วันจันทร์ที่ 1
พ.ย.2564
ภาคเรียนที่
2/2564
หน่วยที่ 5 เรื่อง พลังงานความร้อน
ว ว.21102
หน่วยการเรียนรู้
ที่ 5
พลังงานความร้อนกับชีวิตประจำวัน
เทอร์มอมิเตอร์และหน่วยวัดอุณหภูมิ
ผลของความร้อนที่มีต่อการ
เปลี่ยนแปลง
ของสารและสมดุลความร้อน
การถ่ายโอนพลังงานความร้อนและ
การใช้ประโยชน์
พลังงาน
ความร้อน
การจำแนกประเภทของสสาร(สาร)
หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 พลังงาน
ความร้อน
Matter
พลังงานความร้อนซึ่งเป็นพลังงานรูปหนึ่ง ไม่
สามารถมองเห็นได้
แต่รับรู้ได้จากการสัมผัส
1. พลังงานความร้อนกับชีวิต
ประจำวัน
สิ่งมีชีวิตได้รับพลังงานความร้อนจากหลายแหล่ง
เช่น พลังงาน
ความร้อนจากดวงอาทิตย์ พลังงานความร้อนจาก
ปฏิกิริยาเคมี พลังงานความร้อนใต้พิภพ พลังงาน
ความร้อนจากเชื้อเพลิงชนิดต่าง ๆ
พลังงานความร้อนที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำ
วัน
แบบทดสอบที่ 2
ให้นักเรียนวาดภาพและอธิบายการจัดเรียงอนุภาคของสสาร
สถานะ ภาพการจัด
เรียง
อธิบายการจัด
เรียง
ของแข็
ง
ของเหล
ว
แก๊ส
เชื้อเพลิงแต่ละชนิดจะให้พลังงานความร้อนไม่เท่ากัน
แก๊สหุงต้ม 11,158 (kcal/kg)
น้ำมันเบนซิน 10,444 (kcal/kg)
น้ำมันก๊าด 10,313 (kcal/kg)
น้ำมันดีเซล 10,235 (kcal/kg)
น้ำมันดิบ 10,093 (kcal/kg)
ถ่าน 6,900 (kcal/kg)
แอลกอฮอล์ 6,460 (kcal/kg)
ฟืน 3,820 (kcal/kg)
แก๊สหุงต้ม
น้ำมันเบนซิน
น้ำมันก๊าด
น้ำมันดีเซล
น้ำมันดิบ
ถ่าน
แอลกอฮอล์
ฟืน
บอมบ์แคลอริมิเตอร์ (bomb calorimeter)
คือ เครื่องมือวัดค่าความร้อนในเชื้อเพลิง
1 แคลอรี (cal) มีค่าประมาณ 4.2 จูล (J)
ปริมาณความร้อนของสารวัดเป็นหน่วยแคลอรี
โดยกำหนดให้ 1 แคลอรี หมายถึง
ปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำมวล 1 กรัม (g) มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1º
C
เครื่องมือที่ใช้วัดระดับความร้อน เย็น คือ เทอร์มอ
มิเตอร์ และระดับความร้อน เย็น ในวัตถุเรียกว่า
อุณหภูมิ
2. เทอร์มอมิเตอร์และหน่วย
วัดอุณหภูมิ
เทอร์มอมิเตอร์มีลักษณะเป็นแท่งแก้วใส มีรูเล็ก
ๆ เป็นหลอดตรงกลาง ส่วนปลายล่างของเทอร์มอ
มิเตอร์ทำเป็นกระเปาะ
ส่วนใหญ่จะบรรจุปรอทหรือแอลกอฮอล์ผสมสี
เมื่อปลายกระเปาะของเทอร์มอมิเตอร์ไปสัมผัส
กับสิ่งใดของเหลวที่บรรจุอยู่ภายในจะได้รับการ
ถ่ายโอนความร้อน แล้วเกิดการขยายตัวขึ้นไปตาม
1. เนื่องจากกระเปาะของเทอร์มอมิเตอร์บางและแตกง่าย เวลาใช้
จึงควรระมัดระวังไม่ให้กระเปาะไปกระทบกับของแข็ง ๆ แรง ๆ
2. ไม่ควรใช้เทอร์มอมิเตอร์วัดสิ่งที่มีอุณหภูมิแตกต่างกันมาก ๆ
ในเวลาต่อเนื่องกันเพราะกระเปาะจะขยายตัวและหดตัวอย่างรวดเร็ว
ทำให้เสียหายได้
3. เมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างทำความสะอาด เช็ดให้แห้ง แล้วเก็บ
1. ใช้กระเปาะเทอร์มอมิเตอร์จุ่มหรือสัมผัสกับสิ่งที่ต้องการจะวัด
อุณหภูมิเสมอ และระมัดระวังไม่ให้กระเปาะแตะด้านข้างหรือก้น
ภาชนะ
2. ให้ก้านเทอร์มอมิเตอร์ตั้งตรงในแนวดิ่ง
3. อ่านค่าอุณหภูมิเมื่อระดับของเหลวขึ้นไปจนหยุดนิ่งแล้ว
4. ขณะอ่านค่าอุณหภูมิ ต้องให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกับระดับ
ของเหลวใน
เทอร์มอมิเตอร์ เพื่อให้อ่านค่าได้ถูกต้อง ไม่คลาดเคลื่อน
5. อ่านอุณหภูมิขณะที่กระเปาะเทอร์มอมิเตอร์ยังสัมผัสสิ่งที่วัดอยู่
หลักปฏิบัติในการใช้เทอร์มอมิเตอร์วัด
อุณหภูมิ
ข้อควรระวังในการใช้เทอร์
มอมิเตอร์
1. หน่วยองศาเซลเซียส (º
C) ที่แบ่ง
มาตราส่วนโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดน
ชื่ออันเดอร์ส เซลซิอัส (Anders Celsius)
หน่วยที่ใช้ในการวัดอุณหภูมิ
4. หน่วยองศาโรเมอร์ (º
R) คิดแบ่ง
มาตราส่วนโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส
ชื่อ เรอเน่ อังตวน เฟโชต์ เดอ โรเมอร์
2. หน่วยองศาฟาเรนไฮต์ (º
F) คิดแบ่ง
มาตราส่วนโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน
ชื่อ กาบริเอล ดานิเอล
ฟาเรนไฮต์ (Gabriel Daniel
Fahrenheit)
3. หน่วยเคลวิน (K) เป็นหน่วยในระบบ
เอสไอ
คิดแบ่งมาตราส่วนโดยนักวิทยาศาสตร์ชาว
อังกฤษชื่อ ลอร์ด เคลวิน (Lord Kelvin)
º
C º
F K º
R
จุดเยือกแข็ง จุดเดือดของน้ำ และจำนวนช่องของการแบ่งมาตราส่วน
ของหน่วยวัดอุณหภูมิของเทอร์มอมิเตอร์ในหน่วย º
C º
F K และ º
R
เราสามารถเปลี่ยนหน่วยวัดอุณหภูมิของระบบหนึ่งไปเป็นหน่วยวัด
อุณหภูมิของ
อีกระบบหนึ่งได้ โดยใช้วิธีการเทียบบัญญัติไตรยางศ์ ดังตัวอย่าง
หน่วย
จุดเยือกแ
ข็งของ
น้ำ
จุดเดือด
ของน้ำ
จำนวนช่องของการแบ่ง
มาตราส่วน (ช่อง)
องศาเซลเซียส 0 100 100
องศา
ฟาเรนไฮต์
32 212 180
เคลวิน 273 373 100
องศาโรเมอร์ 0 80 80
เมื่อวัดอุณหภูมิ จากระบบองศาเซลเซียสได้ 50
C และ
จากระบบ
องศาฟาเรนไฮต์ได้ 122
F พบว่า อัตราส่วนระหว่าง
อุณหภูมิที่อ่านได้
ลบด้วยจุดเยือกแข็งต่อจุดเดือดลบด้วยจุดเยือกแข็งของ
ทั้งสองระบบ
จะมีค่าเท่ากัน
คือ =
122 - 32
212 - 32
50 - 0
100 - 0
ของ 
C =
อุณหภูมิที่อ่านได้ - จุดเยือกแข็ง
จุดเดือด - จุดเยือกแข็ง
ของ 
F =
อุณหภูมิที่อ่านได้ - จุดเยือกแข็ง
จุดเดือด - จุดเยือกแข็ง
ของ K =
อุณหภูมิที่อ่านได้ - จุดเยือกแข็ง
จุดเดือด - จุดเยือกแข็ง
ของ 
R
อุณหภูมิที่อ่านได้ - จุดเยือกแข็ง
จุดเดือด - จุดเยือกแข็ง
สรุปได้ดังนี้
สารเมื่อได้รับความร้อนหรือคายความร้อน ปริมาตรจะเกิดการ
เปลี่ยนแปลง
 หากได้รับความร้อนเกิดการขยายตัวก็จะมีปริมาตรเพิ่มขึ้น
 เมื่อคายความร้อนเกิดการหดตัวก็จะมีปริมาตรลดลง
ดังนั้น เมื่อนำฝาขวดที่ปิดแน่นไปแช่ในน้ำร้อน จะเกิดการขยายตัว
ทำให้ฝาเปิดได้ดังภาพ
3. ผลของความร้อนที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของสารและ
สมดุลความร้อน
3.1
ผลของความร้อนที่มีต่อการหดตัวและขยายตัวของสาร
ลักษณะของฝาขวดก่อนและหลังแช่
การที่สารได้รับความร้อน (ดูดความร้อน) หรือสูญเสียความร้อน
(คายความร้อน)
ส่งผลให้สารเปลี่ยนสถานะได้
3.2
ปริมาณความร้อนที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงของสาร
น้ำแข็ง  น้ำ
ถ้าต้องการทำให้น้ำแข็งมวล 1 กรัม เกิดการ
หลอมเหลวกลายเป็น
ของเหลวได้หมด โดยที่อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลง จะ
ต้องให้ปริมาณ
การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน้ำเมื่อได้รับความร้อนและคายความ
ร้อน
ปริมาณความร้อนแฝงของการหลอมเหลวสามารถคำนวณได้จากผล
คูณระหว่างมวลของสาร
กับความร้อนแฝงจำเพาะของการหลอมเหลว สรุปเป็นสมการได้ ดังนี้
น้ำกลายเป็นไอ
ความร้อนแฝงจำเพาะของการกลายเป็นไอน้ำ  ปริมาณความ
ร้อนที่ทำให้น้ำมวล 1 กรัม กลายเป็นไอได้หมด โดยที่อุณหภูมิไม่
เปลี่ยนแปลง  มีค่า 540 แคลอรีต่อกรัม
ความร้อนแฝงของการหลอมเหลว หมายถึง ปริมาณพลังงานความร้อนที่
ใช้ในการ
เปลี่ยนสถานะของของแข็งเป็นของเหลว โดยอุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลง
ความร้อนแฝงจำเพาะของการหลอมเหลว หมายถึง ปริมาณพลังงาน
ความร้อน
ที่ทำให้สารที่เป็นของแข็งมวล 1 หน่วย เปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว 1
หน่วย โดยอุณหภูมิ
ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งความร้อนแฝงจำเพาะของน้ำแข็งมีค่าประมาณ 80
แคลอรีต่อกรัม
ความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอ หมายถึง ปริมาณพลังงานความร้อน
ที่ใช้ในการ
เปลี่ยนสถานะของของเหลวกลายเป็นไอ โดยอุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลง
ความร้อนแฝงจำเพาะของการกลายเป็นไอ หมายถึง ปริมาณพลังงาน
ความร้อน
ที่ทำให้สารที่เป็นของเหลวมวล 1 หน่วย เปลี่ยนสถานะเป็นแก๊ส โดย
อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลง
ปริมาณความร้อนที่ใช้ในการลดหรือเพิ่มอุณหภูมิของสาร
สามารถคำนวณได้จากผลคูณระหว่างมวลของสารกับความจุ
ความร้อนจำเพาะของสารกับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไป สรุป
เป็นสมการได้ ดังนี้
เมื่อ Q = ปริมาณความร้อนใช้ในการลดหรือเพิ่มอุณหภูมิของ
สารนั้น (แคลอรี)
m = มวลของสาร (กรัม)
c = ความจุความร้อนจำเพาะของสาร (แคลอรี/กรัม-
องศาเซลเซียส)
t = อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไป อาจเพิ่มขึ้นหรือลดลง
Q = mct
สรุปปริมาณความร้อนที่ใช้ใน
การทำให้น้ำแข็งที่ 0 º
C กลาย
เป็นไอได้ทั้งหมด
เมื่อนำสสารที่มีอุณหภูมิต่างกันมาผสมเข้าด้วยกันหรือนำมา
สัมผัสกันจะมีการ
ถ่ายโอนความร้อนเกิดขึ้น จากสสารที่มีอุณหภูมิสูงกว่าไปสู่ที่มี
อุณหภูมิต่ำกว่าจนกระทั่งมีอุณหภูมิเท่ากัน เรียกว่า การเกิดสมดุล
ความร้อน ส่วนอุณหภูมิของวัตถุขณะที่เกิดสมดุลความร้อน เรียก
ว่า อุณหภูมิผสม
3.3
สมดุลความร้อน
วัตถุที่มีอุณหภูมิสูงจะคายความร้อนออกมาแล้วมี
ปริมาณความร้อนลดลง
วัตถุที่มีอุณหภูมิตํ่าจะรับความร้อนแล้วมีปริมาณความ
ร้อนเพิ่มขึ้นสมดุลความร้อน
สรุปเป็นสมการได้ ดังนี้
ปริมาณความร้อนที่สูญเสีย = ปริมาณความร้อนที่ได้รับ
Q สูญเสีย = Q ได้รับ
อุณหภูมิผสม
ตัวอย่างการคำนวณ
การพาความร้อน
การถ่ายโอนพลังงานความร้อนและ
การใช้ประโยชน์
การถ่ายโอนพลังงานความร้อนนี้สามารถแบ่งได้เป็น
3 ลักษณะ คือ
การพาความร้อน การนำความร้อน และ การแผ่รั
งสี
การแผ่รังสี
การนำความร้อน
เมื่อต้มน้ำ ในส่วนล่างจะ
ได้รับ
ความร้อนก่อน เกิดการขยาย
ตัวแล้วเคลื่อนที่ขึ้นไปด้านบน
น้ำส่วนที่เย็นกว่า ความหนา
แน่นมากกว่าก็จะจมลงมา
แทนที่ ทำให้เกิดการเคลื่อนที่
ของน้ำ
ไปทั่วทั้งภาชนะที่ใช้ต้มน้ำและ
มีการพาความร้อนเคลื่อนที่ไป
ด้วย เรียกว่า
การพาความร้อน ซึ่งต้องอาศัย
การพาความร้อน
เมื่ออนุภาคของของเหลวและแก๊สได้รับความร้อน มี
พลังงานจลน์สูงขึ้น เคลื่อนที่เร็ว เรียกว่า ตัวพาความร้อน
และอนุภาคห่างจากกันมากขึ้นทำให้มีความหนาแน่นลดลง
จะลอยตัวขึ้นไปด้านบนโดยพาความร้อนไปด้วย อนุภาคที่
อยู่ข้างเคียงจะเคลื่อนที่เข้ามาแทนที่ เกิดการพาความร้อน
หลักการนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้
 การสร้างปล่องควันจาก
เตาไฟ
อากาศเย็นเข้า
อากาศร้อนออก
 พัดลมระบายอากาศติด
ตั้งในโรงงาน
อุตสาหกรรม
 การออกแบบบ้านให้ระบายความร้อนได้
ดี
การพาความร้อน
การถ่ายโอนพลังงานความร้อน จากที่ที่มี
อุณหภูมิสูงไปยังที่
ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า โดยอาศัยวัตถุตัวกลางซึ่งไม่
ได้เคลื่อนที่ไปด้วยเรียกว่า การนำความร้อน วัตถุ
ตัวกลางที่ยอมให้พลังงานความร้อนผ่านได้ดี
เรียกว่า ตัวนำความร้อน ได้แก่ โลหะต่าง ๆ ส่วน
วัตถุ
ตัวกลางที่ไม่ยอมให้พลังงานความร้อนผ่านได้ดี
เรียกว่า
ฉนวนความร้อน ได้แก่ อโลหะต่าง ๆ
 การทำอาหารที่หุ้ม
ด้วยกระดาษฟอยล์
 อุปกรณ์ในครัวที่เป็น
โลหะนำความร้อน
และที่มือจับเป็นฉนวนความร้อน
การนำความร้อน
การถ่ายโอนพลังงานความร้อนออกไปโดย
รอบ โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางใดๆ ทั้งสิ้นเรียก
ว่า การแผ่รังสี
 วัตถุที่มีสีมืดคล้ำจะดูดกลืนรังสีความร้อนได้มากกว่าวัตถุ
สีขาว
 วัตถุที่มีผิวเรียบหรือเป็นมันเงา และมีสีสว่าง เช่น กระจก
จะสะท้อน
รังสีความร้อนได้ดี ส่วนวัตถุที่มีผิวขรุขระและสีมืด ๆ คล้ำ
ๆ จะดูดกลืน
รังสีความร้อนได้ดี
การแผ่รังสี
หน่วยการเรียนรู้ที่ 5
พลังงานความร้อน
แบบสอบปรนัยเพื่อพัฒนาทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
2 82
2 82
32
1
กำหนดให้เทอร์มอมิเตอร์ระบบหนึ่ง มีจุดเยือกแข็งเท่ากับ 50 และจุดเ
ถ้าวัดอุณหภูมิของน้ำในระบบองศาเซลเซียส (
C) ได้ 40 
C จะอ่าน
จากเทอร์มอมิเตอร์ในระบบที่กำหนดนี้ได้เท่าไร
3
4
104
313
1.
เฉลย 2 เหตุผล ระบบองศาเซลเซียสแบ่งมาตราส่วนได้
100 ช่อง
นับจำนวนช่องที่ปรอทสูงขึ้นมาได้ 40 ช่อง
ระบบที่กำหนด แบ่งมาตราส่วนได้ 80 ช่อง จะนับจำนวน
ช่องที่ปรอทสูงขึ้นมาได้
= x 80 = 32 ช่อง
ดังนั้น จะอ่านค่าอุณหภูมิจากเทอร์มอมิเตอร์ในระบบที่
กำหนดนี้ได้
40
100
ชนิดของโลหะตัวนำ
1 2 ระยะเวลาที่ใช้นำความร้อน
นักเรียนคนหนึ่งออกแบบการทดลองเพื่อศึกษาว่า ขนาดของโลห
มีผลต่อความสามารถในการนำความร้อนหรือไม่ อย่างไร
ตัวแปรต้นของการทดลองนี้คืออะไร
3 4
พื้นที่หน้าตัดของโลหะตัวนำ ระดับอุณหภูมิของโลหะตัวนำ
2.
เฉลย 3 เหตุผล ตัวแปรต้น คือ พื้นที่หน้าตัดของ
โลหะตัวนำ
เพราะแสดงถึงขนาดได้
3 พื้นที่หน้าตัดของโลหะตัวนำ
สาร ก
1
3 สาร ค
จากตาราง ใช้ตอบคำถามข้อ 3-7
2
4
สาร ข
สาร ง
3.
ตาราง มวลและปริมาณความร้อนที่สารบางชนิดใช้ในการเปลี่ยนสถานะ
สาร
มวล
(กรัม)
จุดหลอมเหลว
(
C)
ปริมาณความร้อน
(cal)
ที่ใช้ในการหลอมเหลว
จุดเดือด
(
C)
ปริมาณความร้อน (cal)
ที่ใช้กลายเป็นไอ
ก 2 0 80 100 540
ข 6 5 80 80 450
ค 10 5 600 90 3,200
ง 14 12 600 85 2,800
ความร้อนแฝงจำเพาะของการหลอมเหลวของสารชนิดใดมีค่ามากที่ส
3 สาร ค
เฉลย 3 เหตุผล จากสูตร Q = mL
สาร ก 80 = 2 x L ดังนั้น L = 40
แคลอรีต่อกรัม
สาร ข 80 = 6 x L ดังนั้น L = =
13.33 แคลอรีต่อกรัม
สาร ค 600 = 10 x L ดังนั้น L = 60
80
6
600
14
4 สาร ก ข ค และ ง
สาร ข เท่านั้น
1
3 สาร ก และ ง
จากตาราง ใช้ตอบคำถามข้อ 3-7
2
4
สาร ก และ ข
สาร ก ข ค และ ง
4.
ความร้อนแฝงจำเพาะของการกลายเป็นไอของสารชนิดใดมีค่าน้อยกว่า
ความร้อนแฝงจำเพาะของการกลายเป็นไอของน้ำ
เฉลย 4 เหตุผล ความร้อนแฝงจำเพาะของการ
กลายเป็นไอของน้ำ = 540 แคลอรีต่อ
กรัม จากสูตร Q = mL
สาร ก 540 = 2 x L ดังนั้น L = 270
แคลอรีต่อกรัม
สาร ข 450 = 6 x L ดังนั้น L = 75
แคลอรีต่อกรัม
ตาราง มวลและปริมาณความร้อนที่สารบางชนิดใช้ในการเปลี่ยนสถานะ
สาร
มวล
(กรัม)
จุดหลอมเหลว
(
C)
ปริมาณความร้อน
(cal)
ที่ใช้ในการหลอมเหลว
จุดเดือด
(
C)
ปริมาณความร้อน (cal)
ที่ใช้กลายเป็นไอ
ก 2 0 80 100 540
ข 6 5 80 80 450
ค 10 5 600 90 3,200
ง 14 12 600 85 2,800
จากตาราง ใช้ตอบคำถามข้อ 3-7
5.
ที่อุณหภูมิ 10 
C สารชนิดใดบ้างที่อยู่ในสถานะของแข็ง
4 สาร ก ข ค และ ง
สาร ง
1
3 สาร ก ข และ ค
2 สาร ข และ ค เฉลย 1 เหตุผล จุดหลอมเหลวของสาร ง
คือ 12 
C
ดังนั้น อุณหภูมิ 10 
C จึงยังไม่
หลอมเหลว
สาร ง
1
ตาราง มวลและปริมาณความร้อนที่สารบางชนิดใช้ในการเปลี่ยนสถานะ
สาร
มวล
(กรัม)
จุดหลอมเหลว
(
C)
ปริมาณความร้อน
(cal)
ที่ใช้ในการหลอมเหลว
จุดเดือด
(
C)
ปริมาณความร้อน (cal)
ที่ใช้กลายเป็นไอ
ก 2 0 80 100 540
ข 6 5 80 80 450
ค 10 5 600 90 3,200
ง 14 12 600 85 2,800
จากตาราง ใช้ตอบคำถามข้อ 3-7
6.
ปริมาณความร้อนที่ทำให้สาร ก มวล 20 กรัม หลอมเหลวหมดพอดีม
41,600 แคลอรี
200 แคลอรี
1
3 800 แคลอรี
2 400 แคลอรี
3 800 แคลอรี
เฉลย 3 เหตุผล จากสูตร Q = mL
Q = 20
x 80 .
Q = 800
แคลอรี
2
ตาราง มวลและปริมาณความร้อนที่สารบางชนิดใช้ในการเปลี่ยนสถานะ
สาร
มวล
(กรัม)
จุดหลอมเหลว
(
C)
ปริมาณความร้อน
(cal)
ที่ใช้ในการหลอมเหลว
จุดเดือด
(
C)
ปริมาณความร้อน (cal)
ที่ใช้กลายเป็นไอ
ก 2 0 80 100 540
ข 6 5 80 80 450
ค 10 5 600 90 3,200
ง 14 12 600 85 2,800
จากตาราง ใช้ตอบคำถามข้อ 3-7
7.
ถ้าต้องการให้สาร ง มวล 1 กรัม ในสถานะของเหลวที่อุณหภูมิ 85 
C กลา
จะต้องใช้ปริมาณความร้อนกี่แคลอรี
4
2,800 แคลอรี
200 แคลอรี
1
3
1,400 แคลอรี
2600 แคลอรี เฉลย 1 เหตุผล ความร้อนแฝงจำเพาะของ
การกลายเป็นไอของสาร ง คือ 200 แคลอรีต่อ
กรัม (จากเฉลยในข้อ 4)
ดังนั้น จึงต้องใช้ปริมาณความร้อน 200 แคลอรี
จึงจะกลายเป็นไอ
200 แคลอรี
1
ตาราง มวลและปริมาณความร้อนที่สารบางชนิดใช้ในการเปลี่ยนสถานะ
สาร
มวล
(กรัม)
จุดหลอมเหลว
(
C)
ปริมาณความร้อน
(cal)
ที่ใช้ในการหลอมเหลว
จุดเดือด
(
C)
ปริมาณความร้อน (cal)
ที่ใช้กลายเป็นไอ
ก 2 0 80 100 540
ข 6 5 80 80 450
ค 10 5 600 90 3,200
ง 14 12 600 85 2,800
เมื่อพิจารณาตามหลักการถ่ายโอนพลังงานความร้อน ข้อใดถูกต้อ
8.
โลหะบางชนิดไม่สามารถนำความร้อนได้
แต่นำไฟฟ้าได้
1 2 น้ำเป็นตัวนำความร้อนที่ดี
แต่ไม่สามารถพาความร้อนได้
3 4
ตัวกลางในการพาความร้อน
ไม่จำเป็นต้องอยู่ในสภาวะของเหลว
การแผ่รังสีความร้อนต้องอาศัยตัวพา
ที่มีสถานะเป็นของเหลวหรือแก๊สเท่าน
เฉลย 3 เหตุผล เพราะตัวกลางใน
การพาความร้อน
อยู่ในสถานะแก๊สได้
ผิด เพราะโลหะมีสมบัติในการนำ
ความร้อนได้
ผิด เพราะน้ำถ่ายโอนพลังงานความ
ร้อนได้
โดยการพาความร้อน
ผิด เพราะการแผ่รังสีความร้อน
ไม่ต้องอาศัยตัวกลางใดๆ
3
ตัวกลางในการพาความร้อน
ไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานะของเหลว
คายความร้อน
1
2
จากการทำให้น้ำมวล 10 กรัม ที่อุณหภูมิ 40 
C เปลี่ยนเป็นน้ำแข็งม
ที่อุณหภูมิ 0 
C จะต้องมีการรับและคายความร้อนเท่าใด
3
4
9.
คายความร้อน
รับความร้อน
รับความร้อน
1 เฉลย 1 เหตุผล แนวคิด น้ำแข็ง <---------- น้ำ
<---------- น้ำ
จากสูตร Q1 = mL
Q1 = 10 x 80 = 800 cal
Q2 = mct
Q2 = 10 x 1 x (40 – 0) = 400
cal
ดังนั้น ต้องคายพลังงานความร้อนทั้งหมด
Q1 + Q2 = 800 + 400 = 1,200
cal
Q1 Q2
10 g, 0 
C 10 g, 0 
C
10 g, 40 
C
1,200 cal
800 cal
1,200 cal
800 cal
คายความร้อน
1,200 cal
65 องศาเซลเซียส
1
2
เมื่อใช้น้ำมวล 1,000 กรัม มาผสมกับน้ำเย็น มวล 2,000 กรัม ที่อุณห
แล้วได้น้ำอุ่นที่อุณหภูมิ 40 
C อุณหภูมิของน้ำร้อนมีค่ากี่องศาเซลเซ
3
4
10.
80 องศาเซลเซียส
90 องศาเซลเซียส
100 องศาเซลเซียส
เฉลย 3 เหตุผล แนวคิด น้ำร้อน + น้ำเย็น
ปริมาณความร้อนที่สูญเสีย ปริมาณ
ความร้อนที่ได้รับ
น้ำอุ่น
สูตร ปริมาณความร้อนที่สูญเสีย = ปริมาณความ
ร้อนที่ได้รับ
m1ct = m2ct
1,000 x 1 x (t – 40) = 2,000 x 1 x (40
– 15)
t – 40 = 80 – 30
m1 1,000 g m2 2,000 g, 15

C
40 
C
3 90 องศาเซลเซียส

สื่อการสอน เรื่อง พลังงานความร้อน ม.1.pptx