More Related Content
Similar to รายงาน 5 บท Is แพทย์สากล 20 person complete (20)
รายงาน 5 บท Is แพทย์สากล 20 person complete
- 1. กิตติกรรมประกาศ
การศึกษารายงานIS ประเภทการศึกษา รวบรวมข้อมูล เรื่อง“20 บุคคลในวงการแพทย์สากล”
เล่มนี้สาเร็จลุล่วงโดยได้รับความอนุเคราะห์อย่างดี จากครูสุภัตรา
มาทามาซึ่งได้กรุณาให้คาปรึกษาแนะนาแนวคิดวิธีการและเสียสละเวลาอันมีค่าแก้ไขข้อบกพร่องของเ
นื้อหาและสานวนภาษาด้วยความเอาใจใส่อย่างดียิ่ง คณะผู้ศึกษาขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ณ
โอกาสนี้
ขอขอบพระคุณคณะผู้บริหารโรงเรียนน้าปาดชนูปถัมภ์คณะครูทุกท่านที่ได้ให้การสนับสนุนใ
นการดาเนินการศึกษารายงานเล่มนี้จนสาเร็จด้วยดี
นางสาวฉัตราภรณ์ สุขชีพ
ผู้จัดทา
ข
- 4. บทที่ 1
บทนา
ที่มาและความสาคัญ
ถ้าเริ่มนับตั้งแต่เมื่อครั้งเกิดมนุษย์ขึ้นครั้งแรกมาจนถึงปัจจุบัน จะพบว่าตลอดระยะเวลา
อันยาวนานนั้นมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบันก็ได้พัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆ
และสิ่งหนึ่งที่มีวิวัฒนาการเคียงคู่มาพร้อมๆกับมนุษย์ก็คือ "การแพทย์" การแพทย์เปรียบเสมือน
เพื่อนคนหนึ่งที่เติบโตมาพร้อมกับมนุษย์ในอดีตที่มนุษย์ยังไม่ค่อยเจริญนัก พวกเขายังไม่มีความรู้
ทางการแพทย์เลย แต่ในปัจจุบันเมื่อมนุษย์เจริญขึ้นมากก็ทาให้การแพทย์นั้นก้าวหน้าได้
เช่นเดียวกันถ้าจะมองดีๆก็จะพบว่าการแพทย์ของไทยเริ่มนับจากศูนย์แล้วก็ค่อยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
คาถามที่ว่า “การแพทย์ของมนุษย์พัฒนาขึ้นมาได้อย่างไร?”
คงจะเป็นจุดชนวนที่ทาให้เราต้องมองย้อนกลับไปในอดีตเพื่อค้นหาคาตอบอีกครั้ง
เป็นไปไม่ได้แน่ว่าอยู่ดีๆการแพทย์ของไทยนั้นก็จะพัฒนาขึ้นมาเอง
จะต้องมีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ช่วยทาให้การแพทย์ของมนุษย์เรานั้นเจริญขึ้น
เรื่องราวเกี่ยวกับการค้นพบวิธีรักษาโรคใหม่ๆเป็นเรื่องที่น่าสนใจชวนติดตามมากที่สุดเรื่องหนึ่ง
ในประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติ บุคคลสาคัญในวงการแพทย์ทั้งชายและหญิงบุคคลเหล่านี้
ช่วยขยายความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับร่างกายและจิตใจของมนุษย์ตลอดเวลาหลายุคหลายสมัยที่ผ่านมา
บุคคลในวงการแพทย์ทั้งชายและหญิงจานวนมาก ไม่ว่าจะเป็นแพทย์พยาบาล เภสัชกร ผู้เชี่ยวชาญ
ด้าน ยา หรือ สมุนไพร นางผดุงครรภ์ และอีกหลายๆคนได้มีส่วนร่วมในการคิดค้นหาหนทาง
ต่อต้านเชื้อโรค และในบรรดาบุคคลทางการแพทย์หลายคนมีเรื่องราวที่น่าสนใจเป็นพิเศษ
ซึ่งได้รวบรวมเอาไว้ในรายงานการค้นคว้าเล่มนี้
1
- 5. วัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษาชีวประวัติ แนวคิด และผลงานของบุคคลในวงการแพทย์
2. เพื่อเผยแพร่ความรู้แก่ผู้ที่สนใจ มาศึกษาและค้นคว้า
3.สามารถต่อยอดสร้างสรรค์เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ได้
4. เพื่อทาให้เกิดความรู้พื้นฐานของการปฐมพยาบาลในเบื้องต้น
5. เกิดแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ประโยชน์สู่สังคม เพื่อส่วนรวม
ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับชีวประวัติของบุคคลทางการแพทย์ทั้งยี่สิบคน ปรัชญาการดาเนินชีวิต
และแนวคิดในการคิดค้นเครื่องมือทางการแพทย์วิธีการรักษา และยารักษาโรค
รวมทั้งผลงานที่ผ่านมาและถูกศึกษาต่อมาสืบเนื่องจนถึงปัจจุบัน
นิยามศัพท์เฉพาะ
ยาที่มีความเสี่ยงสูง หมายถึง ยาที่มีความเสี่ยงสูงที่จะก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงกับผู้ป่วย
อย่างมีนัยสาคัญ หรืออาจทาให้ผู้ป่วยเสียชีวิตหากมีการใช้ยาอย่างคลาดเคลื่อน
ซึ่งความคลาดเคลื่อนนี้อาจเกิดขึ้นบ่อยหรือไม่มากนัก แต่ก่อให้เกิดความสูญเสียตามมา
การให้บริการข้อมูลทางยา หมายถึง
การบริการให้คาตอบหรือคาปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับยาอย่างถูกต้องแม่นยาและปราศจากอคติ
โดยผู้ให้บริการจะทาค้นคว้าข้อมูลอย่างเป็นระบบ ประเมินค่าข้อมูล ที่ค้นคว้าแล้วอย่างถี่ถ้วน
และนาเสนออย่างไม่มีอคติรวมถึงอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ค้นคว้าด้วย
ชื่อสามัญ หมายถึง ชื่อสามัญทางยา
กลุ่มยา หมายถึง กลุ่มยาจาแนกตามฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
2
- 6. การป้ องกัน หมายถึง มาตรการและกิจกรรมต่างๆ ที่กาหนดขึ้นล่วงหน้า ทั้งทางด้านโครงสร้าง
( Structural Approach) แ ล ะ ที่ มิ ใ ช่ ด้ า น โ ค ร ง ส ร้ า ง (Non Structural Approach)
เพื่อลดหรือควบคุมผลกระทบในทางลบจากสาธารณภัย
การลดผลกระทบ หมายถึง กิจกรรมหรือวิธีการต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงและลดผลกระทบทางลบ
จากสาธารณภัย และยังหมายถึงการลดและป้ องกันมิให้เกิดเหตุหรือลดโอกาสที่อาจก่อให้เกิดสาธารณภัย
การเตรียมความพร้อม หมายถึง มาตรการและกิจกรรมที่ดาเนินการล่วงหน้าก่อนเกิดสาธารณ-
ภั ย เพื่ อ เต รี ย ม พ ร้ อ ม ก า ร จั ด ก า ร ใ น ส ถ า น ก า ร ณ์ ฉุ ก เฉิ น
ให้สามารถรับมือกับผลกระทบจากสาธารณภัยได้อย่างทันการณ์ และมีประสิทธิภาพ
การจัดการในภาวะฉุกเฉิน หมายถึง การจัดตั้งองค์กรและการบริหารจัดการด้านต่างๆ
เพื่ อ รั บ ผิ ด ช อ บ ใ น ก า ร จั ด ก า ร ส ถ า น ก า ร ณ์ ฉุ ก เฉิ น ทุ ก รู ป แ บ บ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเตรียมความพร้อมรับมือและการฟื้นฟูบูรณะ
การฟื้นฟูบูรณะ หมายถึง การฟื้นฟูสภาพเพื่อทาให้สิ่งที่ถูกต้องหรือได้รับความเสียหายจาก
ส าธ ารณ ภัยได้รับ ก ารช่ วยเห ลื อ แ ก้ไข ให้ ก ลับ คื น สู่ ส ภ าพ เดิ ม ห รื อ ดี ก ว่าเดิ ม
รวมทั้งให้ผู้ประสบภัยสามารถดารงชีวิตตามสภาพปกติได้โดยเร็ว
หน่วยงานของรัฐ หมายถึง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐ
แต่ไม่หมายความรวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. มีความรู้ในเรื่องชีวประวัติ แนวคิด และผลงานของบุคคลในวงการแพทย์
2. มีความเข้าใจเกี่ยวกับการปฐมพยาบาล และ ร่างกายมนุษย์เบื้องต้น
3. รู้โอกาสที่จะนาความรู้ที่ได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์
4. เกิดแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ประโยชน์สู่สังคม เพื่อส่วนรวม
5. นาแนวคิดที่ดีไปประยุกต์ใช้ในการดาเนินชีวิตได้
6. มีความรู้พื้นฐาน เพื่อที่จะสามารถเรียนศึกษา ต่อยอดทางกระบวนการคิดได้
3
- 8. ฮิปพอคราทีสได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูงในวงการแพทย์รุ่นโบราณ ว่าเป็นผู้รวบรวมเรื่องราว
เกี่ยวกับวิชาการแพทย์ไว้มากกว่า 70 ชิ้นงาน โดยเฉพาะเรื่อง "ฮิปพอคราทีสคอร์ดปั้ม" แต่ในภายหลัง
ก็เป็นที่ทราบกันว่าใน 70 เรื่องนี้มีไม่กี่ชิ้นที่เขียนโดยฮิปพอคราทีสเอง แต่เชื่อว่า
ชิ้นงานทั้งหลายดังกล่าวเกิดจากการสะสมตาราและเอกสารในห้องสมุดของโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่ง
ในสมัยนั้นซึ่งได้มาจากหลายแหล่ง เขียนโดยหลายคนที่มีความเห็นต่างๆ กัน แต่นามารวมผิดๆ ถูกๆ
ภายใต้ชื่อฮิปพอคราทีส
ฮิปพอคราทีส ได้ทาคุณประโยชน์ทางการแพทย์ไว้อย่างใหญ่หลวงโดยการรักษาคนไข้
อย่างมีแบบแผน ผิดกับแพทย์ทั่วไปในสมัยนั้นที่ตั้งตนเป็นผู้มีคาถาอาคมเป็นผู้วิเศษที่เชื่อว่า
การเจ็บป่วยเป็นการถูกลงโทษโดยพระเจ้าต้องรักษาด้วยพิธีกรรม แต่ฮิปพอคราทีสกลับเห็นว่า
เกิด จากสาเหตุทางธรรมชาติ ฮิปพอคราทีสเป็นคนแรกที่ทาระเบียนบันทึกอาการและประวัติของคนไข้
วางกฎเกณฑ์วิธีการปฏิบัติตนของแพทย์กับคนไข้ซึ่งยังคงถือปฏิบัติกันอยู่ถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ดีความสาเร็จของผู้เขียนรวมนิพนธ์ฮิปโปคราเคส ผู้ปฏิบัติวิชาแพทย์แบบฮิปโปคราเคส
และผลงานของฮิปโปคราเคสเองถูกหลอมรวมกันไปอย่างแยกไม่ออก
ทาให้มีข้อมูลตกทอดมาถึงปัจจุบันน้อยมากว่าสิ่งใดกันแน่ที่ฮิปโปคราเคสเป็นผู้คิด เขียน และทาจริงๆ
แม้กระนั้นฮิปโปคราเคส ก็ได้รับการยกย่องเป็นแบบอย่างของการแพทย์ในยุคโบราณ
โดยเฉพาะการเป็นผู้ทาให้เกิดความก้าวหน้าอย่างมากในการศึกษาวิชาแพทย์ทางคลินิกอย่างเป็นระบบ
รวบรวมวิชาแพทย์ คาสอนการแพทย์ในอดีตเอาไว้
และสั่งสอนเวชปฏิบัติแก่แพทย์ผ่านคาปฏิญาณฮิปโปคราเคส รวมนิพนธ์ และงานชิ้นอื่นๆ
คาสัตย์สาบานฮิปพอคราทีส
โดยย่อคือ ณ ที่ใดก็ตามที่ข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าจะทาก็เพื่อประโยชน์ของคนไข้เท่านั้น
ข้าพเจ้าจะไม่ทาให้เกิดความผิดพลาดใดๆ และสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังระหว่างการรักษาคนไข้
ข้าพเจ้าจะไม่นาไปเปิดเผยต่อบุคคลที่สาม
นอกจากนี้ยังวลีคาคมในการรักษาโรคเชื่อว่าเป็นของฮิปพอคราทีสคือ
"โรคที่สิ้นหวังแล้วก็ต้องรักษาด้วยวิธีสิ้นหวัง"
5
- 9. อองรี ดูนองต์
(ฝรั่งเศส: Henri Dunant)
รูป 2 อองรี ดูนองต์ (ฝรั่งเศส: Henri Dunant)
ที่มา Henri Dunant image & some info
ชื่อเต็ม ช็อง อองรี ดูนองต์ (ฝรั่งเศส: Jean Henri Dunant) (8 พฤษภาคม ค.ศ. 1828 - 30 ตุลาคม
ค.ศ. 1910) เป็นนักธุรกิจ และนักช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ชาวสวิส
เขาเป็นผู้ให้กาเนิดคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศและสภากาชาดประจาชาติ
เพื่อช่วยเหลิอบรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัยสงครามและภัยพิบัติต่างๆ และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
ในปี ค.ศ. 1901 ร่วมกับ เฟรเดรีก ปาสซี (ฝรั่งเศส: Frederic Passy)
นายอองรี ดูนองต์ เกิดที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นผู้เคร่งศาสนา
โดยมีความเชื่อตามแนวทางของนิกายคาลวิน และตั้งมั่นในหลักการ "จงรักเพื่อนบ้านของท่าน" ("Love
thy neighbor") เขาได้เดินทางไปทั่วยุโรปเพื่อบรรยายถึงความชั่วร้ายเรื่องความเป็นทาส (อังกฤษ:
slavery) ในปี ค.ศ. 1859 ระหว่างอยู่ที่ประเทศอิตาลี เขาได้ไปที่สนามรบของสงครามแห่งโซลเฟริโน
และได้เห็นทหาร ที่ได้รับบาดเจ็บนับพันคน ถูกปล่อยทิ้งรอความตายในสนามรบตามยถากรรม
โดยไม่ได้รับแม้แต่การรักษาพยาบาลเบื้องต้น ที่อาจรักษาชีวิตของคนเหล่านี้ได้
6
- 10. หลังจากที่เขากลับถึงกรุงเจนีวา เขาได้เขียนบทความเกี่ยวกับประสบการณ์ครั้งนี้ของเขา ในชื่อ Un
Souvenir de Solferino (ความทรงจาแห่งซอล -เฟริโน) ซึ่งได้ตีพิมพ์ในวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1862
ในบทความเขาได้พยายามผลักดันให้มีการจัดตั้ง
เครือข่ายนานาชาติของอาสาสมัครเพื่อบรรเทาทุกข์ขึ้น หนังสือของเขาได้รับความสนใจจาก
สภาบริหารประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (อังกฤษ: Switzerland's Federal Council)
และส่งผลให้ประเทศสวิตเซอร์แลนด์สนับสนุนให้มีการประชุมสัมมนานานาชาติขึ้นในปี ค.ศ. 1863
เพื่ออภิปรายถึงแนวความคิดของดูนองต์ที่เขาได้เขียนไว้ในบทความ เก้าบทความ (Nine Articles)
มีประเทศเข้าร่วมการประชุมสัมนาในวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 1864 ทั้งหมด 16 ประเทศ
และในจานวนนั้น 12 ประเทศ ได้ให้การสนับสนุนในเนื้อหา ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็น
คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ และอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่หนึ่ง
นอกจากนี้ อองรี ดูนองต์
ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มฟรีเมสันรีในขณะที่มีการให้รางวัลโนเบลเป็นครั้งแรกนั้น ก็มีข้อโต้แย้งว่า
เขาควรจะได้รับรางวัลนี้หรือไม่[ต้องการอ้างอิง]
เนื่องจากในขณะนั้นองค์กรกาชาดได้ถูกจัดตั้งเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และบทบาทของ อองรี ดูนองต์
ก็ได้ถูกลืมเลือนไปเช่นกัน ได้มีข้อเสนอให้เขาได้รับรางวัลโนเบลในสาขาแพทยศาสตร์
เนื่องมาจากบทบาทขององค์กรกาชาดในขณะนั้น
ผลการประนีประนอมในท้ายที่สุดได้มีการตัดสินให้เป็นรางวัลร่วมในสาขาสันติภาพ โดยได้รับร่วมกับ
เฟรเดอริก พาสซี ซึ่งเป็นนักต่อสู้เพื่อสันติภาพที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศส และถึงแม้ว่าอองรี ดูนองต์
จะมีชีวิตที่ยากจนในขณะนั้น แต่เขาก็บริจาคเงินรางวัลที่ได้รับทั้งหมดเพื่อการกุศล อองรี
ดูนองต์เสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1910
7
- 11. หลุยส์ ปาสเตอร์
(27 ธันวาคม ค.ศ. 1822 - 28 กันยายน ค.ศ. 1895)
รูป 3 หลุยส์ ปาสเตอร์
ที่มา http://www.9engineer.com/scientist/Louis%20Pasteur.htm
หลุยส์ ปาสเตอร์ (ภาษาฝรั่งเศส: [lwi pastœʁ] ; 27 ธันวาคม ค.ศ. 1822 - 28 กันยายน ค.ศ.
1895) นักเคมีและนักจุลชีววิทยา เกิดที่เมืองโดล ประเทศฝรั่งเศส ได้รับการศึกษาที่มหาวิทยาลัย
เบซากองและมหาวิทยาลัยปารีส ต่อมาได้ดารงตาแหน่งอาจารย์ในสถาบันการศึกษาที่สตราบวร์กลิลล์
และมหาวิทยาลัยปารีส และได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์สาขาเคมีที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์
ในปี พ.ศ. 2410ปาสเตอร์เป็นผู้แถลงว่าการเน่าและการหมักเกิดจากเชื้อโรคหรือจุลินทรีย์ปาสเตอร์
ได้ค้นพบปรากฏการณ์นี้ในระหว่างการศึกษาว่าเหตุใดเหล้าองุ่นจึงเสียรสขณะบ่ม
แต่เมื่อนาเหล้าองุ่นไปอุ่นให้ร้อนแล้วจึงป้ องกันไม่เหล้าองุ่นกลายเป็นน้าส้มสายชูได้
8
- 12. ซึ่งการกระทาลักษณะนี้ต่อมาได้พัฒนาเป็นการฆ่าเชื้อวิธีปาสเตอร์ (Pasteurization)
การค้นพบนี้ทาให้สาขาวิชาจุลชีววิทยาโดดเด่นก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
การทดลองที่มีชื่อเสียงของปาสเตอร์เมื่อปี พ.ศ. 2424 ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าแกะและวัวที่ได้รับ
การฉีด “วัคซีน” ที่ทาจากเชื้อจุลินทรีย์บาซิลไล
ซึ่งเป็นเป็นสมมติฐานของโรคแอนแทรคที่ถูกทาให้อ่อนจางลงของเขา
สามารถต่อสู้กับโรคระบาดที่มีอันตรายของสัตว์คือโรคแอนแทรคดังกล่าวได้โดยไม่ติดโรค ในปี พ.ศ.
2431 สถาบันปาสเตอร์ได้รับการจัดตั้งขึ้นในกรุงปารีสเพื่อต่อสู้กับโรคพิษสุนัขบ้า
ซึ่งปาสเตอร์ได้ทางานประจาในสถาบันนี้จนถึงแก่กรรม
ปัจจุบัน สถาบันปาสเตอร์ยังคงเป็นสถาบันวิจัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกที่ยังคงทางานวิจัยงานด้าน
จุลชีววิทยาอยู่ รวมทั้งการค้นพบเชื้อไวรัสเอชไอวี ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์
พาราเซลซัส
(อังกฤษ: Paracelsus; 11 พฤศจิกายน หรือ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1493 - 24 กันยายน ค.ศ. 1541)
รูป 4 พาราเซลซัส
ที่มา Von den Krankheiten so die Vernunfft Berauben. Basel
พาราเซลซัส มีชื่อเดิมว่า Philippus Areolus Theophrastus Bombastus von Hohenheim
เกิดและเติบโตที่หมู่บ้าน Einsiedeln ประเทศสวิซเซอร์แลนด์ เป็นลูกชายของ วิลฮิม บอมบาสต์
(Wilhelm Bombast von Hohenheim) นักเคมีและฟิสิกส์ กับ หญิงชาวสวิส ในตอนเด็กเขาได้ทางาน
เป็นนักวิเคราะห์ที่เหมือง จนเมื่ออายุได้16 ปี เขาก็ได้เข้าศึกษาต่อด้านการแพทย์ที่มหาวิทยาลัยBasel
9
- 13. ภายหลังจากที่ย้ายไปที่ Vienna เขาก็ได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยFerrara
จากการเป็นนักฟิสิกส์เร่ร่อนและช่างขุดแร่ทาให้เขาได้เดินทางไปในหลายๆประเทศทั้งเยอรมนี
ฝรั่งเศส สเปน ฮังการี เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน และรัสเซีย
พาราเซลซัสศึกษาวิชาหลายแขนง หนึ่งในนั้นคือดาราศาสตร์
ดาราศาสตร์เป็นวิชาที่สาคัญในการพัฒนาวิชาการแพทย์ของเขา
หลังจากการศึกษาครั้งนี้เขาได้คิดค้นเครื่องรางของขลังทางดาราศาสตร์สาหรับป้ องกันโรคด้วยใช้สัญลั
กษณ์ 12 นักษัตรโดยแต่สัญลักษณ์ก็จะป้ องกันโรคได้แตกต่างกัน
และเขายังได้ประดิษฐ์อักษรเวทมนตร์เพื่อสลักชื่อเทพลงในเครื่องรางของเขาอีกด้วย
พาราเซลซัสเป็นผู้ริเริ่มนาสารเคมีและแร่ธาตุมาใช้เป็นยารักษาโรค เขาใช้คาว่าซิงค์แทนธาตุสังกะสี
ในปี 1526 โดยมาจากศัพท์เยอรมันซิงค์ที่แปลว่าแหลมคมตามรูปร่างของตัวผลึกสังกะสี
เขาใช้ในการทดลองเพื่อศึกษาร่างกายมนุษย์
นอกจากนี้เขายังมีส่วนรับผิดชอบในการผลิตทิงเจอร์ฝิ่นอีกด้วยด้วยความหยิ่งยโสของพาราเซลซัสเป็น
ที่เลื่องลืออย่างมากทาให้นักฟิสิกส์ทั่วทั้งยุโรปโกรธเกลียดเขา
นั่นทาให้เขาดารงตาแหน่งแพทย์ที่มหาวิทยาลัยBaselได้ไม่ถึงปี
ในขณะที่มีเพื่อนร่วมงานของเขากล่าวหาว่าเขาเป็นคนเผาตาราแพทย์พื้นเมือง
จากนั้นเขาก็ถูกขับไล่ออกจากเมือง
หลังจากถูกขับออกจากเมืองพาราเซลซัสก็ได้ระเหเร่ร่อนไปยัง ยุโรป แอฟริกา
และเอเชียบางส่วนเพื่อศึกษาความหาความรู้เพิ่มเติม เขาได้แก้ไขตาราและเขียนขึ้นใหม่
แต่เขาก็ต้องพบกับปัญหาในการหาผู้ผลิต จนกระทั่งปี 1536 หนังสือเรื่อง Die Grosse Wundartznei
(การผ่าตัดที่สมบูรณ์) ของเขาได้ตีพิมพ์และกู้เชื่อเสียงของเขาคืนมาได้
ในชีวิตของพาราเซลซัสได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกาเนิดลัทธิ
ลูเธอร์รันและความคิดเห็นของเขาในเรื่องธรรมชาติจักรวาลก็มีความเข้าใจมากกว่าคาบรรยายใน
ทางศาสนา
พาราเซลซัสเสียชีวิตเมื่อตอนอายุได้48 ปีตามธรรมชาติ
ศพของเขาก็ได้รับการฝังที่ป่าช้าโบสถ์เซบาสเตียนในSalzburgตามปรารถนาของเขา
และได้ย้ายมาไว้ในสุสานนอกชานโบสถ์ในปัจจุบัน หลังจากการตายของพาราเซลซัส
ศาสตร์ความรู้ของเขาก็ได้เป็นที่รู้จักมากขึ้นและถูกนาไปใช้อย่างแพร่หลายโดยผู้ที่ต้องการล้มล้างฟิสิก
ส์แบบเก่า
คติประจาตัวของพาราเซลซัสก็คือ “Alterius non sit qui suus esse potest” หมายความว่า
“อย่าปล่อยให้มีใครที่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ไปเป็นของผู้อื่น”
10
10
- 14. วิลเลี่ยม ฮาร์วี่
(อังกฤษ: William Harvey; 1 เมษายน ค.ศ. 1578 - 3 มิถุนายน ค.ศ. 1657)
รูป 5 วิลเลี่ยม ฮาร์วี่
ที่มา The life and work of William Harvey @ Ward's Book of Days
ระบบการไหลเวียนโลหิตในร่างกายมนุษย์
เป็นสิ่งที่ทาให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้แต่ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์หรือนายแพทย์ท่านใดรู้ความจริงที่ว่าเลือดเดิ
นทางอย่างไรในร่างกาย อีกทั้งหน้าที่ของหัวใจก็เป็นสิ่งสาคัญ เมื่อประมาณปี 600 ก่อนคริสต์ศักราช
นายแพทย์ชาวกรีก คลาดิอุส กาเลน (Clandius Galen) ได้ศึกษาและอธิบายว่า
ระบบโลหิตในร่างกายมนุษย์มีลักษณะคล้ายน้าขึ้นน้าลง ส่วนหัวใจมีหน้าที่ในการทาให้เลือดอุ่น
ส่วนหลอดเลือดแดง และหลอดเลือดดาไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกันเลย
เพราะฉะนั้นวิธีการรักษาเมื่อเลือดมีอุณหภูมิสูงขึ้น ทาได้โดยการผ่าตัดนาเลือดดาออกมา
ในปี ค.ศ. 1628 วิลเลี่ยมตีพิมพ์ผลงานลงในหนังสือ "การทางานของหัวใจและระบบการไหลเวียน
ของเลือดในร่างกายสัตว์" มีรายละเอียดเกี่ยวกับการทางานของหัวใจว่ามีหน้าที่ในการสูบฉีดโลหิต
ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับการทางานของหัวใจว่ามีหน้าที่ในการสูบฉีดโลหิต ลักษณะของหัวใจคล้าย
กับถุงกล้ามเนื้อที่เต้นอยู่ตลอดเวลา
และการเต้นของหัวใจก็ทาให้เกิดการไหลเวียนของโลหิตโดยมีเลือดแดงที่ไหลออกจากหัวใจไปหล่อเลี้
ยงทุกส่วนของร่างกาย จากนั้นเลือดแดงจะกลายเป็นเลือดดา และกลับขึ้นมาสู่หัวใจอีกครั้งหนึ่ง
เลือดจะถูกส่งเข้าไปยังห้องหัวใจซีกขวาด้านบนก่อน จากนั้นจึงไหลเข้าสู่ห้องหัวใจซีกขวาด้านล่าง
และส่งออกจากห้องนี้ไปสู่ปอด ซึ่งมีหน้าที่นาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbondioxide)
11
- 16. รูป 6 วิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน
ที่มา Biography at the official Nobel site
ในช่วงปี พ.ศ. 2438 เรินต์เกนได้ใช้อุปกรณ์ที่พัฒนาโดยเพื่อนร่วมงานผู้มีชื่อเสียงคือ
อีวาน พัลยูอิ (Ivan Palyui) นามาให้ คือหลอดไฟที่เรียกว่า "หลอดพัลยูอิ"
ซึ่งเรินต์เกนพร้อมกับผู้ร่วมงานคนอื่นๆ ได้แก่ ไฮริช รูดอล์ฟ เฮิร์ทซ์, วิลเลียม ครูกส์, นิโคลา เทสลา
และฟิลิบ ฟอน เลนาร์ด
ต่างทาการทดลองและทดสอบผลกระทบของการปล่อยประจุไฟฟ้าแรงดึงสูงในหลอดแก้วสุญญากาศนี้
จนถึงปลายปี พ.ศ. 2408
บรรดานักค้นคว้าเหล่านี้จึงได้เริ่มทดลองค้นคว้าหาคุณสมบัติของรังสีแคโทดข้างนอกหลอด
ในต้นเดือนพฤศจิกายน
เรินต์เกนได้ทดลองซ้าโดยใช้หลอดของเลนาร์ดโดยทาช่องหน้าต่างด้วยอลูมเนียมบางๆ
เพื่อให้รังสีผ่านออกและใช้กระดาษแข็งปิดทับเพื่อป้ องกันไม่ให้แผ่นอะลูมิเนียมเสียหายจากไฟฟ้าสถิต
ย์กาลังแรงที่จะเป็นในการสร้างรังสีแคโทด เรินต์เกนรู้ว่ากระดาษแข็งจะช่วยป้ องกันไม่ให้แสงหนีออก
แต่เขาได้สังเกตเป็นว่ากระดาษแข็งที่ทาด้วยแบเรียม ปลาติโนไซยาไนด์ (barium platinocyanide)
ที่อยู่ใกล้ขอบช่องอะลูมิเนียมเกิดการเรืองแสง เรินต์เกน
พบว่าหลอดของครูกส์ที่มีผนังหลอดหนาก็อาจเกิดการเรืองแสงในลักษณะเช่นนี้ได้
ในบ่ายวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2438 เรินต์เกนตั้งใจแน่วแน่ว่าจะทดสอบความคิดนี้
เขาได้บรรจงทาแผ่นกระดาษแข็งอย่างระมัดระวังให้เหมือนกับที่ใช้กับหลอดของเลนาร์ด
13
- 18. อาเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง
Alexander Flemming
รูป 7 อาเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง
ที่มา TIME Magazine Cover: Dr. Alexander Fleming -- May 15, 1944. Cover Credit: ERNEST
เมื่อสงครามจบสิ้นลง เฟลมมิ่งได้เข้าทางานเป็นอาจารย์สอนที่วิทยาลัยเซนต์แมรี่
ในระหว่างที่เขาทางานอยู่ที่วิทยาลัยเซนต์แมรี่ เขาได้ทาการทดลองเกี่ยวกับแบคทีเรียตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า
สเตปฟิโลคอกคัส (Staphylococcus) ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทาให้เกิดโรคเซฟติซีเมีย (Septicemia)
หรือการติดเชื้อแบคทีเรียเลือด อาการของโรคจะทาให้ผู้ป่วยมีอาการปวดบาดแผลมาก และทาให้
เสียชีวิตได้ในเวลาต่อมา
เฟลมมิ่งได้เพาะเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ลงบนจากแก้วเพื่อหาวิธีการฆ่าเชื้อโรคชนิดนี้ให้ได้
และยาฆ่าเชื้อต้องไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เขาพยายามค้นหาสารสกัดจากสิ่งต่าง ๆ หลายชนิด เช่น
น้ามูก เนื่องจากครั้งหนึ่งเฟลมมิ่งป่วยเป็นหวัด มีน้ามูกไหล เขาคิดว่าน้ามูกเป็นสิ่งที่ร่างกายผลิตขึ้นมา
ดังนั้นเขาจึงใช้น้ามูกหยดลงในจานที่มีแบคมีเรีย ผลปรากฏว่าสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ตายหมด
แต่เป็น เชื้อแบคทีเรียที่ไม่ร้ายแรงนัก จากนั้นเฟลมมิ่งได้ทดลองนาสิ่งที่ร่างกายผลิตได้ทดลอง
ต่อมาคือน้าตา เขาใช้น้าตา 2-3 หยด หยดลงในจานแบคทีเรีย
ปรากฏว่าน้าตาสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดีกว่าน้ามูกเสียอีก แต่น้าตาเป็นสิ่งที่หา ยากมาก
เฟลมมิ่งจึงต้องหาอย่างอื่นมาทดแทน เขาพบว่าในน้าตามีเอนไซม์ ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ทาลายแบคทีเรียได้
14
- 19. เฟลมมิ่งได้นาเล็บ เส้นผม และผิวหนังมาทดลอง
แต่เอนไซม์ที่สกัดได้มักมีผลกระทบต่อร่างกายในที่สุดเขาก็ค้นพบเอนไซม์ชนิดหนึ่งในไข่ขาวชื่อว่า
ไลโซไซม์ แต่การแยกไลโซไซม์บริสุทธิ์ออกมาทาให้ยากมาก
อีกทั้งเฟลมมิ่งขาดแคลนเครื่องมืออันทันสมัย คน และเวลา
ดังนั้นเขาจึงเขียนบทความลงในวารสารฉบับหนึ่ง เพื่อหาเงินทุนในการทดลอง
แต่ก็ไม่ประสบความสาเร็จ เพราะไม่มีผู้ใดให้ความสนใจเลย ดังนั้นเรื่องนี้จึงต้องหยุดชะงัก
แต่เพียงเท่านี้ แต่การทดลองหาวิธีฆ่าเชื้อโรคของเฟลมมิ่งไม่ได้หยุดแต่เพียงเท่านี้
เขาได้ทาการค้นหาวิธีอื่นที่ง่ายกว่านี้
ในปี ค.ศ.1928 เฟลมมิ่งได้เลื่อนตาแหน่งเป็นศาสตราจารย์ประจาภาควิชาแบคทีเรีย
แต่เขาก็ยังคงทาการทดลองเพื่อค้นหาวิธีฆ่าเชื้อโรคต่อไป
เฟลมมิ่งได้ซื้ออุปกรณ์ชนิดใหม่สาหรับเพาะเชื้อแบคทีเรีย โดยลักษณะเป็นจานแก้วใส ก้นตื้น มีฝาปิด
เฟลมมิ่งได้ใส่พืชทะเลชนิดหนึ่งลงไปในจานทดลองที่มีแบคทีเรีย
จากนั้นปิดฝาให้สนิทเพื่อป้ องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมหล่นลงไป แล้วจึงนาไปเก็บไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิ
37 องศาเซลเซียส ซึ่งเท่ากับอุณหภูมิในร่างกายมนุษย์หน้าที่ในการดูแลจานแบคทีเรีย
เฟลมมิ่งได้มอบให้กับผู้ช่วยของเขา อยู่มาวันหนึ่งผู้ช่วยของเขาลืมปิดฝาจาน
อีกทั้งยังตั้งทิ้งไว้บนโต๊ะใกล้กับหน้าต่างห้องทดลองอีกด้วย
ปรากฏว่ามีเชื้อราสีเทาเขียวมีลักษณะคล้ายกับราที่ขึ้นบนขนมปังอยู่เต็มไปหมด
เฟลมมิ่งโกรธผู้ช่วยของเขามาก แต่ถึงอย่างนั้นเฟลมมิ่งก็ไม่ได้ทิ้งจานทดลองอันนี้
และนามาไว้ที่มุมหนึ่งของห้อง เมื่อเฟลมมิ่งได้ทาการทดสอบอีกครั้งหนึ่งอย่างละเอียดและพบว่า
เชื้อราชนิดนี้ กินเชื้อแบคทีเรียนสเตปฟิโลคอกคัสได้เฟลมมิ่งได้เริ่มเพาะเชื้อราชนิดนี้ในขวดเพาะ
เมื่อเพาะชื้อราได้จานวนมากพอ เฟลมมิ่งได้นา เชื้อแบคทีเรีย 6 ชนิด ใส่ลงในจาน
แล้วนาเชื้อราใส่ลงไป ปรากฏว่าเชื้อราสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ถึง 4 ชนิด ที่เหลืออีก 2 ชนิด
เป็นแบคทีเรียชนิดร้านแรงที่ทาให้เกิดโรคอย่างแอนแทรกซ์
และคอตีบจากนั้นเฟลมมิ่งได้สอบถามไปยังนักวิทยาศาสตร์ผู้มีความรู้ทั้งหลายว่า เชื้อราชนิดนี้ชื่ออะไร
ในที่สุดเขาก็ได้คาตอบว่าเชื้อราชนิดนี้จัดอยู่ในกลุ่มเพนนิซิเลียม ชื่อว่า เพนนิซิเลียม อุมรูบรุม
ต่อมาเฟลมมิ่งได้นาเชื้อราชนิดนี้มาสกัดเป็นยาชื่อว่า เพนนิซิลิน
15
- 21. tuberculosis) และได้พัฒนาการสกัดสารชื่อ ทูเบอร์คูลิน (Tuberculin)
ซึ่งช่วยในการตรวจสอบเชื้อวัณโรคได้ต่อมาในปี พ.ศ. 2426 (ค.ศ. 1883)
คอคเดินทางไปยังอินเดียและได้ค้นพบเชื้อที่ทาให้เกิดอหิวาตกโรค (Vibrio cholerae)
และการเสนอสมมติฐานของคอค ซึ่งเป็นรากฐานของความรู้ทางโรคติดเชื้อในปัจจุบัน
คอคได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในปี พ.ศ. 2448 (ค.ศ. 1905)
จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ริเริ่มสาขาวิชาจุลชีววิทยาสมัยใหม่ ร่วมกับคู่แข่งของเขาที่ปารีส คือหลุยส์ ปาสเตอร์
คอคเป็นผู้วางรากฐานการศึกษาการติดเชื้อและก่อตั้งสาขาวิชาเวชศาสตร์เขตร้อนในเยอรมัน
เอดเวิร์ด เจนเนอร์
(อังกฤษ: Edward Jenner; 17 พฤษภาคม 2292 — 26 มกราคม 2366)
รูป 9 เอดเวิร์ด เจนเนอร์
ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/ Edward Jenner
เอดเวิร์ด เจนเนอร์ (อังกฤษ: Edward Jenner; 17 พฤษภาคม 2292 — 26 มกราคม 2366)
เป็นแพทย์ชนบทชาวอังกฤษผู้ซึ่งศึกษาธรรมชาติและสภาพแวดล้อมในวัยเด็ก
และได้รับการฝึกหัดทางการแพทย์ที่เมือง Berkeley มณฑล Gloucestershire สหราชอาณาจักร
มีชื่อเสียงในฐานะแพทย์คนแรกที่ศึกษาและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวัคซีนป้ องกันโรคไข้ทรพิษ
17
- 22. เอวานเจลิสตา โตร์ริเชลลี
(อิตาลี: Evangelista Torricelli)
รูป 10 เอวานเจลิสตา โตร์ริเชลลี ที่มา ประทีป ชูหมื่นไวย์.
การค้นพบโดยบังเอิญในวงการวิทยาศาสตร์. กรุงเทพฯ: อักษรวัฒนา, ตุลาคม 2549
การประดิษฐ์คิดค้นของโตร์ริเชลลีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ เครื่องวัดความดันอากาศ หรือ
บารอมิเตอร์ (barometer) ซึ่งเกิดขึ้นจากการแก้ปัญหาการทดลองที่สาคัญ
การสร้างน้าพุกลางบ่อที่ขุดลึกประมาณ 16-18 เมตร ของแกรนด์ดยุกแห่งทัสโคนี
พยายามสูบน้าในท่อให้สูง 12 เมตรหรือมากกว่า โดยขณะลูกสูบยกน้าขึ้น
จะเกิดสุญญากาศทาให้เกิดแรงยกของเหลวขึ้นที่ปลายท่อขาออก แต่ค้นพบว่า
ไม่ว่าทาอย่างไรก็ขึ้นไปได้เพียงขีดจากัดที่ 9-10 เมตร ไม่สามารถสูบให้สูงกว่านี้
เมื่อ พ.ศ. 2186 (1643) โตร์ริเชลลี ทดลองเพิ่มเติมโดยใช้ ปรอท ซึ่งหนักเป็น 13-14 เท่า ของน้า
และพบว่า ได้ผลทานองเดียวกัน โดยขีดจากัดต่ากว่าเขาสร้างท่อที่มีความยาวประมาณ 1 เมตร
บรรจุด้วยปรอท ปลายข้างหนึ่งตัน แล้วติดตั้งในแนวตั้ง ให้ปลายอีกข้างจมอยู่ในอ่าง
ปรอทในท่อถูกยกขึ้นไปกับท่อได้สูงเพียงประมาณ 76 เซนติเมตร หรือ 760 มิลลิเมตร
แม้ว่าท่อจะถูกยกให้สูงกว่านี้ ภายในเหนือปรอทเป็นสุญญากาศ (Torricellian vacuum)
วิธีนี้เป็นที่มาของหน่วยเทียบความดันของอากาศ โดยความดันอากาศที่ระดับน้าทะเลเท่ากับ 760
มิลลิเมตรของปรอท และที่ระดับความสูงกว่าระดับน้าทะเล ความดันอากาศจะน้อยกว่า 760
มิลลิเมตรของปรอท
19
- 23. เมื่อ พ.ศ. 2184 เขาประกาศการค้นพบนี้ว่า : [3] " บรรยากาศ
เป็นตัวการทาให้เกิดแรงกดของอากาศเปลี่ยนไปในเวลาต่างกัน "และสิ่งนี้คือ เครื่องวัดความดันอากาศ
เครื่องแรก เป็นการค้นพบที่สร้างชื่อเสียงตลอดกาลแก่เขา หลายศตวรรษต่อมา
ชื่อหน่วยในการวัดความดัน จึงถูกตั้งตามชื่อนามสกุลของเขาว่า ทอร์ (torr) ซึ่งก็คือ หน่วย
มิลลิเมตรปรอท นั่นเอง โดยเทียบ 1 มิลลิเมตรปรอท หรือ 1 ทอร์ เท่ากับประมาณ 133.322 ปาสคาล
ในหน่วยอนุพันธ์ของหน่วยเอสไอ
เขายังทดลองต่อมา พบอีกว่า แรงดันหรือความดันอากาศ ในแต่ะวัน
จะแตกต่างเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย นอกจากนี้ปัจจุบัน เข้าใจกันดีว่า ความสูงของของเหลวในท่อ
แปรผกผันกับ ความดันอากาศ (ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละระดับความสูง) อีกด้วย
เฟรเดอริก แกร์นท์ แบนติง
(อังกฤษ: Sir Frederick Grant Banting, KBE, MC, MD, FRSC)
รูป 11 เฟรเดอริก แกร์นท์ แบนติง
ที่มา www.Banting, Best, Macleod, Collip: Chasing a Cure for Diabetes.com
20
- 24. เฟรเดอริก แกร์นท์แบนติง (อังกฤษ: Sir Frederick Grant Banting, KBE, MC, MD, FRSC - 14
พฤศจิกายน พ.ศ. 2434 – 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2484) นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชาวแคนาดา
แพทย์และผู้ได้รับรางวัลโนเบลจากการร่วมเป็นผู้ค้นพบอินซูลิน
แบนติงเกิดที่เมืองอัลลิสตัน ออนทาริโอ ประเทศแคนาดา
หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโทรอนโตเมื่อ พ.ศ. 2459
ได้เข้ารับราชการทหารหน่วยการแพทย์ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1
และได้รับไม้กางเขนระหว่างสงคราม
หลังสงครามได้กลับประเทศและเข้ารับการฝึกหัดเป็นศัลยแพทย์กระดูกที่โรงพยาบาลเด็กในโทรอนโต
ระหว่างปี พ.ศ. 2462 - พ.ศ. 2463 และในฤดูร้อนปีนั้น แบนติงได้ไปทางานเป็นแพทย์ในออนทาริโอ
ในขณะที่กาลังอ่านบทความจากวารสารการแพทย์
เขาได้บันทึกความคิดเกี่ยวกับวิธีการแยกสารหลั่งภายในของตับอ่อน
ซึ่งจะเป็นขั้นตอนสาคัญมากที่จะช่วยให้การรักษาโรคเบาหวานที่ได้ผล
ซึ่งในขั้นนี้เองที่ขั้นตอนทั้งหมดที่เคยทากันมาเพื่อแยกสารเพื่อให้แก่คนไข้ล้มเหลวมาโดยตลอด
ด้วยความที่แบนติงไม่ค่อยชอบการทางานเป็นแพทย์แต่มีความสนใจตื่นเต้นกับความคิดนี้มาก
เขาจึงย้ายจากออนทาริโอไปโทรอนโตโดยได้เริ่มงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยโทรอนโต เมื่อวันที่ 17
พฤษภาคม พ.ศ. 2464 ภายใต้การดูแลของศาสตราจารย์จอห์น แมคลอยด์
แบนติงได้รับมอบนักศึกษาปริญญาโทคนหนึ่งให้มาเป็นผู้ช่วย คือ ชาร์ล เบส
แบนติงได้ทาการทดลองอย่างหนัก โดยการผ่าตัดสุนัขเพื่อมัดท่อตับอ่อน
เพื่อทาให้เกิดการฝ่อบางส่วนแล้วจึงตัดเอาตับอ่อนออกในสัปดาห์ต่อมา
โดยหวังว่าตับอ่อนจะมีสารหลั่งที่สะอาด เข้มข้นและไม่ปนเปื้อน
จากนั้นจะทาการสะกัดไปรักษาสุนัขที่ป่วยเป็นเบาหวานโดยการรักษาด้วยการลดน้าตาลในเลือดเพื่อดู
ว่าจะได้ผลหรือไม่
หลายเดือนต่อมา
ดูเหมือนว่าวิธีการของแบนติงจะได้ผลเนื่องจากเขาสามารถทาให้สุนัขมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการลดระดับน้าต
าลในเลือดลง และได้รีบรายงานให้แมคลอยด์ได้รับทราบ
21
- 25. ยังมีข้อสงสัยว่าวิธีของแบนติงยังหยาบและไม่ได้ผลจริง ต่อมา
จากการเข้าลงมือร่วมวิจัยโดยตรงของแมคลอยด์ และนักเคมีชื่อเจมส์ คอลลิบ
พบว่าการใช้ตับอ่อนของสุนัขได้ผลในทางปฏิบัติ จึงย้ายไปทากับลูกวัวและวัว
เทคนิคการผูกท่อตับอ่อนถูกยกเลิกไป หันมาใช้วิธีสะกัดที่ได้ผลดีในตับธรรมดาที่ไม่ต้องมัดท่อ
และเรียกสารที่สะกัดได้นี้ในระหว่าง พ.ศ. 2464-2465 ว่า "อินซูลิน"
การกระทานี้ได้รับการสรรเสิญว่าเป็นความก้าวหน้าสูงสุดในยุคนั้น
ไม่เพียงการค้นพบเพียงอินซูลิน
แต่ยังสามารถทาการผลิตเป็นจานวนมากในเวลานับได้เป็นเดือนเท่านั้น
เรียกได้ว่าสามารถช่วยชีวิตคนนับล้านทั่วโลกที่ป่วยจากโรคต่อมไร้ท่อและโรคเบาหวานซึ่งไม่สามารถ
รักษาและพยากรณ์โรคในขณะนั้นได้ทันที
ผู้ป่วยจากปัญหาการเผาผลาญไขมันและโปรตีนซึ่งนาไปสู่การตาบอดและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
สามารถรับการรักษาได้ตั้งแต่เริ่มเป็นโรค
แบนติง และ แมคลอยด์ ได้รับรางวัลโนเบล สาขาการแพทย์แบนติงได้แบ่งเงินรางวัลให้เบสท์
เพราะเชื่อว่าเบสท์สมควรได้รับรางวัลมากกว่าแมคลอยด์
ผู้ซึ่งต่อมาก็ได้แบ่งเงินรางวัลให้แก่คอลลิบด้วยเช่นกัน
แบนติงได้สร้างความปลาบปลื้อให้แก่ชาวแคนาดาเป็นอันมาก
เนื่องจากเขาเป็นบุคคลแรกที่สร้างชื่อเสียงในระดับโลกให้แก่แคนาดา
รัฐบาลแคนาดาได้การสนับสนุนเงินวิจัยแก่แบนติงไปตลอดชีวิต ในปี พ.ศ. 2477 พระเจ้าจอร์จ ที่ 5
แห่งอังกฤษ ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ชั้นเซอร์แก่แบนติงเป็น เซอร์ เฟรเดอริก แบนติง
เฟรดริก ไบเออร์
22
- 26. รูป 12 เฟรดริก ไบเออร์
ที่มา http://didyouknow.org/thai/aspirinthai.htm
ยาแอสไพรินเป็นผลงานที่โด่งดังที่สุดของฮอฟฟ์แมนน์ แต่เขาก็ยังมีความสาเร็จเรื่องอื่นอีก
ไม่กี่วันภายหลังจากที่ฮอฟฟ์ แมนน์สังเคราะห์กรดอะซิติลซาลิซิลิกได้
เขาก็ผลิตสารประกอบออกมาอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งบริษัทไบเออร์หวังว่าจะเป็นที่นิยมกันอย่างมาก
แต่เป็นความนิยมที่มีผลร้ายกาจอยู่ใน ทุกวันนี้ สารประกอบที่ว่าคือไดอะซิติลมอร์ฟีน หรือเฮโรอีน
ซึ่งมีผู้สังเคราะห์ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ ไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา โดยนักเคมีชาวอังกฤษชื่อซี. อาร์. เอ. ไรท์
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 แพทย์ยังคงพิจารณาสั่งยาเฮโรอีนให้คนไข้อยู่บ้าง แต่มาถึงปี 1931
ก็แทบจะไม่มีแพทย์ในประเทศใดใช้เฮโรอีน กันแล้ว
ในช่วงเริ่มต้น บริษัทของเฟรดริกไบเออร์ผลิตเฉพาะสารอนิลิน ไบเออร์เสียชีวิตในปี 1880
โดยที่ไม่ได้คิดเลยว่าบริษัทไบเออร์จะกลายมาเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการเภสัชกรรมของโลกนับจนถึงปี
1891 ไบเออร์นาผลิตภัณฑ์ยาหลากหลายชนิดออกสู่ตลาด ทุกวันนี้บริษัทมีผลิตภัณฑ์มากกว่า 10,000
ชนิดทุกวันนี้เป็นที่รู้กันว่ายาแอสไพรินสามารถป้ องกันการเกิดหัวใจวาย โรคลมปัจจุบัน
และเมื่อไม่นานมานี้ก็พบว่าการกินแอสไพรินจะช่วยป้ องกันมะเร็งได้ด้วย เมื่อครั้งที่ยานอพอลโล 11
ออกไปสารวจดวงจันทร์ ยาชนิดนี้ก็ได้เดินทางสู่อวกาศโดยบรรจุอยู่ในชุดปฐมพยาบาล
แถมยังได้ขึ้นปกนิวสวีคในปี 1969 มาแล้วด้วย
อังตวน แวน เลเวนฮุค
23
- 27. รูป 13อังตวน แวน เลเวนฮุค
ที่มา Dobell, C. (1932, 1960) Anthony van Leeuwenhoek and his little animals.
อังตวน แวน เลเวนฮุค (ดัตช์: Antonie van Leeuwenhoek; 24 ตุลาคม ค.ศ. 1632 - 26 สิงหาคม
ค.ศ. 1723) นักวิทยาศาสตร์ชาวดัตช์ ได้ชื่อว่าเป็น "บิดาแห่งวิชาจุลชีววิทยา"
และถือว่าเป็นนักจุลชีววิทยาคนแรก เขามีชื่อเสียงจากการพัฒนากล้องจุลทรรศน์
และมีส่วนสาคัญในการก่อตัังสาขาวิชา จุลชีววิทยา
เขาเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นและสามารถบรรยายองค์ประกอบของเซลล์โดยอาศัยกล้องจุลทรรศน์ของเ
ขาที่สร้างขึ้นด้วยมือ นอกจากนี้เขายังเป็นคนแรกที่บันทึกผลสังเกตเส้นใยของกล้ามเนื้อ, แบคทีเรีย,
สเปอร์มาโตซัว และการไหลของเลือดในหลอดเลือดฝอย แวน เลเวนฮุค
ไม่ได้เขียนหนังสือใดเป็นจริงเป็นจัง แต่เขียนจดหมายเอาไว้มาก
มารี กูรี (Marie Curie)
รูป 14 มารี กูรี (Marie Curie)
ที่มา http://hilight.kapook.com/view/72163
- 28. มารี กูรี เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวโปแลนด์ เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1867 (พ.ศ. 2410)
และเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 1934 (พ.ศ. 2477) ในวัย 66 ปี
ซึ่งเรียกได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงเก่งแห่งยุคคนหนึ่งเลยทีเดียว
เพราะในขณะที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ในยุคสมัยของเธอไม่ได้รับการศึกษา
หรือโอกาสเท่าเทียมกับผู้ชายนัก
เธอกลับมุ่งมั่นศึกษาค้นคว้าจนกระทั่งค้นพบรังสีเรเดียมที่สามารถยับยั้งการขยายตัวของโรคมะเร็งได้ใ
นที่สุด จนเป็นผลให้เธอได้รับรางวัลโนเบล ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากความเฉลียวฉลาดของเธอแล้ว
การอุทิศตัวให้สังคมของเธอก็ยังทาให้หลาย ๆ คนประทับใจอีกด้วย
เพราะเธอเลือกที่จะไม่จดสิทธิบัตรสิ่งที่เธอค้นพบซึ่งจะทาให้เธอกลายเป็นเศรษฐีได้สบาย ๆ
แต่กลับเลือกอุทิศตัวเพื่อส่วนรวมและค้นคว้าต่อไปจนกระทั่งเสียชีวิตจากการใกล้ชิดรังสีเรเดียมมากเกิ
นไป ในที่สุด
ชาลส์ ดาร์วิน (Charles Robert Darwin)
รูป 15 ชาลส์ ดาร์วิน ที่มา http://hilight.kapook.com/view/72163
ชาลส์ ดาร์วิน เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1809 (พ.ศ. 2352) และเสียชีวิตลงในวัย 73 ปี
ในวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1882 (พ.ศ. 2425) ซึ่งจนกระทั่งยุคปัจจุบัน
ทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติคนนี้คิดค้นขึ้นก็งยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
เพราะมีทั้งคนที่ยอมรับและโต้แย้งในเวลาเดียวกัน
โดยดาร์วินได้เขียนนังสือเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสัตว์ต่าง ๆ ขึ้นมา
ซึ่งอ้างว่าสัตว์ทั้งหลายจะปรับสภาพร่างกายเพื่อให้เข้ากับการใช้ชีวิตและสภาพแวดล้อมทาให้มีลักษณะ
24
- 29. เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ
จนกลายเป็นวิวัฒนาการ ซึ่งแม้ในปัจจุบันเขาจะได้รับยกย่องเป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะคนหนึ่ง
แต่อีกส่วนหนึ่งก็ยังมีผู้ที่ปฏิเสธแนวคิดของเขาเช่นกัน
โจเซฟ พริสต์ลีย์ (Joseph Priestly)
รูป 16 โจเซฟ พริสต์ลีย์ที่มา
http://guru.sanook.com/pedia/topicJoseph_Priestly)/
ผู้ได้ฉายาบิดาแห่งวิชาเคมีก๊าซ (Father of Pneumatic Chemistry)
เป็นหนึ่งในนักเคมีผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในยุค ศตวรรษที่ 18
ผู้ค้นพบการใช้แอมโมเนีย พริสต์ลีย์เป็นชาวอังกฤษ
บิดาของเขามีอาชีพเป็นช่างทอผ้าที่มีฝีมือมากคนหนึ่ง แต่ฐานะก็ไม่ได้ร่ารวยมากมาย
แต่บิดาของเขาก็เล็งเห็นความสาคัญของการศึกษา
จึงได้ส่งเขาร่าเรียนจนถึงขั้นระดับมหาวิทยาลัยในลอนดอน (London University)
ในสาขาด้านอักษรศาสตร์และปรัชญา ซึ่งเป็นวิชาที่เขาสนใจเรียนมาตั้งแต่เด็ก
ทาให้เขาได้เรียนรู้ภาษาต่างๆเช่น กรีก ละติน และฮิบรู ช่วยทาให้เขาสามารถอ่านภาษาต่างๆได้มากมาย
รวมทั้งยังสนใจเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ตั้งแต่นั้นมา
จนเขาจบมาเป็นอาจารย์สอนวิชาด้านภาษาศาสตร์และวรรณคดีที่สถาบันวอร์ริงตัน (Warrington
Academy)
พริสต์ลีย์มีความสนใจด้านวิทยาศาสตร์แต่เขามีความรู้ด้านนี้น้อย
แต่อาศัยการอ่านจากตารับตารา มากมายและโชคดีที่เขาสามารถอ่านภาษา ละติน และ กรีกได้ดี
25