ๆ ขององค์การ
เช่น ข้อมูล เอกสาร หรืออุปกรณ์ไอที เป็นต้น ได้อย่างปลอดภัย ที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงทรัพย์สินทางดิจิทัลได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยที่ทรัพย์สิน
จานวนมากที่อยู่ภายนอกเขตรักษาความปลอดภัยแบบดั้งเดิมที่ใช้ระบบรักษาความ
ปลอดภัยทางอินเตอร์เน็ตจะสามารถกาหนดขอบเขตความปลอดภัยได้
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 26
27. ธุรกิจที่ชาญฉลาดคือ ธุรกิจที่สามารถปรับตัวได้ตามสถานการณ์ปัจจุบัน ในขณะที่
องค์การต่าง ๆ ที่เร่งกลยุทธ์ทางธุรกิจดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลอย่าง
รวดเร็ว จาเป็นต้องมีความคล่องตัวและการตัดสินใจทางธุรกิจอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยใช้
ข้อมูลที่มีอยู่ในการดาเนินการให้ประสบความสาเร็จ องค์การต่าง ๆ จาเป็นต้องเปิดใช้งาน
การเข้าถึงข้อมูลได้ดียิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่ล้าสมัย และมีความสามารถในการตอบสนองต่อ
ข้อมูลเชิงลึกได้อย่างรวดเร็ว
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 27
29. Hyper automation คือ แนวคิดที่ว่าทุกอย่างในองค์การถ้าสามารถทาให้เป็น
อัตโนมัติได้ ควรจะทาให้มันเป็นอัตโนมัติ เป็นการใช้ Big Data และพัฒนา AI อย่าง
สมบูรณ์แบบ เพื่อให้ได้ ประสิทธิภาพประสิทธิผลและความคล่องตัวทางธุรกิจมากยิ่งขึ้น
องค์การไหนที่ยังไม่เน้นเรื่องดังกล่าวจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังในที่สุด
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 29
30. 1. จงอธิบายการปฏิวัติอุตสาหกรรมทั้ง 4 ครั้ง
2. จุดเด่นของอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 มีอะไรบ้าง
3. ผลกระทบจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 เป็นอย่างไร
4. บริบทของโลกยุค 4.0 มีผลต่อการดาเนินธุรกิจในอนาคตอย่างไร
5. ประเทศไทยได้รับผลกระทบอะไรบ้างจาก การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี
6. ทาไมจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี
7. Internet of Behavior (IoB) คืออะไร
8. Hyper automation คืออะไร มีประโยชน์อะไรต่อธุรกิจ
ผศ.ดร.ธีทัต ตรีศิริโชติ 30