More Related Content
Similar to กินข้าวเหนียวมะม่วงอย่างไร ไม่ให้เกิดโทษ (17)
กินข้าวเหนียวมะม่วงอย่างไร ไม่ให้เกิดโทษ
- 1. กินข้าวเหนียวมะม่วงอย่างไร ไม่ให้เกิดโทษ
1. กินมะม่วงมากกว่าข้าวเหนียว เช่น กินมะม่วงสุกครึ่งลูก (ขนาดกลาง) จะได้พลังงานประมาณ 70 กิโลแคลอรี
ส่วนข้าวเหนียวมูนให้กิน 100 กรัม หรือ 1 ขีด จะให้พลังงาน 280 กิโลแคลอรี เมื่อรวมกันแล้วจะเท่ากับ 350
กิโลแคลอรี
2. กินข้าวเหนียวมะม่วงช่วงเวลากลางวัน เพราะกลางวันเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายต้องใช้พลังงานทากิจกรรมต่างๆ
ควรหลีกเลี่ยงการกินมื้อเย็น เนื่องจากมีกิจกรรมที่ต้องทาน้อยกว่าช่วงกลางวัน
พลังงานที่ได้รับเข้าไปอาจเผาผลาญและนาไปใช้ไม่หมด เกิดเป็นไขมันสะสมตามร่างกายได้
3. ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจาตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ต้องระมัดระวัง
เพราะข้าวเหนียวมะม่วงเป็นอาหารที่มีทั้งน้าตาลและไขมันปริมาณที่ค่อนข้าง สูง จึงแนะนาให้กินสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
และควรลดปริมาณข้าวเหนียวลงให้เหลือสักครึ่งขีดกรณีที่ต้องการกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์
4. คนสุขภาพดี ไม่มีโรคประจาตัว อาจจะกินข้าวเหนียวมะม่วงได้มากกว่า 2
ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ต้องไม่ลืมว่าข้าวเหนียวมะม่วงให้พลังงานเทียบเท่ากับการกินอาหารมื้อ หลัก 1 มื้อเลยทีเดียว
เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมออกกาลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงานที่กินเข้าไป
5. เลือกกินข้าวเหนียวดา (ถ้าเป็นไปได้) หรือข้าวเหนียวที่มูนด้วยน้ากะทิที่ผสมสีที่ได้จากธรรมชาติเช่น ดอกอัญชัน
แครอต ขมิ้น และใบเตย เพราะจะได้รับสารพฤกษเคมีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มากกว่าการกินข้าวเหนียวขาว
6. กินมะม่วงแก่จัด เพื่อให้ได้รสชาติดีและสารอาหารจากมะม่วงครบถ้วน ควรซื้อมะม่วงที่แก่จัด
และควรปล่อยให้สุกตามธรรมชาติ เนื่องจากมะม่วงที่บ่มแก๊สจะให้กลิ่นและรสที่ไม่ดีเท่ากับมะม่วงสุกตาม ธรรมชาติ
วิธีการสังเกตคือ มะม่วงที่แก่จัดนั้นผลจะอวบ ด้านล่างของมะม่วงจะไม่แหลม ส่วนมะม่วงที่เก็บมาตอนไม่แก่จัด
แล้วนามาบ่มแก๊สผิวจะเหี่ยว
7. ผู้ป่ วยโรคเบาหวาน หรือไขมันในเลือดสูง ควรกินมะม่วงสุกแต่น้อย กินครั้งละไม่เกิน 1 ผล ขนาดกลาง และใน 1
สัปดาห์ไม่ควรกินเกิน 2 ครั้ง ส่วนผู้ป่วยโรคไตควรงดกินมะม่วงสุกเพราะมีปริมาณโพแทสเซียมสูง
หลายคนอาจจะคิดว่ากะทิ และข้าวเหนียว เหมือนตัววายร้าย คอยทาร้ายร่างกายของเรา
กินเข้าไปแล้วก่อให้เกิดโทษแต่เพียงอย่างเดียว คงเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนัก และดูเป็นการกล่าวหากันเกินไป
อันที่จริงแล้วกะทินั้นนอกจากเป็นแหล่งของพลังงานที่ดีแล้ว ยังมีสารที่สามารถกาจัดสารอนุมูลอิสระที่จะทาลายเซลล์ต่างๆ
ร่างกายเราได้อีกด้วย และมีกรดอะมิโนจาเป็นอีกหลายชนิด
กรณีของข้าวเหนียวมะม่วง กะทิเป็นตัวช่วยให้ร่างกายสามารถนาวิตามินเอที่มีอยู่ในเนื้อมะม่วงไปใช้ได้
เพราะวิตามินเอเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ต้องอาศัยไขมันเป็นตัวช่วยพาเข้าร่างกาย
จึงนับเป็นความฉลาดของคนไทยสมัยก่อนที่จับคู่ข้าวเหนียวมูนด้วยกะทิ คู่กับมะม่วง
ส่วนข้าวเหนียวก็ไม่ได้มีแค่แป้ ง เพราะถ้าเป็นข้าวเหนียวดา ก็มีสารต้านมะเร็งชั้นเลิศอยู่เช่นกัน
จะเห็นได้ว่ากะทิและข้าวเหนียวไม่ได้มีโทษต่อร่างกายอย่างเดียว หากแต่ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย