SlideShare a Scribd company logo
1 of 11
1
อิลลิสชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๘. อิลลิสชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๗๘)
ว่าด้วยอิลลีสเศรษฐี
(ช่างตัดผมโพธิสัตว์ถูกพระราชาตรัสสั่งให้หาอิลลีสเศรษฐี
เมื่อไม่สามารถจะนาอิลลีสเศรษฐีมาได้ จึงกราบทูลว่า)
[๗๘] คนทั้ง ๒ เป็นคนกระจอก เป็นคนง่อยเปลี้ย เป็นคนตาเหล่
มีปมงอกที่ศีรษะ ข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้จักว่า คนไหนคืออิลลีสเศรษฐี
อิลลิสชาดกที่ ๘ จบ
------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
เอกกนิบาตชาดก วรุณวรรค
๘. อิลลีสชาดก ว่าด้วยคนมีรูปร่างเหมือนกัน
พระบรมศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภเศรษฐีชื่อมัจฉริโกสิยะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า ไม่ห่างพระนครราชคฤห์ มีนิคมชื่อว่าสักกระ
ในนิคมนั้นมีเศรษฐีผู้หนึ่งชื่อว่ามัจฉริโกสิยะ มีสมบัติ ๘๐ โกฏิอยู่อาศัย
ท่านเศรษฐีนั้น แม้เอายอดหญ้าจุ่มน้ามันให้ทานแก่คนเหล่าอื่นสักหยดเดียวก็ไม่มี
ทั้งตนเองก็ไม่ยอมบริโภค ด้วยประการฉะนี้
สมบัติของเขาไม่อานวยประโยชน์แก่บุตรและภรรยาเป็ นต้นทั้งแก่สมณพราหมณ์
ตั้งอยู่อย่างไม่ได้แตะต้องใช้สอย เหมือนสระโบกขรณีที่รากษสคุ้มครอง ฉะนั้น.
วันหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จออกจากมหากรุณาสมาบัติในเวลาใกล้รุ่ง
ทรงตรวจดูหมู่สัตว์ที่เป็นเผ่าพันธ์แห่งผู้พอจะทรงแนะนาให้ตรัสรู้ได้ทั่วโลกธาตุทั้
งสิ้น ได้ทอดพระเนตรเห็น
อุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของท่านเศรษฐีพร้อมด้วยภรรยาอันอยู่ไกลถึง ๔๕
โยชน์
เมื่อวันก่อนจากวันนั้น ท่านเศรษฐีได้ไปสู่พระราชวังเข้าเฝ้ าพระราชา
ขณะเดินมา เห็นชาวชนบทผู้หนึ่งหิวหนักกาลังกัดกินขนมเบื้องผสมถั่วกุมมาส
เกิดความอยากในขนมนั้น ไปถึงเรือนของตนแล้วดาริว่า
ถ้าเราบอกว่าอยากกินขนมเบื้อง คนเป็นอันมากก็จักอยากกินกับเรา
เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งของเป็นต้นว่า ข้าวสาร เนยใส น้าอ้อยของเรา
จักต้องสิ้นเปลืองไปเป็นอันมาก เราจักไม่บอกใครๆ แล้วสู้อดกลั้นความอยากไว้
เที่ยวไป. ครั้นนานหนักเข้า ท่านชักจะผอมเหลือง ตัวสะพรั่งด้วยเส้นเอ็น
ทีนั้นก็ไม่อาจทนอยากอยู่ได้ จึงเข้านอน ซุกบนเตียงน้อย แม้ถึงอย่างนั้นแล้ว
2
ก็ยังไม่ยอมเอ่ยอะไรแก่ใครๆ เพราะกลัวเสียทรัพย์.
ฝ่ายภรรยาจึงเข้าไปหาท่านลูบหลัง พลางถามว่า ท่านเจ้าขา
ท่านไม่สบายหรือ?
เศรษฐี. ฉันไม่เจ็บ ไม่ไข้ ไม่เป็นอะไรดอก.
ภรรยา. พระราชาทรงกริ้วท่านหรือ?
เศรษฐี. ถึงพระราชาก็มิได้ทรงกริ้วฉัน.
ภรรยา. เมื่อเป็นเช่นนั้นจะมีลูกชายลูกหญิงเป็นต้น
หรือบริวารมีทาสและกรรมกรเป็ นต้นพากันทาอะไรๆ ที่ไม่พอใจท่านหรือ?
เศรษฐี. แม้เรื่องอย่างนี้ก็ไม่มีแก่เรา.
ภรรยา. ท่านคงนึกอยากจะกินอะไรบ้าง กระมัง?
เศรษฐีพอภรรยาพูดอย่างนี้ ก็ไม่ยอมเอ่ยอะไรๆ นอนนิ่งเงียบทีเดียว
เพราะกลัวเสียทรัพย์ ทีนั้นภรรยาจึงกล่าวกะท่านเศรษฐีว่า ท่านเจ้าขาบอกเถิด
ท่านนึกอยากกินอะไร? ท่านเศรษฐีทาท่าทีกล้ากลืนถ้อยคา แล้วกล่าวว่า จ้ะ
ฉันนึกอยากอยู่อย่างหนึ่ง.
ภรรยา. อะไรเจ้าคะ ที่ท่านนึกอยาก?
เศรษฐี. ฉันอยากกินขนมเบื้อง.
ภรรยา. เมื่อเป็นเช่นนั้น ทาไมไม่บอกเล่าคะ
ท่านเป็นคนจนหรือเจ้าคะ คราวนี้
ดิฉันจะทอดขนมเบื้องให้พอแจกชาวสักกระนิคมให้ทั่วถึง.
เศรษฐี. เจ้าเอ่ยถึงพวกนั้นทาไม พวกเขาทางานของตนแล้ว
ก็จักทากินกันเอง.
ภรรยา. ถ้าเช่นนั้นก็ทอดพอแจกพวกตรอกเดียวกันนะคะ?
เศรษฐี. ฉันรู้ละว่า เจ้านะมีทรัพย์มาก.
ภรรยา. ถ้าเช่นนั้น ก็ทอดพอแจกกันระหว่างลูกเมียในเรือนเท่านั้น
ก็แล้วกันนะเจ้าคะ?
เศรษฐี. ท่านไปยุ่งกับพวกนั้นทาไม?
ภรรยา. ถ้าเช่นนั้นก็ทอดพอรับประทานกันระหว่างท่านกับดิฉัน
นะเจ้าคะ?
เศรษฐี. ท่านจะมาเกี่ยวด้วยทาไม?
ภรรยา. ถ้าเช่นนั้น ก็ทอดพอท่านรับประทานคนเดียวก็แล้วกัน.
เศรษฐี. เมื่อทอดที่นี่ คนเป็นอันมากจักพากันมุงดู
เจ้าจงขนข้าวสารที่แหลกๆ เว้นข้าวที่เป็นตัวเสีย ทั้งเตาและกระเบื้องทอด
ก็ขนไปด้วย ถือเอานมสด เนยใส น้าผึ้ง น้าอ้อย อย่างละนิดละหน่อย
ขึ้นสู่พื้นโถงบนปราสาทชั้นที่ ๗ แล้วทอดเถิด ฉันคนเดียวเท่านั้น จักนั่งกินที่นั่น.
ภรรยา. รับคาแล้ว ให้คนขนสิ่งของที่ต้องใช้ขึ้นปราสาท ไล่ทาสีลง
3
ให้เชิญท่านเศรษฐีขึ้นไป เศรษฐีปิดประตูชั้นแรกขัดลิ่มสลักทุกแห่ง
ขึ้นสู่พื้นปราสาทชั้น ๗ แม้ในชั้นก็ปิดประตูเสียด้วย แล้วนั่งคอย
ฝ่ายภรรยาของท่านเศรษฐี จัดแจงก่อไฟใส่เตา ยกกระเบื้องขึ้นตั้ง
เริ่มจะทอดขนม.
ลาดับนั้น พระบรมศาสดาตรัสเรียกพระมหาโมคคัลลานะแต่เช้าตรู่
ตรัสว่า
โมคคัลลานะ เศรษฐีตระหนี่ในสักกระนิคม
ไม่ห่างไกลพระนครราชคฤห์ผู้นี้ดาริว่า เราจักกินขนมเบื้องกลัวคนอื่นๆ จะเห็น
ให้ภรรยาทอดขนมเบื้องที่พื้นชั้นบนแห่งปราสาท ๗ ชั้น ท่านจงไปที่นั่น
ทรมานเศรษฐี ทาให้หมดพยศ แล้วให้สามีภรรยาทั้งคู่ ขนขนม นมเนย น้าผึ้ง
น้าอ้อย พามาสู่พระเชตวัน ด้วยกาลังของตนเถิด วันนี้ ตถาคตกับภิกษุ ๕๐๐
จักนั่งคอยในวิหาร จักกระทาภัตตกิจด้วยขนมนั้นแหละ.
พระเถระเจ้าทูลรับสนองพระดารัสของพระศาสดาว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า
ไปสู่นิคมด้วยกาลังฤทธิ์ ในทันใดนั้นเอง ครองสบงจีวรเรียบร้อย ยืนอยู่ในอากาศ
ตรงช่องหน้าต่าง ปานประหนึ่งรูปที่ทาด้วยแก้วมณีมาลอยอยู่ ฉะนั้น
เพราะเห็นพระเถระเจ้าเข้าเท่านั้น ท่านมหาเศรษฐีหัวใจสั่น เศรษฐีดาริว่า
เพราะกลัวมนุษย์ประเภทนี้นี่แหละ เราถึงต้องมาที่นี่
แต่ท่านผู้นี้ยังมาที่ช่องหน้าต่างจนได้ มองไม่เห็นสิ่งที่พอจะถือเอาได้ ก็เปล่งเสียง
ตฏะ ตฏะ ออกมา ด้วยความแค้น เหมือนเอาก้อนเกลือใส่ไปในกองไฟ
แตกเพียะพะอยู่ ฉะนั้น แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนสมณะ
ท่านยืนอยู่ในอากาศจักได้อะไร ถึงจะเดินไปเดินมา
แสดงรอยเท้าในอากาศอันหารอยมิได้ ก็จักยังไม่ได้อยู่ นั่นเอง.
พระเถระก็เดินจงกรมไปมาอยู่ ณ ที่นั้นเอง. เศรษฐีกล่าวว่า
ท่านจงกรมอยู่จักได้อะไร ถึงจะนั่งขัดสมาธิในอากาศ ก็จักไม่ได้อะไรเลย.
พระเถระเจ้าคู้บัลลังก์นั่งแล้ว ครั้งนั้น เศรษฐีกล่าวกะพระเถระว่า
นั่งแล้วจักได้อะไร ถึงจะมายืนอยู่ที่ธรณีหน้าต่าง ก็จักไม่ได้เลย.
พระเถระได้มายืนอยู่ที่ธรณี ครั้งนั้น เศรษฐีพูดกะท่านว่า
ถึงยืนที่ธรณีแล้วก็จักได้อะไร ต่อให้บังหวนควัน ก็จักไม่ได้อะไร.
พระเถระจึงบังหวนควัน ปราสาททั้งนั้นเป็ นควันพุ่งไปทั่ว
เกิดเป็นดุจเวลาเอาเข็มแทงนัยน์ตาท่านเศรษฐี ท่านเศรษฐีไม่กล้ากล่าวว่า
ถึงจะให้ไฟลุก ก็คงจะไม่ได้ เพราะกลัวไฟจะไหม้บ้าน ดาริว่า
สมณะรูปนี้เกาะเกี่ยวเหนียวแน่น ไม่ได้คงไม่ยอมไป จึงบอกภรรยาว่า
ดูก่อนนางผู้เจริญ เจ้าจงทอดขนมเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง ให้สมณะแล้วส่งท่านไปเสียเถิด.
นางตักแป้ งหน่อยเดียวเท่านั้น ใส่ลงในถาดกระเบื้อง
เป็นขนมโตเต็มถาดหมด พองหนาปรากฏอยู่ เศรษฐีเห็นขนมนั้นแล้วพูดว่า
4
เจ้าคงใส่แป้ งมากเป็ นแน่
แล้วเอามุมทัพพีนั่นแหละตักแป้ งหน่อยหนึ่งใส่ลงไปเองทีเดียว
ขนมกลับใหญ่กว่าอันก่อน ไม่ว่าจะทอดอันใดๆ อันนั้นๆ เป็นต้องใหญ่ๆ ทั้งนั้น
เศรษฐีชักเหนื่อย จึงบอกภรรยาว่า นางเอ๋ย
เจ้าจงให้ขนมแก่สมณะรูปนี้ไปชิ้นหนึ่งเถิด.
เมื่อนางหยิบขนมชิ้นหนึ่งออกจากกระเช้าขนมทุกชิ้น
ติดเป็นแผ่นเดียวกันไปหมด นางบอกกะเศรษฐีว่า ท่านเจ้าคะ
ขนมทั้งหมดติดเป็นแผ่นเดียวกันเสียแล้ว ดิฉันไม่อาจจะแยกได้.
ท่านเศรษฐีกล่าวว่า ฉันทาเอง ก็ไม่อาจแยกออกได้.
เมื่อท่านเศรษฐีพยายามปลุกปล้าแยกขนมอยู่นั่นแล เหงื่อไหลโทรมร่างกาย
ความอยากก็หายไป.
ลาดับนั้น ท่านเศรษฐีจึงพูดกับภรรยาว่า นี่แน่ะนางผู้เจริญ
เราไม่ต้องการขนมแล้วละ เธอจงถวายแก่ภิกษุนี้ทั้งกระเช้าทีเดียวเถิด.
นางจึงหิ้วกระเช้าเข้าไปหาพระเถระ แล้วถวายขนมทั้งหมดแด่พระเถระเจ้า.
พระเถระเจ้า เมื่อแสดงธรรมแก่คนทั้งสอง
ก็กล่าวถึงคุณของพระรัตนะทั้ง ๓ แล้วชี้แจงผลของการให้ทานเป็นต้นว่า
ทานที่บุคคลให้แล้วมีผล การบูชามีผล
แจ่มแจ้งประดุจแสดงให้เห็นดวงจันทร์วันเพ็ญบนพื้นนภากาศฉะนั้น
ครั้นฟังธรรมแล้ว มหาเศรษฐีมีจิตผ่องใสกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ
นิมนต์นั่งบนบัลลังก์นี้ ฉันขนมเถิดขอรับ.
พระเถระเจ้ากล่าวว่า ท่านมหาเศรษฐี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า
ตถาคตจักฉันขนม ประทับนั่งในพระวิหารกับภิกษุ ๕๐๐ รูป
เมื่อท่านพอใจจงให้ภรรยาถือขนมและนมเป็นต้น เราจักไปสู่สานักพระศาสดา.
ท่านเศรษฐีถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เดี๋ยวนี้
พระศาสดาพระองค์นั้นประทับอยู่ที่ไหนเล่าขอรับ?
พระเถระเจ้าตอบว่า พระองค์ประทับอยู่ ณ พระมหาวิหารเชตวัน
ห่างจากที่นี่ ๔๕ โยชน์. ท่านเศรษฐีกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ
เราจักไปไกลถึงเพียงนี้ โดยไม่ให้ล่วงเวลาภัตได้อย่างไรเล่าขอรับ?
พระเถระเจ้ากล่าวว่า ดูก่อนมหาเศรษฐี เมื่อท่านมีความพอใจ
เราจะพาท่านไปด้วยกาลังฤทธิ์ของตน หัวบันไดที่ปราสาทของท่าน จักปรากฏ ณ
ที่ตั้งของตนทีเดียว แต่ที่สุดแห่งบันได จักอยู่ซุ้มพระทวารแห่งพระวิหารเชตวัน
เราจักพาท่านไปพระวิหารเชตวัน
ด้วยระยะเวลาเพียงเท่ากาลที่ลงจากปราสาทชั้นบน มาสู่ปราสาทชั้นล่าง.
ท่านเศรษฐีรับคาว่า ดีแล้วขอรับ ท่านผู้เจริญ.
พระเถระเจ้าก็อธิษฐานว่า ศีรษะบันไดจงอยู่ที่เดิม
5
เชิงบันไดจงมีที่ซุ้มพระทวารพระวิหารเชตวันเถิด
การก็ได้เป็นดังคาอธิษฐานของพระเถระเจ้านั่นแหละ ด้วยอาการอย่างนี้
พระเถระเจ้าพาท่านเศรษฐีกับภรรยาลุถึงพระวิหารเชตวัน
เร็วกว่าเวลาลงจากปราสาทชั้นบนถึงปราสาทชั้นล่างเสียอีก.
ท่านเศรษฐีและภรรยา แม้ทั้งคู่เข้าเฝ้ าพระศาสดา กราบทูลภัตตกาล
พระศาสดาเสด็จเข้าสู่โรงฉัน
ประทับนั่งเหนือพระบวรพุทธาอาสน์ที่จัดไว้พร้อมกับภิกษุสงฆ์
ท่านเศรษฐีได้ถวายน้าทักษิโณทกแด่พระสงฆ์ มีพระพุทธองค์เป็นประมุข
ภรรยาของท่านเศรษฐี ก็ใส่ขนมในบาตรของพระตถาคต
พระศาสดาทรงรับขนมพอแก่พระประสงค์ของพระองค์ แม้ภิกษุ ๕๐๐
รูปก็รับเช่นนั้นเหมือนกัน
ถึงท่านเศรษฐีก็เดินถวายนมสด เนยใส น้าผึ้ง น้าอ้อยและน้าตาลกรวดเป็ นต้น
พระศาสดากับภิกษุ ๕๐๐ รูปกระทาภัตกิจเสร็จแล้ว.
ท่านมหาเศรษฐีกับภรรยาเล่า ก็รับประทานขนมพอแก่ความต้องการ
ความสิ้นสุดของขนมทั้งหลายไม่ปรากฏเลย แม้ถวายแจกจ่ายแก่พวกภิกษุ
และคนกินเดนในวิหารทั้งสิ้นแล้ว ความหมดสิ้นก็ยังไม่ปรากฏอยู่นั่นเอง.
ท่านเศรษฐีและภรรยาพากันกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขนมยังไม่หมดเลย พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเททิ้งเสียที่ซุ้มประตูพระวิหารเชตวันเถิด
สองสามีภรรยาก็ขนไปทิ้งในที่เป็ นเงื้อม ไม่ห่างซุ้มประตู
ที่นั้นจึงปรากฏชื่อว่า "เงื้อมขนมเบื้อง" ต่อมาจนถึงทุกวันนี้.
มหาเศรษฐีกับภรรยาพากันเข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคเจ้า ยืนอยู่
ณ ที่ควรข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทาอนุโมทนา
ในเวลาจบอนุโมทนา เศรษฐีและภรรยาแม้ทั้งสองคน ก็ดารงในพระโสดาปัตติผล
พากันถวายบังคมพระบรมศาสดา ก้าวขึ้นบันไดสถิตในปราสาทของตนนั่นเอง
จาเดิมแต่นั้นมา ท่านมหาเศรษฐีก็บริจาคทรัพย์ ๘๐
โกฏิในพระพุทธศาสนานั่นแล.
วันรุ่งขึ้น
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี
แล้วเสด็จมาสู่พระวิหารเชตวัน ประทานสุคโตวาทแก่พวกภิกษุ
แล้วเสด็จเข้าพระคันธกุฎี ทรงหลีกเร้น
ครั้นเวลาเย็น ภิกษุประชุมกันในธรรมสภา
นั่งกล่าวถึงคุณกถาของพระเถระเจ้าอยู่ว่า ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย
จงดูอานุภาพของพระมหาโมคคัลลานเถรเจ้าเถิด ท่านมิได้ทาลายศรัทธา
มิได้แตะต้องโภคทรัพย์ ทรมานเศรษฐีผู้ตระหนี่ ครู่เดียวเท่านั้น
6
ก็ทาให้หายพยศได้ ให้ถือขนมชวนมาพระเชตวัน เฝ้ าพระศาสดา
ให้ดารงในโสดาปัตติผล โอ พระเถระเจ้ามีอานุภาพมาก.
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร.
เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ธรรมดาภิกษุผู้ทรมานสกุล ไม่ต้องเบียดเบียนสกุลให้ลาบาก
พึงเป็นเหมือนภมรเคล้าเอาเกษรดอกไม้ เข้าไปใกล้แล้ว ให้เขารู้พระพุทธคุณ
เมื่อจะทรงสรรเสริญพระเถระเจ้า ตรัสพระคาถาในธรรมบทนี้ว่า
"ภมรมิให้ดอกไม้เสียสี และเสื่อมกลิ่น เคล้าเอาแต่รสแล้วบินไป
แม้ฉันใด มุนีพึงเที่ยวไปในบ้าน ฉันนั้น" ดังนี้.
เพื่อจะประกาศคุณของพระเถระเจ้าให้ยิ่งๆ ขึ้นไป จึงตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น
ที่มัจฉริยเศรษฐีถูกโมคคัลลานะทรมาน แม้ในครั้งก่อน
โมคคัลลานะก็เคยทรมานเขา
ให้รู้ความสัมพันธ์แห่งกรรมและผลแห่งกรรมมาแล้วเหมือนกัน
แล้วทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี
เศรษฐีชื่ออิลลีสะ มีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ ประกอบด้วยบุรุษโทษหลายสถาน
เป็นคนกระจอก ง่อย ตาเหล่ ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส ตระหนี่
ไม่ให้แก่คนอื่นและไม่บริโภคด้วยตนเอง ได้มีในพระนครพาราณสี
เรือนของเศรษฐีนั้นได้เป็นเหมือนสระโบกขรณีที่รากษสยึดครอง
แต่มารดาบิดาของท่านเศรษฐีเป็นผู้ให้ทาน เป็ นทานบดีมา ๗
ชั่วตระกูล
ครั้นอิลลีสะนั้นได้ตาแหน่งเศรษฐี ก็ทาลายสกุลวงษ์เสีย เผาโรงทาน
เฆี่ยนขับไล่พวกยาจก เก็บแต่ทรัพย์เท่านั้น วันหนึ่ง อิลลีสะนั้นไปเฝ้ าพระราชา
ขณะเดินมาเรือนของตน เห็นคนบ้านนอกผู้หนึ่งเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง
ถือขวดเหล้ามาขวดหนึ่ง นั่งบนตั่งน้อย
รินเหล้าใส่จอกสาหรับดื่มสุรารสเปรี้ยวแล้วดื่มอยู่ แกล้มด้วยแกงอ่อมใส่ปลาร้า
นึกอยากดื่มบ้าง คิดว่า ถ้าเราจักดื่มสุรา
เมื่อกาลังดื่มคนเป็ นอันมากก็จักอยากดื่มบ้าง ความสิ้นเปลืองทรัพย์
ก็จักมีแก่เราด้วยอาการอย่างนี้.
เศรษฐีอิลลีสะนั้น อดกลั้นความอยากไว้ ครั้นเวลาผ่านไป
ไม่อาจอดกลั้นได้ เลยเป็นคนตัวเหลือง เนื้อตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น
เหมือนใบฝ้ ายที่แก่แล้ว ครั้นวันหนึ่ง จึงเข้าห้องนอน เข้าไปซุกอยู่ที่เตียงน้อย
ภรรยาเข้าไปลูบหลัง พลางถามว่า นายท่านไม่สบายเป็นอะไรหรือ?
7
ถ้อยคาทั้งหมดพึงทราบโดยทานองที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
เมื่อภรรยากล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น
ดิฉันจะปรุงสุราให้พอแก่ท่านผู้เดียวเท่านั้น.
เศรษฐีดาริว่า เมื่อปรุงสุราในเรือน คนเป็ นอันมากจักต้องมุงมอง
ให้ไปซื้อมาจากร้านตลาด แต่ไม่อาจนั่งดื่มในที่นี้ได้
จึงให้เงินไปประมาณมาสกหนึ่ง ให้ไปซื้อเหล้ามาจากตลาดขวดหนึ่ง
ให้บ่าวถือออกไปจากเมือง ถึงฝั่งแม่น้า หลบเข้าสู่พุ่มไม้พุ่มหนึ่ง
ให้บ่าววางขวดเหล้าไว้แล้ว กล่าวว่า เจ้าไปเถิด ให้บ่าวไปนั่งเสียไกล
รินเหล้าใส่จอกเริ่มดื่มสุรา.
ส่วนบิดาของเศรษฐีอิลลีสะนั้นเกิดเป็นท้าวสักกะในเทวโลก
เพราะทาบุญทั้งหลายมีให้ทานเป็นต้น ขณะนั้น ท้าวเธอดาริว่า
ทานของเรายังเป็ นไปอยู่หรือไม่หนอ ครั้นเห็นทานไม่เป็ นไป
และเห็นบุตรทาลายสกุลวงษ์เสีย เผาโรงทาน ขับไล่พวกจายก
ตั้งอยู่ในความตระหนี่ กาลังเข้าพุ่มไม้ดื่มเหล้าเพียงผู้เดียว เพราะกลัวว่า
จักต้องให้แก่คนอื่นๆ ทรงพระดาริว่า เราต้องไปขนาบ ทรมานอิลลีสะนั้น
ให้รู้ความสัมพันธ์แห่งกรรมและผลแห่งกรรม แล้วให้บาเพ็ญทาน
ทาให้เขาเหมาะสมที่จะเกิดในเทวโลก ดังนี้แล้วเสด็จลงมาสู่ถิ่นมนุษย์
ทรงเนรมิตอัตภาพเป็นคนกระจอก ง่อย และตาเหล่ เช่นเดียวกับเศรษฐีอิลลีสะ
เข้าไปสู่พระนครพาราณสี หยุด ณ ทวารพระราชนิเวศน์ ให้กราบทูลการที่ตนมา
เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตว่า จงเข้ามาเถิด จึงเข้าไปถวายบังคมพระราชา
แล้วยืนอยู่.
พระราชามีพระดารัสถามว่า ดูก่อนท่านมหาเศรษฐี เหตุไฉน
ท่านจึงมาผิดเวลาเล่า กราบทูลว่า ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้า
ข้าพระพุทธเจ้ามาโดยประสงค์ว่า ในเรือนของข้าพระพุทธเจ้ามีทรัพย์อยู่ประมาณ
๘๐ โกฏิ ขอพระองค์ได้โปรดให้ขนมาเข้าท้องพระคลังของพระองค์เถิด.
พระราชารับสั่งว่า อย่าเลย ท่านมหาเศรษฐี ทรัพย์ในวังของเรา
มีมากกว่าทรัพย์ของท่าน. เขากราบทูลว่า ขอเดชะ
ถ้าพระองค์ไม่ต้องพระประสงค์
ข้าพระองค์จะจ่ายทรัพย์ให้ทานตามความพอใจพระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งว่า
ให้เถิดท่านเศรษฐี. เขารับพระบรมราชานุญาตแล้ว ถวายบังคมพระราชา
ออกไปสู่เรือนของอิลลีสเศรษฐี พวกมนุษย์ผู้เป็นอุปัฏฐากทุกคน ก็พากันแวดล้อม
แม้คนหนึ่งที่จะสามารถรู้ว่า ท่านผู้นี้มิใช่อิลลีสเศรษฐี ไม่มีเลย.
ครั้นท้าวสักกเทวราชเข้าสู่เรือนแล้ว ยืนที่ธรณีด้านใน
เรียกนายประตูมาสั่งว่า ผู้อื่นคนใดมีรูปคล้ายเรา จะเข้ามาด้วยกล่าวว่า
นี่เรือนของเรา พวกเจ้าพึงเฆี่ยนหลังคนนั้น แล้วไล่ไปเสีย
8
แล้วขึ้นสู่ปราสาทนั่งเหนืออาสนะอันโออ่า ให้เชิญภรรยาท่านเศรษฐีมาหา
แสดงอาการอย่างท่านเศรษฐีไม่มีผิด กล่าวว่า นางผู้เจริญเราให้ทานกันเถิด.
ภรรยา บุตร ธิดาและทาสกรรมกรได้ยินถ้อยคาของท้าวเธอนั้นแล้ว
พากันกล่าวว่า ตลอดกาลนานเห็นปานนี้ ความคิดที่จะให้ทานไม่มีเลย
แต่วันนี้ดื่มสุราแล้ว เกิดใจดีอยากให้ทานเป็นแน่. ทีนั้น
ภรรยาท่านเศรษฐีจึงกล่าวว่า ท่านเจ้าคะ เชิญท่านให้ตามพอใจเถิด.
ท้าวเธอกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น เธอจงเรียกคนตีกลองมา
ให้นากลองไปเที่ยวตีประกาศทั่วพระนครว่า
ผู้ที่ต้องการเงินทองแก้วมณีและมุกดาเป็นต้น จงพากันไปสู่เรือนของอิลลีสเศรษฐี
คนตีกลองได้กระทาอย่างนั้นแล้ว
มหาชนต่างพากันถือภาชนะมีกระเช้ากระทอเป็นต้น ไปชุมนุมกันที่ประตูเรือน.
ท้าวสักกะทรงให้เปิดห้องอันเต็มไปด้วยรัตนะ ๗ ประการหลายห้อง
กล่าวว่า เราขอให้แก่พวกท่าน พวกท่านจงพากันขนเอาไปจนพอต้องการเถิด
มหาชนพากันขนทรัพย์ออกไปกองไว้ที่พื้นโถง
บรรจุลงภาชนะที่นามาจนเต็มแล้ว จึงพากันไป.
ฝ่ายมนุษย์ชาวชนบทคนหนึ่ง เทียมโคคู่ของอิลลีสเศรษฐี
ที่รถของท่านนั่นแหละ บรรทุกเต็มไปด้วยรัตนะ ๗ ประการ
ออกจากพระนครเดินไปตามทางหลวง ขับรถไปไม่ห่างพุ่มไม้นั้น
ขับไปพลางกล่าวถึงคุณของท่านเศรษฐีไปพลางว่า
เจ้าพ่อคุณเอ๋ย ท่านอิลลีสเศรษฐีจงมีชีวิตอยู่ถึงร้อยปีเถิด คราวนี้
เราไม่ต้องทาการงานเลี้ยงชีพไปจนตลอดชีวิตแล้ว เพราะอาศัยท่าน
รถนี่ก็ของท่าน โคคู่ก็เป็นของท่านเหมือนกัน แก้ว ๗ ประการก็ในเรือนของท่าน
มารดาเล่าก็มิได้ให้ บิดาก็มิได้ให้ เราได้เพราะอาศัยท่านแท้ๆ.
อิลลีสเศรษฐีฟังเสียงนั้นแล้ว เกิดกลัวหวาดผวาฉุกใจคิดว่า
คนผู้นี้เอาชื่อของเรามากล่าวอ้างถึงเรื่องนี้ๆ
พระราชาพระราชทานทรัพย์ของเราแก่ชาวโลกเสียละ กระมังหนอ?
โผล่ออกจากพุ่มไม้ จาโคและรถได้ กล่าวตวาดว่า เฮ้ย ไอ้บ่าวชาติชั่ว โคก็ของกู
รถก็ของกู พลางวิ่งไปจับโคที่สายตะพาย คหบดีก็ลงจากรถกล่าวว่า เฮ้ย!
ไอ้บ่าวชั่ว ท่านอิลลิสเศรษฐีให้ทานแก่คนทั้งเมือง มึงเป็ นอะไรเล่า
พลางวิ่งไปหาทุบที่ต้นคอ เหมือนฟ้ าฟาด แล้วดึงรถมาขับต่อไป
ฝ่ายท่านอิลลีสเศรษฐีลุกขึ้นงันงก ปัดฝุ่นแล้ววิ่งไปยึดรถไว้อีก คหบดีก็ลงจากรถ
จิกผมให้ก้มลงถองด้วยศอก จับคอเหวี่ยงไปทางที่มาแล้วก็หลีกไป.
พอโดนเข้าอย่างนี้ ความเมาสุราของท่านเศรษฐีก็หายเป็นปลิดทิ้ง งกๆ
เงิ่นๆ เดินไปที่ประตูนิเวศน์อย่างรวดเร็ว
เห็นมหาชนพากันขนทรัพย์ไปก็ตะโกนว่า พ่อคุณ นี่มันเรื่องอะไรกัน
9
พระราชารับสั่งให้มารุมปล้นทรัพย์ของข้าหรือไร? แล้วไปจับคนนั้นๆ ไว้
คนที่ถูกจับก็ช่วยกันประหาร จนล้มลงใกล้เท้านั่นเอง เศรษฐีเจ็บปวดหนัก
มุ่งจะเข้าเรือน พวกเฝ้ าประตูพากันร้องว่า เฮ้ย ไอ้คฤหบดีตัวร้าย
มึงจะเข้าไปไหน? พลางหวดด้วยเรียวไผ่ จับคอไสออกไป.
เศรษฐีคิดว่า คราวนี้เว้นพระราชาแคว้น
ใครอื่นที่จะเป็ นที่พานักของเราไม่มีแล้ว ไปสู่ราชสานัก กราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ
พระองค์สั่งให้คนปล้นเรือนของข้าพระองค์หรือพระเจ้าข้า? พระราชารับสั่งว่า
ท่านเศรษฐี เราไม่ได้ให้ปล้น ท่านนั่นแหละมาหาเราบอกว่า
ถ้าพระองค์ไม่ทรงรับไว้ ข้าพระองค์จักให้ทรัพย์ของข้าพระองค์เป็นทาน
ให้คนเที่ยวตีกลองป่าวร้องในพระนคร แล้วได้ให้ทานมิใช่หรือ? เขากราบทูลว่า
ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์มิได้มาสู่สานักของพระองค์เลย
พระองค์ไม่ทรงทราบความที่ข้าพระองค์เป็นคนตระหนี่หรือพระเจ้าข้า
ข้าพระองค์ไม่ยอมให้แม้หยดน้ามันด้วยปลายหญ้าแก่ใครๆ
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเรียกคนที่ให้ทานนั้นมา
ทรงพิจารณาเถิด พระเจ้าข้า.
พระราชารับสั่งให้เรียกท้าวสักกะมา ความแปลกกันของคนทั้งสอง
พระราชาก็ทรงทราบไม่ได้เลย พวกอามาตย์ก็ไม่ทราบ
ท่านเศรษฐีผู้ตระหนี่กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ
พระองค์ทรงจาไม่ได้หรือ พระเจ้าข้า ข้าพระองค์เป็นเศรษฐีคนนี้มิใช่เศรษฐี.
พระราชารับสั่งว่าเราจาไม่ได้ ยังมีใครที่พอจะจาท่านได้บ้างเล่า? กราบทูลว่า
ภรรยาของข้าพระองค์ซิ พระเจ้าข้า. มีพระกระแสรับสั่งให้ภรรยาเข้าเฝ้ า
แล้วตรัสถามว่า สามีของเธอคนไหน? นางกราบทูลว่า คนนี้พระเจ้าข้า
แล้วได้ยืนใกล้ท้าวสักกะนั่นเอง เรียกบุตรธิดาทาสกรรมกรมาถาม
ทุกคนพากันยืนในสานักของท้าวสักกะทั้งนั้น.
ท่านเศรษฐีกลับคิดได้ว่า ที่ศีรษะของเรามีปุ่มอยู่ ผมปิดไว้มิดชิด
มีแต่ช่างกัลบกคนเดียวเท่านั้นที่รู้ปุ่มนั้น ต้องกราบทูลให้เรียกช่างกัลบกมา
คิดดังนี้แล้ว จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ
ช่างกัลบกคงจาข้าพระองค์ได้ โปรดทรงพระกรุณาเรียกเขามาเถิด พระเจ้าข้า.
ก็ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็ นช่างกัลบกของท่านอิลลีสเศรษฐี
พระราชามีพระกระแสรับสั่งให้เรียกท่านมาตรัสถามว่า จาอิลลีสเศรษฐีได้ไหม?
ช่างกัลบกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ
ข้าพระองค์ตรวจดูศีรษะแล้วคงจาได้ พระเจ้าข้า. ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น
ท่านจงตรวจดูศีรษะของคนทั้งสองเถิด ทันใดนั้น
ท้าวสักกะก็บันดาลให้เกิดปุ่มขึ้นที่ศีรษะ.
10
พระโพธิสัตว์ตรวจดูศีรษะแม้ของคนทั้งสองก็เห็นปุ่ม (เหมือนกัน)
จึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
ที่ศีรษะของคนทั้งสองต่างมีปุ่มอยู่เหมือนกันในท่านทั้งสองนี้
ข้าพระองค์มิอาจจาได้ถึงความเป็นตัวอิลลีสะสักคนเดียวแล้ว
กล่าวคาถานี้ความว่า :-
คนทั้งสองเป็นคนกระจอก คนทั้งสองเป็นคนค่อม
คนทั้งสองมีนัยน์ตาเหล่ คนทั้งสองมีปุ่มเกิดที่ศีรษะ
ข้าพระองค์ชี้ตัวอิลลีสะไม่ได้ ดังนี้.
ท่านเศรษฐีฟังคาของพระโพธิสัตว์แล้วเท่านั้น ตัวสั่นงันงก
ไม่อาจตั้งสติไว้ได้ เพราะความโลภในทรัพย์ ล้มลงตรงนั้นเอง ในขณะนั้น
ท้าวสักกะกล่าวว่า ดูก่อนมหาราช เราไม่ใช่อิลลีสะดอก เราเป็ นท้าวสักกะ
แล้วได้ประทับยืนอยู่ในอากาศด้วยท่าทางอันสง่า
พวกอามาตย์ช่วยลูบหน้าท่านอิลลีสเศรษฐี แล้วราดด้วยน้า อิลลีสเศรษฐีรีบลุกขึ้น
ยืนไหว้ท้าวสักกะเทวราช. ทันใดนั้น ท้าวสักกะกล่าวกะท่านเศรษฐีว่า
ดูก่อนอิลลีสะ ทรัพย์นี้เป็นของเรา ไม่ใช่ของท่าน เพราะเราเป็นบิดาของท่าน
ท่านเป็นบุตรของเรา เราทาบุญมีให้ทานเป็นต้น ถึงความเป็ นท้าวสักกะ
แต่เธอตัดวงษ์ของเราขาดสิ้น เป็นผู้ไม่ยอมให้ทาน ตั้งอยู่ในความตระหนี่
เผาโรงทาน ขับไล่พวกยาจก เอาแต่สั่งสมทรัพย์ บริโภคเองก็ไม่ยอมบริโภค
ให้คนอื่นก็ไม่ให้ ทาตนเหมือนรากษสหวงสระน้า
ถ้าเธอกลับสร้างโรงทานให้เป็นปกติแล้วให้ทาน นั่นเป็ นความฉลาด
หากไม่ให้ทาน เราจักทาทรัพย์ของเธอให้อันตรธานไปจนหมด
แล้วจักตีศีรษะด้วยอินทวัชระนี้ ให้สิ้นชีวิต.
อิลลีสเศรษฐีถูกคุกคามด้วยมหาภัย ได้ให้ปฏิญญาว่า ตั้งแต่บัดนี้
ข้าพเจ้าจักให้ทาน. ท้าวสักกะรับปฏิญญาณของท่านเศรษฐีแล้ว
ประทับนั่งในอากาศนั่นแล แสดงธรรมชักนาให้เศรษฐีดารงในศีล
แล้วเสด็จไปสู่สถานของท้าวเธอ
แม้อิลลีสเศรษฐีก็กระทาบุญให้ทานเป็นต้น
ได้เป็นผู้มีสวรรค์เป็ นที่ไปในภายหน้า
พระศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่โมคคัลลานะทรมานเศรษฐีตระหนี่
ถึงในครั้งก่อนก็ทรมานมาแล้วเหมือนกัน
ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิ ประชุมชาดกว่า
อิลลีสเศรษฐีในครั้งนั้น ได้มาเป็นเศรษฐีผู้มีความตระหนี่ในครั้งนี้
11
ท้าวสักกเทวราชได้มาเป็ น โมคคัลลานะ
พระราชาได้มาเป็น อานนท์
ส่วนช่างกัลบกได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาอิลลีสชาดกที่ ๘
-----------------------------------------------------

More Related Content

More from maruay songtanin

530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...maruay songtanin
 
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
 
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
511 กิงฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 

Recently uploaded

369 มิตตวินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
369 มิตตวินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...369 มิตตวินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
369 มิตตวินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
500 สิรีมันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
500 สิรีมันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...500 สิรีมันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
500 สิรีมันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
427 คิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
427 คิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx427 คิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
427 คิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
354 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
354 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx354 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
354 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
474 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
474 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx474 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
474 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
344 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
344 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx344 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
344 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
429 มหาสุวราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
429 มหาสุวราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...429 มหาสุวราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
429 มหาสุวราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
431 หริตจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
431 หริตจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx431 หริตจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
431 หริตจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
398 สุตนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
398 สุตนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx398 สุตนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
398 สุตนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
400 ทัพภปุปผชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
400 ทัพภปุปผชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...400 ทัพภปุปผชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
400 ทัพภปุปผชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
301 จูฬกาลิงคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
301 จูฬกาลิงคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...301 จูฬกาลิงคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
301 จูฬกาลิงคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
403 อัฏฐิเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
403 อัฏฐิเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...403 อัฏฐิเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
403 อัฏฐิเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 

Recently uploaded (13)

369 มิตตวินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
369 มิตตวินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...369 มิตตวินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
369 มิตตวินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
440 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
500 สิรีมันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
500 สิรีมันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...500 สิรีมันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
500 สิรีมันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
427 คิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
427 คิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx427 คิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
427 คิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
354 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
354 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx354 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
354 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
474 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
474 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx474 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
474 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
344 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
344 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx344 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
344 อัมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
429 มหาสุวราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
429 มหาสุวราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...429 มหาสุวราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
429 มหาสุวราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
431 หริตจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
431 หริตจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx431 หริตจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
431 หริตจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
398 สุตนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
398 สุตนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx398 สุตนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
398 สุตนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
400 ทัพภปุปผชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
400 ทัพภปุปผชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...400 ทัพภปุปผชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
400 ทัพภปุปผชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
301 จูฬกาลิงคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
301 จูฬกาลิงคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...301 จูฬกาลิงคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
301 จูฬกาลิงคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
403 อัฏฐิเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
403 อัฏฐิเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...403 อัฏฐิเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
403 อัฏฐิเสนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 

078 อิลลิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

  • 1. 1 อิลลิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ ๘. อิลลิสชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๗๘) ว่าด้วยอิลลีสเศรษฐี (ช่างตัดผมโพธิสัตว์ถูกพระราชาตรัสสั่งให้หาอิลลีสเศรษฐี เมื่อไม่สามารถจะนาอิลลีสเศรษฐีมาได้ จึงกราบทูลว่า) [๗๘] คนทั้ง ๒ เป็นคนกระจอก เป็นคนง่อยเปลี้ย เป็นคนตาเหล่ มีปมงอกที่ศีรษะ ข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้จักว่า คนไหนคืออิลลีสเศรษฐี อิลลิสชาดกที่ ๘ จบ ------------------------ คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา เอกกนิบาตชาดก วรุณวรรค ๘. อิลลีสชาดก ว่าด้วยคนมีรูปร่างเหมือนกัน พระบรมศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภเศรษฐีชื่อมัจฉริโกสิยะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. ได้ยินว่า ไม่ห่างพระนครราชคฤห์ มีนิคมชื่อว่าสักกระ ในนิคมนั้นมีเศรษฐีผู้หนึ่งชื่อว่ามัจฉริโกสิยะ มีสมบัติ ๘๐ โกฏิอยู่อาศัย ท่านเศรษฐีนั้น แม้เอายอดหญ้าจุ่มน้ามันให้ทานแก่คนเหล่าอื่นสักหยดเดียวก็ไม่มี ทั้งตนเองก็ไม่ยอมบริโภค ด้วยประการฉะนี้ สมบัติของเขาไม่อานวยประโยชน์แก่บุตรและภรรยาเป็ นต้นทั้งแก่สมณพราหมณ์ ตั้งอยู่อย่างไม่ได้แตะต้องใช้สอย เหมือนสระโบกขรณีที่รากษสคุ้มครอง ฉะนั้น. วันหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จออกจากมหากรุณาสมาบัติในเวลาใกล้รุ่ง ทรงตรวจดูหมู่สัตว์ที่เป็นเผ่าพันธ์แห่งผู้พอจะทรงแนะนาให้ตรัสรู้ได้ทั่วโลกธาตุทั้ งสิ้น ได้ทอดพระเนตรเห็น อุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของท่านเศรษฐีพร้อมด้วยภรรยาอันอยู่ไกลถึง ๔๕ โยชน์ เมื่อวันก่อนจากวันนั้น ท่านเศรษฐีได้ไปสู่พระราชวังเข้าเฝ้ าพระราชา ขณะเดินมา เห็นชาวชนบทผู้หนึ่งหิวหนักกาลังกัดกินขนมเบื้องผสมถั่วกุมมาส เกิดความอยากในขนมนั้น ไปถึงเรือนของตนแล้วดาริว่า ถ้าเราบอกว่าอยากกินขนมเบื้อง คนเป็นอันมากก็จักอยากกินกับเรา เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งของเป็นต้นว่า ข้าวสาร เนยใส น้าอ้อยของเรา จักต้องสิ้นเปลืองไปเป็นอันมาก เราจักไม่บอกใครๆ แล้วสู้อดกลั้นความอยากไว้ เที่ยวไป. ครั้นนานหนักเข้า ท่านชักจะผอมเหลือง ตัวสะพรั่งด้วยเส้นเอ็น ทีนั้นก็ไม่อาจทนอยากอยู่ได้ จึงเข้านอน ซุกบนเตียงน้อย แม้ถึงอย่างนั้นแล้ว
  • 2. 2 ก็ยังไม่ยอมเอ่ยอะไรแก่ใครๆ เพราะกลัวเสียทรัพย์. ฝ่ายภรรยาจึงเข้าไปหาท่านลูบหลัง พลางถามว่า ท่านเจ้าขา ท่านไม่สบายหรือ? เศรษฐี. ฉันไม่เจ็บ ไม่ไข้ ไม่เป็นอะไรดอก. ภรรยา. พระราชาทรงกริ้วท่านหรือ? เศรษฐี. ถึงพระราชาก็มิได้ทรงกริ้วฉัน. ภรรยา. เมื่อเป็นเช่นนั้นจะมีลูกชายลูกหญิงเป็นต้น หรือบริวารมีทาสและกรรมกรเป็ นต้นพากันทาอะไรๆ ที่ไม่พอใจท่านหรือ? เศรษฐี. แม้เรื่องอย่างนี้ก็ไม่มีแก่เรา. ภรรยา. ท่านคงนึกอยากจะกินอะไรบ้าง กระมัง? เศรษฐีพอภรรยาพูดอย่างนี้ ก็ไม่ยอมเอ่ยอะไรๆ นอนนิ่งเงียบทีเดียว เพราะกลัวเสียทรัพย์ ทีนั้นภรรยาจึงกล่าวกะท่านเศรษฐีว่า ท่านเจ้าขาบอกเถิด ท่านนึกอยากกินอะไร? ท่านเศรษฐีทาท่าทีกล้ากลืนถ้อยคา แล้วกล่าวว่า จ้ะ ฉันนึกอยากอยู่อย่างหนึ่ง. ภรรยา. อะไรเจ้าคะ ที่ท่านนึกอยาก? เศรษฐี. ฉันอยากกินขนมเบื้อง. ภรรยา. เมื่อเป็นเช่นนั้น ทาไมไม่บอกเล่าคะ ท่านเป็นคนจนหรือเจ้าคะ คราวนี้ ดิฉันจะทอดขนมเบื้องให้พอแจกชาวสักกระนิคมให้ทั่วถึง. เศรษฐี. เจ้าเอ่ยถึงพวกนั้นทาไม พวกเขาทางานของตนแล้ว ก็จักทากินกันเอง. ภรรยา. ถ้าเช่นนั้นก็ทอดพอแจกพวกตรอกเดียวกันนะคะ? เศรษฐี. ฉันรู้ละว่า เจ้านะมีทรัพย์มาก. ภรรยา. ถ้าเช่นนั้น ก็ทอดพอแจกกันระหว่างลูกเมียในเรือนเท่านั้น ก็แล้วกันนะเจ้าคะ? เศรษฐี. ท่านไปยุ่งกับพวกนั้นทาไม? ภรรยา. ถ้าเช่นนั้นก็ทอดพอรับประทานกันระหว่างท่านกับดิฉัน นะเจ้าคะ? เศรษฐี. ท่านจะมาเกี่ยวด้วยทาไม? ภรรยา. ถ้าเช่นนั้น ก็ทอดพอท่านรับประทานคนเดียวก็แล้วกัน. เศรษฐี. เมื่อทอดที่นี่ คนเป็นอันมากจักพากันมุงดู เจ้าจงขนข้าวสารที่แหลกๆ เว้นข้าวที่เป็นตัวเสีย ทั้งเตาและกระเบื้องทอด ก็ขนไปด้วย ถือเอานมสด เนยใส น้าผึ้ง น้าอ้อย อย่างละนิดละหน่อย ขึ้นสู่พื้นโถงบนปราสาทชั้นที่ ๗ แล้วทอดเถิด ฉันคนเดียวเท่านั้น จักนั่งกินที่นั่น. ภรรยา. รับคาแล้ว ให้คนขนสิ่งของที่ต้องใช้ขึ้นปราสาท ไล่ทาสีลง
  • 3. 3 ให้เชิญท่านเศรษฐีขึ้นไป เศรษฐีปิดประตูชั้นแรกขัดลิ่มสลักทุกแห่ง ขึ้นสู่พื้นปราสาทชั้น ๗ แม้ในชั้นก็ปิดประตูเสียด้วย แล้วนั่งคอย ฝ่ายภรรยาของท่านเศรษฐี จัดแจงก่อไฟใส่เตา ยกกระเบื้องขึ้นตั้ง เริ่มจะทอดขนม. ลาดับนั้น พระบรมศาสดาตรัสเรียกพระมหาโมคคัลลานะแต่เช้าตรู่ ตรัสว่า โมคคัลลานะ เศรษฐีตระหนี่ในสักกระนิคม ไม่ห่างไกลพระนครราชคฤห์ผู้นี้ดาริว่า เราจักกินขนมเบื้องกลัวคนอื่นๆ จะเห็น ให้ภรรยาทอดขนมเบื้องที่พื้นชั้นบนแห่งปราสาท ๗ ชั้น ท่านจงไปที่นั่น ทรมานเศรษฐี ทาให้หมดพยศ แล้วให้สามีภรรยาทั้งคู่ ขนขนม นมเนย น้าผึ้ง น้าอ้อย พามาสู่พระเชตวัน ด้วยกาลังของตนเถิด วันนี้ ตถาคตกับภิกษุ ๕๐๐ จักนั่งคอยในวิหาร จักกระทาภัตตกิจด้วยขนมนั้นแหละ. พระเถระเจ้าทูลรับสนองพระดารัสของพระศาสดาว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า ไปสู่นิคมด้วยกาลังฤทธิ์ ในทันใดนั้นเอง ครองสบงจีวรเรียบร้อย ยืนอยู่ในอากาศ ตรงช่องหน้าต่าง ปานประหนึ่งรูปที่ทาด้วยแก้วมณีมาลอยอยู่ ฉะนั้น เพราะเห็นพระเถระเจ้าเข้าเท่านั้น ท่านมหาเศรษฐีหัวใจสั่น เศรษฐีดาริว่า เพราะกลัวมนุษย์ประเภทนี้นี่แหละ เราถึงต้องมาที่นี่ แต่ท่านผู้นี้ยังมาที่ช่องหน้าต่างจนได้ มองไม่เห็นสิ่งที่พอจะถือเอาได้ ก็เปล่งเสียง ตฏะ ตฏะ ออกมา ด้วยความแค้น เหมือนเอาก้อนเกลือใส่ไปในกองไฟ แตกเพียะพะอยู่ ฉะนั้น แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนสมณะ ท่านยืนอยู่ในอากาศจักได้อะไร ถึงจะเดินไปเดินมา แสดงรอยเท้าในอากาศอันหารอยมิได้ ก็จักยังไม่ได้อยู่ นั่นเอง. พระเถระก็เดินจงกรมไปมาอยู่ ณ ที่นั้นเอง. เศรษฐีกล่าวว่า ท่านจงกรมอยู่จักได้อะไร ถึงจะนั่งขัดสมาธิในอากาศ ก็จักไม่ได้อะไรเลย. พระเถระเจ้าคู้บัลลังก์นั่งแล้ว ครั้งนั้น เศรษฐีกล่าวกะพระเถระว่า นั่งแล้วจักได้อะไร ถึงจะมายืนอยู่ที่ธรณีหน้าต่าง ก็จักไม่ได้เลย. พระเถระได้มายืนอยู่ที่ธรณี ครั้งนั้น เศรษฐีพูดกะท่านว่า ถึงยืนที่ธรณีแล้วก็จักได้อะไร ต่อให้บังหวนควัน ก็จักไม่ได้อะไร. พระเถระจึงบังหวนควัน ปราสาททั้งนั้นเป็ นควันพุ่งไปทั่ว เกิดเป็นดุจเวลาเอาเข็มแทงนัยน์ตาท่านเศรษฐี ท่านเศรษฐีไม่กล้ากล่าวว่า ถึงจะให้ไฟลุก ก็คงจะไม่ได้ เพราะกลัวไฟจะไหม้บ้าน ดาริว่า สมณะรูปนี้เกาะเกี่ยวเหนียวแน่น ไม่ได้คงไม่ยอมไป จึงบอกภรรยาว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ เจ้าจงทอดขนมเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง ให้สมณะแล้วส่งท่านไปเสียเถิด. นางตักแป้ งหน่อยเดียวเท่านั้น ใส่ลงในถาดกระเบื้อง เป็นขนมโตเต็มถาดหมด พองหนาปรากฏอยู่ เศรษฐีเห็นขนมนั้นแล้วพูดว่า
  • 4. 4 เจ้าคงใส่แป้ งมากเป็ นแน่ แล้วเอามุมทัพพีนั่นแหละตักแป้ งหน่อยหนึ่งใส่ลงไปเองทีเดียว ขนมกลับใหญ่กว่าอันก่อน ไม่ว่าจะทอดอันใดๆ อันนั้นๆ เป็นต้องใหญ่ๆ ทั้งนั้น เศรษฐีชักเหนื่อย จึงบอกภรรยาว่า นางเอ๋ย เจ้าจงให้ขนมแก่สมณะรูปนี้ไปชิ้นหนึ่งเถิด. เมื่อนางหยิบขนมชิ้นหนึ่งออกจากกระเช้าขนมทุกชิ้น ติดเป็นแผ่นเดียวกันไปหมด นางบอกกะเศรษฐีว่า ท่านเจ้าคะ ขนมทั้งหมดติดเป็นแผ่นเดียวกันเสียแล้ว ดิฉันไม่อาจจะแยกได้. ท่านเศรษฐีกล่าวว่า ฉันทาเอง ก็ไม่อาจแยกออกได้. เมื่อท่านเศรษฐีพยายามปลุกปล้าแยกขนมอยู่นั่นแล เหงื่อไหลโทรมร่างกาย ความอยากก็หายไป. ลาดับนั้น ท่านเศรษฐีจึงพูดกับภรรยาว่า นี่แน่ะนางผู้เจริญ เราไม่ต้องการขนมแล้วละ เธอจงถวายแก่ภิกษุนี้ทั้งกระเช้าทีเดียวเถิด. นางจึงหิ้วกระเช้าเข้าไปหาพระเถระ แล้วถวายขนมทั้งหมดแด่พระเถระเจ้า. พระเถระเจ้า เมื่อแสดงธรรมแก่คนทั้งสอง ก็กล่าวถึงคุณของพระรัตนะทั้ง ๓ แล้วชี้แจงผลของการให้ทานเป็นต้นว่า ทานที่บุคคลให้แล้วมีผล การบูชามีผล แจ่มแจ้งประดุจแสดงให้เห็นดวงจันทร์วันเพ็ญบนพื้นนภากาศฉะนั้น ครั้นฟังธรรมแล้ว มหาเศรษฐีมีจิตผ่องใสกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ นิมนต์นั่งบนบัลลังก์นี้ ฉันขนมเถิดขอรับ. พระเถระเจ้ากล่าวว่า ท่านมหาเศรษฐี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ตถาคตจักฉันขนม ประทับนั่งในพระวิหารกับภิกษุ ๕๐๐ รูป เมื่อท่านพอใจจงให้ภรรยาถือขนมและนมเป็นต้น เราจักไปสู่สานักพระศาสดา. ท่านเศรษฐีถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เดี๋ยวนี้ พระศาสดาพระองค์นั้นประทับอยู่ที่ไหนเล่าขอรับ? พระเถระเจ้าตอบว่า พระองค์ประทับอยู่ ณ พระมหาวิหารเชตวัน ห่างจากที่นี่ ๔๕ โยชน์. ท่านเศรษฐีกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เราจักไปไกลถึงเพียงนี้ โดยไม่ให้ล่วงเวลาภัตได้อย่างไรเล่าขอรับ? พระเถระเจ้ากล่าวว่า ดูก่อนมหาเศรษฐี เมื่อท่านมีความพอใจ เราจะพาท่านไปด้วยกาลังฤทธิ์ของตน หัวบันไดที่ปราสาทของท่าน จักปรากฏ ณ ที่ตั้งของตนทีเดียว แต่ที่สุดแห่งบันได จักอยู่ซุ้มพระทวารแห่งพระวิหารเชตวัน เราจักพาท่านไปพระวิหารเชตวัน ด้วยระยะเวลาเพียงเท่ากาลที่ลงจากปราสาทชั้นบน มาสู่ปราสาทชั้นล่าง. ท่านเศรษฐีรับคาว่า ดีแล้วขอรับ ท่านผู้เจริญ. พระเถระเจ้าก็อธิษฐานว่า ศีรษะบันไดจงอยู่ที่เดิม
  • 5. 5 เชิงบันไดจงมีที่ซุ้มพระทวารพระวิหารเชตวันเถิด การก็ได้เป็นดังคาอธิษฐานของพระเถระเจ้านั่นแหละ ด้วยอาการอย่างนี้ พระเถระเจ้าพาท่านเศรษฐีกับภรรยาลุถึงพระวิหารเชตวัน เร็วกว่าเวลาลงจากปราสาทชั้นบนถึงปราสาทชั้นล่างเสียอีก. ท่านเศรษฐีและภรรยา แม้ทั้งคู่เข้าเฝ้ าพระศาสดา กราบทูลภัตตกาล พระศาสดาเสด็จเข้าสู่โรงฉัน ประทับนั่งเหนือพระบวรพุทธาอาสน์ที่จัดไว้พร้อมกับภิกษุสงฆ์ ท่านเศรษฐีได้ถวายน้าทักษิโณทกแด่พระสงฆ์ มีพระพุทธองค์เป็นประมุข ภรรยาของท่านเศรษฐี ก็ใส่ขนมในบาตรของพระตถาคต พระศาสดาทรงรับขนมพอแก่พระประสงค์ของพระองค์ แม้ภิกษุ ๕๐๐ รูปก็รับเช่นนั้นเหมือนกัน ถึงท่านเศรษฐีก็เดินถวายนมสด เนยใส น้าผึ้ง น้าอ้อยและน้าตาลกรวดเป็ นต้น พระศาสดากับภิกษุ ๕๐๐ รูปกระทาภัตกิจเสร็จแล้ว. ท่านมหาเศรษฐีกับภรรยาเล่า ก็รับประทานขนมพอแก่ความต้องการ ความสิ้นสุดของขนมทั้งหลายไม่ปรากฏเลย แม้ถวายแจกจ่ายแก่พวกภิกษุ และคนกินเดนในวิหารทั้งสิ้นแล้ว ความหมดสิ้นก็ยังไม่ปรากฏอยู่นั่นเอง. ท่านเศรษฐีและภรรยาพากันกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขนมยังไม่หมดเลย พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเททิ้งเสียที่ซุ้มประตูพระวิหารเชตวันเถิด สองสามีภรรยาก็ขนไปทิ้งในที่เป็ นเงื้อม ไม่ห่างซุ้มประตู ที่นั้นจึงปรากฏชื่อว่า "เงื้อมขนมเบื้อง" ต่อมาจนถึงทุกวันนี้. มหาเศรษฐีกับภรรยาพากันเข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคเจ้า ยืนอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทาอนุโมทนา ในเวลาจบอนุโมทนา เศรษฐีและภรรยาแม้ทั้งสองคน ก็ดารงในพระโสดาปัตติผล พากันถวายบังคมพระบรมศาสดา ก้าวขึ้นบันไดสถิตในปราสาทของตนนั่นเอง จาเดิมแต่นั้นมา ท่านมหาเศรษฐีก็บริจาคทรัพย์ ๘๐ โกฏิในพระพุทธศาสนานั่นแล. วันรุ่งขึ้น เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี แล้วเสด็จมาสู่พระวิหารเชตวัน ประทานสุคโตวาทแก่พวกภิกษุ แล้วเสด็จเข้าพระคันธกุฎี ทรงหลีกเร้น ครั้นเวลาเย็น ภิกษุประชุมกันในธรรมสภา นั่งกล่าวถึงคุณกถาของพระเถระเจ้าอยู่ว่า ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย จงดูอานุภาพของพระมหาโมคคัลลานเถรเจ้าเถิด ท่านมิได้ทาลายศรัทธา มิได้แตะต้องโภคทรัพย์ ทรมานเศรษฐีผู้ตระหนี่ ครู่เดียวเท่านั้น
  • 6. 6 ก็ทาให้หายพยศได้ ให้ถือขนมชวนมาพระเชตวัน เฝ้ าพระศาสดา ให้ดารงในโสดาปัตติผล โอ พระเถระเจ้ามีอานุภาพมาก. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร. เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุผู้ทรมานสกุล ไม่ต้องเบียดเบียนสกุลให้ลาบาก พึงเป็นเหมือนภมรเคล้าเอาเกษรดอกไม้ เข้าไปใกล้แล้ว ให้เขารู้พระพุทธคุณ เมื่อจะทรงสรรเสริญพระเถระเจ้า ตรัสพระคาถาในธรรมบทนี้ว่า "ภมรมิให้ดอกไม้เสียสี และเสื่อมกลิ่น เคล้าเอาแต่รสแล้วบินไป แม้ฉันใด มุนีพึงเที่ยวไปในบ้าน ฉันนั้น" ดังนี้. เพื่อจะประกาศคุณของพระเถระเจ้าให้ยิ่งๆ ขึ้นไป จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่มัจฉริยเศรษฐีถูกโมคคัลลานะทรมาน แม้ในครั้งก่อน โมคคัลลานะก็เคยทรมานเขา ให้รู้ความสัมพันธ์แห่งกรรมและผลแห่งกรรมมาแล้วเหมือนกัน แล้วทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :- ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี เศรษฐีชื่ออิลลีสะ มีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ ประกอบด้วยบุรุษโทษหลายสถาน เป็นคนกระจอก ง่อย ตาเหล่ ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส ตระหนี่ ไม่ให้แก่คนอื่นและไม่บริโภคด้วยตนเอง ได้มีในพระนครพาราณสี เรือนของเศรษฐีนั้นได้เป็นเหมือนสระโบกขรณีที่รากษสยึดครอง แต่มารดาบิดาของท่านเศรษฐีเป็นผู้ให้ทาน เป็ นทานบดีมา ๗ ชั่วตระกูล ครั้นอิลลีสะนั้นได้ตาแหน่งเศรษฐี ก็ทาลายสกุลวงษ์เสีย เผาโรงทาน เฆี่ยนขับไล่พวกยาจก เก็บแต่ทรัพย์เท่านั้น วันหนึ่ง อิลลีสะนั้นไปเฝ้ าพระราชา ขณะเดินมาเรือนของตน เห็นคนบ้านนอกผู้หนึ่งเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ถือขวดเหล้ามาขวดหนึ่ง นั่งบนตั่งน้อย รินเหล้าใส่จอกสาหรับดื่มสุรารสเปรี้ยวแล้วดื่มอยู่ แกล้มด้วยแกงอ่อมใส่ปลาร้า นึกอยากดื่มบ้าง คิดว่า ถ้าเราจักดื่มสุรา เมื่อกาลังดื่มคนเป็ นอันมากก็จักอยากดื่มบ้าง ความสิ้นเปลืองทรัพย์ ก็จักมีแก่เราด้วยอาการอย่างนี้. เศรษฐีอิลลีสะนั้น อดกลั้นความอยากไว้ ครั้นเวลาผ่านไป ไม่อาจอดกลั้นได้ เลยเป็นคนตัวเหลือง เนื้อตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น เหมือนใบฝ้ ายที่แก่แล้ว ครั้นวันหนึ่ง จึงเข้าห้องนอน เข้าไปซุกอยู่ที่เตียงน้อย ภรรยาเข้าไปลูบหลัง พลางถามว่า นายท่านไม่สบายเป็นอะไรหรือ?
  • 7. 7 ถ้อยคาทั้งหมดพึงทราบโดยทานองที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. เมื่อภรรยากล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ดิฉันจะปรุงสุราให้พอแก่ท่านผู้เดียวเท่านั้น. เศรษฐีดาริว่า เมื่อปรุงสุราในเรือน คนเป็ นอันมากจักต้องมุงมอง ให้ไปซื้อมาจากร้านตลาด แต่ไม่อาจนั่งดื่มในที่นี้ได้ จึงให้เงินไปประมาณมาสกหนึ่ง ให้ไปซื้อเหล้ามาจากตลาดขวดหนึ่ง ให้บ่าวถือออกไปจากเมือง ถึงฝั่งแม่น้า หลบเข้าสู่พุ่มไม้พุ่มหนึ่ง ให้บ่าววางขวดเหล้าไว้แล้ว กล่าวว่า เจ้าไปเถิด ให้บ่าวไปนั่งเสียไกล รินเหล้าใส่จอกเริ่มดื่มสุรา. ส่วนบิดาของเศรษฐีอิลลีสะนั้นเกิดเป็นท้าวสักกะในเทวโลก เพราะทาบุญทั้งหลายมีให้ทานเป็นต้น ขณะนั้น ท้าวเธอดาริว่า ทานของเรายังเป็ นไปอยู่หรือไม่หนอ ครั้นเห็นทานไม่เป็ นไป และเห็นบุตรทาลายสกุลวงษ์เสีย เผาโรงทาน ขับไล่พวกจายก ตั้งอยู่ในความตระหนี่ กาลังเข้าพุ่มไม้ดื่มเหล้าเพียงผู้เดียว เพราะกลัวว่า จักต้องให้แก่คนอื่นๆ ทรงพระดาริว่า เราต้องไปขนาบ ทรมานอิลลีสะนั้น ให้รู้ความสัมพันธ์แห่งกรรมและผลแห่งกรรม แล้วให้บาเพ็ญทาน ทาให้เขาเหมาะสมที่จะเกิดในเทวโลก ดังนี้แล้วเสด็จลงมาสู่ถิ่นมนุษย์ ทรงเนรมิตอัตภาพเป็นคนกระจอก ง่อย และตาเหล่ เช่นเดียวกับเศรษฐีอิลลีสะ เข้าไปสู่พระนครพาราณสี หยุด ณ ทวารพระราชนิเวศน์ ให้กราบทูลการที่ตนมา เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตว่า จงเข้ามาเถิด จึงเข้าไปถวายบังคมพระราชา แล้วยืนอยู่. พระราชามีพระดารัสถามว่า ดูก่อนท่านมหาเศรษฐี เหตุไฉน ท่านจึงมาผิดเวลาเล่า กราบทูลว่า ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้า ข้าพระพุทธเจ้ามาโดยประสงค์ว่า ในเรือนของข้าพระพุทธเจ้ามีทรัพย์อยู่ประมาณ ๘๐ โกฏิ ขอพระองค์ได้โปรดให้ขนมาเข้าท้องพระคลังของพระองค์เถิด. พระราชารับสั่งว่า อย่าเลย ท่านมหาเศรษฐี ทรัพย์ในวังของเรา มีมากกว่าทรัพย์ของท่าน. เขากราบทูลว่า ขอเดชะ ถ้าพระองค์ไม่ต้องพระประสงค์ ข้าพระองค์จะจ่ายทรัพย์ให้ทานตามความพอใจพระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งว่า ให้เถิดท่านเศรษฐี. เขารับพระบรมราชานุญาตแล้ว ถวายบังคมพระราชา ออกไปสู่เรือนของอิลลีสเศรษฐี พวกมนุษย์ผู้เป็นอุปัฏฐากทุกคน ก็พากันแวดล้อม แม้คนหนึ่งที่จะสามารถรู้ว่า ท่านผู้นี้มิใช่อิลลีสเศรษฐี ไม่มีเลย. ครั้นท้าวสักกเทวราชเข้าสู่เรือนแล้ว ยืนที่ธรณีด้านใน เรียกนายประตูมาสั่งว่า ผู้อื่นคนใดมีรูปคล้ายเรา จะเข้ามาด้วยกล่าวว่า นี่เรือนของเรา พวกเจ้าพึงเฆี่ยนหลังคนนั้น แล้วไล่ไปเสีย
  • 8. 8 แล้วขึ้นสู่ปราสาทนั่งเหนืออาสนะอันโออ่า ให้เชิญภรรยาท่านเศรษฐีมาหา แสดงอาการอย่างท่านเศรษฐีไม่มีผิด กล่าวว่า นางผู้เจริญเราให้ทานกันเถิด. ภรรยา บุตร ธิดาและทาสกรรมกรได้ยินถ้อยคาของท้าวเธอนั้นแล้ว พากันกล่าวว่า ตลอดกาลนานเห็นปานนี้ ความคิดที่จะให้ทานไม่มีเลย แต่วันนี้ดื่มสุราแล้ว เกิดใจดีอยากให้ทานเป็นแน่. ทีนั้น ภรรยาท่านเศรษฐีจึงกล่าวว่า ท่านเจ้าคะ เชิญท่านให้ตามพอใจเถิด. ท้าวเธอกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น เธอจงเรียกคนตีกลองมา ให้นากลองไปเที่ยวตีประกาศทั่วพระนครว่า ผู้ที่ต้องการเงินทองแก้วมณีและมุกดาเป็นต้น จงพากันไปสู่เรือนของอิลลีสเศรษฐี คนตีกลองได้กระทาอย่างนั้นแล้ว มหาชนต่างพากันถือภาชนะมีกระเช้ากระทอเป็นต้น ไปชุมนุมกันที่ประตูเรือน. ท้าวสักกะทรงให้เปิดห้องอันเต็มไปด้วยรัตนะ ๗ ประการหลายห้อง กล่าวว่า เราขอให้แก่พวกท่าน พวกท่านจงพากันขนเอาไปจนพอต้องการเถิด มหาชนพากันขนทรัพย์ออกไปกองไว้ที่พื้นโถง บรรจุลงภาชนะที่นามาจนเต็มแล้ว จึงพากันไป. ฝ่ายมนุษย์ชาวชนบทคนหนึ่ง เทียมโคคู่ของอิลลีสเศรษฐี ที่รถของท่านนั่นแหละ บรรทุกเต็มไปด้วยรัตนะ ๗ ประการ ออกจากพระนครเดินไปตามทางหลวง ขับรถไปไม่ห่างพุ่มไม้นั้น ขับไปพลางกล่าวถึงคุณของท่านเศรษฐีไปพลางว่า เจ้าพ่อคุณเอ๋ย ท่านอิลลีสเศรษฐีจงมีชีวิตอยู่ถึงร้อยปีเถิด คราวนี้ เราไม่ต้องทาการงานเลี้ยงชีพไปจนตลอดชีวิตแล้ว เพราะอาศัยท่าน รถนี่ก็ของท่าน โคคู่ก็เป็นของท่านเหมือนกัน แก้ว ๗ ประการก็ในเรือนของท่าน มารดาเล่าก็มิได้ให้ บิดาก็มิได้ให้ เราได้เพราะอาศัยท่านแท้ๆ. อิลลีสเศรษฐีฟังเสียงนั้นแล้ว เกิดกลัวหวาดผวาฉุกใจคิดว่า คนผู้นี้เอาชื่อของเรามากล่าวอ้างถึงเรื่องนี้ๆ พระราชาพระราชทานทรัพย์ของเราแก่ชาวโลกเสียละ กระมังหนอ? โผล่ออกจากพุ่มไม้ จาโคและรถได้ กล่าวตวาดว่า เฮ้ย ไอ้บ่าวชาติชั่ว โคก็ของกู รถก็ของกู พลางวิ่งไปจับโคที่สายตะพาย คหบดีก็ลงจากรถกล่าวว่า เฮ้ย! ไอ้บ่าวชั่ว ท่านอิลลิสเศรษฐีให้ทานแก่คนทั้งเมือง มึงเป็ นอะไรเล่า พลางวิ่งไปหาทุบที่ต้นคอ เหมือนฟ้ าฟาด แล้วดึงรถมาขับต่อไป ฝ่ายท่านอิลลีสเศรษฐีลุกขึ้นงันงก ปัดฝุ่นแล้ววิ่งไปยึดรถไว้อีก คหบดีก็ลงจากรถ จิกผมให้ก้มลงถองด้วยศอก จับคอเหวี่ยงไปทางที่มาแล้วก็หลีกไป. พอโดนเข้าอย่างนี้ ความเมาสุราของท่านเศรษฐีก็หายเป็นปลิดทิ้ง งกๆ เงิ่นๆ เดินไปที่ประตูนิเวศน์อย่างรวดเร็ว เห็นมหาชนพากันขนทรัพย์ไปก็ตะโกนว่า พ่อคุณ นี่มันเรื่องอะไรกัน
  • 9. 9 พระราชารับสั่งให้มารุมปล้นทรัพย์ของข้าหรือไร? แล้วไปจับคนนั้นๆ ไว้ คนที่ถูกจับก็ช่วยกันประหาร จนล้มลงใกล้เท้านั่นเอง เศรษฐีเจ็บปวดหนัก มุ่งจะเข้าเรือน พวกเฝ้ าประตูพากันร้องว่า เฮ้ย ไอ้คฤหบดีตัวร้าย มึงจะเข้าไปไหน? พลางหวดด้วยเรียวไผ่ จับคอไสออกไป. เศรษฐีคิดว่า คราวนี้เว้นพระราชาแคว้น ใครอื่นที่จะเป็ นที่พานักของเราไม่มีแล้ว ไปสู่ราชสานัก กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์สั่งให้คนปล้นเรือนของข้าพระองค์หรือพระเจ้าข้า? พระราชารับสั่งว่า ท่านเศรษฐี เราไม่ได้ให้ปล้น ท่านนั่นแหละมาหาเราบอกว่า ถ้าพระองค์ไม่ทรงรับไว้ ข้าพระองค์จักให้ทรัพย์ของข้าพระองค์เป็นทาน ให้คนเที่ยวตีกลองป่าวร้องในพระนคร แล้วได้ให้ทานมิใช่หรือ? เขากราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์มิได้มาสู่สานักของพระองค์เลย พระองค์ไม่ทรงทราบความที่ข้าพระองค์เป็นคนตระหนี่หรือพระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่ยอมให้แม้หยดน้ามันด้วยปลายหญ้าแก่ใครๆ ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเรียกคนที่ให้ทานนั้นมา ทรงพิจารณาเถิด พระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งให้เรียกท้าวสักกะมา ความแปลกกันของคนทั้งสอง พระราชาก็ทรงทราบไม่ได้เลย พวกอามาตย์ก็ไม่ทราบ ท่านเศรษฐีผู้ตระหนี่กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์ทรงจาไม่ได้หรือ พระเจ้าข้า ข้าพระองค์เป็นเศรษฐีคนนี้มิใช่เศรษฐี. พระราชารับสั่งว่าเราจาไม่ได้ ยังมีใครที่พอจะจาท่านได้บ้างเล่า? กราบทูลว่า ภรรยาของข้าพระองค์ซิ พระเจ้าข้า. มีพระกระแสรับสั่งให้ภรรยาเข้าเฝ้ า แล้วตรัสถามว่า สามีของเธอคนไหน? นางกราบทูลว่า คนนี้พระเจ้าข้า แล้วได้ยืนใกล้ท้าวสักกะนั่นเอง เรียกบุตรธิดาทาสกรรมกรมาถาม ทุกคนพากันยืนในสานักของท้าวสักกะทั้งนั้น. ท่านเศรษฐีกลับคิดได้ว่า ที่ศีรษะของเรามีปุ่มอยู่ ผมปิดไว้มิดชิด มีแต่ช่างกัลบกคนเดียวเท่านั้นที่รู้ปุ่มนั้น ต้องกราบทูลให้เรียกช่างกัลบกมา คิดดังนี้แล้ว จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ช่างกัลบกคงจาข้าพระองค์ได้ โปรดทรงพระกรุณาเรียกเขามาเถิด พระเจ้าข้า. ก็ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็ นช่างกัลบกของท่านอิลลีสเศรษฐี พระราชามีพระกระแสรับสั่งให้เรียกท่านมาตรัสถามว่า จาอิลลีสเศรษฐีได้ไหม? ช่างกัลบกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์ตรวจดูศีรษะแล้วคงจาได้ พระเจ้าข้า. ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงตรวจดูศีรษะของคนทั้งสองเถิด ทันใดนั้น ท้าวสักกะก็บันดาลให้เกิดปุ่มขึ้นที่ศีรษะ.
  • 10. 10 พระโพธิสัตว์ตรวจดูศีรษะแม้ของคนทั้งสองก็เห็นปุ่ม (เหมือนกัน) จึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ที่ศีรษะของคนทั้งสองต่างมีปุ่มอยู่เหมือนกันในท่านทั้งสองนี้ ข้าพระองค์มิอาจจาได้ถึงความเป็นตัวอิลลีสะสักคนเดียวแล้ว กล่าวคาถานี้ความว่า :- คนทั้งสองเป็นคนกระจอก คนทั้งสองเป็นคนค่อม คนทั้งสองมีนัยน์ตาเหล่ คนทั้งสองมีปุ่มเกิดที่ศีรษะ ข้าพระองค์ชี้ตัวอิลลีสะไม่ได้ ดังนี้. ท่านเศรษฐีฟังคาของพระโพธิสัตว์แล้วเท่านั้น ตัวสั่นงันงก ไม่อาจตั้งสติไว้ได้ เพราะความโลภในทรัพย์ ล้มลงตรงนั้นเอง ในขณะนั้น ท้าวสักกะกล่าวว่า ดูก่อนมหาราช เราไม่ใช่อิลลีสะดอก เราเป็ นท้าวสักกะ แล้วได้ประทับยืนอยู่ในอากาศด้วยท่าทางอันสง่า พวกอามาตย์ช่วยลูบหน้าท่านอิลลีสเศรษฐี แล้วราดด้วยน้า อิลลีสเศรษฐีรีบลุกขึ้น ยืนไหว้ท้าวสักกะเทวราช. ทันใดนั้น ท้าวสักกะกล่าวกะท่านเศรษฐีว่า ดูก่อนอิลลีสะ ทรัพย์นี้เป็นของเรา ไม่ใช่ของท่าน เพราะเราเป็นบิดาของท่าน ท่านเป็นบุตรของเรา เราทาบุญมีให้ทานเป็นต้น ถึงความเป็ นท้าวสักกะ แต่เธอตัดวงษ์ของเราขาดสิ้น เป็นผู้ไม่ยอมให้ทาน ตั้งอยู่ในความตระหนี่ เผาโรงทาน ขับไล่พวกยาจก เอาแต่สั่งสมทรัพย์ บริโภคเองก็ไม่ยอมบริโภค ให้คนอื่นก็ไม่ให้ ทาตนเหมือนรากษสหวงสระน้า ถ้าเธอกลับสร้างโรงทานให้เป็นปกติแล้วให้ทาน นั่นเป็ นความฉลาด หากไม่ให้ทาน เราจักทาทรัพย์ของเธอให้อันตรธานไปจนหมด แล้วจักตีศีรษะด้วยอินทวัชระนี้ ให้สิ้นชีวิต. อิลลีสเศรษฐีถูกคุกคามด้วยมหาภัย ได้ให้ปฏิญญาว่า ตั้งแต่บัดนี้ ข้าพเจ้าจักให้ทาน. ท้าวสักกะรับปฏิญญาณของท่านเศรษฐีแล้ว ประทับนั่งในอากาศนั่นแล แสดงธรรมชักนาให้เศรษฐีดารงในศีล แล้วเสด็จไปสู่สถานของท้าวเธอ แม้อิลลีสเศรษฐีก็กระทาบุญให้ทานเป็นต้น ได้เป็นผู้มีสวรรค์เป็ นที่ไปในภายหน้า พระศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่โมคคัลลานะทรมานเศรษฐีตระหนี่ ถึงในครั้งก่อนก็ทรมานมาแล้วเหมือนกัน ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิ ประชุมชาดกว่า อิลลีสเศรษฐีในครั้งนั้น ได้มาเป็นเศรษฐีผู้มีความตระหนี่ในครั้งนี้
  • 11. 11 ท้าวสักกเทวราชได้มาเป็ น โมคคัลลานะ พระราชาได้มาเป็น อานนท์ ส่วนช่างกัลบกได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล. จบอรรถกถาอิลลีสชาดกที่ ๘ -----------------------------------------------------